เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => สนทนาภาษาปืน => ข้อความที่เริ่มโดย: oil ที่ ตุลาคม 19, 2004, 03:20:23 PM



หัวข้อ: case study
เริ่มหัวข้อโดย: oil ที่ ตุลาคม 19, 2004, 03:20:23 PM
คัดลอกมาจากเว็บคมชัดลึก เห็นว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว
 ที่จริงถ้าขอคุณจ่าแกดีๆแบบว่า ไปส่งคุณนายกลับบ้าน แล้วรีบตีรถไปรับนายที่ บก.สส. เพราะมีงานเลี้ยงรับรองทูตทหารจากออสเตรีย@#%&^*%$""...เลยลืมเปิดไฟใหญ่..อะไรประมาณเนี้ย...พูดเล่นนะครับ

150 เมตร ไฟหรี่ส่องไม่ถึง
เวลา 2 ทุ่ม ผมวิ่งรถจะกลับบ้าน ก่อนขึ้นสะพานกรุงธน รถติดที่สี่แยกติดไฟแดง เลยเปิดไฟหรี่ เพราะว่าถนนทางสว่างมากอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินมาหาผม แล้วขอดูใบขับขี่ บอกว่า ไม่เปิดไฟหน้ารถ ผมตอบไปว่าเปิดไฟหรี่เพราะเห็นถนนสว่างอยู่แล้ว และรถแต่ละคันก็เปิดไฟสว่างจ้า ทั้งไฟซีนอนสารพัด ผิดมากนักหรือ ขอแค่เตือนได้หรือเปล่า แต่เขาไม่ยอม

เมื่อพูดดีๆ ไม่ยอม ผมเริ่มโมโหแย้งไปว่า แล้วพวกเปิดไฟสูงใส่ตาชาวบ้านสมควรโดนจับหรือเปล่า หยุดรถตรงสี่แยก ยืนดูรถที่ติดไฟแดง เปิดไฟซีนอนไฟสูง ทั้งนั้น สว่างมากๆ ต้องไปจับคันนั้นซิ เดี๋ยวจะโบกให้ไปจับ ถ้าไม่จับถือว่าคุณละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

ตำรวจบอกว่า "ถ้าคุณไปโบกให้เขาจอด เขาคงลงมาต่อยคุณ" เจ้าหน้าที่พูดอย่างนี้ ไม่มีอะลุ่มอล่วยเลย ตำรวจคนที่ว่า หมายเลขหมวก "640" สน.สามเสน

มานิตย์

ตอบ

เปิดไฟหรี่ ผิดแน่นอน แสงสว่างไม่เพียงพอ

พ.ต.ท.สิทธิชัย ปัญญาวศิน รอง ผกก.จร.สน.สามเสน ชี้แจงว่า ถ้าไฟชำรุดถูกจับอีก ข้อหาใช้รถที่มีอุปกรณ์ไม่สมบูรณ์ แต่ถ้าไฟไม่ชำรุดแล้วเปิดไฟหรี่ ผิดตาม พ.ร.บ.จราจร พ.ศ. 2522 หมวด 2 การใช้ไฟหรือสัญญาณของรถ ในมาตรา 11 ในเวลาที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอที่จะมองเห็นคนหรือสิ่งของในทางได้โดยชัดแจ้ง ภายในระยะทางไม่น้อยกว่า 150 เมตร ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถในทางต้องเปิดไฟ หรือใช้แสงสว่างบางประเภท ลักษณะ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง มีบทกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนไม่เปิดไฟปรับ 500 บาท

ในยามค่ำคืนมืดแล้ว ระยะ 150 เมตร ไฟหรี่ส่องไปไม่ถึง ไม่ตรงตามประเภทที่กำหนดในกฎกระทรวง ถือว่ามีความผิด

ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ถูกต้อง

ลุงแจ่ม



หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 19, 2004, 03:32:52 PM
ไม่รู้ลุงแจ่มหรือผมอ่านภาษาไทยไม่ออกครับ.............

