เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => สนทนาภาษาปืน => ข้อความที่เริ่มโดย: Nattapol ที่ ตุลาคม 03, 2004, 03:17:51 PM



หัวข้อ: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: Nattapol ที่ ตุลาคม 03, 2004, 03:17:51 PM
สมัยนี้เขาชอบส่งเมล์เตือนภัยสังคมให้กัน
เวลาผมได้ก็มักหาตอบไปบ้างและแถมเรื่องการใช้ปืนป้องกันตัวด้วย
ได้ผลเหมือนกันครับ เพื่อนบางคนที่ไม่เคยรู้จักปืน
และเคยพูดแม้กระทั้งว่าจะไม่มีปืนที่บ้านเพราะไม่อยากให้ลูกโตมาพร้อมกับอาวุธ
หรือคนที่พูดว่าถ้าโจรมา ยอมๆ มันหน่อยมันคงไม่ทำอะไร
(ชาวโคจิงๆ)
เดี๋ยวนี้ก็พูดแล้วว่าเห็นด้วยที่ประชาชนควรมีปืนถูกกฎหมายไว้ป้องกันตัว
ถึง 2
คนที่เป็นตัวอย่างนี้ยังไม่ถึงขนาดฝึกยิงปืนหรือซื้อปืนแต่ก็คงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
ที่จริงผมเคยให้ข้อมูลกับเพื่อนและเขาไปซื้อปืนมาจริงๆ
แค่ คนเดียวครับ ตอนนี้ก็ต้องคอยเตือนให้ไปซ้อมบ้าง

ขออนุญาตฝากข้อมูลที่ผมตัดตอนมาสั้นๆ
ไว้ช่วยกันฝากเพื่อนด้วยครับ

1.
ในประเทศประชาธิปไตยอย่างไทยเรานี้ประชาชนพึงมีสิทธิก่อนอย่างเต็มที่
ส่วนกฎหมายที่จำกัดสิทธิประชาชนจะมีตามความจำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยโดยต้องยึดประโยชน์ของประชาชนส่วนมากเป็นหลัก
ไม่ใช่ประชาชนไม่มีสิทธิแต่ดั้งเดิมโดยจะออกกฎหมายมาให้สิทธิแก่ประชาชนตามความจำเป็น


2. ปืนถูกกฎหมายก็คือปืน บางขนาด บางแบบ
บางลักษณะที่ประชาชนพลเมืองดีสามารถขออนุญาตมีใว้ในครอบครองเพื่อใช้ในบางลักษณะอย่างถูกกฎหมาย
ที่ใช้คำว่าประชาชนพลเมืองดีก็เพราะในการขออนุญาตนอกจากประชาชนผู้ขอจะต้องมีอายุครบตามกำหนดแล้วยังจะต้องถูกพิมพ์ลายนิ้วมือ
ตรวจสอบประวัติอาชญากรรมจากสถานีตำรวจท้องที่
มีผู้รับรองอาชีพการงาน และแสดงหลักฐานฐานะทางการเงิน
รวมทั้งไม่ขาดคุณสมบัติอื่นๆ อีกหลายประการ
ถึงแม้หลักฐานครบนายทะเบียนอาวุธปืนอาจมีดุลพินิจไม่อนุญาตก็ได้ครับ
ที่สำคัญคือเมื่อได้รับอนุญาตแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าพลเมืองดีสามารถนำมาพกพาติดตัวได้อย่างในหนังคาวบอย
อีกทั่งยังไม่สามารถให้ผู้อื่นใช้ปืนนั้นได้ด้วยครับ
ส่วนปืนผิดกฎหมายก็เหมือนของผิดกฎหมายทั้งหลาย
ซื้อขายใต้ดินไม่มีกฎเกณฑ์
โจรผู้ร้ายซื้อได้และส่วนมากเป็นคนที่ตั้งใจเป็นโจรหาซื้อกันเสียด้วย
ทางการเจ้าหน้าที่ไม่รู้เห็น
ใช้เสร็จปาทิ้งไปก็ไม่รู้เป็นของใคร
สุดท้ายคือราคาถูกกว่าปืนถูกกฎหมายประมาณว่าไม่น้อยกว่าสิบเท่า
ในประเทศไทยประมาณกันว่ามีปืนผิดกฎหมายในมือโจรอยู่มากกว่าปืนถูกกฎหมายในมือพลเมืองดีอย่างน้อย
2-3 เท่า
ทางการในทุกประเทศก็พยายามกันแต่ก็ยังทำไม่ได้ทั้งๆ
ที่สภาพภูมิศาสตร์และทรัพยากรเอื้ออำนวยมากกว่า เช่น
ญี่ปุ่นก็ห้ามไม่ให้โจรสมาชิกกลุ่มอาชญากรรมมีปืนไม่ได้
ดังนั้นคงไม่ต้องถามว่าเมืองไทยจะปลอดปืนเถื่อนจริงหรือไม่?


3.
ท่านอย่าลืมว่าถึงแม้ว่าทุกคนทั้งโจรทั้งพลเมืองดีไม่มีปืนเท่ากัน
พลเมืองดีก็แย่ละครับ
เพราะผู้ร้ายลงมือก่อนย่อมเลือกสถานการณ์ที่ได้เปรียบ
ใช้กำลังคนมากกว่า
และเลือกเหยื่อที่ร่างกายอ่อนแอกว่าได้สบาย
รวมทั้งใช้อาวุธอื่นๆ ได้อีก มีด ไม้ ท่อเหล็ก มือเปล่า
จะให้ลูกหลาน พ่อแม่ที่แก่เฒ่าของท่าน
ใช้วิชาหมัดมวยสู้กับโจรเหล่านี้จะยุติธรรมดีหรือไม่?
โจรที่ฆ่าคนตามสะพานลอย
และที่บุกเข้าไปเชือดคนตามบ้านไม่เห็นต้องใช้ปืนเลย
ตอนนี้บางคนบางบ้านมีปืนบางคนบางบ้านไม่มีปืน
จะจี้ปล้นใครต้องเสี่ยงเจอปืน
ถ้าประชาชนไม่มีปืนโจรก็สบาย
ถ้าผู้ที่ท่านรักถูกทำร้ายหรือฆาตกรรมไปแล้ว
ท่านคิดว่าจะคุ้มกันหรือถ้าต่อมาเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมผู้ร้ายมาลงโทษได้

4. ในสหรัฐอเมริกา
พบว่ารัฐที่อนุญาตให้ประชาชนสามารถพกพาปืนในที่สาธารณะได้มีอัตราอาชญากรรมลดลงมาก
จนในปัจจุบันมีถึง 36
รัฐที่อนุญาตให้ประชาชนสามารถพกพาปืนในที่สาธารณะได้โดยต้องขออนุญาต
และถูกตรวจสอบก่อน (อย่างไรก็ตามประชาชนในรัฐเวอร์มอนต์
และ
อะแลสก้าสามารถพาพาปืนโดยปกปิดได้เลยไม่ต้องขออนุญาตเป็นรายบุคคลก่อน)
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาอัตราอาชญากรรมร้ายแรง
และการประทุษร้ายต่อร่างกายในสหรัฐต่ำลงเรื่อยๆ
และต่ำกว่าในอังกฤษซึ่งอัตราอาชญากรรมร้ายแรง
และการประทุษร้ายต่อร่างกายเพิ่มสูงขึ้นมาดยตลอดตั้งแต่อังกฤษเริ่มการจำกัดสิทธิการครอบครองปืนของประชาชนอย่างมาก
อัตราการบุกเข้าปล้นบ้านประชาชนทั้งที่เจ้าของบ้านอยู่บ้านซึ่งมักนำไปสู่การทำร้ายร่างกายในอังกฤษก็สูงกว่าในสหรัฐอเมริกาหลายเท่า
ความจริงทั้งหมดตรงข้ามกับความเชื่อผิดๆ
ที่ว่าอังกฤษมีปืนน้อยและมีอาชญากรรมน้อย
ส่วนสหรัฐอเมริกามีปืนมากและมีอาชญากรรมสูง
หลังจากอังกฤษควบคุมปืนอย่างรุนแรงหลังปี 1996
ห้ามประชาชนมีปืนพก ในปี 2003
ที่ผ่านมาสถิติอาชญากรรมใช้ปืนเถื่อนในอังกฤษเพิ่มขึ้น
35% มากที่สุดตั้งแต่ปี 1993
และมากกว่าในสหรัฐอเมริกาทั้งประเทศโดยเฉลี่ย
ที่จริงประเทศที่ประชาชนมีปืนอยู่ในมือมากที่สุดคือสวิสเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงมาก
ชายสวิสทุกคนต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารและเมื่อปลดประจำการจะได้รับปืนยาวอัตโนมัติประจำตัว
ซึ่งก็คืออาวุธสงครามแลพปืนพกที่ทหารสวิสใช้กลับบ้านไปพร้อมกระสุน
ปืนทหารนี้ยังถือว่าเป็นสมบัติของรัฐ
แต่ประชาชนสามารถใช้ได้ในกรณีฉุกเฉิน
นอกจากนี้กฎหมายสวิสยังอนุญาตให้ประชาชนมีปืนส่วนตัวได้อย่างเสรีมาก
ส่วนประเทศประชาชนมีปืนส่วนตัวต่อหัวมากที่สุดคือฟินแลนด์ซึ่งเป็นประเทศที่ปลอดภัยมากเหมือนกันครับ

