เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 10, 2006, 10:51:09 AM



หัวข้อ: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 10, 2006, 10:51:09 AM
ผิดประเพณีทูต ส่ง จม.ถึงบุช
 
กรณีที่นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ รักษาการ ส.ว. นครราชสีมา ออกมาแฉว่า ในช่วงปลายเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือถึงนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในทำนองว่า ประชาธิปไตยของไทยกำลังถูกทำลายโดยผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ต่อมา น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ามีการทำหนังสือดังกล่าวจริง เพื่อให้ประชาคมโลกเข้าใจสถานการณ์ การเมืองไทย และเพื่อรักษาเกียรติภูมิของประเทศนั้น ล่าสุด ร.ต.ประพาส ลิมปะพันธุ์ ผู้ช่วย รมต.ต่างประเทศ ได้ออกมาตำหนินายกรัฐมนตรีทำผิดประเพณีทางการทูตที่เอาเรื่องภายในไปแจ้งให้ประเทศอื่นทราบ  
ผู้ช่วย รมต.ชี้ “ทักษิณ” ทำผิดประเพณี

เมื่อวันที่ 9 ก.ค. ร.ต.ประพาส ลิมปะพันธุ์ ผู้ช่วย รมต.ต่างประเทศ และอดีต รมช.ต่างประเทศหลายสมัย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำหนังสือถึงนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อปลายเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อชี้แจงถึงสถานการณ์การเมืองไทยว่า ความจริงสถานการณ์ทุกอย่างในประเทศไทยถือเป็นเรื่องภายใน ไม่ควรให้คนอื่นรับรู้ ไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องภายในครอบครัวไปประจานให้คนอื่นทราบ ที่ผ่านมาไม่เคยมีประเพณีทางการทูตที่ไหนที่ต้องไปแจ้งให้ประเทศอื่นทราบ และไม่มีประเทศไหนในโลกที่จะทำหนังสือมาถาม หรือเอ่ยปากถามเรื่องของอีกประเทศหนึ่ง เพราะถือว่าไม่มีมารยาทอย่างมาก หากสหรัฐฯทำเรื่องถามมาที่กระทรวงต่างประเทศของไทย ตนจะด่ากลับไปว่าอย่ามายุ่งเรื่องภายในประเทศไทย

จวก “พรหมินทร์” ไร้ธรรมเนียม

ผู้สื่อข่าวถามว่า น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า นายกฯทำหนังสือไปเพราะต้องการรักษาเกียรติภูมิของประเทศ และต้องการปกป้องระบอบประชาธิปไตย ร.ต.ประพาสกล่าวว่า เป็นความคิดของบุคคลบางคนที่ไม่มีธรรมเนียมปฏิบัติ เพราะแต่ละประเทศมีทูตและเจ้าหน้าที่ซีไอเอประจำอยู่ในเมืองไทยอยู่แล้ว จึงรู้ทุกเรื่องที่เกิดในประเทศไทย รู้ดีกว่ารัฐมนตรีบางคนด้วยซ้ำว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

ทรท.อ้างผู้นำประเทศติดต่อกันได้

น.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า การติดต่อระหว่างผู้นำแต่ละประเทศเป็นสิ่งที่กระทำได้ และมีการกระทำอยู่ตลอดเวลา แต่เอาขั้นตอนปฏิบัติที่เป็นปกติของการติดต่อระหว่างผู้นำออกมาเปิดเผย ต้องทราบก่อนว่าสาระสำคัญของเนื้อหาเป็นอย่างไร ซึ่งตนไม่ทราบว่าสิ่งที่นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ รักษาการ ส.ว. นครราชสีมา พูดถึงมีความผิดตรงไหน เพราะเป็นการสื่อสารระหว่างผู้นำเท่านั้น เท่าที่ทราบตั้งแต่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล มีการติดต่อกับผู้นำประเทศต่างๆหลายครั้ง

ขู่ฟ้องกลับ “ไกรศักดิ์”

“จะประเมินอย่างไรที่มีการระบุว่า ส.ว.ไกรศักดิ์ออกมาปูดเรื่องต่างๆอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพบศพนิรนามในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือการส่งจดหมายระหว่างผู้นำในครั้งนี้ อย่างเรื่องศพนิรนาม พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รักษาการ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า ไม่มีการพบศพนิรนามมากมายอย่างที่เป็นข่าว การที่นายไกรศักดิ์ออกมาพูดในสิ่งที่หาสาระและข้อเท็จจริงไม่ได้ จะเป็นการลงโทษนายไกรศักดิ์ไปในตัวอยู่แล้ว ความเชื่อถือที่ประชาชนให้ก็จะลดลง” น.ต.ศิธากล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่า การดำเนินการของนายไกรศักดิ์หลายครั้งทำให้พรรคไทยรักไทยเสียหาย จะมีการดำเนินการทางกฎหมายหรือไม่ น.ต.ศิธาตอบว่า หากฝ่ายกฎหมายพบว่าการพูดนั้นทำ ให้พรรคเสียหาย โดยที่ไม่สามารถยอมความกันได้ ก็คงต้องมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น

จี้เปิดจดหมายลับถึง “บุช”

ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ รักษาการ ส.ว.นครราชสีมา เปิดเผยว่า พ.ต.ท. ทักษิณทำหนังสือถึงนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า ประชาธิปไตยของประเทศไทยถูกทำลายโดยผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญนั้น ขณะนี้มีความสับสนว่าหนังสือดังกล่าวมีหรือไม่อย่างไร เพราะ น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ามีหนังสือจริง และ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่าไม่ใช่จดหมายส่วนตัว แต่เป็นหนังสือที่ทำตามขั้นตอนของกระทรวงการต่างประเทศ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศระบุว่าอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ เพราะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้นขอเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณนำจดหมายดังกล่าวมาเปิดเผย เพราะเชื่อว่าเนื้อหาสาระในจดหมายมีความสำคัญและลึกลับพอสมควร

        เรื่องเหล่านี้จะเปิดเผยเองว่า สงครามปล้นประเทศไทยครั้งนี้นอกจาก สิงค์โปร์ที่อยู่เบื้องหลังแล้ว มีใครอีกบ้างครับ   

http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=12156


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: น้าเสก คนเดิม ที่ กรกฎาคม 10, 2006, 11:46:25 AM
อยู่ยากขึ้นทุกวัน สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ+ปากไม่ดี ;D


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: Chayanin-We love the king ที่ กรกฎาคม 10, 2006, 12:07:00 PM
เพิ่งรู้ว่า  ว่าเราต้องรายงานเมกา 
เป็นความอับอายมากที่ผู้นำบ้านเมืองทำตัวเป็นขี้ข้าคนอื่น  ก็สมควรแล้วล่ะที่จะถูกขับไล่
คิด พูด ทำ ไม่เหมือนชายชาตรีเท่าไหร่


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ กรกฎาคม 10, 2006, 01:15:34 PM
โมโห....และไม่อยากทนนิ่งโดยไม่ทำอะไร


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: CT_Pro4 ที่ กรกฎาคม 10, 2006, 01:21:21 PM
...นี่แหละครับ เวลาทำอะไรไม่คิด พอเกิดเรื่องแล้วต้องมานั่งแก้ตัว...  :( :( :(


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: โป้ง*กันบอย - รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 10, 2006, 01:57:24 PM
สันดอนนะขุดง่าย..............



หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ กรกฎาคม 10, 2006, 02:24:51 PM
.............บุช...เป็นใคร.....เอ...น่าจะเป็น...สายเลือดเดียวกันกับ..ผู้นำเราหรือเปล่า.....




..............สายเลือด... >:(.ซาตาน.............


ตระกูลนี้แหละที่   สร้างความเดือดร้อนไปทั่วโลก............. >:(


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: bigbang ที่ กรกฎาคม 10, 2006, 04:21:01 PM
.............บุช...เป็นใคร.....เอ...น่าจะเป็น...สายเลือดเดียวกันกับ..ผู้นำเราหรือเปล่า.....




..............สายเลือด... >:(.ซาตาน.............


ตระกูลนี้แหละที่ สร้างความเดือดร้อนไปทั่วโลก............. >:(

เค้าเป็น พ่อลูกกันมั่ง  ;D


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nick ที่ กรกฎาคม 10, 2006, 04:25:31 PM
รอดูตอนอวสานครับ


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กรกฎาคม 10, 2006, 05:38:31 PM
แจ้งเรื่องอย่างนี้...

จดหมายส่วนตัว  ....เสนอตัวเป็นข้าเขา
จดหมายทางการ  ....เสนอให้ชาติเป็นข้าเขา

....แต่คงไม่ถึงขั้นขอให้บุชมาช่วยหาเสียงเลือกตั้ง/ตั้งรัฐบาลให้ เพราะท่านแม้วหาคะแนนเสียงเก่งกว่าอีก แถมปรับเปลี่ยน ครม. ได้ตั้งเป็นสิบครั้ง ว้าว  มีคนเล่นเก้าอี้ดนตรีถึงร้อยหรือยังเนี่ย


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: Piak Srisiam ที่ กรกฎาคม 10, 2006, 05:59:28 PM
น่าเศร้าจัง หยุดได้แล้วท่าน อย่าพยายามดิ้นรนอีกเลย......ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: Colt Rampant ที่ กรกฎาคม 10, 2006, 08:01:26 PM
นาย ก เอ๋ย..
ผมขอเปรียบเทียบท่านเป็นลูกกระโปกของอเมริกาและสิงคโปร์
หรือถ้าท่านค้านว่าไม่ใช่ ลูกกระโปก
ผมก็เดาว่าท่านเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกลางลูกกระโปก2ข้างนั้น >:( >:( >:(


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ กรกฎาคม 10, 2006, 09:21:09 PM
คนๆนี้ต้องต่อสู้จนถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย เพราะต้องการหนีคำว่า "อาชญากร....."



หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: boong ที่ กรกฎาคม 10, 2006, 10:28:20 PM
จองหอง  อวด  โว  หน้าด้าน  กี่ชาติๆ ก็ขอประนามมัน !!![/color]


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: boon ที่ กรกฎาคม 11, 2006, 01:22:43 AM
บุชตอนนี้ก็กำลังแย่ คะแนนติดลบพอๆกับท่านผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองไทย
แต่บุชท่านอยู่ได้สมัยนี้เป็นสมัยสุดท้าย  :VOV:


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: 686 ที่ กรกฎาคม 11, 2006, 01:29:42 AM
บุชตอนนี้ก็กำลังแย่ คะแนนติดลบพอๆกับท่านผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองไทย
แต่บุชท่านอยู่ได้สมัยนี้เป็นสมัยสุดท้าย :VOV:

ตามข่าวบอกว่า จดหมายส่งให้บุช ผู้พ่อครับ พี่บุญ แล้วส่งไปให้ตั้งแต่เดือน เมษายน แล้ว


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กรกฎาคม 11, 2006, 03:18:50 AM
ขอบารมีองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคุ้มครองประเทศไทย อยู่รอดปลอดภัยตลอดไป คนคิดร้าย ให้มีอันเป็นไป ๆโดยเร็ววัน


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: น้าพงษ์...รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 11, 2006, 08:16:26 AM
หน้าด้านมากๆ


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 11, 2006, 03:45:27 PM
สอนเนติบัณฑิตตีความกฎหมายในทางที่ดียึดหลักความถูกต้อง
 
วันนี้ (11 ก.ค.) นายธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี ได้บรรยายพิเศษกับเนติบัณฑิตในหัวข้อ “การใช้โวหารกฎหมาย” ว่า เนติบัณฑิตมีหน้าที่ในการศึกษาและนำกฎหมายมาพัฒนา ดังนั้นควรศึกษาภาษากฎหมายและการใช้กฎหมายให้ดี เพื่อให้เกิดการตีความไปในทางที่ดี โดยยึดหลักความถูกต้อง ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไร ต่อให้ลงรักปิดทองหรือเสกคาถาอะไรเข้าไป แต่หากนำมาใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องก็จะเกิดสิ่งที่ไม่ดีได้ ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์

ด้านนายคณิน บุญสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) กล่าวถึงกรณีที่ น.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกพรรคไทยรักไทย ระบุว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่เป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตยที่ต้องยึดการเลือกตั้ง ว่า กระบวนการประชาธิปไตยมีองค์ประกอบอยู่หลายส่วน การเลือกตั้งถือเป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด แต่ที่สำคัญการเลือกตั้งทำให้กระบวนการประชาธิปไตยสมบูรณ์ได้ ต้องเป็นการเลือกตั้งที่สุจริต เที่ยงธรรม และเป็นประชาธิปไตย ขณะเดียวกันต้องเป็นการเลือกตั้งที่ดำเนินการและควบคุมโดยองค์กรที่มีความเป็นอิสระ เป็นกลาง และซื่อสัตย์สุจริต

อดีต ส.ส.ร. กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งเป็นกระบวนการประชาธิปไตยที่ใหญ่โต เกี่ยวข้องกับองค์กร บุคคล รวมทั้งงบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก ดังนั้น การที่กลุ่มพันธมิตรฯ หรือประชาชนกลุ่มใดก็ตามในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะคัดค้านการเลือกตั้งที่จัดโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดปัจจุบัน การที่พรรคการเมืองไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งและกาในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนน หรือแม้แต่การเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี กกต. ลาออก ล้วนเป็นกระบวนการประชาธิปไตยทั้งสิ้น เพราะเป็นการใช้สิทธิในฐานะเป็นพลเมืองเจ้าของอำนาจอธิปไตย

นายคณิน กล่าวต่อว่า การที่รัฐบาลรักษาการยังตีขลุมใช้อำนาจอยู่ ทั้งที่สิ้นสภาพไปแล้วทั้งในทางนิตินัยและพฤตินัย จะอ้างว่าเป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตยและยึดรัฐธรรมนูญไม่ได้ เพราะไม่มีประเทศประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญที่ไหนในโลกที่ยอมให้ผู้หนึ่งผู้ใดใช้อำนาจรักษาการคุมประเทศ โดยไม่มีการตรวจสอบ และไม่มีกระบวนการประชาธิปไตยรองรับและกำกับเป็นเวลายาวนานถึง 4-5 เดือน และอาจกินเวลาเป็นปี


 http://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=12316
 
 


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: S.V ที่ กรกฎาคม 11, 2006, 05:11:37 PM
เชิญให้บุชมาจุ้นจ้าน  แทรกแซง  แบบอีรักไปเลยซิครับ ท่านนายก   จะได้เช็คบิลกันเสียที.... ;D


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: 686 ที่ กรกฎาคม 11, 2006, 11:06:05 PM
เอามาให้อ่านกันครับ จาก ผู้จัดการรายวัน

              ผู้จัดการรายวัน – เฮือกสุดท้ายไทยรักไทย-ทักษิณและพวกสู้หลังพิงฝา ลุ้นระทึกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค ลาก กกต. นอนคุกในคดีอาญาพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็ก ส่วนคดีเลือกตั้ง-ทักษิณพักร้อน ยื่นอุทธรณ์ตามเชคบิลกันถึงศาลปกครองสูงสุด
       
       การต่อสู้กันในศึกไล่ทักษิณระหว่างพรรคการเมืองและภาคประชาชน และพรรคการเมืองใหญ่ด้วยกันเอง ก่อให้เกิดคดีความตามมามากมายตามมา ทั้งที่อยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ ศาลอาญา และศาลปกครอง นับตั้งแต่คดีการเลือกตั้งที่ลากยาวมาตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไปจนถึงคดีพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็กที่ทุกฝ่ายกำลังลุ้นระทึกกันว่าถึงเวลาล้างไพ่กันใหม่หมด หรือเป็นแต่เพียงปาหี่ทางการเมืองของทักษิณและพวกพ้องเท่านั้น
       
       ***ลุ้นศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค
       
       คดีความที่จะส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญและมีลุ้นอยู่ในขณะนี้ คือ คดีการยุบพรรค 5 พรรคการเมือง คือ ไทยรักไทย ประชาธิปัตย์ พัฒนาชาติไทย แผ่นดินไทย และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ซึ่งเวลานี้ สำนักงานอัยการสูงสุด ร่างคำร้องยุบพรรคพัฒนาชาติไทย, แผ่นดินไทย และประชาธิปไตยก้าวหน้า เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงพรรคไทยรักไทยและประชาธิปัตย์ โดยอัยการสูงสุดจะยื่นเรื่องถึงมือศาลรัฐธรรมนูญอย่างช้าในวันจันทร์ที่ 3 ก.ค. ที่จะถึงนี้
       
       สำหรับคำร้องการยุบพรรคไทยรักไทย ระบุถึงพฤติการณ์ผู้บริหารพรรคเชื่อมโยงกับการกระทำของพรรคตามสำนวนการสอบสวนของคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงในการจ้างพรรคการเมืองขนาดเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. เพื่อเลี่ยงเกณฑ์กรณีมีผู้สมัครลงเลือกตั้งพรรคเดียวต้องมีผู้มาใช้สิทธิ์ไม่ต่ำกว่า 20%
       
       ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ สำนวนชี้มูลความผิดที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ระบุมา 6 ข้อ มีข้อที่ไม่เข้าลักษณะความผิดตามมาตรา 66 พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง เช่น การชี้มูลความผิดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เสนอให้รัฐธรรมนูญ มาตรา 7 ขอนายกพระราชทาน
       
       ขั้นตอนการยื่นเสนอยุบพรรคการเมืองนั้น หลังจากสำนักงานอัยการสูงสุด ทำคำร้องส่งถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญ จะใช้เวลาพิจารณาว่าจะรับคำร้องหรือไม่ประมาณ 10 วัน หากไม่รับคำร้องศาลฯจะต้องแถลงด้วยวาจาและลงมติ ถ้าหากรับศาลฯ จะแจ้งเรื่องไปยังผู้เกี่ยวข้องให้รับทราบเพื่อให้ทำคำชี้แจงกลับมายังศาลฯ ภายใน 15 วัน แต่ศาลฯไม่สามารถระบุว่าจะใช้เวลาพิจารณานานเท่าใด อย่างไรก็ตาม นับเป็นกรณีแรกที่ศาลฯ จะพิจารณายุบพรรคตามมาตรา 66 ตามพ.ร.บ.พรรคการเมืองฯ ซึ่งถือเป็นความผิดร้ายแรง
       
       อนึ่ง สำหรับคดีที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ คือ กรณีที่นายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานรัฐสภา ที่ขอให้ศาลฯ วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 142 และ มาตรา 226 กรณีส.ว. 35 คน ยื่นคำร้องขอให้ศาลฯ วินิจฉัยว่า กกต. ทั้ง 3 คนพ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยท้ายคำร้องประธานวุฒิสภา ระบุในท้ายคำร้องว่า ส.ว.ขาดสมาชิกภาพลงแล้วจะยื่นเรื่องขอให้ประธานรัฐสภาส่งเรื่องไปให้ศาลฯ วินิจฉัยได้หรือไม่ ส่งผลให้ศาลฯ ไม่รับคำร้องดังกล่าว โดยชี้ว่าเป็นเพียงการหารือ ไม่ใช่กรณีที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญที่ศาลฯ จะรับวินิจฉัยได้
       
       กรณีสถานะของ 3 กกต.นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความจากสภาทนายฯ ได้ยื่นเรื่องผ่านทางผู้ตรวจการรัฐสภา เพื่อให้ผู้ตรวจการฯ ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการขาดคุณสมบัติของ กกต. ด้วยเช่นกัน
       
       **** กกต. ผิดอาญา สู้หลังพิงฝา
       
       สำหรับคดีอาญาที่ไล่บี้เอาผิดกกต.ในการจัดการเลือกตั้งมีอยู่หลายคดี ดังเช่น
       
       (1) คดีที่นายถาวร เสนเนียม รองเลขาพรรคประชาธิปัตย์ ฟ้องสำนักงานกกต., กกต.ทั้ง 4 คน และเลขาธิการ กกต. เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 49 ตามคดีหมายเลขดำที่ 1234/2549 ศาลประทับรับฟ้องเมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่ผ่านมา ฐานความผิดอาญา มาตรา 157 และ และฐานความผิดตามมาตรา 24 และ 42 พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 กรณีที่กกต. มีมติและออกประกาศให้สามารถ “เวียนเทียนลงสมัคร” ในการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตในรอบสอง แต่ศาลยกฟ้องสำนักงาน กกต. และเลขาธิการ เพราะทั้งสองไม่มีส่วนรู้เห็นหรือส่วนร่วมในการกระทำดังกล่าว
       
       คดีนี้ นายถาวร ยื่นคำร้องคัดค้านการประกันตัวในวันที่ 19 มิ.ย. ซึ่งเป็นวันแถลงเปิดคดีวันแรก แต่เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ทาง กกต. 3 คน คือ วาสนา ปริญญา วีระชัย ชิงตัดหน้ายื่นประกันตัวและศาลได้อนุญาตโดยใช้ตำแหน่งประกันออกไปแทนหลักทรัพย์รายละ 1.2 แสนบาท ครั้นถึงวันนัดแถลงเปิดคดีในวันที่ 19 มิ.ย. พล.ต.อ.วาสนาขึ้นให้การปฏิเสธทุกข้อหา และนายถาวร ยังถอนฟ้องพล.อ.จารุภัทร เพราะลาออกไปก่อนแล้ว
       
       ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการสืบพยานโจทก์ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 27 มิ.ย.และต่อเนื่องจนถึงวันนี้ (30 มิ.ย.) โดยมีพยานโจทก์ 10 ปาก ในขณะที่การสืบพยานจำเลยจะเริ่มในวันที่ 4 ก.ค. ต่อเนื่องถึงวันที่ 7 ก.ค. ซึ่งพยานเด็ดของฝ่ายโจทก์คือผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลย 7 – 8 คน
       
       (2) คดีหมายเลขดำที่ 1464/2549 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นฟ้อง กกต.ทั้ง 4 คน ต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 8 พ.ค. ต่อมาเมื่อวันที่ 19 พ.ค. โจทก์ได้ขอถอนฟ้อง พล.อ.จารุภัทร เพราะลาออกไปก่อน นายสุเทพ ชี้ฐานความผิดสำคัญของกกต.ว่าเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณี “พรรคใหญ่จ้างพรรคเล็ก” ที่กกต.ละเว้นไม่ดำเนินการกับพรรคใหญ่ เอาผิดแค่พรรคเล็กและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของกกต.เท่านั้น
       คดีนี้ ไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 29 พ.ค. นายสุเทพ ขึ้นเบิกความพร้อมหลักฐานภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิด 9 ภาพ ของพล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา แกนนำพรรคไทยรักไทยและพวก พร้อมกับตัวแทนพรรคเล็กที่หน้าห้องทำงาน รมว.กระทรวงกลาโหม
       
       ต่อมา ศาลประทับรับฟ้องคดีดังกล่าวในวันที่ 8 มิ.ย. ยกเว้นประเด็นการหมิ่นประมาทเนื่องจากเห็นว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง ศาลนัดแถลงเปิดคดีในวันที่ 3 ก.ค.ที่จะถึงนี้
       