มีแสงสว่างไม่เพียงพอที่จะมองเห็นคนหรือสิ่งของในทางได้โดยชัดแจ้ง ภายในระยะทางไม่น้อยกว่า 150 เมตร "เว้นวรรคขึ้นประโยคใหม่" ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถในทางต้องเปิดไฟ

ผมอ่านได้ความว่า "ระยะ 150 เมตรขึ้นไปมองไม่เห็นคน ผู้ขับรถต้องเปิดไฟ" ::)

นายมานิตย์ก็เปิดๆ ไปเหอะ การตีความ Multi Standards ตามจำนวนตำรวจจราจรก็แย่แล้ว ถ้าจะตีความกันตามมาตรฐานตามผู้ขับรถทุกคนคงยุ่งกว่านี้ :-*


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: carrera ที่ ตุลาคม 19, 2004, 04:11:01 PM
วันนี้โดนจราจรจับสองครั้ง เรื่องเปลี่ยนช่องทางจราจร

ยอม


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ ตุลาคม 19, 2004, 07:28:05 PM
ผมว่าคนทำผิดกฎจราจร............ไม่มีสิทธิ์บ่นนะ ???


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: USP40 ที่ ตุลาคม 19, 2004, 07:37:55 PM
เรื่องเปิดไฟหน้ารถนี่ประเทศไหนก็เหมือนกันเค้าออกกฏหมายนี้มาเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและผู้อื่นที่ใช้ถนนร่วมกัน


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: ...GlockGlack™... ที่ ตุลาคม 19, 2004, 08:42:45 PM
กรณีนี้ผมอ่านใน นสพ. ดังกล่าวแล้วแหละครับ  คนขับผิดชัวร์  ไม่ต้องหาข้ออ้างอะไรเลย  :P


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 19, 2004, 09:13:48 PM
ที่เกาหลี  เขาจะพร้อมใจกันดับไฟหน้าตอนรถติดไฟแดง  เคยเห็นที่อื่นเป็นแบบนี้อีกไหมครับ


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: USP40 ที่ ตุลาคม 19, 2004, 09:16:06 PM
ที่เกาหลี  เขาจะพร้อมใจกันดับไฟหน้าตอนรถติดไฟแดง  เคยเห็นที่อื่นเป็นแบบนี้อีกไหมครับ
:o :o :o


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: coda ที่ ตุลาคม 19, 2004, 09:53:56 PM
ที่เกาหลี  เขาจะพร้อมใจกันดับไฟหน้าตอนรถติดไฟแดง  เคยเห็นที่อื่นเป็นแบบนี้อีกไหมครับ

...ที่ญี่ปุ่นก็เห็นแท๊กซี่ทำเหมือนกันครับ  เพื่อประหยัดน้ำมัน   ;)


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: visith ที่ ตุลาคม 19, 2004, 10:13:18 PM
 ;) ว่าตามประสบการณ์ในท้องถนนนะครับ ในยามค่ำคืน แม้นว่าไฟถนนจะสว่างพอเพียง การเปิดไฟหรี่ ไม่น่าจะนำมาเป็นข้ออ้างได้ เพราะต้องมองในแง่คนใช้รถด้วยกัน ในกรณีรถที่เปิดไฟหรี่ตามท้ายรถผม จะมองผ่านกระจกมองหลังไม่ถนัดนัก และต้องคอยพะวง ดูว่ามันจะไปทางไหน... 8)  ???  ::)
 >:( ส่วนรถที่ติดไฟซีนอนนี่ตัวแสบ โดยเฉพาะพวกรถกระบะ และพวกยกสูง เวลาขับรถ(เก๋ง)สวน หากมองตรงๆเป็นต้องแสบตา หน้ามืด วูบไปชั่วขณะ..อันตรายกว่า...น่าจะมีการจัดการพวกนี้อย่างจริงจัง... >:(


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: BSW ที่ ตุลาคม 19, 2004, 10:30:39 PM

