เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: narongt ที่ สิงหาคม 11, 2006, 02:55:21 PM



หัวข้อ: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 11, 2006, 02:55:21 PM
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
>>>๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ<<< (http://www.gunsandgames.com/smf/index.php/topic,19092.0.html)

>>>ลัทธิล่าอาณานิคม มหันตภัยของไทยทั้งชาติ<<< (http://www.gunsandgames.com/smf/index.php/topic,19847.0.html)

ปฏิบัติการสารสนเทศ หรือ ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือ Information Operations หรือ IO

เราจะสามารถต่อต้านหรือเอาชนะประเทศมหาอำนาจ ด้วยทรัพยากรที่น้อยที่สุดก็สามารถกระทำได้
จากการทำสงครามสารสนเทศ (ทำลายความชอบธรรม เสนอให้ต่างชาติอื่นมองเห็นผลประโยชน์ที่ตนจะได้รับ
หรือสูญเสียจาการสนับสนุนหรือไม่สนับสนุน

ความคงอยู่ของอำนาจรัฐของไทย คล้ายๆ กรณี ร.๔ ที่อังกฤษกับฝรั่งเศสคิดทำสนธิสัญญาแบ่งไทย
ด้วยแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ ร.๔ ทรงทราบเจตนารมย์ จึงทรงทำสงครามสารสนเทศ กับมหาอำนาจทั้งสอง
แจ้งเจตนารมย์ให้มหาอำนาจอื่นๆ ที่มีอำนาจทัดเทียมกัน เพราะยุคนั้นเป็นยุคล่าอาณานิคมสมัยเก่า
ที่มีมหาอำนาจหลายประเทศ เมื่อมหาอำนาจชาติอื่นๆ เห็นว่าตนกำลังจะสูญเสียผลประโยชน์ที่ตนเองควรจะ
หรืออาจจะได้รับจากการสนับสนุนให้ผู้ปกครอง ผู้ถืออำนาจรัฐของไทยก็จะสนับสนุนไทยต่อต้านอำนาจรัฐอื่นๆ
ที่กระทบผลประโยชน์ของตนเอง ส่งผลให้สนธิสัญญาดังกล่าวระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ไม่ถูกประกาศใช้

เมื่อถึงรัชสมัย ร.๕ ก็ทรงดำเนินนโยบายคล้ายญี่ปุ่นคือ ยอมรับความทันสมัย ทรงปรับปรุงการปกครอง การทหาร
ยอมสูญเสียส่วนน้อยรักษาส่วนใหญ่ สร้างอำนาจต่อรองจากการ Balance of power ดึงมหาอำนาจอื่นมาคานอำนาจ
จนสามารถนำประเทศไทยเป็นเอกราชมาได้ คล้ายกับญี่ปุ่น ที่จักรพรรดิ์ยอมรับอำนาจ โชกุนมอบอำนาจให้จักรพรรดิ์
จนสามารถปรับปรุงพลังอำนาจแห่งชาติของญี่ปุ่น จนทัดเที่ยมมหาอำนาจตะวันตก จนเป็นที่ยอมรับเป็นมหาอำนาจ
ผิวเหลืองหนึ่งเดียวในสมัยนั้น ผิดกับจักรพรรดิ์จีน หลงว่าตนเหนือกว่าตะวันตก ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงในที่สุด
เจออังกฤษบ่อนทำลายสังคมด้วยยาเสพติด จนในที่สุดอ่อนแอ ราชวงล่มสลาย กลายเป็นประเทศที่อ่อนแอถูกแบ่ง

ดังนั้นผมจึงมองว่าสงครามสารสนเทศเป็นปัจจัยสำคัญต่อความอยู่รอดของไทยในอดีต และคนโบรานความคิดด้านนี้
ไม่โบราณ เราซึ่งเป็นลูกหลานจะประยุคใช้ประโยชน์จากการทำสงครามสารสนเทศ ให้ประสบผลสำเร็จเยี่ยง
นักยุทธศาสตร์ในอดีตอย่างมีประสิทธิภาพ จนก่อให้เกิดประสิทธิผลต่อประเทศชาติของเราได้อย่างไร ?


การทำสงครามข้อมูลข่าวสารที่มองเห็นจากสภาพการเมืองในปัจจุบันก็คือ มหาอำนาจพยายามสร้างความแตกแยก
ให้สังคมไทย ของคนระดับล่าง ทะเลาะกับระดับกลาง และบน จากสงครามสารสนเทศ สร้างขั้ว แต่ละขั้ว
ซึ่งก็เป็นพวกของมหาอำนาจทั้งนั้น ให้ประชาชนแต่ละระดับมาจับขั้วทั้งสอง สร้างความแตกแยกแบบม็อบชนม็อบ
จากการปั่นสถานการณ์ การกระทบสถาบันหลัก ม็อบคนระดับล่าง ได้รับความอุ้มชูจากประชานิยม ก็จะไม่พอใจ
กลุ่มที่ขับไล่รัฐบาลที่สนับสนุนนโยบายดังกล่าว ก็จะสนับสนุนความคงอยู่ของรัฐบาล ม็อบคนระดับกลางบน
ก็พยายามไล่รัฐบาล ผลสุดท้ายปะทะกันประเทศชาติขาดสามัคคี แตกสลาย ง่ายในการปกครอง ก็สร้างสถานการณ์
สร้างวีระบุรุษขึ้นมาปกครองอีกที เป็นการเปลี่ยนเพียงหมากแตคนคุมเกมสคือมหาอำนาจ นี่คือการทำสงครามสารสนเทศ
ในระดับยุทธศาสตร์แบบเต็มรูปแบบ ไม่ใช่ตามที่กองทัพสหรัฐบัญญัติไว้ แต่ผลที่ออกมากว้างขวางกว่ามาก เราเป็นทหาร
ควรรู้เท่าทันว่าเขาเล่นอะไรกันอยู่ เหตุการณ์นี้ไทยมีความสำคัญในระดับยุทธศาสตร์โลก ในการใช้ไทยลดต้นทุนการผลิต
ด้าน Logistic ดังนั้นสถานการณ์ขณะนี้เหมือนสมัย ร.๔ ที่เราจะ Balance of power ได้อย่างไร เพราะมหาอำนาจกลุ่มอื่นๆ
คงไม่ยอมสูญเสียผลประโยชน์ในไทยอย่างแน่นอน ทำอย่างไรเราจึงสามารถ หาผู้นำที่มีวิสัยทรรศน์เยี่ยงเดี่ยวกับ ร.๔ หรือ
จักรพรรดิ์ของญี่ปุ่นได้ในสถานการณ์ขณะนี้ ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดของชาติไทย ?


กลุ่มที่ทะเลาะสร้างความแตกแยกในชาติ เป็นเพียงหมากรุกตัวหนึ่งที่ชาติมหาอำนาจเป็นผู้เดินเกมส์ สร้างความปั่นป่วน
ทะเลาะเบาะแว้งของสังคมไทย เพื่อแบ่งแยกให้ง่ายในการปกครอง หลังจากทำลายสถาบันทหารด้วยเหตุการณ์ พ.ค.ทมิฬ
แยกทหารกับประชาชน ล้มดาบอาญาสิทธิ กฏหมายการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ สถาบันตำรวจด้วยกฏหมายต่ำกว่า
กฏหมายตั้งกรมตำรวจ และสลายอำนาจข้าราชการปกครอง เพราะสถาบันทหาร ตำรวจ และข้าราชการปกครอง
มีหน้าที่ดูแลสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะถ้ามุ่งเน้นที่สถาบันกษัตริย์ ซึ่งค้ำจุนศาสนา ซึ่งในที่สุด สังคมไทย
จะแตกสามัคคี เจตคติความภูมิใจในความเป็นชาติก้จะหมดไป หมากรุกที่เขาคุมเกมส์อยู่ก็จะถุกชักใยขึ้นมามีอำนาจ
ตามสถานการณ์ที่เขาสร้างขึ้น เป็นการเปลี่ยนเพียงหมาก แต่คนคุมเกมส์ไม่เปลี่ยน แต่ชาติไทยอาจถูกแบ่ง โดยง่ายดาย
เพราะขาดสามัคคี จากการทำลายสถาบันหลักของเราในที่สุด

ระวังการเบี่ยงเบนประเด็น ในนโยบายประชานิยม ที่ตอนนี้ฮิตใช้กันทั่วไปในสังคมโลก ไม่ว่าเอเชีย ลาติน ฯลฯ
หากนโยบายนี้เป็นแผนที่ถูกใช้เพื่อสร้างความแตกแยกของสังคมประเทศ มันจะมีความสำคัญเกินกว่าความมั่นคงได้อย่างไร?

ศัตรูตัวฉกาจของระบบโครงสร้างทางอำนาจในการดูดซับทรัพยากรเข้าสู่ประเทศศูนย์กลางระบบผ่านทางค่าเงินดอลลาร์
(เงินกงเต็ก ไม่มีอะไรค้ำประกันนอกจากความมั่นคงของประเทศ แค่อเมริกาทำให้ตนเองดูมั่นคง เงินดอลลาร์ที่ทุกประเทศ
ใช้กันก็จะส่งผลประโยชน์กลับไปสู่ประเทศศูนย์กลางระบบอยู่ได้) แต่ประเทศใดใช้วิธีการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า
มันจะกระทบระบบ เหมือนอเมริกาพยายามเปลี่ยนผู้นำลาตินที่มีนโยบายผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า
สนับสนุนการปฏิวัติของกลุ่มไม่ว่าลัทธิอุดมการณ์ใดเพื่อส่งผู้นำหุ่นเชิดปกครองแทน ระบบเศรษฐกิจพอเพียงจึงเป็นระบบ
ที่คัดง้างอำนาจของระบบโครงสร้างทางอำนาจดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเขาต้องหาทางกำจัด ไม่เช่นนั้น
เมื่อมันเวิร์ค ประเทศอื่นๆ จะเอาเยี่ยงอย่าง และนั่นก็จะกระทบกับระบบโครงสร้างทางอำนาจในการดูดซับทรัพยากร
เข้าสู่ประเทศศูนย์กลางระบบผ่านทางค่าเงินดอลลาร์ บ่อนทำลายอำนาจต่อรองอเมริกาในที่สุด

History repeats itself
เหตุการณ์มันย้อนกลับอีกครั้ง เพราะมหาอำนาจมักใช้วิธีการแยกขั้วให้ทะเลาะกันเอง ในอดีตก็สงครามโลกครั้งที่ ๑
สร้างสถานการณ์ลอบปลงพระชนต์ ยุโรปแยกขั้วทำสงครามผลคือยุโรปอ่อนแอ อเมริกากลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ

สร้างความแตกแยกจากการสร้างสถานการณ์เทขายหุ้นในปี ค.ศ.1929 ส่งผลให้ประเทศต่างๆ วิตกกังวลกับ
การผลิตล้นเกิน จึงแก้ไขปัญหาตามขีดความสามารถตน พวกมีอาณานิคมก็จับกลุ่มกันกีดกันการค้า ญี่ปุ่น ไทย
เป็นเผด็จการทหาร อเมริกาให้เยอรมันกู้ผลิตสินค้าแข่งขันกับประเทศอุตสาหกรรมเก่า จนกลุ่มที่มีอาณานิคม
ประเทศอุตสาหกรรมเก่ากีดกันทางการค้าขายสินค้าไม่ได้ แต่เยอรมันก็ได้รับเงินกู้ต่อไป แต่ฮิตเลอร์นำไปพัฒนา
พลังอำนาจทางทหารจนเกิด Military balance จนเกิดแบ่งข้างทำสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในที่สุด
สุดท้ายยุโรปอ่อนแอ อเมริกาเป็นมหาอำนาจแบบเบ็ดเสร็จแทนที่ยุโรปในที่สุด

จะเห็นว่าวิธีการยุแหย่แยกขั้วให้ทะเลาะกันเอง แล้วอเมริกานั่งบนภูดูเสือกัดกัน
เป็นวิธีการแบบเดิมๆ ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเกินที่พวกเราจะมองเห็นได้

การแทรกแซงกับสถานการณ์ระดับโลกกับภายในประเทศแปรเปลี่ยนไปตามปัจจัยของประเทศนั้นๆ เท่านั้นเอง

14 ต.ค. ยุคโหยหาประชาธิปไตย หาพวกจากการปล่อยข่าวทฤษฏีโดมิโน่

6 ต.ค. แยกขั้วขวา กับซ้าย ให้ทะเลาะกัน คนเดินเกมส์หน้าเดิม มหา สมัคร ไล่ฝ่ายซ้ายไปอยู่ป่า

หลังจากนั้นก็ให้ประธาน กับรองประธานสภาเปรสซิเดี่ยม ออก 66/23 ให้ออกจากป่า
พวกออกจากป่า บางพวกเป็น NGO นักวิชาการ นักการเมือง ที่มีบทบาทในปัจจุบัน

พ.ค.ทมิฬ แยกขั้วทหารกับประชาชน ก็คนกลุ่มเดิมอีกเป็นคนเดินเกมส์

สถานการณ์ปัจจุบันก็คนกลุ่มเดิมอีก

สรุปก็พวกสปายของมหาอำนาจทั้งนั้น สังเกตุให้ดี

http://www.do.rtaf.mi.th/Webboard/answer.asp?id=428&VIEW=151 (http://www.do.rtaf.mi.th/Webboard/answer.asp?id=428&VIEW=151)


หัวข้อ: เจาะประวัติ "ซีไอเอ"
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 11, 2006, 02:57:48 PM
เจาะประวัติ "ซีไอเอ"

คัดลอกมาจากหนังสือ "ร้ายสาระ" โดย ศิลป์ อิศเรศ

เรื่องราวลึกลับต่างๆ ที่เราได้ยินมาได้ฟังมา มักจะมีการกล่าวอ้างว่ามีหน่วยสืบราชการลับ
หน่วยงานหนึ่งของรัฐบาลสหรัฐเข้ามาพัวพันเสมอๆ และหน่วยงานนั้นก็คือ ซีไอเอ วันนี้
เราจะมาทำความรู้จักกันว่า พวกเขาเป็นใครกัน

ก่อนจะมาเป็น ซีไอเอ (Central Intelligence Agency)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/e/e1/CIA_New_HQ_Entrance.jpg/300px-CIA_New_HQ_Entrance.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Cia)

(https://www.cia.gov/graphics/cianew3.jpg) (https://www.cia.gov)

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี รูสเวลท์ (FRANKLIN D. ROOSEVELT)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/b/b8/FDR_in_1933.jpg/200px-FDR_in_1933.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Franklin_D._Roosevelt)
ได้มีดำริที่จะก่อตั้งหน่วยสืบราชการลับขึ้นเขาจึงได้สั่งให้ทนายชาวนิวยอร์ก
วิลเลี่ยม เจ โดโนแวน (WILLIAM J. DONAVAN)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/f/f8/William_Donovan.jpg/180px-William_Donovan.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/William_J._Donovan)
เขียนร่างแบบโครงสร้างของหน่วยสืบราชการลับขึ้น

เมื่อรูปแบบขององค์กรได้รับการอนุมัติ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1942
สำนักงานยุทธศาสตร์ หรือ The Office of Strategic Services (OSS) ก็ได้ถูกก่อตั้งขึ้น
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/4/42/OSS_seal.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Office_of_Strategic_Services)
โดยมีหน้าที่หลักในการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อใช้ในราชการทหาร โดยรับคำสั่งจาก
คณะเสนาธิการร่วม (the Joint Chiefs of Staff)

โอเอสเอส เป็นหน่วยงานอิสระที่ไม่ขึ้นกับใคร ในช่วงที่เกิดวิกฤติสงคราม โอเอสเอส ได้มีอิทธิพลอย่างมาก
ต่อการตัดสินใจของกองทัพ แต่ถึงกระนั้น โอเอสเอส ก็ใช่ว่าจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จในด้านงานสืบราชการลับ
ระหว่างประเทศ เพราะในช่วงทศวรรษที่ 1930 นั้น หน่วยงานที่ทำหน้าที่รับผิดชอบในงานสืบราชการลับ
ในพื้นที่กลุ่มประเทศลาตินอเมริกาก็คือ เอฟบีไอ (FBI)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/18/J_edgar_hoover_bldg.jpg/225px-J_edgar_hoover_bldg.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/FBI)

(http://www.fbi.gov/headlines/95annh.jpg) (http://www.fbi.gov)

ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1945 หน่วยงาน โอเอสเอส ก็ถูกปิด อาจจะเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้จบสิ้นลง
จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ โอเอสเอส อีกต่อไป ภารกิจและเอกสารต่างๆ ถูกส่งมอบต่อให้กับกระทรวงต่างประเทศ
แต่อย่างไรก็ตามกองทัพยังมีความต้องการ การใช้งานสืบราชการลับหลังวิกฤติสงคราม 11 เดือนต่อมา
พลตรี วิลเลี่ยม จึงได้ทำหนังสือถึงประธานาธิบดี แฟรงกลิน เพื่อขอให้มีการจัดตั้งหน่วยสืบราชการลับขึ้นมาใหม่

หน่วยงานที่ถูกก่อตั้งใหม่ครั้งนี้จะไม่รับคำสั่งจากคณะเสนาธิการร่วม แต่จะขึ้นตรงกับประธานาธิบดี อีกทั้งหน่วยงานนี้
จะปฏิบัติหน้าที่ทั้งราชการลับและเปิดเผย ข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากหน่วยงานนี้จะถูกนำไปใช้ในหน่วยงานราชการทุกที่
ที่มีความต้องการไม่จำกัดเฉพาะงานราชการทางการทหาร

ดังนั้น หน่วยงานใหม่ที่จะเกิดขึ้นจึงต้องประสานงานกับหน่วยงานราชการทุกหน่วยงาน เสมือนหนึ่งเป็นขุมกำลังหรือ
ศูนย์กลางของหน่วยงานราชการของสหรัฐ พลตรี วิลเลี่ยม ยังได้เสนอให้หน่วยงานใหม่นี้มีอำนาจในการเข้าแทรกแซง
กิจการภายในของประเทศต่างๆ ด้วย

กองทัพสหรัฐ คัดค้านการก่อตั้งหน่วยงานนี้ทันที ส่วนกระทรวงต่างประเทศก็ค้านอย่างนุ่มนวลว่า สงครามได้สงบลงแล้ว
การเข้าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นอาจทำลายความสัมพันธ์อันดีกับประเทศพันธมิตร และทุกวันนี้ เอฟบีไอ
ก็ทำหน้าที่ในการเป็นแหล่งข่าวกรองให้กับกองทัพได้อย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว

แต่ก็ยังพอจะมีคนที่เห็นด้วยกับความคิดของ พลตรี วิลเลี่ยม ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1946
ประธานาธิบดี แฮร์รี่ เอส ทรูแมน (Harry S. Truman)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/0/00/Harry-s-truman-58-766-09.jpg/200px-Harry-s-truman-58-766-09.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Harry_S._Truman)
ได้อนุมัติให้ก่อตั้ง ศูนย์กลางหน่วยสืบราชการลับ (the Central Intelligence Group - CIG) โดยมีหน้าที่เข้าเสริมและ
ช่วยเหลืองานหน่วยสืบราชการลับที่มีอยู่ของราชการแค่นั้นไม่ใช่เข้ามามีบทบาทอย่างเต็มตัว ทั้งนี้งานทั้งหมดอยู่ภายใต้
การควบคุมขององค์การสืบราชการลับแห่งชาติ (National Intelligence Authority)

ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป้นผู้อำนวยการ ซีไอจี คนแรกคือ พลเรือตรี ซิดนีย์ โซเออร์ (Rear Admiral Sidney Souers) (http://en.wikipedia.org/wiki/Sidney_Souers)
อดีตผู้ช่วยเสนาธิการทหารเรือเพียงแค่ 20 เดือนต่อมา องค์การสืบราชการลับแห่งชาติ และภารกิจทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งรวมถึง ซีไอจี ก็ถูกยกเลิก

ในที่สุด ซีไอเอ ก็เกิด
ภายใต้ข้อกำหนดของ นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ 1947 (http://en.wikipedia.org/wiki/National_Security_Act_of_1947) หน่วยงาน 2 หน่วยงานก็ถูกจัดตั้งขึ้นในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1947
หน่วยงานแรกคือ สภาองคมนตรีรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (The National Security Council - NSC) (http://en.wikipedia.org/wiki/United_States_National_Security_Council) และคงไม่ต้องเดาให้เสียเวลา
หน่วยงานที่สองคือ องค์การสืบราชการลับหรือที่บางคนเรียกว่า หน่วยข่าวกรองกลาง (Central Intelligence Agency - CIA)

ซีไอเอ ได้จัดตั้งขึ้นโดยอาศัยแบบโครงร่างของหน่วยสืบราชการลับที่ พลตรี วิลเลี่ยม ได้ร่างขึ้น เอ็นเอสซี จะมอบหมาย
งาน "เฉพาะกิจ" ที่เกินขอบเขตอำนาจของตำรวจ และหน่วยป้องกันภัยแห่งชาติให้แก่ ซีไอเอ เป็นผู้สะสาง

ในปี ค.ศ. 1949 ซีไอเอ ได้รับอนุมัติให้ใช้งบประมาณแผ่นดินส่วนหนึ่งได้ถูกกันไว้ให้กับ ซีไอเอ โดยเฉพาะ
ซึ่งเป็นงบราชการลับโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนตามปรกติ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการสืบสาวไปถึงภารกิจ
ที่เป็นความลับของ ซีไอเอ อีกทั้งยังเป็นการปกป้องตัว ซีไอเอ จากการถูกสืบสาวไปถึงตัวองค์กร
โครงสร้างขององค์กร เจ้าหน้าที่ ขนาดขององค์กร และข้อมูลทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง

เดิมที ซีไอเอ อยู่ใต้การบังคับบัญชาของ สภาสามัญของหน่วยสืบราชการลับที่ชื่อ
Deputy Director of the Central Intelligence Agency (DDCIA) (http://en.wikipedia.org/wiki/CIA_Deputy_Director) จนกระทั่งปี ค.ศ. 1953
ก็มีการแต่งตั้งผู้อำนวยการ ซีไอเอ ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งก็คือ
พลเอก วอลเตอร์ บีเดลล์ สมิทธ์ (General Walter Bedell "Beetle" Smith)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/83/Ambassador_Walter_Bedell_Smith.jpg/180px-Ambassador_Walter_Bedell_Smith.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Walter_Bedell_Smith)
สภานิติบัญญัติได้เริ่มมองเห็นความสำคัญ และความยิ่งใหญ่ของตำแหน่งผู้อำนวยการ ซีไอเอ ดังนั้น
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1953 พวกเขาจึงได้เปลี่ยนแปลงข้อกำหนดของนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ 1947
โดยให้ภารกิจของ ซีไอเอ ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดี ซึ่งทั้งนี้คำสั่งต่างๆ ที่จะส่งไปยัง ซีไอเอ
จะต้องผ่านความเห็นชอบของสภาสูงเสียก่อน

ซีไอเอ พระเอกหรือผู้ร้าย
ซีไอเอ ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับคดีอื้อฉาวมากมายนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมา เช่นถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สร้างพื้นที่ 51
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/e/ef/Area_51_28_August_1968_6.jpg/180px-Area_51_28_August_1968_6.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Area_51)
ขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานีทดลองเครื่องบินล่องหน (Stealth aircraft)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/c/c9/Side_View_B2.jpg/180px-Side_View_B2.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Stealth_aircraft)
และกลายเป็นสถานีทดลองเทคโนโลยีมนุษย์ต่างดาวในที่สุด

ปี ค.ศ. 1953 ผอ. อัลเลน ดูลเลส (Allen Welsh Dulles)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/6/64/Allen_w_dulles.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Allen_Dulles)
สั่งให้มีการทดลองการควบคุมจิตใจมนุษย์ Mind control (http://en.wikipedia.org/wiki/Mind_control) ภายใต้ชื่อการทดลอง MKULTRA (http://en.wikipedia.org/wiki/Project_MKULTRA)
ซึ่งการทดลองนี้ได้ผลาญงบประมาณแผ่นดินไปหลายล้านเหรียญทีเดียว ในปี ค.ศ. 1960 ซีไอเอ
ได้อยู่เบื้องหลัง การลอบสังหารผู้นำคณะปฏิวัติของคิวบา คือนาย ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/b/bc/Fidelcastro1978.jpg/275px-Fidelcastro1978.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Fidel_Castro)

วันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1961 (http://en.wikipedia.org/wiki/Bay_of_Pigs_Invasion) ซีไอเอ ส่งพลร่ม 1,300 นาย ไปปฏิบัติภารกิจในคิวบา ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ
ปี ค.ศ. 1962 ซีไอเอ พัวพันกับการลอบติดกล้องจารกรรมในเครื่องถ่ายเอกสารยี่ห้อดัง
ที่ถูกใช้ในสถานทูตรัสเซียประจำกรุงวอชิงตัน

ในสงครามเวียดนาม ซีไอเอ ได้ใช้สงครามจิตวิทยา (http://en.wikipedia.org/wiki/Phoenix_Program) สร้างความรุนแรงเพื่อให้ประชาชนต่อต้านพวกเวียดกงมีรายงานว่า
มีผู้ตกเป็นเหยื่อถูกฆาตกรรมถึง 20,000 คน แต่ก็มีแหล่งข่าวบางแห่งแย้งว่ายอดของเหยื่อน่าจะสูงถึง 40,000 คน

ปี ค.ศ. 1995 ซีไอเอ ริเริ่มโครงการสายลับพลังจิตภายใต้ชื่อ โครงการสตาร์เกต (http://en.wikipedia.org/wiki/Project_Star_Gate) โดยมีจุดประสงค์ที่จะ
ทำการจารกรรมระยะไกล เช่น การสืบหาแหล่งที่ซ่อนใต้ดินของข้าศึกหรือสถานที่กักกันเชลย

นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างส่วนหนึ่งของเรื่องราวอื้อฉาวที่ ซีไอเอ มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง ในอันที่จริงแล้ว
เราจะได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ที่ยังเป็นปริศนามากกว่าร้อยเรื่อง จนเมื่อวันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1996
ได้มีการเดินขบวนประท้วง ซีไอเอ ที่ลอสแองเจลิส เพื่อขอให้ ซีไอเอ ยุติภารกิจต่างๆ


หัวข้อ: Re: สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน เกี่ยวเนื่องกับสงครามสารสนเทศอย่างไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ สิงหาคม 11, 2006, 04:13:56 PM
เอาเรื่อง IO ไม่ใช่เรื่องที่แลงลี่ย์นะครับ... นายสมชายเชื่อเรื่อง IO เพราะเรียนด้านนี้มา...

แต่การตีความใช้ฯ ตามข้างบนมีหลายประเด็นต้องแยกเรื่องนะครับ... แฮ่ๆ


หัวข้อ: Re: สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน เกี่ยวเนื่องกับสงครามสารสนเทศอย่างไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 11, 2006, 11:33:49 PM
เอาเรื่อง IO ไม่ใช่เรื่องที่แลงลี่ย์นะครับ... นายสมชายเชื่อเรื่อง IO เพราะเรียนด้านนี้มา...

แต่การตีความใช้ฯ ตามข้างบนมีหลายประเด็นต้องแยกเรื่องนะครับ... แฮ่ๆ
เพราะหน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานที่เอา IO มาใช้มากที่สุดครับเลยต้องบอกที่มาที่ไปของหน่วยงานก่อน
และอีกอย่างผมคัดลอกมาจากหนังสือเกือบทุกตัว ยกเว้นคำผิดถึงจะแก้ไขครับ

ลืมบอกไปครับ ถ้าต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติมให้คลิ๊กที่ภาพหรือข้อความ จะลิงค์ไปที่ WIKIPEDIA


หัวข้อ: บันทึกลับรายงานจานบิน
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 11, 2006, 11:36:25 PM
บันทึกลับรายงานจานบิน

มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่า ในช่วงต้นๆ ของการสำรวจวัตถุบินลึกลับ ซีไอเอ ได้ทำรายงานการสำรวจปลอมขึ้น
เพื่อปกปิดปฏิบัติการลับของพวกเขาต่อสาธารณชน หรือว่าวัตถุบินลึกลับที่ชาวบ้านเห็นบินอยู่บนท้องฟ้า
ในช่วงทศวรรษที่ 1950 แท้ที่จริงแล้วก็คือ เครื่องบินล่องหนลำแรกของโลก U2 ?
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/95/Usaf.u2.750pix.jpg/300px-Usaf.u2.750pix.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Lockheed_U-2)

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบสิ้นลงราวปลายทศวรรษที่ 1950 หลายประเทศทั่วโลกก็ตกอยู่ในสภาวการณ์
"สงครามเย็น" (Cold War) (http://en.wikipedia.org/wiki/Cold_war) ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐหลายคนเชื่อกันว่า
ปรากฏการณ์วัตถุบินลึกลับ (UFO phenomenon) ที่พบเห็นบ่อยครั้งในช่วงนี้ เกิดจากการข่มขู่ของพวกมนุษย์ต่างดาว
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/6/65/Tb_alien.jpg/180px-Tb_alien.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Abduction_phenomenon)

พบจานบินครั้งแรก

รายงานการพบเห็นวัตถุบินลึกลับเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 1947 เมื่อเคนเนท อาร์โนลด์ (Kenneth A. Arnold)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/d/d5/Arnold_crescent_1947.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Kenneth_Arnold)
นักธุรกิจและนักบินเครื่องบินส่วนตัวกำลังบินอยู่เหนือเทือกเขาเรนเนียร์ (Mount Rainier)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/6/68/Mount_Rainier_7431.JPG/300px-Mount_Rainier_7431.JPG) (http://en.wikipedia.org/wiki/Mount_Rainier)
รัฐวอชิงตัน
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/f/f9/Mount-rainier-over-tacoma.jpg/180px-Mount-rainier-over-tacoma.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Washington)
ขณะนั้นเขากำลังบินอยู่ที่ระดับความสูง 9,000 ฟุต เมื่อเขามองต่ำลงมาก็พบว่า
มีวัตถุลึกลับคล้ายจานจำนวน 9 ลำ บินอยู่เบื้องล่าง

จากนั้นมาก็เริ่มมีรายงานการพบเห็นวัตถุบินลึกลับทั้งจากนักบินกองทัพอากาศ นักบินพาณิชย์
และเจ้าหน้าที่ศูนย์ควบคุมการบินทั่วสหรัฐ พลอากาศเอก นาธาน ทวินิง (General Nathan F. Twining)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/b/b6/Twining_JCS.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Nathan_Twining)
หัวหน้าศูนย์บริการเทคนิคการบินจึงได้เริ่ม "โครงการจานบิน" (Project Saucer) ขึ้นในปี ค.ศ. 1948
โครงการนี้มีหน้าที่ในการรวบรวม ตรวจสอบ วัดผล และสรุปข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์วัตถุบินลึกลับ
เพื่อใช้เป็นหลักฐานพิสูจน์ว่ายานอวกาศจากนอกพิภพอาจเป็นเรื่องจริง และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
ซึ่งในเวลาต่อมา นาธาน ได้เปลี่ยนชื่อโครงการเป็น "โครงการสัญลักษณ์" (Project Sign) (http://en.wikipedia.org/wiki/Project_Sign)

หน่วยงานที่รับผิดชอบในโครงการสัญลักษณ์ก็คือ แผนกเทคนิคสืบราชการลับ ของศูนย์ยุทโธปกรณ์การบิน
ที่ฐานทัพไรท์ (Wright field) ซึ่งปัจจุบันก็คือฐานทัพอากาศไรท์-แพทเทอร์สัน (Wright-Patterson Air Force Base)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/7/7f/National_Museum_of_the_United_States_Air_Force.jpg/250px-National_Museum_of_the_United_States_Air_Force.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Wright-Patterson_Air_Force_Base)
ที่ตั้งอยู่ที่เมืองเดทัน รัฐโอไฮโอ
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/d/d9/Dayton-ohio-skyline.jpg/250px-Dayton-ohio-skyline.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Dayton%2C_Ohio)

โครงการสัญลักษณ์ได้เริ่มดำเนินงานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 มกราคม 1948 ในตอนแรกนั้นบรรดานักวิจัย
ต่างเชื่อว่า วัตถุบินลึกลับ เหล่านั้นเป็นอาวุธของรัสเซีย แต่ต่อมาเมื่อมีการสืบสวนลึกลงไปก็พบว่ามันไม่ใช่อย่างที่
พวกเขาคาดไว้ พวกเขาจึงสรุปว่าวัตถุบินลึกลับที่พบเห็นกันอาจจะเป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวจริงๆ ก็ได้

ไม่นานนักพวกเขาก็ได้ข้อสรุปใหม่ว่าปรากฏการณ์ที่ได้รับแจ้งส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องที่เกิดจากผู้แจ้งข่าว
เพ้อเจ้อไปเองบ้าง ข่าวเท็จบ้าง สำคัญผิดบ้าง และบางครั้งก็เกิดจากผู้อยู่ในเหตุการณ์เป็นโรคประสาท
แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงสืบสวนเรื่องปรากฏการณ์ประหลาดเหล่านี้อยู่ต่อไปเพราะพวกเขาก็ยังคงคิดว่า
มีหลายเหตุการณ์ที่อาจเป็นเรื่องจริง

บิดเบือนข้อมูล

ท่ามกลางข่าวลือเรื่องวัตถุบินลึกลับที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ กองทัพอากาศก็ยังคงพยายามที่จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ
ปรากฏการณ์นี้เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจน ในปลายทศวรรษที่ 1940 กองทัพอากาศได้เริ่มโครงการใหม่ชื่อว่า
"โครงการกรูดจ์" (Project Grudge) (http://en.wikipedia.org/wiki/Project_Grudge)

โครงการนี้มีหน้าที่ในการสร้างข่าวออกสู่สาธารณชน เพื่อให้ประชาชนคลายความวิตกกังวลเรื่องมนุษย์ต่างดาวจะบุกโลก
โดยการออกข่าวชักจูงให้ประชาชนมีความเห็นคล้อยตามว่าวัตถุบินลึกลับที่เห็นนั้นเป็นเรื่องอธิบายได้ง่ายๆ
หาใช่จานบินของมนุษย์ต่างดาว เช่น ลูกบอลลูน เครื่องบิน ดาวเคราะห์ ดาวตก ฝนลูกเห็บ หรือแสงสะท้อน