ทั้งสองประเทศนี้อัตราส่วนประชาชนที่มีปืนสูงกว่าประเทศไทยหลายเท่า
 คิดง่ายๆ
ว่าถ้าท่านเป็นโจรอยากจะปล้นคนมีปืนหรือคนมือเปล่า

5.
เราไม่ค่อยได้ยินข่าวประชาชนใช้ปืนป้องกันตนเองเท่ากับข่าวประชาชนใช้ปืนในทางที่ผิด
แต่ที่จริงอัตราส่วนของปืนที่ประชาชนขออนุญาตมีอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทยและนำไปก่อาชญากรรมคือ
0.007% เท่านั้น (ในประเทศเยอรมันคือ 0.004%)
โดนธรรมชาติสื่อจะเสนอข่าวที่ขายได้และวัตถุดิบขึ้นอยู่กับการรายงานของบุคคลที่เกี่ยวข้อง
เช่น การแจ้งความของเจ้าทุกข์ การรายงานของเจ้าหน้าที่
การมอบหมายหน้าที่ให้ผู้สื่อข่าว ฯลฯ
และข่าวที่ขายได้คือข่าวเรื่องความผิดพลาด
ข่าวที่สร้างความคิดวิพากษ์วิจารณ์ ติเตียน
ซึ่งข่าวเหล่านี้จะทำให้ประชาชนสนใจและติดตามสื่อต่อไป
ส่วนข่าวประชาชนใช้ปืนในทางที่ผิดเป็นข่าวที่มีการรายงานเต็มที่
เจ้าทุกข์แจ้งความทุกกรณี
เนื้อข่าวได้รับความสำคัญจากบรรณาธิการหรือผู้สื่อข่าวและถูกนำแสนออย่างต่อเนื่อง
เน้นย้ำ
ข่าวการใช้ปืนป้องกันตัวของประชาชนส่วนมากไม่มีการรายงานเพราะไม่มีผู้ร้ายที่ไหนไปแจ้งความกับตำรวจแน่นอนว่า
“กระผมจะฉุดผู้หญิงไปข่มขืนแต่เธอชักปืนออกมาขู่ทำให้กระผมเสียขวัญ
และถูกทำร้ายจิตใจ”
ส่วนประชาชนผู้เกือบตกเป็นเหยื่อเองก็มักไม่รายงานการใช้ปืนของตนป้องกันตัวเพราะกฎหมายในปัจจุบันไม่ชัดเจนเพียงพอ
การป้องกันตัวให้สมควรแก่เหตุตกอยู่ในดุลพินิจของเจ้าหน้าที่
ประชาชนผู้พ้นทุกข์มาแล้วจึงไม่ต้องการเสี่ยงมีภาระหรือปัญหาเพิ่มเติมจากการรายงานเหตุการณ์นั้นนอกจากนี้รายละเอียดของความจริงที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้รับการนำเสนออย่างถูกต้อง
ข่าวประชาชนใช้ปืนในทางที่ผิดมักไม่ได้รายงานว่าเป็นปืนที่ถูกกฎหมาย
หรือเป็นปืนที่ผิดกฎหมาย
ความผิดจึงไปตกอยู่กับประชาชนผู้ขออนุญาตมีและใช้ปืนอย่างถูกกฎหมาย

7.   ขอให้มาดูกันว่าประโยชน์การใช้งานของปืนคืออะไร?
ถ้าท่านเป็นนักกอล์ฟ
ซื้อไม้กอล์ฟมาเก็บไว้ที่บ้านแต่ไม่เคยหยิบมาฝึกซ้อมท่าทาง
หรือไปตีที่สนามเลยอาจเรียกได้ว่าท่านไม่ได้ใช้ประโยชน์จากไม้กอล์ฟของท่าน
บางคนกล่าวว่าไม่เห็นคนที่มีปืนใช้ปืนยิงผู้ร้ายที่จะมาคร่าชิวิตบ่อยๆ
เลย มีปืนไว้อย่างนั้นเอง ไม่มีประโยชน์
แต่ความจริงปืนมีประโยชน์ตั้งแต่มีอยู่ในตู้ที่บ้านท่านแล้วครับ
ทุกวินาทีของ “การคงอยู่” ของปืนนั่นเองที่เป็นประโยชน์
ผู้ร้ายจะต้องฉุกคิดว่าจะต้องเจอกับอะไรเพราะเหยื่อสามารถป้องกันตัวเองได้
เป็นการป้องปรามอาชญากรรมทางปฏิบัติจริงๆ
ได้ผลดีกว่ามาตรการบังคับใช้กฎหมายของรัฐมาก เพราะ
“การคุ้มครองประชาชน”
โดยเจ้าหน้าที่เป็นการป้องปรามอาชญากรรมทางจิตวิทยาเท่านั้น
ผู้ร้ายรู้สึกว่าจะ “เสี่ยง” ต่อการถูกลงโทษเท่านั้น
ไม่สามารถคะเนได้ว่าการคงอยู่ของปืนลดความคิดก่ออาชญากรรมตั้งแต่ต้นลมไปมากมายแค่ไหนแล้ว



“A fear of weapons is a sign of retarded sexual and
emotional maturity.”
- Sigmund Freud

“ความกลัวอาวุธคือสัญญาณของความถดถอยทางเพศและวุฒิภาวะทางอารมณ์”
- ซิกมุนด์ ฟรอยด์



หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: evil 01 ที่ ตุลาคม 03, 2004, 03:21:12 PM
มันก้อแล้วแต่ ดุลยะพินิด ของรัดตะบานแต่ละประเทศ ครับ งานนี้ ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ ตุลาคม 03, 2004, 05:03:38 PM
ขอบคุณครับ...... ;D


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: E_mail ที่ ตุลาคม 03, 2004, 06:11:50 PM

“A fear of weapons is a sign of retarded sexual and
emotional maturity.”
- Sigmund Freud

“ความกลัวอาวุธคือสัญญาณของความถดถอยทางเพศและวุฒิภาวะทางอารมณ์”
- ซิกมุนด์ ฟรอยด์


 ขอเอาไปใช้ต่อเลยนะครับ ถูกใจเอาขนาดหนัก ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: ...GlockGlack™... ที่ ตุลาคม 03, 2004, 06:23:14 PM
ขอบคุณครับ  :)


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: วสี ที่ ตุลาคม 03, 2004, 06:38:13 PM
 : ??? อยากให้รัฐบาลมาอ่านจริงๆ...ไม่รู้ทำไมคนในรัฐฯ มองปืนในแง่ร้ายกันจัง... ว่าแล้วคิดใหม่เปลี่ยนรัฐบาลใหม่ดีกว่า... ???


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: carrera ที่ ตุลาคม 03, 2004, 09:16:19 PM

“A fear of weapons is a sign of retarded sexual and
emotional maturity.”
- Sigmund Freud

“ความกลัวอาวุธคือสัญญาณของความถดถอยทางเพศและวุฒิภาวะทางอารมณ์”
- ซิกมุนด์ ฟรอยด์
ทางกลับกัน ถ้าชอบปืนนี่จะเรียกว่า อารมณ์ทางเพศ มันปึ๊ง ปั๋ง รึเปล่าครับ ผมยังเตะปี๊บดังอยู่เหมือนกัน  ;D ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ ตุลาคม 03, 2004, 09:46:38 PM
 :Dขอบคุณครับสำหรับข้อความดี ๆ ;)
“A fear of weapons is a sign of retarded sexual and
emotional maturity.”
- Sigmund Freud

“ความกลัวอาวุธคือสัญญาณของความถดถอยทางเพศและวุฒิภาวะทางอารมณ์”
- ซิกมุนด์ ฟรอยด์

;Dขอเอามาใช้เป็นลายเซ็นนะครับ ;Dชอบจริง ๆ


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: visith ที่ ตุลาคม 03, 2004, 11:40:06 PM
 ???  คุ้นๆว่าเคยอ่านผ่านตาทางเวปนี้....เมือคราวที่คำสั่งอัปยศออกมาสร้างความวุ่นวายในสังคมชาวปืน... ???


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: นาจา™รักในหลวง ที่ ตุลาคม 04, 2004, 06:33:13 AM
...ขอบคุณหลาย...