 >:( ส่วนรถที่ติดไฟซีนอนนี่ตัวแสบ โดยเฉพาะพวกรถกระบะ และพวกยกสูง เวลาขับรถ(เก๋ง)สวน หากมองตรงๆเป็นต้องแสบตา หน้ามืด วูบไปชั่วขณะ..อันตรายกว่า...น่าจะมีการจัดการพวกนี้อย่างจริงจัง... >:(


รถรุ่นใหม่ๆ   ติดมาจากโรงงานเลยอ่ะ >:(


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: อั้มแมน ที่ ตุลาคม 20, 2004, 12:13:42 AM
ผมว่า รถที่ไฟสว่างมากๆ ควรหมุ่น สักเกตุ และปรับตั้ง ไฟหน้า ให้ไม่สูงเกินไปด้วยนะครับ เห็นใจคนอื่นเถอะ

ส่วน ตำรวจจราจร ถ้าเรียกขอดูใบ ขับขี่ ผมจะยื่นให้ดูครับ ไม่ให้เค้าเอาไปก่อน  เพราะชอบเขียนใบสั่งทันที  ให้เค้าแจ้งข้อหามาก่อนรับได้ จะ ให้ไปครับ :( :( :(


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: muk ที่ ตุลาคม 20, 2004, 08:02:09 AM
>:( ส่วนรถที่ติดไฟซีนอนนี่ตัวแสบ โดยเฉพาะพวกรถกระบะ และพวกยกสูง เวลาขับรถ(เก๋ง)สวน หากมองตรงๆเป็นต้องแสบตา หน้ามืด วูบไปชั่วขณะ..อันตรายกว่า...น่าจะมีการจัดการพวกนี้อย่างจริงจัง... >:(

ผมขับสวนกับรถที่ไฟสว่างๆ ผมจะใช้วิธีมองเส้นขาวทางซ้ายมือครับ  ;D ;D   ;D


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: มะเอ็ม ที่ ตุลาคม 20, 2004, 08:41:28 AM
ที่เกาหลี  เขาจะพร้อมใจกันดับไฟหน้าตอนรถติดไฟแดง  ..

โดยส่วนตัวกรณีขับรถ..กระบะที่มีไฟสว่างๆของที่บ้าน...ผมดับไฟหน้าเปิดไฟหรี่ตลอดครับ ;D ;D

กลัวโดนด่า...เพราะเราก็ด่าเค๊าเหมือนกัน...


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ ตุลาคม 20, 2004, 08:48:47 AM

 >:( ส่วนรถที่ติดไฟซีนอนนี่ตัวแสบ โดยเฉพาะพวกรถกระบะ และพวกยกสูง เวลาขับรถ(เก๋ง)สวน หากมองตรงๆเป็นต้องแสบตา หน้ามืด วูบไปชั่วขณะ..อันตรายกว่า...น่าจะมีการจัดการพวกนี้อย่างจริงจัง... >:(

รถรุ่นใหม่ๆ   ติดมาจากโรงงานเลยอ่ะ >:(

 ;D โดนครับ เพราะใช้รถไฟซีนอนเหมือนกันครับ ;D แต่มีความเห็นเพิ่มเติมครับ ว่า หากเป็นไฟซีนอนของแท้ที่ได้แสงจากการสปาร์คไฟของสองขั้ว ไฟจะขาว ทำให้ดูเหมือนจ้ากว่าไฟปกติ (ยอมรับว่ามีผลต่อสายตาบ้าง) ซึ่งจะต่างกับพวกไฟซีนอนปลอม ที่ใช้ใส้หลอดแบบเดิมแต่ใช้การเพิ่มวัตต์ของใส้หลอดไฟและทำสีของหลอดไฟเป็นสีน้ำเงิน แสงที่ได้จากหลอดซีนอนปลอมเหล่านี้จะออกฟ้ากว่าและจะจ้ากระจายกว่าซีนอนแท้ ๆ มากแม้เปิดไฟต่ำ โดยหลอดซีนอนปลอมนี้เองตอนนี้นิยมเปลี่ยนมาใช้กันมาก แบบนี้น่ากวดขันหรือห้ามจำหน่ายมากกว่าครับ ;D


