เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 03:14:55 PM



หัวข้อ: องค์เหนือหัว ผู้ทรงเป็นจอมทัพไทย กับพระมหากรุณาธิคุณต่อสามเหล่าทัพ
เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 03:14:55 PM
        พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นจอมทัพไทย ที่ทรงมีความใกล้ชิดกับทหารมากยิ่งกว่าผู้ที่ได้ดำรงตำแหน่งใดๆ ทางทหาร เพราะผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งนั้น เมื่อพ้นหน้าที่แล้วก็ห่างออกไป แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอยู่ในตำแหน่งจอมทัพไทยนั้น มาโดยตลอดมิได้ห่างเลย และทรงมีความทรงจำต่อกิจการด้านทหารนั้นเป็นเลิศ เป็นที่ประจักษ์
       
        ดังเช่น-ขณะที่ พล.อ.อ.กันต์ พิมานทิพย์ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้มีการแสดงนิทรรศการและวิวัฒนาการการบินในประเทศไทยที่ดอนเมือง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร ประทับ ณ พลับพลาลานหน้ากองบัญชาการกองทัพอากาศ, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีรับสั่งถาม พล.อ.อ.กันต์ ว่า เมื่อครั้งที่ พล.อ.อ.กันต์ เป็นนักบินเครื่องบินขับไล่ไอพ่น เข้าทำการแข่งขันการใช้อาวุธทางอากาศที่สนามใช้อาวุธทางอากาศ บ้านม่วงค่อม อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี และสามารถใช้อาวุธทางอากาศทำลายเป้าหมายที่ภาคพื้นดินได้อย่างแม่นยำต่อหน้าพระพักตร์ ที่พระองค์และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ทอดพระเนตรการแข่งขันครั้งนี้ด้วยนั้น เป็นเครื่องบินแบบใด ซึ่งพล.อ.อ.กันต์ ได้กราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นนักบิน บินด้วยเครื่องบินขับไล่ไอพ่นแบบเอฟ-86 เอฟ พะยะค่ะ ทั้งๆ ที่การแข่งขันใช้อาวุธทางอากาศครั้งนั้น จัดขึ้นในปี 2518 เป็นเวลาเกือบ 20 ปี แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงจำภาพต่อหน้าพระพักตร์นั้นได้เป็นอย่างดี
       
        การบินของ พล.อ.อ.กันต์ พิมานทิพย์ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจำได้เป็นอย่างดีนี้ ได้มีการสร้างเป้าหมายจำลองที่พื้นดินของสนามใช้อาวุธทางอากาศ ทางเบื้องล่างของที่ประทับซึ่งอยู่บนเนินเขา ในการแข่งขันครั้งนี้มีหน่วยบินของกองบินต่างๆ ในกองทัพอากาศมาร่วมการแข่งขันเป็นจำนวนมาก และไม่มีหน่วยบินใดทำลายเป้าหมายจำลองนั้นได้ จนกระทั่งฝูงบินเอฟ-86 เอฟ ของกองบิน 1 ได้เข้าทำการแข่งขันในชุดสุดท้าย โดย พล.อ.อ.กันต์ เป็นนักบินกับเครื่องที่ 2 เมื่อเครื่องที่ 1 เข้าทำการโจมตีทำลายเป้าหมาย ปรากฏว่าเสียหายไปประมาณ 1 ใน 3 ส่วน พล.อ.อ.กันต์ ซึ่งบังคับเครื่องบินเครื่องที่ 2 เข้าทำลายเป้าหมายที่ภาคพื้นดินได้หมดสิ้นจากการบินเที่ยวเดียว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพอพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงปรบพระหัตถ์ให้ และเมื่อ พล.อ.อ.กันต์ ได้เข้าเฝ้าในการแสดงนิทรรศการและวิวัฒนาการการบินที่ดอนเมือง เมื่อเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ พระองค์ยังทรงจำการทำลายเป้าหมายจำลองอย่างแม่นยำที่ม่วงค่อมได้ และทรงมีข้อสั่งถามดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่ผู้บังคับบัญชาระดับอื่นในกองทัพก็ยังจำไม่ได้ แต่พระองค์ยังทรงจดจำได้อย่างแม่นยำ
       
        พล.อ.อ.กันต์ พิมานทิพย์ ถือได้ว่าเป็นผู้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างสูง ที่มีน้อยคนจะได้รับคือในวันฉัตรมงคล 5 พฤษภาคม 2535 ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ แล้วในปีต่อมาคือ 5 พฤษภาคม 2536 มีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานเลื่อนชั้นขึ้นเป็นทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าแก่คู่สมรส “คุณหญิงจิตรวดี พิมานทิพย์”