       คดีนี้ นายสุเทพ ยังยื่นคำร้องคัดค้านการประกันตัวของจำเลย และวันที่ 19 มิ.ย. ศาลไต่สวนคำร้องและให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยมีเงื่อนไขห้ามมิให้จำเลยกระทำการหรืองดเว้นการกระทำใดๆ ที่จะก่อให้เกิดความล่าช้าต่อการพิจารณาคดีของศาล และต้องอำนวยความสะดวกต่อโจทก์ในการขอมติการประชุมใดๆ ด้วยความรวดเร็ว หากผิดจากนี้โจทก์สามารถร้องต่อศาลให้เพิกถอนประกันตัวจำเลยได้
       
       (3) คดีนายสุวโรช พะลัง ฟ้อง กกต.ทั้งสาม เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา ใน 3 ฐานความผิด คือ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ออกมติ กกต.โดยมิชอบ และหมิ่นประมาทฯ กรณีที่ออกมติไม่รับรองผลการเลือกตั้ง ส.ว.ชุมพร ที่นายฉัตรชัย พะลัง น้องชายของเขาได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเป็นอันดับ 1 อีกทั้งยังแจ้งข้อหาต่อนายฉัตรชัยพาดพิงถึงเขาในทางเสียหาย ถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นการเลือกปฏิบัติและไม่เป็นกลาง ศาลจึงนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในวันที่ 31 ก.ค.นี้
       
       ***พันธมิตรฯ กัดไม่ปล่อย
       
       (4) คดีหมายเลขดำที่ 864/2549 นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพวก ยื่นฟ้องพล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ, นายวีระชัย แนวบุญเนียร, นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ เป็นจำเลยที่ 1 – 4 ด้วยฐานร่วมกันกระทำความผิดโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรมตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 และปฏิบัติหน้าที่มิชอบตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.และ ส.ว. พ.ศ.2541 และประมวลกฎหมายอาญา เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 49
       
       กล่าวคือ ไม่ควบคุมและจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยให้ไม่มีการอ่านชื่อและที่อยู่ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ประสงค์จะลงคะแนน, ไม่มีการจด “หมายเลขประจำบัตรประชาชน” 11 หลัก (ใต้รูป) แต่กลับปล่อยให้มีการจด “หมายเลขบัตรประจำตัวผู้ถือบัตร” 13 หลักแทน และจำเลยมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหน้าที่หน่วยเลือกตั้งนำเอารูปและบัตรของผู้สมัครหมายเลข 2 หรือของพรรคไทยรักไทยไปติดบริเวณหน่วยเลือกตั้งอันเป็นการจงใจในลักษณะเจตนาชักจูง
       
       คดีนี้ศาลจังหวัดนครราชสีมานัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 18 ก.ย.นี้
       
       (5) คดีหมายเลขดำที่ 1394/2549 ที่ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ รักษาการณ์ ส.ว.อุบลราชธานี และพวก ยื่นฟ้อง 4 กกต. ต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา ระบุความผิดฐานเดียวกันกับคดีที่นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ยื่นฟ้อง
       
       ทั้งนี้ โจทก์ระบุพฤติการณ์ว่า 1.จำเลยทั้งหมดไม่ยอมทักท้วงการกำหนดวันเลือกเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ซึ่งน้อยกว่าระยะเวลาขั้นต่ำที่กำหนดตามรัฐธรรมนูญ 2.มีคำสั่งให้จัดคูหาเลือกตั้งแบบใหม่ซึ่งไม่เป็นความลับ และแก้ไขบัตรเลือกตั้งให้ตำแหน่งของช่องไม่ลงคะแนนมาอยู่ด้านล่างของบัตร 3.การติดหมายเลขและรูปผู้สมัครในคูหาเลือกตั้ง 4.การรับสมัครผู้สมัครเพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งรอบสองในเขตเลือกตั้งที่มีผู้สมัครคนเดียวได้รับคะแนนไม่ถึงร้อยละ 20
       
       จากนั้น เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องและวันที่ 16 มิ.ย. ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องโดยระบุว่าคำฟ้องดังกล่าวไม่มีมูลความผิดทางอาญา ผู้ฟ้องไม่ใช่ผู้เสียหายจึงไม่มีสิทธิฟ้อง
       
       ส่วนมูลความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต. พ.ศ.2541 และประมวลกฎหมายอาญานั้น ศาลพิเคราะห์แยกเป็นแต่ละประเด็นว่า การกำหนดวันเลือกตั้งของกกต.ไม่ถือเป็นการกระทำอันมิชอบต่อหน้าที่, การจัดคูหาใหม่และแก้ไขบัตรเลือกตั้งแม้ศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองจะวินิจฉัยสั่งเพิกถอนการเลือกตั้งแล้วก็ตาม แต่จำเลยจะรับผิดทางอาญาก็ต่อเมื่อเป็นการกระทำโดยเจตนา และจำเลยเคยจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นในรูปแบบดังกล่าวโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน
       
       นอกจากนั้น การติดรายชื่อและติดรูปผู้สมัคร เป็นคำสั่งให้ดำเนินการกับผู้สมัครทุกคนไม่ใช่แก่ผู้หนึ่งผู้ใดจึงไม่อาจส่อชัดเจนว่าเป็นการโฆษณาในคูหา, การออกคำสั่งให้มีการลงสมัคร “เวียนเทียน” ในการเลือกตั้งรอบสองใน 15 จังหวัด 38 เขตเลือกตั้ง ศาลเห็นว่าโจทก์ไม่ได้นำสืบว่าโจทก์ทั้ง 9 เป็นผู้มีสิทธิออกเสียงในเขตดังกล่าว จึงถือว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง
       
       นายวรินทร์ เทียมจรัส ทนายฝ่ายโจทก์ยืนยันว่าจะอุทธรณ์ต่อศาลให้ประทับรับฟ้องต่อไปโดยจะย้ำในประเด็นสิทธิของประชาชนที่รับรองในรัฐธรรมนูญว่าเหนือกว่าสิทธิของผู้สมัครและพรรคการเมืองที่ฟ้องในมูลความผิดของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. ในขณะเดียวกันก็จะชี้ว่าผลของการเลือกตั้งครั้งดังกล่าวมีผลกระทบต่อโจทก์ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตที่มีการเลือกตั้งแซมรอบสอง
       
       ***อุทธรณ์คดีเลือกตั้งต่อศาลปกครองสูงสุด
       
       ส่วน “คดีหันคูหา” ที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งเพิกถอนการเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย. เมื่อวันที่ 16 พ.ค.2549 สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้านั้น กำลังเข้าสู่การกระบวนการอุทธรณ์ที่ศาลปกครองสูงสุด
       
       เดิมคดีนี้เป็นการฟ้องแยกกันของ 2 คณะ กล่าวคือ นายโพธิพงศ์ บรรลือวงศ์ อาจารย์พิเศษ ม.อัสสัมชัญ กับ นพ.ประมวล วีรุตมเสน กับพวกรวม 10 คน ต่อมาศาลรวมคดีเข้าด้วยกันและคำสั่งออกมาดังกล่าว สถานะของคดีขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ในหมายเลขคดี ร.338/2549 และ ร.339/2549 ตามลำดัง ซึ่งศาลก็สั่งรวมคดีอีกเช่นกัน
       
       ผลจากการวินิจฉัยในคดีดังกล่าว ทำให้คดีความในศาลปกครองที่ร้องขอให้เพิกถอนการเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย.และการเลือกตั้งแซมที่ตามมา อันมีเนื้อหาสอดคล้องกันถูกจำหน่ายคดีออกเกือบหมด
       
       นายโพธิพงศ์ ยังเป็นผู้รับมอบอำนาจจากผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 3 จ.นนทบุรี และเขตเลือกตั้งที่ 3 จ.สมุทรสงคราม ประมาณ 60 คน ยื่นฟ้องต่อ กกต. กับศาลปกครองกลาง เพื่อให้เพิกถอนการประกาศผลการเลือกตั้งในเขตดังกล่าว เนื่องจาก กกต.ละเมิดกฎหมายอนุญาตให้พรรคไทยรักไทยสามารถส่งผู้สมัครซ้ำซ้อนได้ หลังจากนั้นศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งรวมคดีไว้ด้วยกันและขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณา
       
       แม้ว่าหลายคดีในศาลปกครองจะมีคำขอให้ยกเลิกเพิกถอนการเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย.และการเลือกตั้งแซมที่ตามมา แต่เนื้อหาของการฟ้องในแต่ละคดีในช่วงนั้นก็แตกต่างกัน และการพิจารณาก็ต้องดำเนินต่อไปตามกระบวนการ
       
       ล่าสุด “คดีตรายาง” ซึ่งเป็นคดีศาลปกครองคดีแรกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสุดอัปยศครั้งนี้ ก็มีคำวินิจฉัยออกมาในวานนี้ (29 มิ.ย.) ซึ่งชี้ว่ามติกาให้ใช้ตรายางไม่ได้เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ และให้เพิกถอนเฉพาะมติ กกต. ที่ให้ประชาสัมพันธ์การทำเครื่องหมายกากบาทด้วยตรายางเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนคำขออื่นศาลให้ยกคำฟ้อง เพราะการเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว
       
       นอกจากนี้ ยังมีคดีค้างเติ่งขอให้เพิกถอนพระราชกฤษฎีกายุบสภาและเลือกตั้งใหม่อีก ดังคดีหมายเลขดำที่ 19/2549 ที่นายนิติธร ล้ำเหลือ และพวกรวม 3 คน เข้าฟ้องต่อ นายกรัฐมนตรี กกต.และพวกรวม 4 คน ที่กำหนดวันเลือกตั้ง ตามมาตา 3 และ 4 ของพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายหลายฉบับ จึงขอให้เพิกถอน ล่าสุด ศาลปกครองกลางยกฟ้องเนื่องจากผู้ฟ้องไม่ใช่ผู้เสียหาย ผู้ฟ้องทั้งสามจึงยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 28 มิ.ยที่ผ่านมา
       
       นอกจากนี้ยังมีคดีหมายเลขดำที่ 601/2549 นายสุริยะใส กตะศิลา แกนนำพันธมิตรฯ ยื่นฟ้อง กกต.ฐานละเลยล่าช้าในการดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกระทำการเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง และขอให้ กกต.ดำเนินการ ศาลปกครองกลางได้ยุติการแสวงหาข้อเท็จจริงไปแล้วเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา คาดว่าจะมีคำวินิจฉัยเร็วๆ นี้
       
       *** คดีเชคบิลทักษิณ พักร้อน พักเลย
       
       คดีในศาลปกครอง ยังมีกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ลาปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งผู้ฟ้อง คือ นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความจากสภาทนายความแห่งประเทศไทย เป็นผู้ยื่นต่อศาลปกครองกลาง ตามคดีหมายเลขดำที่ 969/2549 เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 49 ต่อมา เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 49 ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคดีหมายเลขแดงที่ 745/2549 ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา เพราะผู้ฟ้องคดีเป็นคนนอกไม่ใช่ผู้เดือดร้อนเสียหายโดยตรงหรือได้รับผลกระทบจากมติคณะรัฐมนตรี โดยมติดังกล่าวจะมีผลต่อนายกรัฐมนตรีและรองนายกฯ ที่รักษาการแทนเท่านั้น
       
       คดีข้างต้น นายนิติธร ล้ำเหลือ ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 49 ที่ผ่านมา โดยยืนยันว่าตนเองเป็นผู้เสียหายโดยตรงตามมาตรา 3 และ 5 ของรัฐธรรมนูญ เพราะนายกรัฐมนตรีได้รับเลือกตั้งจากประชาชน จึงกระทบต่อสิทธิของประชาชนโดยตรงในฐานะผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และการแต่งตั้งพล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นรักษาการนายกฯ ก็เป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย เพราะผู้รักษาการนายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง เป็น ส.ส. แบบแบ่งเขต หรือระบบบัญชีรายชื่อ แต่พล.ต.อ.ชิดชัย ไม่ได้เป็นผู้มาจากการเลือกตั้งทั้งสองระบบ
       
       ในคดีการลาพักปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ ยังมีกลุ่มรักษาการส.ว. เช่น นายการุณ ใสงาม และ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางเช่นกันว่าการกลับเข้ามารับตำแหน่งนายกฯ หลังลาพัก ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ศาลปกครองกลางมีมติให้ยกคำร้อง เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 49 เพราะคดีไม่อยู่ในอำนาจที่ศาลปกครองกลางจะรับพิจารณาและวินิจฉัยได้ เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นองค์กรที่มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว
       
       ทั้งนี้ นายการุณ กำลังรวบรวมรายชื่อจำนวน ส.ว. เพื่อเข้าชื่อร้องต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าการลาพักของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกฯ ที่ใช้คำว่า ลาพักตลอดไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่มาปฏิบัติหน้าที่แทนนั้น ถือว่าสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 216 ( 2 ) หรือไม่ ถ้าความเป็นรัฐมนตรี ของพ.ต.ท.ทักษิณ สิ้นสุดลง ก็จะทำให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 215 (1)
       
       ส่วนอีกทางหนึ่ง นายการุณ จะยื่นอุทธรณ์คำร้องของศาลปกครองกลางไปยังศาลปกครองสูงสุด อีกด้วย
 


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 12, 2006, 01:56:24 AM
รัฐบาลพร้อมเปิดเผยจดหมาย รอ 'บุช' ไฟเขียวตามมารยาท
วานนี้ (11 ก.ค.) น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำจดหมายชี้แจงสถานการณ์ทางการเมืองไทยไปถึงนายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผ่านทางรายการ "ถึงลูกถึงคน" ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี ว่าจดหมายดังกล่าวเขียนขึ้นอย่างเป็นทางการและส่งถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศ และสถานเอกอัครราชทูต เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ไม่ใช่เดือน เม.ย.อย่างที่เป็นข่าว และก่อนวันที่ 29 มิ.ย. ที่นายกฯ ไปพูดกับข้าราชการระดับสูงถึงเรื่องผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ โดยเนื้อหาจะคล้ายคลึงกับที่นายกฯ เดินทางไปพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆ 5 ประเทศ คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งถือเป็นมิตรประเทศ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศ เพื่อให้ต่างประเทศมั่นใจว่ากระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศจะเดินหน้าต่อไป

 

น.พ.สุรพงษ์ กล่าวว่า เนื้อหาของจดหมายดังกล่าวก็จะคล้ายคลึงกัน คือ บอกเล่าถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี ว่ามีเหตุการณ์ทางการเมือง มีการเดินขบวนของประชาชน การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่ศาลตัดสินว่าการเลือกตั้งไม่ชอบ ทำให้ต้องกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปใหม่ และย้ำในช่วงท้ายของจดหมายว่า การพัฒนาประชาธิปไตยจะยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงก็จะเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีการพูดถึง "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" อย่างที่หลายฝ่ายกังวลกันอยู่แต่อย่างใด

 

โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวต่อว่า ขณะที่เขียนจดหมายดังกล่าวนั้น นายกฯ มีอำนาจตามกฎหมาย สามารถกระทำได้ และทางประธานาธิบดีบุช ได้มีหนังสือตอบกลับมาถึงนายกฯของไทย ลงวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา มีทัศนคติเป็นไปในเชิงบวก คือ ยืนยันว่ายังมีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยยังเป็นระบอบประชาธิปไตยอยู่ และจะมีการพัฒนาประชาธิปไตยต่อไปอย่างยั่งยืน รวมทั้งได้ยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่ยังคงเป็นไปด้วยดี

 

ด้านนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ รักษาการ ส.ว.นครราชสีมา กล่าวในรายการเดียวกันว่า หากเป็นอย่างที่ น.พ.สุรพงษ์ กล่าวก็ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ในสถานการณ์ที่ประเทศมีวิกฤติ เพื่อให้ประเทศที่เป็นมิตร มีความสัมพันธ์ที่ดีตลอดมา โดยเฉพาะในด้านการตลาด เกิดความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพของประเทศ แต่สิ่งที่ตนไม่ไว้วางใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คือที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองทำผิดในหลายๆ เรื่อง ทั้งที่เป็นต้นเหตุของปัญหา เริ่มตั้งแต่การยุบสภา ทำให้เกิดปัญหาบานปลายตามมาจนถึงปัจจุบัน และที่สำคัญคือ ในจดหมายนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ อธิบายปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงตามข้อเท็จจริงหรือไม่ และให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่คัดค้านหรือไม่

 

"ผมอดสงสัยไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาแม้การเจรจากับต่างประเทศที่ดูว่ามีความสำคัญกับประเทศ แต่กลับไม่มีรัฐมนตรี หรือเจ้าหน้าที่ร่วมขบวนไปด้วย มีเพียงนายกฯ เจรจากันสองต่อสอง และก็ไม่มีเอกสารหรือข้อมูลใดๆ ชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจเลย และผมไม่แน่ใจว่าที่ น.พ.สุรพงษ์ พูดมา จะตรงตามข้อเท็จจริงทั้งหมด จนกว่าจะได้เห็นจดหมายฉบับจริงเสียก่อน ถ้าได้เห็นแล้วผมจะเลิกพูดทันที" รักษาการ ส.ว.นครราชสีมา กล่าวในที่สุด

 

น.พ.สุรพงษ์ กล่าวถึงการเปิดเผยข้อความในจดหมายว่า ขณะนี้ อยู่ระหว่างกระบวนการขออนุญาตจากอีกฝ่ายก่อน เพราะเป็นมารยาททางการทูต หากกระบวนการเสร็จสิ้นก็พร้อมที่จะเปิดเผยจดหมายทั้ง 2 ฉบับ ทั้งฉบับที่ไทยส่งไป และฉบับที่ทางสหรัฐฯ ตอบกลับมา เพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นต่อไป
 
 

http://www.thairath.co.th/onlineheadnews.html?id=12356

กับแค่จดหมาย ทักษิณมันยังต้องรอเจ้านายอนุญาติอีกหรือครับ ฉะนั้นสาเหตุที่มันดื้อด้านได้ขนาดนี้เพราะ มันมีเจ้านายถึง 2 คน คือ usa กับ สิงค์โปร์ ซึ่งเจ้านายมันทั้งคู่ก็คงยังไม่อนุญาติให้ลาออกล่ะครับ  จบงานนี้ ทวงอำนาจกลับมาเป็นของคนไทยได้แล้ว อย่าลืม check bill ธุรกิจ สิงค์โปร์ด้วยนะครับ โดยเฉพาะสื่อสาร กับ ธนาคาร แต่คงได้แต่ฝัน เพราะถ้าได้รัฐบาลใหม่จริง แต่ก็คงได้นักการเมืองพันธ์ตะกวดเหมือนเดิมเกือบทั้งหมด ได้เศษเงินสิงค์โปร์นิดหน่อยก็คงปล่อยให้เกาะโจรสลัดแห่งนี้ปล้นประเทศไทยต่อไปครับ


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 12, 2006, 10:42:08 PM
แต่ที่ไม่ต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสริมบารมี เพราะมั่นอกมั่นใจในรัศมีของตัวเอง ถึงขั้นกล้าท้าวัดดวงกับ “ผู้มีบารมี” ถึงนาทีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี 

ก็ยังคงอยู่ในอิริยาบถสบายๆ

ยังมีแก่ใจเป็นสารถีขับรถพา “น้องเอม” พิณทองทา ชินวัตร ลูกสาวคนกลาง ที่เดินทางกลับจากประเทศอังกฤษ ไปกินข้าวกลางวันที่ร้านอาหารหรูย่านซอยทองหล่อ สุขุมวิท

คนเราถ้ามีอารมณ์สรรหาของกินได้ แสดงว่าไม่ได้เครียดจนเกินไป 

ไม่ได้ถึงขนาดที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ

ทั้งๆที่มีปมแหลมจ่ออยู่ที่คอหอย ไหนจะปริศนา “ผู้มีบารมี” นอกรัฐธรรมนูญ สามัญชน ที่อยากเป็นนายกรัฐมนตรีมาตรา 7 ก็ยังไม่ได้เฉลย ไหนจะมีคิวใหม่แทรกขึ้นมากับปมของจดหมายน้อยที่ส่งถึงประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช แห่งสหรัฐอเมริกา รายงานสถานการณ์ประชาธิปไตยในประเทศไทยให้เพื่อนรักได้ร่วมรับรู้

ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ แล้ว “จอร์จ ดับเบิลยู. บุช” เป็นใคร

สารพัดคำถามร้อนๆที่รอ “ทักษิณ” ไขข้อข้องใจ

เสียงขู่ฮึ่มๆต้องตอบให้ได้

แต่ก็อย่างว่า ขนาด “ผู้มีบารมี” ยังกล้าเปิดเกมวัดดวง เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย นับประสาอะไรกับเสียงโหวกเหวกของคนไม่มีบารมี

“ทักษิณ” ไม่สนอยู่แล้ว

รูปเกมเดินมาถึงจุดที่ต้องแลกหมัด ไม่มีอะไรจะเสีย ติดดาบปลายปืนรอตะลุมบอน

ฝั่งพันธมิตรม็อบไล่เองต่างหากที่ต้องเดินเกมกันอย่างยากลำบาก ไหนจะต้องระวังไม่เปิดเงื่อนไขให้ฝ่ายอำนาจพิเศษเข้าควบคุมสถานการณ์

ล่อให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร

ไหนจะต้องประเมินกำลังตอบโต้ของฝ่ายสนับสนุน “ทักษิณ” ที่ข่าวทางลึกว่ากันว่า วางเครือข่ายไว้แน่นปึ้ก ทั้งยุทธศาสตร์ด้านมวลชน และเครื่องมือในการโฆษณาประชาสัมพันธ์  
ไม่หมูเหมือนยกแรก

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพันธมิตรม็อบไล่เองก็เก๋าเกม เป็นมวยมากขึ้น ล่าสุด นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หนึ่งในแกนนำพันธมิตรม็อบไล่ แพลมไต๋ล่วงหน้า

อาจจะเลื่อนกำหนดวันนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 14 กรกฎาคมออกไปก่อน

โดยอ้างมุมมองสะท้อนกลับให้ต้องพิจารณา อาทิ เรื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังอยู่ในอาการประชวร การที่มีกระแสข่าวเรื่องการจัดม็อบชนม็อบ การที่นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ออกมาขอร้องไม่ให้กัดกัน

พันธมิตรม็อบไล่ต้องฟังความเห็นของเครือข่ายต่างๆด้วย

คุมเชิงแบบมีลีลา

ไม่บุ่มบ่ามให้โดนสวนง่ายๆเหมือนกันhttp://www.thairath.co.th/news.php?section=politics03&content=12376


