เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: yod - รักในหลวง ครับ ที่ มีนาคม 30, 2013, 05:39:26 PM



หัวข้อ: โรยน้ำตาล รักษาแผล
เริ่มหัวข้อโดย: yod - รักในหลวง ครับ ที่ มีนาคม 30, 2013, 05:39:26 PM
(http://s2.uppic.mobi/image-F2F0_515656F3.jpg) (http://s2.uppic.mobi/share-F2F0_515656F3.html)

กินน้ำตาลมากไม่มีต่อสุขภาพ แต่ ใครจะเชื่อว่า
การโรยน้ำตาลใส่แผลนั้นทำให้แผลหายเร็วขึ้น


จากงานวิจัยพบว่าถ้าโรยน้ำตาลทราย(Granulated sugar)
ใส่แผลกดทับจากการนอน(Bed sores) แผลเบาหวานที่ขา(Leg ulcers)
แผลจากการตัดอวัยวะ(Amputations) ที่ยาปฏิชีวนะ และ
การรักษาแผลสมัยใหม่รักษาไม่ได้ผล พบว่าน้ำตาลสามารถ
ช่วยรักษาแผลเหล่านั้นได้

ผลการวิจัยนี้นำโดย Moses Murandu จากมหาวิทยาลัย
Wolverhampton University ผู้ซึ่งเติบโตใน
ซิมบับเว(Zimbabwe) ที่ยังจดจำได้ว่าตอนเด็กๆพ่อของเขา
จะใช้น้ำตาลรักษาแผลให้เขา

น้ำตาลที่โรยลงไปบนแผลจะดึงน้ำออกจากแผล
(แบคทีเรียนั้นต้องการน้ำในการดำรงณ์ชีพ) เมื่อน้ำในแผลน้อย
แบคทีเรียจะลดการขยายตัวและอดตาย ทำให้ลดการติดเชื้อ
และช่วยเพิ่มอัตราเร่งในการรักษาแผลให้ดีขึ้น

เมื่อนาย Moses Murandu ย้ายมาอังกฤษเขาก็พบว่า
การใช้น้ำตาลรักษาแผลนั้นไม่มีอยู่แนวการรักษาแบบ
แผนโบราณของอังกฤษ

โดยผู้ป่วยที่ใช้ในงานวิจัยรักษาด้วยน้ำตาล คือ
นายAlan Bayliss จากโรงพยาบาลMoseley Hall Hospital
ซึ่งถูกตัดขาขวาเหนือเข่าขึ้นไปการรักษาแผลแบบมาตรฐานนั้น
ใช้ไม่ได้ผล นายMoses Murandu จึงได้รับการติดต่อให้มาช่วยเหลือ

เริ่มแรกก่อนการเริ่มรักษาแผลของ อเลนนั้นลึกมากเกือบ
เท่านิ้วมือของเขาต้องใช้น้ำตาลในาการรักษาเกือบทั้งถุงต่อครั้ง
หลังการรักษาไป 2 สัปดาห์พบว่าแผลเล็กลงอย่างมาก
เหลือใช้น้ำตาลในการรักษาเพียง 4-5 ช้อนชาเท่านั้น

ผู้ป่วย 35 คนที่ได้รับการรักษาแผลด้วยน้ำตาลพบว่าแผลดีขึ้น
ไม่มีรายงานว่าเกิดผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยน้ำตาล
เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยน้ำตาล 16 ค

บางทีโลก และ โรค นี้ก็ตลกดี กินน้ำตาลมากทำให้เป็นเบาหวาน
เกิดแผลเบาหวาน แต่ แผลเบาหวานนั้นกับใช้น้ำตาลในการรักษาซะงั้น



เครดิต
http://wowboom.blogspot.com/2013/02/blog-post_15.html


หัวข้อ: Re: โรยน้ำตาล รักษาแผล
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ มีนาคม 30, 2013, 06:05:02 PM
เหลือเชื่อจริงๆ  ::002::


หัวข้อ: Re: โรยน้ำตาล รักษาแผล
เริ่มหัวข้อโดย: Jedth ที่ มีนาคม 30, 2013, 06:34:26 PM
1500 ขอบคุณครับพี่ยอด  ::014::


หัวข้อ: Re: โรยน้ำตาล รักษาแผล
เริ่มหัวข้อโดย: สหายอ๋อง เซียนปลาซิว ที่ มีนาคม 30, 2013, 07:10:21 PM
+ ๑  ข้อหาคะแนน  สวยเกิน