        พล.อ.อ.กันต์ คือผู้ที่ถวายความจงรักภักดีอย่างสูงสุดต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ดังภาพที่ปรากฏอยู่ในหน้านี้ ซึ่งเป็นภาพที่หาดูได้ยาก คือการเข้าเฝ้าฯ กราบที่พระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นการทรุดตัวลงกับพื้นลานจอดหน้ากองบัญชาการกองทัพอากาศ ถอดหมวกวางไว้กับพื้นซีเมนต์และกราบที่ “พระบาท” ขององค์จอมทัพไทย ซึ่งฉลองพระองค์เครื่องแบบพระองค์จอมพลอากาศ เมื่อรับเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรนิทรรศการและวิวัฒนาการการบิน ที่กองทัพอากาศดอนเมือง ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น
       
        พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับกองทัพอากาศนั้น ยังมีอีกมากที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ เพราะพระองค์ทรงสนพระทัยในเรื่องการบิน อันบังเกิดผลให้ พล.อ.อ.สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงสนพระทัยการบินมาแต่ทรงพระเยาว์ และบัดนี้ เป็นที่ประจักษ์ว่า พระองค์ทรงเป็นนักบินขับไล่ไอพ่นฝีมือระดับครู มีชั่วโมงบินหลายพันชั่วโมง โดยเฉพาะกับเครื่องบินขับไล่ไอพ่น เอฟ-5 อี
       
        สำหรับทางด้านกองทัพเรือนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นจอมทัพไทย จอมพลเรือที่ประทับอยู่ในเรือรบในกระบวนเรือที่ออกยาตราศึก เป็นเวลานานที่สุด อาจจะกล่าวกันว่า ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในโลกที่ประทับรอนแรมในเรือกลางทะเลหลวงแบบข้ามวันข้ามคืน และทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงเข้าร่วมในการฝึก “ยกพลขึ้นบก” ของทหารนาวิกโยธิน กองทัพเรือด้วย
       
        การฝึกยกพลขึ้นบกของกองทัพเรือที่มีรหัสว่า “ทักษิณ 12” เมื่อ พ.ศ. 2512 ณ อ่าวบ้านทอน จังหวัดนราธิวาส เป็นการฝึกนาวิกโยธินในการเดินทางข้ามอ่าวไทยจากฝั่งตะวันออกที่ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ไปยังอ่าวไทยฝั่งตะวันตก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกมาร ได้ประทับแรมในเรือที่ใช้ฝีจักรข้ามอ่าวไทยไปพร้อมกับทหารนาวิกโยธิน ไปลอยลำอยู่กลางทะเลหน้าอ่าวบ้านทอนในเวลารุ่งอรุณ
       
        ครั้นถึงเวลาของการยกพลขึ้นบกทั้ง 2 พระองค์ประทับในรถสะเทินน้ำสะเทินบกแอลพซีโดยรถสะเทินน้ำสะเทินบกได้ออกจากทางหัวเรือของเรือหลวงช้าง ซึ่งเป็นเรือลำเรียงพล เช่นเดียวกับทหารนาวิกโยธินอื่นๆ โดยออกจากเรือหลวงช้างเป็นคันแรก และมุ่งเข้าสู่ชายหาดที่หมายของการยกพลขึ้นบก ซึ่งต้องใช้เวลาจากเรือหลวงช้างถึงตำบลที่หมายนานประมาณ 45 นาที เมื่อถึงชายหาดได้เปิดฝาส่วนหัวทอดให้กำลังพลยกพลขึ้นบก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฉลองพระองค์ชุดทหารนาวิกโยธิน ทรงเหยียบผืนทราย ณ ตำบลยกพลขึ้นบกเป็นพระองค์แรก ตามเสด็จฯ ด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในฉลองพระองค์นาวิกโยธิน ถือพระแสงปืนเอ็ม 16 จากนั้นนาวิกโยธินได้ดำเนินสถาปนายึดที่หมายย้ายฝั่งและรุกเข้าไปในฝั่ง จากนั้นเสด็จฯ ทอดพระเนตรการใช้อาวุธของทหารนาวิกโยธิน ทรงยิงพระแสงปืนเอ็ม 16 และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ก็ทรงพระแสงปืนเอ็ม 16 ด้วยเช่นกัน
       
