เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: pasta ที่ กันยายน 29, 2011, 01:18:39 PM



หัวข้อ: >>> เย็นยอดกตัญญู <<<
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ กันยายน 29, 2011, 01:18:39 PM
เนื้อเรื่องยาวเสียเวลาอ่านสักครู่... สวัสดีครับ...pasta



--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



*ลงพิมพ์ครั้งแรก ในนิตยสาร “สาวสวย” ปีที่ ๑๕ ฉบับที่ ๑๗๘ เมษายน ๒๕๓๓

*ลงพิมพ์ครั้งที่สอง ในหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ วันอาทิตย์ที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๖



จริยธรรมสำหรับเด็กและเยาวชน


เย็นยอดกตัญญู

วังเอ๋ยวังเวง
หง่างเหง่งย่ำค่ำระฆังขาน
ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล
ค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน
ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่างจรกลับ
ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน
ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั่วมณฑล
และทิ้งตนตูเปลี่ยวอยู่เดียวเอย...


เย็น ชายหนุ่มร่างพิการวัยกลางคน  นั่งพิงต้นไม้ใหญ่ที่ริมทุ่งนาทอด
สายตาเหม่อมองท้องทุ่งที่เขียวขจีผืนใหญ่สุดลูกหูลูกตา ภาพของชาวนา
ที่กำลังต้อนฝูงวัวควายกลับบ้านในขณะที่ดวงอาทิตย์จวนจะลับขอบฟ้า
เสียงถอนหายใจของเขาบ่งบอกถึงความในใจที่แอบเก็บซ่อนเอาไว้ ยิ่งยามที่
เขานึกถึงกลอนดอกสร้อยเรื่อง “รำพึงในป่าช้า” ที่เคยเรียนมาแล้ว ทำให้จิตใจ
ของเขาเพิ่มความเศร้าหลายเท่าทวีคูณ เขาแอบชื่นชมผู้แต่งที่ท่านช่างเก็บเอา
บรรยากาศความเงียบเหงาวังเวงเศร้าสร้อยไว้ได้ครบครัน และเขาก็อดไม่ได้
ที่จะนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตตัวเอง ภาพต่าง ๆ ในอดีตได้ผุดขึ้นในความ
ทรงจำของเขาทันที


เย็นถือกำเนิดจากครอบครัวชาวนาที่ยากจน เขาเป็นคนที่ ๓ ในจำนวน
พี่น้องทั้งหมด ๔ คน ในขณะที่แม่กำลังอุ้มท้องเขาอยู่นั้น หมู่บ้านเกิดภัยแล้ง
ซึ่งส่งผลกระทบต่ออาชีพเกษตรกรรมของครอบครัว ผลิตผลในปีนั้นเก็บได้
น้อยมาก ในขณะที่ดอกผลในการกู้ยืมเถ้าแก่ที่ตลาดมันงอกเงยงดงามเกินกว่า
ที่คิด มีบางตอนที่แม่เล่าให้ฟังว่า
“ตอนอุ้มท้องแกนั้น ครอบครัวลำบากมาก พี่สองคนแกก็ยังเล็ก
พ่อต้องไปทำงานชดใช้หนี้เถ้าแก่ที่ตลาด ทำงานสารพัดตามแต่เขาจะใช้
แม่ก็ต้องไปรับจ้างขนดินลูกรังในหมู่บ้าน ครั้งแรกผู้รับเหมาสร้างถนนเขาจะ
ไม่ยอมจ้างเพราะเห็นแม่ท้องแก่กลัวทำงานไม่คุ้มกับค่าจ้าง แม่ต้องกราบ
แทบเท้าเขาและต่อรองราคาค่าจ้างในราคาที่ถูกกว่าคนอื่น เขาจึงยอมจ้าง
ร่างกายแม่อ่อนแอมาก...คงเนื่องจากทำงานหนัก”
เมื่อถึงกำหนดคลอดเย็นออกมา ก็ยิ่งเพิ่มความทุกข์ให้ครอบครัว
มากขึ้น เพราะเขาเกิดมาพร้อมกับความพิการคือมือด้วนทั้งสองข้างส่วนขานั้น
ก็พิการเช่นกัน เพียงแต่ด้วนใต้เข่าข้างขวาเพียงข้างเดียวเท่านั้น สำหรับขา
ซ้ายปกติ จากสภาพร่างกายที่พิการ
เขาจึงเปรียบเสมือนเป็นตัวที่ตราบาป
ให้กับตระกูลที่นำความเลวร้ายเข้ามา
สู่ครอบครัวตั้งแต่อยู่ในท้องแม่
ครั้นลืมตาดูโลกในวันแรกก็นำความ
อัปยศอดสูมาสู่ครอบครัวเสียงซุบซิบ
นินทาตั้งแต่เหนือบ้านท้ายบ้าน ต่างก็
แห่มาดูเขาเหมือนสัตว์ประหลาด
แม่เคยเล่าให้ฟังว่า “พ่อกับ
แม่อายชาวบ้านมาก สายตาที่เขา
ม อ ง แ ก นั้น มัน แ ส ด ง ถึง ค ว า ม