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: poojar ที่ ตุลาคม 04, 2004, 11:18:15 AM
ขอบคุณนะคะ ที่โพสให้อ่านกัน  ;)


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 04, 2004, 11:39:10 AM
เอ้า เวอร์ชั่นเต็มๆ คร้าบบบบ

ปืนชั่ว/ปืนดี หรือ คนชั่ว/คนดี
ขออนุญาตแสดงความเห็นว่าในประเทศประชาธิปไตยอย่างไทยเรานี้ประชาชนพึงมีสิทธิก่อนอย่างเต็มที่ ส่วนกฎหมายที่จำกัดสิทธิประชาชนจะมีตามความจำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยโดยต้องยึกประโยชน์ของประชาชนส่วนมากเป็นหลัก ไม่ใช่ประชาชนไม่มีสิทธิแต่ดั้งเดิมแโดยจะออกกฎหมายมาให้สิทธิแก่ประชาชนตามความจำเป็น ในเรื่องปืน ถึงจะมีบางคนใช้สิทธิในทางที่ผิด นำปืนที่กฎหมายอนุญาตให้มีได้ไปก่ออาชญากรรม แต่ก็ยังสมควรต้องให้ประชาชนมีปืนเนื่องจากปืนยังเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนมากกว่าอีกหลายพันเท่าที่มีปืนไว้ป้องกันตัวโดยไม่เคยก่ออาชญากรรม โดยอัตราส่วนของปืนที่ประชาชนขออนุญาตมีอย่างถูกกฎหมายและนำไปก่อาชญากรรมคือ 0.007%
ผมเชื่อว่าประชาชนพลเมืองดีทุกคนสนับสนุนการปราบปรามอาชญากรและอาวุธเถื่อน             แน่นอน ส่วนการดำเนินการเกี่ยวกับอาวุธปืนถูกกฎหมายนี่ก็ต้องพิจารณาให้ดี ดังนั้นควรมาดูกันก่อนว่าอาวุธปืนถูกกฎหมายในมือประชาชนนี่คืออะไร? นอกจากอาวุธปืนสงครามเถื่อนแล้วปืนทั้งถูกกฎหมายทั้งผิดกฎหมายก็ใช้ยิงคนบาดเจ็บหรือตายได้เหมือนกัน ดังนั้นการมีอาวุธปืนของประชาชนต่างกับปืนเถื่อนในมืออาชญากรอย่างไร?
ปืนถูกกฎหมายก็คือปืน บางขนาด บางแบบ บางลักษณะที่ประชาชนพลเมืองดีสามารถขออนุญาตมีใว้ในครอบครองเพื่อใช้ในบางลักษณะอย่างถูกกฎหมาย ที่ใช้คำว่าประชาชนพลเมืองดีก็เพราะในการขออนุญาตนอกจากประชาชนผู้ขอจะต้องมีอายุครบตามกำหนดแล้วยังจะต้องถูกพิมพ์ลายนิ้วมือ ตรวจสอบประวัติอาชญากรรมจากสถานีตำรวจท้องที่ มีผู้รับรองอาชีพการงาน และแสดงหลักฐานฐานะทางการเงิน รวมทั้งไม่ขาดคุณสมบัติอื่นๆ อีกหลายประการ ไม่เรียกว่าเป็นประชาชนไทยผู้เป็นพลเมืองดีแล้วก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วครับ? ต้องมีคุณสมบัติทและเป็นบุคคลที่มีหลักมีฐานมากกว่าผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งหลายประการนะครับ
ถึงแม้หลักฐานครบนายทะเบียนอาวุธปืนอาจมีดุลพินิจไม่อนุญาตก็ได้ครับ
ที่สำคัญคือเมื่อได้รับอนุญาตแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าพลเมืองดีสามารถนำมาพกพาติดตัวได้อย่างในหนังคาวบอย การนำออกนอกบ้านนั้นเป็นเรื่องยุ่งยากมากและถึงแม้ว่าปฏิบัติตาม “แนวทาง” ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดไว้ก็มีสิทธิถูกจับได้เหมือนกัน อีกทั่งยังไม่สามารถให้ผู้อื่นใช้ปืนนั้นได้ด้วยครับ
สรุปว่า ปืนถูกกฎหมายนั้นพบเห็นอยู่ที่ไหนก็สามารถตรวจสอบเจ้าของได้ เจ้าของก็โดนตรวจสอบมาจนปรุแล้ว การซื้อหาไม่ง่าย ไม่สามารถเดินไปซื้อมาได้เหมือนรถยนต์ที่สามารถซื้อได้ก่อนทันทีแล้วนำไปจดทะเบียนภายหลัง ส่วนปืนผิดกฎหมายก็เหมือนของผิดกฎหมายทั้งหลาย ซื้อขายใต้ดินไม่มีกฎเกณฑ์ โจรผู้ร้ายซื้อได้และส่วนมากเป็นคนที่ตั้งใจเป็นโจรหาซื้อกันเสียด้วย ทางการเจ้าหน้าที่ไม่รู้เห็น ใช้เสร็จปาทิ้งไปก็ไม่รู้เป็นของใคร สุดท้ายคือราคาถูกกว่าปืนถูกกฎหมายประมาณว่าไม่น้อยกว่าสิบเท่าก็แล้วกัน ขนาดอาวุธสงครามทางการยังกล่าวออกโทรทัศน์ว่าราคา แค่ 3-4 พันบาท ไม่ต้องกล่าวว่าอย่างไรก็ตามประชาชนผู้มีอาวุธปืนอย่างถูกกฎหมายคือสุจริตชนที่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายเป็นอันดี
ผมเชื่อว่าเจ้าหน้าที่พยายามกำจัดปืนเถื่อนอย่างเต็มที่ ทางการในทุกประเทศก็พยายามกันแต่ก็ยังทำไม่ได้ทั้งๆ ที่สภาพภูมิศาสตร์และทรัพยากรเอื้ออำนวยมากกว่า เช่น ญี่ปุ่น โจรผู้ร้ายก็ยังสามารถหาอาวุธปืนมาใช้ก่ออาชญากรรมได้ ในส่วนของประเทศไทย พรมแดนป่าเขาระยะทางหลายพันกิโลเมตรย่อมเป็นอุปสรรคอย่างยิ่ง ตัวอย่างการสกัดกั้นพรดแดนในภูมิภาคนี้ที่เห็นชัดมากคือช่วงสงครามเวียดนาม ทหารอเมริกัน 540,000 นาย สกัดกั้นการลักลอบขนส่งอาวุธจากเวียดนามเหนือมาให้เวียดกงในเวียดนามใต้ไม่ได้ครับ ซึ่งเขตพรมแดนที่กล่าวนี้ขนาดนับรวมเขตที่มีการลักลอบขนส่งอาวุธอ้อมผ่านลาวก็ยังสั้นกว่าพรมแดนรอบประเทศไทยเป็นสิบเท่า ทุกรัฐบาลทุกประเทศเขาก็ห้ามโจรมีปืนมาตลอดประวัติศาสตร์แล้วครับ แต่ห้ามไม่ได้ ญี่ปุ่นก็ห้ามไม่ให้โจรสมาชิกกลุ่มอาชญากรรมมีปืนไม่ได้ หลังจากอังกฤษควบคุมปืนอย่างรุนแรงหลังปี 1996 ห้ามประชาชนมีปืนพก ในปี 2003 ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจดี อาชญากรรมกลับเพิ่มขึ้นเพิ่ม 35% และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มากที่สุดตั้งแต่ปี 1993 การควบคุมปืนถูกกฎหมายส่งผลให้ประชาชนผู้ประกอบสัมมาชีพในสังคมต้องตกเป็นเหยื่ออาชญากรมากกว่าเดิมอีก นอกจากนี้ปืนเถื่อนยังหาซื้อง่ายแค่ 100-200 ปอนด์ (ถูกกว่าเมืองไทยมากเมื่อเทียบกับรายได้และค่าครองชีพในอังกฤษ) 
ดังนั้นคงไม่ต้องถามว่าเมืองไทยจะปลอดปืนเถื่อนจริงหรือไม่?