        ณ หาดบ้านทอน ที่ทรงนำนาวิกโยธินยกพลขึ้นบกในการฝึก “ทักษิณ 12” นี้ กองทัพเรือได้ใช้เป็นพื้นที่สำหรับตั้งหน่วยทหารถาวรของนาวิกโยธินขึ้น ปัจจุบันคือ กองพันทหารราบที่ 3 กรมนาวิกโยธิน พระราชทานนามค่ายว่า “ค่ายจุฬาภรณ์” และรถสะเทินน้ำสะเทินบก ที่ทรงประทับจากเรือหลวงช้างมาสู่ชายหาดบ้านทอนนั้น ได้ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าค่ายจุฬาภรณ์ พร้อมคำจารึกความเป็นมาว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ประทับบนรถคันนี้มาแล้ว ในการทรงเข้าร่วมการฝึก “ทักษิณ 12” นั้น
       
        ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ผู้บังคับบัญชาตำแหน่งต่างๆ ในกองทัพนั้น มีเข้ามารับตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่ง แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเป็นจอมทัพไทย พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งนี้โดยมีระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพผ่านมาหลายยุคหลายสมัย และหลายคน นับตั้งแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน การทรงเป็นจอมทัพไทยก็มิได้เปลี่ยนแปลง พระองค์จึงทรงเป็นผู้รู้ในกิจการทหารอย่างลึกซึ้ง อีกทั้งทรงมีพระประสบการณ์ยิ่งกว่าผู้ใด
       
        พระองค์ทรงเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของทหารมานาน 60 ปีเท่ากับการครองสิริราชสมบัติ ถือว่าทรงเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของทหารอย่างแท้จริง
       
        เวลาผ่านมา 20 ปี พระองค์ยังทรงจำได้ว่า นักบินผู้ทำการบินทำลายที่หมายภาคพื้นดินด้วยอาวุธทางอากาศ ที่สนามใช้อาวุธทางอากาศ บ้านม่วงค่อม อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี นั้นคือ พล.อ.อ.กันต์ พิมานทิพย์ เมื่อครั้งเป็นนาวาอากาศเอก
       
        สำหรับทหารบกนั้น คงจะไม่มีสิ่งใดเกิดกว่าเรื่องราวที่จะนำมากล่าวถึงนี้เป็นแน่แท้ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดรู้และเปิดเผยกันมาก่อน คือเรื่อง “รอยพระบาท” ที่มีการกล่าวถึงกันบ้างแล้ว และความต่อเนื่องกันกับเรื่องของรอยพระบาท ซึ่งขณะนี้ประดิษฐานอยู่ในค่ายเม็งรายมหาราช กองพันที่ 3 กรมทหารราบที่ 17 กองพลที่ 4 กองทัพภาคที่ 3 (ร. 17 พัน 3) อันเป็นสิ่งที่ชาวเชียงรายภาคภูมิใจว่า รอยพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานอยู่ในจังหวัดของตนเป็นแห่งเดียวในพระราชอาณาจักร
       
        ความต่อเนื่องของรอยพระบาทดังที่ได้กล่าวนั้น คือก่อนที่จะถอดฉลองพระบาท (รองเท้า) และถุงพระบาท (ถุงเท้า) เพื่อประทับรอยพระบาทลงไปในปูนปลาสเตอร์ทั้ง 2 ข้าง รวม 2 ชุดรอยพระบาทขวาและซ้าย เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2525 ณ ดอยพญาพิภักดิ์ อันเคยเป็นพื้นที่ เขตงานที่ 8 ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) นั้น มีความต่อเนื่องกันอยู่ 3 ประการคือ 1. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์จอมทัพไทย ได้ทรงเป็น “ทหาร” ที่เข้ารับการวางอาวุธ ยุติการปฏิบัติการทหารทหาร และการเมืองต่างๆ ของ ผกค.เขตงานที่ 8 ซึ่งเป็นการอุบัติเหตุการปราบปรามสู้รบครั้งแรก โดยพระองค์ได้เสด็จฯ ไปทรงงานอันสำคัญยิ่งนี้ด้วยพระองค์เอง ถึงพื้นที่ปฏิบัติการบนดอยสูง แบบเข้าถึงพื้นที่และเข้าถึงตัว ผกค.และพลพรรคแนวร่วมด้วยพระองค์เอง ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นที่ทราบกันอย่างแพร่หลายนักว่า กองกำลังติดอาวุธของ พคท.เขตงานแรกที่ยุติการปฏิบัติการนั้น ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณยุติการปฏิบัติการกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2. พระราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัตินี้ ทำให้ ผกค.ในพื้นที่อื่นๆ ทั่วทุกภาคได้ยุติการปฏิบัติการตามมา และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ล่มสลายลง และ 3. ความเกี่ยวเนื่องและความต่อเนื่องจากรอยพระบาท อันเป็นส่วนพระองค์ แต่หากชาวไทยทั้งหลายได้ล่วงรู้ ก็จะเป็นการเสริมพระบารมี ที่ทำให้เห็นว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงประหยัด ทรงเป็นตัวอย่างของ “ความพอเพียง” อย่างที่สุด
       