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 12:02:12 AM
  ขณะนี้รายการถึงลูกถึงคน กำลังถกเถียงกันเรื่อง จดหมายที่ทักษิณส่งรายงานต่อ จอร์ช ดับเบิลยู บุช  ระหว่าง นายสุริยะใส กับ จักรภพเพ็ญแข  เนื้อหาหลักๆ ที่จักรภพบอกเกี่ยวกับเนื้อหาที่ฟ้อง บุชคือ เลือกตั้งได้เสียงข้างมากแล้ว(แต่ทักษิณไม่ได้รายงานเจ้านายว่าเป็นการเลือกตั้งพรรคเดียว เหมือนประเทศเผด็จการและคอมมิวนิสต์) ยังไม่ได้ตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ ไม่ได้รับความยุติธรรม จากขบวนการต่างๆ (น่าจะหมายถึงผู้มีบารมี และศาล)ดูยังไง จักรภพก็อธิบายไม่ออกว่าเหตุใดต้องส่งจดหมายรายงานกิจการภายใน ต่อ ประเทศมหาอำนาจที่มี ประวัติ ส่งออก ปฏิวัติ รัฐประหาร ตั้งรัฐบาลหุ่น เป็นสินค้าสำคัญครับ มันบ่งชี้ถึงหนทางที่ตีบตันลงไปทุกทีของทักษิณและบริวาร กับหนทางที่เหลือไม่มากนัก  หมาที่ยังหนีได้ กับ      "   หมาจนตรอก    "   โดยเฉพาะ   "   หมาบ้าที่กัดไม่เลือกแม้แต่ผู้มีบารมี   "   สิ่งหลังน่ากลัวนัก  คนไล่และประชาชนคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเลือดตกยางออกบ้างไม่มีทางเลี่ยงครับ


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 04:36:13 AM
 :-\ ประเดนสำคัญอยู่ที่ว่า "ทำไม" ต้องส่งจดหมายไปยังผู้นำอเมริกา และล่าสุดข่าวเช้านี้บอกว่านอกจากอเมริกาแล้ว ยังมีอีก 9 ฉบับที่ส่งไปยังผู้นำประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศในอาเซียนด้วย :-\


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: มือปืน อีโบ๊ะ ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 09:36:37 AM
ขอแสดงความเห็นบ้างนะครับ ผมไม่ได้อยู่ฝ่ายไหนหรือเข้าข้างใคร ประเด็นที่ นายกฯ ส่งจดหมายไปให้ บุช. ก็เพราะต้องการยืนยันว่าสถานการณ์ในเมืองไทยเป็นอย่างไร. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่ยังลังเลอยู่ให้มาลงทุน. ถามว่าจำเป็นใหม? ที่ต้องทำแบบนี้ ผมว่ามันเป็นวิถีทางอย่างหนึ่งของผู้นำประเทศที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น มันไม่เกี่ยวกับการขายชาติหรือยอมเป็นเมืองขึ้นของใครหรอกครับท่าน ไม่ใช่"หมาจนตรอก" อย่างที่ narcissus พูด ผมรู้สึกว่าท่านผู้นี้ พูดแรงไปหน่อย มาจาก manager หรือครับ หรือว่ามาจาก พวก 500 เอ๊ย. 5 พันธมิตรที่เริ่มเป็น หมาจนตรอก ( ขอใช้บ้าง ) จัดชุมนุมไม่ได้แล้ว เพราะ 1. ไม่มีทุน 2.ไม่มีแนวร่วม 3.อ้างเบื้องสูงไม่ได้แล้ว หลังจากท่าน สุเมธฯ ออกมาด่าว่าห้ามอ้างเบื้องสูง 4. จะต้องเจอกลุ่มต้อต้านแน่ 5. ต้องใช้เวลาไปขึ้นศาล... :OO :OO


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 10:21:56 AM
จริงครับที่ ผู้นำมีหน้าที่ต้องส่งจดหมายชี้แจงต่างชาติเพื่อสร้างความมั่นใจ แต่ไม่ใช่นำเสนอปัญหาส่วนตัวส่วนพรรคขอความเห็นใจ โจมตีฝ่ายที่ไม่ชอบรัฐบาลในประเทศที่ทำเหมื่อนกับที่ประชาชนในประเทศประชาธิปไตยตะวันตกชอบทำกันเอง

และเรื่องของเรื่องคือข้องความทีส่งไปก็มีความหมายเพียงให้เขารู้ว่า อยากจะบอกอะไรเท่านั้นละครับ คนเมกันอยู่เต็มเมืองและไม่ตาบอดหรือโง่ ไม่ได้อะไรเพราะเมกาจะทำอะไรก็ยึดผลประโยชน์ประเทศเขาอยู่แล้ว เมกาเคยจริงจังจริงใจกับผู้นำต่างชาติคนไหน/รัฐบาลไหนบ้าง? อย่างเก่งก็ยอมให้ลี้ภัยไปอยู่แผ่นดินเขา เวลาต่างชาติๆ นั้นเน่าแล้ว

ข้อมูลใดใครพูดจะเป็นพันธฯ หรือไม่พันธฯ ก็ไม่สำคัญเท่ากับความจริง ต่อให้ ฮิตเลอร์ หรือ อีดี้ อามิน พูดว่า 1+1=2 ยังไงก็ถูกตามกฎเกณฑ์ของเลขฐาน 10

การส่งข้อความแบบนี้ ผมว่า "ไม่ได้เรื่อง" "เสียเกียรติประเทศชาติ" ตามกฎเกณฑ์ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ครับ


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: Chayanin-We love the king ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 10:52:10 AM
เมื่อมองเหตุการณ์ในบ้านเมืองเราแล้ว เรื่องอำนาจปกครองอาณาจักร มันก็มีความเหมือนกันคล้ายคลึงกันเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ เช่นจีน  หรือ ไทยเราเอง  การต่อสู้ มีการแพ้ แลชนะ ทั้งในระดับยุทธศาสตร์ และยุทธวิถีปลีกย่อย 
ผู้ชนะ หรือ ผู้แพ้ อาจจะเป็นได้ทั้งฝ่ายธรรม  และ อธรรม  อย่างที่เราเคยได้เห็นได้ศึกษาจากประวัติศาสตร์
ฝ่ายธรรมหรือพระเอกผมขอนิยามว่า  เป็นฝ่ายที่คำนึงถึงประโยชน์สุขของประชาชนเป็นหลัก
ฝ่ายอธรรมหรือตัวร้าย  ก็เป็นฝ่ายที่คำนึงถึงตัวเอง พวกพ้อง บริวารเป็นหลัก
หากผู้ปกครองมีธรรมมะ  บ้านเมืองก็จะมีความสงบเรียบร้อย ร่มเย็น ในระยะยาว
หากผู้ปกครองไม่มีธรรมมะ  บ้านเมืองก็จะระส่ำระสาย  เดือดร้อนไปทั่ว  ที่เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ สุดท้ายก็ย่อมเป็นการเพาะพันธุ์ สร้างพลังที่จะมาล้างระบอบทรราช ระบอบที่ไม่ดีให้หมดอำนาจลงไปในที่สุด และใช้เวลาไม่นานมากนัก ...โดยอัตโนมัติ
ระบอบที่ดี  ก็สั่นคลอน  อนิจจัง ได้เหมือนกัน   แต่ยากกว่าเพราะคนส่วนใหญ่จะคอยเกื้อหนุน ค้ำจุนเอาไว้  หรือหากล่มลง ชั่วเวลาไม่นานก็จะกลับฟื้นคืนมา  เพราะพลังส่วนใหญ่ในบ้านเมืองช่วยฟื้นฟู
คนทุกคนย่อมมีสัญชาติญาณต่อสู้เอาตัวรอด  แม้บางกาละ เทศะ  อาจจะถูกครอบงำ  กดดัน  สั่งสอน ให้ลืม ละเลย การใช้สัญชาติญานนั้น แต่เมื่อเป็นอิสระ หรือเริ่มมองเห็นอันตราย  สัญชาติญาณก็จะทำงาน
สถานการณ์ปัจจุบันก็กำลังพิสูจน์ระบอบบางระบอบอยู่ 
***คนสุจริตส่วนใหญ่ที่ยังรวมพลังได้มากพอสมควรก็ไม่พอใจระบอบนี้  แต่ยังทำอะไรไม่ได้เด็ดขาด เหมือนกับ คนที่ถูกโจรรีดเงินทุกวี่วัน เพื่อเอาไปแบ่งให้กับโจร และสมุนโจร(ทั้ง เดียงสา และไม่เดียงสา)
***โจร สร้างระบอบ บุกปล้น แล้วก็แบ่งเศษทรัพย์เล็กน้อยให้สมุนไปใช้สอย 
***สมุนพิการ(โดนตัดแขน ขา อวัยวะ  มันสมอง สติปัญญา) แต่มีจำนวนมากดั่งคลื่นในมหาสมุทร ถาโถมเป็นกำลัง เข้าปล้นตามคำสั่งนาย
เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร  น่าสนใจ  เคยอ่านสามก๊ก  ก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่าจะมาเจอในชีวิตจริง
วันนี้ไปงานรับปริญญาที่  คณะ พาณิชยศาสตร์และการบัญชี(ถ้าพิมพ์ผิดต้องขอโทษด้วยครับ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  มีบริวารใกล้ชิดทักษิณคนหนึ่ง ไปงานนั้นด้วย  ผมไม่อยากอยู่ในรัศมี50 เมตรเลย  กลัวโดนแรงระเบิด  เพราะแหล่งข่าวรัฐบาลเปิดเผยว่ามีผู้จ้องลอบสังหาร ทักษิณ อยู่   ผมไม่แน่ใจว่ารวมถึงบริวารใกล้ชิดด้วยหรือเปล่า  ผมกลัวจริงๆครับ :-X


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 11:02:07 AM
ขอแสดงความเห็นบ้างนะครับ ผมไม่ได้อยู่ฝ่ายไหนหรือเข้าข้างใคร ประเด็นที่ นายกฯ ส่งจดหมายไปให้ บุช. ก็เพราะต้องการยืนยันว่าสถานการณ์ในเมืองไทยเป็นอย่างไร. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่ยังลังเลอยู่ให้มาลงทุน. ถามว่าจำเป็นใหม? ที่ต้องทำแบบนี้ ผมว่ามันเป็นวิถีทางอย่างหนึ่งของผู้นำประเทศที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น มันไม่เกี่ยวกับการขายชาติหรือยอมเป็นเมืองขึ้นของใครหรอกครับท่าน ไม่ใช่"หมาจนตรอก" อย่างที่ narcissus พูด ผมรู้สึกว่าท่านผู้นี้ พูดแรงไปหน่อย มาจาก manager หรือครับ หรือว่ามาจาก พวก 500 เอ๊ย. 5 พันธมิตรที่เริ่มเป็น หมาจนตรอก ( ขอใช้บ้าง ) จัดชุมนุมไม่ได้แล้ว เพราะ 1. ไม่มีทุน 2.ไม่มีแนวร่วม 3.อ้างเบื้องสูงไม่ได้แล้ว หลังจากท่าน สุเมธฯ ออกมาด่าว่าห้ามอ้างเบื้องสูง 4. จะต้องเจอกลุ่มต้อต้านแน่ 5. ต้องใช้เวลาไปขึ้นศาล... :OO :OO
จริงครับ แต่ควรเป็นการแจ้งสถานการณ์ที่เป็นสิ่งดีๆของประเทศ แต่เนื้อหาสาระ กลับมีใจความหลักๆว่า มีคนจ้องล้มประชาธิปไตยในไทย รวมถึงปัญหาส่วนตัว อย่างนี้เขาเรียกชักศึกเข้าบ้านครับ คนสติดี คนที่รักชาติบ้านเมืองไม่ควรกระทำครับ  สนธิและพันธมิตรโจมตีทักษิณ เพราะรักชาติบ้านเมืองหรือขัดผลประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่ผมไม่รู้ แต่คนที่รักชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริงไม่ชื่นชมทักษิณในประเด็นนี้แน่นอนครับ


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: bigbang ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 12:43:00 PM
ขอแสดงความเห็นบ้างนะครับ ผมไม่ได้อยู่ฝ่ายไหนหรือเข้าข้างใคร ประเด็นที่ นายกฯ ส่งจดหมายไปให้ บุช. ก็เพราะต้องการยืนยันว่าสถานการณ์ในเมืองไทยเป็นอย่างไร. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่ยังลังเลอยู่ให้มาลงทุน. ถามว่าจำเป็นใหม? ที่ต้องทำแบบนี้ ผมว่ามันเป็นวิถีทางอย่างหนึ่งของผู้นำประเทศที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น มันไม่เกี่ยวกับการขายชาติหรือยอมเป็นเมืองขึ้นของใครหรอกครับท่าน ไม่ใช่"หมาจนตรอก" อย่างที่ narcissus พูด ผมรู้สึกว่าท่านผู้นี้ พูดแรงไปหน่อย มาจาก manager หรือครับ หรือว่ามาจาก พวก 500 เอ๊ย. 5 พันธมิตรที่เริ่มเป็น หมาจนตรอก ( ขอใช้บ้าง ) จัดชุมนุมไม่ได้แล้ว เพราะ 1. ไม่มีทุน 2.ไม่มีแนวร่วม 3.อ้างเบื้องสูงไม่ได้แล้ว หลังจากท่าน สุเมธฯ ออกมาด่าว่าห้ามอ้างเบื้องสูง 4. จะต้องเจอกลุ่มต้อต้านแน่ 5. ต้องใช้เวลาไปขึ้นศาล... :OO :OO

ขอแจมหน่อย(ไม่เอาเนย)  หากทักษิณต้องการยืนยันสถานการณก็สามารถเปิดแถลงข่าวให้สื่อมวลชนในและนอก
ก็ได้ไม่จำเป็นต้องเขียนจดหมายไปฟ้องพ่อเนี่ย   ดูอย่างไรก็เหมือนเอาเรื่องในบ้านไปบอกคนอื่นอยู่ดี
ส่วนท่านสุเมธนั้นท่านพูดมากกว่าที่คุณฟังจากโทรทัศน์ แต่ทีวีภายใต้เท้าทักษิณคัดเน้นส่วนนั้นมาเล่น
สุดท้ายคนที่อ้างเบื้องสูงแถมคำพูดอื่นๆก็ทักษิณและพวกลิ่วล้อเอง  ผมเองก็ไม่ชอบสนธิแต่ ก็ต้องทำใจรำคราญ
แต่ก็ใช้ไว้เฝ้าบ้านระวังแทนเราบ้าง  สงสารประเทศจังจนป่านนี้แล้วคนยังไม่รู้สึกความชั่วร้ายของคนเหล่านี้อีก





หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: มือปืน อีโบ๊ะ ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 03:59:38 PM
ขอแสดงความเห็นบ้างนะครับ ผมไม่ได้อยู่ฝ่ายไหนหรือเข้าข้างใคร ประเด็นที่ นายกฯ ส่งจดหมายไปให้ บุช. ก็เพราะต้องการยืนยันว่าสถานการณ์ในเมืองไทยเป็นอย่างไร. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่ยังลังเลอยู่ให้มาลงทุน. ถามว่าจำเป็นใหม? ที่ต้องทำแบบนี้ ผมว่ามันเป็นวิถีทางอย่างหนึ่งของผู้นำประเทศที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น มันไม่เกี่ยวกับการขายชาติหรือยอมเป็นเมืองขึ้นของใครหรอกครับท่าน ไม่ใช่"หมาจนตรอก" อย่างที่ narcissus พูด ผมรู้สึกว่าท่านผู้นี้ พูดแรงไปหน่อย มาจาก manager หรือครับ หรือว่ามาจาก พวก 500 เอ๊ย. 5 พันธมิตรที่เริ่มเป็น หมาจนตรอก ( ขอใช้บ้าง ) จัดชุมนุมไม่ได้แล้ว เพราะ 1. ไม่มีทุน 2.ไม่มีแนวร่วม 3.อ้างเบื้องสูงไม่ได้แล้ว หลังจากท่าน สุเมธฯ ออกมาด่าว่าห้ามอ้างเบื้องสูง 4. จะต้องเจอกลุ่มต้อต้านแน่ 5. ต้องใช้เวลาไปขึ้นศาล... :OO :OO

ขอแจมหน่อย(ไม่เอาเนย) หากทักษิณต้องการยืนยันสถานการณก็สามารถเปิดแถลงข่าวให้สื่อมวลชนในและนอก
ก็ได้ไม่จำเป็นต้องเขียนจดหมายไปฟ้องพ่อเนี่ย ดูอย่างไรก็เหมือนเอาเรื่องในบ้านไปบอกคนอื่นอยู่ดี
ส่วนท่านสุเมธนั้นท่านพูดมากกว่าที่คุณฟังจากโทรทัศน์ แต่ทีวีภายใต้เท้าทักษิณคัดเน้นส่วนนั้นมาเล่น
สุดท้ายคนที่อ้างเบื้องสูงแถมคำพูดอื่นๆก็ทักษิณและพวกลิ่วล้อเอง ผมเองก็ไม่ชอบสนธิแต่ ก็ต้องทำใจรำคราญ
แต่ก็ใช้ไว้เฝ้าบ้านระวังแทนเราบ้าง สงสารประเทศจังจนป่านนี้แล้วคนยังไม่รู้สึกความชั่วร้ายของคนเหล่านี้อีก




[/qu
ผมคิดว่าผมรู้สึกถึงความชั่วร้ายนะครับ แต่บ้านเมืองต้องมีกติกา. มีระบบที่ต้องทำตาม ถ้าไม่ชอบก็ไม่เลือก novote ไปเลย ผมไม่ชอบการกระทำแบบ สนธิคือ อ้างเบื้องสูงมาเป็นข้ออ้างในการชุมนุมตลอด.ตั้งแต่..ขอคืนพระราชอำนาจ,ขอนายกพระราชทาน,ฯลฯ ถ้าแน่จริงทำไมไม่ตั้งประเด็นไปเลยว่า ..ระหว่าง ทักษิณ กับ สนธิ ประชาชนจะเลือกเข้าข้างไหน.. โหวตกันไปเลยครับท่าน


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 04:24:56 PM
สำหรับผม ส่วนมากที่ทักษิณทำตรงข้ามกับผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติครับ ดังนั้นความเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับทักฯ จึงไม่ใช่ "ลิขสิทธิของสนธิและพวก" ดังนั้น แนวทางต่อต้านทักฯ จึงอยู่ถูกทางแล้วเมื่อสนธิและพวกไม่ได้เรียกร้องตำแหน่งทางการไปพร้อมๆ กัน

ผมไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมดกับสิ่งที่สนธิและพวกกระทำ แต่คิดรวมแล้ว สิ่งสนธิและพวกกระทำในฐานะที่เป็นประชาชนยังดีกว่าสิ่งที่ทักฯ และพวกกระทำในฐานะที่เป็นรัฐบาล


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: โจ ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 04:40:30 PM
การที่บ้านเมืองต้องมีกติกา ก็ไม่ได้หมายความว่า กติกาอะไรก็ได้ที่รัฐบาลหรือคนของรัฐบาลเป็นผู้กำหนด

การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว โนโหวตมีเป็นสิบล้านเสียง แต่รัฐบาลก็ยังอ้าง 16 ล้านเสียง บางเขตโนโหวตชนะคะแนนเสียงที่เลือกทรท. แล้วท่านว่าควรทำอย่างไร ในเมื่อกฏหมายการเลือกตั้งไม่สมบูรณ์ และการใช้คนไม่เป็นกลางอย่างกกต.ชุดปัจจุบันมาเป็นกรรมการ แล้วการเลือกตั้งตามกติกาจะมีได้อย่างไร

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของทักษิณกับสนธิ แต่เป็นเรื่องของประชาชนคนไทยทุกคนครับ ขอให้เข้าใจประเด็นด้วย การที่นายกของประเทศไทยกระทำตัวหน้าไหว้ หลังหลอก คดในข้องอในกระดูก เอาประโยชน์ตนเองเป็นที่ตั้ง อย่างนี้ใครจะทนได้ และที่สำคัญ การที่คนไทยจะเริ่มปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ ผิดด้วยหรือ

ผมไม่ใช่พวกสนธิ หรือ พวกใคร เป็นเพียงประชาชนคนไทยคนหนึ่งที่รักในหลวงและประเทศไทย ซึ่งผมก็คิดว่าท่านก็คงจะเป็นเช่นผมเหมือนกัน


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: NPD ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 05:02:12 PM
    ผมอยากให้บ้านเมืองสงบ ประเทศชาติไปได้ เศษฐกิจดีและมั่นคง  การเมืองบ้านเรา อึมครึมนานเกินไปแล้วครับ  อีกทั้งยังเจอเรื่องน้ำมันแพงเข้ามาซำอีก.... ข้าราชการต่าง ๆ ตอนนี้อาจจะยังไม่กระทบ แต่ว่า ธุรกิจ บริการต่าง ๆ  ธุรกิจก่อสร้างก็ทำท่าจะร่วง แล้วครับ..... สัญญาณนี้ อันตราย.... ใครได้... ใครเสีย.... หรือจะกอดคอกันตาย... ประเทศชาติ จะต้องมีผู้นำ....คำว่ากฎกติกา สำหรับคนหมู่มากเรายังคงต้องใช้อยู่ครับ.... กติกาไม่ดี ก็ต้องหาทางแก้ หลายคน หลายความคิด แต่มันต้องมีจุดใดจุดหนึ่งที่ยอมรับกันได้ ภาวนา ขอให้มีการเลือกตั้งไว ๆ ขอให้ได้ผู้นำที่ถูกใจทุก ๆ ท่าน ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: มือปืน อีโบ๊ะ ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 05:59:27 PM
ผมอยากให้บ้านเมืองสงบ ประเทศชาติไปได้ เศษฐกิจดีและมั่นคง การเมืองบ้านเรา อึมครึมนานเกินไปแล้วครับ อีกทั้งยังเจอเรื่องน้ำมันแพงเข้ามาซำอีก.... ข้าราชการต่าง ๆ ตอนนี้อาจจะยังไม่กระทบ แต่ว่า ธุรกิจ บริการต่าง ๆ ธุรกิจก่อสร้างก็ทำท่าจะร่วง แล้วครับ..... สัญญาณนี้ อันตราย.... ใครได้... ใครเสีย.... หรือจะกอดคอกันตาย... ประเทศชาติ จะต้องมีผู้นำ....คำว่ากฎกติกา สำหรับคนหมู่มากเรายังคงต้องใช้อยู่ครับ.... กติกาไม่ดี ก็ต้องหาทางแก้ หลายคน หลายความคิด แต่มันต้องมีจุดใดจุดหนึ่งที่ยอมรับกันได้ ภาวนา ขอให้มีการเลือกตั้งไว ๆ ขอให้ได้ผู้นำที่ถูกใจทุก ๆ ท่าน ขอบคุณครับ
[/b]ถูกต้องคร้าบบบบบบบบบบบบบบบ... :) :)