สำหรับนโยบายปลอดปืนทั้งประเทศนั้นขอให้คิดให้ดีว่าสถานการณ์อย่างนั้นหมายความว่าอย่างไร ถึงเป็นโลกอุดมคติจริงๆ ที่รัฐควบคุมไม่ให้โจรมีปืนได้ ท่านอย่าลืมว่าถ้าทุกคนทั้งโจรทั้งพลเมืองดีไม่มีปืนเท่ากัน พลเมืองดีก็แย่ละครับ เพราะผู้ร้ายลงมือก่อนย่อมเลือกสถานการณ์ที่ได้เปรียบ ใช้กำลังคนมากกว่า และเลือกเหยื่อที่ร่างกายอ่อนแอกว่าได้สบาย รวมทั้งใช้อาวุธอื่นๆ ได้อีก มีด ไม้ ท่อเหล็ก มือเปล่า จะให้ลูกหลาน พ่อแม่ที่แก่เฒ่าของท่าน ใช้วิชาหมัดมวยสู้กับโจรเหล่านี้จะยุติธรรมดีหรือไม่? โจรที่ฆ่าคนตามสะพานลอย และที่บุกเข้าไปเชือดคนตามบ้านไม่เห็นต้องใช้ปืนเลย ถ้าพ่อแม่ที่แก่เฒ่าของท่านตกอยู่ในสถานการณ์ร้ายท่านคิดว่าให้ใช้วิชาหมัดมวยสู้กันจะยุติธรรมดีหรือ ดูตัวอย่างข่าวการปล้นฆ่าเพื่อชิงมือถือทั้งๆ ที่เจ้าทรัพย์ยอมแล้วด้วยซ้ำ ถ้าเราคิดสักหน่อยว่าเหยื่ออาชญากรต่างๆ นั้นถ้าเขามีปืนเขาจะต้องสูญเสียชีวิตหรือไม่? หลายคนอยู่ในบ้านตนเองก็ถูกบุกรุกเข้ามาทำร้าย บางคนมีปืนก็สู้ได้แต่ก็เป็นข่าวเล็ก หรือไม่มีการนำเสนอข่าวผมเจอกับคนเอง คนเมายาปีนรั้วเข้าบ้านกลางวันแสกๆ ผมถือปืนมาพูดให้ออกไปดีๆ เขาก็ยอมไป ตำรวจจะมาทันหรือไม่? ถ้ามาแล้วจะช่วยได้ไหม? ก็เป็นข่าวคนโดยขี้ยาเมายาบ้าเชือดตายอีกราย ตากล้องอาจได้รางวัลอีก ถ้าไปแจ้งสื่อ แน่นอนว่าจะไม่เป็นข่าวเหมือนคนที่อาจมีปืนโดยถูกกฎหมายแต่พกพาผิดกฎหมายเกิดโทสะชักปืนขู่ชาวบ้าน บางท่านอาจดวงดีรอดมาได้หลายปีแต่ก็คือการเสี่ยงชีวิตให้อยู่ใต้ความกรุณาของอาชญากรอย่างที่เป็นข่าวกันทุกวัน นอกจากนี้การที่ประชาชนผู้ไม่มีอาวุธรอดพ้นจากอาชญากรมาได้ส่วนหนึ่งเพราะในสังคมบางคนมีอาวุธปืนการที่โจรจะปล้นใครก็มีความเสี่ยงว่าจะเจอคนที่เขาสามารถป้องกันตัวเองได้ ลองคิดเล่นๆ ว่าถ้าเราเป็นโจรจะชอบอย่างไหนล่ะครับ ถ้ารัฐบาลออกกฎหมายริบปืนประชาชน โจรจะวิ่งเอาไปคืนหรือ? ตอนนี้บางคนบางบ้านมีปืนบางคนบางบ้านไม่มีปืน จะจี้ปล้นใครต้องเสี่ยงเจอปืน ถ้าประชาชนไม่มีปืนโจรก็สบาย ถ้าผู้ที่ท่านรักถูกทำร้ายหรือฆาตกรรมไปแล้ว ท่านคิดว่าจะคุ้มกันหรือถ้าต่อมาเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมผู้ร้ายมาลงโทษได้
การไม่ให้ประชาชนมีปืนไม่ว่าในกรณีใดๆ จึงเป็นเพียงการเตรียมประชาชนให้เป็นเหยื่ออาชญากรเท่านั้น  ถ้าผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนแสนมีปืนและฝึกซ้อมเรื่องเศร้าเหตุการณ์จะเปลี่ยนไป ความจริงอีกข้อก็คือกรณีที่ประชาชนที่ใช้ปืนป้องกันตัวมักไม่ได้รับการบันทึกไว้ หรือเป็นข่าวเล็ก แต่เมื่อมีการใช้ปืนก่ออาชญากรรมมักเป็นข่าวใหญ่โตและไม่แสดงข้อมูลว่าเป็นปืนที่ถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย ในสหรัฐอเมริกา พบว่ารัฐที่อนุญาตให้ประชาชนสามารถพกพาปืนในที่สาธารณะได้มีอัตราอาชญากรรมลดลงมาก จนในปัจจุบันมีถึง 36 รัฐที่อนุญาตให้ประชาชนสามารถพกพาปืนในที่สาธารณะได้โดยต้องขออนุญาต และถูกตรวจสอบก่อน ส่วนมากมักเป็นการอนุญาตให้พกพาปืนแบบปกปิด ไม่ให้เห็นว่ามีปืนติดตัว ซึ่งสามารถป้องปรามโจรไม่ให้คิดร้ายกับผู้ที่จริงๆ แล้วไม่ได้พกปืนได้ด้วย (อย่างไรก็ตามประชาชนในรัฐเวอร์มอนต์ และอแลสก้าสามารถพาพาปืนโดยปกปิดได้เลยไม่ต้องขออนุญาตเป็นรายบุคคลก่อน) ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาอัตราอาชญากรรมร้ายแรง และการประทุษร้ายต่อร่างกายในสหรัฐต่ำลงเรื่อยๆ และต่ำกว่าในอังกฤษซึ่งอัตราอาชญากรรมร้ายแรง และการประทุษร้ายต่อร่างกายเพิ่มสูงขึ้นมาดยตลอดตั้งแต่มีการจำกัดสิทธิการครอบครองปืนของประชาชน อัตราการบุกเข้าปล้นบ้านประชาชนทั้งที่เจ้าของบ้านอยู่บ้านซึ่งมักนำไปสู่การทำร้ายร่างกายในอังกฤษก็สูงกว่าในสหรัฐอเมริกาหลายเท่า ความจริงทั้งหมดนี้ตรงข้ามกับความเชื่อผิดๆ ที่ว่าอังกฤษมีปืนน้อยและมีอาชญากรรมน้อย ส่วนสหรัฐอเมริกามีปืนมากและมีอาชญากรรมสูง ที่จริงประเทศที่ประชาชนมีปืนอยู่ในมือมากที่สุดคือสวิสเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงมาก ชายสวิสทุกคนต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารและเมื่อปลดประจำการจะได้รับปืนยาวอัตโนมัติประจำตัว ซึ่งก็คืออาวุธสงครามแลพปืนพกที่ทหารสวิสใช้กลับบ้านไปพร้อมกระสุน ปืนทหารนี้ยังถือว่าเป็นสมบัติของรัฐ แต่ประชาชนสามารถใช้ได้ในกรณีฉุกเฉิน นอกจากนี้กฎหมายสวิสยังอนุญาตให้ประชาชนมีปืนส่วนตัวได้อย่างเสรีมาก ส่วนประเทศประชาชนมีปืนส่วนตัวต่อหัวมากที่สุดคือฟินแลนด์ซึ่งเป็นประเทศที่ปลอดภัยมากเหมือนกันครับ
ต้องยอมรับว่าการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะสามารถคุ้มครองกันใครก็ตามให้ปลอดภัยได้จริงๆ ก็ต้องเดินตามล้อมหน้าล้อมหลังตลอดเวลา การคุ้มครองประชาชนให้ปลอดภัยได้จริงๆ จึงเป็นไปไม่ได้ ทำให้คนไทยต้องพยายามมีปืนอย่างถูกกฎหมาย (เรียกว่าพยายามแน่นอนเพราะมีขั้นตอนที่ยากมาก) ถึง 2-3 ล้านคน และความจริงอีกข้อก็คือทุกประเทศพยายามกำจัดปืนเถื่อนมาโดยตลอดแต่ก็ไม่เคยกำจัดได้ ในประเทศไทยมีปืนเถื่อนมากกว่าปืนที่ประชาชนขอมีอย่างถูกกฎหมายหลายเท่ามาโดยตลอด คนไทยที่มีปืนส่วนมากมีเพื่อป้องกันตนเองเป็นหลัก เพื่อใช้ในการกีฬาเป็นหลักนั้นน้อยกว่ามาก อย่างไรก็ตาม เชื่อได้ว่าผู้ที่มีปืนทุกคนจะพยายามใช้อาวุธปืนป้องกันตนเองเมื่อภัยมาถึงชีวิต
ในการดำรงชีวิต และในการเลี้ยงดูลูกหลานเราก็ต้องสอนทักษะในการดำรงชีวิตต่างๆ นั่งรถก็คาดเข็มขัด ขับเองอย่างคะนองนัก ดื่มเหล้าเมาก็อย่าขับรถ อย่าหาเรื่องนักเลงเดี๋ยวเจ็บตัว หลายต่อหลายอย่างทั้งป้องกันภัยทางตรง และภัยทางอ้อมรวมทั้งการป้องกันตัวไม่ให้เจ็บป่วย ดังนั้นคนเราผ็มีสติละเลยไม่คิดเรื่องป้องกันตัวจากภัยที่มาตรงไปตรงมาอย่างอาชญากรรมทั้งหลายได้อย่างไร? บ้านเมืองเรายังอันตรายอยู่มากถ้าไม่พยายามปิดหูปิดตาก็ต้องรู้อยู่แก่ใจ
นอกจากนี้ขอความกรุณาท่านที่คิดไปว่าประชาชนไม่ต้องป้องกันตัวให้คิดว่าแม้แต่คนใหญ่โตมีอำนาจแค่ไหนก็ย่อมมีวันที่จะไม่มีลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลัง ลูกหลานท่านก็เดินถนนประเทศนี้เหมือนกัน ท่านอาจจ้าง รปภ. ให้คอยดูไปตลอดชีวิตได้แต่มั่นใจได้หรือว่าจะช่วยได้ทั้งวันทั้งคืน ถ้าโจรเป็นฝ่ายได้เปรียบประชาชน สังคมจะปลอดภัยได้ด้วยประชาชนที่เข้มแข็งสู้โจรได้ครับ ถ้าประชาชนอยู่ในสถานะของ “เหยื่อ” ที่อ่อนแอตั้งแต่ต้นตำรวจวิเศษคงช่วยไม่ได้ แต่จะมีประสบการณ์ชันสูตรศพเพิ่มครับ