        ทหารจาก ร. 13 พัน 3 ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย ได้เข้าปฏิบัติการปราบปราม ผกค.ในเขตงานที่ 8 ของ พคท.ตั้งแต่ พ.ศ. 2514 และปฏิบัติงานในพื้นที่ต่อเนื่องกันมานานถึง 10 ปี มีผู้สละชีพในการรบหลายร้อยคน และอัฐิของทหารเหล่านี้บรรจุอยู่ที่อนุสาวรีย์ในค่ายเม็งรายมหาราช โดยอนุสาวรีย์นี้ดำริสร้างเมื่อครั้ง พล.ท.อิทธิพล ศิริมณฑล เป็นผู้บังคับกองพัน เป็นผู้นำทำการรบอยู่ในพื้นที่นั้น
       
        จนกระทั่ง ร. 17 พัน 3 ซึ่งมีนามหน่วยเป็นกองพันในสนามคือ พัน. ร. 473 มีผู้บังคับกองพันคือ พ.ท.วิโรจน์ ทองมิตร ซึ่งเป็น ผบ.พัน.ทั้งในที่ตั้งปกติและกองทัพสนามชายแดน (ต่อมาเป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 17 เสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ เมื่อมียศ พ.อ.(พิเศษ) เป็นเตรียมทหารรุ่นที่ 4 รุ่นเดียวกับ พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ ปลัดกระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน) ร.อ.ปราโมทย์ ถีระแก้ว เป็นรองผู้บังคับกองทัพ (ลาออกจากราชการไปประกอบอาชีพส่วนตัว เมื่อมียศ พ.ท.) และ ร.อ.สวัสดิ์ กระต่ายทอง เป็นนายทหารยุทธการกองพัน (ฝอ. 3) ปัจจุบันเป็น พ.อ.(พิเศษ) ช่วยราชการสำนักนโยบายและแผน กระทรวงกลาโหม-เป็นเตรียมทหารรุ่น 13 ได้นำกำลังเข้าปฏิบัติการในระยะเวลาที่การสู้รบรุนแรงที่สุดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนสถานการณ์จะคลายตัวลง
       
        มีรายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิบัติการในห้วงเวลาสำคัญนี้มาก ซึ่งจะขอยกไปเป็นรายงานในครั้งหน้า เพราะมีความลึกและลับอยู่เต็มร้อยคือ ลึก-หกสิบเปอร์เซ็นต์ และลับ-สี่สิบเปอร์เซ็นต์ เมื่อลับน้อยกว่าลึกจึงเปิดเผยได้, อันเป็นที่มาของคอลัมน์ “ลึก-หกสิบ, ลับ-สี่สิบ” นี้
       
        แต่ที่จะเป็นรายงานก่อนในฉบับนี้ และมีรายละเอียดในครั้งหน้า คือสิ่งที่ต่อเนื่องเกี่ยวพันกับรอยพระบาทคือ ความเกี่ยวเนื่องในข้อ 3 ดังที่กล่าวมาข้างต้น คือเรื่องส่วนพระองค์ แต่ประชาชนทั้งหลายควรต้องได้รู้ และยึดตามแนวคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องการประหยัด การใช้ชีวิตอย่างเศรษฐกิจพอเพียง คือ
       
        ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2525 ที่ดอยพญาพิภักดิ์ นั้น พ.ท.วิโรจน์ ทองมิตร ผบ.พัน ร. 473 ได้กราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาต ประทับรอยพระบาททั้งขวาและซ้าย รวม 2 คู่ เพื่อประดิษฐานไว้ที่ดอนพญาพิภักดิ์คู่หนึ่ง และอีกคู่หนึ่งจะนำไปประดิษฐานที่เนินดอยใน ร. 17 พัน 3 ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย ด้วยเหตุผลที่กราบบังคมทูลโดยละเอียด เมื่อมีพระบรมราชานุญาตแล้ว พ.ท.วิโรจน์ ได้เป็นผู้ แก้เชือกผูกรอยพระบาท (ทรงแต่งเครื่องแบบชุดอ่อน พระยศจอมพล) และถอดรองพระบาทออก จากนั้น ก็ถอดถุงพระบาท (ถุงเท้า) เพื่อทรงประทับรอยพระบาทบนแท่นปูนปลาสเตอร์ที่จัดผสมเตรียมไว้
       
        ถุงพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคู่นั้น มีรอยขาด แต่พระองค์ก็ยังทรงใช้อยู่ มิได้ทิ้งไป เพราะรอยขาดอยู่ส่วนภายใน เมื่อสวมรอยพระบาทแล้ว ก็ไม่เห็นรอดขาดที่ถุงพระบาทนั้น


ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ


หัวข้อ: Re: องค์เหนือหัว ผู้ทรงเป็นจอมทัพไทย กับพระมหากรุณาธิคุณต่อสามเหล่าทัพ
เริ่มหัวข้อโดย: quick-รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 03:17:11 PM
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน


หัวข้อ: Re: องค์เหนือหัว ผู้ทรงเป็นจอมทัพไทย กับพระมหากรุณาธิคุณต่อสามเหล่าทัพ
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 03:51:41 PM
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเทอญ


หัวข้อ: Re: องค์เหนือหัว ผู้ทรงเป็นจอมทัพไทย กับพระมหากรุณาธิคุณต่อสามเหล่าทัพ
เริ่มหัวข้อโดย: JJ-รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 04:03:40 PM
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน


หัวข้อ: Re: องค์เหนือหัว ผู้ทรงเป็นจอมทัพไทย กับพระมหากรุณาธิคุณต่อสามเหล่าทัพ
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 04:07:01 PM
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน


หัวข้อ: Re: องค์เหนือหัว ผู้ทรงเป็นจอมทัพไทย กับพระมหากรุณาธิคุณต่อสามเหล่าทัพ
เริ่มหัวข้อโดย: abandej_รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 04:11:56 PM
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญของประเทศชาติตลอดไปเทอญ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ


หัวข้อ: Re: องค์เหนือหัว ผู้ทรงเป็นจอมทัพไทย กับพระมหากรุณาธิคุณต่อสามเหล่าทัพ
เริ่มหัวข้อโดย: Trex ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 04:59:26 PM
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน


หัวข้อ: Re: องค์เหนือหัว ผู้ทรงเป็นจอมทัพไทย กับพระมหากรุณาธิคุณต่อสามเหล่าทัพ
เริ่มหัวข้อโดย: DarkDiy - รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 05:02:41 PM
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ


หัวข้อ: Re: องค์เหนือหัว ผู้ทรงเป็นจอมทัพไทย กับพระมหากรุณาธิคุณต่อสามเหล่าทัพ
เริ่มหัวข้อโดย: โป้ง*กันบอย - รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 07:47:24 PM
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ


หัวข้อ: Re: องค์เหนือหัว ผู้ทรงเป็นจอมทัพไทย กับพระมหากรุณาธิคุณต่อสามเหล่าทัพ
เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 08:27:56 PM
...ขอพระองค์ทรงพระเจริญ...

  เรื่องรอยพระบาท..เมื่อคราวที่ผมถูกเรียกพลเพื่อฝึกวิชาทหาร...ก็ได้มีโอกาสเข้าไป..กราบรอยพระบาทที่ค่ายเม็งรายครับ....นับว่าเป็นศิริมงคล...กับทหารทุกนาย..สร้างขวัญกำลังใจได้...เป็นอย่างดี....ครับ..ถือเป็นความภาคภูมิใจ..ของชาวเชียงรายทุกคน...ครับ... :)


หัวข้อ: Re: องค์เหนือหัว ผู้ทรงเป็นจอมทัพไทย กับพระมหากรุณาธิคุณต่อสามเหล่าทัพ
เริ่มหัวข้อโดย: SNIPER™ ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 08:41:12 PM
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ


หัวข้อ: Re: องค์เหนือหัว ผู้ทรงเป็นจอมทัพไทย กับพระมหากรุณาธิคุณต่อสามเหล่าทัพ
เริ่มหัวข้อโดย: หรอย ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 09:48:18 PM
ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน