เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

มีเบื้องหลังอะไรหรือเปล่า อินโดนีเซียด้วย จะว่าประเทศใหญ่ก็ถูก แต่รัสเซียก็ใหญ่ แคนาดา บราซิล..เห็นประชากรเขาไม่ถึงระดับพันล้าน..เลยสงสัยครับ     

ระบบแบ่งชั้นวรรณะในอินเดียเข้มข้นครับ คนวรรณะต่ำไม่ค่อยได้ข้ามชั้น คนวรรณะต่ำมีแนวโน้มมีรายได้น้อย กิจกรรมในชีวิตประจำวันมักเป็นงานหนัก ไม่ค่อยมีเรื่องบันเทิงเริงรมณ์(เพราะไม่มีเงิน) ตกเย็นก็อาจมาเมาแล้วกลับบ้านไปหาความบันเทิงกับครอบครัวที่บ้าน ความสัมพันธ์ในครอบครัวแน่นแฟ้น ไม่ค่อยได้คุมกำเนิด... หัวปีท้ายปี... ไม่ฮาครับ...

หากนึกไม่ออกให้ดูคนงานก่อสร้างประเทศไทยครับ... ทุกไซต์งานต้องมีเด็กเล่นกองทรายก่อสร้างอย่างน้อย 1 คน... ฮา...

ประเทศจีนเดี๋ยวนี้คุมกำเนิดแล้วครับ, มีลูกได้แค่คนเดียว... ใครมี 2 คนมีความผิดถึงขั้นติดคุก, ใครคลอดลูกผู้หญิงอาจต้องเอาขี้เถ้ายัดจมูกเด็ก... อึ๋ยส์...

วิชาการรึเปล่าครับ  ::005::
อินเดีย อินโด ระบบสาธารณะสุขไม่ดี การคุมกำเนิดไม่ได้ผล
จีน 1.อากาศค่อนข้างหนาว ผ้าห่มขาดแคลน 
     2.ใช้ผลิตภัณฑ์คุมกำเนิดไม่ได้มาตรฐาน (ถุงยางก๊อป,ยาคุมปลอม)    ;D
     

นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อินโดนีเซียมีจำนวนประชากรมาก

อินโดนีเซียประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งในการคุมกำเนิดศาสนาไม่อนุญาตให้กระทำโดยเด็ดขาด ยกเว้นมีอุปสรรคอันจำเป็นเท่านั้นนะครับ เช่น หากมีลูกคนต่อไปจะทำให้ผู้เป็นแม่ต้องเสียชีวิต เป็นต้น แต่สามารถชะลอการมีบุตรก็อนุญาตให้กระทำได้ดั่งกรณีที่เรามีบุตรหลายคนแล้วแต่ไม่สามารถแสวงหาปัจจัยยังชีพให้พอกับค่าใช้จ่ายได้ หากมีบุตร (เฉพาะ) ในช่วงนี้ก็จะทำให้เกิดความยากลำบากมากยิ่งขึ้น จึงขอชะลอการมีบุตรไว้ช่วงหนึ่งก่อน วิธีการชะลอก็กระทำได้หลายวิธี เช่น การร่วมเพศให้น้อยลง, การหลั่งนอก หรือการสวมถุงยางอนามัย ทำนองนี้เป็นต้นนะครับ

ในอดีตที่ผ่านมาไม่มีการคุมกำเนิดครับ ประชากรเลยเพิ่มเอาๆจนล้นประเทศแล้วอพยพออกนอกประเทศกันครับ หนึ่งในนั้นมีปู่ผมรวมอยู่ด้วยครับ

ถ้าประเทศไทยต้องถามท่าน มีชัย  วีระไวยทยะ  ครับ     ;D

ญี่ปุ่น,เวียดนาม ก็ประชากรเยอะกว่าไทยครับ ส่วนประเทศทางยุโรปไม่รู้เป็นไงคนมักจะน้อยกว่าเรา   

ประเทศที่ว่านี้ผัวเมียทะเลาะกันบ่อยลูกเลยเยอะครับ

วันๆ ไม่ทำอะไร

ญี่ปุ่นหนัง AV + อุปกรณ์เสริมความบันเทิงเยอะครับ    ::002::

 ::007:: ::007:: ::007:: ::007:: ::007:: ::007:: ::007:: ::007::

เล่นตอบแบบนี้ ใครจะกล้าเถียงพี่ครับ  :<><> :<><> :<><> :<><> :<><>

Ha Ha Ha  ฮา "ฮั่นแน่" อ่ะ  ฮา

ยายก็เป็นแฟนท่าน มีชัย ประกายรุ้ง อ่ะ ฮา
ตอนหนุ่ม "หล่อ"  ระเบิด  อ่ะ ฮา

ท่านทำงาน "รณรงค์"  เรื่องคุมกำเหนิด  สาม สี่สิบปี อ่ะ
ตอนนี้ประชากร  อัตราการเกิด ลดลงเยอะ กว่าเมื่อก่อน อ่ะ
สโลแกน  "มีลูก  ไม่เกินสอง"  อ่ะ ฮา

ส่วนเดี๋ยวนี้ วิวัฒนาการทางการแพทย์  และ ไลฟ์สไตล์ ดีขึ้นอ่ะ
เขาพยากรณ์ว่า  สังคมไทย  จะมีผู้สูงอายุ มากขี้น
แต่ในอนาคต  จะขาดแคลน แรงงาน อ่ะ ฮา

มีลูกคนหนึ่งค่าใช้จ่ายเยอะครับ

สมัยเป็นทหารเกณฑ์ ผมเคยรื้อตู้เอกสารเก่าในกองร้อย  เจอสมุดประจำตัวทหารกองหนุนรุ่นเก่า ฝุ่นเขรอะ สมัยไหนไม่รู้

มีข้อเขียนภายใน ดูคล้าย ๆ จะเป็นโอวาท หรือแนวทางปฏิบัติสำหรับทหารที่ปลดประจำการ

ความคร่าว ๆ ว่า "หลังจากปลดประจำการไปแล้ว ก็ให้มีครอบครัว ให้มีบุตรเป็นตัวแทนพ่อและแม่อย่างละคน

 และมีบุตรให้กับประเทศชาติอีกอย่างน้อยหนึ่งคน เพื่อเป็นการเพิ่มประชากรให้ประเทศชาติมั่นคง..."

อะไรประมาณนี้แหละ

กะคร่าว ๆ เอกสารนั้น น่าจะสามสิบปีกว่า ในปี ๒๕๓๙  ก็คงราว ๆ หลังปี สองพันห้าร้อย แถว ๆ นั้นแหละ

เพราะอินเดียเป็นต้นตำหรับกามสูตรครับ ::008::

              ยืนยันครับ   สูตรที่ลุงหลวงเคยให้ผมไว้ได้ผลดีจริงๆ    ::002::            :D

คนไทยก็เตรียมตัวรับจำนวนประชากรที่จะมีจำนวนมากขึ้นไว้มั่งก็ดีนะครับ
แฟนผมเป็นพยาบาลห้องคลอด รพ.ต่างจังหวัดไม่ใหญ่อะไรมากนัก
ใน1เดือน ต้องมีเด็กอายุต่ำกว่า16ปี มาทำคลอด 5-7คน
2ใน6คน มักจะบอกชื่อพ่อเด็กไม่ใด้
และ 1ใน6คน มักจะมีลูก หัวปีท้ายปี   เมื่อวานก็มีมาคน ลูกคนก่อน อายุ11เดือนครึ่ง
คนใหม่มาอีกแล้ว  แถมไม่ยอมมาฝากท้อง เด็กออกมาก็ร่อแร่ๆ แต่ดันรอด   และที่สะใจกว่าเดิมคือ...
เด็กทั้ง2ราย  ไม่รู้ชื่อพ่อมัน รู้แต่ชื่อเล่น!  (คนละพ่อ)

อีกเรื่องฮา     มีแม่เด็ก พาลูกวัย17มา ตรวจเยื่อพรหมจรรย์ ที่ รพ. เพราะหายออกจากบ้านไป2วัน
พยาบาลทำการสอบสวน ::008::ก่อน ที่จะเข้าห้องตรวจ
"หนูไปไหนมา2วันคะ"    เด็ก "ไปค้างบ้านแฟนค่ะหมอ"
"หนูถูกล่วงเกินรึเปล่า"      เด็กตอบ "ไม่คะ"
"หนูได้ มีเพศสัมพันธ์ กับแฟนใหม?"  เด็ก "เปล่าเลยคะ"
"อ้าว!.. แล้วหนูไปทำอะไรอยู่กะแฟนตั้ง2วัน"    เด็กตอบ "เอากันคะ"  

 ::007:: ::007::  แม่ม เด็กจบ ป.4     บ้านทำงานก่อสร้าง ช่วยที่บ้านเลี้ยงน้อง (มีน้องอีก4 พี่อีก1)
 ::004:: ::004:: อันนี้เรื่องจริง พอคิดไปคิดมา ดันไม่ฮาเอาซะเลย

:OO ::007:: ::007::

ตอบคำถามของท่าน จขกท.ครับ...

เพราะอำนาจของประเทศส่วนหนึ่งมาจาก ปริมาณ ประชากรครับ...  ;D

 

อเมริกายังมีแค่2-3ร้อยล้านเองนะครับ ขนาดรับคนต่างชาติไปเพิ่มตลอด

เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องเผ่าพันธุ์ ไล่ย้อนหลังไปถึงยุคเก่าก่อน ชนชาติไหนเก่ง ก็แผ่ขยายอิทธิพลครอบครองดินแดนไปเรื่อย

อิสลามอย่างที่หลายท่านว่า ผิดหลักศาสนาครับ ห้ามคุมกำเนิด ก็เลยมีเยอะ คุยกะช่างตัดผมประจำ แกก็ฟาดไป5คนละ หาเงินกันเหนื่อยส่งเรียน

ผมว่าพวกญี่ปุ่น,เกาหลี,เวียดนาม น่าจะสปีชีส์เดียวกัน เพราะผิวพรรณ หน้าตาคล้ายกันมาก

คนจีนก็หน้าตาอีกแบบหนึ่ง

ส่วนไทย,พม่า.ลาว,เขมร,มาเล,อินโด,ฟิลิปินฯ พวกนี้ก็น่าสปีชีส์เดียวกัน เพราะผิวพรรณหน้าตาคล้ายกันมาก โดยเฉพาะไทยกะฟิลิปิน  ;D

ประชากรเยอะ ถ้าไม่คุณภาพ ชาติก็ล่มจมครับ ;D

ไม่ต้อง พูดระดับชาติ เราดูกันแค่ในครอบครัวขนาดเล็ก
ถ้าพ่อแม่มีเงิน แล้วลูกไม่รักดี ก็สร้างปัญหาไปอีกแบบ

ครอบครัวยากจน เด็กไม่ได้รับดูแลที่ดีพอ โตมาเป็นปัญหาสังคมอีกแบบ

ชาติ จะแข็งแรง ประชากรต้องมี คุณภาพ มีความรับผิดชอบต่อ ตัวเองให้ได้ ไม่เป็นภาระของชาติ
ต้องมาเลียงดูครับ ไม่ว่าจะต้องเลียงดูจากการ ติดคุก หรือ ช่วยเหลือจากการไม่ทำกิน

 :OO :OO :OO :OO :OO

ผมว่าจีนกับอินเดีย เขาน่าจะปกติเหมือนไทยยุคเบบี้บูมนะครับ ที่เป็นครอบครัวใหญ่เป็นปกติธรรมดา  นอกจากจะแฮปปี้หลับสบายแล้ว มีลูกหัวปีท้ายปีขยายตระกูล  มีตัวสำรองเพราะอนามัยไม่ค่อยดี  มีแรงงานไว้ใช้งานสร้างรายได้เข้าบ้าน  เลี้ยงแบบสบายๆ ไม่ส่งไปพิชิตยอดพีระมิดทางสังคมอะไร

ส่วนอีกขั้วนึง หากติดตามข่าวเรื่องพวกนี้  จะได้ยินบ่อยๆว่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะยุโรป อเมริกา สิงคโปร์ ฯลฯ เขามีปัญหาที่มีแนวโน้มน่าเป็นห่วงคือ ค่าครองชีพสูง คนจดทะเบียนแต่งงานกันน้อยลง หย่าร้างมากขึ้น มีลูกน้อยลง การมีลูกเป็นภาระทาง การเงิน การงาน ของชีวิตคู่

ส่วนไทยเองผมว่าก็น่าห่วงเหมือนกัน  ดูรอบๆตัวได้เลยครับ พ่อแม่มีลูกคนแรก เลี้ยงลูกแค่ปีเดียวก็เหนื่อยจนไม่อยากจะมีคนที่สองแล้ว  พอจะเข้าอนุบาลก็ต้องติว ต้องเล็งอนาคต ดูครู ดูสิ่งแวดล้อม พร้อมฟังรีวิวจากเพื่อนอีก  ยิ่งสมัยนี้พ่อแม่ให้ความสำคัญกับการเรียนของลูกด้วย แทบจะเทหมดหน้าตักกันเลยทีเดียว   :VOV:

กว่าพ่อแม่จะปล่อยวาง สบายใจหมดห่วงได้ ก็ต้องทำงานไปได้ระยะนึง มีครอบครัวแล้ว  เผลอๆก็เกือบ ๓๐ ปี  งานนี้หนังชีวิตไตรภาคสิบรอบครับ  :OO

จีนเขาคุมกำเนิดมานานแล้วครับ ใครที่มีเพื่อนชาวจีน ที่อายุต่ำกว่า25 ไม่ต้องถามว่าเป็นบุตรคนที่เท่าไหร่ เพราะเป็นลูกคนเดียวแน่ๆ
การคุมกำเนิดของจีนมาพร้อมกับการพัฒนาด้านการศึกษาเพื่อเพิ่มศักยภาพของประชากร คนที่มีบุตรสองคนในจีนได้ ก็มีกรณีที่เป็นแฝด
ได้อย่างเดียว

ถูกส่วนหนึ่งครับ ส่วนสาเหตุสำคัญมาจากความเชื่อในลัทธิ ศาสนา(อินเดียเป็นเจ้าแห่งความเชื่อและลัทธิ)  ไม่ว่าใคร วรรณะใดก็ตาม หากเชื่อในลัทธิที่ว่า
การคุมกำเนิดเป็นบาปมหันต์ เขาจะไม่คุม แม้แต่ระดับวรรณะสูงๆ มีภรรยาเยอะ ลูกของแต่ละภรรยามีเท่าไหร่ ก็เอาจำนวนภรรยาx5 (เป็นอย่างต่ำ)ไป

เอาจริงนะ
ขึ้นกับการปกครองครับ ประเทศที่กระจายความเจริญทั้งด้านวัตถุ(ที่เรามักจะใช้คำนี้ค่อนแคะฝรั่ง) เขาก็พัฒนาการศึกษาไปด้วย ให้ความรู้ไปด้วย
ประเทศเหล่านี้เราเรียกว่าพัฒนาแล้ว เราจะเห็นอัตราการเกิด การตาย มักจะไม่เหลื่อมล้ำกันมาก

แต่ประเทศที่โตแต่หัว ความเจริญอยู่ในเมืองหลวง ห่างออกไปมีการพัฒนาน้อย มักมีอัตราการเกิดสูงกว่าอัตราการตายครับ ประชากรเพิ่มไม่หยุดหย่อน

คุณภาพของคนมีผลมากมาย  ฝรั่งเศส  สวีเดน เยอรมัน ประชากรไม่มากเท่าไหร่  แต่ความเจริญของเขามากกว่าเราเยอะ

รัสเซีย แคนาดา ใหญ่ก็จริงครับ แต่พื้นที่ซะครึ่งหนาวเย็นเกินกว่าจะใช้ประโยชน์ได้

บราซิลใหญ่ก็จริงแต่เป็นป่าดงดิบไปซะค่อนประเทศ บราซิลเป็นเจ้าของพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วย

ฮอลแลนด์ประเทศไม่ใหญ่ แต่มีบริษัทอันดับ1ของโลกครับ น่าทึ่งจริงๆ  ::002::