ขยะแขยง อดสู เวทนา และท้ายที่สุดเขาก็พากันมองดูพ่อกับแม่ในสายตาที่
ไม่แตกต่างจากแกมากนัก แม่น่ะทนได้ แต่พ่อแกสิ เขารับไม่ได้เลย แกต้อง
เข้าใจนะเย็น ยังไงเขาก็คือ พ่อผู้ให้กำเนิดแก ชั่วดีมีจนยังไงเขาก็คือพ่อ...
จำเอาไว้นะลูก...”
เมื่อเย็นจำความได้ เขาก็รับรู้ถึงความรู้สึกของพ่อได้ชัดเจน ความ
เกลียดชังของพ่อมีมากเท่าไร ความสงบสุขในบ้านก็ยิ่งลดลงมากเท่านั้น
“ฉันเกลียดแก ไอ้ลูกอาภัพ เกิดมาทำให้ข้าอับอาย” กลิ่นเหล้าเคล้ากับ
เสียงด่าทอ ท้ายที่สุดขวดเหล้าถูกโยนเข้าใส่ร่างของเย็น ซึ่งต้องคอยหลบ
จากแรงปะทะ ถ้าโชคดีก็ปลอดภัย ถ้าโชคร้ายก็ได้เลือด
“รู้ว่าพ่อไม่ชอบ เวลาเขาขึ้นบนบ้าน แกก็หลบไปในป่าหลังบ้านสิ
ข้ารำคาญแล้วนะ” เสียงพี่ชายสองคนไล่เย็นเสียงดังลั่น แต่ประโยคหนึ่ง
ที่ทำให้เย็นน้ำตาไหลพรากด้วยความคับแค้นใจก็คือ
“เมื่อไหร่แกจะตายเสียที ฮึ ! ไอ้เย็น พ่อกับแม่เขาจะได้พ้นกรรม
แกเคยนำความชื่นชมอะไรมาให้พ่อแม่บ้าง...ไอ้ทุเรศ...” เย็นต้องคอยหลบเท้า
พี่ชายทั้งสอง จนบางครั้งเป็นโรคผวาเห็นอะไร เคลื่อนไหวใกล้ตัวต้องสะดุ้ง
โหยงทุกที
“แม่...ทำไมผมจึงเกิดมาพิการ ไม่เหมือนพี่เหมือนน้องเลย มันเป็น
ความผิดของผมหรือแม่...” บางครั้งความคับข้องใจของเขาก็ถูกระบายมาที่แม่
“คงเป็นเพราะเวรกรรมนั่นแหละลูก ไม่ใช่กรรมของแกคนเดียวหรอก
มันเป็นกรรมของครอบครัวเราทั้งหมดด้วย” สายตาที่แม่มองเขานั้นมีความ
เวทนาแฝงอยู่ แต่ความรักและความเอื้ออาทรนั้นมีน้อยมาก เมื่อเทียบกับ
พี่ชายทั้งสองและน้องสาวคนเล็ก
มีอยู่วันหนึ่งเย็นเกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง จนไม่มีแรงที่จะพยุง
ตัวเองได้ ตอนเช้ามืดเขาได้ยินเสียงพ่อกระซิบกับแม่ว่า