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: 686 ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 07:11:35 PM
ขอแสดงความเห็นบ้างนะครับ ผมไม่ได้อยู่ฝ่ายไหนหรือเข้าข้างใคร ประเด็นที่ นายกฯ ส่งจดหมายไปให้ บุช. ก็เพราะต้องการยืนยันว่าสถานการณ์ในเมืองไทยเป็นอย่างไร. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่ยังลังเลอยู่ให้มาลงทุน. ถามว่าจำเป็นใหม? ที่ต้องทำแบบนี้ ผมว่ามันเป็นวิถีทางอย่างหนึ่งของผู้นำประเทศที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น มันไม่เกี่ยวกับการขายชาติหรือยอมเป็นเมืองขึ้นของใครหรอกครับท่าน ไม่ใช่"หมาจนตรอก" อย่างที่ narcissus พูด ผมรู้สึกว่าท่านผู้นี้ พูดแรงไปหน่อย มาจาก manager หรือครับ หรือว่ามาจาก พวก 500 เอ๊ย. 5 พันธมิตรที่เริ่มเป็น หมาจนตรอก ( ขอใช้บ้าง ) จัดชุมนุมไม่ได้แล้ว เพราะ 1. ไม่มีทุน 2.ไม่มีแนวร่วม 3.อ้างเบื้องสูงไม่ได้แล้ว หลังจากท่าน สุเมธฯ ออกมาด่าว่าห้ามอ้างเบื้องสูง 4. จะต้องเจอกลุ่มต้อต้านแน่ 5. ต้องใช้เวลาไปขึ้นศาล... :OO :OO
จริงครับ แต่ควรเป็นการแจ้งสถานการณ์ที่เป็นสิ่งดีๆของประเทศ แต่เนื้อหาสาระ กลับมีใจความหลักๆว่า มีคนจ้องล้มประชาธิปไตยในไทย รวมถึงปัญหาส่วนตัว อย่างนี้เขาเรียกชักศึกเข้าบ้านครับ คนสติดี คนที่รักชาติบ้านเมืองไม่ควรกระทำครับ สนธิและพันธมิตรโจมตีทักษิณ เพราะรักชาติบ้านเมืองหรือขัดผลประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่ผมไม่รู้ แต่คนที่รักชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริงไม่ชื่นชมทักษิณในประเด็นนี้แน่นอนครับ

นอกจากเนื้อหา สาระ ในจดหมายที่คุณ  narcissus ให้ความเห็นไปแล้วนั้น คำที่ใช้บอกตำแหน่ง ของ รักษาการ นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ก็สับสน และ ไม่เหมาะสมด้วย โดยใช้คำว่า "Prime Minister of Thailand"(นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย) แทนที่จะใช้ตำว่า "Caretaker  Prime Minister of The Kingdom of Thailand " (รักษาการ นายกรัฐมนตรีของ ราชอาณาจักรไทย) ซึ่งเป็นคำที่ถูกต้องอย่างเป็นทางการ การที่บอกว่า "ผิดเพราะ ไม่รู้" อ้างไม่ได้ครับ เพราะ นายกรัฐมนตรี จบถึงปริญญาเอก และ ในคณะรัฐบาลมีคนที่มีความรู้สูงอยู่มาก เป็นการผิดอย่างจงใจเพื่อที่จะบอกว่า " ประเทศนี้ เป็นของข้า" อะไรทำนองนี้เสียมากกว่า ยังมีอีกหลายคำทีอยู่ในจดหมากที่ใช้ไม่ถูกที่ถูกทาง อย่างคำว่า "my country" ซึ่งเป็นคำพูดที่ใช้ทั่วไป ไม่สมควรที่จะใช้ในจดหมายอย่างเป็นทางการ ซึ่งหมายความว่า "ประเทศของฉัน " หรืออีกนัยหนึ่ง "ฉันเป็นเจ้าของประเทศ" จดหมายทางการจะหลีกเลี่ยงคำ ๆ นี้ โดยใช้คำว่า " Thailand " แทน ยิ่งคำว่า " My" ก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นเดียวกัน "my opponents, my Deputy Prime Minister, my party" ซึ่งพบในจดหมายฉบับนี้แสดงถึงความเป็นเจ้าของในสิ่งนั้น ๆ ของ ผู้ส่งสาร

ในการพูดนั้นพูดคำเหล่านั้นได้ แต่ในจดหมายทางการไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง

มาถึงตอนนี้ทำให้ผมชักสงสัยแล้วว่า ปริญญาที่ รักษาการ นายกฯ. ทักษิณ ได้มาน่ะ ซื้อมาหรือไงถึงได้แสดงความอ่อนด้อยทางปัญญาได้มากถึงเพียงนี้

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9490000089946


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 07:29:58 PM
ซึ่งเป็นคำที่ถูกต้องอย่างเป็นทางการ การที่บอกว่า "ผิดเพราะ ไม่รู้" อ้างไม่ได้ครับ เพราะ นายกรัฐมนตรี จบถึงปริญญาเอก และ ในคณะรัฐบาลมีคนที่มีความรู้สูงอยู่มาก เป็นการผิดอย่างจงใจเพื่อที่จะบอกว่า " ประเทศนี้ เป็นของข้า" อะไรทำนองนี้เสียมากกว่า
    เห็นด้วยกับพี่ 686 ครับ ไม่ใช่ไม่มีความรู้  หรือไม่รู้ในกาลควรไม่ควร แต่  "   ทักษิณจงใจทำตัวเป็นเจ้าของประเทศทำตัวตีเสมอเจ้า   "     เช่นเดียวกับโจโฉเหิมเกริมจาบจ้วงพระเจ้าเหี้ยนเต้  ทุกๆท่านลองไปสังเกตุพระราชพิธีเฉลิมฉลองดูแล้วกัน ทักษิณ ยืนรับพระราชอาคันตุกะ หน้าทางเข้าก่อนพระเจ้าแผ่นดินเหมาะสมหรือไม่  ผู้ที่พบแขกก่อนพระเจ้าแผ่นดินได้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นคือ มหาดเล็กผู้ทำหน้าที่เชิญพระราชอาคันตุกะ ทำไปเพื่ออะไร และการแสดงออกบางอย่าง น่าเอาไปตัวหัวอย่างยิ่ง เช่นการถูกเนื้อต้องตัวพระราชอาคันตุกะอย่างถือสนิท

มาถึงตอนนี้ทำให้ผมชักสงสัยแล้วว่า ปริญญาที่ รักษาการ นายกฯ. ทักษิณ ได้มาน่ะ ซื้อมาหรือไงถึงได้แสดงความอ่อนด้อยทางปัญญาได้มากถึงเพียงนี้     
ได้ปริญญามาเองหรือซื้อ ไม่ทราบครับพี่ 686 แต่ ทุนปริญญาเอก และ ที่ 1 รุ่นนั้น ปล้นมาจาก พล.ต.ต. อำนวย ผู้บังคับการจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งได้ที่ 1 มาตลอด และตอนปีสุดท้าย ทักษิณ แอบไปลอกโพยในห้องน้ำ ไม่เชื่อ ถามเพื่อนร่วมรุ่น นรต.ทักษิณได้ครับ


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: Glock36 ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 10:49:59 PM
ผมไม่ถือ ด็อกเตอร์มหาลัยห้องแถว ที่สมองเสื่อม แถมกิเลสบังตา

จำได้ว่า ตอนที่ท่านทำบุญบรรพบุรุษ ช่วงได้เป็นนายกสมัยแรก ที่สุสาน ลมหอบปลิวของเซ่นใหว้ล้มระเนระนาด ของเซ่นไม่ใช่ชิ้นเล็กๆ เป็นถาดใหญ่ๆ ยังล้มกระจัดกระจาย เชื่อว่าบรรพบุรุษ ของเขาเป็นคนดี เลยมาเตือนลูกหลาน แต่จนแล้วจนรอด ก็คงเอาใว้ไม่อยู่

ที่เห็นนี่จากข่าวในโทรทัศน์ ไม่ได้ฟังเขาเล่ามา

ที่บอกว่าไม่ถือ นี่เฉพาะจดหมาย ที่ส่งไปแบบว่า ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ แต่คุณบุชเนี่ย....เป็นผู้มีพระคุณ...มั้ง

ส่วนเรื่องที่ทำประเทศชาติเสียหาย  ถ้ามีประท้วง  ผมไปด้วยคน



หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 07:22:05 PM
จดหมายจากทาสรายงานถึงนาย

ถ้าจดหมายนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่ส่งถึงประธานาธิบดีบุช ผู้นำสหรัฐฯ ที่หนังสือพิมพ์มติชนนำออกมาเผยแพร่ เป็นจดหมายของจริง ผมก็เห็นด้วยว่าเป็นการกระทำที่ “ไม่สมควร” เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเอกราช ไม่ใช่เมืองขึ้นของสหรัฐฯ จึงไม่มีความจำเป็นที่นายกรัฐมนตรีไทย จะต้องรายงานปัญหาในประเทศไทยให้ผู้นำสหรัฐฯทราบ

ผมไม่รู้ว่าที่ปรึกษาคนใดแนะนำให้นายกฯทักษิณทำอย่างนี้ และแนะนำให้นายกฯทักษิณเขียนข้อความแบบนี้ เป็นการวางกับดักนายกฯทักษิณชัดๆ

ผมอ่านข้อความในจดหมายที่นายกฯทักษิณเขียนถึงประธานาธิบดีบุชจบแล้ว ก็รู้สึกไม่สบายใจ ใครอ่านก็ต้องรู้สึกว่าเป็นรายงานของประเทศเมืองขึ้น ที่เขียนรายงานเหตุการณ์ในประเทศนั้นต่อผู้นำประเทศผู้ครอบครอง  ยิ่งในท่อนหลังของจดหมายยิ่งทำให้รู้สึกชัดเจนขึ้น

ผมจะคัดมาให้ลองอ่านกันดูครับ

“ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวนี้ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะให้ความมั่นใจต่อท่านว่า ข้าพเจ้าจะดำเนินขั้นตอนต่างๆ เพื่อช่วยให้ประเทศนี้มีความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่เป็นเสรีและยุติธรรม และทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงการถกเถียงโต้แย้งกันในระดับชาติ จากการถกเถียงกันด้วยข้อกล่าวหาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ เป็นการถกเถียงหารือกันด้วยเหตุผลว่าด้วยปัญญาที่เป็นหัวใจสำคัญ คือ เรื่องอนาคตของประเทศไทย ซึ่งรวมถึงประเด็นที่ว่า การเมืองการปกครองของประเทศนี้ ควรจะถูกตัดสินชี้ขาดกันด้วยคะแนนเสียง ในหีบบัตรเลือกตั้งหรือด้วยการประท้วงตามท้องถนน คำตอบของคำถามดังกล่าวนี้ จะมีผลกระทบอย่างสำคัญต่อเส้นทางประชาธิปไตยในเอเชียในอนาคต

ข้าพเจ้ารู้ว่า ท่านประธานาธิบดีคงเห็นพ้องกับข้าพเจ้าที่ว่า การปกครองโดยกฎหมายและรัฐธรรมนูญทั้งในไทยและในเอเชียโดยรวม จำต้องได้รับชัยชนะเหนือการกระทำของม็อบและการปลุกระดมทั้งหลาย

้ในท้ายที่สุดนี้ ท่านประธานาธิบดีโปรดได้รับความมั่นใจ ไม่มีที่สิ้นสุดของข้าพเจ้าไว้เถิดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทย และสหรัฐอเมริกาบนพื้นฐานของค่านิยมประชาธิปไตยร่วมกัน และผลประโยชน์ สำคัญระดับชาติร่วมกัน จะเติบใหญ่ต่อไปในอนาคต”

เป็นไงครับ อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง

แต่จดหมายตอบจากประธานาธิบดีบุช ซึ่งมีข้อความแค่สองท่อนสั้นๆ ผมกลับรู้สึกว่าท่านเขียนตอบมาด้วยสำนวนที่เป็นกลางดูดีกว่าเยอะ ลองอ่านดูก็ได้ครับ

“ขอขอบคุณสำหรับจดหมายของท่าน และความคาดหวังในทางที่ดีเกี่ยวกับเส้นทางในอนาคตของประเทศไทย สหรัฐอเมริกาได้จับตามองเหตุการณ์ ในประเทศของท่านด้วยความกังวลอยู่บางส่วน และในฐานะพันธมิตรและมิตรประเทศ ข้าพเจ้าขอแสดงความหวังอย่างจริงใจว่า ทุกฝ่ายจะสามารถพบหนทางที่จะก้าวไปข้างหน้า อันเป็นหนทางที่จะเคารพต่อความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ของประชาธิปไตยไทยในอดีตที่ผ่าน...”

จดหมายตอบของผู้นำสหรัฐฯบอกชัดเจนว่า สหรัฐฯได้จับตาดูเหตุการณ์ ในเมืองไทยอยู่แล้ว เพราะมีทั้งสถานทูต ตำรวจเอฟบีไอ สายลับซีไอเอของสหรัฐฯอยู่เต็มไปหมด มีอะไรในประเทศไทยที่สหรัฐฯไม่รู้บ้าง แม้แต่ข้อมูลประเทศไทยในเว็บซีไอเอ ก็มีรายละเอียดมากกว่าที่มีในเว็บของไทยเองเสียอีก

ดังนั้น จดหมายรายงานเหตุการณ์ความวุ่นวายในประเทศไทย ที่นายกฯทักษิณเขียนไปรายงานผู้นำสหรัฐฯ ผมจึงเห็นว่าไม่สมควร ในจดหมายตอบของประธานาธิบดีบุชเองก็ไม่ได้แสดงความสนใจเท่าไร เพราะเป็นเรื่องกิจการภายในของไทย ไม่เกี่ยวกับอเมริกา

งานนี้ต้องถือว่า กระทรวงการต่างประเทศ บกพร่องอย่างมาก

ที่ปล่อยให้ผู้นำประเทศใช้ช่องทางการทูตทำในเรื่องที่ไม่ สมควรอย่างนี้.

http://www.thairath.co.th/news.php?section=society03&content=12568



หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: โป้ง*กันบอย - รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 07:45:37 PM
กลัวหมดลมหายใจ.....................จนหน้ามืด

เข้าหาทุกทางที่จะรอด...........................นึกหรือว่าจะรอด


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: zombies5567 ที่ กรกฎาคม 15, 2006, 07:45:16 AM
 ชื่อเสียง เกียรติยศ สักวันหนึ่งก็คือตำนาน เงินทอง วาสนา ถึงเวลาก็จากเราไป สิ่งที่เหลือไว้คือความทรงจำของคนรุ่นลูกรุ่นหลาน แล้วท่านอยากให้พวกเขาเหล่านั้นจดจำท่านไว้ในสถานะอย่างไร  " คนดี "  หรือ " คนไม่ดี "


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 15, 2006, 03:08:53 PM

นักข่าวถามว่า พล.อ.สนธิเพิ่งเป็น ผบ.ทบ.ได้ปีเดียวเท่านั้น จะย้ายออกจากตำแหน่งเลยหรือ พ.ต.ท.ทักษิณหันมองหน้านักข่าวแล้วชักสีหน้าใส่ ก่อนตอบ

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน”

นักข่าวซักต่อ นายกฯเคยให้นโยบายว่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงควรดำรงตำแหน่งอย่างน้อย 2 ปี เพื่อความต่อเนื่อง พ.ต.ท.ทักษิณหันไปมองคนถาม ก่อนลากเสียงตอบอย่างไม่สบอารมณ์

“เอ๊ย คุณพูดอะไรเรื่อยเปื่อย ผมยังไม่เคยพูดอะไรสักคำ”

และกับทีเด็ดช็อตสุดท้าย นักข่าวเล่นเชิงถามดักทางอ้อมๆ แสดงว่าในเดือนตุลาคม 2549 นี้ พล.อ.พรชัย กรานเลิศ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่น 10 ของนายกฯ เหมาะจะขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่หลงกล สวนกลับ

“คุณอย่าไปถามนำ ไม่มีคำตอบจากผม คุณไม่ต้องถามนำ ไม่ได้คำตอบจากผม ทั้งหมดมันมีระบบของเขาอยู่”

ละเอียดยิบทั้งสีหน้าอารมณ์ “ทักษิณ” ฉุนกึกถูกจี้ถามกระแสข่าวเด้ง ผบ.ทบ.



“มีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่อยากจะให้พวกเราได้ยินและเข้าใจว่า เราเป็นทหาร แต่ต้องพูดต่อไปว่า เราเป็นทหารของชาติ เป็นทหารของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวที่ไปพูดที่อื่นก็พูดทำนองนี้ว่า เราเป็นทหารของชาติ เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็มีคนเถียงว่า ถ้าอย่างนั้น รัฐบาลก็สั่งทหารไม่ได้ คนที่เถียงเขาอาจจะไม่เข้าใจทหารเลย หรือเขาไม่ชอบหน้าพวกเราก็ได้

อยากจะยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆว่า ทำไมเราถึงพูดเป็นทหารของชาติ เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เปรียบเทียบคนที่เป็นทหารม้า ถึงจะรู้เรื่องดี การแข่งม้า ม้าจะมีคอก มีเจ้าของคอก คอกหนึ่งมีม้าหลายตัว 5 ตัว 10 ตัว 20 ตัว ก็ได้ เจ้าของคอกก็เป็นเจ้าของม้า เวลาจะไปแข่ง เขาก็ไปเอาเด็กที่เราเรียกว่าจ๊อกกี้หรือเด็กขี่ม้า ไปจ้างให้เขามาขี่ม้า เขาจะขี่ม้า พอเสร็จจากการขี่ม้า เขาก็กลับไปทำงานอย่างอื่น วันนี้เขาขี่ม้าคอกนี้ พรุ่งนี้เขาขี่ม้าอีกคอกหนึ่ง เขาไม่ได้เป็นเจ้าของม้าหรอก เขาเป็นคนขี่

รัฐบาลก็เหมือนกับจ๊อกกี้ คือเข้ามาดูแลทหาร แต่ไม่ใช่เจ้าของทหาร เจ้าของทหารคือชาติและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัฐบาลเข้ามาดูแลกำหนดใช้พวกเราตามที่ประกาศนโยบายไว้ต่อรัฐสภา เด็กขี่ม้าบางคนก็ขี่ดีขี่เก่ง บางคนก็ไม่ดีขี่ไม่เก่ง รัฐบาลก็เหมือนกัน รัฐบาลบางรัฐบาลก็ทำงานดี ทำงานเก่ง บางรัฐบาลก็ทำงานไม่ดีหรือไม่เก่งก็มี นี่เป็นเรื่องจริง”

นับจากวันที่ปมปริศนา “ผู้มีบารมี” ถูก “ทักษิณ” โยนออกมา

นี่เป็นคิวแรกที่ “ป๋าเปรม” พูดยาว พูดชัด พูดหนักแน่นที่สุด
จ๊อกกี้ไม่ใช่เจ้าของม้า

หรือนี่คือสัญญาณแห่งการพยศ.

http://www.thairath.co.th/news.php?section=politics03&content=12716


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: kok-krab ที่ กรกฎาคม 15, 2006, 04:48:13 PM
มันเมาหมัดแล้ว เมื่อเช้าก็ออกมาสำรอกอีก ??? ??? ???


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: papa.n ที่ กรกฎาคม 15, 2006, 05:09:00 PM
 >:( >:( >:( เหมือน ฟูจิโมริ มากอส  เเละผู้นำทรราชคนอื่นเมื่อรู้ว่าต้องลี้ภัยจะต้องเขียน จม. ถึงผู้นำต่างๆเพื่อเป็นเอกสารราชการว่ามีความไม่สงบ หรือตนเองจะถูกปองร้าย เผื่อเวลาลี้ภัยการเมืองจะได้เอาเป็นข้ออ้างไม่ต้องกลับมาขึ้นศาลไทย เหมือนผู้นำหุ่นของอเมริกาในเขมร เวียดนาม ที่ทำมาก่อนเเละเสวยสุขในอเมริกาทั้งโคตรจนปัจจุบัน นายกคนนี้คิดว่าวิธีนี้ฉลาดเเละคนไทยมัวเเต่หลงประเด็นไม่คิดว่านี่คือทางหนีทีไล่ของเขา


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 16, 2006, 12:03:24 AM
ทรท.กร้าวสวน 'ป๋าเปรม' ผบ.เหล่าทัพไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า
 
วันนี้ (15 ก.ค.) นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ให้โอวาทนายร้อย จปร.ให้ทหารยึดมั่นในชาติและพระมหากษัตริย์ รัฐบาลเป็นเพียงแค่จ๊อกกี้ที่ผ่านมาแล้วก็ไป ว่าในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ได้ใช้อำนาจผ่าน 3 ทาง คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ซึ่งทั้ง 3 ทางล้วนเป็นองค์ประกอบของประชาธิปไตย การที่ พล.อ.เปรมพูดว่ารัฐบาลมาแล้วก็ไปนั้นถูกต้อง แต่ผู้บัญชาการทหารก็เช่นเดียวกัน เพราะเป็นกลไกในระบอบประชาธิปไตยที่ต้องมีวันเกษียณ

 

"ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า วันไหนหมดหน้าที่หมดอำนาจก็ต้องไป ไม่มีใครมาอยู่ค้ำฟ้าคอยสั่งโน่นสั่งนี่ใครได้ ระบบของประชาธิปไตยและระบบบริหารราชการแผ่นดินมีระเบียบอยู่แล้ว แม้ว่ารัฐบาลจะหมุนเวียนแต่ก็มีระเบียบที่ข้าราชการต้องฟังคำสั่ง ใครไม่ปฏิบัติก็ถือว่าละเลยหน้าที่ พล.อ.เปรมก็เคยเป็นนายกฯก็น่าจะเข้าใจว่าเมื่อเป็นก็มีอำนาจ เมื่อเลิกเป็นก็ต้องยอมรับการผ่องถ่ายอำนาจ มาแล้วก็ไปเช่นเดียวกัน" นายพงศ์เทพ กล่าว และว่าแม้รัฐบาลจะไม่ได้เป็นเจ้าของตึกกระทรวงกลาโหม ไม่ได้เป็นเจ้าของเครื่องบิน หรือเป็นเจ้าของทหารในกองทัพ แต่ก็มีหน้าที่บังคับบัญชาตามกฎหมาย และแม้ว่ารัฐบาลจะเป็นเพียงรักษาการณ์ แต่ข้าราชการก็ต้องปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อแม้

 

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ รองโฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ส่วนตัวเข้าใจว่า พล.อ.เปรม คงจะพูดเพราะไม่อยากให้ใครติดยึด ไม่ว่าจะเป็นผู้นำ หรือข้าราชการ ทั้งรัฐบาลที่จะต้องมีวันเกษียณ แต่นายทหารหรือผู้บังคับบัญชาระดับสูงก็ไม่มีใครสามารถอยู่ในกองทัพไปได้ตลอด และไม่ควรไปติดยึดในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง พล.อ.เปรม เคยเป็นมาทุกอย่างแล้ว จึงน่าจะเข้าใจของสัจธรรมและการไม่ติดยึดดีกว่าใคร และน่าจะเข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองเป็นอย่างดี

http://www.thairath.co.th/onlineheadnews.html?id=12815
 
 


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ กรกฎาคม 16, 2006, 10:27:04 PM
    “แผ่นดินทุกข์ท่วมท้น ความยากความจนหนักหนา
        เจ้าขุนมูลนายเป็นเทวา ติดเหรียญติดตราลำพอง
        เป็นใหญ่เป็นโตโวแหลก เช้าแดกเย็นแดกเผยอผยอง
        โกหกปลิ้นปล้อนตามคลอง มึงจ้องกูจ้องจะใหญ่โต
        กัดกันฟัดกันมันเขี้ยว มึงเบี้ยวกูเบี้ยวโทโส
        กูเก่งมึงเก่งมึงโว ชาวบ้านอดโซเต็มเมือง
        ตีกอล์ฟร้องเพลงเริงรื่น สุมหัวชุ่มชื่นฟ้าเหลือง
        เลียหน้าเลียหลังมลังเมลือง แผ่นดินหมดเปลืองแต่น้ำลาย”
       


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: 686 ที่ กรกฎาคม 16, 2006, 10:40:03 PM
จากไทยรัฐวันนี้ครับ

ยอมเปลืองชาติ ไม่ยอมเปลืองตัว

ภาษิตคำพังเพยโบราณว่าเอาไว้ “อย่าสาวไส้ให้ กากิน” “ความในไม่ให้เอาออก ความนอกอย่าเอาเข้า” “น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก”

คำสั่งสอนเหล่านี้ ได้ยินได้ฟังเป็นที่รู้กันโดยทั่วไป และมีการยึดถือปฏิบัติจนเป็นวัฒนธรรมของสังคมไทยมาตลอด

คนในครอบครัวจะเอาเรื่องภายในไปบอกกล่าวเล่าให้คนนอกบ้านฟัง

ถือเป็นเรื่องไม่สมควร

คนในบ้านไหนทำ คนนั้นต้องถูกด่า

หรือแม้แต่คนที่อยู่บ้านรั้วติดกัน ถ้ามีวุฒิภาวะเขาก็จะไม่ไปก้าวก่ายสอดรู้สอดเห็นเรื่องภายในของบ้านอื่น ต้องรู้จักรักษามารยาท

เรื่องอย่างนี้ สังคมไทยรู้กันดี

แต่ในท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติการเมืองของประเทศ กลับปรากฏเป็นข่าวใหญ่โต

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีรักษาการ ร่อนจดหมายลับเฉพาะถึงนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

เพื่อชี้แจงปัญหาเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองภายในประเทศไทย

รวมทั้งมีการเดินสายไปชี้แจงด้วยวาจากับผู้นำอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น และทำจดหมายไปถึงผู้นำประเทศอาเซียน 9 ประเทศ

เล่าแจ้งแถลงไขความเคลื่อนไหวทางการเมืองของฝ่ายต่างๆ ในประเทศไทย ภายใต้มุมมองและความ รู้สึกนึกคิดของตัวเอง

เริ่มจากจดหมายลงวันที่ 17 เมษายน 2549 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งถึงผู้นำ 9 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน

ชี้แจงสถานการณ์ทางการเมืองหลังจากเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน ในกรณีที่ประกาศเว้นวรรคไม่ขอรับตำแหน่งนายกฯในรัฐบาลชุดใหม่ และลาพักการปฏิบัติหน้าที่

โดยเนื้อหาในจดหมายดังกล่าวมีการระบุว่า

“พรรคไทยรักไทยได้รับคะแนนเสียง 16.4 ล้านเสียง เปรียบเทียบกับจำนวนผู้ลงคะแนนที่เรียกว่าโนโหวต 9.1 ล้านเสียงในการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะพิจารณาจากแง่มุมใดก็เป็นการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม”

“กรณีที่เกิดขึ้น พรรคฝ่ายค้านสำคัญ 3 พรรค เลือกที่จะไม่ลงสมัครแข่งขันในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้สนับสนุนของพรรคเหล่านั้นก็มีพันธะให้ต้องไปลงคะแนนเสียง และทุกคนควรกาลงในช่องโนโหวตได้ ตามที่ต้องการ

ดังนั้น จำนวนคะแนนเสียงโนโหวตที่นับได้ จึงเสมือนตัวแทนของผู้ที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด ที่ไม่ต้องการลงคะแนนเสียงให้กับพรรคไทยรักไทย

ในระบอบประชาธิปไตย สิ่งนี้ควรนับได้ว่าเป็นยิ่งกว่าชัยชนะที่แน่ชัด

อย่างไรก็ตาม ในจิตใจของข้าพเจ้ามีความต้องการที่จะรักษาประเพณีประชาธิปไตย และความเป็นเอกภาพในชาติไว้เหนือสิ่งอื่นใด ทั้งสองประการนี้ต้องมาก่อนชัยชนะในการเลือกตั้ง

สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในเวลานี้ ก็คือทำอย่างไรจึงสามารถทำให้กระบวนการปฏิรูปการเมือง ที่รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดำเนินต่อไปได้ตามที่หลายฝ่ายเรียกร้อง”

ชัดเจน พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันกับผู้นำในภูมิภาคอาเซียน การเลือกตั้ง 2 เมษายน ถูกต้องชอบธรรม

อ้างต้องประกาศเว้นวรรคและพักการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อรักษาประเพณีประชาธิปไตยและเอกภาพในชาติ

ยอมให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปการเมือง ตามเสียงเรียกร้อง

ถัดมาเป็นจดหมายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ร่อนไปถึงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ลงวันที่ 23 มิถุนายน

อธิบายสถานการณ์การเมืองในช่วงที่กลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ นายกรัฐมนตรีรักษาการ

เนื้อหาบางช่วงบางตอนระบุว่า

“ข้าพเจ้าได้กลับมารับผิดชอบเมื่อเร็วๆนี้ ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี เป้าหมายของข้าพเจ้าก็คือ เพื่อเตรียมการตามแนวทางประชาธิปไตยให้ดีที่สุด เท่าที่จะเป็นได้สำหรับรัฐบาลชุดต่อไป ที่จะมีขึ้นหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปในปลายปีนี้

นับตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นต้นมา ได้เกิดมีภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยขึ้นในประเทศไทย สถาบันหลักของประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้ง และธรรมเนียมปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญว่าด้วยข้อจำกัดของรัฐบาล ได้ถูกทำลายลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยกลุ่มผลประโยชน์ ที่ต้องพึ่งพาการสร้างความโกลาหล และการชุมนุมประท้วงตามท้องถนนในกรุงเทพฯ

เป็นวิธีการให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองที่กลุ่มเหล่านี้ ไม่อาจได้รับด้วยการได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง เนื่องเพราะล้มเหลวในอันที่จะกระพือ ให้เกิดความรุนแรงและความปั่นป่วนขึ้นมาได้

ฝ่ายตรงกันข้ามของข้าพเจ้าในเวลานี้ก็กำลังพยายาม หันมาใช้ยุทธวิธีนอกเหนือจากรัฐธรรมนูญหลายรูปแบบ เพื่อบิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชน หากสถาบันประชาธิปไตยของเรามีความเข้มแข็งจริง ในช่วงอีกหลายเดือนต่อไปนี้แล้ว ความพยายามดังกล่าวเหล่านี้ก็คงล้มเหลวไปด้วยเช่นเดียวกัน”

“ศาลไทยได้ประกาศให้การเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายนเป็นโมฆะ ด้วยข้อพิจารณาเชิงเทคนิค และมีคำสั่งให้จัดการเลือกตั้งใหม่ขึ้นอีกครั้ง ที่อาจจะเป็นในราวกลางเดือนตุลาคม นี้ นักสังเกตการณ์ที่เป็นกลางส่วนใหญ่เชื่อว่าพรรค การเมืองของข้าพเจ้าจะได้รับฉันทานุมัติ จากประชาชนอีกครั้งหนึ่งให้จัดตั้งรัฐบาล”

อธิบายรายงานสถานการณ์ภายใต้มุมมองของตัวเองล้วนๆ

ฟ้องโดนรังแกจากฝ่ายตรงข้าม

ปรากฏการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอื้ออึงว่า ผิดธรรมเนียมประเพณีทางการทูต

เอาเรื่องภายในไปประจานนอกบ้าน

ที่สำคัญ การดำเนินการของ พ.ต.ท.ทักษิณในครั้งนี้ ทำให้ถูกมองว่าเป็นการใช้สถานะความเป็นผู้นำประเทศ

เพื่อรักษาสถานภาพของตัวเอง

โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดกับภาพพจน์ ของประเทศ

เหนืออื่นใด “ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” ได้พิจารณาจากเนื้อหาจดหมายที่นายกฯทักษิณ ทำไปถึงประธา-นาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ชัดเจนว่า มีการบิดเบือนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง

ไม่ได้ให้ข้อมูลที่ครบถ้วน

หยิบเอาเฉพาะเหตุการณ์ที่ดูเหมือนตัวเองถูกกระทำขึ้นมาเอ่ยอ้าง บอกในทำนอง ตัวเองทำดี ทำถูกต้องทุกอย่าง

แต่ถูกอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ และฝ่ายตรงข้ามที่เลือกตั้งสู้ไม่ได้ รุมสหบาทา หาเรื่องล้มล้างรัฐบาล

เรียกร้องความเป็นธรรม

ขอความเห็นใจจากผู้นำประเทศมหาอำนาจ

โดยไม่พูดถึงต้นเหตุปัญหาที่แท้จริง

อย่างไรก็ตาม ทีมของเราขอบอกว่า ในสังคมระหว่างประเทศ ที่มีการติดต่อสัมพันธ์กันทางการทูต มีสถานทูตเชื่อมโยง

เป็นที่รับรู้กันทั่วโลก ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น รัฐบาล เจ้าของประเทศก็จะให้ความสำคัญประสานกับทางสถานทูตชี้แจงผ่านเอกอัครราชทูตเป็นหลัก

ขณะเดียวกัน ในทางลึก สถานทูตเองก็มีหน้าที่ต้องเสาะหาข่าวสาร และรายงานสถานการณ์ความเป็นไปในประเทศที่สถานทูตตั้งอยู่ กลับไปสู่ประเทศของตนเอง

ที่สำคัญ ไม่ได้รายงานเฉพาะสถานการณ์เท่านั้น แต่จะมีการสรุปวิเคราะห์ต้นสายปลายเหตุ เบื้องหน้าเบื้องหลังของเหตุการณ์กันอย่างละเอียดยิบ

ฉะนั้น ไม่มีใครรู้ว่า รายงานของสถานทูตที่ส่งกลับไป กับจดหมายชี้แจงของนายกฯทักษิณ

ข้อเท็จจริงจะตรงกันหรือไม่

และผู้นำต่างประเทศจะเชื่อถือข้อมูลของใครมากกว่ากัน

จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มีคำถามตามมาว่า เหตุใด พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงได้ดำเนินการในเรื่องที่ขัดธรรมเนียมปฏิบัติทางการทูต

“ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” มองว่า การดำเนินการในครั้งนี้ น่าจะเป็นเพราะนายกฯทักษิณห่วงตัวเอง คิดถึงตัวเอง

กลัวสูญเสียอำนาจ

เขาเชื่อว่า การนำสถานการณ์ที่ เกิดขึ้นในประเทศไปชี้แจงกับผู้นำประเทศยักษ์ใหญ่ บนเวทีโลกทั้งด้วยวาจาและจดหมายเป็นลายลักษณ์อักษร

จะเป็นภูมิคุ้มกันบัลลังก์อำนาจให้กับเขาได้

รวมไปถึงเป็นหลักประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน กรณีถ้าเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองถึงขั้นต้องลี้ภัย

แน่นอน การเปิดเกมร่อนจดหมายชี้แจงสถานการณ์ ทางการเมือง ขอความเห็นอกเห็นใจจากผู้นำประเทศมหาอำนาจครั้งนี้

“ทักษิณ” ได้ไปเต็มๆ

แต่ในขณะเดียวกัน เกมนี้ก็ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่กำลังมีปัญหาวิกฤติการเมือง การเลือกตั้งอุดตัน สังคมแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย

ยิ่งเป็นการเพิ่มตัวเร่งให้เกิดการเผชิญหน้า

กระตุ้นให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และอดีตพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน

เพิ่มดีกรีความขัดแย้งให้หนักยิ่งกว่าเดิม

ผนวกกับปมปริศนาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุถึงผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายในบ้านเมือง

ยิ่งทำให้สถานการณ์เปราะบางมากขึ้น

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่า

มาถึงวันนี้ นายกฯทักษิณพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจ ให้ตัวเองอยู่รอดปลอดภัย

โดยไม่สนใจวิธีการ รูปแบบใดๆทั้งสิ้น.

"ทีมการเมืองไทยรัฐ"


ทำไมเมื่อปีที่แล้ว ทีมข่าวเดียวกัน เชียร์ ทั้ง ทักษิณ และ พรรคไทยรักไทย อย่างออกนอกหน้า ออกตา และ เป็นเครื่องมือให้รัฐบาลในการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อให้เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพวกชั่วร้ายคอยวางแผนการบ่อนทำลาย รัฐบาล และ เป็นพวกโง่เง่าไม่มีเหตุผล แต่มาตอนนี้ ทีมข่าว ไทยรัฐ กลับตัวมาโจมตีการกระทำของ ทักษิณ เสียเอง

ไทยรัฐ เป็นหนังสือพิมพ์ ที่มีการเปลี่ยนท่าทีของตนเองอยู่บ่อยครั้ง จนบางครั้งผมก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ทีมข่าวไทยรัฐ มีหลายทีม และ แบ่งพวกกันเขียน เหมือนกับว่า เป็นพวกไม่มีหลักการอย่างนั้น




หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 16, 2006, 10:46:31 PM
ไทยรัฐ เป็นหนังสือพิมพ์ ที่มีการเปลี่ยนท่าทีของตนเองอยู่บ่อยครั้ง จนบางครั้งผมก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ทีมข่าวไทยรัฐ มีหลายทีม และ แบ่งพวกกันเขียน เหมือนกับว่า เป็นพวกไม่มีหลักการอย่างนั้น

ใช่ครับพี่ ผมก็เคยคิดว่าไทยรัฐเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีท่าทีไม่ชัดเจน แต่ทราบมาว่าเขามีทีมรับผิดชอบเข้าเวรในช่วงเวลาต่างๆกัน และนักการเมืองจะไม่สามารถล้อบบี้ ทีมข่าวไทยรัฐได้ครบทุกทีม แต่ไทยรัฐก็เป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวที่ผมอ่าน สาเหตุก็เพราะ เอียงเข้าหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกินไปทำให้เราพอจะพิจารณาได้ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จ ครับ ต่างจากหนังสือพิมพ์ที่เอียงฝ่ายทักษิณ หรือ อยู่ฝ่ายตรงข้ามทักษิณทำให้เราได้รับข้อมูลข้างเดียวจน แยกความจริง กับ สิ่งที่เขาพยายามจะทำให้เราเข้าใจว่าจริงไม่ออกครับ


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 17, 2006, 12:12:21 PM
ทักษิณขู่ว่าบ้านเมืองจะวุ่นวาย(เพราะใคร?)

“จากนี้ไปอีกหนึ่งเดือนจะเกิดภาวะคนไม่เข้าใจการเมือง คนไม่เข้าใจกฎหมาย ก็จะมองว่าวุ่นวายมาก ใจเย็นๆหน่อย ระหว่างสามสิบวันนี้ หันหน้ามาคุยกัน ผมว่าบ้านเมืองจะดีขึ้นเยอะเลย แล้วเลือกตั้งก็ว่ากันไป ประชาชนตัดสินอย่างไร เคารพประชาชนซะ เพราะทุกคนเกิดมาเท่ากันหมดครับในสังคมไทยนี้”

   "   หนึ่งเดือนจากนี้จะวุ่นวายมาก   "  

“ทักษิณ” ประเมินสถานการณ์ ส่งสัญญาณออกมาเอง

เดิมพันมันอยู่ที่ช่วงนี้แหละ

ในเมื่อธงของ “ทักษิณ” อยู่ที่หลังวันที่ 15 สิงหาคม มุ่งอยู่กับพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง เพื่อลากกระบวนการไปสู่การลงคะแนนในวันที่ 15 ตุลาคม

ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามก็ต้องเบรกให้อยู่ ล้มกระดานให้ได้

มีอะไรก็ต้องงัดใส่กันเต็มที่

อย่างไรก็ตาม สำหรับชาวบ้านตาดำๆ ฟัง “ทักษิณ” เมื่อวันเสาร์แล้วน่าจะหดหู่

ใครจะว่าเป็นแค่ลีลา ยกเรื่องเศรษฐกิจมาอ้างเพื่อความอยู่รอดของ รัฐบาลไทยรักไทย

แต่กับข้อมูลเบื้องลึกสถานการณ์เศรษฐกิจที่สะท้อนออกมา ความเดือดร้อน ที่คนระดับรากหญ้า ยังเริ่มสัมผัสได้ถึงห้วงวิกฤติ แม่ค้าขายข้าวแกงข้างฟุตปาท ร้านขายก๋วยเตี๋ยวริมถนน ยอดขายตกลงเกือบครึ่งต่อครึ่ง

ความฝืดเคืองมันระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงแล้ว.

http://www.thairath.co.th/news.php?section=politics03&content=12926


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: mai_ipsc ที่ กรกฎาคม 17, 2006, 01:10:01 PM
ผมได้ฟังท่านนายกผ่านข่าววิทยุเช้าวันเสาร์ จำรายละเอียดทั้งหมดไม่ได้นะครับเพราะกำลังขับรถอยู่พอดี แต่เป็นทำนองนี้เลย

ท่านพูดย้ำ 3-4 ครั้งถึง
-ประเทศไทย คนไทย กำลังอยู่ในภาวะวิกฤติหนักเพราะ ขาดศัทธาใน "ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข"

-ทุกคน ทุกฝ่าย ต้องหันหน้าเข้าหากันเพื่อรักษา "ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข"

-ที่ท่านต้องส่งจมใปถึงคุณบุชเพื่อแสดงว่าประเทศไทยยังมีการปกครองแบบ "ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข"

-และอะไรอีกซักอย่างเพื่ออะไรอีกอย่าง(จำไม่ได้) ที่มีจุดมุ่งหมายตาม "ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข"

ฟังแล้วรู้สึกแย่มาก ท่านไม่น่าใช้ข้อความนี้เลยถ้าใช้ว่า "ระบอบประชาธิปไตย" ยังจะพอฟังได้ ผมว่าคนขาดศัทธาใน "ระบอบประชาธิปไตยที่มีท่านเป็นนายก" น่ะอาจใช่   ## แต่ไม่ใช่ขาดศัทธาใน "ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข"  ##

มีใครได้ฟังบ้างไหมครับ อยากฟังโดยละเอียดอีกครั้งแต่ไม่รู้จะไปหาจากไหน



หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: Chayanin-We love the king ที่ กรกฎาคม 17, 2006, 01:51:12 PM
ในภาวะอย่างนี้ถึงจะแย่มากจนพวกเราหลายคนไม่เคยคาดถึงว่ามันจะเกิด
ก็ขอให้ยอมรับเถิดว่า มันเกิดขึ้นแล้ว  และจดจำเอาไว้เป็นบทเรียนเพื่อเตือนสติ
และก็สู้กันต่อไป  สู้ชีวิตกันไปบนพื้นฐานแห่งคุณธรรมอันดีงามเป็นหลัก
ผมเชื่อว่า ทุกชีวิตที่ไม่ท้อถอย และมุ่งกรรมดี  ย่อมประสบชัยชนะ


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 18, 2006, 12:32:07 AM
มีการจัดสัมมนา ของเจ้าหน้าที่ กรมการปกครอง และ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ที่สำนัก(ไม่ใช่วัด)ธรรมกาย ประเด็นที่น่าสนใจนอกจากปลุกระดมให้เกิดการเผชิญหน้าแล้ว อีกประเด็นที่อดเป็นห่วงไม่ได้คือ ธรรมกายเป็นนิกายนอกศาสนาพุทธใช่หรือไม่สำนักธรรมกายมีพฤฒิกรรมหลอกลวงประชาชนรวมทั้งบิดเบือนคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า  แล้วเหตุใดหน่วยงานรัฐจึงไปจัดการสัมมนาที่องกรค์นอกศาสนาแห่งนี้   "   จนตรอก    "     ขนาดต้องทำทุกวิถีทางที่จะทำได้ เหมือนคนจมน้ำคว้าตะเกียบได้ก็คว้านึกว่าท่อนไม้ยิ่งดิ้นรนไขว่คว้ายิ่งจม แต่หมาจนตรอกมันกัดไม่เลือกระวังกันหน่อยนะครับ


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 19, 2006, 10:47:40 PM
ใครไม่เห็นด้วยคือพวกทำลายกติกาประชาธิปไตย

ดูท่าว่าแนวทางสมานฉันท์หันหน้าเข้าหากันที่นายกฯ พยายามจะชูประเด็นนี้ขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีความจริงใจ ต่อการแก้ไขวิกฤติการเมืองคงเป็นหมันไปแล้ว พูดง่ายๆ แค่เอ่ยปากก็จบไปแล้ว

เพราะอะไร?