ธุรกิจพลังงานครองโลก ผลประกอบการและกำไรพุ่งแรงสวนกระแสเศรษฐกิจโลกซบ ติดท็อปเทน 500 อันดับบริษัทใหญ่ที่สุดโลกของฟอร์จูน
            ฟอร์จูน นิตยสารด้านเศรษฐกิจการเงินที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกและจัดพิมพ์โดยไทม์ เผยรายชื่อบริษัทขนาดใหญ่ที่ได้รับการจัดอันดับ 500 แห่งทั่วโลก ประจำปี 2555 ซึ่งวัดจากรายได้ผลประกอบการและผลกำไรตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า 8 ใน 10 อันดับแรกตกเป็นของบริษัทด้านพลังงานอย่างธุรกิจน้ำมันและไฟฟ้า
            ทั้งนี้ อันดับหนึ่งตกเป็นของรอยัล ดัตช์เชลล์ หรือเชลล์ บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ร่วมทุนระหว่างอังกฤษกับเนเธอร์แลนด์ ล้มแชมป์สองสมัยซ้อนอย่าง วอลมาร์ท บริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่จากสหรัฐ ด้วยผลประกอบการในปี 2554 ที่ 4.845 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 15 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ถึง 28.1%
            ด้าน เอ็กซอน โมบิล บริษัทน้ำมันจากสหรัฐตามติดมาเป็นอันดับที่ 2 ด้วยรายได้ในปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงถึง 4.53 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 14 ล้านล้านบาท) ขณะที่แชมป์เก่าในปีที่แล้วอย่างบริษัทค้าปลีกวอลมาร์ท ตกมาอยู่ในอันดับที่ 3 โดยมีจำนวนรายได้ที่ 4.47 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 13.85 ล้านล้านบาท)
           ในส่วนของอันดับที่ 4–10 ประกอบด้วยบริษัทน้ำมัน บีพีจากอังกฤษ บริษัทน้ำมันซิโนเพค กรุ๊ป บริษัท ไชนา เนชัน แนล ปิโตรเลียม และบริษัท พลังงานไฟฟ้า สเตท กริด จากจีน บริษัท เชฟรอน และบริษัท โคโนโค ฟิลิปส์ จากสหรัฐ และบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกจากญี่ปุ่น
            สำหรับบริษัทชื่อดังอย่างแอปเปิล ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนยอดนิยมอย่างไอโฟน สามารถทำผลประกอบการและรายได้เพิ่มขึ้นมา 56 อันดับ ติดอันดับที่ 55 โดยมีผลประกอบการในปี 2554 เกือบ 1.083 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.357 ล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2553 ถึง 66%
            รายงานระบุว่า เมื่อนับจำนวนบริษัทที่ติด 500 อันดับของโลก บริษัทในสหรัฐยังคงมีมากเป็นอันดับหนึ่งด้วยจำนวน 132 แห่ง โดยมีจีนตามมาเป็นอันดับที่สองที่ 73 แห่ง และญี่ปุ่นรั้งอันดับที่สามที่ 68 แห่ง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่จีนสามารถก้าวข้ามญี่ปุ่นขึ้นมาได้ในการจัดอันดับ 500 บริษัทขนาดใหญ่ของนิตยสารฟอร์จูน หลังจากที่ก่อนหน้านี้จีนสามารถดันญี่ปุ่นให้ร่วงลงไปอยู่อันดับ 3 ในเรื่องอันดับขนาดเศรษฐกิจของประเทศมาแล้ว
            นอกจากนี้ นิตยสารฟอร์จูนระบุว่า แม้สหรัฐจะยังคงมีจำนวนบริษัทมากที่สุดจากการจัดอันดับ แต่ก็ยังคงอยู่ในสถานะน่าเป็นห่วง เพราะสหรัฐเป็นเพียงประเทศเดียวในการจัดอันดับที่มีจำนวนบริษัทขนาดใหญ่ลดลง โดยจำนวน 132 แห่งในปี 2554 ลดลงจากปีก่อนหน้า ซึ่งมีอยู่ที่ 197 แห่ง แสดงให้เห็นว่าหลายๆ บริษัทขนาดใหญ่ของสหรัฐกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน ที่ในช่วงปีที่ผ่านมา มีบริษัทสัญชาติจีนเพิ่มเข้ามาใน 500 อันดับถึง 12 บริษัท
            สำหรับภูมิภาคยุโรป สถานการณ์ของบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งล้วนแต่เป็นไปในทางเดียวกับสถานการณ์ในสหรัฐ โดยบริษัทสัญชาติยุโรปลดจำนวนลงจาก 172 แห่งในปี 2553 เหลือเพียง 161 แห่งในปี 2554 เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นที่ในปีนี้ลดลงจากปีก่อนหน้าที่มีอยู่ถึง 88 แห่ง
            ขณะที่หากพิจารณาตามประเภทของกิจการที่ดำเนินการ นอกเหนือจากอันดับหนึ่งอย่างธุรกิจพลังงานแล้ว อันดับ 2 ตกเป็นของธุรกิจด้านการธนาคาร และอันดับ 3 คือธุรกิจด้านรถยนต์
นิตยสารฟอร์จูนรายงานเพิ่มเติมอีกว่า แม้จะต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตการเงินในยุโรปและหายนภัยธรรมชาติรุนแรงในญี่ปุ่น แต่บริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลกก็ยังสามารถทำรายได้และทำกำไรได้อย่างดี ซึ่งโดยรวมแล้ว ทั้ง 500 บริษัทสามารถทำรายได้สูงถึง 29.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (914.5 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ถึง 13.2% ขณะที่ผลกำไรเพิ่มขึ้น 7% อยู่ที่ 1.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 49.6 ล้านล้านบาท)
“ขนาดผลกำไรดังกล่าวใหญ่เทียบเท่ากับจีดีพีของประเทศอินเดียทั้งประเทศเลยทีเดียว” นิตยสารฟอร์จูนระบุ

ที่มา: โพสต์ทูเดย์
วันที่: 11 กรกฎาคม 2555
อ้างอิง: http://www.posttoday.com

ผมว่าน่าจะอยู่ที่การครอบครองดินแดนมาตั้งแต่สมัยโบราณครับ เผ่าพันธุ์ที่รวบรวมดินแดนได้มาก ก็สถาปนาเขตแดนแว่นแคว้นต่างๆให้เป็นปึกแผ่น
ทำให้มีประชากรเยอะ เช่นจีนจะประกอบไปด้วยหลายเชื้อชาติหลายเผ่าพันธ์ ประเทศไทยหากในอดีตไม่เสียดินแดนไป ประชากรก็คงเยอะกว่านี้

เพราะว่าสมัยก่อนจีนมีคำที่กล่าวว่า "มีลูกเต็มบ้าน มีหลานเต็มเมือง" คนก็เลยเยอะครับ

ส่วนไทยก็มีคำกล่าวเช่นกันว่า "ลูกมากจะยากจน" ประชากรเราก็เลยน้อยกว่าเขา  ;D

ได้ข่าวว่าอิสลามมีเมียได้ 3 คน นี่เป็นสาเหตุหนึ่งหรือเปล่าครับ

สนับสนุนเหตุผลนี้ครับ ........................

ทั้งสองประเทศนี้เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาแต่โบราณ ................มากมายทั้งดินแดนและประชากร กาลเวลาผ่านมาจึงมีประชากรมากดั่งในปัจจุบัน

อาณาจักรทีรุ่งเรืองแต่โบราณมาก่อนเป็นพันๆปี และเสื่อมลงไปเอง ก่อนอาณาจักรอื่นๆ ในยุคเหล็ก แบบ กรีก โรม เมโสโปเตเมีย อิยิปต์ ล้วนเสื่อมลงจากการเสียดินแดนและประชากร ทำให้มีประชากรไม่มากในปัจจุบัน(เมื่อเป็นประเทศตามแบบปัจจุบัน) ..................ซึ่งหากเราลองเอาดินแดนของอดีตอาณาจักรที่รุ่งเรืองมาก่อนเหล่านี้มารวมกัน ................จะเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่มาก และประชากรก็มากตามด้วย

เหตุผลนี้ ผมยกเว้นทางรัสเซียนะครับ มีอาณาเขตกว้างใหญ่จริง แต่ด้วยความทุรกันดาร แต่ในสมัยโบราณกาลไม่ได้รวมกันเป็นอาณาจักรที่เป็นปึกแผ่น(ส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าสลาฟ ต่างๆ) ทำให้มีจำนวนประชากรไม่เท่าอินเดียและจีน ที่อุดมสมบูรณ์มากกว่า..................

อูยยย กามสูตรอินเดียของวัตสญะ รายละเอียดโคตรเยอะเลยครับพี่ เยอะกว่าตำราซู่หนี่+เต๋าที่แต่งยุคหลังรวมกันเสียอีก 

จะฝึกตามนั้น ต้องมีเมียซัก2โหลไว้ในบ้านเดียวกันถึงจะพอให้ซ้อม  ::005::

 ::005:: ::005:: ::005::

                 ผมจะฟ้องคุณนายติ๋ม    ::013::

ต้นหน............ !
ดำลงได้ ความลึก500 ความเร็วสองในสาม เส้นทางออกทะเลหลวง

http://www.youtube.com/watch?v=8tc5VZF1W0w

รับแซบครับ กะปิตันนนนนน

ไม่พอมั้ง ซ้าย 45 องศา เตรียมเป้าลวงด้วย อิ

:OO ::012::

ไม่ต้องแช่ง ไม่ต้องฆ่า  ::005::

แค่บอกว่าไม่รัก  ก็ตายแล้ว ..............  ;)

อัลฟ่า แว๊นได้45น๊อต ไม่กลัวตอ แต่กลัวเดปชาร์ตครับ  แว๊กกกกกกก

 ::005:: ::005::

เพื่อนคนจีนบอก......