“ไป...รีบไปปลุกพวกสามคนไปนากัน ปล่อยให้มันตายอยู่ที่บ้านคนเดียว
ข้าคิดว่าถ้ามันท้องร่วงอย่างนี้ ข้าให้เวลามันอีกหนึ่งคืน รับรองไม่รอดแน่
กลับมาแล้วค่อยเก็บศพมัน”
เย็นได้ยินเสียงเก็บของ เสียงปลุกพี่ ๆ และน้อง ตลอดทั้งเสียงเดินลง
จากบ้านของพวกเขา น้ำตาเด็กน้อยไหลอาบแก้ม พลางรำพึงเสียงแผ่วเบาว่า
“มันเป็นความผิดของผมหรือที่เกิดมาพิการ ผมรักแม่มาก ได้โปรดเถิด
อย่าทิ้งผมไป ผมกลัว...ผมกลัว...”
ลมหายใจของเย็นค่อย ๆ แผ่วเบาลงทีละนิด ตัวของเขารู้สึกเบาหวิว
ประดุจปุยนุ่นที่ลอยเคว้งคว้างในอากาศ ก่อนที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเขา
จะสิ้นสุดลงนั้น เขามองเห็นดวงไฟสว่างจ้าข้างหน้า เสียงหลวงพ่อที่วัด
ดังชัดเจนในมโนภาพ
“เย็น...เจ้าต้องไม่ตายนะ หลวงพ่อมาช่วยแล้ว ตื่นสิเย็น ตื่น ! เจ้าจะต้องอยู่
เพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่นะ จำไว้ลูก...จำไว้”
เย็นลืมตาขึ้นมา ภาพพร่ามัวค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้น เขาขยับริมฝีปาก
ที่แห้งผาก มองหาขันน้ำข้างที่นอน ใช้ปากจุ่มลงไปที่กลางขัน ดื่มน้ำ
จนเกือบหมด จากนั้นค่อย ๆ คลานออกไปนอกชาน รวบรวมเสียงตะโกนเรียก
ยายข้างบ้าน
“ยาย...ยาย...ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย”
หญิงชราวัย ๘๐ ปี กำลังก้ม ๆ เงย ๆ เก็บพริกออกจากกระด้งชะงัก
เมื่อได้ยินเสียงเย็นเรียก นางรีบพยุงสังขารที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกเดิน
กะโผลกกะเผลกออกมาดูตามเสียงเรียก
“อ๋อ...ไอ้เย็นนั่นเอง แกเป็นอะไรหรือเย็น ทำไมหน้าตาแกเป็นอย่างนั้น”
“ยาย...ช่วยถากเปลือกต้นแคข้างบ้าน ต้มให้ผมดื่มด้วย...ผมท้องร่วง
ครับ ยาย...ช่วยผมด้วย...” เย็นล้มตัวลงนอนที่บันได

“พ่อแม่แกไปไหน ทำไมทิ้งแกอย่างนี้”
“เขาไปนากันหมด เขาไม่รู้ว่าผมไม่สบาย” เขาจำเป็นต้องโกหกยาย
เพราะอย่างน้อยชาวบ้านก็จะได้ไม่เอาเรื่องของพ่อแม่ไปนินทา เขาคงทน
ไม่ได้ที่พ่อแม่ต้องถูกประณามจากสังคม เอ้า...ดื่มซะจะได้หาย นี่ถ้าพ่อแม่แก
เขารู้ เขาคงไม่ทิ้งแกไปหรอกนะ”
“ขอบคุณมากครับยาย” จากยาถ้วยนั้น ทำให้เย็นมีชีวิตยืนยาวต่อไปอีก
เมื่อพ่อกลับมาบ้านและเห็นเขามีชีวิตอยู่ ถ้วยชามข้าวของก็คงแตกกระจายอีก
แน่นอน เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่จะเลวร้าย เขาค่อย ๆ พยุงตัวเองลงจากบ้าน
ที่ซุกของเขาก็คือป่าหลังบ้าน เขาล้มตัวลงนอนบนกอหญ้าด้วยความอ่อนเพลีย
เป็นเวลานานเท่าไรไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมีมือมาเขย่าร่างของเขา
“พี่เย็น...พี่เย็น... แม่ให้เอาข้าวมาให้กิน รีบกินซะ พ่อกำลังหลับอยู่”
เสียงน้องสาวคนเล็กพร้อมกับแรงเขย่าทำให้เขารีบลุกงัวเงียขึ้นมา ท้องร้อง
เตือนบ่งบอกถึงความหิว รีบคว้าชามข้าวกินแทบจะไม่ได้หายใจ
“พี่ได้เคี้ยวข้าวหรือเปล่า ฉันกลัวข้าวมันจะติดคอพี่ตาย...เอ้า ! ดื่มน้ำซะ”
นอกจากแม่ที่เวทนาเขาแล้ว ก็ยังมีน้องสาวที่ชื่อจำปีอีกคนที่คอยดูแล
“หลวงพ่อครับ คนเราเกิดมาแล้วชาตินี้ ถ้าฆ่าตัวตายจะมีผลต่อ
ชาติหน้าไหมครับ”
“อย่า ! เชียวนะ ไอ้เย็น มันเป็นบาปมหันต์เลยรู้ไหม คนเราเกิดมาแล้ว
ก็ต้องสู้ ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ถึงคนทั่วไปจะมองว่าแกพิการ แต่จิตใจแก...
หลวงพ่อเชื่อว่า...จิตใจแกไม่พิการแน่ จริงไหมเย็น”
มือหลวงพ่อที่จับศีรษะเย็นด้วยความรักและเอ็นดู ทำให้เย็นมีกำลังใจ
ที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไป
“ครับ...หลวงพ่อ ผมจะทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุด ผมจะชดใช้กรรม
ให้หมดสิ้นในชาตินี้ ถ้าชาติหน้ามีจริง ผมจะได้เป็นคนที่สมบูรณ์ พ่อ แม่ และ
พี่เขาจะได้รักผม”