จากการสืบสวนอยู่นานนับปี ก็ไม่พบหลักฐานว่าปรากฏการณ์วัตถุบินลึกลับจะเกิดจากการบุกรุกจากพวกมนุษย์ต่างดาว
หรือแม้แต่เป็นอาวุธลับของประเทศที่เป็นศัตรูของสหรัฐ ในทางตรงกันข้าม การที่รัฐบาลตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจขึ้นมา
สืบสวนเรื่องนี้กลับทำให้ประชาชนต่างยิ่งหวาดผวาว่าเรื่องที่พวกเขากลัวจะเป็นความจริง ดังนั้นรัฐบาลจึงได้ล้มเลิก
โครงการนี้ลงเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 1949

เลิกไม่ได้

วันที่ 19-20 กรกฏาคม 1952 เรดาร์ของสนามบินนานาชาติใน กรุงวอชิงตัน และ ฐานทัพอากาศแอนดรูว์ (http://en.wikipedia.org/wiki/Andrews_Air_Force_Base)
จับภาพวัตถุบินลึกลับได้ แล้วจู่ๆ มันก็หายไปจากจอเรดาร์ วันที่ 27 กรกฏาคม มันก็กลับปรากฏขึ้นมาอีกและหายไปเฉยๆ
เหมือนครั้งก่อน กองทัพอากาศก็รีบออกมาให้ข่าวว่ามันเป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงกระทันหันจึงทำให้
สัญญานเรดาร์สะท้อนกลับ

วันที่ 29 กรกฏาคม ว่าที่ผู้ช่วยผู้อำนวยการหน่วยสืบราชการลับสายวิทยาศาสตร์ของ ซีไอเอ
(CIA's Acting Assistant Director for Scientific Intelligence) ได้ทำบันทึกรายงานถึง
ว่าที่ผู้อำนวยการหน่วยสืบราชการลับว่า "สืบเนื่องจากการที่มีผู้พบเห็นวัตถุบินไม่ปรากฏสัญชาติทั้งชนิด
เห็นได้ด้วยตราเปล่าและปรากฏบนจอเรดาร์เป็นจำนวนมาก จึงได้มีการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษขึ้น
เพื่อหาข้อเท็จจริง"

งานชิ้นแรกที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษกระทำก็คือ การสืบค้นข่าวจากหนังสือพิมพ์และนิตยสารของรัสเซียเพื่อหาดูว่า
ทางค่ายคอมมิวนิสต์นั้นมีการสร้างอาวุธลับอะไรหรือเปล่า เพราะพวกเขาเกรงว่าวัตถุบินไม่ปรากฏสัญชาติเหล่านั้น
อาจมาจากรัสเซีย แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีข้อมูลใดสามารถนำมาผูกโยงกับเรื่องนี้ได้

เป็นภัยต่อความมั่นคง

วันที่ 1 สิงหาคม เอ็ดเวิร์ด เทาส์ (Edward Tauss) หัวหน้าฝ่ายสรรพาวุธของ ซีไอเอ ได้รายงานข่าวว่า
จากการที่เขาได้ตรวจสอบข่าววัตถุบินลึกลับกว่า 1,000 ข่าวที่ถูกส่งมายังฝ่ายเทคนิคการบิน
(Air Technical Intelligence Center - ATIC) นั้นมีอยู่ราว 100 ข่าวที่ไม่สามารถที่จะอธิบายได้ว่าเกิดจากอะไร

แต่อย่างไรก็ตามมันไม่ได้เป็นเพราะว่าเขาหาเหตุผลมาอธิบายปรากฏการณ์นั้นไม่ได้ หากแต่เป็นเพราะว่าข้อมูลข่าว
ที่ได้รับแจ้งนั้นมีน้อยเกินไป และตราบใดที่เขายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันคืออะไร รัฐบาลควรที่จะต้องปกปิด
เรื่องเหล่านั้นไว้เป็นความลับ

เอ็ดเวิร์ด ยังได้แนะนำอีกด้วยว่าประชาชนไม่ควรจะรู้ด้วยซ้ำว่ารัฐบาลกำลังทำการสืบสวนเรื่องวัตถุบินลึกลับนี้อยู่
หาไม่แล้วประชาชนจะต้องเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลเหล่านั้นต่อสาธารณชน ซึ่งรัฐบาลเองก็ยังไม่มีคำตอบ

ปัญหาที่น่าห่วงที่สุดก็คือ ถ้าหากมีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ กองทัพจะรู้ได้อย่างไรว่าภาพที่เห็นบนจอเรดาร์นั้น
เกิดจากการทำงานที่ผิดพลาดของเรดาร์ หรือเป็นยานอวกาศมนุษย์ต่างดาว หรือร้ายที่สุดก็คือเป็นขีปนาวุธของรัสเซีย

ค้นหาความจริง

รัฐบาลสหรัฐเกรงว่ารัสเซียอาจจะฉวยโอกาสนี้ยิงขีปนาวุธเข้าโจมตีสหรัฐ โดยที่ทางสหรัฐไม่ทันได้ตั้งตัว
เหล่านักวิทยาศาสตร์ชั้นหัวกระทิและผู้เชี่ยวชาญทางการบินระดับสูงกลุ่มหนึ่งจึงได้รวมตัวกันก่อตั้งองค์กรลับๆ ขึ้น
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1953 เพื่อสืบสาวราวเรื่องหาข้อมูลเกี่ยวกับการบุกเข้าโจมตีจากมนุษย์ต่างดาว
พวกเขาตั้งชื่อองค์กรนี้ว่า คณะกรรมการโรเบิร์ทสัน (Robertson Panel) (http://en.wikipedia.org/wiki/Robertson_Panel)
(ความเห็นส่วนตัวว่า ในกรณีขององค์กรนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าเอา IO มาใช้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อเบี่ยงประเด็นความสนใจ
ของสาธารณชนและปกปิดข้อมูลที่ไม่รู้หรือรู้แต่ไม่ต้องการเปิดเผย ถ้าเทียบกับสถานการณ์การเมืองของไทยก็คือ
กรณีที่รัฐบาลสร้างเรื่องราวใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ เพื่อเบี่ยงประเด็นความสนใจของประชาชนให้กระจัดกระจายรวมตัวกันไม่ได้
ทำให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดกันเองระหว่างประชาชนกลุ่มต่างๆ, หรือในการแสดงความคิดเห็นบนเวปบอร์ดเอง
ก็มีกลุ่มจัดตั้งเพื่อคอยเบี่ยงเบนประเด็นให้มีการทะเลาะกันเองอยู่อย่างสม่ำเสมอเพื่อทำให้ไม่ไว้ใจกันเองระหว่างกลุ่มที่ต่อต้าน
รัฐบาลโดยอ้างความชอบธรรมในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง)

ระหว่างวันที่ 14-17 มกราคม 1953 บรรดานักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เวลาราว 12 ชั่วโมงทำการศึกษาและหาคำอธิบาย
ให้กับปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ทางกองทัพอากาศได้รวบรวมหลักฐานมา และสรุปว่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมดนั้น
เป็นเหตุการณ์ธรรมชาติธรรมดาๆ อย่างเช่น ฟิล์มภาพยนตร์ที่จับภาพวัตถุบินลึกลับเหนือเมืองทรีมอนตัน รัฐยูธาท์
เมื่อวันที่ 2 กรกฏาคม 1952 เป็นเพียงแค่สภาพแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ที่ไปกระทบฝูงนางนวล หรือ
ภาพถ่ายวัตถุบินเหนือน้ำตกในมอนทานา เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1950 เป็นเพียงแสงสะท้อนจากเครื่องบิน 2 ลำ

คณะกรรมการได้สรุปโดยมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าไม่มีการบุกรุกเพื่อเข้าโจมตีจากสิ่งมีชีวิตนอกโลก หรือแม้แต่หลักฐานที่เพียงพอ
ที่จะยืนยันได้ว่าวัตถุบินลึกลับที่เห็นนั้นเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่ก็ด้วยเหตุผลเดียวกับที่คณะกรรมการชุดก่อนได้สรุปเอาไว้ว่า
ปรากฏการณ์นี้อาจเป็นภัยต่อระบบรักษาความปลอดภัยของประเทศ จึงควรปกปิดเรื่องวัตถุบินลึกลับนี้ไม่ให้สาธารณชนทราบ
http://www.larryhatch.net/MAPSMENU.html (http://www.larryhatch.net/MAPSMENU.html)

"สงครามเย็น" (Cold War) (http://en.wikipedia.org/wiki/Cold_war)

ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1950 รัสเซีย กลายเป็นศัตรูที่น่าเกรงขามของสหรัฐ เนื่องจากรัสเซียได้ทำการศึกษาและวิจัย
อาวุธนิวเคลียร์และจรวดนำวิถี และเมื่อถึงฤดูร้อนของปี 1949 รัสเซีย ก็เริ่มผลิตระเบิดปรมาณูและก็ทำการทดลอง
เป็นผลสำเร็จเช่นกัน

วุฒิสมาชิกของสหรัฐ ริชาร์ด รัสเซลล์ และผู้ติดตามได้ไปเยือนรัสเซียเมื่อเดือนตุลาคม 1955 ขณะที่พวกเขานั่งอยู่บนรถไฟ
ในรัสเซีย ทุกคนต่างเห็นวัตถุบินรูปร่างประหลาดคล้ายจานบินอยู่บนท้องฟ้า แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ ซีไอเอ เข้ามาสอบสวนเรื่องนี้
พวกเขาก็สรุปว่าสิ่งที่วุฒิสมาชิกและคณะเห็นนั้นเป็นเพียงแค่เครื่องบินเจทที่กำลังไต่เพดานบินเท่านั้น

วัตถุบินลึกลับตัวจริง

เดือนพฤศจิกายน 1954 ซีไอเอ ได้เปิดตัวเครื่องบินสอดแนมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เครื่องบินลำนี้พัฒนาขึ้นมา
โดยฝ่ายพัฒนาขั้นสูงของ บริษัท ลอคฮีด ในเมืองเบอร์แบง รัฐแคลิฟอร์เนีย (http://en.wikipedia.org/wiki/Lockheed)
หรือที่รู้จักกันในนามของ สกังเวิร์ค (Skunk works)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/f/f1/Skunkworks-logo.jpg/250px-Skunkworks-logo.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Skunk_works)

ถูกแล้วครับ ผมกำลังพูดถึงเครื่องบินล่องหนลำแรกของโลก U2 เจ้าเครื่องบินลำนี้ได้ถูกทดสอบบินเป็นครั้งแรก
เมื่อเดือนสิงหาคม 1955 โดยนักบินที่มีชื่อเสียง เคลลีย์ จอห์นสัน (Kelly Johnson)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/3/3e/Kelly-Johnson_U-2.jpg/300px-Kelly-Johnson_U-2.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Clarence_Johnson)

เครื่องบิน U2 นี้ใพดานบินสูงถึง 60,000 ฟุต ซึ่งในช่วงทศวรรที่ 1950 นั้นเครื่องบินส่วนใหญ่จะมีเพดานบิน
อยู่แค่ 10,000 ฟุต หรืออย่างมากก็ไม่เกิน 20,000 ฟุต และด้วยเหตุที่เครื่องบิน U2 เป็นอาวุธลับที่ไม่สามารถ
เปิดเผยให้สาธารณชนทราบได้ จึงทำให้มีรายงานการพบเห็นวัตถุบินลึกลับถี่ขึ้นในช่วงนี้

บิดเบือนเพราะจำเป็น

เครื่อง U2  รุ่นแรกๆ นั้นเป็นสีเงิน ทำให้มันสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ดี เมื่อมองจากที่ต่ำกว่าจะทำให้ดูเหมือนเป็น
วัตถุที่โชติช่วง ดังนั้นเมื่อมีรายงานพบวัตถุบินลึกลับที่ส่องสว่างเป็นประกาย รัฐบาลก็พอจะทราบอยู่ว่าเจ้าสิ่งนั้น
ก็คือเครื่องบิน U2 นั่นเอง แต่เป็นเพราะว่ามันเป็นความลับ รัฐบาลจึงต้องบิดเบือนว่า สิ่งที่เห็นนั้นเป็นปรากฏการณ์
ธรรมชาติ เช่น ผลึกน้ำแข็งบนท้องฟ้า หรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโดยกระทันหัน

ท้ายที่สุด รัฐบาลก็กลับเป็นต้นเหตุที่ทำให้ประชาชนเกิดความแตกตื่นในเรื่องวัตถุลึกลับเสียเอง แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐ
จะประสบความสำเร็จในการปกปิดเรื่องเครื่องบินล่องหน U2 แต่มันก็นำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ที่พวกเขาพยายามแก้ไข
มาหลายสิบปี นั่นก็คือการลดความแตกตื่นของประชาชนในเรื่องยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว

และอย่างที่เราทราบกันดีแล้วว่าเครื่องบิน U2 ไม่ใช่โครงการลับโครงการเดียวของรัฐบาลสหรัฐ
แต่ยังมีโครงการลับอื่นอีกนับสิบโครงการที่รัฐบาลสหรัฐปฏิเสธว่ามันไม่มีจริง ก็ลองคิดดูแล้วกันว่า
จะมีประชาชนชาวอเมริกันได้พบเห็นวัตถุบินลึกลับบนท้องฟ้ามากมายและบ่อยขนาดไหน

มีเรื่องราวที่เป็นปริศนามากมายที่รัฐบาลสหรัฐรูดซิบปากเงียบในตอนแรก และมาเปิดเผยความ(ไม่)จริง
หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปเนิ่นนานหลายปี หรือเป็นเพราะว่าพวกเขารอสร้างหลักฐานให้ดูสมจริงสมจังเสียก่อน
จึงค่อยนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชน


หัวข้อ: Re: สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน เกี่ยวเนื่องกับสงครามสารสนเทศอย่างไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 11, 2006, 11:52:25 PM
 :D.. ขอบคุณมากครับ คุณ narongt ..และทุกท่านที่ช่วยนำเสนอข้อเท็จจริง ในเรื่องนี้ ครับ..
        สนใจมากครับ เรื่องชีวิตนอกโลก.. และความลึกลับนอกโลก..
        ผมเชื่อว่าโลกเรามีเพื่อน ไม่โดดเดียว เดียวดายในจักรวาล..  ;D
   
        เวลาปลีกวิเวก .. ชอบที่จะนอนราบ ตากน้ำค้าง ดูท้องฟ้า..  ถึงจะไม่เห็นสิ่งแปลกตา อะไรเลย..  :D


หัวข้อ: โครงการลับออโรร่า
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 13, 2006, 12:48:18 AM
โครงการลับออโรร่า

จนถึงปัจจุบันนี้ พื้นที่ 51 (Area51) ยังคงความเป็นเขตลึกลับที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
แต่ถึงกระนั้นก็มีคนจำนวนมากพยายามที่จะเสาะแสวงหาข้อมูลออกมาตีแผ่ต่อสาธารณชนว่า รัฐบาลสหรัฐ
กำลังปกปิดอะไรไว้เบื้องหลังดินแดนต้องห้าม และหนึ่งในโครงการลับของรัฐบาลสหรัฐที่ทำการทดลอง
ณ ที่แห่งนี้คือ "โครงการออโรร่า" (AURORA)

ออโรร่าคืออะไร?
ออโรร่า (AURORA) เป็นโครงการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเครื่องบินรบล่องหนของกองทัพอากาศสหรัฐ ชื่อ
"โครงการออโรร่า" เป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี ค.ศ. 1986 เมื่อกองทัพสหรัฐได้ยื่นเอกสารต่อสำนักงบประมาณ
เพื่อขออนุมัติเงินจำนวน 80 ล้านดอลลาร์มาใช้เริ่มต้นโครงการป้องกันภัยทางอากาศที่ใช้ชื่อว่า ออโรร่า และ
โครงการนี้เป็นโครงการต่อเนื่องที่ต้องใช้งบประมาณผูกพันไปถึงปี ค.ศ. 1987 เป็นเงินอีกราวสองพันล้านดอลลาร์

เป็นที่เชื่อกันว่ากองทัพอากาศสหรัฐได้เปลี่ยนชื่อโครงการนี้เป็นชื่ออื่นแล้วหลังจากที่มีข่าวรั่วไหลออกสู่สาธารณชน
หากแต่ว่าไม่มีใครทราบว่าชื่อใหม่ของโครงการนี้คืออะไรแน่ แต่ก็เดาว่าน่าจะชื่อ ซีเนียร์ ซิติเซน (SENIOR CITIZEN)
แต่กระนั้นทุกคนก็ยังคงใช้ชื่อ ออโรร่า เรียกขานโครงการลึกลับนี้อยู่
(http://www.fas.org/irp/mystery/aurora-s.jpg) (http://www.fas.org/irp/mystery/aurora.htm)

จริงอยู่ที่ในช่วงเวลานั้นกองทัพอากาศสหรัฐได้ผลิตเครื่องบินรบล่องหนที่มีความเร็วสูงอย่างเช่น
เอสอาร์ 71 (SR-71 Blackbird)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/97/Lockheed_SR-71_Blackbird.jpg/250px-Lockheed_SR-71_Blackbird.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/SR-71_Blackbird)
เพื่อปฏิบัติภารกิจในด้านการทำจารกรรม แต่โครงการนี้ได้ถูกยกเลิกไปในต้นปี ค.ศ. 1990 โดยทางกองทัพ
ให้เหตุผลว่าได้นำดาวเทียมจารกรรมมาทำหน้าที่แทน เอสอาร์ 71 แล้ว ซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้มาก

และงบประมาณจากโครงการผลิตเครื่อง เอสอาร์ 71 ได้ถูกถ่ายโอนมายังโครงการออโรร่า ซึ่งก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี
ถ้าจะกล่าวว่าโครงการออโรร่า ก็คือการก้าวขั้นต่อไปของโครงการค้นคว้า วิจัยเครื่องบินรบล่องหน เนื่องจากว่า
ชื่อรหัสที่ใช้ในโครงการผลิตเครื่องเอสอาร์ 71 คือ อ๊อกซ์คาร์ท (A-12 OXCART)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/c/c9/A-12_Oxcarts.jpg/300px-A-12_Oxcarts.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/A-12_OXCART)

อ๊อกซ์คาร์ท นั้นมีความหมายว่า เชื่องช้า ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป กองทัพอากาศเลือกใช้ชื่อนี้เพราะมันตรงกันข้ามกับ
สมรรถนะที่แท้จริงของเครื่องบิน เอสอาร์ 71 เพื่อทำให้พวกลูกคุณช่างสงสัยที่ชอบคุ้ย แคะ แกะ เกา เกิดไขว้เขว
เวลาที่สืบหาความเป็นไปของโครงการลับนี้

ในขณะที่โครงการออโรร่า นั้นก็มีชื่อรหัสเรียกว่า ซีเนียร์ ซิติเซน (SENIOR CITIZEN) หรือผู้สูงอายุ ซึ่งมีความหมาย
ไม่ต่างไปจากโครงการอ๊อกซ์คาร์ท ดังนั้นจุดประสงค์ที่แท้จริงของการยกเลิกโครงการผลิตเครื่องบิน เอสอาร์ 71
ก็น่าจะเป็นเพราะพวกเขาก้าวมาอีกขั้นของการผลิตเครื่องบินความเร็วสูงที่เรียกกันว่า ไฮเปอร์โซนิค

อะไรคือ "ไฮเปอร์โซนิค"
ไฮเปอร์โซนิค (Hypersonic)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/5/55/X-43A_%28Hyper_-_X%29_Mach_7_computational_fluid_dynamic_%28CFD%29.jpg/200px-X-43A_%28Hyper_-_X%29_Mach_7_computational_fluid_dynamic_%28CFD%29.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Hypersonic)
คือ ระดับความเร็วที่เร็วกว่าความเร็วเสียงเกิน 5 เท่า หรือที่ระดับความเร็วเกินกว่ามัค 5 (Mach 5) (http://en.wikipedia.org/wiki/Mach_number) หรือ
มากกว่า 3,300 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งความเร็วเสียงนั้นมีความเร็วในการเดินทางเท่ากับ 670 ไมล์ต่อชั่วโมง
ส่วนเครื่องบินเอสอาร์ 71 บินด้วยความเร็วมัค 3.2 หรือประมาณ 2,100 ไมล์ต่อชั่วโมง

ทำไมกองทัพอากาศสหรัฐต้องสร้างเครื่องบินที่มีความเร็วสูงระดับไฮเปอร์โซนิค? เหตุผลก็คือในราวปี ค.ศ. 1980
รัสเซียได้พัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลจากพื้นดินสู่อากาศ (Surface-to-air missile) (http://en.wikipedia.org/wiki/Surface-to-air_missile) หรือที่นิยมเรียกว่า แซม (SAM)
มันเป็นขีปนาวุธรุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า เอสเอ10 กรัมเบิ้ล (SA-10 Grumble)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/3/37/Sa10_1.jpg/180px-Sa10_1.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/SA-10_Grumble)
และ เอสเอ12 กลาดิเอเตอร์ (SA-12 Gladiator)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/5/5a/SA-12_LAUNCHER.jpg/180px-SA-12_LAUNCHER.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/S-300VM)
เจ้าขีปนาวุธทั้ง 2 แบบนี้สามารถยิงเป้าที่บินอยู่บนท้องฟ้าที่ระดับความสูง 100,000 ฟุตได้อย่างสบายๆ ซึ่งแน่นอนว่า
มันไม่ปลอดภัยต่อเครื่องบินเอสอาร์ 71 ซึ่งมีเพดานบินอยุ่ที่ 85,000 ฟุต นักบินคนหนึ่งกล่าวว่าเจ้าเอสอาร์ 71 นี้
ที่จริงสามารถไต่เพดานบินได้สูงถึง 125,000 ฟุตแต่มันจะ "สั่นสะเทือน" นิดหน่อย ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่พ้นรัศมีการยิง
ของขีปนาวุธรุ่นใหม่ของรัสเซียอยู่ดี

และข้ออ้างที่ว่า กองทัพอากาศสหรัฐได้นำดาวเทียมจารกรรมมาปฏิบัติภารกิจแทนเครื่องบินเอสอาร์ 71
เพื่อลดค่าใช้จ่ายนั้นก็เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เพราะว่าค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องบินเอสอาร์ 71 นั้น
ตกราว 200-300 ล้านดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการยิงดาวเทียมจารกรรมนั้นสูงถึง 4,000 ล้านดอลลลาร์!

ในขณะที่การใช้เครื่องบินเอสอาร์ 71 ทำการจารกรรมมีความคล่องตัวกว่าการใช้ดาวเทียมเป็นอย่างมาก
เพราะดาวเทียมนั้นลอยคงที่อยู่บนวงโคจรของโลก ซึ่งทุกคนทราบตำแหน่งของมัน เพราะฉนั้นการจะหลบเลี่ยง
การตรวจจับของมันจึงสามารถทำได้ (ความเห็นส่วนตัวว่า ในกรณีของทักษินขายดาวเทียมให้สิงคโปร์ก็เป็นการหลีกเลี่ยง
การตรวจจับของสหรัฐจากจีนอีกวิธีหนึ่ง โดยอ้างว่าเป็นดาวเทียมเพื่อการพาณิชย์ของสิงคโปร์(เบื้องหลังคือสหรัฐ)
เพราะตอนยิงดาวเทียมเราไม่รู้หรอกว่าดาวเทียมนั้นเป็นดาวเทียมจารกรรมหรือไม่? แต่จริงๆแล้วเรื่องนี้จีนก็น่าจะรู้ดี)
ผิดกับการใช้เครื่องบินที่บินด้วยความเร็วสูง บุกเข้าไปในเขตแดนที่ต้องการทำจารกรรมโดยที่ศัตรูไม่ทันได้ตั้งตัว
และไม่ทันได้เก็บซ่อนสิ่งที่พวกเขาต้องการปกปิดอีกทั้งกองทัพอากาศสหรัฐเคยกล่าวไว้ว่าพวกเขาเชื่อถือการปฏิบัติการ
ที่มีนุษย์เป็นผู้ควบคุมมากกว่าการปฏิบัติการที่ใช้อุปกรณ์ที่ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยมนุษย์ เช่น ดาวเทียม
(ความเห็นส่วนตัวว่า ให้สังเกตุจากหนังฮอลลีวู้ดที่แสดงการนำดาวเทียมมาใช้ตรวจจับผู้ก่อการร้ายหรือในภาพยนตร์สายลับ
เหมือนกับให้ความเชื่อถือในดาวเทียมสูงมาก ก็คือการใช้ประโยชน์จากผู้สร้างภาพยนตร์โดยที่คนสร้างอาจไม่รู้ตัว
เป็นเครื่องมือในการใช้ IO เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปให้ความสำคัญกับดาวเทียมจนลืมเรื่องการจารกรรมโดยวิธีอื่นๆ)
และที่สำคัญไปกว่านั้น กองทัพอากาศสหรัฐสามารถสั่งให้เครื่องบินตรงไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้ทุกเมื่อที่พวกเขาต้องการ

อีกเหตุผลหนึ่งที่กองทัพอากาศสหรัฐไม่น่าจะใช้ดาวเทียมจารกรรมแทนการปฏิบัติการของเครื่องบินเอสอาร์ 71 ก็คือ
ดาวเทียมจารกรรมนั้นไม่สามารถถ่ายภาพได้ทุกสภาพอากาศ ดาวเทียมจารกรรมส่วนใหญ่นั้นติดตั้งกล้องถ่ายภาพ
ประเภทใช้แสงปรกติ หรืออย่างมากก็เพียงแค่กล้องที่กินแสงน้อยเท่านั้น ต่างกับการใช้เครื่องบินเอสอาร์ 71 ที่สามารถ
บรรทุกกล้องถ่ายภาพทุกสภาพอากาศได้

ระเบิดกำแพงเสียง

เช้าตรู่ของวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1992 ประชาชนที่อาศัยอยู่ทางใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อพวกเขา
ได้ยินเสียง "ระเบิดของกำแพงเสียง" (Sonic boom)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/3f/Sonic_boom_050817-N-3488C-151.jpg/180px-Sonic_boom_050817-N-3488C-151.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Sonic_boom)
เจ้าเสียงระเบิดนั้นก็ไม่ธรรมดาเพราะว่ามันดังขนาดเครื่องตรวจจับแผ่นดินไหวสามารถตรวจจับได้

สำนักงานธรณีวิทยาของสหรัฐจึงได้ทำการตรวจสอบที่มาของเสียงก็พบว่ามันเกิดจากยานพาหนะไม่ปรากฏสัญชาติ
ที่บินด้วยความเร็วระหว่างมัค 3 ถึงมัค 4 และแหล่งที่มาของเสียงนั้นอยู่บริเวณเหนือเมืองลอสแองเจลิสกับ
ทะเลทรายโมจาวี
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/8/8e/Wpdms_shdrlfi020l_tehachapi_mountains.jpg/250px-Wpdms_shdrlfi020l_tehachapi_mountains.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Southern_California)
และมุ่งหน้าตรงไปยัง ฐานทัพอากาศเนลลิส (http://en.wikipedia.org/wiki/Nellis_Air_Force_Base) ในรัฐเนวาดา บริเวณทะเลสาบกรูมหรือพื้นที่ 51 นั่นเอง
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/87/Wfm_area_51_landsat_geocover_2000.jpg/250px-Wfm_area_51_landsat_geocover_2000.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Area_51)

ในที่สุดก็มีคนถ่ายภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เรียกว่า "โดนัทบนเส้นเชือก" (Donuts-on-a-rope) ไว้ได้
(http://images.abovetopsecret.com/d_on_r.jpg) (http://www.abovetopsecret.com/pages/pdwe.html)
เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1992 ที่บริเวณเหนือ อมาริลโล ในรัฐเท็กซัส เจ้า "โดนัทบนเส้นเชือก" นี้คือ
ภาพที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าเป็นกลุ่มควันที่ลากยาวเป็นสายคล้ายเส้นเชือก และมีกลุ่มควันขมวดเป็นวงกลม
ล้อมรอบเป็นช่วงๆ สาเหตุเกิดจากการบินด้วยเครื่องบินที่มีความเร็วสูงมากๆ

แต่นั่นก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีพยานรู้เห็นเครื่องบินประหลาดที่เรียกกันว่า ออโรร่า เพราะเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1989
ขณะที่ คริส กิบสัน (Chris Gibson) วิศวกรสำรวจน้ำมันชาวสก็อต กำลังทำงานอยู่บนท่อส่งน้ำมัน เกลฟสตันคีย์
ในทะเลเหนือ เขาได้เหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นเครื่องบินรูปสามเหลี่ยมที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน กำลังเติมน้ำมัน
กลางอากาศโดยเครื่องบิน เคซี 135 และมีเครื่องบิน เอฟ 111 เอส 2 ลำบินคุ้มกันอยู่ข้างๆ
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/b/b6/Aurora_Formation_by_BillRose.jpg/205px-Aurora_Formation_by_BillRose.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Chris_Gibson_%28North_Sea_Delta_witness%29)

ดูเหมือนว่าเครื่องบินลำนั้นจะเป็นเครื่องบินต้นแบบของเครื่องบินรุ่นใหม่ที่จะมาแทนที่เครื่องบินเอสอาร์ 71
ซึ่งมาทำการทดสอบสมรรถนะ การที่ คริส สามารถระบุชื่อเครื่องบินต่างๆ ได้อย่างแม่นยำก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เพราะ คริส เป็นสมาชิกของ องค์กรนักสังเกตการณ์แห่งสหราชอาณาจักร (British Royal Observer Corps) (http://en.wikipedia.org/wiki/Royal_Observer_Corps)
ซึ่งเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องบอกชื่อเครื่องบินที่เขาเห็นได้อยู่แล้ว แต่เจ้าเครื่องบินอีกลำที่มีลักษณะเป็น
รูปสามเหลี่ยมนั้นเขาไม่รู้ว่ามันเป็นเครื่องบินรุ่นไหน

ใครสร้างเครื่องบินออโรร่า
ถ้าหากออโรร่า เป็นเครื่องบินที่สร้างขึ้นมาแทนเครื่องบินรุ่นเอสอาร์ 71 จริงมันก็น่าจะสร้างโดยบริษัทล็อกฮีด สกังเวิร์ค
(Lockheed's Skunk Works) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องเอสอาร์ 71 แต่จากการสัมภาษณ์ บี บูเชล (B. Buschel)
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของล็อคฮีด เขากลับปฏิเสธว่ามันไม่ใช่เครื่องบินของล้อคฮีด

บูเชล ให้ความเห็นว่าจากลักษณะของมันและดูข้อมูลอื่นๆ ประกอบ ออโรร่า น่าจะเป็นเครื่องบิน บี2 รุ่นใหม่
ที่มีชื่อว่า บี2เอ (B2A) ซึ่งผลิตโดย บริษัท นอร์ทรอพ กรัมแมน (Northrop Grumman) ต่างกันก็ตรงที่
เครื่องบินลำนี้สร้างขึ้นสำหรับทำจารกรรมโดยเฉพาะ ดังนั้นมันจึงไม่มีการติดตั้งอาวุธบนเครื่อง และเน้นเครื่องยนต์
ที่มีความเร็วสูง

ความเร็วสูงที่ว่าก็คือ ความเร็วที่ระดับไฮเปอร์โซนิค หรือที่ระดับมัค 5 ขึ้นไป ซึ่งเมื่อมันบินได้เร็วขนาดนั้นมันก็ไม่จำเป็น
ต้องใช้เทคโนโลยีล่องหนอีกต่อไป เพราะคงไม่มีขีปนาวุธแบบไหนที่สามารถยิงมันได้ นอกเสียจากว่าพวกเขาไม่ต้องการ
ให้มีใครรู้ว่ามีเครื่องบินล่วงล้ำน่านฟ้าเข้ามา

ออโรร่าสามารถบินได้ที่ความเร็วระดับมัค 5 ถึง มัค 8 และมีเพดานบินสูงถึง 150,000 ฟุต มันเป็นเครื่องบินล่องหนรุ่นที่ 5
ของโครงการแอสตร้า (ASTRA) ซึ่งย่อมาจาก Advanced Stealth Technology หรือเทคโนโลยีล่องหนขั้นสูง
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/8/8e/Aurora_concept_AdrianMann_1.jpg/250px-Aurora_concept_AdrianMann_1.jpg) (http://www.dreamlandresort.com/black_projects/aircraft.htm)

เทคโนโลยีล่องหนขั้นสูง

บูเชลเชื่อว่า โครงการแอสตร้า นั้นเป็นชื่อที่แท้จริงของโครงการ ออโรร่า และออโรร่าก็ไม่ใช่ชื่อเครื่องบิน แต่เป็นชื่อของ
โครงการพัฒนาเครื่องบินล่องหนซึ่งเป็นโครงการลับที่กองทัพอากาศสหรัฐได้เริ่มทำขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 โดยมี
เครื่องเอสอาร์ 71 เป็นเครื่องบินล่องหนรุ่นแรก และตามด้วยเครื่อง เอฟ 117
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/e/e9/F-117_lands.jpg/300px-F-117_lands.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/F-117)
ส่วนเครื่อง บี2 นั้นเป็นรุ่นที่ 3
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/6/60/Usaf.b2.spirit.750pix.jpg/250px-Usaf.b2.spirit.750pix.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/B-2_Spirit)
สำหรับเครื่องบินล่องหนรุ่นที่ 4 ก็คือเครื่อง เอฟ 22
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/1/19/FA22_Raptors_Oct2005.jpg/300px-FA22_Raptors_Oct2005.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/F-22_Raptor)
และปัจจุบันเครื่องบิน บี2เอ เป็นเครื่องบินล่องหนที่กำลังทดสอบอยู่

ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับว่าเครื่องเอสอาร์ 71 นั้นถูกแขวนปีกไปแล้วเมื่อปี ค.ศ. 1990 ส่วนเครื่อง เอฟ 117 นั้น
เป็นเครื่องบินขับไล่(ทิ้งระเบิด)ล่องหน (Stealth Fighter) แบบที่นั่งเดียว ได้รับการอนุมัติให้สร้างในปี ค.ศ. 1978
และสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1982 โดยล็อกฮีด ใช้งบประมาณในการสร้างราว 45 ล้านดอลลาร์

เครื่อง บี2 นั้นเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน (stealth bomber) ที่สงสัยกันว่ามีการติดตั้งเครื่องต้านแรงโน้มถ่วงของโลก
จึงทำให้มันมีราคาสูงกว่าสองพันล้านดอลลาร์ต่อลำ ส่วนเครื่อง เอฟ 22 นั้นสร้างโดยล็อกฮีด เป็นเครื่องบินขับไล่
ติดอาวุธหนักที่ทำความเร็วได้ราวมัค 1.8

แม้ว่าทุกคนจะเชื่อว่าโครงการออโรร่านั้นมีอยู่จริง แต่ก็ไม่มีใครสามารถระบุได้แน่ชัดว่ามันเป็นชื่อเครื่องบินล่องหนรุ่นใหม่
หรือเป็นชื่อโครงการวิจัยพัฒนาเครื่องบินล่องหนทั้งโครงการ แต่ที่แน่ๆ ก็มีหลักฐานพอที่จะเชื่อได้ว่ากองทัพอากาศสหรัฐ
กำลังพัฒนาเครื่องบินล่องหนที่มีความเร็วระดับมัค 6 ปัญหาที่เป็นที่สงสัยก็คือพวกเขาใช้เครื่องยนต์แบบไหนในการขับเคลื่อน

เครื่องยนต์จุดระเบิดเป็นจังหวะ

จากการที่เครื่องบินที่บินเร็วระดับไฮเปอร์โซนิค ได้ทิ้งร่องรอยการบินเป็นทางยาวบนท้องฟ้าที่เรียกว่า "โดนัทบนเส้นเชือก"
ทำให้พอจะคาดเดาได้ว่ามันน่าจะใช้เครื่องยนต์ชนิดจุดระเบิดเป็นจังหวะ (Pulse Detonation Wave Engine) หรือเรียกสั้นๆ
ว่า พีดีวี (PDWE) (http://wave.prohosting.com/aurora85/technical/pdwe.html) ซึ่งถ้าจะว่ากันตามทฤษฏีแล้ว เครื่องยนต์ชนิดนี้สามารถทำความเร็วได้สูงถึงมัค 10 ทีเดียว

พีดีวี ใช้มีเธนเหลว (Liquid Methane) หรือไม่ก็ไฮโดรเจนเหลว (Liquid Hydrogen) เป็นเชื้อเพลิง
ซึ่งมันถูกจุดระเบิดในห้องเครื่องที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ และเมื่อเครื่องบิน บินด้วยความเร็วที่เหนือเสียง
ส่วนหัวของเครื่องบินจะดันอณูของอากาศออกไปด้านข้างรอบๆ ส่วนหัวของเครื่องบินทำให้เกิดปรากฏการณ์
ที่เราเรียกว่า "ระเบิดของกำแพงเสียง"

ทันทีที่เครื่องยนต์ พีดีวี ทำงาน เครื่องบินก็จะดันดำแพงเสียงไปข้างหน้า และการทำงานของเครื่องยนต์ พีดีวี
เป็นระยะๆ นี้เองที่ทำให้เกิดหางลากเป็นทางยาว เมื่อมองจากพื้นดินก็จะดูเหมือน "โดนัทบนเส้นเชือก" แต่ดูเหมือนว่า
เราจะมีข้อมูลเรื่องการทำงานของเครื่องยนต์ พีดีวี ค่อนข้างที่จะน้อย ผู้ที่อ้างว่าได้เห็นเครื่องบินรูปร่างประหลาด
มักจะระบุตรงกันว่า เสียงเครื่องยนต์ของมันก็ดังไม่เหมือนใครเช่นกัน เพราะมันมีเสียงที่ต่ำมาก

ออโรร่ามีปัญหา

จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถบันทึกภาพเครื่องบินปริศนา ออโรร่า แบบเจ๋งๆ ได้สักคน ภาพเครื่องบินออโรร่า
ที่เราได้เห็นกันก็มีแต่ภาพวาดตามจินตนาการของศิลปิน กับภาพถ่ายขาวดำที่มองไม่เห็นรายละเอียดของมัน
ยิ่งมีข่าวลือว่าโครงการออโรร่าต้องพบกับอุปสรรคบางอย่างจนทำให้ต้องระงับโครงการชั่วคราว ยิ่งทำให้การที่จะ
ได้เห็นการปรากฏตัวของมันยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ข่าวลือที่ว่านั้นฟังดูมีนำหนักเนื่องจากว่าเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1996
รัฐบาลสหรัฐได้อนุมัติงบประมาณขั้นต้นจำนวน 30 ล้านดอลลาร์ เพื่อปลุกผีเครื่องบินล่องหนเอสอาร์ 71 ขึ้นมาใหม่
แต่อะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้โครงการออโรร่าถูกระงับไปนั้นคงต้องรอให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ไม่สุขไปคุ้ยกันมาก่อน


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 13, 2006, 02:36:45 AM
ขอบคุณคับ...