เพราะหมดเวลามานานแล้วเนื่องจากสถานการณ์มันไปไกลเกินกว่าที่จะจับเข่าคุยกันแล้ว ตรงข้ามมีแต่ต้องเผชิญหน้ากัน ทั้ง หลายทั้งปวงนี้คงเนื่องมาจากความไม่จริงใจมากกว่า เพราะก่อนหน้านี้มีความพยายามแต่ก็โยกโย้เล่นลีลาจนเข้าหน้ากันไม่ได้

จึงมีเสียงเตือนว่ากระบวนท่านี้อย่านำมาใช้ดีกว่า ไม่ได้ผลและไม่มีทางได้คะแนนแต่อย่างใด
ไม่มีใครไว้ใจพวก “เหลี่ยมจัด” แล้ว
แม้ว่าด้านหนึ่งแสดงความต้องการที่จะสร้างความสมานฉันท์ แต่อีกด้านหนึ่งก็พยายามรุกคืบเพื่อให้เป็นไปตามแนวที่ตัวเองกำหนด
อย่างเรื่อง กกต.ก็พยายามบอกว่าจะชุดใหม่หรือชุดเก่าไทยรักไทยรับได้ทั้งนั้น เป็นการออกตัวให้เห็นว่าไทยรักไทยไม่ได้หนุนยัน 3 กกต.แต่อย่างใด และสอดรับกับการที่ 3 พรรคการเมืองฝ่ายค้าน หรือหลายฝ่ายเห็นว่า 3 กกต.ควรลาออกไปเสีย

ทุกอย่างจะเริ่มต้นนับหนึ่งได้

หรือหลังจากที่หัวหน้าพรรคบอกว่าพร้อมเจรจาสมานฉันท์กับทุกฝ่าย แต่พ่อเจ้าประคุณ รองหัวหน้าพรรค “พงศ์เทพ เทพกาญจนา” ที่พยายามดีดตัวขึ้นชั้นให้เข้าตา “ลูกพี่” ถึงกับท้าชน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์มาแล้ว

อนาคตอีกไม่นานแทนที่จะเป็น “ดาวรุ่ง” อาจจะเป็น “ดาวร่วง” ได้

ก็ประกาศเจตนารมณ์ทันทีว่า 3 กกต.ไม่ต้องลาออกเพราะถ้าลาออกจะไม่มีใครคุมการเลือกตั้ง แบบนี้มันจะไปสมานฉันท์ ได้อย่างไรมิทราบ แต่มันน่าจะเป็นการบีบให้ฝ่ายตรงข้ามต้องเดินทางตามทางมากกว่า
พูดง่ายๆข่มขืนให้เดินตามกติกาที่ตัวเองต้องการทั้งๆที่มันไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรมและไม่เป็นกลาง
คือยังให้ กกต.ทั้ง 3 คนทำหน้าที่ต่อไปและต้องมีการเลือกตั้งในวันที่ 15 ต.ค.49 นี่คือแนวคิดเพื่อความสมานฉันท์ของนายกฯและเป็นการรักษาประชาธิปไตย ทั้งๆที่แนวทางนี้มันเป็นไปไม่ได้

หรือจะพูดให้ชัดลงไปเป็นการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอันแสดงให้เห็นว่า ไทยรักไทยและรัฐบาลต้องการให้มีการเลือกตั้งเพื่อการเมืองจะเดินหน้าต่อไปได้ มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ใครไม่เห็นด้วยคือพวกทำลายกติกาประชาธิปไตย
เหตุและผลเหล่านี้คือการพยายามสร้างความชอบธรรม เพื่อผลต่อการออกพระราชกฤษฎีกาประกาศวันเลือกตั้งที่ดิ้นรนทุกวิถีทางอยู่ในขณะนี้ เพราะหากมีพระราชกฤษฎีกาออกมาทุกอย่างก็เข้าล็อกรัฐบาลทันที

ทั้งๆที่การเลือกตั้งยังมองไม่เห็นว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เนื่องจากทุกอย่างยังไม่เรียบร้อย วิกฤติยังไม่ได้รับการแก้ไข เพราะ ต้องคดีที่ยังค้างอยู่ในศาลอันเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของ กกต.หรือศาลรัฐธรรมนูญที่รอการพิจารณายุบพรรคการเมือง 5 พรรค

ที่สำคัญก็คือท่าทีของ “ทักษิณ” ต่ออนาคตทางการเมืองเพราะมีการมองตรงกันว่านี่แหละคือวิกฤติและปัญหาของประเทศ

จะเร่งรัดรวบหัวรวบหางไม่ได้แน่เพราะมันแยกกันไม่ออก
จะแก้ไขวิกฤติตอบแทนบุญคุณแผ่นดินอย่างไร...น่าจะรู้ตัวเองดีที่สุด.

http://www.thairath.co.th/news.php?section=society05&content=13103


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: มือปืน อีโบ๊ะ ที่ กรกฎาคม 20, 2006, 07:11:29 AM
มีการจัดสัมมนา ของเจ้าหน้าที่ กรมการปกครอง และ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ที่สำนัก(ไม่ใช่วัด)ธรรมกาย ประเด็นที่น่าสนใจนอกจากปลุกระดมให้เกิดการเผชิญหน้าแล้ว อีกประเด็นที่อดเป็นห่วงไม่ได้คือ ธรรมกายเป็นนิกายนอกศาสนาพุทธใช่หรือไม่สำนักธรรมกายมีพฤฒิกรรมหลอกลวงประชาชนรวมทั้งบิดเบือนคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วเหตุใดหน่วยงานรัฐจึงไปจัดการสัมมนาที่องกรค์นอกศาสนาแห่งนี้ " จนตรอก "  ขนาดต้องทำทุกวิถีทางที่จะทำได้ เหมือนคนจมน้ำคว้าตะเกียบได้ก็คว้านึกว่าท่อนไม้ยิ่งดิ้นรนไขว่คว้ายิ่งจม แต่หมาจนตรอกมันกัดไม่เลือกระวังกันหน่อยนะครับ
-คนที่"จนตรอก" จริงๆ ไม่ใช่ ทักษิณ หรอก กรุณาวิเคราะห์ด้วยใจที่เป็นธรรม  จขกท. ตั้งธงไว้ในใจแล้วว่า " ท้ากกกกษิณ  ออกไปปปปปปป...."เลยตั้งกระทู้มาแต่ละที เกินไปหน่อยครับ  ข้อกล่าวหาก็รุนแรงเหมือนพวก กะทิเลย น่าจะไปโพสต์ที่ Manager หรือที่ PANTIP ห้อง ราชดำเนิน  นะ ที่นี่ เอาซะ "พอสมควรแก่เหตุ" เรื่อง ปืน ก็หนักพอแรงแล้ว ( เฉพาะที่เป็นเหล็กนะ 5555 )


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กรกฎาคม 20, 2006, 12:50:55 PM
ถ้าเกินควรไปคุณปิ๊กคงลบครับ


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: suradate ที่ กรกฎาคม 20, 2006, 01:05:19 PM
ขอให้สิ่งศักดิสิทธิ์ที่ปกป้องคุ้มครองประเทศไทย โปรดดลบันดาลให้ประเทศไทยผ่านความเลวร้ายนี้ไปได้เร็ววัน และขอให้ในหลวงทรงปลอดภัยในการรักษาสุขภาพ  เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยในยามนี้ด้วยครับ


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 25, 2006, 01:13:01 PM
สุนัขจนตรอก
 
หลักพิชัยสงคราม...สมัยสามก๊ก...ยกให้การใช้อุบาย ประสบชัยชนะ เป็นที่หนึ่ง เจรจาทางการทูต ชนะเป็นที่สอง รบแลกชีวิตแล้วชนะ เป็นที่สาม

สุดวิสัย ต้องหักหาญด้วยการตีเอาเมือง ถือว่าเป็นชนะชั้นเลว เลวที่สุด อันดับที่สี่

ในหนังสือ กลศึกสามก๊ก สำนักพิมพ์ ก.ไก่ พิมพ์เมื่อปี 2537 บุญศักดิ์ แสงระวี เขียนถึงช่วงเริ่มต้นสะสมบารมีของเล่าปี่...ตาม จูฮีไปปราบโจรโพกผ้าเหลือง

โจรแยกดินแดน มักเจอข้อหากบฏ ไม่ว่าสมัยสามก๊ก หรือสมัยไหนก็เหมือนกัน บางครั้งก็รุ่งเรืองถึงขั้นยึดเมือง เตียวฮ่อง หัวหน้าโจร ยึดเมืองอ้วนเซีย เอาไว้ได้

จูฮี สั่งเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย บุกโจมตีทางตะวันตกและใต้ ตัวจูฮีบุกตะวันออกและเหนือ

โจรเจอฝีมือเหี้ยมหาญดุดันของสามพี่น้องก็แตกหนี เล่าปี่สั่งทหารรุกไล่ตาม โจรหนีเข้าไปตั้งหลักในเมือง จูฮีสั่งล้อมเมืองไว้ทั้งสี่ทิศ

ไม่นาน ภายในเมืองก็เกิดความอัตคัดขัดสน หัวหน้าโจรส่งทูตออกมาขอสวามิภักดิ์ แต่จูฮีไม่ยอม เล่าปี่จึงว่า...สมัยฮั่นเกาจู่ ใช้วิธีเกลี้ยกล่อมให้ผู้คนมาสวามิภักดิ์ จึงได้แผ่นดินมาครอง

ไฉนท่านจึงปฏิเสธ...เสียเล่า?

จูฮี อ้างว่าสมัยฮั่นเกาจู่ แผ่นดินเป็นจลาจล ราษฎรไม่มีเจ้านาย การไกล่เกลี่ยให้สวามิภักดิ์จึงพึงกระทำ แต่สมัยนี้แผ่นดินสงบราบคาบ หากยอมให้โจรกบฏสวามิภักดิ์ จะเป็นเยี่ยงอย่างสืบไปในวันหน้า

โจรจะได้ใจตีปล้นยิ่งขึ้น
เล่าปี่เห็นด้วยกับจูฮี แต่มีข้อเสนอใหม่ หากจะล้อมเมืองไว้ทั้ง สี่ทิศ พวกโจรนับหมื่น รวมกับราษฎรอีกหลายหมื่น ถูกบีบคั้นให้รวมกัน เป็นหนึ่งเดียว ก็จะสู้แบบสุนัขจนตรอก

หลักพิชัยสงคราม ของนักการทหารที่ชาญฉลาด...ชัยชนะ ไม่ใช่ เป้าหมายสมบูรณ์ที่สุดในสงคราม เป้าหมายสมบูรณ์ที่สุด ควรต้อง รวมไปถึงว่า เราจะเสียค่าตอบแทน หรือได้รับความเสียหายเท่าใด

เสนอยุทธศาสตร์แล้ว เล่าปี่ก็เสนอใช้ยุทธวิธี...ให้บุกโจมตีทางตะวันตกและเหนือ ถอนกำลังทางตะวันออกและทางใต้ เปิดช่องให้โจรโพกผ้าเหลืองหนี

“โจรจะทิ้งเมืองหนี ทหารที่หนีมักไม่มีใจสู้รบ เราก็จะจับกุมได้โดยไม่ยาก”

จูฮีเห็นด้วย สั่งเริ่มยุทธการ...ผลก็เป็นไปตามที่เล่าปี่คาด...โจรหนีไป ทางช่องที่เปิดให้ เล่าปี่พาพวกไล่ฆ่าฟันหัวหน้าโจรชื่อ ฮันต๋ง ตาย...แตก พ่ายไม่เป็นขบวน

ชัยชนะครั้งนี้ เล่าปี่ นักรบธรรมดา เริ่มถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้มากบารมี

บุญศักดิ์ แสงระวี...วางหลักกลศึกชุดนี้ไว้ว่า...จนตรอกอย่าเค้น ล้อมพึงเปิดช่อง

ล้อมพึงเปิดช่อง...เนื้อแท้แล้วคือ จะจับแสร้งปล่อย จะทำลายแสร้งเฉย สร้างสถานการณ์ให้จิตใจข้าศึกรู้สึกว่าพ่ายแพ้เสียก่อน ก็จะทำให้ข้าศึกที่ตียาก กลายเป็นข้าศึกที่ตีง่าย

กลศึกสามก๊กชุดนี้...คนไทยเอามาใช้เป็นคำพังเพยว่า สุนัขจนตรอก

หลับตานึกถึงภาพ สุนัขจนตรอก...แล้วก็เห็นภาพ ถ้าเผลอรุกตีสุนัขต่อไป กะจะเอาให้ถึงตาย สุนัขมันก็จะกัดสู้แบบถวายชีวิต ไม่ใครก็ใคร...คงได้เลือดกันบ้าง

ใครเป็นคนไล่ตี ใครเป็นสุนัข จับคู่กันได้ตามอัธยาศัยนะครับ แต่ถ้าสถานการณ์พลิกผัน เป็นสุนัขกัดกันเอง น่ารำคาญ ก็ต้องช่วยกันออกแรงจับไปส่งโรงเชือดแถวท่าแร่

ก็เล่นเกินเลยกันถึงขั้นบ้านเมืองถอยหลังเข้าคลองอย่างนี้ หากจะมีการยุบพรรคกันจริงๆ ใครจะว่ายังไงไม่รู้ แต่ผมว่าสมกับโทษานุโทษแล้ว.

กองทัพมุสลิมนับแสนล้อมเยรูซาเล็มที่มีทหารไม่กี่หมื่นคนก็ไม่สามารถตีเยรูซาเล็มให้แตกได้ก็ด้วยเหตุที่ไม่มีทางหนีชาวเมืองทุกคนกลายเป็นกองทัพที่ไม่กลัวตายสู้กับกองทัพมุสลิมทุกวิถีทาง

ขณะนี้ผู้มีความรู้หลายๆคนในสังคมเริ่มมีความคิดเห็นตรงกับผมแล้วว่าทักษิณ และบริวารจนตรอกจริงๆ แต่จะทำอะไรต่อไปก็ระวังหมาจนตรอกแว้งกัดสังคมไทยด้วยนะครับ เปิดทางหนีช่องเล็กๆไว้ให้หมาขี้เรื้อนแล้วค่อยไล่จับ   คนในคราบหมาป่าที่หางค่อยๆโผล่   ภายหลังเหมือนเล่าปี่ว่าก็ยังไม่สายครับ
 
http://www.thairath.co.th/news.php?section=politics02&content=13758


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: Chayanin-We love the king ที่ กรกฎาคม 25, 2006, 02:32:29 PM
เรียกว่า  ตรอกเอื้ออาทร น่าจะเข้ากับยุคสมัย


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: 686 ที่ กรกฎาคม 25, 2006, 03:10:50 PM
ตอนนี้ กกต. หมดอำนาจในการจัดการเลือกตั้งครั้งต่อไปเป็นที่ค่อนข้างจะแน่นอนแล้ว

อำนาจในการแซกแซงการเลือกตั้งของ พรรค ไทยรักไทย ที่เคยมีในอดีตก็เป็นไปได้ยากขึ้น

ที่สำคัญ สื่อส่วนใหญ่ก็หันหลังให้กับ ทักษิณ กันเกือบหมด โดยเฉพาะ หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ซึ่งเมื่อก่อนที่เคยเป็นกระบอกเสียง คอยแก้ต่างให้กับ ทักษิณ และ ไทยรักไทย มาตลอด ก็เปลี่ยนมาเป็นฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มตัว ไม่มีสื่ออยู่ในมือ เหลือแต่รายการทางวิทยุทุกเช้าวันเสาร์ ซึ่งก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะจัดอีกต่อไปแล้ว



หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: C.J. - รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 25, 2006, 03:53:34 PM
...ขอบคุณครับพี่..narcissus ....


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: 686 ที่ กรกฎาคม 30, 2006, 03:53:11 AM
อันนี้เอามาจาก เดลินิวส์ ครับ

จะเข้าตำราลิงแก้แหหรือเปล่า เมื่อครอบครัวของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ตัดสินใจขายหุ้นในเครือชินคอร์ป ให้กับบริษัทเทมาเส็กโฮลดิ้งของสิงคโปร์ทั้งหมด 49.595 เปอร์เซ็นต์ เพื่อลดข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะตราบใดที่นายกรัฐมนตรีและครอบครัวยังเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่เป็นสัมปทานและอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ก็มีโอกาสจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในกรณีที่รัฐบาลออกนโยบายหรือออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจนั้น ๆ แต่ปรากฏว่า หลังจากการขายหุ้นชินคอร์ป มูลค่า 7.3 หมื่นล้านบาท แทนที่จะมีคำยกย่องชมเชย แต่กลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ มากขึ้นใน 3 ประเด็น ประการแรก มีการวิพากษ์วิจารณ์ในความรู้สึกของคนทั่วไปว่า เมื่อครอบครัวนายกรัฐมนตรีมีรายได้มากถึง 7.3 หมื่นล้านบาท แต่กลับไม่ต้องเสียภาษีสักบาทเดียว ผิดกับคนขายก๋วยเตี๋ยวที่ถูกเจ้าหน้าที่สรรพากรไปนั่งนับชามกันถึงในร้านเพื่อเรียกเก็บภาษีให้ครบทุกบาททุกสตางค์ แม้นายกรัฐมนตรีและบริวารจะยกข้อกฎหมายมาชี้แจงว่า การขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กฎหมายยกเว้นว่าไม่ต้องเสียภาษี แต่ดูเหมือนคนทั่วไปก็ยังยอมรับไม่ได้ โดยเห็นจาก ผลการสำรวจเอแบคโพลต่อความรู้สึกนึกคิดของคนกรุงเทพฯ พบว่า 65.6 เปอร์เซ็นต์เห็นว่า ครอบครัวนายกรัฐมนตรีควรจะเสียภาษี ฉะนั้นยิ่งนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้นส่วนหนึ่ง ลูก ๆ จะนำไปทำประโยชน์กับสังคมผ่านมูลนิธิ ก็ยิ่ง ทำให้ชาวบ้านกลุ่มนี้เกิดความคับข้องใจ เพราะรัฐบาลรณรงค์ให้ชาวบ้านช่วยกันเสียภาษีเพื่อนำไปสร้างบ้านแปงเมืองอยู่โครม ๆ แต่ครอบครัวนายกรัฐมนตรีกลับเลือกช่องทางในการขายหุ้นที่ไม่ถูกเรียกเก็บภาษี เมื่อไม่เลือกช่องทางที่จะเสียภาษีเพื่อเอาไปพัฒนาประเทศแล้วใครจะไปเชื่อว่า เศรษฐีตระกูลนี้คิดทำบุญตามที่นายกรัฐมนตรีประกาศไว้ สรุปแล้วในทางจิตวิทยา การขายหุ้นครั้งนี้จึงเป็นการสร้างความรู้สึกด้านลบกับมวลชนมากกว่าความรู้สึกด้านบวก ประการต่อมา การขายหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กลายเป็นข่าวลือมานานแล้ว แต่ก็ถูกปฏิเสธโดยอ้างว่า ให้ไปถามลูก ขณะที่ลูกก็บอกว่าให้ไปถามพ่อ การบ่ายเบี่ยงไม่ตอบตรงไปตรงมาตั้งแต่แรก ชวน ให้ผู้คนเกิดความสงสัยว่า หากทำอะไรตรงไปตรงมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปิด ๆ บัง ๆ ความรู้สึกในลักษณะนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมองในมุมการเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้ว่า การขายหุ้นของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ เป็น แผนถอย เพราะหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้น จะได้เก็บข้าวของได้ทัน ซึ่งทำให้มองได้ว่า สถานะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มั่นคง จึงต้อง เตรียมทางหนีทีไล่ไว้ก่อน เป็นผลให้หลายคนที่เคยถือหางฝ่าย พ.ต.ท. ทักษิณ จะต้องคิดอย่างหนักว่า จะถือหางต่อไปดีหรือไม่ อีกประการหนึ่ง รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ผลักดันแก้ไข กฎหมายให้ต่างชาติสามารถถือหุ้นในกิจการโทรคมนาคมจาก 25 เปอร์ เซ็นต์เพิ่มเป็น 49 เปอร์เซ็นต์ เมื่อกฎหมายผ่านสภาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2549 และหยุดเสาร์-อาทิตย์ 2 วัน พอเปิดทำการในวันจันทร์ที่ 23 มกราคม ก็มีการเปิดแถลงข่าวขายหุ้นชินคอร์ปในสัดส่วน 49.595 ให้กับบริษัทเทมาเส็กโฮล ดิ้งของสิงคโปร์ทันที หากมองอย่างเชื่อมโยง หรือบูรณาการ ก็ทำให้ชวนสงสัยว่า การแก้ไขกฎหมายของรัฐบาลนั้น เพื่อการขายหุ้นในครั้งนี้หรือไม่?? และมองให้ลึกไปยิ่งกว่านั้น ถ้าไม่มีการแก้ไขกฎหมาย ครอบครัวของนายกรัฐมนตรีก็จะขายหุ้นได้เพียง 25 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งอาจทำให้บริษัทเทมาเส็กโฮลดิ้งไม่สนใจที่จะซื้อก็ได้ ที่สำคัญแทนที่จะได้รับการยกเว้นภาษีจากยอดขายหุ้น 25 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นเงิน ภาษี 2 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อแก้ไขกฎหมายขยายสัดส่วนการถือครองของต่างชาติแล้ว ก็ทำให้ครอบครัวนายกรัฐมนตรีได้รับการยกเว้นภาษีจากการขายหุ้น 49.595 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งคิดเป็นเงินภาษีถึง 4 หมื่นล้านบาท ประการสุดท้าย จากการขายหุ้นครั้งนี้ ฝ่ายค้านโดย นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ จากพรรคประชาธิปัตย์ได้ตรวจสอบพบความผิดปกติทางตัวเลขประการหนึ่งก็คือ ก่อนหน้าที่จะขายหุ้นเมื่อปี 2548 นายพานทองแท้ ชินวัตร มีหุ้นอยู่ 293,950,220 หุ้น แต่กลับมีหุ้นเอามาขายบริษัทเทมาเส็ก 458,550,220 หุ้น มีส่วนต่างเกิดขึ้น 164,600,000 หุ้น ขณะที่นางสาว พิณทองทา เคยถือหุ้นอยู่ 440,000,000 หุ้น แต่มีหุ้นมาให้บริษัทเทมาเส็กฯ 604,000,000 หุ้น มีส่วนต่าง 164,000,000 หุ้น เมื่อรวมจำนวน ส่วนเกินทั้ง 2 ส่วนนี้แล้วจะมีหุ้นที่เกินมา 328,600,000 หุ้น ซึ่งมีตัวเลขใกล้เคียงกับที่นายบุญคลี ปลั่งศิริ กรรมการบริษัทชินคอร์ป เคยแจ้งต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เมื่อปี 2542 ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้น จาก 23.75 เปอร์เซ็นต์ เป็น 11.88 เปอร์เซ็นต์ หรือเท่ากับ 329,260,000 หุ้น เนื่องจากมีการโอนหุ้นของบริษัทชินคอร์ป จำนวนนี้ไปให้กับ บริษัทแอมเพิลริช ซึ่งตั้งอยู่ที่เกาะบริติชเวอร์จิ้น และยังระบุด้วยว่า บริษัทดังกล่าวนี้มี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ถือหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบอีกว่า บริษัทแอมเพิลริช ได้มอบหมายให้ธนาคารยูบีเอส ที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นผู้ดูแลหุ้นของบริษัทชินคอร์ป ประเด็นที่น่าสงสัยก็คือ เมื่อปรากฏเป็นข่าวว่า 2 พี่น้องได้ซื้อหุ้นเพิ่มเติมจากบริษัทแอมเพิลริชจำนวน 328,600,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท ก่อนที่จะนำมารวมกับหุ้นเดิมของตัวเอง เพื่อขายกับบริษัทเทมาเส็ก ให้ครบสัดส่วน 49.595 เปอร์เซ็นต์ คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้มีอำนาจในบริษัทแอมเพิลริช ใช่ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ขายหุ้นราคาต้นทุนให้กับลูก ๆ หรือไม่.?? เพราะข้อมูลครั้งสุดท้ายที่รายงาน ก.ล.ต. เมื่อปี 2542 ก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทแอมเพิลริช 100 เปอร์เซ็นต์ หากในระหว่างปี 2542-2548 พ.ต.ท.ทักษิณ ขายหรือโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่บริษัทแอมเพิลริชถืออยู่ในสัดส่วน 11.88 เปอร์เซ็นต์ ก็น่าจะมีการแจ้งต่อ กลต. เพราะเป็นหุ้นจำนวนที่เกินกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ ถ้ามีการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่บริษัทแอมเพิลริชถือครอง อยู่ ไปให้คนอื่นก่อนหน้านี้ โดยไม่ได้แจ้งให้ ก.ล.ต.ทราบ ก็ต้องถูกปรับ อย่างที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร เคยถูก ก.ล.ต.สั่งปรับ 6 ล้านกว่าบาท ในกรณีซุกหุ้น แต่หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ยังถืออยู่ และเป็นผู้ขายให้ลูก ๆ ในราคาหุ้นละ 1 บาท ก็ต้องถูกฝ่ายค้านตรวจสอบว่ามีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.หรือไม่ เห็นตัวอย่างหนังกลางแปลงเรื่อง ซุกหุ้น ภาค 2 ตอน ลิงแก้แห แล้วก็ชักจะหวั่น ๆ ใจแทน พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นอย่างยิ่ง เพราะจะมารินน้ำตาแก้ต่างให้เป็นความบกพร่องโดยสุจริต ต่อหน้าศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้ง คงไม่ได้แล้ว.