เมื่ออยู่ที่โรงเรียน เขาถูกเพื่อน ๆ ล้อเลียนและกลั่นแกล้งอยู่ตลอด
เวลา
“เฮ้ย ! ไอ้เย็นด้วนมาแล้ว” เสียงฮาจากเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน
มีประจำ มันเป็นเสียงที่ชินชาเสียแล้ว เขาไม่เคยนึกโกรธเพื่อน ๆ ตรงกันข้าม
เขากลับทำตัวร่าเริง ไม่เคยสร้างปัญหาให้กับใคร เมื่อมีเวลาจะใช้แขนด้วน
ทั้งสองข้างหนีบดินสอเขียนหนังสือและทำการบ้าน ลายมือของเขาสวยกว่า
คนปกติ การเรียนก็อยู่ในเกณฑ์ดี
“พ่อครับ ผมทำคะแนนได้เป็นที่ ๑ ของห้องครับ” มือด้วนที่หนีบสมุด
รายงานผลการเรียนยื่นอวดพ่อ
“ไอ้ด้วนเอ๊ย...ครูเขาหลับหูหลับตาให้คะแนนมึงมากกว่า เพราะครูคนนี้
แกขี้สงสารคน ใคร ๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้น”
“พ่อ...ไม่จริงหรอก เพราะเวลาครูเฉลยข้อสอบบนกระดาน ผมก็ทำถูก
จริง ๆ” เย็นชี้แจงเหตุผล แต่ก็เหมือนมีอะไรมาจุกที่คอหอยเมื่อได้ยินคำตอบ
จากพ่อ
“เออ มึงเก่ง...เก่งที่สุดในหมู่บ้าน แล้วมึงลองบอกกูซิว่า อนาคตมึง
จะเป็นอะไร จะหาเงินมาเลี้ยงกูได้ไหม...ฮึ ไอ้เย็น”
เสียงเตะเก้าอี้ดังโครม...ก่อนที่พ่อจะกระทืบเท้าลงจากบ้านด้วย
อารมณ์ที่ขุ่นมัว มันเป็นสิ่งที่ชินชาแล้วสำหรับเย็น เพราะในชีวิตของเขาไม่เคย
ได้รับคำชมเชยจากคนในครอบครัว เขาได้แต่คิดว่า สักวันหนึ่งเขาจะต้องทำให้
ทุกคนเห็นความสามารถของเขาให้ได้
เมื่อเย็นอายุได้ ๑๕ ปี พี่ทั้งสองจะเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ
พ่อและแม่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
“ไอ้เย็น...วัน ๆ แกจะให้แต่พ่อหาให้กิน ไม่รู้จักละอายบ้างหรือไง”
พี่คนโตยืนชี้หน้าและพูดจาตอกย้ำปมด้อยของเขา พี่คนรองได้โอกาสก็พูด
เสริมต่อว่า

“จะเอาอะไรกับมัน พวกเราต้องไปทำงานหาเงิน เพื่อส่งมาให้มันนั่งกิน
นอนกิน ไม่รู้เวรกรรมอะไรที่มีน้องพิการอย่างแก” เย็นค่อย ๆ พยุงร่างลง
บันไดและหลบเข้าไปอยู่ในป่าหลังบ้าน เพราะรู้ดีว่าขืนอยู่ฟังต่อไป พ่อคงต้อง
เปิดฉากกับเขาอีก ดีไม่ดีอาจต้องเจ็บตัวเหมือนทุกครั้ง จนถึงเวลาพลบค่ำ
เสียงแหวกพงหญ้าค่อย ๆ ดังใกล้ที่ซ่อนของเย็นพร้อมเสียงตะโกนเรียก
“พี่เย็น นี่ฉันจำปีนะ...อยู่ไหนส่งเสียงตอบฉันด้วย ฉันเอาข้าวมาให้
พี่กินนะ” เสียงน้องสาวคนเล็กซึ่งดูเหมือนจะมีคนเดียวในบ้านที่คอยเป็นห่วง
เป็นใยเขา
“พี่เย็น ฉันสงสารพี่มากนะ หรือว่าฉันจะลาออกจากโรงเรียน จะได้ลด
ค่าใช้จ่ายทางบ้านลง พ่อเขาจะได้ไม่อารมณ์เสียกับพี่อีก” จำปีพูดขึ้นหลังจาก
นั่งดูพี่ชายใช้มือด้วนทั้งสองข้างหนีบช้อนตักข้าวใส่ปาก คำพูดของน้องสาว
ทำให้เขานิ่งอึ้ง ละสายตาจากห่อข้าวทันที มองดูน้องด้วยความรักและสงสาร
รีบพูดขึ้นว่า
“อย่านะจำปี ชีวิตน้องมีค่า มีอนาคต ไม่ต้องห่วงพี่หรอก พี่ขอรับรองว่า
พี่จะต้องทำได้...ต้องทำได้” เย็นพูดจาด้วยเสียงหนักแน่นค่อย ๆ พยุงตัวเอง
ลุกขึ้นและเดินจากไป ทิ้งให้จำปีมองตามหลังพี่ชายด้วยสายตาฉงน พร้อมกับ
เสียงพึมพำว่า “เขาจะทำอะไรของเขานะ”
สองเดือนผ่านไป...
“ลุง...ลุง...มารับธนาณัติด้วย” เสียงบุรุษไปรษณีย์ตะโกนหน้าบ้าน
เย็นนั่งมองดูพ่อวิ่งกระหืดกระหอบไปรับจดหมาย
“ไอ้เย็น...แกเห็นไหมพี่ ๆ เขาส่งเงินมาให้ฉันแล้ว มีแต่แกนั่นแหละ
ที่เป็นคนไม่มีประโยชน์” พ่อชูซองจดหมายขึ้นอวด เย็นมองดูสายตาของพ่อ
ช่างเปี่ยมไปด้วยความสุข และภาคภูมิใจในลูกชายทั้งสองคนเหลือเกิน เย็นได้
แต่คิดว่า เมื่อไหร่หนอที่เขาจะได้รับสายตาเช่นนี้จากพ่อบ้าง
จริยธรรมสำหรับเด็กและเยาวชน

วันหนึ่ง เย็นนั่งพิจารณาขาขวาที่ด้วนใต้เข่าลงไปแต่มีเนื้อใต้ขาเรียว
เล็กพอที่จะหาอะไรมาสวมใส่เพื่อที่จะเดินเองได้
“จำปี ช่วยตัดกระบอกไม้ไผ่หลังบ้านให้พี่ด้วย”
หลังจากน้องสาวตัดกระบอกไม้ไผ่มาให้แล้ว เขาใช้เศษผ้าพันรอบขา
ที่ด้วนแล้วใช้เชือกรัดผ้าไม่ให้หลุด เอากระบอกไม้ไผ่ที่น้องตัดให้สั้นเท่าความยาว
ของขาซ้ายสวมที่ขา เขาลองหัดยืนโดยไม่ต้องใช้ไม้พยุง และก้าวเดินไป
อย่างช้า ๆ แต่เวลาขาที่ด้วนกดลงบนกระบอกไม้ไผ่ในขณะทิ้งน้ำหนักลง
ที่ขาขวานั้นจะทำให้เขารู้สึกเจ็บ แต่เขาก็อดทนและคิดในใจว่า เมื่อเนื้อที่เสียดสี
กับกระบอกไม้ไผ่นานวันเข้าก็คงจะเกิดความด้านชาและตามมาด้วย
ความเคยชินในสภาพเช่นนี้
เย็นหัดเดินรอบบ้านวันละหลาย ๆ รอบโดยไม่รู้สึกเหนื่อย เขาดีใจมาก
เพราะในชีวิตที่ผ่านมาเคยใช้แต่ไม้เท้าพยุง หรือบางทีก็ใช้ขาซ้ายกระโดด
ขาเดียวไปเรื่อย ๆ แต่ครั้งนี้พอใส่กางเกงขายาวแล้วก็จะปิดบังกระบอกไม้ไผ่
ซึ่งถ้าไม่สังเกตก็จะเหมือนกับขาปกติ
สำหรับแขนทั้งสองข้างนั้น เขาก็นำกระบอกไม้ไผ่มาสวมใส่เช่นกัน
จากนั้นเขานำยางในของรถจักรยานที่ชาวบ้านถอดทิ้ง นำมาให้จำปีผูกกับด้าม
มีดอีโต้ให้แน่น แล้วใช้ปลายยางอีกข้างหนึ่งพันรัดที่แขนขวาที่สวมกระบอก
ไม้ไผ่ จากนั้นเขาลองใช้แขนแกว่งมีดไปในพงหญ้า แรงของมีดที่เหวี่ยงไปมา
ทำให้หญ้าถูกตัดกระเด็นปลิวว่อนไปหมด
“แม่...แม่ผมทำได้แล้ว จำปี...พี่ทำได้แล้ว” เสียงร้องขึ้นด้วยความดีใจ
เขารีบเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปกอดแม่ด้วยน้ำตานองหน้า
“จะทำไหวหรือเย็น” แม่ถามด้วยความห่วงใย
“ผมต้องทำได้แน่ พรุ่งนี้จะลองไปสมัครเป็นคนงานสวนป่าดู” สายตา
ของเขาบ่งบอกถึงความหวังเต็มเปี่ยม