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: JJ-รักในหลวง ที่ สิงหาคม 13, 2006, 08:19:39 AM
ยาวมากเลย save เก็บเอาไว้แล้วครับ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: ans66 ที่ สิงหาคม 13, 2006, 08:39:00 AM
...ขอบตคุณมากครับ... ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ สิงหาคม 13, 2006, 09:54:28 AM
ขอบคุณครับ.....ชอบครับ..อ่านเรื่องแบบนี้....เปิดโลกทัศน์ตัวเองเยอะเลย...


หัวข้อ: ฐานทัพ UFO
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 13, 2006, 09:48:32 PM
ฐานทัพ UFO

รัฐบาลสหรัฐเคยปฏิเสธการมีตัวตนของพื้นที่ 51 พวกเขาพยายามที่จะปิดบังอะไรไว้ หรือว่ามันคือ
ฐานทัพของมนุษย์ต่างดาว
(http://www.alienhub.com/media/gallery/Area%2051/34.jpg) (http://www.alienhub.com/website)

ถ้าหากมีคนถามว่าพื้นที่บริเวณใดในสหรัฐเป็นพื้นที่ที่ลึกลับที่สุด เราคงจะได้รับคำตอบว่ามันคือ พื้นที่ 51 หรือ Area 51 (http://local.google.com/local?f=q&hl=en&q=+37%C2%B014%2737.59%22N++115%C2%B048%2757.95%22W&ll=37.232789,-115.80431&spn=0.043531,0.10849&t=k)

นั่นก็อาจเป็นเพราะมีคนจำนวนมากอ้างว่าได้พบเห็นวัตถุบินลึกลับหรือ ยูโฟ (UFO - Unidentified flying object)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/6/60/PurportedNJUFO1952.jpg/180px-PurportedNJUFO1952.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Unidentified_flying_object)
บินอยู่เหนือบริเวณนั้นบ่อยครั้งจนหลายคนสงสัยว่าบริเวณพื้นที่ 51 น่าจะเป็นฐานทัพหรือ
กองบัญชาการของวัตถุบินลึกลับ

เช้าวันทำงาน

ทุกๆ เช้าของวันทำงานจะมีคนอย่างน้อย 500 คนผ่านเข้าไปยังประตูทางขึ้นเครื่องบินที่มีการรักษาความปลอดภัย
อย่างเข้มงวดซึ่งอยู่ทางปีกด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ สนามบินแมคคาร์เรน ในลาสเวกัส (http://en.wikipedia.org/wiki/McCarran_International_Airport)
เจ้าของพื้นที่ที่เป็นเขตหวงห้ามส่วนนี้ก็คือ บริษัท อีจีแอนด์จี (EG&G- Edgerton, Germeshausen, and Grier, Inc.) (http://en.wikipedia.org/wiki/EG%26G)

ผู้คนเหล่านั้นต้องบอกรหัสผ่าน "เจเน็ท" (JANET) ตามด้วยเลขประจำตัว 3 หลักก่อนที่จะผ่านเข้าไปขึ้นเครื่อง
โบอิ้ง 737 ที่ไม่มีเครื่องหมายใดๆ ระบุว่าเป็นเครื่องบินของใคร
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/1b/Wfm_tc_janet_at_mccarran.jpg/300px-Wfm_tc_janet_at_mccarran.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Boeing_737)
สายการบินนี้จะออกบินทุกๆ ครึ่งชั่วโมงโดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ทะเลสาบกรูม (Groom Lake)
สถานที่ลึกลับที่หน่วยงานราชการของสหรัฐปฏิเสธการมีตัวตนของมันเมื่อหลายปีก่อน

เขตทดลองเครื่องบินลับ

พื้นที่ 51 หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า ทะเลสาบกรูม นั้นอยู่ห่างจากลาสเวกัสไปทางตอนเหนือราว 90 ไมล์ (http://maps.google.com/maps?ll=36.228511,-115.146593&spn=0.11,0.18&t=h)
อันที่จริงแล้วพื้นที่ 51 เคยเป็นที่ตั้งของฐานทัพทหารแห่งหนึ่งของสหรัฐที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1955
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่ทดสอบเครื่องบินจารกรรม U2

นับตั้งแต่นั้นมาก็มีการใช้พื้นที่ 51 เป็นสถานที่ทดสอบเครื่องบินจารกรรม เช่น เจ้าวิหคทมิฬ Blackbird (SR71)
เครื่องบินขับไล่ล่องหน F117 Stealth Fighter, เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B2 Stealth Bomber
อีกทั้งยังถูกใช้เป็นสถานที่วิจัยโครงการลับออโรร่า (Aurora Project)

เคร่องบินรบเหล่านี้จะถูกทำการทดสอบสมรรถนะที่บริเวณทะเลสาบกรูม เมื่อพวกเขาทดสอบเครื่องบินรบ
จนเป็นที่พอใจแล้วจึงค่อยประกาศต่อสาธารณชนให้ทราบว่าบัดนี้กองทัพได้สร้างเขี้ยวเล็บอันใหม่ขึ้นมา

ประวัติพื้นที่ 51
(http://ufo.whipnet.org/images/area.51/U21955Area51.jpg) (http://ufo.whipnet.org/area.51/history/index.html)

เดือนมีนาคม ค.ศ. 1955 เคลลี่ จอห์นสัน (Kelly Johnson) ผู้ออกแบบเครื่องบินจารกรรม U2 ได้รับมอบหมายจาก
ซีไอเอ ให้ออกแบบเครื่องบิน U2 นอกจากนี้แล้วเขายังได้รับมอบหมายให้หาสถานที่เพื่อใช้ทดสอบเจ้า U2 นี้ด้วย

เคลลี่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ โทนี เลอวิเอร์ (Tony Levier) นักบินที่จะทำการบินทดสอบเครื่องบิน U2 กับ
ดอร์ซี่ เคมเมเรอร์ (Dorsey Kammerer) ไปสำรวจพื้นที่ร้างกลางทะเลทรายตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย, เนวาดา
และ อริโซนา 2 สัปดาห์ต่อมาโทนีก็กลับมาส่งรายงาน เคลลี่ดูรายงานเปรียบเทียบสถานที่ทั้ง 3 แห่งแล้วก็
ตัดสินใจเลือกพื้นที่บริเวณทะเลสาบกรูม ในรัฐเนวาดา

ทะเลสาบกรูม มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีกมากมายนับตั้งแต่มีการก่อสร้างฐานทัพขึ้น เคลลี่เรียกมันว่า พาราไดซ์แรนช์
(Paradise Ranch - ทุ่งหญ้าสวรรค์) แต่หลังจากมีการทดสอบเครื่องบินจารกรรม U2 ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 1955
มันกลับถูกเรียกสั้นๆ ว่า แรนช์ (The Ranch - ทุ่งหญ้า) ในความเป็นจริงแล้วฐานทัพ(ลับ) แห่งนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็น
ทางการว่า วอร์เตอร์ทาวน์ สตริป (Watertown Strip) ตามชื่อเมืองหนึ่งที่อยู่ทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ค
ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ แอลเลน ดูลเลส (Allen Dulles) ผู้อำนวยการ ซีไอเอ ในสมัยนั้น

ที่มาของชื่อพื้นที่ 51

เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1958 คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู United States Atomic Energy Commission (AEC) (http://en.wikipedia.org/wiki/United_States_Atomic_Energy_Commission)
ได้เข้ามาใช้พื้นที่บริเวณทะเลสาบกรูม ร่วมกับกองทัพสหรัฐ เพื่อทำการทดลองโครงการลับๆ บางอย่าง
พวกเขาเรียกสถานีทดลองนี้ว่า สถานีทดลองเนวาดา (Nevada Test Site)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/c/ca/November_1951_nuclear_test_at_Nevada_Test_Site.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Nevada_Test_Site)
คณะกรรมาธิการฯ ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนๆ แล้วกำหนดหมายเลขให้แต่ละส่วน บริเวณส่วนที่เป็นฐานทัพนั้น
ได้หมายเลข 51

นับตั้งแต่นั้นมาทุกครั้งที่ฮอลลีวู้ดสร้างภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการลับของรัฐบาลจึงมักจะอ้างถึงทะเลสาบกรูม
แต่พวกเขาจะเรียกมันสั้นๆ ว่า พื้นที่ 51 ตามที่คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณูใช้เรียก ถึงแม้ว่าการทดลองลับของ AEC
จะเสร็จสิ้นไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 แล้วก็ตาม

ในปี ค.ศ. 1970 กองทัพอากาศสหรัฐได้เข้ามายึดพื้นที่นี้อย่างถาวรเพื่อใช้เป็นสถานที่ทดลองเครื่องบินรบรุ่นใหม่ๆ
ตลอดไปจนถึงการทดลองเครื่องบิน มิก 21
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/4/4f/Mig21.750pix.jpg/250px-Mig21.750pix.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Mig_21)
และอาวุธทันสมัยอื่นๆ ของรัสเซีย ที่ทางสหรัฐยึดมาได้เมื่อปี ค.ศ. 1967

ปี ค.ศ. 1975 พื้นที่ 51 ได้ถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในเขตจำลองการรบทางอากาศ ภายใต้ชื่อรหัสว่า
"ธงแดง" (RED FLAG exercise)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/b/b2/F-111_KC-135.jpg/250px-F-111_KC-135.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/RED_FLAG_exercise)
คราวนี้พื้นที่ 51 จึงถูกเรียกสั้นๆ ในชื่อใหม่ว่า "จตุรัสแดง" (Red Square) แต่ชื่อกึ่งเป็นทางการนั้นชื่อ
"ดรีมแลนด์" (Dreamland - แดนในฝัน) (http://www.dreamlandresort.com) และในช่วงทศวรรษ 1970 ก็ได้มีการทดลองโครงการด้านอวกาศ
และการทดลองเครื่องบินที่ทันสมัยที่สุดคือ "แทคอิทบลู" (Tacit Blue)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/6/6a/Tacit_Blue.jpg/180px-Tacit_Blue.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Northrop_Tacit_Blue)

ขยายอาณาเขต

ฐานทัพทะเลสาบกรูม ถูกขยายอาณาเขตออกไปอีกในช่วงทศวรรษ 1980 มีการสร้างสนามบินเพิ่มเติม
อาคารเก็บเครื่องบินถูกสร้างบนลานบินเพื่อให้ง่ายต่อการเก็บซ่อนจากสายตาของดาวเทียมจารกรรมที่มีอยู่มากมาย
อุปกรณ์สื่อสาร เรดาร์ และจานดาวเทียมได้รับการติดตั้ง ตึกราม อาคาร โกดังหลายแห่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่
บนทะเลสาบกรูม คาดว่ามันถูกใช้เป็นกองบัญชาการของศูนย์ทดลองเครื่องบินรบของกองทัพที่ถูกเรียกว่า
ดีแทชเมนท์ 3 (Detachment 3)

แม้ว่าจะมีการเพิ่มการรักษาความปลอดภัยแต่ก็ยังไม่วายถูกแอบลักลอบถ่ายภาพเนื่องจากพื้นที่รอบๆ ทะเลสาบกรูมเป็นภูเขา
ในปี ค.ศ. 1984 กองทัพสหรัฐจึงต้องขยายเขตหวงห้ามออกไปอีกโดยหวังว่าจะเป็นการกันไม่ให้มีใครสามารถมองเข้าไปยัง
ในบริเวณฐานทัพได้ แต่ก็ยังมีจุดที่สามารถใช้เป็นที่สอดแนมได้อีก 2 แห่งห่างจากทะเลสาบกรูมไปทางตอนใต้ราว 12 ไมล์
คือที่บริเวณไวท์ไซด์พีค (White Side Peak) กับ ฟรีดอม ริดจ์ (Freedom ridge) เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนอาศัยสถานที่ทั้งสอง
เป็นที่สอดแนมได้อีก ในปี ค.ศ. 1995 กองทัพจึงได้ประกาศให้เขตดังกล่าวเป็นเขตหวงห้ามด้วย

แต่เขตหวงห้ามนั้นได้แต่เพียงแค่ติดป้ายเตือนเท่านั้นไม่มีการล้อมรั้วแต่อย่างใดเพราะพื้นที่เขตหวงห้ามนั้นกินอาณาเขต
กว้างใหญ่เกินกว่าที่จะล้อมรั้วได้
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/98/Wfm_x51_area51_warningsign.jpg/300px-Wfm_x51_area51_warningsign.jpg)
แต่ก็มีการจัดเวรยามโดยใช้หน่วยรักษาความปลอดภัยนิรนามที่พกอาวุธสุดจะทันสมัย อีกทั้งยังมีการติดตั้งเครื่องมือ
ตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะมันสามารถแยกแยะได้ว่าผู้ที่บุกรุกเข้ามาเป็นมนุษย์หรือสัตว์
หน่วยลาดตระเวณนิรนามนี้เรียกว่า แคโม ดูดส์ (Camo dudes) ซึ่งจะมีหน่วยสนับสนุนทางอากาศที่ใช้
เฮลิคอปเตอร์ Sikorsky HH-60G Pave Hawk คอยให้การสนับสนุนทางอากาศ
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/7/7f/Pavehawk.750pix.jpg/250px-Pavehawk.750pix.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/HH-60_Pave_Hawk)

โครงการลับต่างๆ ที่ใช้พื้นที่ 51 เป็นสถานีทดลองนั้นค่อยๆ ทยอยจบลง เช่น การทดลองเครื่องบินจารกรรมแทคอิทบลู
เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 1985 การทดลองเครื่องบินขีปนาวุธแอดวานซ์ครูซ (Advanced Cruise Missile) ถูกยกเลิกในปี ค.ศ. 1992
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/b/bb/Agm-129_acm.jpg/300px-Agm-129_acm.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/AGM-129_Advanced_Cruise_Missile)
การทดลองขีปนาวุธ สแตนด์ออฟแอทแทค (Stand-off Attack Missile) ถูกยกเลิกในปี ค.ศ. 1994
แต่ถึงกระนั้นกองทัพอากาศสหรัฐก็ยังคงตั้งศูนย์ปฏิบัติการอยู่ที่นั่น

ความลับในพื้นที่ 51

เป็นไปได้ว่ากองทัพอากาศยังคงมีภารกิจอื่นๆ ที่ไม่เป็นที่เปิดเผยในปี ค.ศ. 1989 สถานีโทรทัศน์ลาสเวกัส
ได้ถ่ายทอดการให้สัมภาษณ์ โรเบิร์ท ลาซาร์ (Robert Scott Lazar) ผู้ที่อ้างว่าเขาเคยทำงานในพื้นที่ 51
(http://www.ufomind.com/area51/people/lazar/bob.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Bob_Lazar)
http://www.boblazar.com (http://www.boblazar.com)
โรเบิร์ท กล่าวว่าเขาได้รับมอบหมายให้ทำการศึกษาวิศวกรรมยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ในพื้นที่ 51
มียานอวกาศรูปทรงกลมคล้ายจานจำนวน 9 ลำบินขึ้น-ลงในเขตหวงห้ามบริเวณที่ชื่อ S4 หรือที่มีชื่อที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า
บริเวณทะเลสาบปาปูส (Papoose Lake) (http://maps.google.com/maps?ll=37.051606,-116.030388&spn=0.11,0.18&t=h) ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลสาบกรูม ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 10 ไมล์

เรื่องราวของโรเบิร์ทเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก มันทำให้เรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุบินลึกลับที่ผู้คนสงสัย
เริ่มปะติดปะต่อขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง ยานบินรูปทรงกลมอาจเป็นการทดลองระบบต้านแรงโน้มถ่วงโลกแน่นอน
เทคโนโลยีน่าทึ่งเช่นนี้ต้องถูกปกปิดเป็นความลับสุดยอด

นอกจากนี้ยังมีการทดลองเครื่องบินจารกรรมที่มีความเร็วมากกว่าเสียง 5 เท่า โดยใช้พลังขับเคลื่อนชนิดใหม่
เช่น พัลส์ เดโทเนชั่น เวฟเอนจิน (Pulse Detonation Wave Engine) และเครื่องบินความเร็วสูง
ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฮโดรเจน

การทดลองเครื่องบินที่มีความเร็วมากกว่าเสียงหลายเท่าหรือที่เรียกว่ายานไฮมัค (High-Mach Vehicle) โดยสร้างเครื่องบิน
ที่มีลักษณะเป็นลูกผสมระหว่างเครื่องบิน A12 และ D21 หรือที่เรียกกันว่า ซูเปอร์วอลคารี (Super Valkarie)
ซึ่งมีคนจำนวนมากที่เคยไปด้อมๆ มองๆ แถวพื้นที่ 51 เคยเห็นมันถูกบินทดสอบ

ยานอวกาศจากต่างดาว

จากคำกล่าวอ้างของโรเบิร์ท S4 เป็นสถานที่ใช้สำหรับศึกษา วิจัยวัตถุบินลึกลับภายใต้ชื่อโครงการ มูนดัสท์ (Moondust)
บรรดาสิ่งก่อสร้างทั้งหลายถูกอำพรางอยู่ใต้พิ้นทรายเพื่อหลบเลี่ยงดาวเทียมจารกรรมของรัสเซีย
(http://www.boblazar.com/closed/bobslab.jpg)
โรเบิร์ททำงานในห้องทดลองร่วมกับนักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งชื่อ แบร์รี่ คาสติลลิโอ (Barry Castillio) นักวิจัยแต่ละกลุ่ม
จะถูกแยกทำงานในส่วนต่างๆ พวกเขาถูกจำกัดให้มีเพื่อนร่วมงานเพียงแค่ไม่กี่คน แบร์รี่ เป็นเพื่อนร่วมงานเพียงคนเดียว
ที่ช่วยโรเบิร์ท ศึกษาค้นคว้าเรื่องการขับเคลื่อนของยานอวกาศ

วันแรกที่โรเบิร์ท เดินทางถึง S4 เขาถูกนำตัวไปที่ห้องพยาบาลเพื่อทำการตรวจผิวหนัง เขาถูกทาด้วยสารหลายชนิด
ตามจุดต่างๆ บนแขน วันต่อมาก็จะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจเช็คดูว่าผิวหนังเขาเกิดการพุพองหรือมีอาการแพ้หรือไม่

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังถูกสั่งให้ดื่มสารบางชนิดที่ทำให้ร่างกายของเขามีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น สารนี้ช่วยป้องกันเขา
จากสิ่งแปลกปลอมที่อาจได้รับจากการสัมผัสวัตถุที่มาจากต่างดาว

สารที่โรเบิร์ท ดื่มนั้นมีกลิ่นเหมือนกับกลิ่นต้นสน และในคืนนั้นหลังจากที่เขาได้ดื่มสารสร้างภูมิคุ้มกันเข้าไป
เขาก็เกิดอาการเป็นตะคริวที่ท้องน้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นผลข้างเคียงมาจากสารสร้างภูมินั้น ต่อมาโรเบิร์ท
ถูกแนะนำให้รู้จักกับเรเน่ (Rene) ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเรเน่ เป็นใครและมีหน้าที่อะไรใน S4 เจ้าหน้าที่ ที่ทำงานอยู่ในส่วน
ของ S4 นั้นมีอยู่แค่เพียง 22 คนเท่านั้น หัวหน้าของโรเบิร์ท ชื่อ เดนนิส มาริอานี (Dennis Mariani)

เขารู้จักเดนนิส ตอนที่ไปสัมภาษณ์งานที่บริษัท อีจีแอนด์จี (EG&G) ซึ่งตอนนั้นยังมีสำนักงานอยู่ที่
สนามบินแมคคาร์เรน ในลาสเวกัส แต่ปัจจุบันได้ย้ายมาอยู่ที่ฐานทัพอากาศ เนลลิส (Nellis Air Force Base)

ศึกษาข้อมูล

ในวันแรกๆ มีเจ้าหน้าที่พาโรเบิร์ทไปที่ห้องเล็กๆ ที่มีเพียงแค่โต๊ะและเก้าอี้กับแฟ้มเอกสารกว่า 100 แฟ้ม ข้อความในแฟ้ม
ล้วนเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวและเทคโนโลยีมนุษย์ต่างดาว เขาใช้เวลาวันละครึ่งชั่วโมงในการศึกษาข้อมูล
ในแฟ้มเหล่านั้น

ข้อมูลในแฟ้มเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นบทสรุปให้กับเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่มาทำงานใน S4 ว่างานที่พวกเขาได้รับมอบหมาย
ให้ทำนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตต่างพิภพ โรเบิร์ท ได้เห็นการทดสอบบินของยานบินรูปทรงประหลาดและยิ่งตกใจมากขึ้นอีก
เมื่อเห็นรายงานเขียนว่า มีการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมานานกว่าหมื่นปีแล้ว!

โครงการที่โรเบิร์ท ทำอยู่นั้นเป็นส่วนย่อยของโครงการใหญ่ เขารับผิดชอบเรื่องการค้นคว้าการขับเคลื่อน
ของยานอวกาศต่างดาวและบทบาทของแรงโน้มถ่วงเพื่อใช้เป็นสื่อในการขับเคลื่อนภายใต้ชื่อ
โครงการกาลิเลโอ (Project Galileo)

โดยปรกติเจ้าหน้าที่แต่ละส่วนจะไม่ได้รับอนุญาติให้มีการติดต่อพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ส่วนอื่นๆ แต่ในกรณีของโรเบิร์ทนั้น
เขาต้องอาศัยความรู้ในแขนงอื่นด้วยจึงทำให้เขาได้รับอนุญาติเป็นกรณีพิเศษให้ทำการทดลองร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มอื่น

หลากหลายโครงการ

โครงการไซด์คิก (Project Sidekick) เป็นหนึ่งในสองโครงการที่โรเบิร์ท ได้รับอนุญาติให้รู้ข้อมูลได้บางส่วน
มันเป็นการศึกษาค้นคว้าเรื่องอาวุธลำแสง (Beam Weapon) ที่จะถูกติดตั้งบนเครื่องบินรบ อาวุธลำแสงนี้
ต้องอาศัยความรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงและการรวมแสงให้เป็นลำ อาวุธชนิดนี้มีอำนาจการทำลายล้างที่สูงมาก

โครงการลุคกิ้งกลาส (Project Looking Glass) เป็นการศึกษาเรื่องกฏกายภาพของการมองเห็นและผลกระทบ
ต่อเวลาและอวกาศ ในการสร้างแรงโน้มถ่วงจำลอง และเช่นกันว่าโครงการนี้ต้องอาศัยความรู้ทางด้านแรงโน้มถ่วง
และการควบคุมมัน

การทดลองในโครงการกาลิเลโอ ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โรเบิร์ทได้เห็นรายงานและหลักฐานต่างๆ
ที่พิสูจน์ถึงความถูกต้องของมัน ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าโครงการอื่นๆ ที่ทำใน S4 นั้นก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน
แต่โรเบิร์ท ก็ปฏิเสธที่จะถือเอากรรมสิทธิ์เหนือความสำเร็จนั้น เขากล่าวว่ารายงานการวิจัยที่เขาทำขึ้นเป็นเพียงแค่
ตัวอักษรและรูปภาพบนแผ่นกระดาษเท่านั้น

ไม่ว่าการทดลองที่พื้นที่ 51 จะเป็นอะไรก็ตาม ก็ยังมีผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นเป็นจำนวนมากได้พยายามสอดแนมเข้าไปใกล้
เพื่อบันทึกภาพ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้ดีว่ามีการทดลองเครื่องบินหรือวัตถุบินได้บางชนิดที่พวกเขา
ไม่เคยพบเห็นมันมาก่อน


หัวข้อ: อีจีแอนด์จี เป็นใคร?
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 14, 2006, 12:02:02 AM
อีจีแอนด์จี เป็นใคร?

อีจีแอนด์จี ย่อมาจาก เอดเจอร์ทัน เจอร์เมสเฮาเซน และ เกรียร์ (EG&G- Edgerton, Germeshausen, and Grier)
ซึ่งเป็นชื่อสกุลของผู้ก่อตั้งบริษัท 3 คนคือ ฮาโรลด์ เอดเจอร์ทัน (Harold Edgerton),
เคนเนท เจอร์เมสเฮาเซน (Kenneth Germeshausen) และ เฮอร์เบิร์ท เกรียร์ (Herbert Grier)

ในปี ค.ศ. 1931 ขณะที่ฮาโรลด์ เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสทส์
(Massachusetts Institute of Technology) (http://en.wikipedia.org/wiki/Massachusetts_Institute_of_Technology) เขาได้ประดิษฐ์หลอดไฟแฟลชขึ้น เขาได้เสนอขายลิขสิทธิ์ให้กับ
บริษัท เจเนอราลอิเลคทริค (General Electric - GE) แต่ผู้บริหารของจีอี ไม่สนใจในหลอดไฟแปลกประหลาดอันนั้น
ซึ่งผมคิดว่าเมื่อเขารู้ภายหลังว่ามันมีประโยชน์ต่อการถ่ายภาพอย่างมหาศาล ผมว่าเขาคงนั่งเขกกะโหลกตัวเองเป็นแน่!


ฮาโรลด์ ก็เลยชวน เคนเนท เจอร์เมสเฮาเซน ลูกศิษย์คนหนึ่งมาเปิดบริษัทให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์
การทำงานของเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม วิธีการของเขาก็คือปล่อยให้เครื่องจักรทำงานไปตามปรกติ
ระหว่างนั้นพวกเขาก็จะถ่ายภาพด้วยความเร็วสูงโดยอาศัยไฟแฟลชที่ฮาโรลด์เป็นผู้ประดิษฐ์ เมื่อได้ภาพนิ่ง
การทำงานของเครื่องจักรนั้น พวกเขาก็จะมาวิเคราะห์ดูว่าการทำงานของมันมีประสิทธิภาพแค่ไหน

เอ...ชักเริ่มคุ้นๆ แล้วใช่ไหมครับว่าเคยได้ยินเรื่องคล้ายๆ แบบนี้ที่ไหน บอกให้ก็ได้ครับก็ภาพลูกปืนวิ่งทะลุผลแอปเปิ้ลยังไงละ
(http://www.urscorp.com/images/EGGDivision_History_%20Bullet.jpg) (http://www.urscorp.com/EGG_Division/history.php)
ใช่แล้วครับภาพที่มีชื่อเสียงนั้นถ่ายโดยฮาโรลด์ และรวมถึงภาพมงกุฏหยดนม (Milk-drop Coronet) ก็ฝีมือเขาเหมือนกัน
(http://www.agallery.com/Pages/photographers/photos/edgerton/HEGmilkdrop.jpg)

ในปี ค.ศ. 1934 ฮาโรลด์ ก็ได้เฮอร์เบิร์ท เกรียร์ ลูกศิษย์อีกคนมาร่วมทำธุรกิจ ภาพถ่ายของฮาโรลด์ได้รับเกียรติ
ให้แสดงในพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะหลายแห่ง นับว่าเขาประสบความสำเร็จในด้านงานศิลปะ แต่ในเชิงพาณิชย์แล้ว
เขากลับล้มเหลวเพราะเขาไม่สามารถขายอุปกรณ์ไฟแฟลชให้กับบริษัทผลิตกล้องถ่ายภาพได้แม้แต่บริษัทเดียว!

เปลี่ยนเป้าหมาย

ดังนั้น ฮาโรลด์ จึงเปลี่ยนเข็มไปยังกลุ่มช่างภาพข่าวกีฬา โดยเสนอที่จะถ่ายภาพการแข่งขันที่มีการเคลื่อนไหว
อย่างรวดเร็วให้ ภาพที่ ฮาโรลด์ ถ่ายนั้นเป็นที่แน่นอนว่าน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่มีใครเคยเห็นภาพ
นักกีฬาขณะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาก่อน และตั้งแต่นั้นมาไฟแฟลชก็เริ่มเป็นที่นิยมใช้ในการถ่ายภาพข่าวกีฬา
อย่างแพร่หลายและนั่นก็เป็นที่มาของการทำให้กองทัพอากาศเริ่มสนใจในสิ่งประดิษฐ์ของฮาโรลด์ ในปี ค.ศ. 1939
กองทัพอากาศได้ว่าจ้างให้ ฮาโรลด์ ออกแบบไฟแฟลชที่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะให้ความสว่างในการถ่ายภาพจาก
เครื่องบินยามค่ำคืน และนี่ก็คือก้าวแรกที่ทำให้ ฮาโรลด์ เข้ามาเกี่ยวพันกับกองทัพอากาศอย่างลึกซึ้งต่อมาในภายหลัง

เข้าสู่วงการ

ด้วยไฟแฟลชของ ฮาโรลด์ ทำให้กองทัพสหรัฐสามารถเก็บข้อมูลพื้นที่ในเขตของศัตรูได้เป็นอย่างมากและ
มันก็ได้ถูกใช้ในคืนก่อนวันดีเดย์ (D-Day) เพื่อสำรวจพื้นที่ก่อนที่จะส่งทหารเข้าไปในนอร์มังดี (Normandy)
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 และด้วยไฟแฟลชตัวนี้ทำให้ ฮาโรลด์ ก็ได้รับเหรียญอิสริยาภรณ์เสรีภาพ
จากกระทรวงสงครามเพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณที่สิ่งประดิษฐ์ของเขาเป็นประโยชน์ต่อกองทัพเป็นอย่างมาก

จากนั้นมา ฮาโรลด์ ก็ได้รับคำร้องขอจากคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู ให้ช่วยสร้างกล้องถ่ายภาพการทดลอง
ระเบิดปรมาณู ฮาโรลด์ ก้ได้สร้างกล้องพิเศษขึ้นมาเพื่อใช้ในการจับภาพการทดลองครั้งนั้นโดยเขาตั้งกล้องอยู่ห่างจาก
จุดทดลองถึง 7 ไมล์ ฮาโรลด์เรียกกล้องพิเศษของเขาว่า "ราพาโทรนิค" (Rapatronic camera)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/e/e9/Tumbler_Snapper_rope_tricks.jpg/300px-Tumbler_Snapper_rope_tricks.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Rapatronic_camera)

กำเนิด อีจีแอนด์จี

ในปีเดียวกันนี้เอง ฮาโรลด์ แลหุ้นส่วนทั้ง 2 ของเขาก็ได้ก่อตั้งบริษัท เอดเจอร์ทัน เจอร์เมสเฮาเซน และ เกรียร์ อิงค์
(EG&G- Edgerton, Germeshausen, and Grier, Inc.) ขึ้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 และได้จดทะเบียนเป็น
บริษัทมหาชน เมื่อปี ค.ศ. 1959 หลังจากที่ปล่อยให้ชาวบ้านต้องลิ้นพันกันนัวเนียอยู่หลายปีเพราอ่านชื่อบริษัทของเขา
ในที่สุดเขาก็เปลี่ยนชื่อมาเป็น อีจีแอนด์จี อิงค์ ในปี ค.ศ. 1966

ในช่วงทศวรรษที่ 1960 นี้เองที่ อีจีแอนด์จี ได้เริ่มแตกหน่อการให้การบริการไปอีกหลายสาขา และได้เริ่มรับงานมากมาย
จากกระทรวงกลาโหม และคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู และนั่นก็รวมถึงโครงการลับสุดยอดของกองทัพอากาศ
ฐานทัพที่ทะเลสาบกรูม หรือพื้นที่ 51 นั่นเอง


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ สิงหาคม 14, 2006, 09:28:31 AM
เข้ามาติดตามชมต่อครับ...