ขอบคุณครับ  น้ายอดฯ

 ::014:: ::014:: ::014::


หัวข้อ: Re: โรยน้ำตาล รักษาแผล
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ มีนาคม 30, 2013, 09:18:24 PM
บางทีโลก และ โรค นี้ก็ตลกดี กินน้ำตาลมากทำให้เป็นเบาหวาน
เกิดแผลเบาหวาน แต่ แผลเบาหวานนั้นกับใช้น้ำตาลในการรักษาซะงั้น


สงสัยครับ กินน้ำตาลมากทำให้เป็นเบาหวานจริงหรือครับ... นายสมชายลองค้นดูแล้วไม่เห็นมีบอกไว้เลยครับ...


หัวข้อ: Re: โรยน้ำตาล รักษาแผล
เริ่มหัวข้อโดย: yod - รักในหลวง ครับ ที่ มีนาคม 30, 2013, 09:36:51 PM
จากข้อมูลทางโภชนาการและสุขภาพ เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินควร นอกจากนำมาซึ่งปัญหาโรคอ้วนและโรคฟันผุแล้ว
การรับประทานน้ำตาลมากๆ มีอันตรายต่อสุขภาพหลายประการโดยน้ำตาลซูโครสหรือฟรุกโตส จะทำให้ระดับไขมัน กลูโคส อินซูลินและกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น
เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดและโรคเบาหวาน

“ผู้ที่ชอบกินหวานจัดบ่อยๆ จะทำให้ระบบความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายเสียไป ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายลดต่ำลง ผลที่ตามมาก็คือทำให้ติดเชื้อง่าย
นอกจากนี้ การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายบ่อยๆ ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดอนุมูลอิสระ เมื่อบริโภคเป็นเวลานานจะก่อให้ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
 อีกทั้งการรับประทานน้ำตาลซูโครสมาก ทำให้กรดอะมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตฟาน ถูกเร่งเข้าสู่สมองมากเกินไป ทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนในสมอง
ผลที่ตามมาก็คือทำให้เกิดอาการเซื่องซึม เหนื่อย ไม่กระฉับกระเฉง ซึ่งหากเป็นในเด็กจะทำให้เรียนไม่รู้เรื่องและหากเป็นวัยทำงานก็จะทำงานไม่มีประสิทธิภาพ”


โอกาสที่จะเป็น มีสูงครับ  




http://variety.teenee.com/foodforbrain/32376.html




หัวข้อ: Re: โรยน้ำตาล รักษาแผล
เริ่มหัวข้อโดย: yod - รักในหลวง ครับ ที่ มีนาคม 30, 2013, 09:40:56 PM
กินน้ำตาลมากเกินไป เป็นโทษมากกว่าประโยชน์ ความหวานบ่อเกิดโรคร้าย



ตามปกติเราควรกินน้ำตาลจากอาหารทุกอย่างรวมกันไม่เกิน 6 ช้อนชา ต่อวัน ต่อคน การที่คนเรากินน้ำตาลมากเกินต่อร่างกาย กลับส่งทำให้เกิด

ปัญหาทางสุขภาพ เช่น ฟันผุเร็ว โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะโรคเบาหวานนั้นเป็นอันตราย

มาก ทำให้ผู้ป่วยลำบากหากไม่มีการควบคุมอาหารการกินอย่างจริงจัง จะทำให้เกิดอาการหัวใจวาย ไตล้มเหลว ตาบอด เนื้อเยื่อเน่า เท้าบวม หมดสติและอาจตายได้

          "ถ้าติดหวานตั้งแต่เด็กจะทำให้เกิดโรคฟันผุ เด็กอายุต่ำสุดที่ฟันผุคือ 1 ขวบ ขณะที่ฟันซี่แรกของเด็กจะขึ้นตอนอายุ 1-9 เดือน แสดงว่าพอ

ฟันขึ้นปุ๊บก็ผุเลย ช่วงตั้งแต่ 12-18 เดือนอัตราการผุจะเพิ่มขึ้น และเราก็พบว่าเด็กไทยกินขนมคำแรกซึ่งเป็นขนมหวานตอนอายุประมาณ 9 เดือน
เพราะพ่อแม่จะเริ่มเอาขนมใส่ปากเด็ก ซึ่งเป็นขนมถุงที่ละลายได้ในปาก ไม่แข็งเกินไป จึงทำให้เด็กติดขนมและผงชูรสตั้งแต่เด็ก" จริงว่าน้ำตาลเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กเจริญอาหารมากขึ้น
แต่ก็ส่งผลให้เด็กอ้วนในไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี

           ต่อมาคือโรคเบาหวานในเด็ก ซึ่งไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์ แต่เกิดจากพฤติกรรมการบริโภคที่ผิดและรบกวนการทำงานของตับอ่อน
ซึ่งแค่ไหนแต่ไรมาโรคชนิดนี้เกิดกับ 'คนหลักสี่สิบ' คือ ผู้ใหญ่ที่อายุ 40 กว่าปีขึ้นไป แต่ตอนนี้ มีรายงานทางการแพทย์ เจอโรคเบาหวานในเด็ก 11 ขวบ และมีแนวโน้มเกิดกับเด็กอายุน้อยลงเรื่อยๆ

          "พอพ่อแม่เห็นว่าลูกโตพอที่จะอมหรือเคี้ยวอะไรได้ก็จะเอาขนมใส่ปากเด็ก น้ำตาลกับคาร์โบไฮเดรตคือแหล่งพลังงานหลักของมนุษย์ ดังนั้น
รสชาติที่พัฒนาเร็วที่สุดคือรสหวาน การที่ได้ทานขนมที่มีรสหวาน เด็กจะแสดงความพึงพอใจตามธรรมชาติ"

           ในส่วนของโรคภัยจากการบริโภคน้ำตาลที่มากเกินไป ซึ่งอาจเกิดกับผู้ใหญ่ก็รุนแรงชวน 'ขวัญเสีย' ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเบาหวาน
น้ำตาลคือสารที่ให้พลังงานโดยตรงซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที หากคนเราได้รับพลังงานที่เพียงพอแล้ว ร่างกาย ก็จะเก็บพลังงานที่ได้จากน้ำตาลในรูปของไขมัน ซึ่งทำให้อ้วนขึ้น
ดังนั้นคนที่กินหวานจะมีโอกาสอ้วนง่ายมาก

          "พออ้วนขึ้นเรื่อยๆ แล้วยังไปกินน้ำตาลเยอะๆ อีกหน่อยฮอร์โมนที่ช่วยลดน้ำตาลก็จะทำงานไม่ไหว สุดท้ายกลายเป็นโรคอ้วนและเบาหวาน จากการสำรวจคนไทยที่อายุ 15 ปีขึ้น
พบว่าร้อยละ 6.9 เป็นเบาหวาน แสดงว่าคนไทย 100 คน มี 7 คนที่เป็นเบาหวาน" ทางออกที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคที่มากับความหวาน คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร
ลดการปรุงรสให้น้อยลงกว่าที่เคย หากกิน รสจัดทั้งหวาน เค็ม เปรี้ยว โอกาสที่จะเป็นโรคต่างๆ จะยิ่งสูงขึ้น "บางคนคิดว่า ใส่เครื่องปรุงอันนั้นเยอะ ก็ต้องใส่อันนี้เยอะด้วยเพื่อกลบรสชาติ
อย่างนี้ถือว่าไม่ช่วยนะเพราะกลายเป็นว่าคุณจะได้เครื่องปรุงทุกอย่างเยอะหมด" 

          ขณะเดียวกันต้องควบคุมสัดส่วนการบริโภคไปพร้อมๆ กัน หากเป็นอาหารสำเร็จรูปอย่าง ขนมหวานต่างๆ ซึ่งเราท่านไม่มีทางรู้ว่าในขนมมีน้ำตาลมากน้อยแค่ไหน
อุปนายกสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย แนะนำทิ้งท้ายว่า ต้องอาศัยการคาดคะเนหากรู้ว่ากินน้ำตาลเกินอัตราศึกที่ควรจะกินต่อวันไปแล้ว  วันนั้นก็ไม่ควรจะกินน้ำตาลเพิ่มอีกเด็ดขาด
ขอฝากไว้ว่า "คุณกินอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น" (You are what you eat)

           อย่ามัวแต่ตั้งหน้าตั้งตากิน เช็กปริมาณน้ำตาลก่อนดีไหม จะได้ไม่ "อร่อยปากลำบากกาย" ปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มสำเร็จรูป

          - นมพร่องมันเนย UHT 250 cc น้ำตาล 2 ช้อนชา
          - โยเกิร์ตทูโทน 130 cc น้ำตาล 2 ช้อนชา
          - นมรสจืดพาสเจอร์ไรซ์ 200 cc น้ำตาล 2 ช้อนชา
          - ยาคูลท์ 80 cc น้ำตาล 3 ช้อนชา
- นมเปรี้ยวรสส้ม 120 cc น้ำตาล 3 ช้อน
          - นมเปรี้ยวรสสตรอเบอรี 120 cc น้ำตาล 3 ช้อนชา
          - เนสกาแฟ 26 กรัม น้ำตาล 3 ช้อนชา
          - ข้าวสวย 1 ทัพพี น้ำตาล 3 ช้อนชา
- กระทิงแดง 100 cc น้ำตาล 3 1/2   ช้อนชา
          - โยเกิร์ตผสมวุ้นมะพร้าว 150 กรัม น้ำตาล 4 ช้อนชา
          - นมปรุงแต่งรสช็อกโกแลต 200 cc น้ำตาล 4 ช้อนชา
          - น้ำผลไม้มาลีรสส้ม 240 cc น้ำตาล      4 1/2 ช้อนชา
          - โยเกิร์ตผสมธัญพืช 150 กรัม น้ำตาล 4 1/2 ช้อนชา
          - เป๊ปซี่ 1 ขวด 250 cc น้ำตาล 5 ช้อนชา
- นมปรุงแต่ง UHTรสช็อคโกแลต 250 cc น้ำตาล 5 ช้อนชา
          - เอ็มสปอร์ตพลัส 250 cc น้ำตาล 5 1/2 ช้อนชา
          - น้ำส้ม 15% ผสมบุก 180 กรัม น้ำตาล 5 1/2 ช้อนชา
          - โค้กกระป๋อง 325 cc น้ำตาล 6 ช้อนชา
- สปอนเซอร์ 325 cc น้ำตาล 6 1/2 ช้อนชา
          - เป๊ปซี่กระป๋อง 325 cc น้ำตาล 7 ช้อนชา
- น้ำส้ม 25 % ผสมวุ้นมะพร้าว 400 cc น้ำตาล 7 ช้อนชา
          - สไปรท์ 325 cc น้ำตาล 7 ช้อนชา
- แฟนต้าส้มกระป๋อง 325 cc น้ำตาล 7 1/2 ช้อนชา
          - แฟนต้าสตรอเบอรี 1 กระป๋อง 325 cc น้ำตาล 8 ช้อนชา
          - โออิชิแบล็กที 500 cc น้ำตาล 12 1/2 ช้อนชา

ดังนั้นผู้ที่ชอบกินหวาน หรือกินน้ำตาลมากเกินไปควรลดการบริโภคน้ำตาลให้น้อยลง โดยเฉพาะน้ำตาลที่แฝงมาในรูปของอาหาร
ควรจะหันมากินน้ำตาลธรรมชาติที่มีอยู่ในผลไม้ต่างๆให้มากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากโรคต่างๆเหล่านี้


หัวข้อ: Re: โรยน้ำตาล รักษาแผล
เริ่มหัวข้อโดย: konklong ที่ มีนาคม 30, 2013, 09:54:43 PM
 +๑ ก่อนครับ  ขอบคุณข้อมูลดีๆมีประโยชน์มาก

- นมรสจืดพาสเจอร์ไรซ์ 200 cc น้ำตาล 2 ช้อนชา

ขนาดชื่อว่านมรสจืดยังแฝงน้ำตาลไว้เยอะนะครับ


หัวข้อ: Re: โรยน้ำตาล รักษาแผล
เริ่มหัวข้อโดย: ราษฎร์หน้า เส้นหมี่ ที่ มีนาคม 30, 2013, 11:08:33 PM
เกี่ยวกับของหวานรักษาแผลนี่ เคยได้อ่านเรื่องเอาน้ำผึ้งทาแผลเพื่อรักษาแผลมานานแล้วครับ

น้ำผึ้งจะมีสารฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ผึ้งผลิตไว้รักษารังด้วย ทาแผลก็ช่วยทั้งรักษาและป้องกันติดเชื้อได้ อ่านจากหนังสือสมุนไพร หรือภูมิปัญญา อะไรทำนองนี้จำชื่อเล่มและผู้แต่งไม่ได้ครับ


หัวข้อ: Re: โรยน้ำตาล รักษาแผล
เริ่มหัวข้อโดย: ~ Sitthipong - รักในหลวง ~ ที่ มีนาคม 30, 2013, 11:16:43 PM
น้ำผึงรวงแท้  ใช้ทาแผลได้ครับ  หายเร็วด้วย   ;D


หัวข้อ: Re: โรยน้ำตาล รักษาแผล
เริ่มหัวข้อโดย: babygun ที่ มีนาคม 31, 2013, 12:15:15 AM
กระผมยืนยันอีก 1 เสียงครับ ว่า ทานของหวานมากๆ เสี่ยงเป็นเบาหวานแน่นอนครับ ::014:: ::014:: ::014::


หัวข้อ: Re: โรยน้ำตาล รักษาแผล
เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ มีนาคม 31, 2013, 12:50:08 AM
ขอบคุณครับ...


หัวข้อ: Re: โรยน้ำตาล รักษาแผล
เริ่มหัวข้อโดย: สหายอ๋อง เซียนปลาซิว ที่ มีนาคม 31, 2013, 08:32:12 AM
น้ำผึงรวงแท้  ใช้ทาแผลได้ครับ  หายเร็วด้วย   ;D

น้ำผึ้งแท้ใส่ตา  เวลาเจ็บตาหรือตาเป็นแผล  ได้ผลชงัดนัก


หัวข้อ: Re: โรยน้ำตาล รักษาแผล
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ มีนาคม 31, 2013, 09:59:56 AM
จากข้อมูลทางโภชนาการและสุขภาพ เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินควร นอกจากนำมาซึ่งปัญหาโรคอ้วนและโรคฟันผุแล้ว
การรับประทานน้ำตาลมากๆ มีอันตรายต่อสุขภาพหลายประการโดยน้ำตาลซูโครสหรือฟรุกโตส จะทำให้ระดับไขมัน กลูโคส อินซูลินและกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น
เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดและโรคเบาหวาน

“ผู้ที่ชอบกินหวานจัดบ่อยๆ จะทำให้ระบบความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายเสียไป ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายลดต่ำลง ผลที่ตามมาก็คือทำให้ติดเชื้อง่าย
นอกจากนี้ การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายบ่อยๆ ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดอนุมูลอิสระ เมื่อบริโภคเป็นเวลานานจะก่อให้ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
 อีกทั้งการรับประทานน้ำตาลซูโครสมาก ทำให้กรดอะมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตฟาน ถูกเร่งเข้าสู่สมองมากเกินไป ทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนในสมอง
ผลที่ตามมาก็คือทำให้เกิดอาการเซื่องซึม เหนื่อย ไม่กระฉับกระเฉง ซึ่งหากเป็นในเด็กจะทำให้เรียนไม่รู้เรื่องและหากเป็นวัยทำงานก็จะทำงานไม่มีประสิทธิภาพ”

โอกาสที่จะเป็น มีสูงครับ...  http://variety.teenee.com/foodforbrain/32376.html

โอ้... ขอบคุณน้ายอดครับ... เย้...


หัวข้อ: Re: โรยน้ำตาล รักษาแผล
เริ่มหัวข้อโดย: chonthai-รักในหลวง ที่ มีนาคม 31, 2013, 11:08:24 AM
+1 ครับเป็นเรื่องจริงที่น้ำตาลทรายใช้รักษาแผลได้ และยังใช้ห้ามเลือดได้ด้วย


หัวข้อ: Re: โรยน้ำตาล รักษาแผล
เริ่มหัวข้อโดย: เด่นพงษ์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 02, 2013, 07:47:11 PM
เคยเห็นภาพจีไอตัดหัวเวียดกงแช่น้ำผึ้งกันเน่าในภาพบรรยายว่าอยู่ได้นานเป้นเดือน

น้ำตาลทรายเป้นยุทธปัจจัย..ใช้ห้ามเลือด+รักษาแผล..?


หัวข้อ: Re: โรยน้ำตาล รักษาแผล
เริ่มหัวข้อโดย: soveat ชุมไพร ที่ เมษายน 03, 2013, 10:40:49 AM
น้ำผึ้งเป็นยารักษาแผลตั้งกะสมัยก่อนฟาโรห์ซะอีก  :D


หัวข้อ: Re: โรยน้ำตาล รักษาแผล
เริ่มหัวข้อโดย: bigbang ที่ เมษายน 03, 2013, 11:29:43 AM
ขอบคุณครับ  เคยได้ยิน แต่ผงชูรส ห้ามเลือด
แต่ไม่รู้ว่าน้ำตาลก็ช่วยรักษาแผลด้วยครับ