“จะไหวหรือครับหัวหน้า คนพิการนะครับ” เสียงหัวหน้าคนงานพูด
หลังจากหัวหน้าสวนป่ายืนพิจารณามองดูมือและเท้าของเย็น
“ผมอยากมีรายได้ครับหัวหน้า โปรดให้โอกาสคนพิการบ้างครับ”
เสียงในตอนท้ายเริ่มสั่นเครือ
“เอาละนะ ฉันตกลงรับเธอ” ด้วยความสงสารของหัวหน้าสวนป่า
ที่ออกมาปลูกสร้างสวนป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ถูกทำลายไปแล้ว ซึ่งใกล้
กับบริเวณหมู่บ้าน เย็นได้แสดงความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของทุกคน
ประกอบกับนิสัยที่อ่อนน้อมถ่อมตน จึงเป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป งานที่เย็น
ได้ทำก็มีการตัดแต่งเหง้าสักสำหรับนำไปปลูกป่า ผ่าไม้ไผ่เพื่อทำหลักหมาย
แนวปลูก บางครั้งก็ถางหญ้ารอบ ๆ บริเวณสำนักงาน สำหรับรายได้ที่ได้
รับนั้น หัวหน้าสวนจ่ายให้เท่ากับคนปกติทั่วไป และมีบางครั้งที่ได้รับรายได้
พิเศษจากหัวหน้าสวนป่าและเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ อันเนื่องมาจากความสงสาร
“พ่อครับ นี่คือเงินเดือนของผม” เย็นยื่นเงินเดือนทั้งหมดให้พ่อ ซึ่งมี
จำนวนมากกว่าเงินที่พี่ ๆ ส่งมาให้
“โอ...เขาจ้างแกจริง ๆ หรือเย็น” พ่อรับเงินและมองเย็นด้วยสายตา
ที่สงสัย
“ค่าจ้างผมได้เท่าคนปกติด้วยนะพ่อ หัวหน้าเขาชมผมเสมอว่าผมขยัน”
เป็นครั้งแรกในชีวิตของเย็นที่กล้ามองหน้าพ่อเต็มตา เขาเห็นริ้วรอยแห่ง
ความชราบนใบหน้าพ่อ ระยะสองเดือนมานี้พ่อดูเงียบขรึมและเหม่อลอย
และมีหลายครั้งที่จำปีมาเล่าให้ฟังว่า พ่อกับแม่แอบร้องไห้อยู่เสมอ
“พี่แกสองคน ตั้งแต่มันมีเมียแล้ว มันก็เงียบหายไป” พ่อพูดขึ้น
“พวกพี่ ๆ เขาส่งเงินมาให้พ่อบ้างไหมครับ” เย็นถามเบา ๆ
“ไม่” พ่อตอบแล้วรีบล้มตัวลงนอน เย็นจึงไม่กล้าถามต่อ

สาเหตุจากการเงียบหายของพี่ชายทั้งสองทำให้พ่อเสียใจมาก
จนล้มป่วย เป็นอัมพาต แม่ต้องหยุดทำงานเพื่อดูแลพ่อ ส่วนจำปีก็กำลังเรียน
วิทยาลัยครูปีแรก ดังนั้นภาระทุกอย่างจึงตกอยู่ที่เย็น ซึ่งเขาไม่เคยกลัว
การทำงาน แต่มีความภูมิใจว่า นับแต่นี้ไปเขาเป็นคนที่มีความหมายต่อ
ครอบครัวแล้ว