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: ตูมตาม - รักในหลวง - ที่ สิงหาคม 14, 2006, 11:25:57 AM
รอภาคต่อๆไป...ครับ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: Udomkd ที่ สิงหาคม 14, 2006, 11:33:44 AM
ตามบ้าง ชอบ

อเมริกา จอมลวงโลกอยู่แล้ว

มีหลายเรื่องที่อเมริกาปิดบังประชาคมโลก (ความเชื่อส่วนตัว ประมวลจากหลายๆข้อมูล)

เอาข้อมูลออกมาเยอะๆครับ จะได้เปิดหูเปิดตา(ไม่ต้องเสียค่าลูกปืน) หุๆ


หัวข้อ: ภาพ Area51
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 14, 2006, 12:14:17 PM
ไปดูภาพของที่นี่กันก่อนครับ เป็นการคั่นเวลา เมื่อยนิ้วอ่ะ :~)


หัวข้อ: ภาพ Area51
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 14, 2006, 12:25:42 PM
ภาพ Area51


หัวข้อ: area51
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 14, 2006, 12:34:12 PM
area51


หัวข้อ: area51
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 14, 2006, 12:35:10 PM
area51


หัวข้อ: area51
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 14, 2006, 12:36:46 PM
area51


หัวข้อ: area51
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 14, 2006, 12:38:06 PM
area51


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: xiehua dun ที่ สิงหาคม 14, 2006, 02:44:19 PM
หัวข้อบ่งถึงความแสบของมะริกาได้มากนะครับ


หัวข้อ: มาเจสติก12 หน่วยสืบสวนจานบิน
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 15, 2006, 12:12:08 AM
มาเจสติก12 หน่วยสืบสวนจานบิน

ใครที่สนใจติดตามเรื่องราวลึกลับของมนุษย์ต่างดาวและยานอวกาศจากนอกพิภพ คงจะเคยได้ยินชื่อ "มาเจสติก 12"
ซึ่งเป็นหน่วยงานลับหน่วยงานหนึ่งของรัฐบาลสหรัฐที่มีหน้าที่ติดตามสืบสวนเรื่องราวลึกลับเหล่านั้น
วันนี้เราจะทำความรู้จักกันว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหน

กำเนิดมาเจสติก 12

จากรายงานพบเห็นวัตถุบินลึกลับเป็นจำนวนมากในสหรัฐช่วงทศวรรษที่ 1950 ทำให้รัฐบาลสหรัฐวิตกกังวลว่า
มนุษย์ต่างดาวอาจจะแอบมาสอดแนม และบุกเข้ายึดครองโลกวันใดวันหนึ่ง เพื่อเป็นความไม่ประมาท
ประธานาธิบดี แฮร์รี่ ทรูแมน จึงได้จัดตั้งหน่วยงานลับหน่วยงานหนึ่งขึ้นเมื่อวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 1947
และตั้งชื่อหน่วยงานนี้ว่า "มาเจสติก 12" (Majestic 12) (http://en.wikipedia.org/wiki/Majestic12)

หลายคนอาจเคยรู้จักหรือได้ยินชื่อหน่วยงานนี้ในชื่ออื่นๆ เช่น เอ็มเจ12 (MJ-12), เมจิ12 (Maji 12),
เมจิก12 (Majic 12), หรือ เมจิคอม12 (Majicom 12) ก็ขอให้รับทราบว่าเรากำลังพูดถึงหน่วยงานเดียวกันอยู่

หน้าที่หลักของหน่วยงานนี้ก็คือ การนำข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับวัตถุบินลึกลับที่ได้มาจากกองทัพ
หน่วยสืบราชการลับ และหน่วยงานอื่นของรัฐมาศึกษาเพื่อหาข้อเท็จจริง

คำนี้มีความหมาย

เมจิก (Majic) เป็นคำที่ย่อมาจากคำว่า Majority Agency for Joint Intelligence Control หรือ
หน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางของหน่วยสืบราชการลับหน่วยต่างๆ ของสหรัฐ ส่วนมาเจสติก (Majestic)
นั้นน่าจะหมายถึง ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งคณะกรรมการในเมจิก 12 มีหน้าที่รายงานผลการสืบสวน
ให้กับประธานาธิบดีทราบเป็นระยะๆ

ปฏิบัติการเมเจอริตี้ (Majority Operation) เป็นปฏิบัติการที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องทุกเรื่องที่เกี่ยวข้อง
กับมนุษย์ต่างดาว คณะกรรมการที่อยู่ในหน่วยเมจิก12 นั้นจะถูกเรียกแทนด้วยโค้ด เช่น MJ1, MJ2 เรื่อยไป
จนถึง MJ12 พวกเขาจะประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐ เช่น หน่วยป้องกันราชอาณาจักร (NSA)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/84/National_Security_Agency_headquarters%2C_Fort_Meade%2C_Maryland.jpg/300px-National_Security_Agency_headquarters%2C_Fort_Meade%2C_Maryland.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/NSA)
ซีไอเอ เอฟบีไอ และหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐบาล

จะว่ากันไปแล้ว เมจิก12 ถือกำเนิดขึ้นเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์(อ้างว่ามี)จานบินมนุษย์ต่างดาวตกที่ รอสเวลล์
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/c/c4/RoswellDailyRecordJuly8%2C1947.jpg/300px-RoswellDailyRecordJuly8%2C1947.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Roswell_UFO_incident)

เมื่อต้นเดือนกรกฏาคม 1947 ทำให้รัฐบาลสหรัฐแต่งตั้งคณะบุคคลขึ้นสืบสวนเหตุการณ์ในครั้งนั้น
มีข่าวลือว่า เมจิก12 ได้ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวเกรย์ส (Greys)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/5/5b/GreyAlien.Roswell.NM.01.jpg/115px-GreyAlien.Roswell.NM.01.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Greys)
โดยมีข้อตกลงกันว่ามนุษย์ต่างดาวจะให้ความรู้ทางเทคโนโลยีแลกเปลี่ยนกับการที่สหรัฐ
จะให้พื้นที่ในการสร้างฐานทัพแก่มนุษย์ต่างดาวพร้อมกับมอบมนุษย์ให้เพื่อใช้ในการศึกษา
(ความเห็นส่วนตัวว่า น่าจะเป็นการใช้ IO อีกแบบหนึ่งในการสร้างข่าวลือของหน่วยงานรัฐ)

เมจิก12 ไมได้เพียงแค่มีหน้าที่ในการศึกษาเรื่องวัตถุบินลึกลับหรือสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวเท่านั้น พวกเขายังมีหน้าที่
ปกปิดเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ไม่ให้แพร่งพรายออกไปสู่สาธารณชน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องปกปิด
การมีอยู่ของหน่วยงานนี้

เมื่อมีรายงานว่ามีผู้พบเห็นวัตถุบินลึกลับ เจ้าหน้าที่ของเมจิก12 ก็จะรุดไปสอบสวน และถ้าหากพยานคนนั้น
รู้เห็นมากเกินไป เขาก็จะถูก "แนะ" และ "เตือน" ให้ระมัดระวังการพูดถึงเรื่องราวเหล่านั้นต่อสื่อมวลชน
ดังที่ วิลเลี่ยม "แมค" บราเซล (William "Mac" Brazel)
(http://www.roswellproof.com/files/BRAZEL.jpg) (http://www.roswellproof.com/Brazel_Interview.html)
ผู้พบชิ้นส่วนยานอวกาศตกที่ รอสเวลล์ และได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุท้องถิ่น แต่ภายหลังก็กลับคำให้สัมภาษณ์

วิธีการที่หน่วยงานนี้ใช้ในการ "กลบข่าว" นั้นดูจะโหดอยู่สักหน่อยถึงแม้จะไม่มีหลักฐานว่ามีพยานคนใดถูกฆาตกรรม
แต่พยานหลายคนก็หายสาบสูญไปเฉยๆ ! ส่วนเรื่องข่าวที่หลุดออกไปสู่สายตาสาธารณชนนั้น ใช่ว่ารัฐบาลจะเพียง
ออกมาแก้ข่าวให้ประชาชนหายตื่นตระหนกต่อข่าวนั้น แต่พวกเขากลับสร้างหลักฐานออกมาค้านมากมายจนทำให้
ดูเหมือนกับว่าผู้ให้ข่าวเป็นตัวตลกที่เพ้อเจ้อไปเอง
(ความเห็นส่วนตัวว่า ในเมืองไทยก็ทำคล้ายกันเพียงแต่ไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่จนตัวเองกลายเป็นตัวตลกเสียเอง)

ใครเป็นใครใน "เมจิก 12"

MJ1 พลเรือตรี รอสโค ฮิลเลนโคเอทเตอร์ (Rear Adm. Roscoe H. Hillenkoetter)
(http://www.nicap.org/images/Hillenk.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Roscoe_H._Hillenkoetter)
ผู้อำนวยการ ซีไอเอ (1947-1950) ถูกสงสัยว่าเป็นหัวหน้าทีมเมจิก12 อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล
และกองทัพสหรัฐเคยกล่าวยืนยันว่า มีกลุ่มผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว และในปี ค.ศ. 1960
ตัวนายพล รอสโค เองก็เคยยอมรับว่ามีการศึกษาเรื่องวัตถุบินลึกลับอย่างลับๆ

MJ2 ดร. แวนเนวาร์ บุช (Dr. Vannevar Bush)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/6/6e/Vannevarbush-young.JPG/300px-Vannevarbush-young.JPG) (http://en.wikipedia.org/wiki/Vannevar_Bush)
ประธานคณะกรรมการร่วมสภาวิจัยและพัฒนา (1945-1949) เป็นที่ปรึกษาประธานาธิบดี ผู้คิดค้นเครื่องคอมพิวเตอร์
ในยุคแรกๆ หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมสร้างระเบิดปรมาณู วิลเบิร์ท สมิธ (Wilbert Smith)
(http://www.nicap.org/images/WSmith.jpg)
วิศวกรโครงการป้องกันภัยของรัฐบาลแคนาดา ได้เขียนบันทึกไว้ในปี ค.ศ. 1950 ว่า
"ยานอวกาศมนุษย์ต่างดาวมีจริง แต่ยังไม่มีใครรู้ว่ามันทำงานอย่างไร ขณะนี้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง
ที่นำทีมโดย ดร. แวนเนวาร์ บุช กำลังศึกษาเรื่องนี้อย่างขมักเขม้น"

MJ3 เจมส์ ฟอร์เรสตอล (James Forrestal)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/d/d7/James_Forrestal.jpg/180px-James_Forrestal.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/James_Forrestal)
รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม (1947-1949) เขาเกิดอาการโรคประสาทและทำอัตวินิบาตกรรมในปี ค.ศ. 1949
ผู้ที่ได้รับเลือกเข้ามาแทนที่คือ พลเอก วอลเตอร์ บีเดลล์ สมิทธ์ (General Walter Bedell "Beetle" Smith)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/83/Ambassador_Walter_Bedell_Smith.jpg/180px-Ambassador_Walter_Bedell_Smith.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Walter_Bedell_Smith)
เอกอัครราชทูตประจำรัสเซีย (1946-1949) และผู้อำนวยการ ซีไอเอ (1950-1953) ในปี ค.ศ. 1991
พันเอกพิเศษ อาร์เธอร์ เอ็กซอน (General Arthur Exon) อดีตผู้บัญชาการฐานทัพอากาศ ไรท์-แพทเทอร์สัน
กล่าวว่าเขาไม่รู้จัก "เมจิก12" แต่ทราบว่ามีหน่วยงานลับชื่อ "13 ผู้ฝ่าฝืน(พระเจ้า)" (Unholy Thirteen)
กำลังศึกษาเรื่องวัตถุบินลึกลับ 13 ผู้ฝ่าฝืนที่เขากล่าวถึงอาจเป็นเมจิก12 กับประธานาธิบดีสหรัฐ

MJ4 พลอากาศเอก นาธาน ทวินิง (General Nathan F. Twining)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/b/b6/Twining_JCS.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Nathan_Twining)
ผู้บัญชาการศูนย์บัญชาการยุทธปัจจัยทางอากาศแห่งฐานทัพไรท์ ต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานของ
เสนาธิการทหาร ซึ่งเป็นตำแหน่งทางทหารที่สูงที่สุดของกองทัพสหรัฐ ดร. เอริค วอลเกอร์ (Eric Walker)
อดีตประธานสถาบันวิเคราะห์การป้องกันภัย อ้างว่าเขาเคยร่วมสัมมนาเกี่ยวกับการค้นพบยานอวกาศมนุษย์ต่างดาว
ที่ฐานทัพไรท์-แพทเทอร์สัน เขายังกล่าวอีกด้วยว่าเขารู้จัก "เมจิก12" ทุกคนมานานกว่า 40 ปีแล้ว!

MJ5 พลเอก ฮอยท์ แวนเดนเบิร์จ (General Hoyt Sanford Vandenberg)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/6/69/Hoyt_Vandenberg.jpg/180px-Hoyt_Vandenberg.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Hoyt_Vandenberg)
หัวหน้าหน่วยข่าวกรองกองทัพในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นผู้อำนวยการ ซีไอเอ (1946-1947)

MJ6 ดร. เดท์เลฟ บรอง (Dr. Detlev Bronk)
(http://webapps.jhu.edu/jhuniverse/information_about_hopkins/about_jhu/past_presidents/bronk.gif) (http://en.wikipedia.org/wiki/Detlev_Bronk)
นักชีวฟิสิกส์ หัวหน้าสมาคมนักวิทยาศาสตร์ และประธานที่ปรึกษาทางการแพทย์ของคณะกรรมการพลังงานปรมาณู

MJ7 ดร. เจอโรม ฮันเซเกอร์ (Dr. Jerome Hunsaker)
(http://www.ufocasebook.com/maj/hunsaker.jpg)
นักออกแบบเครื่องบินผู้มีชื่อเสียง และประธานคณะกรรมการให้คำปรึกษาวิชาการบิน

MJ8 พลเรือตรี ซิดนีย์ โซเออร์ (Rear Admiral Sidney Souers)
(http://www.ufocasebook.com/maj/souers.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Sidney_Souers)
ผู้อำนวยการ ซีไอเอ (1946) และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการบริหารของสภาความมั่นคงแห่งชาติในปี ค.ศ. 1947
ดอน เบอร์ลิงเจอร์ (Don Berlinger) นักเขียนเรื่องวิทยาศาสตร์และนักสืบสวนเรื่องวัตถุบินลึกลับได้รับฟิล์มถ่ายรูปเอกสาร
"คู่มือปฏิบัติการพิเศษมาเจสติก 12" (Majestic - 12 Group Special Operations) ลงวันที่เดือน เมษายน 1954
จำนวน 23 หน้า จากผู้ไม่ประสงค์ออกนามเมื่อปี 1994
(http://www.ufocasebook.com/maj/new89.jpg)

MJ9 กอร์ดอน เกรย์ (Gordon Gray)
(http://www.ufocasebook.com/maj/gray.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Gordon_Gray)
ผู้ช่วยเลขานุการกองทัพ ต่อมาเป็นที่ปรึกษาสภาความมั่นคงและผู้อำนวยการฝ่ายยุทธจิตศาสตร์ของ ซีไอเอ

MJ10 ดร. โดนัลด์ เมนเซล (Dr. Donald Howard Menzel)
(http://www.ufocasebook.com/maj/menzel.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Donald_Menzel)
ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และนักพิสูจน์ (ว่าไม่จริง) วัตถุบินลึกลับ
ได้รับหน้าที่กี่ยวกับโครงการลับสุดยอดหลายโครงการและยังเป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีหลายสมัย

MJ11 พลตรี โรเบิร์ท มอนตากู (Maj. Gen. Robert Montague)
(http://www.ufocasebook.com/maj/montague.jpg)
หัวหน้าโครงการอาวุธพิเศษของคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู

MJ12 ดร. ลอยด์ เบอร์เคเนอร์ (Dr. Lloyd Berkner)
(http://www.ufocasebook.com/maj/berkner.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Lloyd_Berkner)
เลขานุการบริหารของคณะกรรมการร่วมสภาวิจัยและพัฒนา
และเป็นสมาชิกของคณะกรรมการกองทุนวิจัยวัตถุบินลึกลับของ ซีไอเอ ในปี ค.ศ. 1950

ภายใต้โครงการเมจิก (Majic Projects) ยังมีการแบ่งงานกันทำออกเป็นโครงการย่อยๆ อีกมากมายคือ

ซิกม่า (Sigma)
ทำหน้าที่ในด้านทำการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว

พลาโต้ (Plato)
สร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับมนุษย์ต่างดาว

อควาริอัส (Aquarius)
ศึกษาเปรียบเทียบประวัติศาสตร์โลกและเผ่าพันธ์มนุษย์ กับการปรากฏตัวของมนุษย์ต่างดาว

การ์เน็ท (Garnet)
ควบคุมข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว

พลูโต (Pluto)
ประเมินข้อมูลที่ได้จากวัตถุบินลึกลับเพื่อนำมาใช้ในเทคโนโลยีทางอวกาศ

พันซ์ (Pounce)
กู้ยานอวกาศที่ตกหรือลงจอด และยังทำหน้าที่สร้างเรื่องเพื่อปกปิดความจริงไม่ให้ออกสู่สายตาสาธารณชน
โครงการนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงและปัจจุบันยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่

เอ็นอาร์โอ (NRO)
องค์กรลาดตระเวณแห่งชาติ (National Recon Organization) มีสำนักงานอยู่ที่ป้อมคาร์สัน รัฐโคโลราโด
รับผิดชอบทางด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดจากมนุษย์ต่างดาว

เดลต้า (Delta)
เป็นกองกำลังให้กับเอ็นอาร์โอ มีรหัสเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ชายชุดดำ" (Men In Black)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/9/92/Man_in_black.jpg/180px-Man_in_black.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Men_in_Black)
(ความเห็นส่วนตัว เป็นที่มาของภาพยนตร์เรื่อง Men In Black)

บลูทีม (Blue Team)
เดิมทีคือ โครงการศูนย์บัญชาการยุทโธปกรณ์การบิน รับผิดชอบเหตุการณ์ยานอวกาศมนุษย์ต่างดาวตก
หรือร่อนลงจอด และ/หรือการปรากฏตัวของมนุษย์ต่างดาว

ไซน์ (Sign)
หรือที่ผมเคยเรียกว่าโครงการสัญลักษณ์ทำหน้าที่รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อดูว่ามนุษย์ต่างดาวที่พบนั้นมาดีหรือร้าย

เรดไลท์ (Red Light)
ทำการทดสอบยานอวกาศมนุษย์ต่างดาวที่ยึดมาได้ โครงการนี้ทดลองกันในพื้นที่ 51 แต่หลังจากที่ล้มเหลวจากการทดสอบ
และมีนักบินหลายคนเสียชีวิต โครงการนี้ถูกยกเลิกไปช่วงหนึ่งแต่ก็กลับมารื้อฟื้นอีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1972
การทดลองประสบความสำเร็จขั้นหนึ่งและปัจจุบันโครงการนี้ยังดำเนินอยู่

สโนวเบิร์ด (SnowBird)
เป็นโครงการที่สร้างขึ้นมาเป็นฉากบังหน้าโครงการเรดไลท์ เป็นการสร้างเครื่องบินที่มีรูปร่างเหมือน
จานบินของมนุษย์ต่างดาวแต่ใช้เทคโนโลยีของเครื่องบินธรรมดา เพื่อสร้างข่าวส่งไปยังสื่อมวลชน
ทำให้ประชาชนเข้าใจว่า จานบินที่ตนเห็นนั้นแท้จริงแล้วก็คือ เครื่องบินรุ่นใหม่ที่กองทัพอากาศสหรัฐ
กำลังศึกษาและทดลองอยู่ แต่โครงการนี้จะทำเป็นช่วงๆ เฉพาะตอนที่รัฐบาลต้องการสงบข่าวเวลาที่มี
คนร่ำลือกันว่าเห็นยานอวกาศมนุษย์ต่างดาว

บลูบุ้ค (Blue Book) (http://en.wikipedia.org/wiki/Project_Blue_Book)
(http://www.ufocasebook.com/bbook.jpg) (http://www.ufocasebook.com/bluebook.html)
โครงการนี้เริ่มขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1947 และถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 1969 เป็นโครงการที่เก็บรวบรวมข้อมูล
เกี่ยวกับวัตถุบินลึกลับและมนุษย์ต่างดาว โครงการอควาริอัส มารับหน้าที่ต่อจากโครงการนี้


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 15, 2006, 12:19:34 AM
หัวข้อบ่งถึงความแสบของมะริกาได้มากนะครับ

ที่แสบกว่าคือรัฐบาลของไทยตอนนี้ก็เป็นมือไม้ของเขาด้วยน่ะสิครับ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: Udomkd ที่ สิงหาคม 15, 2006, 10:37:51 AM
ด้วย  :VOV:

ความเห็นต่อไปนี้ มิได้มีเจตนาคัดแย้ง การแสดงกระทู้ของคุณ narongt น๊ะครับ โดยสัตย์ ผมชอบบทความที่ คุณ narongt นำเสนอ ขอให้นำมาออกเรื่อยๆครับ ผมเพียงแสดงความคิดเห็น ตามความคิด ซึ่งผมมองว่า ไม่มีผิดมีถูก  
(จากข้อมูลข่าวสาร) ว่ากันว่า อเมริกาคิดทำอะไร มันจะคิดแผนการล่วงหน้าเป็นระยะยาวมากๆ แล้วก็จะมีการทำสานต่อไปเรื่อยๆ
โดยที่จะมีเหตุผลหลักคือ เพื่อผลประโยชน์ของอเมริกาเท่านั้น

เหตุผลที่อเมริกานำเสนอว่า (อาจมี หรือมี หรือ จะมี)มนุษย์ต่างดาว มาบุกยึดครองโลก

แต่การกระทำทั้งหมด หลายๆเหตุการณ์ ที่อเมริกาเข้าไปเกี่ยวข้อง อเมริกานั้นแหละ เป็นมนุษย์ต่างดาวเสียเอง

อเมริกา ชอบเอาเปรียบชนชาวโลก

เริ่มตั้งแต่อเมริกาตั้งถิ่นฐานของอเมริกาเอง โดยมองชาวพื้นเมืองเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่ไช่ มนุษย์ด้วยกัน

และจวบจนปัจจุบัน อเมริกาก็ยังเอาเปรียบชนชาวโลกอยู่เสมอๆ

อนาคต อเมริกาก็จะเอาเปรียบชาวโลกต่อๆไป

แต่...ผมก็ยังชอบการทำงาน วิธีการทำงาน

แต่...ไม่ชอบ วิธีคิดแบบ อเมริกา



หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ สิงหาคม 15, 2006, 10:48:12 AM
เอาเรื่อง IO ไม่ใช่เรื่องที่แลงลี่ย์นะครับ... นายสมชายเชื่อเรื่อง IO เพราะเรียนด้านนี้มา...

แต่การตีความใช้ฯ ตามข้างบนมีหลายประเด็นต้องแยกเรื่องนะครับ... แฮ่ๆ
เพราะหน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานที่เอา IO มาใช้มากที่สุดครับเลยต้องบอกที่มาที่ไปของหน่วยงานก่อน
และอีกอย่างผมคัดลอกมาจากหนังสือเกือบทุกตัว ยกเว้นคำผิดถึงจะแก้ไขครับ

ลืมบอกไปครับ ถ้าต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติมให้คลิ๊กที่ภาพหรือข้อความ จะลิงค์ไปที่ WIKIPEDIA

นายสมชายเขียนสื่อข้อความไม่ชัดเจนครับ...

หมายความว่า... เอาเฉพาะเรื่อง IO ว่า... เจตนาและผลของการใช้งานในประเทศไทยต้องแยกเป็นเรื่องๆครับ ไม่ถูกทั้งหมดและไม่ผิดทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในประเทศไทย บางเรื่องคนที่นั่งวางแผนก็แตกคอกัน ฝ่ายไหนเผลอ อีกฝ่ายก็ลากไปอีกข้างหนึ่ง ลากได้มั่งไม่ได้มั่ง... มีเรื่องให้ค้นแยะครับ แต่ต้องค้นที่เมืองนอก อยู่ในรูปรายงานการประชุมเก่าๆ...

ส่วนเรื่องที่แลงลี่ย์... นายสมชายไม่มีความเห็นครับ... แฮ่ๆ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 15, 2006, 11:02:16 AM
ด้วย :VOV:

ความเห็นต่อไปนี้ มิได้มีเจตนาคัดแย้ง การแสดงกระทู้ของคุณ narongt น๊ะครับ โดยสัตย์ ผมชอบบทความที่ คุณ narongt นำเสนอ ขอให้นำมาออกเรื่อยๆครับ ผมเพียงแสดงความคิดเห็น ตามความคิด ซึ่งผมมองว่า ไม่มีผิดมีถูก  
(จากข้อมูลข่าวสาร) ว่ากันว่า อเมริกาคิดทำอะไร มันจะคิดแผนการล่วงหน้าเป็นระยะยาวมากๆ แล้วก็จะมีการทำสานต่อไปเรื่อยๆ
โดยที่จะมีเหตุผลหลักคือ เพื่อผลประโยชน์ของอเมริกาเท่านั้น

เหตุผลที่อเมริกานำเสนอว่า (อาจมี หรือมี หรือ จะมี)มนุษย์ต่างดาว มาบุกยึดครองโลก

แต่การกระทำทั้งหมด หลายๆเหตุการณ์ ที่อเมริกาเข้าไปเกี่ยวข้อง อเมริกานั้นแหละ เป็นมนุษย์ต่างดาวเสียเอง

อเมริกา ชอบเอาเปรียบชนชาวโลก

เริ่มตั้งแต่อเมริกาตั้งถิ่นฐานของอเมริกาเอง โดยมองชาวพื้นเมืองเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่ไช่ มนุษย์ด้วยกัน

และจวบจนปัจจุบัน อเมริกาก็ยังเอาเปรียบชนชาวโลกอยู่เสมอๆ

อนาคต อเมริกาก็จะเอาเปรียบชาวโลกต่อๆไป

แต่...ผมก็ยังชอบการทำงาน วิธีการทำงาน

แต่...ไม่ชอบ วิธีคิดแบบ อเมริกา



ไม่ได้ขัดแย้งหรอกครับ ผมก็คิดแบบคุณเหมือนกัน
อยากให้ลองอ่านกระทู้เรื่องลัทธิล่าอาณานิคมที่ผมเคยตั้งกระทู้ไว้
ซึ่งคนอเมริกาก็ถอดแบบมาจากคนยุโรป คนอเมริกาปัจจุบันก็คือนักล่าอาณานิคมของยุโรปหลายๆชาติ
ที่ไปยึดที่ดินจากชาวพื้นเมือง เช่น อินเดียนแดง กว่าจะมาเป็นอเมริกาในวันนี้ เขาก็ต้องฆ่ากันเอง
ในสงครามกลางเมืองมาหลายครั้ง

ส่วนในวงเล็บของประโยคข้างล่างนี้ ต้องขอโทษที พอดีเป็นความเห็นของผมเอง
เพราะกลัวว่าเดี๋ยวคนที่อ่านจะเชื่อร้อยเปอร์เซนต์ว่ามีมนุษย์ต่างดาว ซึ่งมันยังไม่มีหลักฐานชัดเจนพอ

จะว่ากันไปแล้ว เมจิก12 ถือกำเนิดขึ้นเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์(อ้างว่ามี)จานบินมนุษย์ต่างดาวตกที่ รอสเวลล์


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 15, 2006, 11:11:39 AM

หมายความว่า... เอาเฉพาะเรื่อง IO ว่า... เจตนาและผลของการใช้งานในประเทศไทยต้องแยกเป็นเรื่องๆครับ ไม่ถูกทั้งหมดและไม่ผิดทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในประเทศไทย บางเรื่องคนที่นั่งวางแผนก็แตกคอกัน ฝ่ายไหนเผลอ อีกฝ่ายก็ลากไปอีกข้างหนึ่ง ลากได้มั่งไม่ได้มั่ง... มีเรื่องให้ค้นแยะครับ แต่ต้องค้นที่เมืองนอก อยู่ในรูปรายงานการประชุมเก่าๆ...


รับทราบครับผม จะพยายามค้นหามาครับ แต่ผมขอเปลี่ยนชื่อกระทู้นะครับ
เพราะจริงๆแล้วตอนตั้งกระทู้ตอนแรกว่าจะตั้งเกี่ยวกับเรื่อง ทฤษฏีสมคบคิด
แต่พอดีไปเจอกระทู้เกี่ยวกับการเมืองไทยที่เข้าข่าย เลยเอามาตั้งชื่อไปก่อน ขออภัยอย่างสูงครับ
(อีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าตั้งเรื่องที่ใกล้ตัวมากไปจะเสี่ยงไปหน่อยครับ ไม่ค่อยอยากจะขึ้นศาลเท่าไหร่ แหะๆ)


หัวข้อ: การเดินทางข้ามเวลา
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 15, 2006, 07:42:05 PM
การเดินทางข้ามเวลา

การเดินทางข้ามเวลา เป็นเรื่องที่เรามักจะอ่านพบในนิยายวิทยาศาสตร์หลายๆ เรื่อง อันที่จริงแล้วการเดินทางข้ามเวลา
ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเพ้อฝันในนิยายเท่านั้น หากแต่ในความเป็นจริงแล้วได้มีการเดินทางข้ามเวลาเกิดขึ้นจริงๆ!

เพียงแต่ว่าการเดินทางข้ามเวลาที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเหตุบังเอิญที่เกิดจากการทดลองโครงการลับที่ใช้ในทางทหาร
สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

โครงการ "เรนโบว์" (http://en.wikipedia.org/wiki/Project_rainbow)
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพเรือสหรัฐ ได้ทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางการทหาร เพื่อนำไปใช้ในการสงคราม
หนึ่งในการทดลองนั้นคือ การพยายามทำให้เรือพิฆาตไม่ปรากฏบนจอเรดาร์ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า
เป็นการทดลองเทคโนโลยีล่องหนครั้งแรกของโลก
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/0/01/F-117_Nighthawk_flight.jpg/180px-F-117_Nighthawk_flight.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Stealth_technology)

โครงการ "เรนโบว์" (Project Rainbow) (http://en.wikipedia.org/wiki/Project_rainbow) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า การทดลองฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia Experiment) (http://en.wikipedia.org/wiki/Philadelphia_Experiment)
ได้ทำการทดลองขึ้นที่ฐานทัพเรือสหรัฐในฟิลาเดเฟีย  ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 1943 โดยการใช้เครื่องสร้างพลังงานสนามแม่เหล็ก
ขนาดใหญ่ติดตั้งบนเรือรบ

สนามแม่เหล็กที่ถูกสร้างขึ้นจะทำการเบี่ยงเบนคลื่นเรดาร์ ทำให้คลื่นเรดาร์ไม่กระทบลำเรือและสะท้อนกลับไปยังตัวรับสัญญาณ
ข้าศึกจึงไม่สามารถใช้เรดาร์ในการตรวจจับเรือรบดังกล่าวได้ ไม่เพียงแต่เท่านั้นสนามแม่เหล็กยังได้หักเหการเดินทางของแสง
ทำให้เรามองไม่เห็นมันอีกด้วย ซึ่งหลักการดังกล่าวเหมือนกับการที่เราเห็นภาพลวงตาบนท้องถนนในวันที่แดดแรง (Mirage)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/7/79/Roadmirage.jpg/400px-Roadmirage.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Mirage)

เปิดตำนาน

เช้าวันที่ 22 กรกฏาคม ค.ศ. 1943 เวลา 9:00 น. การทดลองที่นำไปสู่การเดินทางข้ามเวลาได้เริ่มขึ้น
บนเรือพิฆาต เอลดริจ หรือ ดีอี173 (USS Eldridge - DE-173)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/3/3b/De173Eldridge.jpg/300px-De173Eldridge.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/USS_Eldridge_%28DE-173%29)
เครื่องสร้างพลังงานสนามแม่เหล็กเริ่มทำงานมันสร้างหมอกควันสีเขียวขึ้นทีละน้อยรอบๆ ลำเรือ และเมื่อหมอกควันสีเขียว
เริ่มจางลง เรือเอลดริจ ก็หายไปจากจอเรดาร์ และจากสายตาผู้คนที่เฝ้าดูการทดลองครั้งนั้น

ประมาณ 15 นาทีต่อมา ก็มีคำสั่งให้ปิดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก หมอกควันสีเขียวเริ่มก่อตัวอีกครั้งหนึ่ง
แต่ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างผิดพลาดอย่างมหันต์!