หนุ่มจีนตอนนี้หาคู่ยากมาก เพราะผู้หญิงมีน้อย.....

ผู้หญิงเองก็เลือกตามสบาย ใครไม่เก่ง ไม่รวยจริง....อย่าหวังจะได้แอ้ม

ฟังข่าววันก่อน เค้าสำรวจผู้หญิงจีน เลือกผู้ชาย อย่างน้อยต้องมีรายได้เกิน5หมื่นบาทไทยนะครับ  ::003::

ประเทศที่มีความยากจนกดดันอิสระภาพกันมาก  จะมีประชากรมากเพราะประชาชนไม่มีทางออก  เลยไปออกที่เมีย ::005::

นี่ครับ...ข้อมูลที่น่าเชื่อถือจากผู้เชี่ยวชาญด้านประชากร(หญิง)โดยเฉพาะในแถบเอเชีย    ::005::

                          ห้าหมื่นต่อปีก็ไม่ใช่มากนี่นาน้าเบ้อเริ่ม 

ผมว่าน่าจะ 50000/เดือนนะครับ ลุงปู ดูเมื่องใหญ่ในจีน อาจไม่พอกินด้วยซํ้า

สาวไทย สมัยนี้ สเป็กน่าจะสูงกว่า รุ่นเดียวกัน(30)
คุยในวงเหล้า มันหวังไว้ 100000/เดือนแถมต้องมี อสังหาพร้อมด้วย

ได้ยินแบบนี้ ตรูไปหลอกเด็กดีกว่า ยังไงก็ไม่เกิน 20000/เดือน
ชีวิต อิสระไร้ปลอกคอ :DD

หลอกเด็กไม่มีปลอกคอ  แต่อาจมีปลอกแขนขึ้นมาแทนนะคุณโป้ง ::005:: ::005::

โชคดีที่ไทยมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย    :<><> :D~

คนต่างชาติตอนนี้มุ่งหน้ามาหาเมียไทยครับ.....ทั้งจีนทั้งฝรั่ง
เพราะ (ที่น่าเจ็บใจ) ถูก และ ชื่มชมต่างชาติ....

ระวังโดนเด็กมันหลอกเอานะครับ...

สาวๆ ที่หวังมาเกาะผู้ชายมีฐานะกิน 99% ด้อยคุณภาพทั้งฐานะทางสังคมและการศึกษาครับจึงต้องอาศัยรูปสมบัติตัวเองหวังอัพเกรดตัวเองไปอีกระดับ
สาวทั่วไปแบบไหนก็ได้ครับ แต่ถ้าหวังร่วมชีวิต ต้องมาแล้วช่วยเสริมกันและกันครับ ไม่ใช่มาอย่างปลิงท่าเดียว
 สาวๆ ที่มีคุณภาพในการดำเนินชีวิต บางทีแม้ฐานะทางวัตถุจะด้อยแต่ มีคุณธรรมขยันทำมาหากิน ไม่งอมืองอเท้า กรีดกรายใช้เครื่องสำอางค์โบ๊ะหน้าไปวันๆ
แบบนี้ถือว่าผ่านครับ เพราะเราใช่จะคบกันที่ฐานะเท่านั้นครับ

เยี่ยมครับ....+ไป

เห็นด้วยครับพี่ดุล  ::002:: +

ใช่ครับต่อเดือน  ;D


แล้วเพื่ิอนคุณPong CB1300sf  เธอมีคุณสมบัติอะไรเท่าที่คาดหวังจากผู้ชายมั้ยล่ะครับ ผู้หญิง30อัพแล้ว ยังวางสเป็คไว้สูง อาการน่าเป็นห่วงครับ ผู้หญิงอายุ30อัพ เริ่มแก่ละ ไม่เหมือนผู้ชาย30กว่ายังหนุ่มๆอยู่  :D

ผมจบ บริหารโรงแรมครับ
สาวสาว ที่จบมารุ่นเดียวกัน ไปเป็น แอร์/เซล์ /พนักงานต้อนรับ ส่วนใหญ่
อยู่ในระดับ ปานกลาง ฐานเงินเดือน 30000-50000 บาทมีบางส่วนที่้เก่ง (คนในวงเหล้า)
ฐานเงินเดือนสูงมากกว่าทั่วไป ถ้าหนุ่มจะเข้าไปจีบนี่ต้อง เจียมตัวกันเลยที่เดียว

ส่วนคนที่ตั้งเป้าไว้สูง ได้คุยกันตอน มีตติ้งของ ห้อง
สาวคนนี้ต้องยอมครับ เงินเดือน 80000 โสดไม่มีแฟน หน้าตาดีพอใช้
ฐานะปานกลาง  เป้าเค้าเลย ต้องการหนุ่มหล่อ เงินเดิน 100000 ขึ้น ที บ้าน/รถพร้อม ครับพี่  ::014::

ตอนฟังสเปกแล้วก็อึ้ง  ครับ  :)

เดี๋ยวพออายุมากขึ้นเรื่อย ๆ คงลดเกรดลงมาเองแหละครับ   ;D

หนุ่มหน้าตาดี เงินเดือน100,000+ บ้านพร้อม รถพร้อม ไม่สนใจผู้หญิงอายุ30ที่หน้าตาดีแค่พอใช้ แต่ดันโฟกัสมาที่รายได้ครับ

กับสาวที่โฟกัสมาที่รายได้ หนุ่มพวกนี้เค้าดักสาวอายุ25- ที่หน้าตาดีมากมาเคี้ยวเล่นจะสบายอารมณ์กว่า อร่อยกว่าเยอออออะ  ;D

พอซัก 40 คงจะอะไรก็ได้ ดูพอใช้และไม่เกาะเค้ากิน  ;D

::005:: ::005:: ::005::

พี่จ้าวนี่อ่านขาดจริงๆ รวยแล้วหาเด็กดีก่า  :D

ถ้าตามไหวนะ เด็กมันยังวัยรุ่นรักสนุก เดี๋ยวเค้าว่าพวกป๋าเลี้ยงเด็กอีก  ::005::

                       ธรรมชาติครับน้าเบ้อเริ่ม    วัวแกกะหญ้าอ่อน  มันคู่กัน   ::008::

กว่าไปปลายๆ ก็เริ่มแก่แล้วน๊ะน้อง หึๆๆ

อืมคอมเม้นต์ได้ดีครับลุง

ชะอุ้ย............โดนรุม เผ่นดีกว่า  ::005::

ไม่ใช่เท่าแต่ผู้ชายที่คิดแบบนี้นะ  ผู้หญิงเค้าก็คิดเหมือนกัน   ;D

โดนใจครับกด +  ;D  ;D

เขาไม่ได้อ่านขาด แต่สเปคนั้น ตรงกับตัวเขาเอง....

แหงะ ผมเงินเดือนเจ็ดพันเองครับพี่  :~)




ผมแค่หน้าตาดี มีซิกแพค  ::005::

สุดท้ายก็จะเหลือ... ขอให้เป็นผู้ชายก็พอ... ใช่มั๊ยครับ... ::005:: ::005:: ::005::

น่าสงสารครูต้น น๊ะครูหมูน๊ะ.....

แกรอเวลานั้นอยู่ สงสัย? ::005:: ::005:: ::005::

เรื่องนี้ต้องลองดูตั้งแต่ก่อนยุคปฎวัติอุตสาหกรรมครับ พิจารณาปัจจัยพื้นฐานทั่วไป ถ้าปัจจัยเกื้อหนุนกันก็มีโอกาสที่พื้นที่ใดๆ มีประชากรเยอะได้

ทั้งนี้มีสองมิติคือ เขตทางการเมือง (ประเทศนั่นและพครับ) หรือความหนาแน่นในพื้นที่ต่างๆ ที่เท่ากัน

ปัจจัยพื้นฐาน

๑. ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่
๒. ระดับของรูปแบบสังคมเป็นหลักแหล่ง ทำการเกษร
๓. ความยาวนานของรูปแบบสังคมทำการเกษตร

๑. ความอุดมสมบูร์นั่นก็รู้กันอยู่ว่าสำคัญยังไง

๒. สำหรับความสำคัญของสังคมเป็นหลักแหล่ง ทำการเกษตรผลิตอาหารเองนั้น ก่อนยุคทำการเกษตร ระบบสังคมชนเผ่าแรกเริ่มทำมาหากินแบบที่วิชาสังคมศาสตร์เรียกว่า ทำมาหากิน Hunting gathering ไล่ล่าหาเก็บ (ซึ่งรวมทั้งแบบที่อยู่ตามชายฝั่งหาอาหารทะเลตามหาด หรือ Beach combing ด้วย เรียกเป็นไทยว่า กวาดหาดคงได้ครับ )