“พี่เย็น...ฉันจะไม่เรียนแล้วนะ” จำปีเอ่ยขึ้นในคืนวันหนึ่ง
“ไม่ได้หรอกจำปี น้องคือตัวแทนของความภูมิใจของพี่” สายตาของ
พี่ชายที่มองดูนั้นทำให้จำปีก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าโต้แย้งอีกต่อไป
หลังจากสิ้นปีงบประมาณทางสวนป่าก็หยุดจ้างคนงานชั่วคราว
เย็นก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่มีงานทำ แต่อีกสามชีวิตยังรอความหวังจากเขาคนเดียว
เท่านั้น เขาออกรับจ้างทั่วไปทั้งในหมู่บ้านใกล้เคียง เช่น รับถางหญ้า
ตัดถั่วเหลืองในไร่ ดำนา และอื่น ๆ แล้วแต่ใครจะจ้าง ยกเว้นแต่การรับจ้าง
เกี่ยวข้าวที่เขาทำไม่ได้ เพราะไม่มีนิ้วมือที่จะรวบรวงข้าวมาเกี่ยว เย็นชอบงาน
รับเหมาเพราะรายได้ดีกว่ารายวัน เขาต้องตื่นนอนแต่เช้ามืดออกไปทำงาน
และจะกลับถึงบ้านอีกครั้งก็ตะวันตกดิน
พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวโพด เย็นรับเหมาเก็บข้าวโพดในไร่ ขั้นตอน
ที่ทำให้เขาลำบากที่สุด คือ การปอกเปลือกข้าวโพด เขาต้องใช้แขนด้วน
ทั้งสองข้างหนีบฝักข้าวโพดและใช้ฟันกัดเปลือกข้าวโพดออก กว่าจะเสร็จ
งานปากของเขาที่เสียดสีกับเปลือกข้าวโพดต้องบวมเป่งและระบมจนกินข้าว
ไม่ได้หลายวัน ซึ่งเป็นที่น่าเวทนาแก่คนที่พบเห็น สำหรับเงินค่าจ้างของเขา
พอที่จะรักษาพ่อและเลี้ยงแม่ ตลอดทั้งส่งเสียน้องเรียนครูได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขา
ภูมิใจมากที่สุด จนลืมความยากลำบาก
“ยกโทษให้พ่อด้วยนะเย็น” พ่อพูดเหมือนขออภัยต่อเย็นในคืนที่พ่อ
จากโลกนี้ไป
“ผมรักพ่อมากที่สุด ผมไม่เคยโกรธพ่อ” เป็นครั้งแรกที่เย็นได้รับรอย
สัมผัสจากมือของพ่อที่ลูบบนศีรษะของเขา
“เข้ามาใกล้ ๆ พ่อซิเย็น...” เย็นโน้มตัวลงไปหาพ่อด้วยอาการเกร็ง
ไปทั้งตัว พ่อใช้มือลูบที่ศีรษะ มันเป็นสัมผัสแรกของพ่อที่แผ่วเบาแฝงด้วย
ความเมตตา เพราะทุกครั้งที่ได้รับสัมผัสจากพ่อนั้น มันคือฝ่ามือและฝ่าเท้า
ที่มีผลทำให้เขาระบมไปหลายวัน
“อภัยให้พ่อ...ด้วยนะลูก...” คำว่าลูกคำเดียวมันทำให้เขาขนลุกซู่ไป
ทั้งตัว
“เรียกพ่อซิลูก...เรียกซิ...” พ่อเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
“พ่อ...พ่อ...ผมรักพ่อมากที่สุด...” เย็นก้มลงซบอกพ่อ น้ำตาไหลพราก
“ฝากแม่และน้องด้วยนะ...นะ...ลูก พ่อรักลูกมากที่...สุด...” เสียงของพ่อ
เบาหวิว ประโยคที่ว่า พ่อรักลูก เป็นประโยคแรกและสุดท้ายของพ่อ
เย็นปล่อยโฮออกมาอย่างสุดเสียง สองมือกอดร่างที่แน่นิ่งของพ่อไว้แนบแน่น
เหมือนกับจะเก็บรอยจารึกที่อบอุ่นนี้ไว้ในความทรงจำตลอดไป
๓๘ ปีผ่านไป มันช่างรวดเร็วเหลือเกินสำหรับชีวิตการต่อสู้ของเย็น
จำปีได้เป็นครูและมีความสุขกับครอบครัวของหล่อนไปแล้ว ยังเหลือแม่
วัยเจ็ดสิบปีเท่านั้นที่เขาต้องดูแลท่าน เย็นได้กลายเป็นแบบอย่างที่ดีของ
คนในหมู่บ้านนั้น ถึงแม้ว่าร่างกายจะพิการแต่เขาก็สามารถตอบแทนพระคุณ
ของพ่อแม่ และเลี้ยงดูท่านในยามชราได้ สิ่งนี้เองที่ทำให้เย็นภูมิใจมากที่สุด
ในชีวิต รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เมื่อได้ยินเสียงเด็ก ๆ ซึ่งวิ่งเล่น
ที่ชายทุ่งตะโกนว่า...
“พี่เย็น...ยอดกตัญญ