บรรดาลูกเรือทั้งหมดที่อยู่บนกราบเรือ มีอาการคลื่นเหียน อาเจียน ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ กองทัพเรือมีคำสั่ง
ให้เปลี่ยนลูกเรือชุดใหม่ เพื่อทำการทดลองต่อไป แต่ ดร. จอห์น ฟอน นิวแมน (Dr. John von Neumann)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/d/d6/JohnvonNeumann-LosAlamos.jpg/212px-JohnvonNeumann-LosAlamos.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/John_Von_Neumann)
นักวิทยาศาสตร์ผู้รับผิดชอบการทดลองครั้งนี้ ได้คัดค้านขอให้ยุติการทดลองไว้ชั่วคราว เพื่อขอเวลาในการตรวจหา
สาเหตุและทำการแก้ไขเสียก่อน

กองทัพเรือขีดเส้นตายให้กับ ดร. จอห์น ไว้แค่วันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1943 หรือเพียงไม่ถึง 3 สัปดาห์เท่านั้น
โดยไม่ได้ให้เหตุผลเลยว่าทำไมการทดลองจึงต้องมีขึ้นภายในวันที่ 12 สิงหาคม นอกเสียจากบอกกับ ดร. จอห์น ว่า
พวกเขายังไม่ต้องการให้เรือรบหายไปจริงๆ จากสายตา พวกเขาต้องการเพียงแค่ให้เรือรบไม่ปรากฏบนจอเรดาร์เท่านั้น

การทดลองครั้งประวัติศาสตร์
หลังจากที่ ดร.จอห์น ได้แก้ไขเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กแล้ว การทดลองเรือรบล่องหน ก็เริ่มขึ้นอีกครั้งในวันเส้นตายที่กองทัพเรือ
กำหนดไว้ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1943 ลูกเรือชุดใหม่ได้ขึ้นประจำการบน เรือพิฆาตเอลดริจ เครื่องสร้างสนามแม่เหล็กเริ่มทำงาน
เวลาผ่านไปราว 60 วินาที ทุกอย่างดูไปได้สวย เรือพิฆาตเอลดริจ เริ่มหายไปจากจอเรดาร์ แต่ก็ยังสามารถมองเห็นเป็นรูป
โครงเรือลางๆ ได้ด้วยตา แต่ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างสีฟ้าวาบขึ้น!
(http://www.hutchisoneffect.biz/Philadephia%20Experiment/USS_Eldridge_Ani.gif) (http://www.hutchisoneffect.biz/Philadephia%20Experiment/cover.htm)

เรือพิฆาตเอลดริจ ได้หายไปจากน่านน้ำ!
ดร. จอห์น เริ่มมีอาการระส่ำระสาย เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาได้แก้ไขเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กแล้ว
แต่ทำไมเหตุการณ์เดิมยังเกิดขึ้น พวกเขาพยายามส่งวิทยุติดต่อกับเรือพิฆาตเอลดริจ แต่ก็ไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด

ราว 4 ชั่วโมงต่อมา เรือพิฆาตเอลดริจก็กลับมาปรากฏตัวขึ้นที่เดิม เสาอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้ รับ-ส่งคลื่นวิทยุหักโค่นลง
เหล่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่างก็รีบรุดไปที่เรือพิฆาตเอลดริจทันที เมื่อไปถึงเรือพวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่พบ

ร่างของลูกเรือ 2 คน ถูกดูดจนตัวติดกับพื้นเรือ เหมือนประหนึ่งว่าร่างกายของเขาเป็นโลหะชิ้นหนึ่ง เช่นเดียวกับ
ลูกเรืออีก 2 คน ที่ถูกผนังเรือดูดเข้าไปจนติดเป็นส่วนหนึ่งของผนัง ส่วนลูกเรือคนที่ 5 นับว่าโชคดีหน่อยที่เพียงแค่
แขนข้างหนึ่งของเขาเท่านั้นที่ติดอยู่กับผนังเรือ เขายังมีชีวิตอยู่เพียงแต่ว่าต้องตัดแขนเขาเพื่อแยกตัวเขาออกจากผนังเรือ

ลูกเรือหลายคนถูกไฟไหม้ตามร่างกาย และทุกคนมีอาการสติแตก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จะมีก็แต่ลูกเรือที่ประจำการ
อยู่ในห้องด้านล่างของตัวเรือเท่านั้นที่ไม่ได้รับอันตราย และหนึ่งในนั้นก็คือ อัลเฟรด เบเลก (Alfred Bielek)
(http://www.bielek.com/images/albielek/young_al_sm.jpg) (http://www.bielek.com/albielek.htm)
ผู้ที่เปิดเผยเรื่องราวการทดลองครั้งนี้

ใครคือ "อัลเฟรด เบเลก"
อัลเฟรด เบเลก เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1916 ที่รัฐนิวยอร์ก เดิมทีนั้นเขาชื่อ
เอ็ดวาร์ด เอ คาเมรอน (Edward A. Cameron)
(http://www.bielek.com/images/albielek/al_cameron_sm.jpg) (http://www.bielek.com/ab_edcameron.htm)
เป็นบุตรชายของ อเล็กซานเดอร์ ดันแคน คาเมรอน ซีเนียร์ (Alexander Duncan Cameron, Sr) จบการศึกษา
ระดับปริญญาเอก สาขาฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก ประเทศสก็อตแลนด์ ในปี ค.ศ. 1939

ไม่เพียงแต่เท่านั้น อัลเฟรด ยังจบปริญญาตรีและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยพรินสตัน และกำลังจะศึกษาต่อปริญญาเอก
ที่ฮาร์วาร์ด อาจเป็นเพราะบิดาของเขาเคยรับราชการในราชนาวีสหรัฐ จึงทำให้ อัลเฟรด และน้องชายของเขา
เข้ารับราชการในราชนาวีสหรัฐ เช่นกัน

4 ชั่วโมงที่หายไป
เมื่อเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กทำงานเต็มที่ เหล่าลูกเรือก็พบว่าเรือพิฆาตเอลดริจ ได้ปรากฏตัวบนฝั่งแห่งหนึ่ง พวกเขาจึงได้
ลงจากเรือเพื่อมาสำรวจพื้นที่ พวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และสุนัขตรวจตราลาดตระเวณอยู่เต็มไปทั่วบริเวณ
เมื่อมองไปบนท้องฟ้าพวกเขาก็เห็นเฮลิคอปเตอร์ ฉายไฟสปอตไลท์มาที่พวกเขา แต่ตอนนั้นพวกเขาไม่รู้จักเฮลิคอปเตอร์

ครู่เดียวเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็กรูกันมาที่พวกเขาแล้วพาพวกเขาลงไปยังห้องใต้ดิน
พวกเขาพบกับชายสูงอายุคนหนึ่ง ซึ่งได้แนะนำตัวเองว่าเขาคือ ดร. จอห์น ฟอน นิวแมน

อัลเฟรดถึงกับช็อค เพราะเขาเพิ่งจะจากกับ ดร.จอห์น เมื่อสักครู่นี้เอง และเขาก็หนุ่มกว่านี้มาก ดร.จอห์น อธิบายให้ฟังว่าสถานที่นี้คือ
สถานที่ทดลอง โครงการฟินิกส์ (Phoenix Project) (http://www.philadelphia-experiment.com/Camp_Hero_Fort_Montauk.htm) ตั้งอยู่ที่มอนทอก เมืองลองไอส์แลนด์ (Montauk, Long Island)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/7/77/Montauk1.jpg/300px-Montauk1.jpg) (http://maps.google.com/maps?f=q&hl=en&q=montauk,+ny&ll=41.062418,-71.873953&spn=0.00091,0.002704&t=k)
วันนี้คือวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1983
(ความเห็นส่วนตัวว่า น่าจะเป็นที่มาของภาพยนตร์เรื่อง Back To The Future, The Final Countdown และอื่นๆ)

ดร. จอห์น เล่าเรื่องราวให้ฟังคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ "การทดลองฟิลาเดเฟีย" ในปี ค.ศ. 1943 จากนั้นก็สั่งให้
ทุกคนกลับไปที่เรือ และให้ปิดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กโดยเร็ว การทดลองฟิลาเดเฟีย ในปี ค.ศ. 1943
และการทดลองฟินิกส์ ในปี ค.ศ. 1983 ได้ก่อให้เกิด "ช่องว่าง" ของเวลาและได้ดูดเอาเรือพิฆาตเอลดริจ
จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งซึ่งมีเวลาห่างกัน 40 ปี

ดร. จอห์น สั่งให้ทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ ที่จะหยุดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก
ไม่เช่นนั้นสนามแม่เหล็กจะก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดปัญหาอย่างใหญ่หลวงต่อโลก

เมื่อพวกเขากลับไปที่เรือ ก็ช่วยกันหยิบขวานขึ้นมาทุบไปบนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า แผงควบคุม และอุปกรณ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง
จนในที่สุดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กก็หยุดทำงาน และเรือพิฆาตเอลดริจ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่เดิม ในปี ค.ศ. 1943 อีกครั้ง

ลูกเรือทุกคนที่รอดชีวิตกลับมาได้จากการทดลองครั้งนั้น ได้ถูกรัฐบาลจัดการล้างสมอง ลบความจำจนหมดสิ้น
และได้เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเสียใหม่ พร้อมทั้งสร้างข้อมูลชีวิตใหม่ให้กับพวกเขา และนี่คือเหตุผลที่
เอ็ดวาร์ด เอ คาเมรอน ได้หายไปจากโลก และมี อัลเฟรด เบเลก ขึ้นมาแทน

ฟื้นความทรงจำ

อย่างที่กล่าวไว้แหละครับ เดิมที อัลเฟรด ได้ถูกรัฐบาล จับไปล้างสมองและลบความทรงจำไปจนหมดสิ้นแล้ว
เขาใช้ชีวิตในชื่อของ อัลเฟรด เบเลก ตลอดมาจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1983 บริษัทสร้างภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ
อี เอ็ม ไอ ตรอน คอร์เปอเรชั่น (EMI Thron Corp.) ได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง การทดลองฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia Experiment)
(http://ia.imdb.com/media/imdb/01/I/52/96/73m.jpg) (http://www.imdb.com/title/tt0087910/)

ภาพยนตร์เรื่องเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทดลองที่ อัลเฟรด ได้ประสบมา อีเอ็มไอ ได้กำหนดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้
ในประเทศสหรัฐช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1984 แต่เมื่อก่อนจะถึงกำหนดฉายเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น
ทาง อีเอ็มไอ ก็ได้รับจดหมายจากรัฐบาลสหรัฐ มีข้อความว่าพวกเขาไม่ประสงค์ให้มีการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้
ในประเทศสหรัฐ

อีเอ็มไอ ได้ลงทุนทำการประชาสัมพันธ์และออกกำหนดการ การฉายภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว อีกทั้งเขาก็เพิ่งจะได้รับ
จดหมายห้ามจากสหรัฐเพียงแค่ 3 วันก่อนวันฉาย อีเอ็มไอ จึงได้ตัดสินใจฉายภาพยนตร์ในสหรัฐ ตามกำหนดการเดิม
โดยเสแสร้งทำเป็นว่าพวกเขาไม่ได้รับจดหมายห้ามจากรัฐบาลสหรัฐ

ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในรัฐต่างๆ ทั่วประเทศสหรัฐ เมื่อภาพยนตร์เริ่มฉาย ทาง อีเอ็มไอ ก็ได้รับจดหมายเตือนฉบับที่ 2
จากสหรัฐอีก แต่คราวนี้ อีเอ็มไอ ไม่สามารถแกล้งโง่ได้อีก ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ยอมหยุดฉายภาพยนตร์ทันทีทันใด
แถมยังได้ส่งจดหมายกลับไปว่า อีเอ็มไอ จะหยุดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ต่อเมื่อมีคำสั่งห้ามเป็นคำพิพากษาจากศาลเท่านั้น

แน่นอนว่าเรื่องจ้อยๆ แค่นี้ ทำได้ไม่ยากหรอกครับ เพียงแค่ 2 สัปดาห์ต่อมาก็มีคำสั่งจากศาล ให้หยุดการฉายภาพยนตร์
เรื่องนี้ในประเทศสหรัฐ และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็หายไปจากประเทศสหรัฐถึง 2 ปีเต็มๆ ในระหว่างนั้น อีเอ็มไอ ได้พยายาม
หาหนทางที่จะนำภาพยนตร์เรื่องนี้กลับเข้าไปในประเทศสหรัฐ จนกระทั่ง 2 ปีผ่านไปพวกเขาก็ประสบความสำเร็จ
โดยผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาในรูปแบบของวิดิโอเทป และส่งเข้าไปขายในสหรัฐ

เมื่อ อัลเฟรด ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ความจำของเขาก็เริ่มกลับมา อัลเฟรด กล่าวว่าในช่วงต้นเรื่องภาพยนตร์สร้างออกมา
ได้ใกล้เคียงความจริงมาก ส่วนช่วงหลังของภาพยนตร์นั้นมีการเสริมแต่งเรื่องเพื่อให้ภาพยนตร์เป็นที่ประทับใจ

อัลเฟรด ได้พยายามสืบหาผู้ที่รอดชีวิตจากการทดลองครั้งนั้น ในที่สุดเขาก็พบกับ นาวาตรี อลัน แบชเลอร์
(Lt. Commander Alan Batchelor) ผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าลูกเรือในการทดลองฟิลาเดเฟีย อลันจำ อัลเฟรดได้ว่า
เขาเป็นหนึ่งในลูกเรือเอลดริจ และยังบอกกับเขาด้วยว่า เขาไม่ได้ชื่อ อัลเฟรด เบเลก

อลัน ได้สูญเสียความจำบางส่วนไป แต่อย่างน้อยเขาก็จำได้ว่า อัลเฟรด ประจำการอยู่บนเรือร่วมกับน้องชาย
และยังพอจะจำเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นได้

มาถึงตอนนี้คุณอาจสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของอัลเฟรดเขาหายไปไหน? ผมขอย้อนกลับไปที่เหตุการณ์บนเรือเอลดริจ
ตอนที่หลุดเข้าไปในประตูมิติเวลา ระหว่างที่เหล่าลูกเรือกำลังช่วยกันทำลายเครื่องสร้างสนามพลังอยู่นั้น น้องชายของ อัลเฟรด
ได้ตัดสินใจกระโดดลงจากเรือ ครับเขาอยู่ในปี ค.ศ. 1983 ในขณะที่ลูกเรือคนอื่นกลับมาในปี ค.ศ. 1943

การทดลองครั้งสุดท้าย

หลังจากที่เกิดการผิดพลาดในการทดลองเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ราชนาวีสหรัฐ ได้สั่งให้สร้างเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กขึ้นมาใหม่
และกำหนดให้มีการทดลองอีกครั้ง แต่คราวนี้จะไม่ลูกเรือ

ราวปลายเดือนตุลาคม เวลาประมาณ 22:00 น. การทดลองได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง พวกเขาได้ใช้สายเคเบิลยาวประมาณ 1,000 ฟุต
ผูกติดกับคันบังคับปิด-เปิด เครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก เพื่อใช้เป็นรีโมท (ไม่รู้ว่าจะถือว่าเป็นต้นกำเนิดรีโมทคอนโทรลได้หรือเปล่า?)

เมื่อเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กทำงาน เรือเอลดริจก็ได้หายไปจากน่านน้ำในฟิลาเดเฟีย มีพยานจำนวนมาก
เห็นมันไปปรากฏตัวที่ท่าเรือใน นอร์ฟอล์ก รัฐเวอร์จิเนีย (http://maps.google.com/maps?ll=36.885747,-76.2599&spn=0.11,0.18) นานเป็นเวลาประมาณ 15 นาที แล้วจู่ๆ มันก็หายตัวไป

เรือเอลดริจ กลับมาปรากฏตัวที่ฟิลาเดเฟียอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครปิดเครื่อง แต่เครื่องสร้างสนามแม่เหล็กได้หยุดทำงานด้วยตัวมันเอง
http://maps.google.com/maps?ie=UTF8&ll=36.885747,-76.2599&spn=9.275619,17.446289&om=1

เมื่อเจ้าหน้าที่ขึ้นไปบนเรือ พวกเขาพบว่าอุปกรณ์จำนวนมากกว่าครึ่งหายไป ห้องควบคุมมีกลุ่มควันเต็มไปหมด
พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรือเอลดริจ รู้ก็แต่เพียงว่าต้องมีอะไรผิดปรกติอย่างแน่นอน ในที่สุดราชนาวีสหรัฐ
ก็ตัดสินใจระงับโครงการเรนโบว์นี้

เรือเอลดริจ ได้ถูกนำมาประกอบอุปกรณ์มาตรฐานของเรือพิฆาตอีกครั้ง เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่ใข้ในการทดลองฟิลาเดเฟีย
ถูกยกออก และส่งมันกลับเข้าประจำการตามปรกติ จนกระทั่งปลดประจำการณ์ในปี ค.ศ. 1950

สหรัฐได้บริจาคเรือลำนี้ให้กับประเทศกรีซ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเรือไลออน โดยที่กฏหมายการเดินเรือสากลนั้น
ปูมเรือจะต้องติดไปกับเรือด้วยทุกครั้ง ใช่ครับ ปูมเรือเอลดริจก็ติดไปกับเรือด้วย เพียงแต่ว่ามันเริ่ม
วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1944 ไม่มีใครทราบว่าปูมเรือก่อนหน้านั้นหายไปไหน


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: SA-KE ที่ สิงหาคม 15, 2006, 08:44:14 PM
[
(http://www.urscorp.com/images/EGGDivision_History_%20Bullet.jpg) (http://www.urscorp.com/EGG_Division/history.php)

   อ่านเนื้อหาที่คุณ Narong นำมาถ่ายทอด โดยเฉพาะภาพถ่ายลูกปืน ข้างต้น และ UFO  ฯลฯ  แล้ว ทำให้ผมนึกถึง วารสารวิทยาศาสตร์ รายเดือนเล่มหนึ่ง ที่ชอบอ่านในช่วงเด็กๆ ถึงขั้นสมัครเป็นสมาชิกที่ชื่อ   " มิติที่  4 " ...จังเลย..


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 15, 2006, 10:06:46 PM
   อ่านเนื้อหาที่คุณ Narong นำมาถ่ายทอด โดยเฉพาะภาพถ่ายลูกปืน ข้างต้น และ UFO  ฯลฯ  แล้ว ทำให้ผมนึกถึง วารสารวิทยาศาสตร์ รายเดือนเล่มหนึ่ง ที่ชอบอ่านในช่วงเด็กๆ ถึงขั้นสมัครเป็นสมาชิกที่ชื่อ   " มิติที่ 4 " ...จังเลย..

เล่มนี้ไม่ค่อยคุ้นครับ อาจเป็นเพราะผมเรียนที่ต่างจังหวัด
เท่าที่หาได้ก็มี ชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์ กับ ต่วยตูน ครับ
ส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องบินก็มี สงคราม กับ สมรภูมิ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: SA-KE ที่ สิงหาคม 16, 2006, 06:19:42 PM
 
อ่านเนื้อหาที่คุณ Narong นำมาถ่ายทอด โดยเฉพาะภาพถ่ายลูกปืน ข้างต้น และ UFO ฯลฯ แล้ว ทำให้ผมนึกถึง วารสารวิทยาศาสตร์ รายเดือนเล่มหนึ่ง ที่ชอบอ่านในช่วงเด็กๆ ถึงขั้นสมัครเป็นสมาชิกที่ชื่อ " มิติที่ 4 " ...จังเลย..

เล่มนี้ไม่ค่อยคุ้นครับ อาจเป็นเพราะผมเรียนที่ต่างจังหวัด
เท่าที่หาได้ก็มี ชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์ กับ ต่วยตูน ครับ
ส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องบินก็มี สงคราม กับ สมรภูมิ

       "มิติที่ 4  "  เป็นวารสารของ สนพ.ซีเอ็ด ผลิตเมื่อปี 2522 -2528 (  http://www.se-ed.com/home/companyProfile/Default.aspx )  จะเป็นแนววิทยาศาสตร์ ที่ต่างกับ " ชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์ "  และ "ต่วยตูน" ครับ
        สำหรับความคิดเห็นผม...
         "ชัยพฤษ์วิทยาศาสตร์ "  จะเป็นวารสารวิทยาศาสตร์แบบความรู้รอบตัวทั่วไปและมีหัวข้อการทดลอง
         " ต่วยตูน "  ผมอ่านเป็นบางครั้ง จำรายละเอียดไม่ค่อยได้
    แต่ " มิติที่ 4  "  ในช่วงนั่น ผมคิดว่า ซี-เอ็ด กล้ามากที่นำเสนอหน้งสือในแนววิทยาศาสตร์ สมัยใหม่ ฉีกแนวจากหนังสือวิทยาศาสตร์ทั่วๆไป  ผมเริ่มเข้าใจและรู้จัก   "   หลุมดำ , UFO  , จักรวาล, ภาพถ่ายความเร็วสูง , ภาพเขียนหลอกตาโดยใช้มิติ ภาพเป็นตัวหลอก , ไอเชค  อาซิมอฟ และอีกท่านหนึ่งผมจำไม่ได้  นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ ชื่อดัง ระดับรางวัล,  นิยายสืบสวนแบบวิทยาศาสตร์ (จำชื่อไม่ได้ครับ แต่ตัวเอกเป็น เด็ก ครับ ) และอีกหลายเรื่อง คล้ายๆกับที่คุณ narong เสนอมาครับ...."
         สำหรับ หนังสือ "สงคราม" และ "สมรภูมิ" ..ช่วงนั่นหาอ่านฟรีที่ สโมสรในค่ายทหาร แต่ชอบดูรูปอย่างเดียวครับ....อย่าว่าอย่างโน้น อย่างนี้เลยครับ..ผมก็ " เด็กต่างจังหวัดเหมือนกันครับ "  ... :D :D

    ป.ล. จะติดตามอ่านข้อมูลของคุณ narong ต่อน่ะครับ... :VOV:


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 18, 2006, 08:52:47 PM
        สำหรับความคิดเห็นผม...
         "ชัยพฤษ์วิทยาศาสตร์ "  จะเป็นวารสารวิทยาศาสตร์แบบความรู้รอบตัวทั่วไปและมีหัวข้อการทดลอง
         " ต่วยตูน "  ผมอ่านเป็นบางครั้ง จำรายละเอียดไม่ค่อยได้
         สำหรับ หนังสือ "สงคราม" และ "สมรภูมิ" ..ช่วงนั่นหาอ่านฟรีที่ สโมสรในค่ายทหาร แต่ชอบดูรูปอย่างเดียวครับ....อย่าว่าอย่างโน้น อย่างนี้เลยครับ..ผมก็ " เด็กต่างจังหวัดเหมือนกันครับ "  ... :D :D

    ป.ล. จะติดตามอ่านข้อมูลของคุณ narong ต่อน่ะครับ... :VOV:
รับทราบครับ จะพยายามหามาให้อ่านเรื่อยๆ แต่อย่าเชื่อหมดนะครับ ให้หาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบด้วยครับ
ชัยพฤกษ์ จะมีเรื่องเกี่ยวกับอิเลกทรอนิกส์, อวกาศและนวัตกรรมใหม่พอสมควร
ส่วนต่วยตูน ก็จะมีเรื่องลึกลับแต่ส่วนมากออกไปทางประวัตศาสตร์และมีเรื่องเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าบ้าง

ส่วนหนังสือสงครามและสมรภูมิก็มีเรื่องเกี่ยวกับอาวุธต่างๆ นอกจากสองเล่มนี้ก็ยังมีหนังสือ
ที่ทำออกมาเป็นการ์ตูนเกี่ยวกับสงครามโลกและสงครามเวียดนามแต่จำชื่อหนังสือไม่ได้แล้ว


หัวข้อ: อาวุธเคมี
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 18, 2006, 08:54:17 PM
อาวุธเคมี

มีการทดลองลับๆ มากมาย ที่หน่วยข่าวกรองกลางและสืบราชการลับของสหรัฐ หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ
"ซีไอเอ" พยายามปิดบังซ่อนเร้นไม่ให้ประชาชนรู้ หนึ่งในเรื่องราวการทดลองอันน่าตกใจของ ซีไอเอ คือ
"การควบคุมพฤติกรรมมนุษย์" หรือที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า
"โครงการ เอ็มเคอัลทรา" (Project MKULTRA) (http://en.wikipedia.org/wiki/Project_MKULTRA)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/4/4f/DeclassifiedMKULTRA.jpg/200px-DeclassifiedMKULTRA.jpg)

โครงการเอ็มเคอัลทราเป็นการศึกษาและทดลอง การใช้สารเคมีและสารชีวภาพ เพื่อนำมาดัดแปลงใช้ทำอาวุธสงคราม
ที่เรียกว่า อาวุธเคมี (Chemical Weapons)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/b/b1/AOSpare-Dressing_the_Wounded_during_a_Gas_Attack_1918.jpg/180px-AOSpare-Dressing_the_Wounded_during_a_Gas_Attack_1918.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Chemical_warfare)
และอาวุธชีวภาพ (Biological Weapons)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/b/b8/E120_biological_bomblet_cutaway.JPG/180px-E120_biological_bomblet_cutaway.JPG) (http://en.wikipedia.org/wiki/Biological_warfare)
แรกเริ่มเดิมทีนั้น ซีไอเอ ไม่ได้คิดจะสร้างอาวุธชนิดนี้ขึ้นมาหรอกครับ พวกเขาเพียงแต่กลัวว่าประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐ
จะใช้อาวุธเคมีและชีวภาพในการทำสงคราม พวกเขาจึงต้องทำการศึกษาเตรียมไว้ก่อนเพื่อจะได้ป้องกันและแก้ไขได้ทัน
ถ้าหากมีการใช้อาวุธเหล่านั้นขึ้นมาจริงๆ

ทดลองไปทดลองมา ซีไอเอ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขาน่าจะนำมันมาใช้เองจะดีกว่า การทดลองเพื่อป้องกันและแก้ไข
ก็เลยกลายเป็นวัตถุประสงค์รองไป ส่วนวัตถุประสงค์หลักกลับกลายมาเป็นเพื่อใช้ในการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์

อันที่จริงแล้วได้มีการวิจัยและพัฒนาสารต่างๆ ที่มีผลต่อพฤติกรรมมนุษย์ ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 1940
จนถึงต้นทศวรรษที่ 1950 การทดลองในตอนนั้นเป็นการทดลองใช้สารเสพติดกับกลุ่มทดลองที่สมัครใจ
แต่ต่อมาได้มีการลอบทดลองกับกลุ่มคนที่ไม่ใช่อาสาสมัครและไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกให้สารเสพติด

มีการพบรายงานฉบับเดือนตุลาคม ค.ศ. 1975 ของจเรสหรัฐ ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องราวต่างๆ รายงานผลการสืบสวน
การเสียชีวิตของ ฮาโรลด์ เบลาเออร์ (Harold Blauer) อาสาสมัครคนหนึ่งที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1953
New evidence in Army scientist's death (http://www.mindcontrolforums.com/news/23489.htm)
Evidence builds in CIA-related death (http://www.mindcontrolforums.com/news/23694.htm)
Meet Sidney Gottlieb -- CIA dirty trickster (http://www.mindcontrolforums.com/news/16807.htm)
ยืนยันว่านาย ฮาโรลด์ เสียชีวิตเพราะระบบการทำงานของหัวใจล้มเหลว และสาเหตุที่ทำให้ระบบการทำงานของหัวใจหยุดเต้น
ก็เพราะว่าเขาถูกฉีดสารเสพติดประเภท เมสคาลีน (Mescaline)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/7/7c/Mescaline1.jpg/250px-Mescaline1.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Mescaline)
ซึ่งเป็นการทดลองอันหนึ่งของ สถาบันโรคจิตแห่งนิวยอร์ก (New York State Psychiatric Institute) (http://www.nyspi.org/Kolb/index.htm)
ที่ทำขึ้นภายใต้การบงการของ หน่วยเคมีกองทัพสหรัฐ (U.S. Army Chemical Corps.) (http://www.thememoryhole.org/mil/chem-corps)

ยุคแรกของการทดลอง

การทดลองนี้ได้เริ่มทำกันเป็นเรื่องเป็นราวก็เมื่อได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1953
แต่ก็อย่างว่าแหละครับ บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลและวุฒิสมาชิกต่างก็พากันปฏิเสธกันให้พัลวันว่าไม่มีการทดลอง
ที่ผิดศีลธรรมและจรรยาดังกล่าว เอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทดลองนี้ได้ถูกทำลายลงในราวต้นปี ค.ศ. 1973

หน่วยงานที่ทำการทดลองนี้ไม่ใช่เฉพาะ ซีไอเอ เท่านั้นแต่ยังมีหน่วยข่าวกรองของกองทัพและหน่วยข่าวกรองของ
สำนักงานอื่นๆ ของรัฐบาลด้วย พวกเขาจะคอยแลกข้อมูลที่ได้จากการทดลองกัน ซึ่งการทดลองนี้ถือเป็นการทดลองลับสุดยอด
ขนาดเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ซีไอเอ ยังไม่ทราบเลยว่ามีการทดลองนี้ในหน่วยงานของเขา ผู้ที่ทราบเรื่องก็จะมีแต่นายแพทย์และ
นักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมการทดลองเท่านั้น

การทดลองในช่วงแรกนั้นทำขึ้นที่ ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด เล็กซิงตัน (Lexington Rehabillitation Center) ซึ่งปัจจุบันก็คือ
สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (National Institute of Mental Health) (http://www.nimh.nih.gov) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักโทษอาสาสมัครคดียาเสพติด
นักโทษเหล่านี้จะต้องเซ็นชื่อยินยอม อนุญาติให้นำสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาได้ จากนั้นพวกเขาก็ได้รับสารเสพติด
ชนิดเดียวกับที่พวกเขาแต่ละคนติด


หนึ่งในสารเสพติดที่ใช้ในการทดลองคือ แอลเอสดี (Lysergic acid diethylamide)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/4/4e/Lsdtherapeutic.JPG/174px-Lsdtherapeutic.JPG) (http://en.wikipedia.org/wiki/LSD)
ซึ่งสารนี้ต่อมาได้ถูกนำมาใช้ทดสอบกับบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่อาสาสมัครโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวซึ่ง ซีไอเอ กล่าวว่า
บุคคลที่ถูกทดลองนั้นเป็นอาชญากร ซึ่งมีหลายระดับชนชั้นตั้งแต่อาชญากรชั้นต่ำไปจนถึงระดับไฮโซ
มีทั้งคนอเมริกันและคนต่างชาติ

ในการทดลองของหน่วยข่าวกรองกองทัพสหรัฐ ได้แบ่งการทดลองออกเป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ เช่นกันคือ

http://www.mindcontrolforums.com/appendixa.htm (http://www.mindcontrolforums.com/appendixa.htm)
http://www.envirosagainstwar.org/know/read.php?itemid=335 (http://www.envirosagainstwar.org/know/read.php?itemid=335)
http://www.totse.com/en/conspiracy/mind_control/lsd-army.html (http://www.totse.com/en/conspiracy/mind_control/lsd-army.html)

ขั้นตอนแรกทำการทดลองให้สารแอลเอสดีกับทหารอาสาสมัครจำนวนกว่า 1,000 นาย
เรียกว่าการทดลองอาวุธเคมี (Chemical Warfare Experiment)

ขั้นตอนที่สองเป็นการทดลองเพื่อหาความเป็นไปได้ในการนำสารแอลเอสดีมาใช้เป็นอาวุธ โดยการให้สารแอลเอสดีกับ
อาสาสมัครจำนวน 95 คน เรียกขั้นตอนนี้ว่า โครงการทดสอบปัจจัย อีเอ1729 (Material Testing Program EA 1729)

ส่วนขั้นตอนสุดท้ายเป็นการนำสารแอลเอสดี มาใช้จริงกับ "เป้าหมาย" ที่ไม่ใช่อาสาสมัครและไม่รู้ตัวมาก่อนว่าถูกลอบให้
สารแอลเอสดี จำนวน 16 คน แล้วเฝ้าดูพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของ "เป้าหมาย" หลังจากที่ได้รับสารแอลเอสดีไปแล้วเรียก
ขั้นตอนนี้ว่า โครงการทางเลือกที่สาม (Project THIRD CHANCE)  และโครงการหมวกสักหลาด (Project DERBY HAT)

ถึงแม้ว่า ซีไอเอ จะรู้ดีถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ถ้าหากข้อมูลการทดลองของโครงการเอ็มเคอัลทรา รั่วไหลออกไปสู่
บุคคลภายนอก แต่พวกเขาก็ยังคงเดินหน้าทำการทดลองต่อไป เนื่องจากว่าถ้าไม่ทำเช่นนั้น สหรัฐจะตกเป็นเบี้ยล่าง
ของประเทศกลุ่มคอมมิวนิสต์ ในการทำสงครามเคมี

ทดลองกันเอง

เรื่องน่าเศร้าที่สุดที่เกิดขึ้นจากการทดลองก็คือ การเสียชีวิตของ ดร. แฟรงค์ ออลสัน (Dr. Frank Olson) (http://en.wikipedia.org/wiki/Frank_Olson)
(http://www.frankolsonproject.org/Graphics/Mail%20on%20Sunday%20(alt.jpg)) (http://www.frankolsonproject.org)
ลูกจ้างฝ่ายพลเรือนของกองทัพสหรัฐ เมื่อเขาดื่มเหล้าที่มีสารแอลเอสดี ปริมาณราว 70 ไมโครกรัมผสมอยู่โดยที่เขาไม่รู้ตัว

(ความเห็นส่วนตัว ข้อความภาษาอังกฤษข้างล่างนี้มีบุคคล 2 คน ที่รู้เรื่องโครงการนี้และมีบทบาทสูง
ในรัฐบาลบุชขณะนี้ ซึ่งตามความเห็นส่วนตัวว่าการระบาดของยาบ้าในเมืองไทยขณะนี้และที่ผ่านมาไม่แน่อาจจะเป็น
กลยุทธ์ของ ซีไอเอ ก็เป็นได้เพราะส่วนมากจะมีที่มาจากชาวเขาโดยที่จะทำผ่านคนที่ไปเผยแพร่ศาสนาให้ชาวเขา
ซึ่งอาจเป็น ซีไอเอ แต่ไม่ได้หมายถึงคนที่เผยแพร่ศาสนาทุกคน, รวมถึงเจ้าหน้าที่ของไทยบางกลุ่มเองด้วย
และสถานการณ์จะคล้ายกับตอนที่จีนทำสงครามฝิ่นกับนักล่าอาณานิคมสมัยก่อน
รวมถึงอีกอย่างหนึ่งที่อยากตั้งข้อสังเกตุคือ กองกำลังที่พิทักษ์ รักษาการผู้นำของไทย ใช้อยู่เป็นใครมาจากไหนหว่า?
His family had no idea of the details of the accident until the Rockefeller Commission
started uncovering some of the CIA's MKULTRA activities. In 1975, the government admitted
that Olson had been unwittingly dosed with LSD. White House staffers Donald Rumsfeld and Dick Cheney
arranged for President Gerald Ford to meet with the Olson family and personally apologize on behalf of
the United States government. The government offered them an out of court settlement,
which they accepted.)