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 04, 2004, 11:40:19 AM
คำถาม 

ประชาชนมีปืนแล้วใช้ป้องกันตัวบ่อยแค่ไหน?

คำตอบ

เราไม่ค่อยได้ยินข่าวประชาชนใช้ปืนป้องกันตนเองเท่ากับข่าวประชาชนใช้ปืนในทางที่ผิด แต่เมื่อพิจารณาการแสนอข่าวแล้วจะพบว่า สื่อมักเสนอข่าวที่ขายได้และวัตถุดิบขึ้นอยู่กับการรายงานของบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น การแจ้งความของเจ้าทุกข์ การรายงานของเจ้าหน้าที่ การมอบหมายหน้าที่ให้ผู้สื่อข่าว ฯลฯ และข่าวที่ขายได้คือข่าวเรื่องความผิดพลาด ข่าวที่สร้างความคิดวิพากษ์วิจารณ์ ติเตียน ซึ่งข่าวเหล่านี้จะทำให้ประชาชนสนใจและติดตามสื่อต่อไป ส่วนข่าวประชาชนใช้ปืนในทางที่ผิดเป็นข่าวที่มีการรายงานเต็มที่ เจ้าทุกข์แจ้งความทุกกรณี เนื้อข่าวได้รับความสำคัญจากบรรณาธิการหรือผู้สื่อข่าวและถูกนำแสนออย่างต่อเนื่อง เน้นย้ำ ข่าวการใช้ปืนป้องกันตัวของประชาชนส่วนมากไม่มีการรายงานเพราะในฝ่ายของผู้ร้าย ไม่มีผู้ร้ายที่ไหนไปแจ้งความกับตำรวจแน่นอนว่า “กระผมจะฉุดผู้หญิงไปข่มขืนแต่เธอชักปืนออกมาขู่ทำให้กระผมเสียขวัญ และถูกทำร้ายจิตใจ” หรือ “พวกกระผมมีแค่มีดสปาต้าร์กับเหล็กชะแลงและปืนเถื่อนเป็นอาวุธกะจะปล้นให้สะดวกหน่อย บุกเข้าบ้านเขาตอนตีสามแต่โดนเจ้าของบ้านคว้าปืนมาข่มขู่”

ส่วนประชาชนผู้เกือบตกเป็นเหยื่อเองก็มักไม่รายงานการใช้ปืนของตนป้องกันตัวเพราะกฎหมายในปัจจุบันไม่ชัดเจนเพียงพอ การป้องกันตัวให้สมควรแก่เหตุตกอยู่ในดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ การรายงานการป้องกันตัวของประชาชนจึงเป็นเพียงการเสมอตัวหรือเกิดความผิด ประชาชนผู้พ้นทุกข์มาแล้วจึงไม่ต้องการเสี่ยงมีภาระหรือปัญหาเพิ่มเติมจากการรายงานเหตุการณ์นั้น อีกประการคือการใช้ปืนป้องกันตัวส่วนมากไม่มีหลักฐานหรือพยานนอกจากผู้เกือบตกเป็นเหยื่อเอง นอกจากนี้การป้องกันตัวด้วยปืนที่ถูกรายงานก็มักไม่กลายเป็นข่าว หรือเป็นข่าวเล็กซึ่งไม่ได้รับการนำเสนอซ้ำซ้อน ตอกย้ำ ดังเช่นข่าวประชาชนใช้ปืนในทางที่ผิด รายละเอียดของความจริงที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้รับการนำเสนออย่างถูกต้อง ข่าวประชาชนใช้ปืนในทางที่ผิดมักไม่ได้รายงานว่าเป็นปืนที่ถูกกฎหมาย หรือเป็นปืนที่ผิดกฎหมาย ความผิดจึงไปตกอยู่กับประชาชนผู้ขออนุญาตมีและใช้ปืนอย่างถูกกฎหมาย

ขอให้มาดูกันว่าประโยชน์การใช้งานของปืนคืออะไร? ถ้าท่านเป็นนักกอล์ฟ ซื้อไม้กอล์ฟมาเก็บไว้ที่บ้านแต่ไม่เคยหยิบมาฝึกซ้อมท่าทาง หรือไปตีที่สนามเลยอาจเรียกได้ว่าท่านไม่ได้ใช้ประโยชน์จากไม้กอล์ฟของท่าน บางคนกล่าวว่าไม่เห็นคนที่มีปืนใช้ปืนยิงผู้ร้ายที่จะมาคร่าชิวิตบ่อยๆ เลย มีปืนไว้อย่างนั้นเอง ไม่มีประโยชน์ แต่ความจริงปืนมีประโยชน์ตั้งแต่มีอยู่ในตู้ที่บ้านท่านแล้วครับ ทุกวินาทีของ “การคงอยู่” ของปืนนั่นเองที่เป็นประโยชน์ ผู้ร้ายจะต้องฉุกคิดว่าจะต้องเจอกับอะไรเพราะเหยื่อสามารถป้องกันตัวเองได้ เป็นการป้องปรามอาชญากรรมทางปฏิบัติจริงๆ ได้ผลดีกว่ามาตรการบังคับใช้กฎหมายของรัฐมาก เพราะ “การคุ้มครองประชาชน” โดยเจ้าหน้าที่เป็นการป้องปรามอาชญากรรมทางจิตวิทยาเท่านั้น ผู้ร้ายรู้สึกว่าจะ “เสี่ยง” ต่อการถูกลงโทษในภายหลัง แต่รู้ว่าจะก่ออาชญากรรม
สำเร็จได้ง่ายโดยไม่เจ็บตัว แค่ “เสี่ยง” ต่อการสืบสวนติดตามจับกุมภายหลังเท่านั้น ไม่สามารถคะเนได้ว่าการคงอยู่ของปืนลดความคิดก่ออาชญากรรมตั้งแต่ต้นลมไปมากมายแค่ไหนแล้ว นี่พูดถึงความคิดของฝ่ายผู้ร้ายนะครับ สำหรับผู้ตกเป็นเหยื่อแล้วความเสียหายในชีวิตไม่สามารถไดัรับการชดใช้ได้ ส่วนปืนพร้อมใช้ที่อยู่ในมือก็จะมีประโยชน์อีกขั้นเมื่ออาชญากรรมลงมือจริง เมื่อเห็นว่าเหยื่อมีปืนผู้ร้ายก็มักหนีแล้ว การป้องกันตัวเช่นนี้มีมากกว่าการยิงต่อสู้กับผู้ร้ายจริงๆ หลายเท่า สรุปว่า “ปืนคุ้มครองชีวิตได้ตั้งแต่มีอยู่แล้ว การใช้ยิงจริงๆ เป็นเพียงการใช้งานส่วนหนึ่งเท่านั้น” พูดอีกก็คล้ายๆ กับประกันชีวิต คุณไม่ได้ใช้บ่อยๆ หรอกครับ! ที่ยังต่างกันคือประกันชีวิตให้เงินกับทายาทถ้าเกิดเหตุร้ายกับท่าน แต่ปืนสามารถช่วย “คืนชีวิต” ให้กับท่านและทายาทได้


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 04, 2004, 11:41:13 AM
คำถาม