สรุปผังมโนทัศน์เรื่อง

“เย็นยอดกตัญญู”
ให้ข้อคิดในด้านต่อไปนี้
ความกตัญญูกตเวที คือ หมายแห่งความดี...
กตัญญูกตเวทีเป็นธรรมที่คู่กันเสมอ เป็นธรรมของคนดี เป็นผู้ที่ควรค่า
ในการยกย่องสรรเสริญจากผู้อื่น เพราะได้ปฏิบัติธรรมอันถือเป็นมงคลยิ่ง
การส่งเสริมการดำเนินชีวิตให้เป็นคนดีตลอดไป ควรปฏิบัติตามหลักธรรมต่อไปนี้

สัปปุริสธรรม ๗ อย่าง คือ ธรรมของสัตบุรุษ (ธรรมของคนดี)

๑. ธัมมัญญุตา คือ ความรู้จักเป็นผู้รู้เหตุ รู้ว่าสิ่งใดคือทุกข์ สิ่งใดคือสุข รู้จัก
แยกแยะเหตุแห่งทุกข์และสุข

๒. อัตถัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้ผล รู้ว่าสิ่งใดคือทุกข์ สิ่งใดคือสุข รู้จักแยกแยะ
ผลแห่งทุกข์และสุข

๓. อัตตัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักตนประพฤติตัวให้เหมาะสมกับชาติตระกูล ฐานะ
ความรู้ ยอมรับสภาพที่ตนเองเป็นอยู่ และมีความสุขในชีวิตที่พอเพียง

๔. มัตตัญญุตา คือ เป็นผู้รู้ประมาณตนในการแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพแต่โดยทาง
ที่ชอบและรู้จักการประมาณในการบริโภคอย่างพอเพียง

๕. กาลัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลาอันสมควรในการประกอบกิจนั้น ๆ

๖. ปริสัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักชุมชน มีกิริยามารยาท ตลอดทั้งความประพฤติ
ที่สามารถเข้ากับชุมชน และเป็นที่ยอมรับ ยกย่อง และเป็นแบบอย่างแก่ชุมชนได้

๗. ปุคคลัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักเลือกบุคคลว่า คนนี้ดี สมควรคบค้าสมาคม
ด้วย บุคคลที่ไม่ดีก็ต้องหาทางหลีกเลี่ยงไม่เอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

ผู้ใดยึดหลักธรรมของสัตบุรุษ ผู้นั้น คือ คนดี ทั้งกาย วาจา และใจ มีความละอาย
และเกรงกลัวต่อบาป มีความมานะพากเพียร มีสติปัญญา ไม่เบียดเบียนใคร และเชื่อว่า
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
หมายเหตุ ผู้สอนสามารถนำหลักธรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมาสรุปเพิ่มเติมได้


หัวข้อ: Re: >>> เย็นยอดกตัญญู <<<
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ กันยายน 29, 2011, 03:20:49 PM

ขอบคุณมากๆครับพี่ ::014::


หัวข้อ: Re: >>> เย็นยอดกตัญญู <<<
เริ่มหัวข้อโดย: ฅนบ้านนอก ที่ กันยายน 29, 2011, 05:23:21 PM

    ผมไม่ขอเอ่ยอะไรอีกนะครับ   เพราะผมเป็นแฟนคลับแนวนี้อยู่แล้ว
    ผมยอมรับว่า ผมเป็นคน เข็มแข็ง รุนแรง เด็ดเดี่ยว  แต่อ่านเรื่องแบบนี้  น้ำตาผมไหลทุกที   ::004::


หัวข้อ: Re: >>> เย็นยอดกตัญญู <<<
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ กันยายน 29, 2011, 07:01:26 PM

ขอบคุณมากๆครับพี่ ::014::

::014::  เรียกอรรถก็ได้ครับพี่   ;)

    ผมไม่ขอเอ่ยอะไรอีกนะครับ   เพราะผมเป็นแฟนคลับแนวนี้อยู่แล้ว
    ผมยอมรับว่า ผมเป็นคน เข็มแข็ง รุนแรง เด็ดเดี่ยว  แต่อ่านเรื่องแบบนี้  น้ำตาผมไหลทุกที   ::004::

รวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด  ::002::


หัวข้อ: Re: >>> เย็นยอดกตัญญู <<<
เริ่มหัวข้อโดย: JJ-รักในหลวง ที่ กันยายน 29, 2011, 07:20:24 PM
ขอเก็บ ไว้อ่าน ครับ ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: >>> เย็นยอดกตัญญู <<<
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ กันยายน 30, 2011, 05:36:39 AM
ขอเก็บ ไว้อ่าน ครับ ขอบคุณครับ

ด้วยความยินดีครับผม  ;)