ดร. แฟรงค์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการฟุ้งกระจายในอากาศของสารชีวภาพ (Aerobiology)
เขาได้รับมอบหมายให้มาทำงานในหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (Special Operations Division - SOD) ของกองทัพสหรัฐ
ที่ แคมป์เดทริก รัฐแมรี่แลนด์ (http://en.wikipedia.org/wiki/Fort_Detrick) ซึ่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษนี้เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ร่วมวิจัยในโครการเอ็มเคอัลทรา
http://www.sfgate.com/cgi-bin/article.cgi?file=/c/a/2004/09/12/MNG468MM8N1.DTL (http://www.sfgate.com/cgi-bin/article.cgi?file=/c/a/2004/09/12/MNG468MM8N1.DTL)

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1953 นักวิทยาศาสตร์จำนวน 10 คน ได้เข้าร่วมประชุมประจำครึ่งปี
ที่ทะเลสาบดีพครีก รัฐแมรี่แลนด์ นักวิทยาศาสตร์ 3 คนมาจาก หน่วยบริการด้านเทคนิคของ ซีไอเอ (http://en.wikipedia.org/wiki/Technical_Services_Staff)
ส่วนที่เหลือมาจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษของกองทัพสหรัฐ


วันพฤหัสฯที่ 19 พฤศจิกายน ขณะที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ได้ร่วมรับประทานอาหารค่ำกันอยู่
ดร. โรเบิร์ท แลชบรูก (Robert Lashbrook) เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของ ซีไอเอ ได้แอบนำสารแอลเอสดีใส่ลงใน
ขวดเหล้าคอนทรัว (Cointreau) สุรารสกาแฟที่นิยมดื่มหลังอาหารค่ำ ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ เอ็มเคอัลทรา
ที่จะทำการทดลองกับกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ใช่อาสาสมัครโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว

สุราดังกล่าวได้ถูกเสิร์ฟให้กับนักวิทยาศาสตร์ทุกคนที่มาจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษ
ยกเว้นนักวิทยาศาสตร์ 2 คน เนื่องจากคนหนึ่งไม่ดื่มสุรา และอีกคนหนึ่งเป็นโรคหัวใจ

หลังจากที่ทุกคนได้ดื่มสุราผสมสารแอลเอสดีไปได้ราว 20 นาที ดร. ซิดนีย์ กอทเทลบ (D r. Sidney Gottlieb)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/b/b4/Gottlieb01.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Sidney_Gottlieb)
หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ของ ซีไอเอ ก็แจ้งให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ของหน่วยปฏิบัติการพิเศษทราบว่า
พวกเขาได้รับสารแอลเอสดี ซึ่งตอนนั้นพวกเขาอยู่ในอาการปรกติดีทุกคน

แต่พอสารแอลเอสดีออกฤทธิ์เท่านั้นก็ได้เรื่อง บรรดานักวิทยาศาสตร์ที่ถูกวางยาต่างก็เอะอะส่งเสียงดัง
เอาแต่หัวเราะจนกระทั่งไม่เป็นอันประชุม จนต้องยุติการประชุมในเวลาตีหนึ่ง เช้าวันรุ่งขึ้น ดร. ซิดนีย์
ได้ติดตามสังเกตุอาการของ ดร.แฟรงค์ เขาก็ไม่พบอะไรที่ผิดปรกตินอกเสียจากอาการอ่อนเพลีย
และมือสั่นซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรง

เช้าวันจันทร์ที่ 23 เวลา 7:30 น. ดร.แฟรงค์ ได้มาดักรอพบ พันตรี วินเซนท์ ริวเวท (Colonel Vincent Ruwet)
เพื่อนของเขาที่ ที่ทำงาน ดร. แฟรงค์ มีอาการวิตกกังวลและซึมเศร้า รุ่งขึ้นในเช้าวันอังคาร ดร. แฟรงค์
ก็มาขอพบ ผู้พันวินเซนท์ อีกครั้ง คราวนี้หลังจากที่ผู้พันวินเซนท์ได้พูดคุยกับ ดร. แฟรงค์ เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง
เขาก็รู้สึกถึงพฤติกรรมที่ผิดปรกติของ ดร. แฟรงค์

ผู้พันวินเซนท์ จึงได้รีบโทรไปแจ้ง ดร. โรเบิร์ท โดยบอกว่า ดร. แฟรงค์ กำลังมีปัญหาที่ร้ายแรงและต้องส่งตัว
ไปให้ผู้เชี่ยวชาญบำบัดรักษา ดร. โรเบิร์ท จึงขอให้ ผู้พันวินเซนท์ นำตัว ดร. แฟรงค์ ไปพบเขาที่กรุงวอชิงตันดีซี
หลังจากนั้น ดร. โรเบิร์ท ก็ได้โทรศัพท์ไปนัดหมายกับ ดร. ฮาโรลด์ แอบแรมซัน (Dr. Harold Abramson)
ในมหานครนิวยอร์ก

ดร. ฮาโรลด์ เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่จิตแพทย์ แต่เขาก็มีส่วนร่วม
วิจัยทางอ้อมกับโครงการเอ็มเคอัลทรา เนื่องจาก ดร.ฮาโรลด์ เป็นนายแพทย์ที่ศึกษาวิจัยเรื่องสารแอลเอสดี
อีกทั้งยังเป็นเจ้าหน้าที่ของ ซีไอเอ และเป็นนายแพทย์ที่อยู่ใกล้กรุงวอชิงตันมากที่สุด เท่าที่ ดร. โรเบิร์ทรู้จัก
เขาจึงได้พาตัว ดร.แฟรงค์ มาให้ ดร. ฮาโรลด์ ทำการวินิจฉัย

เกิดโศกนาฏกรรม (http://www.frankolsonproject.org/Student%20papers/Ransom/Ransom2.html)

ทั้ง 3 คนได้พักอยู่ที่นิวยอร์กเป็นเวลา 2 วัน จนถึงวันพฤหัสฯที่ 26 พฤศจิการยน ซึ่งตรงกับวันขอบคุณพระเจ้า
(Thanksgiving Day) พวกเขาก็บินกลับกรุงวอชิงตัน เพราะต้องการให้ ดร. แฟรงค์ ได้อยู่กับครอบครัว
ในช่วงเทศกาลที่สำคัญ ในระหว่างที่เดินทางกลับ ดร. แฟรงค์ ก็บอกกับ ผู้พันวินเซนท์ ว่าเขากลัว
ที่จะต้องกลับไปพบกับครอบครัวของเขา หลังจากที่พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ ดร. โรเบิร์ท ก็ตัดสินใจนำตัว
ดร. แฟรงค์ บินกลับนิวยอร์กทันที ส่วน ผู้พันวินเซนท์ มีหน้าที่นำข่าวไปแจ้งให้กับภรรยาของ ดร. แฟรงค์

เช้าวันศุกร์ทั้งคู่ก็ได้มาพบ ดร.ฮาโรลด์ ที่สำนักงานของเขาอีกครั้ง คราวนี้ ดร. ฮาโรลด์ แนะนำให้พาตัว
ดร. แฟรงค์ ไปรักษากับจิตแพทย์โดยตรง ที่สถาบันที่อยู่ใกล้กับบ้านของ ดร. แฟรงค์ แต่เนื่องจากวันนั้น
เป็นวันศุกร์ทำให้เที่ยวบินทุกเที่ยวที่จะมากรุงวอชิงตันเต็มหมด ดร. โรเบิร์ท และ ดร. แฟรงค์ จึงต้อง
เช่าห้องพักที่โรงแรมแสตทเลอร์ เพื่อรอเที่ยวบินวันเสาร์

หลังจากที่ได้ห้องพักแล้วทั้งคู่ก็ลงมารับประทานอาหารค่ำร่วมกันและดื่มเหล้ามาร์ตินี่ที่บาร์คนละ 2 แก้ว
ดร. โรเบิร์ท กล่าวว่าคืนนั้น ดร. แฟรงค์ ดูร่าเริงผิดหูผิดตาเหมือนกับว่าสิ่งผิดปรกติในตัวเขาได้หายไป
จนหมดสิ้น ต่อจากนั้นทั้งคู่ก็กลับมาดูโทรทัศน์ที่ห้องพักจนกระทั่งถึงเวลา 5 ทุ่ม ทั้งคู่ก็หลับไป

เวลาตีสองครึ่ง ดร. โรเบิร์ท ก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงกระจกแตก เมื่อลุกขึ้นมาดูเขาก็พบว่า
ดร. แฟรงค์ ได้พุ่งทะลุผ่านหน้าต่างกระจกที่มีมู่ลี่ปิดอยู่จากห้องพักที่พวกเขาพัก
บนชั้น 10 ของโรงแรม ตกลงไปยังพื้นถนนข้างล่าง

(http://www.frankolsonproject.org/Graphics/Fred%20Post,%20shadow,%20small,%20trans) (http://www.frankolsonproject.org/Introduction/TheColdWar%27sDarkest.html)

การเสียชีวิตของ ดร. แฟรงค์ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องระมัดระวังการทดลองการใช้สารแอลเอสดี
กับมนุษย์มากขึ้น และยิ่งทำให้พวกเขาพยายามที่จะปกปิดข้อมูลการทดลอง และนี่อาจเป็นสาเหตุให้
ซีไอเอ ต้องทำลายเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการเอ็มเคอัลทรา เมื่อมีการสอบสวนเรื่องนี้หนักขึ้น
ซีไอเอ ก็ประกาศล้มเลิกโครงการเอ็มเคอัลทรา ในปีค.ศ. 1963

เลิกไม่จริง
http://demopedia.democraticunderground.com/index.php/Mind_control (http://demopedia.democraticunderground.com/index.php/Mind_control)
http://www.us-government-torture.com/History-of-abuse.html (http://www.us-government-torture.com/History-of-abuse.html)
http://www.mindcontrolforums.com/pro-freedom.co.uk/skeletons_1.html (http://www.mindcontrolforums.com/pro-freedom.co.uk/skeletons_1.html)

>>>ดูวิดิโอ เกี่ยวกับการวิเคราะห์โครงการนี้ คลิ๊กที่ข้อความนี้<<< (http://youtube.com/watch?v=Nx00vjrM68Q)

โครงการทดสอบปัจจัย อีเอ 1729 เป็นการทดลองของกองทัพสหรัฐที่ถอดแบบมาจากโครงการเอ็มเคอัลทรา
การทดลองนี้ได้กระทำขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1955-1958 โดยหน่วยเคมีกองทัพ (Army Chemical Corps.)
เพื่อจะหาความเป็นไปได้ในการนำสารแอลเอสดีมาใช้เป็นอาวุธ การทดลองนี้มีขึ้นที่ ค่ายทหารแบรกจ์ (Fort Bragg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Fort_Bragg%2C_North_Carolina)
ภายใต้การควบคุมของสถานีทดลองอาวุธเคมีกองทัพสหรัฐ (Army Chemical Warfare Laboratories)
(http://www.globalsecurity.org/wmd/facility/images/eca_map.gif) (http://www.globalsecurity.org/wmd/facility/edgewood.htm)
ที่เมืองเอดจ์วูด รัฐแมรี่แลนด์ หลังจากที่ทดลองกับทหารอาสาสมัครมาได้ระยะหนึ่ง กองทัพก็อนุมัติให้
นำมาทดลองใช้ในภาคสนามในปี ค.ศ. 1960

หน่วยจุดประสงค์พิเศษของกองทัพ (Army Special Purpose Team) ได้รับอนุญาติให้ใช้สารแอลเอสดี
ในการปฏิบัติการในยุโรประหว่างเดือนพฤษภาคม ถึง สิงหาคม ค.ศ. 1961 ภายใต้รหัสโครงการทางเลือกที่ 3
(Project THIRD CHANCE) "เป้าหมาย" จำนวน 10 คนถูกเลือกโดยไม่รู้ตัว หนึ่งในนั้นเป็นทหารสหรัฐ
ที่ถูกระบุว่าเป็นสายลับของต่างชาติที่ลอบโขมยเอกสารลับไปจากกองทัพสหรัฐ และดูเหมือนว่าจะเป็น
กรณีเดียวเท่านั้นที่กองทัพประสบความสำเร็จในการนำสารแอลเอสดีมาใช้ในการสืบสวนสอบสวน

จากนั้นต่อมาอีกหนึ่งปีหน่วยพิเศษของกองทัพ ก็ได้รับอนุญาติให้ใช้สารแอลเอสดีอีกครั้งในการปฏิบัติการ
แถบตะวันออกไกล ระหว่างเดือนสิงหาคม ถึง พฤศจิกายน ค.ศ. 1962 ภายใต้รหัสโครงการหมวกสักหลาด
(Project DERBY HAT) คราวนี้ "เป้าหมาย" จำนวน 7 คนที่ถูกระบุว่าเป็นจารชนได้รับเกียรติคัดเลือกโดยไม่รู้ตัว
การทดลองครั้งนี้มีจุดประสงค์ที่จะเปรียบเทียบความแตกต่างว่า "ชาวเอเชีย" มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารแอลเอสดี
ต่างจากชาวยุโรปหรือไม่

"เป้าหมาย" ได้รับสารแอลเอสดี ในปริมาณ 6 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หลังจากที่ได้รับสารแอลเอสดีไป
เพียงแค่ 28 นาที "เป้าหมาย" ก็ตกอยู่ในสภาพที่เกือบจะหมดสติ นั่งไม่ได้ แสดงอาการเจ็บปวดและร้องครวญคราง
การกระตุ้นด้วยวิธีต่างๆ เพื่อช่วยเหลือให้ "เป้าหมาย" มีสติพอที่จะตอบคำถามได้ดูจะไม่เป็นผล

6 ชั่วโมงต่อมา "เป้าหมาย" เริ่มมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับคำถาม จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงนำ "เป้าหมาย" มาที่เครื่องจับเท็จ
การสืบสวนกินเวลาทั้งสิ้น 17 ชั่วโมง 30 นาที นับตั้งแต่ "เป้าหมาย" ได้รับสารแอลเอสดี

การทดลองใช้สารเสพติดนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของกฏหมายและศีลธรรม แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่จากบันทึกช่วยจำ
ของกองทัพฉบับหนึ่งลงวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1963 ระบุว่ามีการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพ
พวกเขามีมติที่จะล้มเลิกโครงการนี้ชั่วคราว

จากบทความนี้พวกเราคงเห็นแล้วว่าแท้ที่จริงแล้วสารเสพติดก็คือ อาวุธสงครามเราดีๆ นี่เอง
ดังนั้นถ้าหากใครคิดที่จะเสพสารเสพติด ขอโปรดให้พึงระลึกว่าคุณกำลังเอาปืนจ่อหัวตัวเองอยู่
และแย่ยิ่งกว่าก็ตรงที่คุณตายทั้งเป็น


(ความเห็นส่วนตัวเพิ่มเติม คนที่คิดยาเสพติดขึ้นมาก็คือชาติมหาอำนาจ เพราะฉนั้นถ้าคนที่คิดมันขึ้นมา
แล้วจะให้เขาปราบปรามอย่างจริงจังเป็นไปได้หรือ! มันเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในการควบคุมคน!

จึงอาจเป็นยุทธวิธีของมหาอำนาจ(แต่ไม่ได้หมายถึงประชาชนในประเทศมหาอำนาจทั้งหมด)
โดยอาศัยความร่วมมือของผู้ที่มีอำนาจในประเทศนั้นๆ เอง เพื่อที่จะทำให้ประชาชนในประเทศนั้นๆ อ่อนแอ
และมัวแต่สนใจหลงไหลในสิ่งบันเทิงโดยใช้ยาเสพติดช่วย ไม่ได้สนใจว่าผู้ที่มีอำนาจจะโกงกินและ
ยกทรัพย์สินของชาติให้ต่างชาติอย่างไร! โดยเห็นได้จากปัจจุบันที่ สังคมเมืองไทยมีแต่เรื่องบันเทิง, ยาเสพติด
และปัญหาของวัยรุ่น ตามสื่อต่างๆ ตลอดเวลา แล้วทำไมปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมด?)


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: Jackpot ที่ สิงหาคม 19, 2006, 08:33:41 PM
ติดตามอยู่ครับ...ต่อเร็วๆนะครับ


หัวข้อ: สงครามจิตวิทยา
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 20, 2006, 03:09:09 AM
สงครามจิตวิทยา

ในการทำสงครามนั้น ใช่ว่าจะมีแต่การใช้กำลังและอาวุธเข้าห้ำหั่นให้แหลกกันไปข้าง
แต่ยังมีการนำเอาการโฆษณาชวนเชื่อ ตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา และเรื่องราวลึกลับที่อยู่เหนือเหตุผล
มาใช้เป็นอาวุธเรียกวิธีการเหล่านี้ว่า "ปฏิบัติการจิตวิทยา"

ความกลัวสามารถนำมาใช้เป็นอาวุธได้เช่นเดียวกับปืนและรถถัง ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะ "ข่มขวัญ"
ศัตรูได้มากพอ เราก็อาจเอาชนะศัตรูได้โดยที่ไม่ต้องสู้รบปรบมือกันให้เสียเลือดเนื้อ เช่นเดียวกับที่
กองทัพสหรัฐทดลองนำมาใช้ในการปฏิบัติการลับในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกที่เรียกว่า
การโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/7/7b/Your_future_al-Zarqawi.jpg/180px-Your_future_al-Zarqawi.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Propaganda)
http://www.globalissues.org/HumanRights/Media/Military.asp (http://www.globalissues.org/HumanRights/Media/Military.asp)

การโฆษณาชวนเชื่อที่ได้ผลที่สุดวิธีหนึ่งคือ การกล่าวอ้างถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเรื่องราวเหนือธรรมชาติ
มาผูกโยงเข้ากับเรื่องราวที่ต้องการเป็นวิธีการหนึ่งในการทำ สงครามจิตวิทยา (PSYWAR) (http://en.wikipedia.org/wiki/Psychological_warfare) ในช่วงทศวรรษที่ 1950
สหรัฐได้นำ ปฏิบัติการจิตวิทยา (Psychological operations) (http://en.wikipedia.org/wiki/PSYOP) มาใช้ในระหว่างการทำสงครามที่ฟิลิปปินส์และเวียดนาม
ภายใต้การนำของ นาวาอากาศเอกพิเศษ เอ็ดเวิร์ด แลนส์เดล (Edward Lansdale)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/24/Major-general-lansdale.jpg/180px-Major-general-lansdale.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Edward_Geary_Lansdale)

ปฏิบัติการจิตวิทยา (Psychological operations) (http://en.wikipedia.org/wiki/PSYOP)

http://utangente.free.fr/2003/PSYWAR.pdf (http://utangente.free.fr/2003/PSYWAR.pdf)

เอ็ดเวิร์ด แลนส์เดล ได้ชื่อว่าเป็น นักรบจิตวิทยา (Psywarrior) (http://www.psywarrior.com) คนแรกๆ ของโลก เขามีความเชื่อว่า
ประเด็นสำคัญที่จะทำให้ปฏิบัติการจิตวิทยา หรือที่เรียกกันสั้นๆ ในกองทัพสหรัฐว่า ไซออบ (PSYOP)
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า การโฆษณาชวนเชื่อ นั้นประสบผลสำเร็จ ก็คือ การที่นักรบจิตวิทยาจะต้อง
"เข้าถึง" ความเชื่อในเรื่องต่างๆ ของเป้าหมาย
http://www.psywarrior.com/links.html (http://www.psywarrior.com/links.html)
วิดิโอ Dark Secrets of the CIA
Dark Secrets of the CIA Pt.1 (http://youtube.com/watch?v=KJ0ZDzfXR7c)
Dark Secrets of the CIA Pt.2 (http://youtube.com/watch?v=no6KwMcmsu8)
Dark Secrets of the CIA Pt.3 (http://youtube.com/watch?v=cNIxiSS6afI)
Dark Secrets of the CIA Pt.4 (http://youtube.com/watch?v=xo6x0SC69vg)
Dark Secrets of the CIA Pt.5 (http://youtube.com/watch?v=71u1Xa6w60Q)
Dark Secrets of the CIA Pt.6 (http://youtube.com/watch?v=Frdel-_IWn8)

ตำนานและความเชื่อต่างๆ จะต้องถูกนำมาใช้เพื่อชักจูงให้คนในท้องถิ่นนั้นๆ เกิดความคล้อยตาม
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 สมัยที่ เอ็ดเวิร์ด ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษของ ซีไอเอ
เขาได้ใช้กลยุทธ์นี้สร้างความโกลาหลในหมู่พวกกองโจรแบ่งแยกดินแดนในฟิลิปปินส์

สร้างตำนาน

พวกกองโจรแบ่งแยกดินแดนได้ยึดที่มั่นแห่งหนึ่งบนเนินเขาไว้ได้ เอ็ดเวิร์ด ได้รับมอบหมายให้ขับไล่พวกกองโจร
เหล่านั้นออกจากพื้นที่ เขาก็เริ่มปฏิบัติการจิตวิทยาทันที โดยปล่อยข่าวไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงว่า พื้นที่บริเวณที่
พวกกองโจรยึดไว้นั้นเป็นแดนอาถรรพ์ มันเป็นที่อยู่ของพวกภูติผีปีศาจ และโดยเฉพาะพวกผีดูดเลือดอาศัยอยู่ที่นั่น

หลังจากที่ปล่อยข่าวไปได้ 2 วัน เอ็ดเวิร์ด กะว่า "ข่าวลือ" นั้นน่าจะกระจายขึ้นไปถึงยังพวกกองโจรแล้ว
เขาก็เริ่มแผนการขั้นที่ 2 โดยส่งหน่วยลอบสังหารขึ้นไปยังบริเวณที่มั่นของพวกกองโจร และหลบซ่อนตัว
อยู่บริเวณที่พวกกองโจรใช้ลาดตระเวณตรวจพื้นที่ รอจนกระทั่งความมืดเข้ามาปกคลุมก็เริ่มทำข่าวลือให้เป็นจริง

เมื่อหน่วยลาดตระเวณของพวกกองโจรมาถึง หน่วยลอบสังหารรอจังหวะให้หน่วยลาดตระเวณเดินผ่านพวกเขาไป
แล้วค่อยๆ ย่องเข้าไป "เก็บ" คนที่เดินรั้งท้ายอย่างเงียบๆ แล้วลากไปทำพิธีแต่งศพโดยเจาะรูเล็กๆ 2 รูบนคอ
จากนั้นก็จับศพแขวนห้อยหัวลงเพื่อให้เลือดไหลออกมาที่แผลจนกระทั่งหมดตัว

เมื่อพิธีการแต่งศพเสร็จสิ้นพวกเขาก็นำศพที่ซีดเผือดนั้นกลับไปวางไว้ที่บริเวณทางลาดตระเวณของกองโจร
เมื่อกองโจรกลับมาเพื่อค้นหาสมาชิกที่หายไปก็จะพบศพเพื่อนของเขาที่ดูเหมือนจะถูก "อะไรบางอย่าง"
สูบเลือดออกจนหมดตัว พวกกองโจรต่างเชื่อว่า "อะไรบางอย่าง" ที่ว่านั้นก็คือ ผีดูดเลือด ด้วยความกลัว
ว่าขืนอาศัยอยูบนเนินเขาแห่งนี้ต่อไป พวกเขาจะต้องนำชีวิตมาสังเวยเจ้าปีศาจร้ายตนนี้ทั้งหมดเป็นแน่แท้
ดังนั้นในเช้าวันรุ่งขึ้นพวกกองโจรต่างก็อพยพหลบหนีไปที่อื่น

การข่มขวัญ

ปฏิบัติการจิตวิทยาที่เอ็ดเวิร์ดใช้อีกวิธีหนึ่งคือ "เทคนิคดวงตาของพระเจ้า" (Eye of God Technique) (http://66.102.7.104/search?q=cache:GU-N_C2yGt8J:members.authorsguild.net/valentine/files/31_july_whose_h.doc+Eye+of+God+Technique+Psychological+operations&hl=th&gl=th&ct=clnk&cd=7)
เมื่อหน่วยข่าวกรองของรัฐบาลได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยว่าเป็นพวกก่อกบฏหรือเกี่ยวพันกับพวกก่อกบฏมาให้
เอ็ดเวิร์ด ก็จะนำรายชื่อของพวกก่อกบฏอ่านออกยังเครื่องกระจายเสียง ประกาศว่าพวกเขาจะถูกจับตาย
ถ้าหากพวกเขาไม่ยอมมอบตัว

ส่วนบรรดาชาวบ้านที่ต้องสงสัยว่า ให้การสนับสนุนพวกก่อกบฏนั้น เอ็ดเวิร์ด จะส่งหน่วยสอดแนมเข้าไปยังหมู่บ้าน
ที่พวกเขาอาศัยอยู่ในตอนกลางคืน ขณะที่ชาวบ้านเข้านอนกันหมดแล้ว หน่วยสอดแนมก็จะทำการวาดรูปดวงตา
ดวงใหญ่บนกำแพงตรงข้ามกับบ้านของผู้ที่ต้องสงสัย ดวงตาดวงนั้นจ้องเขม็งไปยังบ้านของผู้ต้องสงสัย
เป็นสัญลักษณ์แทนว่า เรากำลังจับตาดูแกอยู่ มันทำให้ผู้ต้องสงสัยไม่กล้าให้การช่วยเหลือต่อผู้ก่อกบฏ
เอ็ดเวิร์ดกล่าวว่าพอพวกชาวบ้านตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและเห็นดวงตาอยู่ตรงข้ามบ้านเข้าเท่านั้นก็ไม่กล้าทำอะไร
ที่เป็นการช่วยเหลือผู้ก่อกบฏอีก
(ความเห็นส่วนตัวว่า เปรียบเทียบกับไทยในปัจจุบันก็คือ เมื่อมีข่าวภาคธุรกิจออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านทางฝ่ายรัฐ
ก็จะเริ่มทำการตรวจสอบเรื่องการเสียภาษีของธุรกิจนั้นเป็นการเตือนว่ากำลังถูกจับตาดูอยู่ซึ่งคือการใช้เทคนิคที่ว่านี้)

คำทำนาย

หลังจากที่เอ็ดเวิร์ด ได้รับชัยชนะจากพวกกองโจรที่ต่อต้านรัฐบาลในฟิลิปปินส์ เขาได้ถูกส่งตัวไปปฏิบัติภารกิจลับ
อีกครั้งในสงครามเวียดนาม โดยใช้ชื่อปฏิบัติการนี้ว่า "ปฏิบัติการกองทัพในไซ่ง่อน" (Saigon Military Mission - SMM) (http://www.mtholyoke.edu/acad/intrel/pentagon/doc95.htm)
ปี ค.ศ. 1954 เอ็ดเวิร์ด และสายลับจำนวนหนึ่งได้เริ่มวางแผนการทำสงครามจิตวิทยา ปีต่อมาพวกเขาได้จ้าง
นักโหราศาสตร์ชาวเวียดนามเหนือจำนวนหนึ่งให้เขียนคำทำนายในอนาคตที่ระบุถึงการล่มสลายของ
ผู้นำเวียดนามเหนือและการผนวกประเทศเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเวียดนามใต้

จากความสำเร็จของ เอ็ดเวิร์ด ในปฏิบัติการที่ฟิลิปปินส์และเวียดนาม (ซึ่งตอนนั้นสงครามเวียดนามยังไม่ยุติ)
ส่งผลให้ เอ็ดเวิร์ด ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้เชี่ยวชาญทางด้านยุติการต่อต้านของนักปฏิวัติ และต่อมาในปี
ค.ศ. 1962 เขาก็ได้รับมอบหมายภารกิจลับจาก ประธานาธิบดีเคนเนดี้ ให้เข้าไปขัดขวางการก่อปฏิวัติในคิวบา

อิงศาสนา

แผนการลับนี้มีรหัสเรียกว่า "ปฏิบัติการมองกูส" (Operation Mongoose)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/45/Mangoose.jpg/447px-Mangoose.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/The_Cuban_Project)
เอ็ดเวิร์ดมีหน้าที่เข้าขัดขวางไม่ให้ ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/b/b8/Fidel_Castro5_cropped.JPG/200px-Fidel_Castro5_cropped.JPG) (http://en.wikipedia.org/wiki/Fidel_Castro)
ทำการปฏิวัติสำเร็จ ในตอนแรกของสงครามจิตวิทยา เอ็ดเวิร์ด ได้ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า "ทดสอบและพิสูจน์"
(Tried and True) ในปฏิบัติการครั้งนี้

ตัวอย่างหนึ่งของกลยุทธทดสอบและพิสูจน์ที่เอ็ดเวิร์ดใช้คือ "การกำจัดโดยดวงประทีป" (Elimination by Illumination) (http://www.raven1.net/nessie/12.htm)
เขาได้ปล่อยข่าวว่า ฟิเดล คาสโตร นั้นเป็นพวกนอกศาสนา เป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์ จากนั้นก็สร้างความเชื่อถือ
ต่อข่าวลือให้เกิดขึ้นโดยการ "สร้างภาพ" เพื่อให้ชาวบ้านเชื่อว่าพระเยซู ได้เสด็จลงมาจากสวรรค์เพื่อกำจัดคนนอกศาสนา
ซึ่งวิธีการของเขาก็คือ ยิงฟอสฟอรัสขึ้นไปบนท้องฟ้าในตอนกลางคืน เพื่อเลียนแบบเหตุการณ์ปาฏิหาริย์
ตามความเชื่อของคนท้องถิ่น
(ความเห็นส่วนตัวว่า กรณีที่มีคนออกมาชูป้ายตามสี่แยกใน กทม. เกี่ยวกับพระเยซู ถามว่าคนเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร?
แล้วรู้สึกว่าจะไปสอดคล้องกับช่วงที่มีข่าวเสื่อมเสียเกี่ยวกับศาสนาพุทธมากๆ และมุสลิมก็ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
น่าจะมีอะไรที่เกี่ยวกับ การปฏิบัติการจิตวิทยา รวมถึงมีการทุ่มโฆษณาชักชวนทางทีวีและสื่อต่างๆของหนังสือดังเล่มหนึ่ง
คิดว่าคนที่ออกมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ไม่เกี่ยว แต่ถามว่าใครอยู่เบื้องหลังล่ะ?)

คัมภีร์ปฏิบัติการจิตวิทยา

กองทัพสหรัฐได้พิมพ์สมุดคู่มือการปฏิบัติการที่พิลึกพิลั่นที่สุดในประวัติศาสตร์การทำสงครามนอกรูปแบบ
ในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1964 ชื่อยาว 3 กิโลกับ 4 หุนว่า
"เวทมนตร์ พ่อมด อำนาจลึกลับ และปรากฏการณ์ทางจิตเหนือธรรมชาติอื่นๆ และความหมายโดยนัย
ของสิ่งเหล่านั้นจากปฏิบัติการของกองทัพและกองกำลังชาวบ้านในคองโก"
(Witchcraft, Sorcery, Magic, and Other Psychological Phenomena,
and Their Implications on Military and Paramilitary Operations in the Congo) (http://stinet.dtic.mil/oai/oai?&verb=getRecord&metadataPrefix=html&identifier=AD0464903)
คู่มือเล่มนี้เป็นตำราสำหรับใช้ศึกษาวิธีการยับยั้งการก่อปฏิวัติของพวกก่อการร้ายที่มีพวกพ่อมดหมอผีคอยหนุนหลัง
ซึ่งแต่งโดย เจมส์ อาร์ ไพร์ซ (James R. Price) กับ พอล จูไรดินี (Paul Jureidini) 2 นักวิเคราะห์จาก
สถาบันวิจัยปฏิบัติการพิเศษ (Special Operations Research Office - SORO) แห่งมหาวิทยาลัยอเมริกา
ในกรุงวอชิงตันดีซี

สถาบันดังกล่าวทำหน้าที่เป็นผู้ให้ข้อมูลการวิจัยเกี่ยวกับปฏิกิริยาของมนุษย์กับนโยบายทางการเมืองและการทหาร
ให้กับกองทัพสหรัฐ สถาบันนี้ยังได้ดำเนินโครงการที่น่าอับอายโครงการหนึ่งที่พวกเขาตั้งชื่อมันว่า
"โครงการคาเมล็อท" (Project Camelot) (http://en.wikipedia.org/wiki/Project_Camelot)
http://www.cia-on-campus.org/social/camelot.html (http://www.cia-on-campus.org/social/camelot.html)

หาหนูตะเภา

โครงการนี้ถูกสร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์ที่จะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ประเมินผลกระทบทางด้านสังคม
ในประเทศด้อยพัฒนาที่ถูกเข้าแทรกแซงความมั่นคงของประเทศทั้งก่อให้เกิดความไม่มีเสถียรภาพและมีเสถียรภาพ

แต่ข่าวการดำเนินโครงการนี้ได้รั่วไหลออกสู่สาธารณชนโดยเฉพาะในประเทศที่ถูกหมายหัวไว้เป็นตัวถูกทดลอง
ก่อให้เกิดการเดินขบวนประท้วงอย่างกว้างขวางทั่วโลก ทำให้สถาบันวิจัยปฏิบัติการพิเศษ ต้องล้มเลิกโครงการนี้

ในรายงานที่เกี่ยวกับประเทศคองโกนั้นเป็นการศึกษาทดลองหาความเป็นไปได้ที่จะนำเอาวัฒนธรรม ความเชื่อ
ในเรื่องต่างๆ ของคนในท้องถิ่นมาใช้เป็นอาวุธ พวกนักเล่นไสยศาสตร์ถูกกล่าวว่าเป็นผู้ต่อต้านทหารของรัฐบาล
ที่มีประสิทธิภาพ พวกเขามีความเชื่อว่าพวกเขานั้นอยู่ยงคงกระพัน ยิงฟันไม่เข้า
(ความเห็นส่วนตัวว่า เหตุการณ์  มัสยิดกรือเซะ เราเป็นหนูตะเภาให้ใครหรือเปล่า?)