ในสังคมระดับนี้ อาจมีการใช้เครื่องมือหินต่างๆ แต่จัดว่าเป็นยุคหินเก่า คือยุคหินที่ไม่ทำการเกษตร คนจะต้องเร่ร่อนย้ายไปเรื่อยตามฝูงสัตว์ หรือตามการออกผลของพืช

...สิ่งสำคัญคือ "แม่ต้องอุ้มลูกไปด้วยจนกระทั่งลูกเดินตามเผ่าได้เอง" อาจต้องอายุ ๓-๔ ปีอย่างน้อย ความถี่ของการมีลูกจึงต่ำ

และยังมีปัจจัยอีกว่าสังคมแรกเริ่มแบบนี้หาอาหารไม่ค่อนพอ ความเป็นอยู่ลำบาก ผจญกับธรรมชาติรุนแรง ที่พักไม่มั่นคง การตายของประชากรเด็กสูง และผู้ใหญ่อายุไม่มาก

รวมทั้งเป็นชุมชนประชากรน้อย เพราะต้องใช้พื้นที่มากในการหากิน การมีลูกกันก็อยู่ในกลุ่มพันธุกรรมแคบๆ ไม่แข็งแรง หรือพันฒาพันธุ์ต่อสู้กับโรคได้

เปรียบเทียบพื้นที่อุดมสมบูรณืเหมือนกัน แต่ระดับสังคมต่างกัน จะเห็นว่าความหนาแน่นประชากรต่างกันมาก เช่น จีน อินเดีย กับอัฟิกากลาง และอเมริกาเหนือ ที่ก่อนยุคสมัยใหม่ยังเป็นสังคมไล่ล่าหาเก็บ ในพื้นที่เท่ากัน ถึงมีประชากรเป็นล้าน แต่ก็ไม่ใช่หลักร้อยล้าน

๓. ความยาวนานของสัมคมที่ทำการเกษตร  ...ถ้าดูอายุของอารยธรรมที่ต่างๆ เทียบกัน จะพอเห็นแนวโน้มทั่วๆ ไปได้ว่าที่ๆ มีสังคมเกษตรอยู่มานานกว่าประชากรหนาแน่นกว่า

ทั้งนี้ก็มีข้อจำกัดทางความอุดมสมบูรณ์ด้วย เช่น ลุ่มแน่น้ำไนล์ อารยธรรมอียิปต์อยู่มาหลายๆ พันปี แต่มีข้อจำกัดความอุดมสมบูรณ์อยู่แค่พื้นที่แม่น้ำไนล์ท่วมถึงทำให้สังคมขยายหญ่มากไม่ได้ แต่ในพื้นที่อุดมสมบูรณ์ของที่ัคับแคบเหล่านี้ความหนาแน่นของประชากรสูงมาก ความคับแคบของญี่ปุ่นก็เหมือนกัน

สำหรับประชากรยุโรป เทียบกับเอเซียอย่างจีน/อินเดียนั้น ขอคุยในโอกาสต่อไปครับ

ลองดูข้อมูลนี้ครับ แค่เอเซียในตารางนี้รวมรัสเซียและตะวันออกกลางด้วย

http://www.vaughns-1-pagers.com/history/world-population-growth.htm

+1 ท่านดอนฯครับ... :D

 ::014::     สวัสดีครับน้าต๊อก  อาหมอ      ;D

สวัสดีครับพี่รุตพี่ปู ขอคุยต่อ...

ตามลิงค์นี้ ตัวเลขที่ประมาณกันไม่มียุคโบราณ เริ่มที่ ศ.๑๗ ไปแล้ว และเอเซียยังรวมตะวันออกกลางกับรัสเซียอีกด้วย ซึ่ง "เอเซีย" ในที่นี้ มีประชากรมากกว่ายุโรปประมาณ ๓ เท่า

อย่างไรก็ตามทำให้เห็นว่าที่จริงความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่อุดมสมบูรณ์ไม่ได้ต่างกันอย่างน่าแปลกนัก...

เพราะถ้าเปรียบกันจะเห็นว่า พื้นที่อุดมของจีน หรืออินเดีย แหล่งเดียวก็เกือบพอๆ กับพื้นที่อุดมของยุโรปแล้ว และอายุอารยธรรมเกษตรของเอเซียกลาง ใต้ และตะวันออกกลาง ก็เก่ากว่าส่วนมากของยุโรป

ในยุโรป ถึงแม้จะรวมกรีกโบราณเข้าไป หาร่องรอยอารยธรรมเกษตร ซึ่งเป็นเมืองหลักแหล่ง เก่ามากสุดประมาณแค่ ๓ พันปี ส่วนในยุโรปตะวันตก-เหนือ แทบไม่มีเลย บางที่มีซากโบราณบางชนิดของอารยธรรมบรอนซ์ซึ่งแสดงว่าเป็นชุมชนกาเกษตร แต่เป็นข้อยกเว้น ไม่ใช่มาตรฐานชุมชนทั่วไป

ต่างกับทางเอเซียของตารางนี้ซึ่งมีอารยธรรมขนาดใหญ่เก่ากว่า ๓ พันปี อยู่มาก

อีกเรื่องหนึ่งคือ ที่จริงยุโรปไม่ได้อุดมสมบูรณ์สำหรับการใช้ชีวิตเกษตรดั้งเดิมนัก เรามักติดกับภาพยุโรปยุคใหม่ที่พัฒนาอุตสาหกรรมและเทนโนสมัยใหม่แล้ว แต่ที่จริงในยุคโบราณไม่ว่าคลาสสิก กรีก โรมัน หรือยุคกลางยุโรปมีการขาดแคลนอาหารเป็นระยะเพราะพืชผลไม่ดี มีภาวะอดอยาก และเป็นสาเหตุหลักสาเหตุหนึ่งของการอพยพย้ายถิ่นของชนเผ่าต่างๆ

สำหรับเมืองชายทะเลที่ทำการค้าได้ไกล ในหลายกรณียังต้องพึ่งอาหารอิมพอร์ตจากโพ้นทะเ แม้ในยุคโบราณขนาดกรีกโบราณ กลุ่มพันธมิตร เอเธนส์-สปาร์ต้า ในยุค ๔ ศ. ก่อน ค.ศ. ในที่สุดสปาร์ต้ายังต้องไปเป็นพันธมิตรกับเปอร์เซีย เพื่อขอกำลังทางทะเลตัดเส้นทางลำเลียงข้าวไปยังกลุ่มเอเธนส์

(ครับ สงครามระหว่างกรีกกันเอง พวกหนึ่งไปเป็นมิตรกับศัตรูเก่าเพื่อเอาชนะคนวัฒนธรรมใกล้กัน ภษษา ศาสนาเหมือนกัน เรื่องที่ฝรั่งปัจจุบันที่ชอบอ้างอิง และยกวัฒนธรรมกรีกว่าเป็นรากฐานอันเท่ของตนไม่ชอบกล่าวถึง หรือเอามาสร้างหนัง)

นอกจากความอุดมของพื้นที่ทำการเกษตรได้แล้ว ในยุคโบราณก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ระบบการเมืองและสังคมก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ความหนาแน่นของประชากรต่างกันได้

คือ ระบบการปกครองรวมศูนย์ทำให้ประชากรหนาแน่นมากกว่าระบบกาปกครองกระจายอำนาจ

 น้าต๊อกบรรยายสนุกดี.....  ::002::

ขอบคุณครับ....

ทั้งนี้เนื่องจากระบบการปกครองรวมศูนย์นั้นส่งเสริมให้เกิดสังคมเมืองใหญ่มากกว่าเมืองเล็กๆ หรือหมู่บ้านกระจายตัวในระบบการปกครองกระจายอำนาจ ไม่ว่าในยุคโบราณหรือยุคปัจจุบันก็มีแนวโน้มอย่างนี้

ทั้งนี้ในยุคการเกษตรนั้น ก็ตามที่รู้กันว่าชาวบ้านมักนิยมการมีลูกมากเพื่อเป็นแรงงาน แต่อย่างไรก็ตามพื้นที่อุดม และ/หรือ พื้นที่ถือครองก็เป็นข้อจำกัดในการทำมาหากินว่าสามารถเลี้ยงคนได้เท่าไหร่ ไม่ว่าเป็นการเกษตรเพาะปลูก หรือการเกษตรเลี้ยงสัตว์ (เพราะก็ต้องใช้พื้นที่ หรือเก็บพืชมาเลี้ยงสัตว์อยู่ดี)