ประชาชนไม่ควรใช้กำลังตัดสินปัญหาด้วยตนเองแต่ควรพึ่งระบบยุติธรรมของรัฐ

คำตอบ

ถูกต้องครับ แต่ถ้าจะมาพิจารณากันว่าประชาชนควรมีปืนอย่างถูกกฎหมายเพื่อป้องกันตัวหรือไม่ขอให้มาดูระบบยุติธรรมของรัฐกันก่อน

โดยสรุประบบยุติธรรมของรัฐคือการที่รัฐออกกฎหมายมาเพื่อรักษาความสงบสุขของสังคม เช่นการกำหนดโทษอาญา และการลงโทษ รวมทั้งเพื่อการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ เช่นการเก็บภาษี กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์สาธารณะที่รัฐแจ้งให้ประชาชนทราบก่อนโดยประชาชนจะปฏิเสธว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ เมื่อผู้ใดกระทำความผิดก็ต้องได้รับการลงโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้ สำหรับอาชญากรรมที่ได้เกิดขึ้นถือเป็นความผิดที่ได้ถูกระทำต่อรัฐด้วย ถึงแม้ผู้ตกเป็นเหยื่อจะเสียชีวิตไปแล้วไม่สามารถฟ้องร้องใครได้ เจ้าหน้าที่ของรัฐก็จะสืบสวนติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างเสมอภาคโดยไม่ให้ประโยชน์แก่ผู้ใด และเมื่อจับกุมได้แล้วผู้กระทำความผิดก็จะถูกไต่สวนตามความเป็นจริง และได้รับโทษตามสมควรตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ประชาชนทุกคนต้องอยู่ใต้กฎหมายเดียวกันหมดโดยรัฐจะรักษาความยุติธรรมนี้เต็มความสามารถ สิ่งนี้เป็นความยุติธรรมที่ดีที่สุดที่รัฐใดๆ จะพึงกระทำได้ แต่เมื่อมาพิจารณาในส่วนของผู้เกี่ยวข้องฝ่ายต่างๆ ในอาชญากรรมที่เกิดขึ้น ผู้ตกเป็นเหยื่อถูกทำร้าย หรือถูกฆาตกรรม ส่วนผู้กระทำความผิดถูกจับกุมและลงโทษตามกฎหมาย แต่ตามความเป็นจริงแล้วผู้เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่ายได้รับผลที่ต่างกัน ผู้กระทำความผิดได้รับโทษตามความผิดที่ตนเองเลือกกระทำนั้น ส่วนผู้ตกเป็นเหยื่อที่เสียหายในร่างการหรือชีวิตก็ยังคงมีความเสียหายที่ถูกยัดเยียดให้โดยตนเองไม่เต็มใจนั้นอยู่ดี การที่ผู้กระทำความผิดได้รับโทษไม่สามารถแก้ไขความเสียหายของผู้ตกเป็นเหยื่อได้จริง

ดังนั้นการที่ประชาชนลงมือต่อสู้กับผู้ร้ายเองเป็นการนำระบบความยุติธรรมของรัฐมาไว้ในมือหรือไม่? คำตอบคือ “ใช่” ถ้าเป็นพฤติกรรมดังต่อไปนี้

1. ประชาชนมีข้อมูลว่าบุคคลอื่นมีแผนการณ์จะทำร้ายตน จึงออกเดินทางติดตามไปเพื่อทำร้ายบุคคลนั้นก่อน

2. ประชาชนจะถูกทำร้านโดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่ด้วย แต่ขัดขวางมิให้เจ้าหน้าที่เข้าระงับเหตุโดยต้องการต่อสู้กับผู้ร้ายด้วยตนเอง

3. ประชาชนถูกทำร้ายก่อนและได้ต่อสู้ป้องกันตนเอง แต่เมื่อผู้เข้าทำร้ายหลบหนีไปประชาชนก็ออกติดตามหาตัวเพื่อจัดการกับบุคคลนั้นด้วยตนเอง

ไม่มีประชาชนที่ป้องกันตนเองด้วยปืนขัดขวางเข้าหน้าที่ของรัฐว่า “ตำรวจอย่าเข้ามา ผมจะยิงสู้กับโจรเอง” “ท่านอย่าติดตามจับผู้ร้ายที่มาทำร้ายผมไปขึ้นศาลรับโทษตามกฎหมายเลย ผมจะติดตามไปยิงมันเอง” หรือ “ก็ผมรู้ว่ามันจะมาฆ่าผม ผมเลยไปยิงมันก่อน” ในการใช้ปืนป้องกันตัว ประชาชนจะต้องถูกตั้งข้อหาเพื่อให้ศาลพิจารณาว่าความจริงเป็นเช่นไร และพิจารณาลงโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำผิดคนหนึ่ง

เมื่อไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ความช่วยเหลือในสถานการณ์ฉุกเฉิน คงไม่ต้องถามว่าประชาชนมีสิทธิ “เลือก” ที่จะใช้อาวุธที่มีประสิทธิภาพต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดหรือไม่ ในเมื่อผู้ร้าย “เลือก” ที่จะทำร้ายประชาชนก่อน

นักสิทธิอาชญากรจะตอบว่าประชาชนไม่มีสิทธิครับ


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 04, 2004, 11:42:24 AM
คำถาม

ไม่ควรให้ประชาชนมีปืนเพราะจะนำไปทำร้ายตนเองและครอบครัว

คำตอบ

สิ่งต่างๆ ย่อมจะส่งผลทั้งในทางลบและทางบวก สามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ได้และก็มีโทษได้ถ้าใช้ในทางที่ผิด โดยเฉพาะนโยบายสาธารณะที่จะใช้บังคับกับทุกคนในสังคมต้องพิจารณาชั่งน้ำหนักระหว่างโทษกับประโยชน์ รวมทั้งต้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการบังคับใช้นโยบายนั้นๆ ตามความเป็นจริงด้วยว่าจะบังคับใช้ได้ผลมากน้อยเพียงไร มิใช่คิดฝันไปว่าเมื่อออกกฎมาแล้วจะสามารถบังคับใช้ได้ถ้วนหน้า คงไม่ต้องชี้ว่าถ้ากฎหมายมีประสิทธิภาพเต็มที่จริงก็คงจะไม่มีอาชญากรในสังคมเหลืออยู่เลย

นานๆ ครั้งเราจะได้ข่าวว่ามีประชาชนผู้ใช้ปืนที่ตนครอบครองถูกต้องตามกฎหมายทำร้ายตนเองและครอบครัวดังนั้นจึงไม่ควรให้ประชาชนมีปืน ในกรณีเหล่านี้ปืนเป็นเพียงอุปกรณ์ประกอบเหตุการณ์ขั้นสุดท้ายเท่านั้น เมื่อประชาชนต้องการทำร้ายกัน ก็จะสามารถหาอุปกรณ์อื่นมาใช้เป็นอาวุธได้อย่าง             แน่นอน โดนเฉพาะการทำร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตายนั้น เป็นความจริงหรือว่าถ้าผู้นั้นไม่มีปืนเขาจะไม่ฆ่าตัวตาย หรือฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ? บางคนอาจแย้งว่าปืนทำให้ประชาชนทำร้ายตนเองและครอบครัวได้ง่ายขึ้น ถ้าเราพิจารณาสถานการณ์แล้วจะพบความจริงว่าปืนไม่ใช่อุปกรณ์ที่ประชาชนสามารถใช้ทำร้านตนเองและครอบครัวได้ในทันที ประชาชนผู้ครอบครองปืนโดยถูกกฎหมายไม่ได้พกปืนบรรจุกระสุนพร้อมใช้ติดตัวตลอดเวลาเวลาอยู่ที่บ้าน เมื่อมีโทสะชั่ววูบก็หยิบมาทำร้ายกันได้ฉับพลัน โดยทั่วไปประชาชนจะเก็บปืนในตู้ล็อกกุญแจ และหลายคนไม่ได้บรรจุกระสุนไว้ เมื่อเกิดโทสะในบ้านการที่จะหยิบอาวุธปืนมาใช้นั้นยากกว่าการหยิบฉวยอุปกรณ์อย่างอื่นในบ้านเช่น มีด หรือโคมไฟ มาทำร้ายกันมากนักซึ่งก็ทำให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงหรือถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน ทั้งนี้ขออย่าให้สับสนกับความสามารถในการใช้ปืนป้องกันตนเองของประชาชนว่าประชาชนใช้เครื่องเรือนหรืออุปกรณ์อย่างอื่นต่อสู้ป้องกันตนเองก็เพียวพอแล้ว เนื่องจากการใช้ปืนต่อสู้กับอาชญากรเป็นหลักรับประกันสูงสุดในการป้องกันตนเองวิธีต่างๆ ส่วนในกรณีการฆ่าตัวตายนั้นปืนยิ่งไม่เป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากผู้ที่ฆ่าตัวตายย่อมมีสาเหตุ หรือปัญหาเรื้อรัง สามารถเลือกฆ่าตัวตายได้ทุกรูปแบบ ทั้งใช้อุปกรณ์ หรือสภาพแวดล้อม เช่นกระโดตึก ประเทศญี่ปุ่นควบคุมการครอบครองปืนอย่างเข้มงวดมากแต่ประชาชนก็ฆ่าตัวตายได้สำเร็จสูง

ที่สำคัญที่สุดคือประชาชนทุกคนจะต้องรับผลจากการกระทำของคนส่วนน้อยมากหรือไม่? เมื่อคนส่วนน้อยนำอุปกรณ์ที่ขออนุญาตครองครองเพื่อป้องกันตนเองมาใช้ทำร้ายตนเองและครอบครัวประชาชนอื่นๆ ควรจะถูกตีตราว่าต้องปฏิบัติตามนั้น และไม่ควรมีสิทธิใช้อุปกรณ์นั้นป้องกันตนเองต่อไปหรือไม่? ความจริงเบื้องต้นคือการเรียกร้องสิทธิในการครอบครองปืนเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สินเป็นเพียงการเรียกร้องให้เปิดทางเลือกสำหรับประชาชน ไม่ได้ต้องการบังคับให้ประชาชนทุกคนมีปืน ไม่มีใครสามารถบังคับให้ทุกคนรับผิดชอบชีวิตของตนเองได้ ประชาชนทุกคนสามารถเลือกที่จะเสี่ยงต่ออันตรายถึงชีวิตหรือเลือกที่จะทำลายชีวิตของตนและครอบครัวได้ตลอดเวลาในชีวิตประจำวันตามปรกติ เช่นการขับรถโดยประมาท การโกนหนวด การใช้อุปกรณ์ที่สามารถใช้เป็นอาวุธอื่นๆ การเสี่ยงภัยต่อโรคร้าย ฯลฯ แต่ประชาชนก็เลือกที่จะดำรงชีวิตของตนและครอบครัวอยู่ตลอดมา การกำจัดอุปกรณ์สำหรับป้องกันตนเองของประชาชนโดยอ้างว่าเพื่อป้องกันประชาชนทำร้ายตนเองครอบครัวจึงไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง เป็นการเอาความคิดสติปัญญาของผู้ผิดปรกติมาบังคับยัดเยียดให้ประชาชนและดูถูกประชาชนว่าเป็นผู้ไม่ต้องการดำรงชีวิตของตนเองและครอบครัวอีกต่อไป

สุดท้ายนี้ ขอร้องเรียนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้ปฏิเสธประชาชนผู้ที่ยื่นคำร้องขอครอบครองปืนเพื่อนำไปใช้ฆ่าตัวตาย ทำร้ายครอบครัว หรือประกอบอาชญากรรม



หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 04, 2004, 11:43:13 AM
คำถาม

คนมีปืนไม่ประมาท หรือมองโลกในแง่ร้าย?

คำตอบ

ผู้ที่ไม่ประมาทแต่มองโลกในแง่ร้าย คือ

ผู้ที่รับทราบข้อมูล และวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ และทุกครั้งจะมีความเห็นว่าจะเกิดปัญหาและเหตุร้ายจากสถานการณ์นั้นแต่อย่างเดียว โดยไม่ได้พิจารณาความน่าจะเป็นต่างๆ ตามเหตุผล ที่สำคัญคือผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายจะไม่คิดหาหนทางแก้ไขปัญหาและเหตุร้าย หรือถึงแม้จะรู้วิธีแก้ไขก็มักคิดท้อถอยไม่มีความอดทนหรือพยายามแก้ไขจนถึงที่สุดเนื่องจากเชื่อว่าปัญหาและสิ่งร้ายนั้นจำเป็นจะต้องเกิดขึ้นโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือเปลี่ยนแปลงได้ ผู้ที่ไม่ประมาทแต่มองโลกในแง่ร้ายจึงเป็นผู้ที่ไม่พยายามหลีกเลี่ยงหรือเปลี่ยนแปลงปัญหาและเหตุร้ายต่างๆ ได้

ผู้ที่ไม่ประมาทแต่มองโลกในแง่ดี คือ

ผู้ที่รับทราบข้อมูล และวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ และในบางครั้งมีความเห็นว่าจะเกิดปัญหาและเหตุร้ายจากสถานการณ์นั้น โดยพิจารณาความน่าจะเป็นต่างๆ ตามเหตุผล ที่สำคัญคือผู้ที่มองโลกในแง่ดีจะคิดหาหนทางแก้ไขปัญหาและเหตุร้าย เมื่อรู้วิธีแก้ไขก็มักมีความอดทน พยายามแก้ไขปัญหาจนถึงที่สุดเนื่องจากเชื่อว่าทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ไข และความพยายามให้ถึงที่สุดย่อมให้ผลดีไม่มากก็น้อย  ผู้ที่ไม่ประมาทแต่มองโลกในแง่ดีจึงเป็นผู้ที่ใช้ความสามารถของตนเพื่อหลีกเลี่ยงหรือเปลี่ยนแปลงปัญหาและเหตุร้ายต่างๆ

ผู้ที่ประมาท คือ
ผู้ที่ไม่ยอมรับทราบข้อมูลต่างๆ



หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 04, 2004, 11:57:08 AM
เลยขอฝากที่กอปมาจากบอร์ดราชดำเนินด้วยครับ

"คนกับปืน"

คอลัมน์ ชั่วๆ ดีๆ

โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

ผมป่วยไข้มาหลายวันเลยขาดส่งต้นฉบับไปสองเสาร์ ตอนนี้อาการ ดีขึ้นจึงขออนุญาตกลับมารับใช้ท่านผู้อ่านเหมือนเดิม

ครับ ฟังดูอาจจะเพี้ยนๆ สักนิด ที่พอฟื้นไข้ขึ้นมาเรื่องแรกที่อยากเขียนถึงคือเรื่องปืน

สาเหตุที่อยากคุยกันในเรื่องดังกล่าวก็เพราะเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนท่านนายกฯของเราได้ประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่า ภายใน 5-6 ปีข้างหน้าจะไม่อนุญาตให้มีการขายอาวุธปืนให้ประชาชนทั่วไป หรือพูดอีกแบบหนึ่งก็คือจะทำให้ประเทศไทยทั้งประเทศกลายเป็นเขตปลอดอาวุธ

กล่าวโดยหลักการแล้ว ผมเห็นด้วยกับท่านนายกฯเต็มร้อยที่อยากทำให้ประเทศไทยเป็นดินแดนอันสงบสันติ ปราศจากการใช้ความรุนแรงทั้งปวง โธ่ มีใครบ้างไม่อยากเห็นบ้านเกิดเมืองนอนของตนเข้าสู่ยุคพระศรีอาริย์ที่พูดถึงกันมานาน

ปัญหามีอยู่อย่างเดียวคือ ถ้าเราปลดอาวุธสุจริตชนแล้วบ้านเมืองจะปราศจากความรุนแรงจริงหรือไม่?

ในทรรศนะของผม แม้ปืนจะเป็นเครื่องมือฆ่าคนก็จริง แต่ปืนไม่ใช่สาเหตุแห่งความรุนแรงอย่างแน่นอน ดังเราจะเห็นได้จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ซึ่งมนุษย์รบราฆ่าฟันกันมานับพันปีตั้งแต่โลกนี้ยังไม่มีปืนแม้แต่กระบอกเดียว

เช่นนั้นแล้ว อันใดเล่าที่เป็นต้นเหตุทำให้มนุษย์กระทำการรุนแรงต่อกัน?

ต่อเรื่องนี้ถ้าพูดภาษาพระก็คงต้องบอกว่าทุกอย่างเริ่มต้นในดวงจิตของผู้คน แต่ถ้าจะพูดให้เถียงกันได้มากขึ้นก็คงต้องบอกว่าจิตนั้นยังถูกปรุงแต่งโดยวัฒนธรรม โครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมือง อีกทั้งสถาน การณ์ที่เข้ามากระทบอีกนานัปการ

เอาละเรายกเรื่องของสงครามระหว่างประเทศ หรือความรุนแรงทาง การเมืองออกไปก่อนแล้วพูดกันเฉพาะเรื่องอาชญากรรมที่ปรากฏอยู่ในสังคม ทุกวันนี้ แม้ไม่มีสถิติอยู่ในมือ แต่เราท่านทั้งหลายก็คงสังเกตเห็นได้ว่าความรุนแรงในสังคมไทยเกิดขึ้นถี่กว่าสมัยก่อนหลายเท่า โดยเฉพาะคดีปล้นฆ่าข่มขืน ตลอดจนการตัดสินความขัดแย้งส่วนตัวด้วยอาวุธสารพัด

คำถามของผมก็คือใช่หรือไม่สภาพดังกล่าวเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเสื่อมทรุดการจิตใจและจิตวิญญาณของผู้คนในประเทศไทย การกระพือโหมของวัฒนธรรมบริโภคนิยม ค่านิยมแบบบูชาเงินเป็นพระเจ้า ยังไม่ต้องเอ่ยถึงความแตกร้าวของชุมชนครอบครัวตลอดจนลักษณะจรจัดทางอารมณ์ของปัจเจกบุคคลที่หลุดลอยมาจากสายใยที่เคยมี

แน่นอน ในคดีรุนแรงเหล่านี้อาวุธปืนเป็นเครื่องมือสำคัญในการก่ออาชญากรรม แต่ก็ไม่ใช่สิ่งอย่างเดียวที่ถูกนำมาใช้ บ่อยครั้งเครื่องมือฆ่าคนก็เป็นเพียงไม้หน้าสาม มีดหั่นผัก เชือก ขวด ร่ม ฝ่าเท้า กระทั่งใช้สองมือเปล่าบีบคอกันจนตายก็ยังปรากฏให้เห็นอยู่เนืองๆ

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ หมายความว่าแม้รัฐบาลจะยกเลิกใบอนุญาตให้ประชาชนมีอาวุธปืน แต่ถ้าไม่ยกเลิกเงื่อนไขทางสังคมของอาชญากรรมและความรุนแรงไปพร้อมกัน เรื่องร้ายๆ ในประเทศไทยก็ยังจะเกิดขึ้นต่อไป นี่ยังไม่ต้องเอ่ยถึงประเด็นคุณภาพและคุณธรรมของผู้รักษากฎหมาย ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง

ยิ่งไปกว่านั้นผมยังไม่แน่ใจนักว่า ปืนถูกกฎหมายที่มีอยู่ราวสามล้าน กว่ากระบอกได้เคยถูกนำไปใช้ก่ออาชญากรรมเสียเป็นส่วนใหญ่ ในความเป็นจริงอาจจะถูกใช้ไปในทางที่ผิดไม่เกินหนึ่งหรือสองเปอร์เซ็นต์

ในทางตรงข้าม ผมกลับเห็นว่าการที่สุจริตชนมีปืนไว้ป้องกันชีวิตทรัพย์สินและครอบครัวของพวกเขา น่าจะช่วยถ่วงดุลคนร้ายไม่ให้ล่วงเกินคนง่ายเกินไป เราลองนึกภาพดู ถ้าวันหนึ่งพวกมิจฉาชีพมั่นใจว่าทุกบ้านไม่มีปืนเพราะรัฐบาลยึดคืนไปหมดแล้วอะไรจะเกิดขึ้น

ปืนในบ้านจะว่าไปก็เทียบได้ดังกองทัพที่แต่ละประเทศต้องมีไว้เพื่อไม่ให้ประเทศอื่นมารุกราน ด้วยเหตุนี้ ในโลกที่คนยังไม่บรรลุโสดาบัน ปืน จึงไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งความรุนแรงอย่างเดียวหากยังมีด้านที่เป็นเป็นเครื่องมือค้ำประกันสันติภาพและผดุงความยุติธรรม

คนฆ่าคนไม่จำเป็นต้องถือปืนและคนถือปืนก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าคน

อันที่จริง ที่กล่าวมาทั้งหมดมิได้หมายความว่า ผมมองไม่เห็นความหวังดีของท่านนายกฯทักษิณ ผมเพียงแต่รู้สึกว่าสภาพสังคมไทยยังไม่พร้อม ไม่พร้อมอย่างยิ่งที่จะฝากความปลอดภัยในชีวิตทั้งหมดไว้กับเจ้าหน้าที่รัฐล้วนๆ

จะว่าไปโครงสร้างที่ผลิตอาชญากรรมในประเทศไทยนั้นไม่ต้องมองไปที่ไหนไกล ดูแค่ความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้และส่วนแบ่งของคนจนในผลิตภัณฑ์โดยรวมก็พอแล้ว ประเทศเรายิ่งพัฒนาช่องว่างระหว่างคน จนคนรวยยิ่งห่างกันไปเรื่อยๆ จำนวนผู้ที่อยู่ใต้เส้นแบ่งความยากจนขนาดตัดเส้นที่แปดร้อยกว่าบาทต่อเดือนก็ยังเหลือถึงสิบล้านคน

แน่ละคนจนไม่จำเป็นต้องก่ออาชญากรรมเสมอไป แต่ความคับแค้นอันเนื่องมาจากความด้อยโอกาสเมื่อบวกกับการปลุกเร้าเรื่องบริโภคนิยมย่อมทำให้ผู้คนห้ามใจได้น้อยลง จนทุกวันนี้ผมแทบจะเชื่ออยู่แล้วว่าสถิติอาชญากรรมนั้นเติบโตไปพร้อมอัตราการเติบโตของจีดีพี


เฉพาะหน้าผมจึงคิดว่ารัฐบาลควรพุ่งเป้าไปที่การขจัดต้นตอทางสังคมวัฒนธรรมของอาชญากรรมจะถูกต้องกว่า ส่วนเรื่องอาวุธปืนหากจะเข้มงวดตรวจสอบในการให้ใบอนุญาตมากขึ้น ไม่ปล่อยให้ปืนตกไปอยู่ในมือของมิจฉาชีพ คงไม่มีใครว่ากระไร

ตราบใดที่บ้านเรายังเหลื่อมล้ำสุดขั้วและใช้เงินตัดสินคุณค่าความเป็นคน ลำพังปลดอาวุธสุจริตชน ผมเกรงว่าจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้โจรเสียมากกว่าสร้างความสงบสันติให้บังเกิดขึ้นในสังคม


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ ตุลาคม 04, 2004, 10:38:03 PM
 ;Dขอบคุณครับพี่L/E ;Dยาว ๆ อย่างนี้ต้องปริ๊นไว้อ่านแล้วถ่ายสำเนาแจกชาวบ้าน.เอ๋แต่ผมจะโดนข้อหาขาประจำหรือเปล่าครับ :P


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: coda ที่ ตุลาคม 05, 2004, 11:47:08 AM
...ขอบคุณคุณ L/E ครับ  :)


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: carrera ที่ ตุลาคม 05, 2004, 12:01:20 PM
เลยขอฝากที่กอปมาจากบอร์ดราชดำเนินด้วยครับ
"คนกับปืน"
คอลัมน์ ชั่วๆ ดีๆ
โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ผมป่วยไข้มาหลายวันเลยขาดส่งต้นฉบับไปสองเสาร์ ตอนนี้อาการ ดีขึ้นจึงขออนุญาตกลับมารับใช้ท่านผู้อ่านเหมือนเดิม
ครับ ฟังดูอาจจะเพี้ยนๆ สักนิด ที่พอฟื้นไข้ขึ้นมาเรื่องแรกที่อยากเขียนถึงคือเรื่องปืน

สาเหตุที่อยากคุยกันในเรื่องดังกล่าวก็เพราะเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนท่านนายกฯของเราได้ประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่า ภายใน 5-6 ปีข้างหน้าจะไม่อนุญาตให้มีการขายอาวุธปืนให้ประชาชนทั่วไป หรือพูดอีกแบบหนึ่งก็คือจะทำให้ประเทศไทยทั้งประเทศกลายเป็นเขตปลอดอาวุธ
ปลายสัปดาห์ก่อนนี่ เมื่อเร็วๆนี้หรือคราวที่แล้วครับเนี่ย จะได้ไม่ต้องหาเล่นเพิ่ม ........งง...........งง.........


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: BAER ที่ ตุลาคม 05, 2004, 12:12:17 PM
 ;)  ขอบคุณ MR. L/E ครับ


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 05, 2004, 01:25:26 PM
บทความของคุณเสกสรรเขียนมาตั้งแต่ปีที่แล้วตอนนโยบายประเทศปลอดปืน (ของคนดี) กำลังดังครับ


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: visith ที่ ตุลาคม 05, 2004, 10:55:05 PM
บทความของคุณเสกสรรเขียนมาตั้งแต่ปีที่แล้วตอนนโยบายประเทศปลอดปืน (ของคนดี) กำลังดังครับ

...ตัวจริง เสียงจริงมาเอง...ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ฝากส่งไปให้เวป ทรท. ด้วยนะครับ... ;)


หัวข้อ: Re: Fw:e-mail ( ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า )
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ ตุลาคม 06, 2004, 03:44:01 PM
คนฆ่าคนไม่จำเป็นต้องถือปืนและคนถือปืนก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าคน

ชอบจัง ตรรกแบบนี้ ของท่านเสกสรรค์ ชัวร์ๆ
สมราคานักรัฐศาสตร์แถวหน้า