การที่พวกนักรบหมอผีเหล่านี้เชื่อว่าพวกเขาหนังเหนียว ทำให้พวกเขาไม่กลัวการที่เข้าปะทะกับกองกำลัง
ของรัฐบาลในทุกรูปแบบ ในทางตรงกันข้ามพวกทหารของรัฐบาลเสียเองกลับกลัวการที่จะต้องเข้าเผชิญหน้า
กับพวกนักรบเดนตายเหล่านี้

ในเมื่อ "ความเชื่อ" มีอานุภาพมากมายขนาดนั้น จึงทำให้แทนที่กองทัพสหรัฐจะพยายามทำลายความเชื่อผิดๆ
เหล่านั้นให้หมดสิ้นไป พวกเขากลับศึกษาและค้นคว้าถึงสิ่งที่คนในท้องถิ่นต่างๆ เชื่อถือ ตำนานพื้นบ้านและ
เรื่องลึกลับที่เล่าขานสืบต่อกันมากลายเป็นเรื่องที่หน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาให้ความสนใจเป็นพิเศษ

เหตุผลนะหรือครับ? ก็เพราะเขาจะได้สร้างเรื่องให้พวกชาวบ้านหลงเชื่อได้ง่าย เมื่อเวลาที่พวกเขาต้องการ
ชักจูงให้ชาวบ้านทำอะไรบางอย่างที่พวกเขาต้องการ! แต่อย่างไรก็ตามในตำราชื่อยาว ได้เตือนเอาไว้ว่า
การกระทำดังกล่าวเป็นการสนับสนุนให้คนเกิดความงมงายในสิ่งผิดๆ
(ความเห็นส่วนตัว เมืองไทยตอนนี้ดูเหมือนว่าผู้มีอำนาจที่เมื่อก่อนเรียกว่า คอมมิวนิสต์ ก็ใช้กลยุทธ์ที่ไม่ต่างจาก
ซีไอเอ เลยอยากตั้งคำถามว่าเรื่องคอมมิวนิสต์ในเมืองไทยมีจริงหรือไม่? หรือเบื้องหลังคือ มหาอำนาจ ชักใยอยู่
ที่คนไทยฆ่ากันเองเมื่อก่อนก็มีความเป็นไปได้ว่า มหาอำนาจโลกเสรีเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง)

ในที่สุดแล้วผลของการใช้ความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์และเรื่องลี้ลับนี้อาจจะแปรเปลี่ยนไปจนกระทั่งไม่สามารถที่จะควบคุมได้
ซึ่งมันอาจจะสร้างปัญหาที่ใหญ่หลวงได้ในอนาคต ในตอนท้ายของตำราได้แนะนำว่าการแก้ปัญหาที่ถูกวิธีคือ
การฝึกฝนกำลังทหารให้มีประสิทธิภาพและมีผู้นำกองทัพที่เข้มแข็งและหนักแน่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสามารถเอาชนะ
นักรบหมอผีได้อย่างเด็ดขาด

มัจจุราชมาเยือน

หลังจากนั้นไม่กี่ปีในช่วงท้ายๆ ของสงครามเวียดนาม หน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาได้ใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะเอาชนะ
พวกเวียดกง ทั้งกายและใจ พวกเขาได้ใช้สื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นใบปลิว เครื่องกระจายเสียงและวิทยุในการประโคมข่าว
ข้อความบ่งบอกถึงผลเสียของการต่อต้านกองทัพสหรัฐและรัฐบาลเวียดนามใต้ ผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือจะต้องพบกับ
จุดจบที่น่าสยดสยอง!

ตัวอย่างเช่น ในใบปลิวแผนหนึ่ง มีภาพศพของทหารเวียดกงกับภาพวาดหัวกะโหลกและเครื่องหมายโพดำ
(ดูภาพจากลิงค์วิดิโอนี้ Dark Secrets of the CIA Pt.2 (http://youtube.com/watch?v=no6KwMcmsu8))
ซึ่งพวกเขาได้ความคิดนี้มาจากการที่มีทหารสหรัฐคนหนึ่งได้ทิ้งไพ่รูปเอโพดำไว้บนศพของพวกเวียดกงเพื่อ
สื่อความหมายว่าเป็นลางร้ายแห่งความตาย ใต้ภาพมีข้อความภาษาเวียดนามเขียนว่า "เวียดกง! นี่คือสัญลักษณ์แห่งความตาย"
หรือ "จงดิ้นรนหาทางที่จะต่อต้านรัฐบาลต่อไป แล้วก็จะได้พบกับความตายที่น่าสมเพชเช่นนี้"

ราวต้นทศวรรษที่ 1980 หรือ 10 ปีถัดมาหลังจากที่สหรัฐได้ถอนกำลังออกจากเวียดนาม พวกเขาก็ได้นำ
ปฏิบัติการจิตวิทยามาใช้อีกครั้งในการต่อต้านรัฐบาลซานดินิสต้าในนิคารากัว ที่มีคิวบาหนุนหลังอยู่
คราวนี้เขาได้สร้างภาพให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลที่ใช้ชื่อว่า คอนทราส์ (Contras) (http://en.wikipedia.org/wiki/Contras) ซึ่งหมายถึง
ผู้ต่อต้านการเป็นนักรบของชาวคริสเตียน เอ็ดการ์ ชาโมร์โร (Edgar Chamorro) (http://en.wikipedia.org/wiki/Edgar_Chamorro) ชาวนิคารากัวผู้ซึ่งทำงานเป็นสายลับ
ให้กับ ซีไอเอ และเป็นผู้วางกลยุทธ์ในปฏิบัติการจิตวิทยาครั้งนี้ ได้ตีพิมพ์แผ่นปลิวที่นำเอาสัญลักษณ์ต่างๆ
ของศาสนาคริสต์ มาเป็นตัวชูโรงเช่น "สันตะปะปาอยู่ข้างเรา" ใบปลิวบางใบจะมีรูปสันตะปาปาประกอบพร้อมกับ
ข้อความ "ต้ดสินใจดู! โบสถ์หรือคอมมิวนิสต์ซานดินิสตา" หรือ "พระคริสต์เป็นผู้ปลดปล่อย"

ตัวอย่างเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของปฏิบัติการจิตวิทยาที่สหรัฐนำมาใช้ในการทำสงครามกับประเทศต่างๆ
เป็นที่ร่ำลือกันมาก ว่าปฏิบัติการมองกูส ที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้ ได้เซ็นคำสั่งอนุมัตินั้น อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่าน
ถูกลอบสังหารในเวลาต่อมา


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: SA-KE ที่ สิงหาคม 20, 2006, 08:39:03 PM
    เรียน "คุณnarongt ". ...ข้อความสีแดง ที่เขียนว่า  " (  ความเห็นส่วนตัว...... )   " ผมรบกวนถามหน่อยครับว่า  เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของ"คุณ narongt"  หรือ เจ้าของบทความนี้ครับ....ไม่มีอะไร?ครับ...เพียงแค่อยากทราบเท่านั่นเอง..ขอบคุณมากครับ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ สิงหาคม 20, 2006, 09:17:56 PM
ติดตาม....อยู่เสมอ..ครับ.....ขอปรบมือ ให้คุณณรงค์ ครับ....ที่อุตส่าห์ หาเรื่องราวดี ๆ มาให้ได้รับทราบกัน...(http://i8.tinypic.com/2555fcx.gif)


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 20, 2006, 10:55:57 PM
    เรียน "คุณnarongt ". ...ข้อความสีแดง ที่เขียนว่า  " (  ความเห็นส่วนตัว...... )   " ผมรบกวนถามหน่อยครับว่า  เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของ"คุณ narongt"  หรือ เจ้าของบทความนี้ครับ....ไม่มีอะไร?ครับ...เพียงแค่อยากทราบเท่านั่นเอง..ขอบคุณมากครับ

ข้อความในวงเล็บ (ความเห็นส่วนตัว) ที่มีสีแดง เป็นความเห็นของผมเองครับ

เพราะหนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ มกราคม ปี 2544 คนเขียนใช้นามปากกาว่า ศิลป์ อิศเรศ
เขารวบรวมจากบทความที่เขาเขียนลงในหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ คาดว่าน่าจะเขียนก่อน ปี 2544
แล้วค่อยมารวบรวมเป็นเล่มทีหลัง

ผมเลยให้ความเห็นส่วนตัว เพื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน


หัวข้อ: ปริศนาคดีลอบสังหาร เคนเนดี้
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 21, 2006, 10:01:28 PM
ปริศนาคดีลอบสังหาร "เคนเนดี้"

คดีลอบสังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/3f/John_F_Kennedy.jpg/200px-John_F_Kennedy.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/John_F._Kennedy_assassination)
ยังคงเป็นความลับดำมืดอยู่แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบ 40 ปีแล้วก็ตาม หลักฐานที่ได้จากฟิล์มภาพยนตร์
และรูปถ่ายในวันเกิดเหตุแสดงให้เห็นถึงชายลึกลับ 2 คนที่อยู่ใกล้กับเคนเนดี้ มากที่สุดในวินาทีที่เขาถูกยิง
แต่กลับดูเหมือนว่าชายทั้ง 2 จะไม่มีตัวตน!

วันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ได้เดินทางไปยังเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/0/00/02140503l.jpg/225px-02140503l.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Dallas%2C_Texas)
ตามกำหนดการเดินสายหาเสียงในรัฐต่างๆ ทางใต้ เพื่อเตรียมการสำหรับการเลือกตั้งตำแหน่ง
ประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่ 2 ของเขา

เวลา 11:40 น. ประชาชนชาวดัลลัสต่างต้อนรับการเดินทางมาของเคนเนดี้และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง
อย่างอบอุ่น ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส จอห์น คอนเนลลีย์ และภรรยา
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/5/5e/JFKmotorcade.jpg/180px-JFKmotorcade.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/John_Connally)
นั่งในรถลิมูซีน คันเดียวกับท่านประธานาธิบดีเพื่อเดินทางจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมือง

เมื่อขบวนรถได้เคลื่อนมาถึงเดลีย์พลาซา
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/a/a3/Dealey_Plaza.jpg/250px-Dealey_Plaza.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Dealey_Plaza)
(http://mcadams.posc.mu.edu/plazao.jpg)
ณ เวลา 12:30 น. ก็เลี้ยวขวาจากถนนเมน เข้าถนนฮิวส์ตัน เพื่อที่เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเอล์ม
(http://www.jfk-assassination.de/images/route.gif) (http://www.jfk-assassination.de/media/drawings/route.php)
ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส (Texas School Book Depository)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/6/68/SchoolbookDepository.jpg/180px-SchoolbookDepository.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Texas_School_Book_Depository)

ทันทีที่รถคันที่เคนเนดี้นั่งแล่นผ่านป้ายบอกชื่อถนนทางด่วนสเตมมอนส์ ที่อยู่ข้างหน้า
(http://www.jfkmurdersolved.com/images/knoll2.jpg)
ภรรยาของผู้ว่าจอห์นก็ได้ยินเสียงปืน เธอจึงเหลี่ยวหลังไปมองเคนเนดี้ที่นั่งอยู่เบาะหลังของรถ
เธอเห็นท่านประธานาธิบดีเอามือกุมที่คอ วินาทีถัดมาผู้ว่าฯ จอห์นก็รู้สึกปวดที่ด้านหลังเขารู้ทันทีว่าเขาถูกยิง
http://www.btinternet.com/~dr_paul_lee/JFK.htm (http://www.btinternet.com/~dr_paul_lee/JFK.htm)
(http://www.btinternet.com/~dr_paul_lee/z-225.jpg)
(http://www.btinternet.com/~dr_paul_lee/z-260.jpg)

ไม่กี่วินาทีต่อมาผู้ว่าจอห์น ก็ได้ยินเสียงปืนนัดที่ 3 ภรรยาของท่านประธานาธิบดียังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เธอคิดว่าเป็นเสียงประทัดหรือดอกไม้ไฟที่ประชาชนจุดต้อนรับขบวน แต่เมื่อเธอหันหน้ามามองสามีเธอ
ที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอก็ต้องตกใจที่เห็นท่านประธานาธิบดีถูกยิงเข้าที่ศรีษะ มันเป็นกระสุนนัดสุดท้ายที่
สังหารเคนเนดี้
(http://www.jfkmurdersolved.com/images/zaplow.gif)
(http://www.jfkmurdersolved.com/images/Headshot-large.gif)
http://www.assassinationresearch.com/v2n2/zfilm/zframe313.html (http://www.assassinationresearch.com/v2n2/zfilm/zframe313.html)

เมื่อประชาชนที่คอยเฝ้าต้อนรับรถขบวนอยู่ 2 ข้างทางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็แตกตื่นพากันนอนราบ
ลงกับพื้นหรือไม่ก็วิ่งหนีออกไปจากบริเวณนั้น เพื่อหลบลูกกระสุนที่อาจเกิดการยิงขึ้นมาอีก
(http://www.jfkmurdersolved.com/images/bond1.jpg)

ยกเว้นคน 2 คน!
(http://www.jfkmurdersolved.com/images/knoll.jpg)

http://www.dallasnews.com/cgi-bin/bi/dallas/photography/photography.cgi?step=View%20Slideshow&show=420&thisImage=6583 (http://www.dallasnews.com/cgi-bin/bi/dallas/photography/photography.cgi?step=View%20Slideshow&show=420&thisImage=6583)
http://www.dallasnews.com/s/dws/spe/2005/jfk (http://www.dallasnews.com/s/dws/spe/2005/jfk)

ปริศนาคนถือร่ม
จากการวิเคราะห์ฟิล์มภาพยนตร์ขนาด 8 มม. ที่ถ่ายโดย อับราฮัม แชพรูเตอร์
http://youtube.com/watch?v=GU_cbEIPXw0&search=Abraham%20Zapruder (http://youtube.com/watch?v=GU_cbEIPXw0&search=Abraham%20Zapruder)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/1/1d/Zapruder.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Abraham_Zapruder)
และภาพถ่ายจากกล้องของผู้อื่นที่อยู่ในเหตุการณ์ ประกอบกับคำให้การของพยานขณะที่ จอห์น เอฟ เคนเนดี้
ถูกลอบสังหารนั้นแสดงให้เห็นสิ่งผิดปรกติที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีนั้นมากมาย ภาพถ่ายจากพยานที่ยืนอยู่ริมถนน
ตรงกันข้ามกับป้ายบอกชื่อถนนทางด่วนเสตมมอนส์ จับภาพชาย 2 คนนั่งอยู่ริมถนนบริเวณป้ายนั้น
(http://www.jfk-assassination.de/images/umbrella.gif) (http://www.jfk-assassination.de/articles/umbrella.php)
ซึ่งเป็นคนที่อยู่ใกล้กับประธานาธิบดีมากที่สุด ชายทั้ง 2 ดูเหมือนเป็นเพียงประชาชนธรรมดาๆ ที่มาต้อนรับ
ประธานาธิบดีในดวงใจของพวกเขาเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในที่นั้น แต่เมื่อรถของประธานาธิบดีแล่นมาถึง
หนึ่งในนั้นก็ลุกขึ้นยืนกางร่ม
(http://www.jfk-assassination.de/images/umbrella2.gif)
ที่มันน่าแปลกก็เพราะว่าวันนั้นเป็นวันที่อากาศแจ่มใส ไม่มีเค้าว่าจะมีฝนหรือแดดก็ไม่จัด ที่สำคัญคือ
ชายคนนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่กางร่มในที่เกิดเหตุ เขากางร่มออกเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็หุบมันลง
ในขณะที่ชายคนที่นั่งข้างๆ เขาลุกขึ้นยืนโบกมือ และวินาทีเดียวกันนั้นเองเสียงปืนก็ดังขึ้น!

สิ้นเสียงปืนความโกลาหลก็บังเกิดขึ้น ฝูงชนแตกตื่นไปคนละทิศละทาง ยกเว้นชาย 2 คนนี้ที่ทรุดตัวนั่ง
ลงที่เดิม หนึ่งในนั้นหยิบวัตถุบางอย่างที่มีเสาอากาศออกมา เขาจ่อมันที่ปากเหมือนกับว่าเขากำลังพูด
วิทยุรับ-ส่ง จากนั้นชายทั้ง 2 ก็แยกย้ายกันไปคนละทาง ชายที่ถือร่มเดินไปทางอาคารเก็บหนังสือโรงเรียน
ส่วนอีกคนเดินไปทางถนนลอดใต้ทางด่วน
(http://www.hobrad.com/dcmanradio.jpg)
"ชายผิวคล้ำ" (Dark complected Man) หยิบวัตถุบางอย่างที่มีเสาอากาศมาจ่อที่ปากหลังจากที่เคนเนดี้ถูกยิง
(http://www.hobrad.com/dcmanwalk.jpg)
หลังจากที่เคนเนดี้ถูกยิง เขาก็ลุกขึ้นยืนเอาวิทยุเหน็บหลังแล้วเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

สัญญานมรณะ
(http://www.ratical.com/ratville/JFK/images/TUM7.gif)
เป็นไปได้ไหมว่า ชายทั้ง 2 คนกำลังส่งสัญญานให้กับมือปืนที่ซุ่มรออยู่ เพื่อบอกให้เริ่มปฏิบัติการได้
ที่ต้องให้สัญญานก็เพราะมือปืนไม่ได้มีแค่คนเดียวอย่างที่เอฟบีไอ ได้ทำสรุปสำนวนการสืบสวน
เป็นที่แน่นอนว่าเมื่อเสียงปืนดังขึ้น ความโกลาหลย่อมเกิดขึ้น หน่วยรักษาความปลอดภัยและ "เหยื่อ" จะต้องรู้ตัว

ดังนั้นเพื่อให้ปฏิบัติการสัมฤทธิ์ผล ปืนอย่างน้อย 3 กระบอกจะต้องถูกยิงในเวลาเดียวกันจากมุมต่างๆ
หลังจากนั้นชายทั้ง 2 จะหยุดดูผลงาน แจ้งข่าวและหนีออกจากที่เกิดเหตุอย่างสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

มีผู้ตั้งข้อสังเกตุว่า สัญญาน "ร่ม" อาจเป็นสัญลักษณ์สื่อความหมายถึงปฏิบัติการส่งกองกำลังสนับสนุนทางอากาศ
ย้อนกลับไปเดือนเมษายน ค.ศ. 1961 เมื่อ ซีไอเอ ได้ส่งกำลังทหารเข้าไปยังคิวบาเพื่อเข้าต่อต้านกองทหาร
ฝ่ายปฏิวัติของ ฟิเดล คาสโตร เรียกว่า ปฏิบัติการบุกอ่าวสุกร (Bay of Pigs Invasion) ซีไอเอ ได้ให้สัญญากับ
กองทัพของเขาว่าจะมีการส่งกำลังสนับสนุนทางอากาศเข้าไปช่วยหลังจากที่พวกเขาถึงอ่าวสุกรแล้ว แต่เหตุการณ์
ไม่เป็นไปตามแผน เนื่องจากประธานาธิบดีเคนเนดี้ ปฏิเสธคำขอของซีไอเอ ที่จะส่งกำลังทหารเข้าไปช่วยกองทัพ
ของซีไอเอราว 1,300 คน ที่ล่วงหน้าไปยังที่นั่นแล้ว ปฏิบัติการครั้งนั้นจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า การกางร่มออกของ
ชายลึกลับอาจสื่อความหมายถึง กองกำลังสนับสนุนทางอากาศที่พวก ซีไอเอ รอคอย

ร่มเป็นอาวุธลับ
(http://www.ratical.com/ratville/JFK/images/TUM1.gif) (http://www.ratical.com/ratville/JFK/TUM.html)
โรเบิร์ท คัทเลอร์ นักวิจัยที่มีชื่อเสียงได้ตั้งข้อสังเกตุว่า "ร่ม" อาจเป็นปืนยิงลูกดอก ซึ่งทฤษฏีนี้ได้รับการยืนยันว่า
มีความเป็นไปได้ เนื่องจากในปี ค.ศ. 1975 นักวิจัยทางด้านอาวุธของ ซีไอเอ ผู้หนึ่งได้ให้การต่อเจ้าหน้าที่สืบสวน
สอบสวนว่าในปี ค.ศ. 1963 ซีไอเอ ได้สั่งผลิตอาวุธลับปืนยิงลูกดอกที่เป็นรูปร่มจำนวน 50 กระบอก
ลูกดอกจะถูกยิงอย่างเงียบๆ ออกมาจากก้านร่มขณะที่ผู้ถือกางร่มออก
(http://mcadams.posc.mu.edu/piece1.gif)

โรเบิร์ท ยังได้ให้ความเห็นอีกว่า รอยบาดแผลที่คอของประธานาธิบดีเคนเนดี้ นั้นอาจเป็นบาดแผล
ที่เกิดจากกระสุนลูกดอก แต่มันถูก "ตกแต่ง" เสียใหม่ระหว่างที่มีการชันสูตรศพ
(http://www.jfkmurdersolved.com/images/BE3_HI.jpg)
และเจ้าลูกดอกอาบยาพิษนี่เองที่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านประธานาธิบดีไม่แสดงอาการตอบสนอง
และนั่งเป็น "เป้านิ่ง" ขณะที่เสียงปืนดัง

ข้อสังเกตุทั้งหลายที่กล่าวมานี้ยังไม่มีหลักฐานแน่นหนาพอที่จะยืนยันได้ว่าถูกต้อง ดูเหมือนทฤษฏีกางร่ม
เป็นสัญญานนั้นจะฟังดูเป็นไปได้มาก แต่คำตอบที่ดีที่สุดก็คือ การนำเอาตัวชายลึกลับทั้ง 2 คน
มาสอบสวนปากคำ แต่ว่าจะหาตัวพวกเขาได้ที่ไหน?

ไม่มีตัวตน

เป็นเรื่องเหลือเชื่อมากที่ชายทั้ง 2 คนไม่มีตัวตนอย่างเป็นทางการทั้งเอฟบีไอและคณะกรรมาธิการวอร์เรน
(Warren Commission เป็นหน่วยงานเฉพาะกิจที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อสอบสวนคดีลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้) (http://en.wikipedia.org/wiki/Warren_Commission)
ไม่เคยพูดถึงชายลึกลับทั้ง 2 คนในการสืบสวนสอบสวน

แต่ต่อมาเมื่อได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการรัฐสภา เพื่อให้มาดูแลการสืบสวนสอบสวนคดีสำคัญนี้ พวกเขาได้สั่งให้
หาตัวชายลึกลับทั้ง 2 คนมาสอบสวน อีกทั้งยังได้ติดประกาศรูปชายทั้ง 2 ให้ประชาชนช่วยชี้เบาะแสหากว่า
เคยเห็นหรือรู้จักพวกเขา

หลังจากที่ติดประกาศตามหาตัวได้ไม่นาน จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์จากผู้ไม่ประสงค์จะออกนามแจ้งมายัง เพนน์ โจนส์
หนึ่งในคณะกรรมาธิการรัฐสภาว่าชายลึกลับที่ถือร่มนั้นเป็นพนักงานขายประกันในดัลลัสชื่อ หลุยส์ สตีเวน วิทท์
(Louie Steven Witt) เพนน์ จึงรีบประสานงานกับแหล่งข่าวของเขาในดัลลัสทันที
(http://mcadams.posc.mu.edu/umbrell1.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Louis_Steven_Witt)

พยาน "เตี๊ยม"

ในที่สุด เพนน์ ก็พบชายถือร่ม หลุยส์ ยอมรับว่าวันที่ประธานาธิบดีถูกลอบสังหาร เขาอยู่ในที่เกิดเหตุ เพนน์
มีความรู้สึกว่า หลุยส์ ได้รับการ "เตี๊ยม" มาเป็นอย่างดีในการให้ปากคำ อันที่จริงเขายังไม่ได้ถูกตั้งข้อหา
ซึ่งเขามีสิทธิที่จะปฏิเสธการตอบคำถามแต่เขาก็ไม่ได้ทำ เขาตั้งข้อแม้แค่เพียงว่าเขาจะตอบคำถามจาก
การไต่สวนของคณะกรรมาธิการรัฐสภาเท่านั้น

คำถามทุกคำถามที่ เพนน์ ถาม หลุยส์ ได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว ดูลงตัวสมบูรณ์แบบไปในด้านบวก (พยานบริสุทธิ์)
เขาบอกว่าที่เขากางร่มออกขณะที่รถขบวนของประธานาธิบดีเคนเนดี้ แล่นผ่านก็เพราะว่ามีคนบอกเขาว่าเคนเนดี้
จะโกรธมากถ้าเขาเห็นคนกางร่มโดยไม่มีเหตุผลต่อหน้าเขา

หลุยส์ บอกแต่เพียงว่าเขาต้องการยั่วให้ท่านประธานาธิบดีโกรธเท่านั้น แต่เขาไม่ยอมบอกว่าทำไมเขาถึง
ต้องทำอย่างนั้น เขายังให้การต่ออีกว่าตอนนั้นเขานั่งอยู่บนสนามหญ้าริมถนน เมื่อรถขบวนของประธานาธิบดี
แล่นมาถึงเขาก็ลุกขึ้นยืนและกางร่มออก ขณะที่กางร่มนั้นเขาก็เดินมาที่ริมถนนซึ่งเป็นวินาทีเดียวกับที่เคนเนดี้ถูกยิง

กรรมการสอบสวนท่านหนึ่งได้ตั้งข้อคิดว่าบิดาของประธานาธิบดีเคนเนดี้ เคยรับตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำอังกฤษ
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/f/fd/Joseph_Kennedy.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Joseph_P._Kennedy%2C_Sr.)
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ร่มเป็นสัญลักษณ์แทนนายกรัฐมนตรีเนวิลล์ เชมเบอร์เลน (ซึ่งมีนิสัยชอบถือร่มเป็นประจำ)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4b/Arthur-Neville-Chamberlain.jpg/200px-Arthur-Neville-Chamberlain.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Neville_Chamberlain)
และนโยบายทางการเมืองของเขาที่โน้มเอียงไปทางลัทธินาซี โดยที่นโยบายของเขาได้รับการสนับสนุน
โดยบิดาของเคนเนดี้

คำให้การขัดแย้ง

เนื่องจาก หลุยส์ อยู่ใกล้กับท่านประธานาธิบดีมากที่สุดในขณะที่ท่านถูกลอบสังหาร ดังนั้นเขาอาจจะเห็นอะไรบางอย่าง
ที่พอจะเป็นเบาะแสให้คณะกรรมาธิการรัฐสภาใช้ในการสืบสวนคดีได้ แต่คำตอบที่ได้จากเขานั้นกลับไม่เป็นอย่างที่คิด!

เมื่อคณะกรรมาธิการรัฐสภาถาม หลุยส์ ว่าเขาเห็นอะไรบ้างระหว่างที่เคนเนดี้ถูกยิง หลุยส์ กลับตอบว่าเขาไม่เห็นอะไรเลย
เขาบอกว่าเขานั่งอยู่บนสนามหญ้าใกล้ถนน และเมื่อรถขบวนแล่นมาถึงเขาก็ลุกขึ้นยืนเพื่อกางร่มในเวลาเดียวกันนั้นเอง
เขาก็เดินตรงไปที่ถนน ซึ่งเป็นวินาทีที่เขาเข้าใจว่า "คนอื่นๆ" ได้เห็นท่านประธานาธิบดีถูกยิง แต่เขามองไม่เห็นอะไรเลย
เนื่องจากเจ้าสิ่งนี้(ร่ม)มันบังเขาอยู่ ช่วงวินาทีนั้นทัศนวิสัยถูกบังโดยร่มที่กำลังกางออก

แต่คำให้การของ หลุยส์ ขัดแย้งกับหลักฐานที่เป็นภาพถ่ายและภาพยนตร์ เนื่องภาพที่เห็นจากในนั้น "คนถือร่ม" นั้นยืนอยู่
ในขณะเดียวกันก็ชูร่มขึ้นเหนือศรีษะในท่าเตรียมพร้อม เมื่อรถของท่านประธานาธิบดีแล่นผ่านจุดที่เขายืนอยู่ เขาก็กางร่ม
ออกทันที กรรมการสอบสวนหลายท่านลงความเห็นว่าคำให้การของหลุยส์เป็นเท็จและไม่เชื่อว่าเขาเป็นชายถือร่มตัวจริง
(Umbrella Man)

ชายลึกลับยังคงลึกลับ

เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้ถามถึงชายอีกคนที่ยืนโบกมืออยู่ข้างๆเขา หลุยส์ ก็ตอบว่าเขาไม่รู้จักชายคนนั้น
แต่เมื่อคณะกรรมการยืนยันว่ามีพยานหลายคนเห็น หลุยส์ พูดคุยกับชายคนนั้น เขาบอกว่าเขาจำได้แต่เพียงว่า
มี "ไอ้มืด" (Nigro Man) คนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้กับเขาเอาแต่บ่นพึมพำว่า "พวกนั้นยิงพวกเขาแล้วเพื่อนเอ๋ย"
ดูเหมือนจะไม่ได้อะไรคืบหน้าจากการสอบสวน หลุยส์ สตีเวน วิทท์ เขาอาจเป็นเพียงคนที่ถูก "เมค" ขึ้นมา
เพื่อให้คณะกรรมาธิการรัฐสภา ได้ไต่สวนตามที่ปรากฏในหลักฐานภาพถ่ายเท่านั้น ส่วนชายที่ยืนโบกมือข้างๆ
เขาซึ่งถูกเรียกว่า "ชายผิวคล้ำ" (Dark complected Man) ที่มีพยานบางคนระบุว่าเห็นเขาหยิบวัตถุบางอย่าง
ที่มีเสาอากาศมาจ่อที่ปากหลังจากที่เคนเนดี้ถูกยิงนั้นตามตัวเขาไม่พบจนบัดนี้

ทั้งชายถือร่มและชายผิวคล้ำยังคงเป็นบุคคลลึกลับที่ชวนสงสัยว่าพวกเขาเป็นใครและทำไมพวกเขาจึงมี
อากัปกิริยาแตกต่างไปจากคนอื่นๆ ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ?

ปริศนาคดีลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ชายถือร่มและชายผิวคล้ำ สรุปสำนวนสอบสวน
ของเอฟบีไอ ยังมีเรื่องอื่นที่ขัดแย้งกับความจริง แม้ว่าภายหลังจะมีการจับกุม ลี ฮาร์วี ออสวอลด์ ผู้ที่ถูกระบุว่า
เป็นคนลั่นกระสุนประวัติศาสตร์ แต่เขาเป็นฆาตกรตัวจริงแน่หรือ?

http://www.ratical.org/ratville/JFK/GoD.html (http://www.ratical.org/ratville/JFK/GoD.html)


หัวข้อ: แพะรับบาป คดีลอบสังหารเคนเนดี้
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 24, 2006, 01:54:45 PM
แพะรับบาป คดีลอบสังหารเคนเนดี้

http://en.wikipedia.org/wiki/Kennedy_assassination_theories (http://en.wikipedia.org/wiki/Kennedy_assassination_theories)

คนทั่วโลกต่างก็รู้ว่าผู้ที่เป็นมือปืนลอบสังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ นั้นก็คือ
ลี ฮาร์วี ออสวอลด์ (Lee Harvey Oswald)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/0/0c/LHO14.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Lee_Harvey_Oswald)
http://www.spartacus.schoolnet.co.uk/LHO.htm (http://www.spartacus.schoolnet.co.uk/LHO.htm)
ผู้มีใจฝักใฝ่ในรัสเซียและคิวบา แต่หลักฐานที่เอฟบีไอ นำมาแสดงต่อสาธารณชนนั้นดูเหมือนว่า
จะมีอะไรเเคลือบแคลงแอบแฝงอยู่

เวลา 11:40 น. ของวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้
และภรรยา แจคเกอร์ลีน (Jacqueline Kennedy Onassis)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/3/39/Whitehouseportraitjackie.jpg/250px-Whitehouseportraitjackie.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Jacqueline_Kennedy_Onassis)
ได้เดินทางมาถึง สนามบินเลิฟฟิลด์ (http://maps.google.com/maps?ll=32.847111,-96.851778&spn=0.03,0.045&t=k) ในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส
ตามกำหนดการหาเสียงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2

รถขบวนได้เคลื่อนออกจากสนามบิน เข้าสู่ตัวเมืองตาม ถนนเมน เพื่อตรงไปยังทางด่วนสเตมมอนส์
แต่เมื่อรถขบวนของท่านประธานาธิบดีแล่นมาถึงจุดตัดระหว่าง ถนนเมน กับ ถนนฮิวสตัน พวกเขาก็ต้อง
เปลี่ยนเส้นทางกระทันหัน เนื่องจาก ถนนเมน ในช่วงนี้ได้ปิดซ่อมแซม

ดังนั้นรถขบวนจึงเลี้ยวขวาขึ้น ถนนฮิวสตัน โดยมีจุดประสงค์ที่จะไปเลี้ยวซ้ายที่แยกหน้าเพื่ออ้อมไปทางถนนเอล์ม
ผ่านดีเลย์พลาซา และตรงไปยังทางที่ปลายถนนซึ่งบรรจบกับถนนเมน ซึ่งเป็นเส้นทางที่กำหนดไว้แต่แรก
(http://www.jfk-assassination.de/images/route.gif) (http://www.jfk-assassination.de/media/drawings/route.php)

ก็อย่างที่เล่าให้ฟังไปเมื่อตอนที่แล้วละครับว่าพอรถขบวนแล่นตัดเข้าถนนเอล์ม ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารเก็บหนังสือ
โรงเรียนเท็กซัส (Texas School Book Depository Building) ไปถึงบริเวณป้ายบอกชื่อถนนทางด่วนสเตมมอนส์
เมื่อเวลา 12:30 น. เสียงปืนก็ดังขึ้น ประธานาธิบดีเคนเนดี้ถูกลอบสังหารที่บริเวณนี้

ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้นและเห็นว่าท่านประธานาธิบดีและผู้ว่าการรัฐเท็กซัส จอห์น คอนเนลลีย์ ถูกยิง
คนขับรถก็เหยียบคันเร่งเพื่อรีบนำตัวเคนเนดี้ ไปส่งยังโรงพยาบาลปาร์คแลนด์ที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที
แต่เขาก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวและเสียชีวิตลงเมื่อเวลา 13:00 น.