แต่สังคมเมืองใหญ่ มีลักษณะเด่นที่ต่างกับสังคมหมู่บ้านมากที่สุดคือ มีการค้าขายสินค้าสำคัญระยะไกลโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจำนวนมาก คือมีพ่อค้าทำการค้าขายสินค้าอาหารจากแดนไกลนั่นแหละครับ ซึ่งเป็นผลิตผลอาหารที่ไม่ถูกจำกัดโดยพื้นที่อุดมนั้นๆ และนอกจากนี้เมืองยังมีอาชีพอื่นให้คนทำได้คือการเป็นช่างฝีมือประเภทต่างๆ มีอาชีพค้าขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งในเมือง ในพื้นที่โดนรอบ และพื้นที่ห่างไกล ส่งเสริมความหนาแน่นของประากรมากขึ้น

ในเรื่องประวัติศาสตร์ความหนาแน่นของมนุษย์เปรียบเทียบที่กำลังคุยกันนี้ ประเด็นที่สำคัญ และส่งผลต่อการเพิ่มประชากรในเอเซียและยุโปรที่ต่างกันคือ ทิศทางการเปลี่ยนแปลงกาปกครองกระจายอำนาจ-สังคมหมู่บ้าน กับการปกครองรวมศูนย์-สังคมเมือง ในภูมิภาคต่างๆ ในโลกนั้น ไม่ได้เป็นไปในทางเดียวกัน หรือในจังหวะที่เท่ากัน

สถานการณ์ทางการเมือง และวัฒนธรรมที่ต่างกันทำให้ทั้งทิศทางและจังหวะของการเปลี่ยนแปลงต่างกันไป ดังนี้...

จีน อินเดีย เป็นคนขยัน ขัน แข็ง  ;D

+1 พี่ DON

 :<< :<< :<<

 ::014::

+969 ให้คุณ Don Quixote ครับ

 ::014::+1 คุณต๊อกครับ...ความรู้ล้วนๆ

อาว์ อ๊าว นี่ไง สาเหตที่แท้จริงๆ  ::002:: ::008::+

จริงครับพี่ .............. ผมเห็นด้วย ..........  ::008::

ดูระบบวัฒนธรรมการเมืองยุโรปที่มีผลต่อ ความเป็นเมือง (และประชากรต่ามที่กล้าวไปแล้ว)

ในโลกยุคโบราณจะเห็นว่าเมืองส่วนใหญ่จะอยู่รอบชายฝั่งเมดิเตอเรเนียน เริ่มจากฝั่งตะวันออกแพร่ไปเรื่อยๆ จากสถานีการค้า ฯลฯ พัฒนาเป็นเมืองท่าชายฝั่ง พวกแรกๆ ที่ไปสร้างเมืองท่าเหล่านี้คือฟินิเซียน ตัวเอย่างที่ดีคือเมืองคาดิซ ชายฝั่งใต้ของสเปน เลยยิบรอลต้าออกไปทางตะวันตกอีก อายุประมาณ ๓ พัน ๑ ร้อยปี เรียกได้ว่าเป็นเมืองเก่าที่สุดเมืองหนึ่งในยุโรปตะวันตกที่เป็นชุมชนต่อเนื่องมาตลอด

อย่างไรก็ตามเมืองต่างๆ ของชนชาติต่างๆ ในยุโรปยุคนี้ไม่ได้มีระบบกระปกครองรวมศูนย์เป็นระบบ อยู่ในลักษณะการสร้างถิ่นฐานใหม่โดยกลุ่มอิสระมากกว่า

ต่อมาในยุคกรีก ซึ่งมีบทบาทเด่นชัดตั้งแต่เกือบ ๑ พันปีก่อน ค.ศ. มาจนถึงประมาณ ๒๐๐ ปีก่อน ๕.ศ. เมื่อรบแพ้โรมัน ชุมชนและเมืองของคนวัฒนธรรมและพูดภาษากรีกโบราณ (ต่างกับภาษากรีกปัจจุบันขนาดคนปัจจุบันไม่รู้เรื่อง ต้องเรียนเป็นเรื่องเป็นราว) มีกระจายตามชายฝั่งเมดิเตอรฯ ตั้งแต่ตุรกี กรีซ อิตาลี ถึงสเปนปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตามความเป็นนครรัฐของกรีกนั้นเป็นอิสระแยกจากกัน เมืองใหญ่ที่สุดก็มีประชากรแค่หลักหมื่น และในระยะเวลายบาวนานของอารยธรรมกรีกโบราณ ไม่มีการรวมศูนย์การปกครองแข้มแข็ง อย่างต่อเนื่อง เป็นแค่พันธมิตรในความขัดแย้งระหว่างกันเองและระหว่างคนนอกเท่านั้น (ที่สำคัญคือเปอร์เซีย)

ระบบการปกครองรวมศูนย์ขนาดใหญ่ มีระบบระเบียบ และยาวนานมากระบบแรกของยุโรปก็คือโรมันเจ้าเก่านี่เอง...

...ก่อนเข้าเรื่องโรมัน ขอคุยว่าที่จริงในยุโรปก็มีอารยธรรมยุคบรอนซ์ในภาคพื้นทวีปอยู่มากแล้ว (กรีกเริ่มเปลี่ยนจากยุคบรอนซ์มาใช้เหล็กเมื่อประมาณ ๘๐๐-๑,๐๐๐ ปีก่อน ค.ศ.) ตั้งแต่เหนือถึงใต้ เกาะอังกฤษ (และไอร์แลนด์) ถึงสเปนมีแหล่งโบราณคดีที่มีหลักฐานการก่อสร้างของชุมชนยุคบรอนซ์ เช่น สโตนเฮนจ์ และสุสานหินในภาคใต้ของสเปน ชี้ให้เห็นว่าชุมชนต้องมีขนาดใหญ่พอควร แต่ไม่มีหลักฐานสำคัญคือภาษาที่อ่านออกเขียนได้ (อย่างน้อยก็ตามที่นักโบราณรู้ในปัจจุบัน) หลายแหล่งจึงจัดว่าอยู่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ จึงน่าจะพอสรุปคร่าวๆ ตามข้อมูลปัจจุบันได้ว่าไม่ได้เป็นชุมชนที่มีชนาดใหญ่เท่ากับเมืองชายฝั่งเมดิฯ ข้างต้น และไม่ได้มีระบบการปกครองรวมศูนย์ที่มีนัยยะสำคัญในการขยายตัวของเมืองอย่างชัดเจน

+๑  ให้คุณ Don Quixote  ครับ   ::014::

ขอบคุณครับ

ในยุคกรีก ซึ่งสถานกาณ์เอื้อต่อการค้าขาย เพราะมักอยู่ริม หรือใก้ทะเลแล้ว ยังประมาณว่ามีประชากรแค่ 10% อาศัยอยู่ในเมือง ที่เหลือทำมาหากินสในพื้้นที่ชนบท

แต่ในยุคโรมัน โรมันมีระบบการปกครองรวมศูนย์ที่เป็นระบบระเบียบมาก แบ่งเขตการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบเดียวกัน ส่งผู้ว่าซึ่งเป็นผู้นำทางทหารด้วยจากส่วนกลางไปปกครอง และโรมันใช้ระบบมาตรฐานประชาชน คือทีระบบสัญชาติโรมัน สถานภาพของคนในสังคมคือสถานภาพทางกฎหมาย คนที่ได้สัญชาติโรมันถึงจะเป็นคนพื้นเมืองที่ไหน อิตาลี ยุโรปเหนือ ใต้ อัฟริกาเหนือ ตะวันออกกลาง ก็มีสิทธิทำงานทำการ ย้านถิ่น ได้ตามปัญญา เป็นสมาชิกสังคมเต็มขั้น ไม่ใช่สมาชิกสังคมขึ้นอยู่กับเชื้อชาติเหมือนอย่างสังคมโบราณอื่น

กระกอบกับการที่มีความรู้เทคนิกทางโยธาสูง สร้างถนน ระบบส่งน้ำ ดีมาก ขนส่งอาหารเลี้ยงคนหนาแน่นในเมืองใหญ่ได้ ทำให้เมืองขยายตัวอย่างมากทั้งส่วนกลางที่โรม และเมืองในภูมิภาค

กรุงโรมเอง เมื่อใหญ่ที่สุดประมาณ ค.ศ.ที่ ๒ มีประชากรกว่า ๑ ล้านคน มากที่สุดในโลกยุคยุโรปโบราณ และต่อมาเมื่อโรมของโรมันล่มลง ยุโปรไม่มีเมืองใดประชากรเกิน ๑ ล้านคนอีกเลย จนกระทั้งถึงลอนดอนในศตวรรษที่ ๑๙

ในยุคโรมัน ประมาณว่ามีประชากรอาศัยในเมืองถึง 25% ถ้านับเมืองขนาดประชากรเกิน ๑ หมื่นคน ถ้านับเมืองที่เล็กกว่านี้ (ซึ่ผมคิกว่าควรนับเพราะในยุคโบราณเมืองประชากรหลายพันคนก็เป็นสภาพเมืองที่ต่างจากชุมชนการเกษตรท้องถิ่น) อาจมีประชากร "ชาวเมือง" ถึง 40%