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: คนเหนือฟ้า ที่ ตุลาคม 20, 2004, 10:51:00 AM
ทำผิกก็รับเถอะครับ อย่าให้ใครมาตอบเพื่อให้คุณสบายใจหรือพอใจเลย ไม่มีประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น เพราะเงินก็จ่ายไปแล้ว อารมณ์ก็เสียไปแล้ว ถ้ายังเก็บมานั่งคิดๆๆๆๆอยู่อีก ผมว่าขาดทุนย่อยยับ ถ้าจะคิดลองคิดเรื่องฟิล์มฉาบปรอทจะดีกว่ามั๊งเพราะกำลังเป็นช่องทางหากินใหม่


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: Sundance ที่ ตุลาคม 20, 2004, 11:22:49 AM
รถในอเมริกา สตาร์ทเครื่อง ไฟหน้า (ไฟหญ่) เปิดทันที ดับไม่ได้ด้วย ในนิวยอร์ค ถ้าเปิดที่ปัดน้ำฝน
ก็ต้องเปิดไฟใหญ่ด้วย (State Law) ครั้งหนึ่ง ประมาณ 1974-75 ถ้าไม่ใส่ Seat Belt ติดเครื่องไม่ได้


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 20, 2004, 11:38:05 AM
รถในอเมริกา สตาร์ทเครื่อง ไฟหน้า (ไฟหญ่) เปิดทันที ดับไม่ได้ด้วย ในนิวยอร์ค ถ้าเปิดที่ปัดน้ำฝน
ก็ต้องเปิดไฟใหญ่ด้วย (State Law) ครั้งหนึ่ง ประมาณ 1974-75 ถ้าไม่ใส่ Seat Belt ติดเครื่องไม่ได้

งั้นผมไปขายหลอดไฟดีกว่าครับ ;D

แต่มอเตอร์ไซด์ไทยเปิดไฟหน้าผมชอบนะครับ เห็นง่ายดี แต่ที่แย่คือสมัยนี้มีพวกไม่กลัวตายและไม่กลัวคนอื่นเดือนร้อนเอาหลอดไฟท้ายออก สมัยขับรถใหม่ๆ 10 กว่าปีก่อน ไม่เคยเจอมอเตอร์ไซด์ไม่มีไฟท้าย แต่สมัยนี้เจอเกือบทุกวัน :P


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: visith ที่ ตุลาคม 20, 2004, 02:28:10 PM

 >:( ส่วนรถที่ติดไฟซีนอนนี่ตัวแสบ โดยเฉพาะพวกรถกระบะ และพวกยกสูง เวลาขับรถ(เก๋ง)สวน หากมองตรงๆเป็นต้องแสบตา หน้ามืด วูบไปชั่วขณะ..อันตรายกว่า...น่าจะมีการจัดการพวกนี้อย่างจริงจัง... >:(

รถรุ่นใหม่ๆ   ติดมาจากโรงงานเลยอ่ะ >:(

 ;D โดนครับ เพราะใช้รถไฟซีนอนเหมือนกันครับ ;D แต่มีความเห็นเพิ่มเติมครับ ว่า หากเป็นไฟซีนอนของแท้ที่ได้แสงจากการสปาร์คไฟของสองขั้ว ไฟจะขาว ทำให้ดูเหมือนจ้ากว่าไฟปกติ (ยอมรับว่ามีผลต่อสายตาบ้าง) ซึ่งจะต่างกับพวกไฟซีนอนปลอม ที่ใช้ใส้หลอดแบบเดิมแต่ใช้การเพิ่มวัตต์ของใส้หลอดไฟและทำสีของหลอดไฟเป็นสีน้ำเงิน แสงที่ได้จากหลอดซีนอนปลอมเหล่านี้จะออกฟ้ากว่าและจะจ้ากระจายกว่าซีนอนแท้ ๆ มากแม้เปิดไฟต่ำ โดยหลอดซีนอนปลอมนี้เองตอนนี้นิยมเปลี่ยนมาใช้กันมาก แบบนี้น่ากวดขันหรือห้ามจำหน่ายมากกว่าครับ ;D