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 31, 2006, 01:51:52 AM
ธปท.สั่งจับตาหนี้ภาคครัวเรือน  ทรราชจนตรอก แต่คนไทยกำลังจะจนกรอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า ในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ ฉบับเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินว่า สถานะทางการเงินของภาคครัวเรือนยังคงเป็นประเด็นที่ กนง.ให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสแรกของปีนี้ พบว่า สินเชื่อที่ให้กับภาคครัวเรือน (Consumer Loans) ยังขยายตัวในอัตราที่สูง แม้จะไม่ได้เร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้านี้ โดยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมีอัตราการขยายตัวลดลงค่อนข้างชัดเจนและต่อเนื่อง ในขณะที่สินเชื่อเพื่อการจับจ่ายใช้สอยทั่วไปในรูปสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ยังขยายตัวในอัตราที่สูงค่อนข้างมาก ซึ่งจากข้อมูลส่วนหนึ่งพบว่า อาจจะเป็นเพราะผลจากการโอนถ่ายธุรกิจในเครือของธนาคารพาณิชย์บางแห่ง

รายงานข่าวแจ้งต่อไปว่า กนง. มีความเห็นว่า ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนในภาพรวม ยังคงอยู่ในเกณฑ์ไม่น่าเป็นห่วง โดยยอดคงค้างหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารพาณิชย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในแต่ละประเภทของการก่อหนี้แล้ว  สินเชื่อบัตรเครดิตมีหนี้เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.9 ในไตรมาสแรกของปีนี้ เทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา มีเอ็นพีแอลร้อยละ 2.6 แม้จะเป็นระดับที่ต่ำ แต่ กนง.แสดงความกังวลถึงพฤติกรรมการก่อหนี้บัตรเครดิต และเห็นควรให้มีการติดตามข้อมูลเครื่องชี้วัดต่าง ๆ ที่จะส่งสัญญาณความไม่สมดุลต่อไป ขณะที่ตัวเลขหนี้เอ็นพีแอลของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยไตรมาสแรกปีนี้ เทียบกับไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา ทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 7.4 (เป็นตัวเลขที่ถือว่าสูงมาก)
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า รายงานฉบับเดียวกันระบุว่า ขณะเดียวกัน หากพิจารณาการใช้บัตรเครดิตของภาคครัวเรือน พบว่า การเบิกเงินสดล่วงหน้าในไตรมาสแรกปีนี้ กลับมาขยายตัวในอัตราเร่งขึ้น โดยขยายตัวทั้งในส่วนของบัตรเครดิตที่ออกโดยภาคธนาคาร และที่ออกโดยภาคธุรกิจที่มิใช่ธนาคาร (นอนแบงก์) ซึ่งสะท้อนความต้องการสภาพคล่องเงินสดของภาคครัวเรือน อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการก่อหนี้ผ่านบัตรเครดิตที่ออกโดยภาคธนาคาร ยังมีสัดส่วนหนี้คงค้างต่อปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรอยู่ในระดับต่ำ แต่สัดส่วนเดียวกันของหนี้บัตรเครดิตที่ออกโดยนอนแบงก์กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนว่าแม้การจับจ่ายใช้สอยผ่านบัตรเครดิตจะเริ่มลดลงเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อน แต่การสะสมหนี้บัตรเครดิตยังเพิ่มขึ้น ชี้ให้เห็นพฤติกรรมของภาคครัวเรือนที่ยังก่อหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง

รายงานฉบับเดิมระบุด้วยว่า สำหรับหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loans) หากพิจารณาข้อมูลที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท. โดยดูในส่วนของนอนแบงก์นั้น ยอดคงค้างสินเชื่อของกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเคยมีการขยายตัวสูงเริ่มชะลอลงส่วนหนึ่ง เป็นเพราะภาคครัวเรือนมีการปรับตัว โดยเริ่มชะลอการก่อหนี้ลงตามอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการชำระหนี้ของครัวเรือนกลุ่มนี้ ยังมีการค้างชำระหนี้ในสัดส่วนที่สูงกว่าครัวเรือนผู้กู้ในกลุ่มรายได้อื่นอย่างมีนัยสำคัญ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ดังนั้น ประเด็นเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย ยังคงเป็นประเด็นที่จะต้องมีการติดตามและวิเคราะห์อย่างใกล้ชิด

"หากภาคครัวเรือนยังไม่สามารถชะลอการก่อหนี้อย่างจริงจัง ในขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้เริ่มมีแนวโน้มลดลง อาจส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของครัวเรือน และจะเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมหภาคในระยะต่อไป กนง.จึงเห็นควรให้มีการติดตามพฤติกรรมการก่อหนี้ของครัวเรือน โดยเฉพาะการก่อหนี้เพื่อการจับจ่ายใช้สอยที่มิใช่เพื่อที่อยู่อาศัย (Personal Consumption Loans) อย่างใกล้ชิดต่อไป" รายงานของ กนง.ระบุ

 
 
ตัวเลขต่างๆเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่านโยบายสร้างตัวเลขทางเศรษฐกิจโดยเร่งการบริโภคและส่งเสริมให้ประชาชนใช้จ่ายในทางที่ผิด ขณะนี้ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ทรราชนำพาประเทศชาติไปสู่หายนะอย่างแท้จริง
นี่ยังไม่มีการเปิดเผยของ โครงการกองทุนหมู่บ้าน sme sml ซึ่งคาวว่าตัวเลขหนี้เสียไม่น่าจะต่ำกว่า 75% ครับ เตรียมตัวกันไว้บ้างนะครับ ปีหน้าลำบากกว่านี้อย่างแน่นอนครับ

http://www.thairath.co.th/onlineheadnews.html?id=14466


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ที่ กรกฎาคม 31, 2006, 02:46:33 PM

กระทู้พี่ 686 ทำให้นึกถึงอีกเรื่องที่ทำท่าจะงุบงิบทำ ร่าง พ.ร.บ. เขตเศรษฐกิจพิเศษ

มีบางมาตราที่อยากให้อ่านครับ

*มาตรา 23 ให้มีอำนาจ ถมทะเล หรือเวนคืนและเมื่อพัฒนามาแล้ว มีอำนาจการขาย เช่า ซื้อ ให้เช่าหรือแลกเปลี่ยนได้

*มาตรา 26 ให้ต่างชาติ เช่าที่ดินได้ไม่ต่ำกว่า 50 ปี แต่ไม่เกิน 99 ปี

*มาตรา 27 การให้เช่าหรือเช่าช่วงที่ดิน เกิน 100 ไร่ ไม่ต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมที่ดินและ
เงื่อนไขสัญญาจะต้องให้เช่าช่วงได้

*มาตรา 29 เศรษฐกิจพิเศษมีอำนาจ ถมทะเล เพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดิน

*มาตรา 30 ผู้ว่าการและเจ้าหน้าที่ของเศรษฐกิจพิเศษ มีอำนาจเข้าไปครอบครองใช้ประโยชน์หรือหาประโยชน์ในป่าสงวนแห่งชาติ เขตคุ้มครองและรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตอุทยานแห่งชาติได้

*มาตรา 31 ให้ถอนสภาพที่ดินที่เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินตกเป็นของเขตเศรษฐกิจพิเศษโดยไม่ต้องถอนสภาพหรือโอนตามประมวลกฎหมายประมวลที่ดิน

*มาตรา 34 บรรดาอสังหาริมทรัพย์ของเศรษฐกิจพิเศษได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิ์ และนิติกรรมทั้งปวงและได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ด้วย


*มาตรา 50 ให้มีอำนาจ ถมทะเล ไห้มีอำนาจจัดให้มีไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ และระบบเทคโนโนยี
สารสนเทศโดยอิสระให้ร่วมลงทุนกับบุคคลอื่นทั้งในและต่างประเทศได้

*มาตรา 51 ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ การดำเนินการใดๆต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐ
ให้เขต เศรษฐกิจพิเศษมีอำนาจการดำเนินการดังกล่าวได้ โดยไม่ต้องได้รับอนุญาต


*มาตรา 52 การดำเนินการใดที่กฎหมายบังคับให้ต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐก่อน เช่น ใบอนุญาตต่างๆหากได้รับความเห็นชอบจากผู้ว่าเศรษฐกิจพิเศษ หรือจดทะเบียน หรือแจ้งกับ เศรษฐกิจพิเศษแล้วให้ถือเสมือนว่าได้รับอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐแล้ว

*มาตรา 58 การจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด เขตเศรษฐกิจพิเศษสามารถดำเนินการจัดตั้งขึ้นเองได้

*มาตรา 62 สิทธิ์ของผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบการหรืออยู่อาศัยของเศรษฐกิจพิเศษ คือ
1. สิทธิ์ในการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นๆของคนต่างด้าว
2. สิทธิ์ในการนำคนต่างด้าวเข้ามาอยู่อาศัยในราชอาณาจักร
3. สิทธิ์ในการนำเงินหรือส่งเงินไปนอกราชอาณาจักร
4. สิทธิ์ในการได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
5. สิทธิในการถือครองหรือเปิดบัญชีเงินฝากเป็นเงินตราต่างประเทศกับสถาบันทางการเงิน
6. สิทธิที่จะได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากร

*มาตรา 65 คนต่างด้าวที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษได้ไม่จำกัดเวลา
1. ช่างฝีมือ
2. ผู้บริหาร หรือ ผู้ชำนาญการ
3. คู่สมรสและบุคคลที่อยู่ในอุปการะตาม (1) และ (2)

*มาตรา 66 บุคคลต่างด้าวที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษได้เฉพาะเวลาทำงาน คือ แรงงานไร้ฝีมือ

*มาตรา 69 สิทธิพิเศษของผู้อยู่อาศัยในเขตเศรษฐกิจพิเศษ
1. สิทธิในการหักค่าใช้จ่ายก่อนการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นอกเหนือจากที่กำหนดไว้
ในประมวลกฎหมายรัษฎากร
2. ได้รับการลดอัตราภาษีบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล
3. ได้รับการลด หรือ ยกเว้นอากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิตและค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน

*มาตรา 70 การผลิตสินค้าเพื่อพานิชยกรรมได้รับอากร ขาเข้า- ขาออก ภาษีมูลค่าเพิ่มภาษีสรรพสามิต ค่าธรรมเนียมอื่นๆ

*มาตรา 71 วัสดุที่นำเข้าราชอาณาจักรเพื่อผลิตสินค้าไม่ต้องควบคุมคุณภาพหรือมาตราฐาน ไม่ต้องขอหรือมีใบอนุญาตนำเข้า

*มาตรา 76 รายได้ที่เก็บได้ให้ตกเป็นของเศรษฐกิจพิเศษจะส่งคืนรัฐกรณีเหลือ แต่ถ้าหากรายได้ขาดไม่พอบริหารต้องใช้เงินภาษีของประชาชนจ่ายให้

*มาตรา 78 ทรัพย์สินของเศรษฐกิจพิเศษไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ยึดทรัพย์ไม่ได้

*มาตรา 99 คนไทยเข้าไปเขตเช่าของต่างชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน
200000 บาท
 



อ่าน พ.ร.บ. นี้แล้วให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพลเมืองชั้นสองในแผ่นดินของตนเอง


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: นายกระจง ที่ กรกฎาคม 31, 2006, 03:10:06 PM
ด้วยความเคารพครับ

เห็นข้อความที่พี่ทัดมาลาลงไว้ผมหวังว่าคงจะไม่ผ่านนะครับ เห็นแล้วมันขายผืนแผ่นดินกันเลยนี่ครับ

ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 31, 2006, 04:36:01 PM
น่าจะเพิ่มบทลงโทษคดีอาชญากรรมเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่ ให้หนักขึ้น ไม่ใช่แค่ปรับเป็นเศษเงินอย่างที่โอ๊คโดนไม่กี่ล้านบาทจากมูลค่าที่หลบเลี่ยงนับหมื่นล้านบาท เห็นคดีเอมรอนเปรียบเทียบกับประเทศไทยแล้วต่างกันลิบลับ ทำคนเดือนร้อนเป็นแสนเป็นล้านคน โดนลงโทษแค่ปรับเงิน มันไม่ยุติธรรมครับ


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กรกฎาคม 31, 2006, 04:40:55 PM
เรียกแบบลวงโลก "เขตเศรษฐกิจพิเศษ" ของจริงคือ "เขตอาณานิคมของต่างชาติ" ชัดๆ

ไม่ใช่ "ขายชาติ" ก็ไม่รู้จะว่ายังไง .....โจร/ขโมยปีนเข้าบ้านท่านโดยไม่ได้รับอนุญาตยังไม่มีโทษแบบนี้เลยนะท่านๆ


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: Chayanin-We love the king ที่ กรกฎาคม 31, 2006, 05:48:52 PM
ความจริงพฤติกรรมที่เรียกว่าฉ้อโกงนี้
บทลงโทษน่าจะคูณจำนวนหัวของผู้ที่เดือดร้อนเข้าไปด้วยเช่น  โกงผู้เสียหาย 1คน ติดคุก3 ปีถ้าเป็นโกงภาษีประชาชน โกงประเทศก็คูน 65 ล้านคนเข้าไป เป็น 195 ล้านปีไปเลย
แต่เงินเดือนก็ต้องให้เยอะสักหน่อยด้วยนะครับ คืออย่าให้ลำบากจนเขาหาช่องทางทุจริต แล้วเริ่มติดนิสัย
มีอดีตผู้บริหาร TPI  ท่านหนึ่งที่ใช้หลักคิดที่ว่า  ให้ลูกน้องกินอิ่ม ดีกว่าให้เขาอดแล้วไปแอบทุจริต  เพราะผลเสียจากการทุจริตนั้นมันมากมาย  และเป็นตราบาปแก่ลูกน้องไปจนวันตาย


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: SA-KE ที่ กรกฎาคม 31, 2006, 08:54:14 PM
อันนี้เอามาจาก เดลินิวส์ ครับ
 ....ปี 2548 นายพานทองแท้ ชินวัตร มีหุ้นอยู่ 293,950,220 หุ้น แต่กลับมีหุ้นเอามาขายบริษัทเทมาเส็ก 458,550,220 หุ้น มีส่วนต่างเกิดขึ้น 164,600,000 หุ้น ขณะที่นางสาว พิณทองทา เคยถือหุ้นอยู่ 440,000,000 หุ้น แต่มีหุ้นมาให้บริษัทเทมาเส็กฯ 604,000,000 หุ้น

..... ประเด็นที่น่าสงสัยก็คือ เมื่อปรากฏเป็นข่าวว่า 2 พี่น้องได้ซื้อหุ้นเพิ่มเติมจากบริษัทแอมเพิลริชจำนวน 328,600,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท ก่อนที่จะนำมารวมกับหุ้นเดิมของตัวเอง เพื่อขายกับบริษัทเทมาเส็ก ให้ครบสัดส่วน 49.595 เปอร์เซ็นต์ ....

 ...น่าจะเป็นข่าวดีสำหรับ ผู้ที่เกี่ยวข้อง วันนี้มีข่าวออกมาแล้วว่า  "ส.ต.ง. "   ...ได้อาศัยอำนาจตาม....  มีคำสั่งเรียก  ตั้งแต่ " ผู้อำนวยการ..ยันถึง...อธิบดีสรรพกร  จำนวน 5 คน "    เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงในการขายหุ้นของ ...นายและนางสาว....ชินวัตร ทั้งสองคน....

           " สตง."เตรียมออกคำสั่ง เรียก  5  บิ๊กสรรพากรสอบ ลูกนายกฯซื้อหุ้นเว้นภาษี

    สตง.เดินหน้าลุยสอบ"อธิบดีสรรพากร" และอีก 4 ขรก.ระดับสูง กรณี"พานทองแท้-พิณทองทา"ซื้อหุ้น"ชินคอร์ป"จากแอมเพิลริช เผยเตรียมออกคำสั่งเรียก คาดยื่นถึงกรมสรรพากรภายในสัปดาห์นี้

     แหล่งข่าวจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมว่า สตง.เตรียมออกคำสั่งเรียกข้าราชการกรมสรรพากรจำนวน 5 ราย ประกอบด้วย นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร นางไพฑูรย์ พงษ์เกษร รองอธิบดีกรมสรรพากร นางเบญจา หลุยเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง น.ส.โมฬีรัตน์ บุญญาศิริ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย และนายกริช วิปุลานุสาสน์ นิติกร 9 มาให้ข้อมูลกรณีนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชาย และบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซื้อหุ้นของบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจากบริษัท แอมเพิลริช ทั้งนี้การออกคำสั่งเรียกอยู่ในระหว่างขออนุมัติจากผู้ว่าการ สตง.

    ก่อนหน้านี้ สตง.ทำหนังสือเชิญไปยังข้าราชการกรมสรรพากรทั้ง 5 รายดังกล่าว เพื่อมาให้ข้อมูลการซื้อหุ้นของนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ต่อมากรมสรรพากรได้ทำหนังสือที่ กค 0706/6159 แจ้งว่าพร้อมจะให้ความร่วมมือ แต่ขอให้สตง.ระบุขอบเขต สาระสำคัญ และประเด็นของข้อมูลที่ต้องการทราบรายละเอียด เพื่อขอสำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องพร้อมรับรองสำเนาถูกต้องจากกรมสรรพากรประกอบการพิจารณาตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ในมาตรา 42 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542

    แหล่งข่าวกล่าวว่า เมื่อกรมสรรพากรต้องการให้ สตง.ระบุขอบเขตครอบคลุมเรื่องราวที่ขอให้มาตอบข้อซักถามทั้งหมด ทั้งที่หนังสือเชิญข้าราชการทั้ง 5 แต่เดิมชี้แจงไปแล้ว จากนี้ สตง.จึงอยู่ระหว่างร่างหนังสืออีกครั้ง แต่จะเป็นไปในลักษณะออกคำสั่งเรียกข้าราชการกรมสรรพากรทั้ง 5 คนแทน โดยเป็นการออกคำสั่งเรียก อาศัยอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 42 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 จากนั้นจะขออนุมัติจากผู้ว่าการ สตง.ต่อไป คาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะส่งหนังสือถึงกรมสรรพากรได้

      "การออกคำสั่งเรียกสอบถามข้อมูลครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากการซ้ำเติม หรือเช็คบิลผู้ที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือครอบครัวชินวัตร กรณีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป แต่ถือเป็นหน้าที่หลักของ สตง.เมื่อสังคมยังตั้งคำถามกับภาระภาษีจากการซื้อขายหุ้นดังกล่าว และหลายคนยังแคลงใจ สตง.ในฐานะพนักงานซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบรายรับ รายจ่ายของแผ่นดิน จึงต้องหาข้อเท็จจริง ตรวจสอบเพื่อให้เกิดความป้องปราม และรักษาประโยชน์ของส่วนราชการ หากพบความผิดปกติต้องทำให้เกิดมาตรฐานที่ถูกต้องต่อไป" แหล่งข่าวระบุ

      ทั้งนี้ การเรียกข้าราชการมาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับรายรับและรายจ่ายงบประมาณเป็นไปตามอำนาจของสตง.สามารถทำได้ และหากผู้ถูกเรียกปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามจะมีความผิดตามมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 มีโทษจำคุก 6 เดือน และปรับ 1 หมื่นบาท

      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสาเหตุที่ สตง.เข้ามาตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเพราะได้รับแจ้งผลการพิจารณาสอบสวนและศึกษาจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาสอบสวนและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต วุฒิสภา โดย กมธ.วิสามัญมีความเห็นว่า ข้าราชการระดับสูงในกระทรวงการคลังและกรมสรรพากรหลายคนกระทำทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่โดยการละเว้นไม่เรียกเก็บภาษีอากรจากนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทาทำให้รัฐ กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และประชาชนเสียหายเป็นเงินประมาณ 5,846 ล้านบาท
       ทั้งนี้ กมธ.วิสามัญฯเห็นว่าข้าราชการระดับสูงหลายคนละเว้นไม่เรียกเก็บภาษีจากนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทานั้นเป็นกรณีที่บริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ จำกัด ขายหุ้นชินคอร์ป จำนวน 329.2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท ให้แก่บุคคลทั้งสองนอกตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่ราคาตลาด 49 บาทต่อหุ้น (เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549) ทำให้บุคคลทั้งสองได้รับประโยชน์จากส่วนต่างราคาหุ้น เป็นเงิน 15,501 ล้านบาท ส่วนต่างดังกล่าวเข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร จึงต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคิดเป็นเงิน 5,864 ล้านบาท
   ในรายงานของ กมธ.วิสามัญระบุว่าสำหรับข้ออ้างของกรมสรรพากรที่ว่าบุคคลทั้งสองขายหุ้นชินคอร์ปผ่านตลาดหลักทรัพย์ให้แก่บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 23 มกราคม ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีนั้น จะเป็นส่วนต่างราคาหุ้นที่บุคคลทั้งสองขายให้แก่บริษัทเทมาเส็กในราคา 49.25 บาท จากที่ซื้อมาจากบริษัทแอมเพิลริช 49 บาท โดยมีส่วนต่างราคาหุ้นละ 25 สตางค์ รวมเป็นเงินทั้งเงิน 82.3 ล้านบาท

  http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0107310749&day=2006/07/31



หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 01, 2006, 12:15:40 AM
 :)..อ่านรายละเอียด ร่างกฎหมายที่ คุณโอ๊ค คัดลอกมาแล้ว..

     ไอ้คนพวกนี้ มันเป็นคนไทย หรือเปล่ายังสงสัย.. มันเอาทรัพย์สินสมบัติของชาติ ของประชาชน..
     เอาสิ่งที่ดีใส่ตัว ..
     ไม่ช่วยแล้วยังกอบโกย เดือดร้อนยังอาศัยกฎหมายให้มัน สูบภาษีจากประชาชน ไปใช้ได้อีก.. 

      ร่างกฎหมายอะไร จะอัปลักษณ์ ทำลายชาติ เพิ่งจะเคยเห็น..
      เหมือนมันเตรียมลี้ภัย เข้าไปอยู่ในพื้นที่นี้ .. คิดกันง่าย ง่าย อย่างนี้เอง..
     
      ผมไม่เชื่อว่า จะผ่านเป็นกฎหมายมาได้..

      คนเลว ชาติ พวกนี้
      มันน่าจะต้องเอาไปถมทะเล แทนดินให้หมด.. มันน่าจริง จริง  :).

     
       


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: ..GlockGlack.. ที่ สิงหาคม 01, 2006, 12:28:03 AM
ผมมีเหตุให้ต้องอ่านแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 9 (สิ้นสุดปี พ.ศ. 2549 นี้)  พบว่าแผนฯ 9 เป็นแผนฯ ที่ใช้ภาษาและถ้อยคำสวิงสวายฟุ่มเฟือยที่สุด  ยกอ้างอัญเชิญ "เศรษฐกิจแบบพอเพียง" มาเป็นหัวใจของการร่างแผนฯ นี้  แต่การดำเนินการกลับเป็นตรงกันข้ามแทบจะสิ้นเชิง  :P


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ สิงหาคม 01, 2006, 01:35:28 AM
     แหล่งข่าวจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมว่า สตง..เตรียมออกคำสั่งเรียกข้าราชการกรมสรรพากรจำนวน 5 ราย ประกอบด้วย นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร นางไพฑูรย์ พงษ์เกษร รองอธิบดีกรมสรรพากร นางเบญจา หลุยเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง น.ส.โมฬีรัตน์ บุญญาศิริ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย และนายกริช วิปุลานุสาสน์ นิติกร 9 มาให้ข้อมูลกรณีนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชาย และบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซื้อหุ้นของบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจากบริษัท แอมเพิลริช ทั้งนี้การออกคำสั่งเรียกอยู่ในระหว่างขออนุมัติจากผู้ว่าการ สตง

สาธุ   
     มีอดีตอธิบดีกรมสรรพากรคนหนึ่ง รวยขนาด เอารถเบนซ์ รถโรลซ์รอย (สงสัยรถที่ยึดมาได้)แจกนักการเมืองได้ไม่รู้ว่ารวยมาแต่ชาติไหนครับ


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ สิงหาคม 01, 2006, 02:02:10 AM
วันก่อน “ป๋าเปรม” แต่งเครื่องแบบทหาร เรือไปบรรยายให้นักเรียนนายเรือเป็นกรณีพิเศษ

งานนี้ป๋าไม่ได้ไปคนเดียว แต่หนีบอดีต ผบ.ทร.ติดตามไปด้วย 3 พระหน่อ!!