...อัตราส่วนของคนในเมืองที่มากขึ้นก็คือตัวชี้จำนวนประชากรรวมที่มากขึ้นนั่นเอง

ศตวรรษที่ ๕ โรมแตก เอมเปอเรอหนีออกจากโรม ระบบโรมันล่มสลาย ระบบราชการโรมนตามภูมิภาคในจักรวรรดิก็ล่มสลายไปด้วย

ยุโรปมีสถานการณ์สืบเนื่องมาจากศตวรรษที่ ๔ ที่สำคัญคือการอพยพย้านถิ่นอย่างกว้างขวางของชนเผ่าเยอรมัน และชนเชื้อชาติเหนือรวมๆ ในประวัติศาสตร์ยุโรปเรียกว่า The great migration

คือในยุคโรมัน โรมันยึดครองพื้นที่ภาคพื้นยุโรปเหนือตั้งเป็นจังหวัดโรมันถาวรในฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์ทั้งหมด จนไปถึงพรมแดนสก๊อตแลนด์ ส่วนพื้นที่ประเทศเยอรมันปัจจุบันทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไรน์ และสแกนดิเนเวียโรมันไม่ได้เข้าไปยึดครองถาวร มีข้ามไปตีบ้าง เช่น สมัยจูเลียส ซีซ่าร์ เป็นแม่ทัพ สร้างสะพานข้ามแม่น้ำไรน์ส่งกองทัพไปทำสงครามสั่งสอยพวกเผ่าเยอรมันประมาณ ๑ เดือน แล้วก็ยกพลกลับ รื้อสะพานเสียด้วย พวกนี้ก็เป็นคนป่าในสายตาโรมัน ซึ่งต่อมาก็เป็นพวกที่มาตีโรมแตก

พวกนี้ชื่อก็คุ้นๆ กัน สำคัญๆ ก็พวก โกธต่างๆ ที่ต่อมาแยกเป็นกลุ่มตะวันออก ตะวันตก/ ลอมบาด (ที่มาของแคว้นลอมบาดี)/ เวนดัล (ที่มาของคำเวนดัลลิส เพราะเขาว่าพวกนี้ทำลายเมืองเก่งนัก) ฯลฯ

พวกนี้ย้ายไปย้ายมาท้าทายอำนาจโรมันและตีกรุงโรมแตกแล้ว เกิดภาวะ "ฝุ่นตลบ" ในยุโรป พวกชาวบ้านเมืองท้องถิ่นก็ก็คุมกำลังกันเองในพื้นที่ และเมื่ออำนาจส่วนกลางหายไปผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นก็เริ่มแตกตัวไม่อยู่กับเมืองที่เจ้าเมืองเคยเป็นคนจากโรมส่งมา ในยุคโรมนั้นเป็นปกติที่มักมีการแข็งข้อบ้าง แต่โรมก็ส่งกองทัพมาปราบอย่างเด็ดขาด เจ้าเมืองโรมันถึงคุมเมืองใหญ่อยู่ได้

...ส่วนพวกย้านถิ่นก็ย้านต่อไปเรื่อง วนไปวนมา พวกโกธกับเวนดัลลงไปยึดพื้นที่สเปนปัจจุบันได้ พวกเวนดัลยังแถมทะลุลงไปถึงอัฟริกาเหนือ ไล่ไปตามชายฝั่ง (ช่างย้ายจริงๆ) ถึงตูนีเซีย และวกกลับขึ้นไปอยู่อิตาลีภาคใต้ เส้นทางอื่นในยุโรปของหลายๆ เผ่าก็ซับซ้อนพอๆ กัน เรียกว่าเป็นยุคที่ทำให้ฝรั่งผมทองไปแทรกอยู่ในทุกมุมของยุโรปว่างั้นเถอะครับ

พวกโกธซึ่งเป็นกลุ่มที่มีบทบาทมากนี่มาจากทางใต้ของสวีเดน สมัยนี้ก็มีเกาะก๊อตลันด์อยู่ แต่สมัยน้้นคือพวกที่มาจากแผ่นดินใหญ่ตอนใต้ของสวีเดนเป็นหลัก

...ก่อนจะไปต่อขอคุยว่าต่อมาในยุคกลางยุโรปมีศิลปะที่เรียกว่าโกธิก แต่ไม่ใช่ของพวกโกธนี่สร้างนะครับ เป็นชื่อที่คนยุโรปยุคกลางศตวรรษที่ ๑๑-๑๔ เรียกกันไปเอง สมัยที่พวกโกธมีบทบาทและมีความเป็นตัวของตัวเองนั้นเป็นยุคต้นของศิลปะแบบโรมานเนกส์ เพราะที่จริงโกธไม่ชอบสร้างอะไรเป็นศิลป์มาก อย่างเก่งก็สร้างป้อมหน้าตาถึกๆ

ภาวะฝุ่นตลบในยุโรป ซึ่งทำให้เกิดการเมืองแตกตัว และเกิดการคุมอำนาจท้องถิ่นอย่างเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ จนพัฒนาการการมาเป็นระบอบฟิวดัลยุคกลางของฝรั่งนั้น มีตัวช่วยฝุ่นตลบรอบสองที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การรุกรานของพวกไวกิ้ง...

พวกไวกลิ้งไม่ได้กลิ้ง แต่แล่นเรือยาวออกมาจากสแกนดิเนเวีย เข้าตี ปล้น และตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ต่างๆ ในยุโรป ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ ๘ จนถึงศตวรรษที่ ๑๑ ถึงสงบลงไป คือพวกชอบแล่นก็เลิกธุรกิจปล้น กลับนอนอยู่สแกนพัฒนาจนต่อมาหากินกับเทคโนโลยีอีริกสัน ซาร์ป และโนเกีย ไปตามเรื่อง ส่วนพวกที่มาตั้งถิ่นฐานในยุโรปก็กลายเป็นคนพื้นเมือง รับวัฒนธรรม และมีบทบาทการเมืองอย่างถาวร

มีคนเขาว่ายุคไวกิ้งจบลงในปี ค.ศ. ๑๐๖๖ เมื่อดุ๊ควิลเลี่ยมแห่งนอร์มังดี (แคว้นที่มาจากชื่อนอร์มัน- นอร์ทแมน) ไปรบชนะคิงฮาร์โรลทวงสัญญายกบังลังค์ และกลายเป็นคิงอังกฤษเชื้อสายนอร์มันสืบต่อกันมา ก็เป็นสัญลักษณ์ที่ดีของการสิ้นสุดยุคกลิ้งไปกลิ้งมา

...ย้อนกลับไปศตวรรษที่ ๘ ในสถานการณ์ที่ต้องป้องกันตัวจากไวกลิ้งเช่นนี้ เจ้าท้องถิ่นก็พัฒนาระบบควรคุมคนในท้องถิ่น และสร้างป้อมค่ายในพื้นที่เพื่อต่อสู้กับไวกิ้งที่จะแล่นมาตอนไหนก็ไม่รู้ ดูจากประวัติป้อมปราสาทในยุคกลางของยุโรป จะเห็นได้ว่าถูกสร้างขึ้นในยุคไวกลิ้งอาละวาดตอนต้นนี้มาก เป็นการก้าวกระโดดของจำนวนป้อมปราสาททีเดียว

... ...ทั้งนี้ท่านอาจสงสัยว่าเมืองใหญ่ๆ อย่างของโรมันไม่ต่อต้านไวกลิ้งได้ดีกว่าหรือ? ตำตอบคือถ้าเมืองโรมันยังเหลืออยู่ก็ย่อมดีกว่าระบบฟิวดัลยุคกลางแน่ครับ แต่เรื่องของเรื่องคือ ระบบเมืองโรมันนั้นล่มไปตอนเจอของแรง "ฝุ่นตลบครั้งแรก" โดยพวกเผ่าอพยพแล้ว ศตวรรษ ๔-๕-๖ แล้ว พวกอพยพนี้รบชนะคนพื้นเมืองถือว่าเป็นเจ้าในประเทศได้ก็จริง แต่ไม่ได้เข้าไปจัดระบบการปกครองในชนบท พอไวกิ้งแล่นมาคนในพื้นที่ก็เลยต้องจัดระบบการปกครองท้องถิ่นเป็นฟิวดัลดังกล่าว