.... ;) ไม่ได้หมายถึงไฟซีนอนมาตรฐานที่ติดจากโรงงานครับ เพราะเห็นแล้ว แสงออกสว่างขาวแต่ไม่จ้าจนแสบตา ที่เป็นปัญหาคงอย่างที่ นายใหม่ ว่านะครับ... ;)..และอีกไฟนึงที่สร้างปัญหา คือไฟตัดหมอก กลางค่ำกลางคืนวิ่งในเมืองไม่รู้จะเปิดหาพระแสงอะไร...เรียกว่า หน้ารถมีไฟอะไรพี่เปิดหมด เหลือไว้แต่ไฟผ่าหมากนั่นแหละ... >:(


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: coda ที่ ตุลาคม 20, 2004, 02:45:35 PM
...เรื่อง "ไฟผ่าหมาก" นี่ก็อีกอย่างนะครับ  ไม่รู้ว่าวัตถุประสงค์ของมันคืออะไรกันแน่  แต่ก่อนนี้ที่เห็นเป็นประจำคือรถบรรทุกวิ่งผ่านสี่แยกจะเปิด "ขอทาง" ตามชื่อ "ผ่าหมาก" ต่อมาระยะหลังเห็นใช้กันหมดทั้งรถโดยสาร รถตู้ รถเก๋ง สองแถว ทีนี้ไฟกระพริบแบบนี้ถ้าเห็นแต่ด้านข้างมันเหมือนไฟเลี้ยวนะครับ  ผมว่าอาจทำให้เข้าใจผิดและมีส่วนก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้

...ใครรู้ช่วยบอกทีเถอะว่าเจ้าไฟ "ผ่าหมาก" เนี่ย มันเอาไว้ใช้ตอนไหนหรือครับ  ไหนๆ ก็คุยกันเรื่องไฟรถแล้ว :D


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 20, 2004, 03:05:17 PM
ผมว่าเอาไว้เปิดเวลาต้องจอดฉุกเฉินข้างทางครับ แต่เวลาผมจะขับไปต่างจังหวัดจะเอาไฟฉายกระพริบได้ไปด้วย เผื่อรถเสียต้องจอดกลางคืนจะได้เอาตั้งไว้บนหลังคาให้รถที่วิ่งมาเร็วๆ เห็นได้ง่ายกว่า “ไฟผ่าหมาก”


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: oil ที่ ตุลาคม 20, 2004, 04:16:56 PM
ทำผิดก็รับเถอะครับ อย่าให้ใครมาตอบเพื่อให้คุณสบายใจหรือพอใจเลย

ช่วงนี้กะลังเป็นหวัด มีไข้เล็กน้อย ผมเลยอ่านภาษาไม่ค่อยกระจ่าง...เข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดกับผมแล้วมาตั้งกระทู้หาแนวร่วมหรือปล่าวเอ่ยยยย...เค้าป่าวนะตัวเอง...เดี๋ยวไปกินยาลดไข้ก่อนเน้อ


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: ...GlockGlack™... ที่ ตุลาคม 20, 2004, 04:21:36 PM
 ::) สัญลักษณ์ตรงปุ่มกดไฟ มันเป็นรูปสามเหลี่ยมใช่หรือเปล่าครับ ??? น่าจะใช้เฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้น   ทั้งรถและมอเตอร์ไซค์จะชนรถพวกนี้ก็หลายครั้งแล้วครับ  เพราะนึกว่าจะเลี้ยว

ไฟกระพริบอีกแบบหนึ่ง ท่านใดสังเกตบ้าง?  ที่รถคันหน้าจะเปิดไฟเลี้ยวขวา 1 ครั้ง ซ้าย 1 ครั้ง ... แต๊บ แต๊บ...  มันหมายถึงอะไรครับ?