นอกจากตอกยํ้าเรื่องจิตวิญญาณทหารของชาติ เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว เหมือนที่สั่งสอนนักเรียนนายร้อยทหารบกฟังมาแล้วเมื่อวันก่อน

ป๋ายังเน้นยํ้าให้อนาคตนายทหารสายเลือด ใหม่ ต้องยึดมั่นคุณธรรม จริยธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต!!

แต่ “ป๋า” ก็มีข้อสังเกตฝากไว้ว่าวัฒนธรรมแบบไทยๆที่ยกย่องนับถือคนมีเงินเป็นเรื่องไม่ถูก

“ถ้าเขารํ่ารวยมาโดยชอบธรรมก็โอเคแต่ถ้าเขารํ่ารวยเพราะโกงมาก็ไม่ควรได้ รับการยกย่องนับถือ และเราไม่ควรยกมือไหว้เขาต่อไปอีก” ท่านประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษสั่งสอนนักเรียนนายเรือก่อนจบ

ที่พูดเนี่ย “ป๋าเปรม” ไม่ได้ตอบโต้ ใคร พูดในหลักการเท่านั้นแหละ

แต่ใครฟังป๋าพูดแล้วจะสะดุ้งหรือเปล่าก็สุดแล้วแต่

สรุปว่าตั้งแต่เกิดวิกฤติผู้มีบารมี “ป๋าเปรม” เดินสายไปอบรมนักเรียนนายร้อยและนักเรียนนายเรือมาแล้ว 2 เหล่า

คาดว่าเร็วๆนี้ป๋าต้องไปอบรมนักเรียนนายเรืออากาศให้ครบสูตร

ป๋าเปรมจะจี้จุดคีมึ้งประเด็นไหนต่อไป...ลูกป๋าทั้งหลายเตรียมล้างหูคอยฟัง ให้ดีเถอะ

จาก “ป๋าเปรม”...ก็ต้องโยงมาถึง “นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ซะหน่อย

ช่วงนี้ “นายกฯทักษิณ” ระวังปากไม่พูด อะไรที่ทำให้คนเข้าใจผิด

เพราะมีคนโจมตีว่า “นายกฯทักษิณ” เป็นโรคลำไส้ความคิดสั้น สมองคิดอะไรได้ปุ๊บจะต้องหลุดพรวดออกมาทางปาก
ล่าสุด...นายกฯทักษิณก็เผลอหลุดวรรคทอง “ผมเป็นคนไม่มีเส้น” ให้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีก
ประโยค “ผมเป็นคนไม่มีเส้น” ถ้าเป็น คนอื่นพูดก็ไม่เป็นเรื่องหรอก
ข้อสำคัญ “นายกฯทักษิณ” จะรำพึงรำพันว่าตัวเองเป็นคนไม่มีเส้น ใครเขาจะเชื่อล่ะถามหน่อย??

ลองเปิดโผแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการดูเถอะ...

ต้องเจอะแต่เส้นเป็นกระจุก!!

ใครเชื่อบ้างครับว่าทักษิณไม่เคยใช้อำนาจหน้าที่ไม่เคยใช้เส้นสายเพื่อตัวเองและพวกพ้องบ้างครับ ผมคนหนึ่งล่ะครับที่ไม่เชื่อ ต่อให้ทักษิณเดินลุยไฟพิสูจน์ความบริสุทธิ์ก็ไม่เชื่อครับ ว่าแต่กล้าหรือเปล่า?

http://www.thairath.co.th/news.php?section=hotnews03&content=14415


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ สิงหาคม 01, 2006, 03:18:17 AM
 >:( ร่าง พรบ.เขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่มันจะพยายามดันออกมา อ่านกี่ที ๆ ก็นึกเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เป็นได้อย่างเดียวคือกฎหมายอัปยศขายแผ่นดินชาติ คนที่อยู่นอกเขตเศรษฐกิจพิเศษจะกลายเป็นพลเมืองชั้นสองไปเลย >:(


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: Chayanin-We love the king ที่ สิงหาคม 01, 2006, 10:22:07 AM
ไฟป่าเกิดจากการเสียดสีของเรียวไผ่เล็กๆ
ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันแห้งแล้งแสงแดดแผดเผา
เปลวเพลิงเล็กๆที่ปลิวตามลม ก็ทำให้เพลิงโหมไปทั่วทุ่งกว้างได้
แผดเผาสิ่งที่สมควรถูกเผา  สัตว์ พืช ที่อ่อนแอ   ก็มิอาจอยู่รอด
เหลือแต่สิ่งที่แข็งแรง ซึ่งเป็นผลผลิตจากการคัดสรรของธรรมชาติ
งานนี้คงต้องจับตา ฝูงวัวตะกละที่หวงหญ้าแห้งล่ะครับ ว่าจะกลายเป็นวัวย่างในกองไฟกี่ตัว


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: ..GlockGlack.. ที่ สิงหาคม 01, 2006, 10:27:34 AM
ล่าสุด...นายกฯทักษิณก็เผลอหลุดวรรคทอง “ผมเป็นคนไม่มีเส้น” ให้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีก
ที่ไม่มีเส้น เพราะถูกลิ้นกระดาษทรายน้ำลายชแล็คเลียหลุดไปหมดแล้วครับ  :D


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: โป้ง*กันบอย - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 01, 2006, 10:36:03 AM
ล่าสุด...นายกฯทักษิณก็เผลอหลุดวรรคทอง “ผมเป็นคนไม่มีเส้น” ให้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีก
ที่ไม่มีเส้น เพราะถูกลิ้นกระดาษทรายน้ำลายชแล็คเลียหลุดไปหมดแล้วครับ :D

 ;D ;D ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: 686 ที่ สิงหาคม 01, 2006, 07:27:01 PM
งานนี้สงสัย รักษาการ นายก คนนี้คงจะหมดความคิดใหม่ ๆ ในการหาเสียซ่ะแล้วถึงได้งัดเอาวิธีเดิม ๆ ออกมาใช้อีกรอบ จากไทยรัฐวันนี้ครับ

ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (1 ส.ค.) ว่า ระหว่างวันที่ 7-9 ส.ค.นี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดจะเดินทางตรวจราชการและประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะ จ.ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด  มีรายงานว่าการเดินทางตรวจราชการในครั้งนี้ เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาความยากจน โดยเฉพาะที่หมู่บ้านอาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด  โดยพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า  ต้องขอดูอีกที ขณะนี้ยังไม่ได้จัดโปรแกรม 

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า การเดินทางตรวจราชการในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นการไปดูงานที่ทำไว้ตามนโยบาย  ในส่วนของการประชุมครม.ก็จะประชุมผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอเรนซ์ โดย ครม.ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล และหลังจากที่ไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว ก็จะเดินทางไปพื้นที่ภาคเหนือต่อไป

ด้าน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม. วันเดียวกัน ว่า ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม ครม. พ.ต.ท.ทักษิณ   แจ้งต่อที่ประชุมว่า ระหว่างวันที่ 7 - 9 ส.ค.นี้ จะเดินทางไปตรวจราชการที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยการประชุมครม. วันอังคารที่ 8 ส.ค. จะเป็นการประชุมทางไกล จาก จ.ขอนแก่น และระหว่างวันที่ 14 - 17 ส.ค. จะเดินทางไปตรวจราชการที่ภาคเหนือ โดยการประชุมครม.วันอังคารที่ 15 ส.ค. จะเป็นการประชุมทางไกลจาก จ.เชียงใหม่

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีแจ้งให้ส่วนราชการที่ต้องการแจ้งปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ สามารถประสานงานได้ แต่โดยหลัก เรื่องที่จะไปติดตาม คือ การแก้ปัญหาความยากจน ปัญหาด้านการเกษตร และปัญหาด้านสาธารณสุข  การตรวจราชการขณะนี้มีเพียง 2 แห่งเท่านั้น และไม่ได้กำหนดให้รัฐมนตรีต้องร่วมคณะไปด้วย ส่วนจะมีพื้นที่อื่นอีกหรือไม่ ต้องรอให้นายกรัฐมนตรีแจ้งอีกครั้ง 

ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดจึงเลือกเดินทางไปช่วงนี้ น.พ.สุรพงษ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีดูกำหนดการตัวเอง พบว่า ช่วงนี้ภาระงานที่มีอยู่เป็นงานประจำ เป็นเรื่องต่อเนื่อง ทำให้มีเวลาว่าง รวมทั้งเห็นว่า มีหลายโครงการที่ควรจะไปติดตาม ว่ามีผลคืบหน้าเป็นอย่างไร เมื่อถามว่า การไปตรวจราชการ ก่อนที่พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดวันเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ จะทำให้มีปัญหาในแง่การเมืองหรือไม่ น.พ.สุรพงษ์ กล่าวว่า คงไม่เกี่ยวข้อง 

"ในช่วงที่ พ.ร.ฎ.กำหนดวันเลือกตั้งมีผลในครั้งก่อนๆ ก็ไม่ได้เป็นข้อจำกัดว่า นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี จะเดินทางไปตรวจราชการไม่ได้ ยังสามารถเดินทางได้ตามปกติ จึงไม่จำเป็นต้องเร่งลงพื้นที่ก่อนที่พระราชกฤษฎีกาจะมีผลบังคับใช้" น.พ.สุรพงษ์ กล่าว และว่า ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการนำงบราชการไปหาเสียงนั้น   เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับว่าไปทำอะไร ถ้าไปตรวจราชการ และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ถือเป็นการทำงานในราชการ และการหาเสียงในเวลาราชการก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะผิดกฎหมายเลือกตั้ง แม้ขณะนี้พระราชกฤษฎีกาจะยังไม่มีผลบังคับใช้ก็ตาม

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีย้ำว่า  เวลาราชการจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง  และการตรวจราชการครั้งนี้ จะไม่มีการอนุมัติงบประมาณใหม่ เป็นเพียงการติดตามงานเดิมเท่านั้น แม้ขณะนี้จะยังไม่มีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)   แต่ กกต.ก็ยังทำงานอยู่ หากทำอะไรผิดกฎหมายเลือกตั้ง ฝ่ายที่เป็นคู่แข่งในการหาเสียงเลือกตั้ง สามารถฟ้องร้องได้อยู่แล้ว   เชื่อว่าทุกฝ่ายจะระมัดระวังไม่ทำอะไรผิดกฎหมายเลือกตั้ง 

ต่อข้อถามว่า นายกรัฐมนตรีมีแผนที่จะไปตรวจราชการที่ภาคใต้หรือไม่ น.พ.สุรพงษ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังไม่ได้พูด  แต่การเดินทางไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการแสดงความเห็นหลากหลายว่า ควรปล่อยให้ผู้รับผิดชอบแก้ไขปัญหา เพราะหากฝ่ายนโยบายเดินทางไปพื้นที่บ่อยครั้ง อาจทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ชะงัก เพราะต้องคอยต้อนรับ ดังนั้น นายกรัฐมนตรีเลือกที่จะลงพื้นที่เท่าที่จำเป็น

ออกไปหาเสียงแน่ ๆ ครับ แต่ก็ขี้ขลาด ไม่กล้าลงไปหาเสียงทางภาคใต้ อ้างว่า ไม่จำเป็น


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ สิงหาคม 01, 2006, 09:55:08 PM
ออกไปหาเสียงแน่ ๆ ครับ แต่ก็ขี้ขลาด ไม่กล้าลงไปหาเสียงทางภาคใต้ อ้างว่า ไม่จำเป็น

 :-\ ว่าที่ กกต. ชุดใหม่ จะตีความเหมือนที่ กกต. อย่างหนาทำกับคุณสโรชา หรือเปล่า ???


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ สิงหาคม 01, 2006, 09:59:26 PM
ออกไปหาเสียงแน่ ๆ ครับ แต่ก็ขี้ขลาด ไม่กล้าลงไปหาเสียงทางภาคใต้ อ้างว่า ไม่จำเป็น

 :-\ ว่าที่ กกต. ชุดใหม่ จะตีความเหมือนที่ กกต. อย่างหนาทำกับคุณสโรชา หรือเปล่า ???
อย่าว่าแต่ภาคใต้เลยครับ ถนนในเมืองหลวงยังไม่กล้าเดิมเลยครับ


หัวข้อ: Re: จนตรอก
เริ่มหัวข้อโดย: Chayanin-We love the king ที่ สิงหาคม 02, 2006, 09:04:40 AM
โผ ทบ.วุ่น “แม้ว” ล้วงลูกดัน “พฤณท์-มนัส” กุมกำลังทัพ 1, 3
 
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 2 สิงหาคม 2549 06:23 น.
 
 
   
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี
 
 
              โผทหาร ทบ.วุ่น “แม้ว” หักดิบประเพณีกองทัพ ปิดหูปิดตาขอดันเพื่อนรุ่น ตท.10 เสนอ “พฤณท์ ” นั่งแม่ทัพน้อยที่ 1 พร้อมต่อรอง “มนัส” นั่งแม่ทัพภาคที่ 3 แทน “สพรั่ง” จุ้นจ้านถึงตำแหน่งปลัดฯ ขอดัน “เสธ.อู้” ขึ้นหิ้ง ขณะที่ “บิ๊กยักษ์” ยืนกราน ต้อง “บรรณวิทย์” เท่านั้น
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ภายหลังการประชุมสภากลาโหม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผบ.สส. ได้นำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารของเหล่าทัพที่ได้จัดทำในเบื้องต้น ส่งให้ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.กลาโหม และได้ร่วมหารือในบางตำแหน่งที่ยังไม่ลงตัวกับ พล.อ.สิริชัย ธัญญศิริ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.เรืองโรจน์ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผบ.ทร. พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. และ ให้นำกลับไปพิจารณาก่อนส่งขึ้นมาให้อีกครั้งภายในวันที่ 1 ส.ค.นั้น
       
       มีรายงานว่า ยังมีปัญหาในการจัดทำโผในส่วนของ ทบ.บางตำแหน่ง เนื่องจากทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ ยังต่อรองกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. เพื่อส่งเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 ลงในตำแหน่งที่สำคัญๆ หลายตำแหน่ง ซึ่งการต่อรองครั้งนี้ได้สร้างความกังวลให้กับ พล.อ.สนธิ เป็นอย่างมาก เนื่องจากได้จัดทำบัญชีรายชื่อการปรับย้ายนายทหารในส่วนกองทัพบกเสร็จแล้ว แต่เพื่อความไม่ประมาท พล.อ.สนธิ ก็ได้จัดทำบัญชีรายชื่อในโผ 2 ขึ้นมา เพราะเชื่อว่า ยังมีหลายตำแหน่งที่ต้องเผื่อไว้หากมีการต่อรองในระดับบนอีกครั้ง จึงทำให้การปรับย้ายนายทหารครั้งนี้ต้องกระทบชิ่งกับบางตำแหน่งในฝั่ง บก.สส. จึงจะทำให้เกิดความล่าช้าออกไปอีก
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำแหน่งที่มีปัญหา คือ ตำแหน่ง แม่ทัพภาคต่างๆ ที่มีการปรับเปลี่ยนในหลายกองทัพภาค ทั้งกองทัพภาคที่ 1 ที่พล.อ.สนธิ ได้ปรับให้ พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1 (ตท.10) เป็นเสนาธิการทหารบก เพราะเนื่องจากต้องการให้ พล.ท.อนุพงษ์ ขึ้นไปคานอำนาจกับ พล.อ.พรชัย กรานเลิศ ผช.ผบ.ทบ. ทั้งที่เป็นเพื่อน ตท.10 ด้วยกัน แต่ยืนอยู่คนละข้างกับพ.ต.ท.ทักษิณ โดยในปีหน้าหลังจากที่ พล.อ.สนธิ เกษียณอายุราชการ พล.อ.อนุพงษ์ ก็จะเข้ามาเป็นแคนดิเดทที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการขึ้นเป็น ผบ.ทบ.
       
       “การปรับย้ายครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ แม้ไม่เห็นด้วยที่จะให้ พล.ท.อนุพงษ์ ขึ้นเป็น เสธ.ทบ. แต่ก็ไม่ยับยั้ง เพราะจะได้ พล.ท.จิรสิทธิ์ เกษะโกมล แม่ทัพน้อยที่ 1 ซึ่งเป็นเพื่อนซี้อยู่ในก๊วนเดียวกัน ได้ปรับขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ซึ่งก็จะคุมกำลังทั้งหมดในภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพฯ ซึ่งทำให้อำนาจในมือของ นายกฯ ในการคุมกำลังในเขตพระนครยังมีอยู่พอสมควร” แหล่งข่าว ทบ.กล่าว
       
       แหล่งข่าวระบุด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังต้องการส่งให้ พล.ต.พฤณท์ สุวรรณทัต ผู้บัญชาการกองพลทหาราบที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1 รอ.) เพื่อน ตท.10 ขึ้นเป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 เพื่อรอคิวขึ้นเป็น แม่ทัพภาคที่ 1 ในปีหน้า แต่ พล.อ.สนธิ และ คณะกรรมการในระดับ 5 เสือ ทบ.เห็นว่าขัดประเพณีของกองทัพบก เพราะ การเลื่อนตำแหน่งจาก ผบ.กองพล ต้องขยับไปเป็น รองแม่ทัพภาคก่อน ซึ่ง พล.อ.สนธิ ได้ขอนำข้อมูลเหล่านี้แจ้งให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทราบถึงหลักการดังกล่าว เพราะหากปรับย้ายลักษณะนี้จะข้ามหัวรองแม่ทัพภาคที่ 1 จำนวน 3 คน และ รองแม่ทัพน้อยที่ 1 จำนวน 1 คน ซึ่งจะทำให้เสียระบบอาวุโสในกองทัพมากเกินไป
       
       “นายกฯ ต้องการวางตัว พล.ต.พฤณท์ เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ต่อไป เพราะมีความไว้วางใจว่าสนับสนุนตนเอง อีกทั้งในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านนายกฯ ย่อมต้องเลือกคนที่ไว้ใจที่สุดไว้ ซึ่งที่ผ่านมา ผบ.พล.1 รอ.ก็แสดงบทบาทชัดเจนในการสนับสนุนท่าน” แหล่งข่าว ทบ.ระบุ
       
       สำหรับบัญชีรายชื่อในส่วนของกองทัพบกที่ พล.อ.สนธิ ได้จัดทำไว้ ประกอบไปด้วย พล.ท.จิรสิทธิ์ เกษะโกมล แม่ทัพน้อยที่ 1 ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และโยก พล.ต.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองแม่ทัพภาคที่ 1 (ตท.11) ขึ้นเป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 โดยให้ พล.ต.พฤณท์ สุวรรณทัต ผบ.พล.1 รอ. ขึ้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 แต่เนื่องจาก พล.ต.พฤณท์ ได้ไปขอตำแหน่งกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ช่วยผลักดัน และออกแรงให้ทาง พ.ต.ท.ทักษิณ จึงต้องต่อรองกับ พล.อ.สนธิ ทำให้การปรับย้ายครั้งนี้ยังไม่ลงตัว
       
       สำหรับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ปรับ พล.ท.สุเจตน์ วัฒนสุข แม่ทัพภาคที่ 2 (ตท.7) ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ. พล.อ.สนธิ ได้ปรับให้ พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพน้อยที่ 2 (ตท.9) ซึ่งคุ้นเคยในพื้นที่ ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ส่วนตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 3 เมื่อ พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร (ตท.7) ถูกโยกเป็นที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ขอให้ปรับ พล.ต.มนัส เปาริก รองแม่ทัพภาคที่ 3 เพื่อนร่วมรุ่นขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 เพราะที่ผ่านมามีกระแสข่าวว่าเป็นผู้มีข้อมูลการซ่องสุ่มกำลังของ พล.ท.สพรั่ง เพื่อเตรียมทำการปฏิวัติ จนเป็นที่ฮือฮา และในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะมีการเลือกตั้ง ดังนั้นเพื่อให้เกิดความมั่นใจ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงต้องการให้เพื่อนร่วมรุ่นขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 และดัน พ.อ.ธงชัย เทพารักษ์ รองผบ.มทบ.33 เพื่อนร่วมรุ่นอีกคนขึ้นเป็น ผบ.มทบ.33 เพื่อคุมพื้นที่ทั้งหมดในภาคเหนือ โดยเจาะจงในพื้นที่เชียงใหม่ที่ มทบ.33 คุมอยู่ จะแพ้การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในโผการปรับย้าย พล.อ.สนธิ ได้ปรับให้ พล.ท.จิระเดช คชรัตน์ แม่ทัพน้อยที่ 3 (ตท.9) ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 และโยก พล.ต.สีมอ อุดมผล ผบ.จทบ.เชียงราย (ตท.8) ขึ้นเป็น ผบ.มทบ.33
       
       แหล่งข่าวกล่าวว่า ในส่วนตำแหน่ง ปลัดฯกลาโหม ที่ พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ ปลัดฯกลาโหม เกษียณลง ได้เสนอชื่อ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน รองปลัดฯ กลาโหม (ตท.7) อาวุโสสูงสุด และเป็นรองปลัดฯมา 2 ปี ขึ้นในตำแหน่ง อีกทั้งเป็นวงรอบของทหารเรือ แต่เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ ต้องการผลักดันให้ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช เสธ.ทหาร (ตท.7)ข้ามมาเป็น ปลัดฯกลาโหม ทำให้การปรับย้ายตำแหน่งปลัดฯ กลาโหม เป็นอีกเหล่าทัพที่ดูจะวุ่น เพราะทางฝ่ายการเมืองหลายคนโดยเฉพาะในพรรคไทยรักไทยที่สนิทสนมกับ พล.อ.เลิศรัตน์ ก็พยายามผลักดันให้ พล.อ.เลิศรัตน์ เข้าป้ายในตำแหน่งปลัดฯ กลาโหม ซึ่งทาง พล.อ.สิริชัย นั้นยืนกรานจะเสนอ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ขึ้นเป็นปลัดฯ กลาโหม เพราะเป็นรองปลัดฯ กลาโหมมาแล้ว 2 ปี และเป็นผู้อาวุโสในอัตราจอมพลทหารของกองทัพไทย ทั้งได้รับความชอบธรรม
       
       อย่างไรก็ตาม ในตำแหน่งรองปลัดฯ กลาโหม ที่ว่างลง พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้ขอตำแหน่งนี้ให้กับ พล.อ.วินัย ภัททิยะกุล เลขาฯ สมช.(ตท.6) ที่จะข้ามมาจาก เลขาฯ สมช.เพื่อมาลงตำแหน่งเป็นรองปลัดฯ กลาโหม ทั้งที่ พล.อ.สิริชัย ได้เสนอ พล.อ.ทสรฐ เมืองอ่ำ ผอ.อผศ.(ตท.7) ขึ้นเป็น รองปลัดฯ กลาโหม ในฐานะที่เป็นพลเอกอาวุโสสูงสุดในกองทัพไทย