เพือบรรยากาศโกธิก ทั้งโกธจริง และโกธิกศิลปะ เลยไปค้นคลังรูปภาพเอาเมือง Toledo มาแสดงครับ เมืองนี้อยู่กลางประเทศพอดี เคยเป็นเมืองหลวงของวิสิโกธในสเปนศตวรรษที่ ๖-๘ ต้นๆ ในปี ค.ส. ๗๑๑ โกธรบแพ้มุสลิมๆ เลยมายึดสเปนอยู่หลายร้อยปี ทางเหนืออยู่ ๒-๓ ร้อยปี ทางใต้อยู่จนถึงเมืองมุสลิมสุดท้าย Granada ถูกคริสต์ตีแตกในปี ๑๔๙๒

โทเลโด มีภูมิประเทศเป็นหม้อเนื้อย่างเกาหลี ตรงกลางเป็นเนินเขา มีน้ำล้อมรอบ และมีเนินเข้าล้อมอีกชั้น ชัยภูมิดีมากสำหรับยุคขี่ม้าฟันดาบแทงหอกทุบหัว ภาพนี้ถ่ายจะเนินเขารอบเมือง ทรากหินในน้ำคือฝายทดน้ำมุลลิมเก่า โบสถ์เป็นศิลปะโกธิกสร้างศตวรรษที่ ๑๓ ส่วนป้อมเหลี่ยมสี่ยอดด้านขวา เป็นของยุคศตวรรษที่ ๑๖ แต่สร้างใหม่เพราะพังไปตอนสงครามกลางเมืองสเปน

โหลดดื้อๆ ไม่ฝากภาพ พอดูได้ งั้นขอโพสอีกครับ มองไปข้างขวาก็เห็นว่าภูมิประทศเกือบกลม มีแม่น้ำล้อมรอบ แบบเนื้อย่างเกาหลีดังกล่าว ตึกที่เห็นขวาสุดนอกเมืองหม้อเนื้อย่างเก่าคือ รร. นายร้อยทหารบก เหล่าทหารราบ เพราะในสเปนแบ่ง รร. นายร้อยทหารบกแต่ละเหล่าอยู่คนละเมืองกัน อยู่ในชานเมืองฝรั่งนั้นได้ยินเสียงฝึกยิงปืนลอยมาด้วย ภาพนี้ถ่าย กค. ปีที่แล้วอากาศร้อนอย่างน่าเกลียดประมาณ 38C ครับ อยู่บนเนินนอกเมืองได้กลิ่นฟางแดดเผาเหมือนทุ่งเมืองไทยที่แล้งๆ ::009::

เรื่องระบบฟิวดัลฝรั่ง อ่านได้สะดวกและง่ายที่สุดเรื่อง ฝรั่งศักดินา ของ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งท่านก็เขียนนำตั้งแต่ต้นว่าฟิวดัลฝรั่งยุคกลางต่างกับระบบศักดินาของไทยอย่างคนละเรื่องกันในแง่ของวัฒนธรรม และการบริหาร แบะก็จะเห็นด้วยว่าต่างกับขุนนางตะวันออกทั่วไป

..ในที่นี้ ขอจับประเด็นของฟิวดัลฝรั่งยุคกลางที่เกี่ยวกับประชากรว่า ฟิวดัลฯ ว่าเป็นเรื่อง

"การจัดลำดับการปกครองในรูปแบบกระจายอำนาจ" (เพราะอำนาจกระจายก่อนถึงต้องจัดแบบนี้)

ของยุโรปยุคกลาง Lord ลำดับต่างๆ (ซึ่งขอเรียกว่าขุนนางฝรั่งเพราะ ต่างกับขุนนางตะวันออกที่จะกล่าวต่อไป) นั้นส่วนมากมีอำนาจเบ็ดเสร็จในพื้นที่ของตนเอง เช่น ของอังกฤษ ตั้งแต่บารอนขึ้นไปคนเรียกรวมๆ ในภาษาว่า Lord และมี "อำนาจสืบต่อตำแหน่งของคนในกับลูกได้โดยอัตโนมัติ" ควบคุมที่ดินและคนในพื้นที่ของตนตามรูปแบบความสัมพันธ์จงรักภักดีบริการตามแต่ตกลงกัน เช่น ภาระการบริการแรงงาน หรือการรบด้วย ฯลฯ

รูปแบบ "ความสัมพันธ์จงรักภักดีบริการ" นี้ขุนนางฝรั่งลำดับต่างๆ ก็มีต่อกันขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงขุนนางใหญ่ที่สุดที่เรียกว่าเป็นคิง ดังนั้นกษัตริย์ฟิวดัลฝรั่งยุคกลางถึงอยู่ในสถานภาพที่เรียกว่า "The first among the other" (คำนี้ขออ้างว่ามาจากชั้นเรียนรัฐศาสตร์ครับ ส่วนสำนวนลิเกอื่นผมว่าเอง) มิใช่อยู่ในสถานภาพของ "สมมติเทพ" อย่างเอมเปอเรอโรมันในยุคหลัง ฟาโรห์อียิปต์บางยุค และกษัตริย์ตะวันออกทั่วไป

อำนาจของขุนนางฝรั่งนั้นที่สำคัญที่สุดคือการตั้งทายาทสืบตำแหน่งต่อเนื่องกันได้ (ถ้าไม่มีลูก หรือตายไปก่อนจัดการแต่งงานให้ลูกได้ถึงจะเริ่มยุ่ง ขุนนางใหญ่ที่ตนเองภักดีอยู่มีสวิทธิเข้ามาจัดแจงได้ตามกฎที่ชัดเจน) เรียกว่าเหมือนกับเป็นวงศ์ของตนเอง ต่างกับของตะวันออกที่ขุนนางเสมือนเป็น ข้าราชการปัจจุบัน ลูกของข้าราชการใหญ่ถึงมีเส้นก็ต้องเริ่มจากระดับล่างก่อน และไม่ใช่ว่าจะขึ้นไปมีตำแหน่งเท่า หรือเหมือนกับพ่อ

นอกจากนี้ ก็มีอิสระในการปกครองพื้นที่และคนของตนเต็มที่ ถึงแม้จะอยู่ในสายภักดีสูงต่ำกับน ขุนนางฝรั่งจะเข้าพื้นที่ขุนนางเล็กก็ต้องแจ้งก่อน แม้แต่คิงไปเข้าพื้นที่ขุนนางใหญ่ก็ต้องแจ้งก่อน บางทีแข็งข้อหน่อยอ้างว่าติดธุระหรือไม่พร้อมไม่สะดวกรับก็มี

ในระบบนี้ทำให้ความเคลื่อนไหวย้ายถิ่นของประชากรมีน้อยที่สุด ชาวบ้านจะเินทางไปไหนก็ต้องขอขุนนางของคนก่อน เกือบทั้งหมดเดินทางไปก็เพื่อการงาน หรือการที่ขุนนางของตนส่งคนไปช่วยสงครามของขุนนางอีกชั้นหนึ่งเท่านั้น การกินการอยู่วิถีชีวิตอยู่ในพื้นที่ของขุนนางของตน มีพื้นที่ส่วนกลางสาธารณะเป็นปา หรือหนองบึงใช้ร่วมกัน

ผลของฟิวดัลฝรั่งทำให้การค้าขายข้ามถิ่นน้อยลง ระบบเงินตรามีบทบาทลดลง เพราะคนอยู่แต่ในพท้นที่ทำงานแลกของกัน ไม่ได้ใช้เงินมากเท่ายุคโรมันที่มีความเคื่อนไหวของสินค้า และการเดินทางข้ามถิ่นสูง

หลังยุคโรมันจนถึงยุคกลางตอนต้นประชากรในยุโรปเรียกได้ว่าชะงักงัน ไปเพิ่มขึ้นเมื่อ ช่องว่างอย่างหนึ่งของระบบฟิวดัลได้พัฒนาตัวเองขึ้นมา คือ "เมืองการค้า"

คือถ้ามองเมืองแค่ว่าเป็นชุมชนใหญ่ๆ คนน้อยเป็นหมู่บ้าน คนมากเป็นเมืองนั้น อาจจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเมืองถึงยืดๆ หดๆ พองๆ ยุบๆ ได้มาก กรุงโรมคนล้านกว่าคน ในยุคกลางตอนต้นเหลือแค่ไม่ถึง ๔ หมื่นคน ทำไมเมืองที่ตอนนี้ใหญ่เหลือเกินเมื่อก่อนเล็ก และเมืองใหญ่เมื่อก่อนทำไมตอนนี้เล็กลง หรือไม่ขยายขึ้นตามอัตราส่วนของเมืองอื่น?

เลยต้องมาดูว่า เมืองในยุคต่างๆ นั้น แท้จริงแล้วมีชุมชนนั้นมีความหมายอย่างไร...

+๑  คุณ Don Quixote  ครับ >>๙๗๗<<  รอติดตามอ่านต่อไป   ::014::