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: 51 ที่ ตุลาคม 20, 2004, 05:14:50 PM


ไฟกระพริบอีกแบบหนึ่ง ท่านใดสังเกตบ้าง? 

ที่รถคันหน้าจะเปิดไฟเลี้ยวขวา 1 ครั้ง ซ้าย 1 ครั้ง ... แต๊บ แต๊บ... 

มันหมายถึงอะไรครับ?


สัญญาณไฟเลี้ยว...ในลักษณะนี้

มักจะใช้กับ  รถขนาดใหญ่ ๆ ครับ

และมักจะใช้...ในลักษณะทางสองช่องทาง  รถวิ่งสวนทางกัน...

รถคันด้านหลัง....หากมีความประสงค์ที่จะ...แซง...รถคันด้านหน้า..ขึ้นไป

โดยมาก...จะพยายามเบี่ยงออกช่องทางด้านขวา...ก่อน...แซง

เพื่อดูรถที่วิ่งสวนทางมา...ว่ามีรถวิ่งมาหรือไม่...

ระยะความห่าง พอที่จะเร่งแซงได้หรือไม่...

ในกรณีนี้ รถคันหน้า...ซึ่งโดยมากเป็นรถบรรทุกสิบล้อ...หรือรถโดยสารปรับอากาศ

ซึ่งมีลักษณะตัวรถ ที่มีความยาวมาก....

ซึ่งมักต้องใช้ระยะทางในการเร่งแซงยาวกว่าปกติ

ผู้ขับขี่รถคันหน้า...จะมองเห็นรถคันด้านหลังทางกระจกส่องข้าง...ครับ

การกระพริบไฟเลี้ยว...ซ้ายหนึ่งครั้ง  ขวาหนึ่งครั้ง....

นั่นจะหมายถึงว่า...มีรถสวนทางวิ่งเข้ามา...อย่าเพิ่งเร่งแซง ครับ

ท่านจะได้ไม่ต้องเสียเวลา...เบี่ยงหลบเข้าช่องทางเดินรถตามปกติ (ก่อนแซง)

อย่างกระชั้นชิดครับ...

และถ้าไม่มีรถวิ่งสวนทางเข้ามา....

รถคันด้านหน้า...จะกระพริบไฟเลี้ยวข้างซ้ายค้างไว้

เป็นอันรู้กันว่า...แซงได้เลย  เพ่......

การกระทำในลักษณะนี้....ถือได้ว่า 

เป็นมรรยาทอย่างหนึ่ง...

สำหรับผู้ขับรถทางไกลในต่างจังหวัด

โดยเฉพาะเวลากลางคืน เส้นทางคดเคี้ยว ครับ

ทำไงได้ครับ...พวกผม...ไม่มีทางด่วนง่ะครับ...

และต้องเดินทางกลางคืนเป็นประจำครับ


จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น....


 

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ ตุลาคม 20, 2004, 05:20:49 PM
ผมว่าเอาไว้เปิดเวลาต้องจอดฉุกเฉินข้างทางครับ แต่เวลาผมจะขับไปต่างจังหวัดจะเอาไฟฉายกระพริบได้ไปด้วย เผื่อรถเสียต้องจอดกลางคืนจะได้เอาตั้งไว้บนหลังคาให้รถที่วิ่งมาเร็วๆ เห็นได้ง่ายกว่า “ไฟผ่าหมาก”

ไฟผ่าหมากกฎหมายไม่รับรองครับ
คุณขับรถ เปิดไฟผ่าหมาก ผ่านสี่แยกที่ๆไม่มีไฟแดง
เกิดชนกัน บอกไม่ได้ว่าให้สัญญาณไฟแล้ว

ที่สำคัญ ไฟผ่าหมากน่ะ แรกเริ่มเดิมที มีตามกม.ต่างประเทศ เพราะเราใช้รถของต่างประเทศ(ญี่ปุ่นมีกฎหมายตัวนี้รึป่าว ถามท่าน anikiดู)

ส่วนใหญ่ไฟผ่าหมากที่ใช้กันได้
เพราะ รู้ๆกัน ระหว่างคนขับรถ เหมือนกะพวกสิบล้อกระดิกไฟเลี้ยวขวา ทั้งๆไม่ต้องการเลี้ยว แต่บอกคันหลังให้ทราบว่า "ห้ามแซง"

ถ้าตีความตามกฎหมาย ไฟเลี้ยวขวาน่ะ เอาไว้เปิดตอนเลี้ยวขวาเท่านั้น แต่เราใช้กันเกินคุ้ม ;D ;D ที่สำคัญมันได้ผล ลดอุบัติเหตุลงตั้งเยอะ

กฎหมายอย่ารู้มากเลย ... ปวดหัว
เขียนอย่าง ใช้อย่าง อาศัย"สามัญสำนึก และความรับผิดชอบ"ดีกว่าครับ
เพราะจะรอออกกฎหมายใหม่น่ะ
คนรู้กฎหมายบ้านเรา รุ้ดีว่าช่องว่างอยู่ไหน ช่องโหว่อยู่ไหน
แต่ไม่คิดแก้ หรือคิดออกกฎหมายใหม่ ก้มหน้าก้มตาใช้กฎหมายอย่างเดียว
อยากให้คนรู้กฎหมาย คิดออกกฎหมายมั่งแค่นั้นครับ

เรื่องจาก นสพ. คมชัดลึกน่ะ
คนที่เปิดไฟหรี่ เขาเห็นว่าถึงมืดค่ำแล้ว แต่ไฟถนนมี ไฟรถคันอื่นมี
ยังมองเห็นได้
ส่วนกฎหมายเขียนไว้น่ะ
ท่าน จนท.กล่าวไว้ ก็มีเหตุผล สงกะสัยต้องตีความกันอีกแหละ


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 20, 2004, 05:51:02 PM
อ้อ เปิดเวลารอเข้าจอด/ถอยเข้าจอดตามที่จอดรถด้วยครับ :)


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ ตุลาคม 20, 2004, 06:43:02 PM
 ;D เรื่องไฟผ่าหมากนี่ก็เหมือนกันครับ ผมเคยเกือดเกิดอุบัติเหตุจากการเปิดไฟผ่าหมากนี้หลายครั้งครับ ... ครั้งที่หนึ่ง เป็นกรณีฝนตกหนัก (หรือไม่หนักแต่บางคนก็ชอบเปิดกัน) เกือบชนรถที่จอดข้างทางเพราะมองไม่ชัดและเข้าใจว่ารถคันนั้นวิ่งอยู่ เพราะตอนนั้น 90% ของรถที่วิ่งอยู่เปิดไปผ่าหมาก ... ครั้งที่สอง เกือบขับรถตัดหน้ารถที่เปิดไฟผ่าหมากผ่านทางแยก แต่! ไฟเลี้ยวหน้าข้างหนึ่งเกิดขาดจึงเข้าใจว่าเขาจะเลี้ยว แต่ดีที่เอะใจว่าทำไมไม่ลดความเร็วและไม่ชิดทางด้านที่จะเลี้ยวจึงหยุดรถได้ทัน ... ครั้งที่สาม ขับรถแซงรถหลายคันในเลนซ้ายกำลังจะผ่านแยกเล็ก ๆ และเห็นว่าทุกคันเปิดไฟผ่าหมากแต่ 1 ในรถที่วิ่งอยู่เลนซ้ายกลับเลี้ยวขวาเข้าทางแยกตัดหน้า ปรากฏว่า รถคันนั้นเปิดไฟเลี้ยวขวา แต่ด้วยความที่รถวิ่งตามกันจึงไม่เห็นไฟด้านซ้าย ผมจึงคิดว่าเขาก็เปิดไฟผ่าหมาก ซึ่งต่างจากคันอื่นที่ผมแซงที่ล้วนแต่เปิดไฟผ่าหมาก โชคดีอีกครั้งที่ใช้ความเร็วไม่มากเท่าไรเลยรอดอีกครั้ง :-\ ;D


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: JJ-รักในหลวง ที่ ตุลาคม 20, 2004, 07:59:15 PM
ถามนอกเรื่องนิดหนึ่งครับ คือว่าถ้าตำรวจเรียกเราให้จอดแล้วขอใบขับขี่ไปโดยที่ไม่แจ้งข้อหา
เราจำเป็นต้องให้หรือเปล่า แล้วจริงๆ แล้ว สัญญาณไฟเหลืองต้องจอดใช่มั้ยครับ (แต่ทำไมมีแต่คนเร่งคันเร่งใส่ทุกที)


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ ตุลาคม 20, 2004, 08:13:54 PM
ถามนอกเรื่องนิดหนึ่งครับ คือว่าถ้าตำรวจเรียกเราให้จอดแล้วขอใบขับขี่ไปโดยที่ไม่แจ้งข้อหา
เราจำเป็นต้องให้หรือเปล่า แล้วจริงๆ แล้ว สัญญาณไฟเหลืองต้องจอดใช่มั้ยครับ (แต่ทำไมมีแต่คนเร่งคันเร่งใส่ทุกที)

 ;D ถ้าจำไม่ผิด เจ้าหน้าที่สามารถเรียกดูใบอนุญาตขับขี่จากเราได้ตลอดเวลาครับ เพราะเราต้องพกใบอนุญาตขับขี่ทุกครั้งเมื่อขับขี่ยานพาหนะครับ ;D


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: นาจา™รักในหลวง ที่ ตุลาคม 20, 2004, 08:41:01 PM
ถามนอกเรื่องนิดหนึ่งครับ คือว่าถ้าตำรวจเรียกเราให้จอดแล้วขอใบขับขี่ไปโดยที่ไม่แจ้งข้อหา
เราจำเป็นต้องให้หรือเปล่า แล้วจริงๆ แล้ว สัญญาณไฟเหลืองต้องจอดใช่มั้ยครับ (แต่ทำไมมีแต่คนเร่งคันเร่งใส่ทุกที)


เราพร้อมที่จะไม่ให้ใบขับขี่เขาดูตามร้องขอหรือเปล่า...นั่นหมายถึงเราไม่ได้กระทำทำผิด...จากง่ายก็อาจจะยากขึ้นได้ ต้องพร้อมที่จะต่อกรครับ :D


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: หลวงริน - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 20, 2004, 10:55:28 PM
สำหรับท่านที่ขับรถเวลาฝนตก

กรุณาอย่าเปิดไฟผ่าหมากเลยครับ....แค่เปิดไฟหรี่หรือไฟใหญ่

รถสวนกันหรือรถตามหลังมาก็เห็นไฟแล้วละครับ

ท่านลองสังเกตุดู...เวลาขับรถตามตูดรถคันหน้าที่เปิดไฟผ่าหมาก

ในเวลาฝนตกสักพักใหญ่ๆ.....ท่านจะตาพร่าลายเพราะมันกระพริบอยู่ตลอดเวลา

อาจเกิดอุบัติเหตุได้


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: carrera ที่ ตุลาคม 20, 2004, 10:58:02 PM
พึ่งรู้ว่าเขาเรียกไฟผ่าหมาก  ;D ;D


หัวข้อ: Re: case study
เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ ตุลาคม 20, 2004, 11:02:43 PM
พึ่งรู้ว่าเขาเรียกไฟผ่าหมาก  ;D ;D

 ;D เรียกตามประสาชาวบ้านน่ะครับ คือไปเปรียบเทียบกับการเตะผ่าหมากครับ คือการผ่าเข้าไปตรงกลางครับ ;D