ย้อนกลับไปยังที่เกิดเหตุ ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบต่างก็เข้าสอบปากคำพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุทันที
เผื่อว่าจะมีใครเห็นอะไรที่พอจะเป็นเบาะแสนำไปสู่การจับกุมคนร้ายที่ลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้ได้
พยานกว่าร้อยคนถูกบันทึกปากคำและแน่นอนว่าทุกตารางนิ้วบนสองข้างทางของถนนเอล์ม ต้องถูกค้นอย่างหนัก
และนั่นก็รวมถึงอาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส

หลักฐานชิ้นแรก

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจค้นทั่วทั้งบริเวณทางรถไฟที่อยู่ด้านหลังของดีเลย์พลาซ่า ด้านหลังของรั้วไม้
ที่อยู่ทางตอนเหนือของถนนเอล์ม ที่ภายหลังถูกเรียกว่าเนินหญ้า (Grassy Noll)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/7/76/Grassy_Knoll_2003.jpg/180px-Grassy_Knoll_2003.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Dealey_Plaza#The_.22grassy_knoll.22)
แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไรจนกระทั่งเวลา 13:12 น. เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าค้นในอาคารเก็บหนังสือ
โรงเรียนเท็กซัส
(http://www.ratical.org/ratville/JFK/images/GoD1.gif) (http://en.wikipedia.org/wiki/Texas_School_Book_Depository)
พวกเขาก็พบปลอกกระสุนปืนไรเฟิลที่ยิงแล้วจำนวน 3 ปลอกที่ชั้น 6 ของอาคารหลังนี้
(http://www.manuscriptservice.com/SN/fig26.jpg) (http://www.manuscriptservice.com/SN/carcases.htm)
อีก 10 นาทีต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พบปืนไรเฟิล ซุกอยู่ในซอกที่มีกล่องบังอยู่ที่บริเวณชั้น 6 ของอาคารเช่นกัน
จากการตรวจลายนิ้วมือในภายหลังพบว่าลายนิ้วมือที่อยู่บนกล่องนั้นตรงกับลายนิ้วมือของ ลี ฮาร์วี ออสวอลด์
(Lee Harvey Oswald)


จับตัวฆาตกร

ไล่เลี่ยกันนั้นเอง เวลาประมาณ 13:15 น. จอห์นนี่ เคลวิน บรูเวอร์ (Johny Calvin Brewer)
(http://www.jfkassassination.net/brewer.jpg)
พนักงานขายรองเท้าร้านฮาร์ดี้ แจ้งตำรวจว่าเขาเห็นคนยิงตำรวจเสียชีวิตที่บริเวณหัวมุมถนน 10 กับแพตตัน
ขณะนี้ฆาตกรได้หลบหนีเข้าไปในโรงหนังเท็กซัส
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/c/c0/TexasTheater_oswaldsSeat.jpg/220px-TexasTheater_oswaldsSeat.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Texas_Theater)

เมื่อได้รับแจ้งความ ตำรวจก็รุดมายังโรงหนังเท็กซัสทันที พวกเขามาถึงเมื่อเวลาประมาณ 13:50 น.
และตรงเข้าไปจับคนร้ายได้โดยละม่อม
(http://www.spartacus.schoolnet.co.uk/LHO30.jpg)
ฆาตกรคนนี้ทราบชื่อภายหลังว่า ลี ฮาร์วี ออสวอลด์ ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นมือสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้ที่ดีเลย์พลาซ่า
จากการค้นตัวเจ้าหน้าที่ก็พบบัตรประจำตัวปลอมของ หน่วยปฏิบัติการพิเศษ (Selective Service System) (http://en.wikipedia.org/wiki/Selective_Service_System)
ที่ใช้ชื่อว่า อเล็ก เจมส์ ไฮเดลล์ (Alek James Hidell) (http://www.answers.com/topic/lee-harvey-oswald)

ตำรวจสันนิษฐานว่าออสวอลด์สังหาร พลตำรวจ เจดี ทิพพิท (J. D. Tippit) (http://www.answers.com/topic/j-d-tippit) เพราะว่าเขาคิดว่า
เขาถูกพลตำรวจทิพพิท สะกดรอยตามมาหลังจากที่เขาได้สังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้

หลักฐานมัดตัว

จากการสอบสวนของเอฟบีไอ พบหลักฐานมัดตัว ลี ฮาร์วี ออสวอลด์ แน่นหนาชนิดดิ้นยังไงก็ไม่หลุด
ประวัติเขาพัวพันกับเคจีบี รัสเซีย และคิวบา

วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1963 ออสวอลด์ เคยถูกจับที่นิวออร์ลีนส์ในข้อหาทะเลาะวิวาทหลังจากมีปากมีเสียง
กับชาวคิวบา 3 คนที่พยายามจะให้เขาหยุดแจกใบปลิวต่อต้านรัฐบาลสหรัฐในการแทรกแซงการเมืองคิวบา
(http://www.spartacus.schoolnet.co.uk/LHO4.jpg)
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1959 ออสวอลด์ ได้เดินทางไปที่มอสโคว์ ประเทศรัสเซีย
และได้อาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1960 ก็ได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองมินส์ก
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/9a/Victory-square.jpg/250px-Victory-square.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Minsk)
(สมัยนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต) และที่นี่เองเขาก็มีการติดต่อกับเจ้าหน้าที่เคจีบี และที่นี่
ออสวอลด์ ก็รู้จักกับหญิงสาวชาวรัสเซียที่ชื่อ มารีน่า นิโคลาเยฟนา พรูซาโคว่า (Marina Nikolaevna Prusakova)
(http://www.spartacus.schoolnet.co.uk/JFKmarina2.jpg) (http://www.spartacus.schoolnet.co.uk/JFKoswaldM.htm)
ทั้งคู่แต่งงานกัน เมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1961

ออสวอลด์และภรรยาเดินทางกลับมาสหรัฐเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1962 เขาอาศัยอยู่ที่เมืองฟอร์ทเวิร์ท
ในรัฐเท็กซัส จากนั้นเขาก็เริ่มหางานทำ เขาย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ และเปลี่ยนงานบ่อย จนครั้งสุดท้าย
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1963 เขาก็ได้งานที่อาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส ซึ่งเป็นสถานที่
ที่ถูกระบุว่าเขาใช้เป็นที่ซุ่มยิง (Snipers Nest) ประธานาธิบดีเคนเนดี้
(http://www.jfklancer.com/photos/WindowViews/ce1312.jpg) (http://www.jfklancer.com/WindowView.html)

ปิดปากฆาตกร
วันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 สองวันหลังจากที่ออสวอลด์ ถูกตำรวจจับตัวได้เขาก็ถูกกำลังตำรวจ
หลายสิบนายคุ้มกันอย่างแน่นหนาเพื่อส่งตัวจากสถานที่คุมขังในสถานีตำรวจดัลลัสเพื่อส่งต่อไปยัง
เรือนจำของรัฐเท็กซัส

ตามกำหนดแล้วออสวอลด์ จะต้องออกเดินทางตั้งแต่เวลา 10:00 น. ของวันที่ 24 พฤศจิกายน
แต่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้กำหนดการต้องเลื่อนออกไปชั่วโมงครึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้การ
ในภายหลังว่า สาเหตุที่ต้องเลื่อนก็เพราะตัวออสวอลด์เองต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้า

เหมือนเป็นสูตรสำเร็จเลยครับว่า ทุกครั้งที่มีเรื่องราวที่เป็นปริศนาต้องมีเหตุบังเอิญเข้ามาเกี่ยวข้อง
และครั้งนี้ก็เช่นกันด้วยเหตุบังเอิญที่ต้องเลื่อนการส่งตัวผู้ต้องหาออกไปจึงทำให้ แจค รูบี้ (Jack Ruby)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/b/b6/Jack_Ruby_mugshot.jpg/250px-Jack_Ruby_mugshot.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Jack_Ruby)
เดินทางมาถึงสถานีตำรวจดัลลัสได้ทันเวลาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังพาตัวออสวอลด์ มาขึ้นรถพอดี

ท่ามกลางการคุ้มกันของตำรวจหลายสิบนาย ต่อหน้าประชาชนที่ชมการถ่ายทอดสดหลายล้านคน
แจค รูบี้ เดินตรงไปยังออสวอลด์ ลั่นกระสุนสังหารออสวอลด์ เสียชีวิตบนทางเดินไปยังที่จอดรถ
ใต้ถุนตึกที่ทำการสถานีตำรวจดัลลัสนั่นเอง
(http://www.spartacus.schoolnet.co.uk/LHO9.jpg)

แจค รูบี้ เจ้าของคลับระบำโป๊เล็กๆ ในเท็กซัส แต่มีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับองค์การมาเฟียใหญ่
ในรัฐชิคาโก อัล คาโปน (Al Capone)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/a2/CaponeMugShot.jpg/180px-CaponeMugShot.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Al_Capone)
ให้การว่าเขาเจ็บแค้นออสวอลด์ เป็นอย่างมากที่บังอาจมาสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้
อันเป็นที่รักของเขา ทำให้เขายับยั้งอารมณ์ไม่อยู่ต้องฆ่าเสียให้ตาย

ปิดแฟ้มคดีลอบสังหาร

ทั้งเอฟบีไอและคณะกรรมาธิการวอร์เร็น (Warren Commission) ต่างก็สรุปคดีนี้ตรงกันว่า
ลี ฮาร์วี่ ออสวอลด์ เป็นผู้สังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ แต่เพียงผู้เดียว
โดยเขาใช้ปืนไรเฟิลที่ทำในอิตาลี แบบแมนนิเชอร์ คาร์ซาโน (Mannlicher-Carcano)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/6/6e/Oswaldrifle.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Mannlicher-Carcano)
ลอบยิงทั้งหมด 3 นัดจากชั้น 6 ของอาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส

แอฟบีไอได้นำหลักฐานภาพถ่าย แฟ้มประวัติของออสวอลด์ และปืนพร้อมปลอกกระสุน 3 ปลอก
ที่พบบนชั้น 6 ของอาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส มาแสดงเพื่อยืนยันว่าเขาเป็นมือสังหาร

แต่จากการสืบสวนของ คณะกรรมาธิการรัฐสภา (United States House Select Committee on Assassinations) (http://en.wikipedia.org/wiki/House_Select_Committee_on_Assassinations)
และนักวิเคราะห์บางคนพบสิ่งผิดปรกติมากมายในสำนวนและหลักฐานที่เอฟบีไอ
และคณะกรรมาธิการวอร์เร็นทำสรุป

หลักฐานขัดแย้ง

เริ่มแรกเรามาดูกันที่ลายนิ้วมือของออสวอลด์ ที่พบบนกล่องในอาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัสแล้วถูกโยงไปว่า
เขาเป็นเจ้าของปืนไรเฟิลที่พบในที่เกิดเหตุนั้นดูจะทะแม่งๆ ด่วนสรุป เพราะออสวอลด์ ทำงานอยู่ที่นั่น
การที่มีลายนิ้วมือของเขาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มีลายนิ้วมือของคนอื่นอีกมากมายที่บริเวณนั้น
แต่ทำไมจึงไม่มีการสืบหาตัว?

การที่ออสวอลด์ เคยอาศัยอยู่ในรัสเซียและแต่งงานกับสาวชาวรัสเซียก็ไม่ได้หมายความว่า
เขาต้องการเป็นสายลับเคจีบี

และการที่เขามีความคิดทางการเมืองไม่เห็นด้วยกับการรุกรานคิวบาก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะต้องทำการรุนแรง
ถึงขั้นลอบสังหารประธานาธิบดี ถึงแม้ว่ามันจะใช้นำมาผูกเรื่องราวได้เป็นอย่างดีก็ตาม

ภาพถ่ายของออสวอลด์ที่อ้างว่าถูกพบในบ้านออสวอลด์ ที่เอฟบีไอบอกว่าถ่ายโดยภรรยาของเขาเอง
เป็นภาพออสวอลด์ ยืนอยู่หลังบ้านของเขาเอง มือข้างหนึ่งถือปืนไรเฟิลกระบอกที่ใช้สังหารเคนเนดี้
ในขณะที่อีกมือหนึ่งนั้นถือใบปลิวต่อต้านการรุกรานคิวบานั้น ออสวอลด์ได้ปฏิเสธว่าเขาไม่เคยถ่ายภาพนี้
ใบหน้าของบุคคลในภาพนั้นเป็นเขาแต่ร่างน่ะไม่ใช่อย่างแน่นอน
(http://www.spartacus.schoolnet.co.uk/LHO1.jpg)
(ความเห็นส่วนตัวว่า จากภาพที่เห็นจะเหมือนกับสมัยนี้ที่ใช้โปรแกรมตกแต่งภาพตัดรูปหน้าเข้าไปแปะ
บนภาพถ่ายของคนอื่น แต่ในสมัยก่อนอาจจะไม่สะดวกเท่าสมัยนี้และไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่!
และวิธีสร้างหลักฐานเท็จแบบนี้ทำให้นึกถึงหน่วยงานรัฐของไทยหน่วยงานหนึ่ง
(ขอเหน็บหน่อยอย่าโกรธนะ คุณ...ทั้งหลาย))

ออสวอลด์ ยังให้ความเห็นอีกด้วยว่า เมื่อเขาถูกตำรวจจับที่โรงหนังเท็กซัส ก็มีนักข่าวจำนวนมาก
ได้ถ่ายภาพของเขา ทำให้ไม่ว่าใครก็สามารถมีภาพถ่ายใบหน้าของเขาและนำไปตัดต่อได้

และถ้าหากมองดูภาพถ่ายนี้ให้ดี เราก็จะพบสิ่งปรกติที่เงาบนใบหน้าซึ่งมีลักษณะเงาเป็นรูปสามเหลี่ยม
เหนือริมฝีปากของเขา ซึ่งเกิดจากการที่แสงส่องมาเหนือศรีษะเยื้องมาตรงหน้า ซึ่งขัดกับเงาที่ตัวของเขา
พาดลงบนพื้นเยื้องไปทางด้านขวาของร่างกาย

เอฟบีไอ ก็รีบออกมาแก้เกี้ยวโดยการทำการถ่ายภาพเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของเขาที่จุดเดียวกันกับในภาพถ่าย
ของออสวอลด์ พร้อมกับบอกนักวิเคราะห์ทั้งหลายว่าเห็นไหมล่ะ เงานั้นตกเยื้องไปทางขวาเหมือนในรูปเป๊ะเลย
แต่ใบหน้าของเจ้าหน้าที่นายนั้นกลับไปถูกป้ายด้วยหมึกดำ ทำให้มองไม่เห็นว่าเงาบนใบหน้านั้นเป็นรูปสามเหลี่ยม
เหนือริมฝีปากบนหรือไม่ (ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นอยู่แล้ว) เอฟบีไออ้างว่า ที่ต้องทำเช่นนั้นก็เพราะเจ้าหน้าที่ ที่เป็นแบบให้นั้น
เป็นสายลับของเอฟบีไอจึงต้องปิดบังโฉมหน้าไว้ (แล้วทำไมดันทะลึ่งเอาคนที่เปิดเผยตัวไม่ได้มาเป็นแบบล่ะ!)
แค่เรื่องเงาในภาพ เอฟบีไอก็หน้าแตกแหลกยับเยินแล้วล่ะครับ นี่ยังไม่ได้พูดถึงความไม่สมดุลของขนาดศรีษะ
และร่างกายของคนในภาพ และความไม่สมดุลของความยาวของปืนกับส่วนสูงของร่างกายของบุคคลในภาพ
ที่ถูกอ้างว่าเป็นออสวอลด์นะครับ

เรื่องจุดที่เอฟบีไอ บอกว่าเป็นที่ซุ่มยิงก็เช่นกันพอนักวิเคราะห์ขึ้นไปลองเอาปืนไรเฟิลส่องกล้องดูก็พบว่า
ที่จุดนี้เมื่อส่องไปยังจุดที่เคนเนดี้ถูกยิงนั้น เขามองไม่เห็นอะไรเลยเพราะ มันถูกต้นไม้บังพอดี
(http://www.ratical.org/ratville/JFK/images/GoD9.gif) (http://www.ratical.org/ratville/JFK/GoD.html)
และจากการวิเคราะห์ฟิล์มภาพยนตร์ที่จับภาพตอนที่เคนเนดี้ถูกยิงนั้น กระสุน 3 นัดได้เจาะร่างเขา
ในเวลาน้อยกว่า 6 วินาที แต่จากการยิงปืนไรเฟิลและขึ้นลำใหม่เพื่อยิงครั้งต่อไปนั้น
ต้องใช้เวลาราว 2.3 วินาทีต่อครั้ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่ ลี ฮาร์วี ออสวอลด์ จะยิงกระสุนทั้ง 3 นัด

เมื่อวิเคราะห์ภาพถ่ายของนักข่าวที่ตามตำรวจขึ้นไปบนชั้น 6 อาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส
ตอนที่พวกเขาพบปืนไรเฟิลนั้น ก็ปรากฏว่าในภาพนั้นไม่ใช่ปืนไรเฟิลชนิด แมนนิเชอร์ คาร์ซาโน
แต่เป็นชนิดเมาเซอร์ (Mauser)
(http://personal.stevens.edu/~gliberat/carcano/images/rifle1.jpg)

แต่ออสวอลด์ ไม่มีโอกาสที่จะได้เปิดเผยความจริง ดังนั้นความลับในคดีลอบสังหารประธานาธิบดี
จอห์น เอฟ เคนเนดี้ จึงยังคงเป็นหนึ่งในคดีปริศนาที่ลึกลับที่สุดของสหรัฐ 3 ปีหลังจากเกิดเรื่อง
พยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุหลายสิบคนต้องเสียชีวิตลงอย่างผิดธรรมชาติ เช่น ถูกสังหารระหว่างโดนปล้น
จมน้ำ เกิดอุบัติเหตุ หัวใจวาย ฯลฯ คดีนี้ยังมีปริศนาชวนให้ขบคิดอีกมากมาย


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 25, 2006, 03:32:42 PM
ขออนุญาติยกกระทู้นี้ขึ้นมาแล้วอยากให้ช่วยออกความคิดเห็นว่า
คล้ายกับสถานการณ์เมืองไทยตอนนี้หรือเปล่าโดยเฉพาะเรื่องแพะรับบาป
สงสัยวอร์รูมของรัฐบาลจะอ่านกระทู้นี้แฮะ ::)


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: SA-KE ที่ สิงหาคม 25, 2006, 05:04:18 PM
ขออนุญาติยกกระทู้นี้ขึ้นมาแล้วอยากให้ช่วยออกความคิดเห็นว่า
คล้ายกับสถานการณ์เมืองไทยตอนนี้หรือเปล่าโดยเฉพาะเรื่องแพะรับบาป
สงสัยวอร์รูมของรัฐบาลจะอ่านกระทู้นี้แฮะ ::)


 ขอเล่นด้วยคน.....

    ระบบอเมริกัน..สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากๆคือ  "ระบบฐานข้อมูล  "...การค้นคว้าและการขุดค้ยข้อมูล ต่างๆ เขาขยันที่จะเก็บและจัดระบบเพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา แต่บ้านเราต้องยอมรับครับว่า ระบบของเราค่อนข้างจะแย่เอามากๆและโดยพฤติกรรมของประชาชนเองแล้ว....บ้านเรามันประเภท ตามกระแสและตื่นตูม มากกว่า..ความรู้สึกถึง " สิทธิ  ความถูกต้องและความเสมอภาค ของความเป็นมนุษย์ "  เรายังมีความรู้สึกน้อยจนเกินไป  เมื่อเทียบกับประชาชนของอเมริกัน...เราเลยเข้าประเภทรู้รักษาตัวรอด(ไว้ก่อน) เป็นยอดดี....ผ่านแล้วผ่านเลยมากกว่าถ้าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง...สำหรับผม บางทีมันเป็นเรื่องน่าเห็นใจมากสำหรับประชาชนตาดำๆอย่างพวกเรา...

    สำหรับความคิดเห็นผม สุดท้ายมันก็คงจบแบบไทยๆ ประเภท " เงียบหายตามกาลเวลา,หมดลมหายใจ หรือกระทั่ง หลุดเป็นอิสรภาพ  " อาจจะกว้างไปหน่อย....ยังไงเสีย?วิธีการมันก็ไม่ต่างกันครับ...สำหรับผม ผมว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องแพะรับบาป ครับ...เพราะบ้านเราถนัด "การตัดตอน" มากกว่า...


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ สิงหาคม 25, 2006, 11:50:33 PM
รวมถึงอีกอย่างหนึ่งที่อยากตั้งข้อสังเกตุคือ กองกำลังที่พิทักษ์ รักษาการผู้นำของไทย ใช้อยู่เป็นใครมาจากไหนหว่า?

ถ้ารปภ. สร.1 เป็นเจ้าหน้าที่ไทยครับ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีหน้าที่รปภ. สร1 โดยตรงจะไปจาก สันติบาล2 ที่ พี่โจ๊ก พลตำรวจตรี อรรถกฤษ ธารีฉัตร เป็น ผู้บังคับการ คนที่ตัวขาวๆ อยู่ข้างหลังทักษิณตลอดเวลา คือ พี่หนุ่ยพ.ต.ต. วทัญญู อดีตนักฟุตบอลฝีเท้าดี ของ รร.สวนกุหลาบและรร.นายร้อยตำรวจครับ และทหารที่มีหน้าที่รปภ. นายกฯ จะมาจากศรภ. เท่าที่เคยสัมผัส พี่หนุ่ยและพี่โจ๊กเป็นคนดีมากๆครับเป็นตำรวจอาชีพแท้ๆ (ตำรวจส่วนใหญ่เป็นนักเลงมาเฟียรีดไถประชาชนมากกว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์) จัดได้ว่าเป็นพี่ที่น่าเคารพมากทีเดียว คงจะไม่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ทำร้ายประชาชนอย่างแน่นอน คนที่ทำน่าจะเป็นลูกน้องทักษิณพวกนายว่าขี้ข้าพลอยมากกว่า


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 25, 2006, 11:58:04 PM
รวมถึงอีกอย่างหนึ่งที่อยากตั้งข้อสังเกตุคือ กองกำลังที่พิทักษ์ รักษาการผู้นำของไทย ใช้อยู่เป็นใครมาจากไหนหว่า?

ถ้ารปภ. สร.1 เป็นเจ้าหน้าที่ไทยครับ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีหน้าที่รปภ. สร1 โดยตรงจะไปจาก สันติบาล2 ที่ พี่โจ๊ก พลตำรวจตรี อรรถกฤษ ธารีฉัตร เป็น ผู้บังคับการ คนที่ตัวขาวๆ อยู่ข้างหลังทักษิณตลอดเวลา คือ พี่หนุ่ยพ.ต.ต. วทัญญู อดีตนักฟุตบอลฝีเท้าดี ของ รร.สวนกุหลาบและรร.นายร้อยตำรวจครับ และทหารที่มีหน้าที่รปภ. นายกฯ จะมาจากศรภ. เท่าที่เคยสัมผัส พี่หนุ่ยและพี่โจ๊กเป็นคนดีมากๆครับเป็นตำรวจอาชีพแท้ๆ (ตำรวจส่วนใหญ่เป็นนักเลงมาเฟียรีดไถประชาชนมากกว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์) จัดได้ว่าเป็นพี่ที่น่าเคารพมากทีเดียว คงจะไม่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ทำร้ายประชาชนอย่างแน่นอน คนที่ทำน่าจะเป็นลูกน้องทักษิณพวกนายว่าขี้ข้าพลอยมากกว่า

รับทราบและขอบคุณครับ
คือ จริงๆแล้วไม่ได้หมายบอดี้การ์ดรอบตัวทักษิน
แต่หมายถึงกองกำลังของยุทธตู้เย็น เพราะตอนที่มาลุยที่สวนลุม เห็นว่าพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัดน่ะ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ สิงหาคม 26, 2006, 09:21:42 AM
ติดตาม......เช่นเคยครับ....


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 26, 2006, 10:01:26 AM
บ้านเรามันประเภท ตามกระแสและตื่นตูม มากกว่า..ความรู้สึกถึง " สิทธิ  ความถูกต้องและความเสมอภาค ของความเป็นมนุษย์ "  เรายังมีความรู้สึกน้อยจนเกินไป  เมื่อเทียบกับประชาชนของอเมริกัน...เราเลยเข้าประเภทรู้รักษาตัวรอด(ไว้ก่อน) เป็นยอดดี....ผ่านแล้วผ่านเลยมากกว่าถ้าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง...สำหรับผม บางทีมันเป็นเรื่องน่าเห็นใจมากสำหรับประชาชนตาดำๆอย่างพวกเรา...

    สำหรับความคิดเห็นผม สุดท้ายมันก็คงจบแบบไทยๆ ประเภท " เงียบหายตามกาลเวลา,หมดลมหายใจ หรือกระทั่ง หลุดเป็นอิสรภาพ  " อาจจะกว้างไปหน่อย....ยังไงเสีย?วิธีการมันก็ไม่ต่างกันครับ...


คนไทยไม่เคยต่อสู้อะไรให้ได้มาจึงไม่รู้จักสิทธิ์ของตัวเอง รู้จักแค่ต้องไปเลือกตั้งแล้วจบเท่านั้น
มันก็เลยเป็นจุดอ่อนที่ทำให้นักการเมืองอย่างกลุ่มทักษิน หรือ พวกที่เรียกตัวเองว่าวีรชนเดือนตุลาทั้งหลาย
ใช้เป็นจุดอ่อนในการทำสงครามข้อมูลข่าวสารและโฆษณาชวนเชื่อ หลอกคนไทยไปวันๆ

การเปลี่ยนแปลงการปกครองก็มาจากคนกลุ่มหนึ่งที่อ้างประชาชนแล้วเราก็หลงเชิดชูว่าเป็นวีรบุรุษ
ถ้าศึกษาดูวิธีการที่ให้ได้มาซึ่งอำนาจก็เพื่อกลุ่มตนเองทั้งนั้น เมืองไทยเลยวนเวียนอยู่กับผู้ปกครอง
ที่เป็นเผด็จการมาตลอด ปัจจุบันนี้วิธีการก็เป็นเผด็จการทุนนิยม ไม่เข้าใจว่าทำไมฝ่ายทหารยังบอกว่า
เป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ผมว่าหลงทางมากกว่า คือวิธีการสร้างความแตกแยกอาจใช่ (แต่ก็คล้ายกับ CIA ด้วย)
แต่ข้างในไม่ใช่

เงียบหายตามกาลเวลา,หมดลมหายใจ หรือกระทั่ง หลุดเป็นอิสรภาพ

ถ้าสังคมไทยเปลี่ยนแปลงทัศนคติตรงนี้ไม่ได้ ก็คงต้องยอมรับว่าเราคงต้องตกเป็นเมืองขึ้นของคนอื่น
ไม่ใช่การเข้ามาปกครองโดยตรง แต่จะผ่านหุ่นเชิด ที่บอกว่าคนในรัฐบาลเป็นอดีตคอมมิวนิสต์
ผมว่าจริงๆ แล้วไม่ได้มีอุดมการณ์เลยสักนิด เพราะที่หนีเข้าป่าก็แค่รักษาชีวิต ที่เราสู้กับคอมมิวนิสต์เมื่อก่อน
เราสู้กับคอมฯ หรือ มหาอำนาจโลกเสรีกันแน่?

โชคดีประเทศไทย :'(


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: SA-KE ที่ สิงหาคม 27, 2006, 12:17:48 AM
      ผมขอแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนในระดับ"ชาวบ้าน" นะครับ....ในระดับที่กว้างกว่าต้องยอมรับ...ครับ..มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนจนเกินไป แต่สิ่งหนึ่งที่ผมตั้งข้อสังเกต คือ..ในโลกนี้มีกี่ประเทศหรือมีประเทศไหนบ้างครับ..ที่ประเทศอย่างอเมริกา ประเทศที่ใช้ UN เป็นเครื่องมือ ประเทศที่เที่ยวประกาศว่า ประเทศอื่นต้องเป็น "ประชาธิปไตย" (จอมปลอม)  เพื่อจะให้ตัวเองเข้าไปสนับสนุนได้ง่ายขึ้นโดยใช้ระบบทุนนิยม ระบบโฆษณาชวนเชื่อ  และเงินตราของตัวเอง ที่สั่งพิมพ์แบบพิศดาร  ...จริงๆแล้ว ลึกๆผมยังดีใจนะครับ....ที่ยังมีพวกต่อต้านประเทศอเมริกาอย่างเอาเป็นเอาตายและยอมตาย...??  ในหลายๆประเทศและหลายๆกลุ่มในปัจจุบันนี้..... ;)

     มีเรื่องขำแต่ตลกไม่ออกอยู่เรื่องหนึ่งสำหรับ บริษัทยักษใหญ่อเมริกาแห่งหนึ่งในเมืองไทย ..เชื่อไหมครับ?...มันพยายามขัดขวางทุกวิถีทางกับการตั้ง "สหภาพแรงงานของพนักงาน" ในบริษัทฯ ของมันในเมืองไทย...??

คนไทยไม่เคยต่อสู้อะไรให้ได้มาจึงไม่รู้จักสิทธิ์ของตัวเอง รู้จักแค่ต้องไปเลือกตั้งแล้วจบเท่านั้น
มันก็เลยเป็นจุดอ่อนที่ทำให้นักการเมืองอย่างกลุ่มทักษิน หรือ พวกที่เรียกตัวเองว่าวีรชนเดือนตุลาทั้งหลาย
ใช้เป็นจุดอ่อนในการทำสงครามข้อมูลข่าวสารและโฆษณาชวนเชื่อ หลอกคนไทยไปวันๆ

 
  กลับมาที่บ้านเราดีกว่า...ถ้าเราศึกษาระบบสังคมไทย โดยเฉพาะสังคมไทยในชนบท ...คุณ narongt จะเข้าใจว่า ทำไม? ปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเราที่ผ่านมา ผมไม่เคยกล่าวโทษหรือกล่าวหาพวกที่ถูกแต่งตั้งให้เป็น " รากหญ้า" เลย....สำหรับผม ผมไม่โทษ สังคมไทยหรือกลุ่มคนไทยที่ขาดโอกาสไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือชนบท พวกเขาเหล่านั่นเป็นพวกที่น่าสงสารและถูกหลอกอย่างมาก โดยบุคคลที่ชอบอ้างว่าเป็นตัวแทนของพวกเขาเอง...

   เมื่อก่อนผมค่อนข้างเชื่อมั่นว่า "การให้การศึกษา" เท่านั่นที่จะทำให้เขาเหล่านั่นคิดได้และคิดเป็น...แต่ที่ผ่านมาการเมืองบ้านเรา ยังไม่เคยมีรัฐบาลไหน ที่จะให้ความสำคัญการศึกษาต่อประชาชนอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม หาเสียงทุกครั้ง ทุกพรรค มันก็อ้างการศึกษาเพื่อหาเสียงทุกครั้งเช่นกัน...
 
  โดยเฉพาะตัวอย่าง ที่น่ากลัวมากๆในปัจจุบันนี้คือ "นโยบายประชานิยม" ของ ทรท.  ผมรู้สึกเหมือนกับ " การเลี้ยงไก่ในกระบอกไม้ไผ่ "  มากกว่า  แรกๆคิดว่าสบายแล้ว  เป็นไก่ที่ไม่ต้องคุ้ยเขี่ยหรือไม่มีแม่ไก่คอยพร่ำสอนให้หาอาหารเอง  เพราะนอนรอรับอาหารเพียงอย่างเดียว  สุดท้าย... ไม่มีเรี่ยวแรง  ไม่มีความคิด ไม่มีโอกาส  เมื่อถึงเวลาก็จะถูกขึ้นโต๊ะเลี้ยงพวกนักเปิบพิศดาร เจ้าของก็รับเงิน เป็นวงจรอุบาทว์ ทั้งคนเลี้ยงและคนกิน แค่นั่นเอง...

    แต่หลังจาก "ระบอบทักษิน(ณ)" เข้ามาครอบคลุม ผมว่าประวัติศาสตร์ไทยในยุคนี้  เมื่ออนาคตมาถึง  อาจต้องมีตำราใหม่  บทเรียนใหม่ และเรื่องใหม่ๆ ที่จะต้องกล่าวขานเรื่องที่เกิดขึ้นนี้อีกมากมาย ทั้งในด้าน การเมือง , สังคม  เศรษฐกิจ และอนาจที่สุด ไม่เว้นแม้กระทั่ง "ด้านศาสนา"  ดังนั่น ณ ปัจจุบันนี้ "การศึกษา" อย่างเดียวไม่สามารถทำให้สังคมและประชาชนเท่าทันพวกนักเลือกตั้งและฉวยโอกาสชั่วเหล่านี้ได้แล้ว... คงต้องเพิ่ม "ด้านศีลธรรม"  เข้ามาด้วยครับ..

  ป.ล. สำหรับคนที่มี"โอกาส" และมี "การศึกษา"  คงต้องขึ้นอยู่กับ "สันดาน "  ครับ..... ;) ;)

 
 


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 27, 2006, 02:41:01 PM
เห็นด้วยกับคุณ SA-KE ครับ ;)


หัวข้อ: ปฏิบัติการบุกอ่าวสุกร
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 27, 2006, 02:41:55 PM
ปฏิบัติการบุกอ่าวสุกร

การส่งกำลังทหารสหรัฐเข้าไปในคิวบาเพื่อโค่นล้มรัฐบาล ฟิเดล คาสโตร เมื่อปี ค.ศ. 1961 ที่ใช้ชื่อ
ปฏิบัติการบุกอ่าวสุกร (Bay of Pigs Invasion)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/8/88/Alerta.jpg/230px-Alerta.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Bay_of_Pigs_Invasion)
เป็นสาเหตุหนึ่งที่ถูกสันนิษฐานว่า ทำให้ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ถูกลอบสังหาร
ในปลายปี ค.ศ. 1963 ปฏิบัติการครั้งนั้นกองทัพสหรัฐต้องพ่ายแพ้ต่อกองกำลังของคาสโตรอย่างยับเยิน
เหตุการณ์เป็นมาอย่างไรเราจะมาดูกัน

ยึดเสียให้หมด

วันขึ้นปีใหม่ในปี ค.ศ. 1959 ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/5/57/FidelGuerilla.JPG/180px-FidelGuerilla.JPG) (http://en.wikipedia.org/wiki/Fidel_Castro)
ได้นำกองกำลังเข้าโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการ ฟูลเกนซิโอ บาทิสต้า (Fulgencio Batista) ของคิวบา
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/9/9a/Fulgencio_Batista.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Fulgencio_Batista)
การกระทำครั้งนั้นส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับคิวบาอย่างแรง เนื่องจากเมื่อคาสโตร
เข้าปกครองประเทศได้เข้ายึดทรัพย์สินทั้งหมดที่เป็นของบริษัทต่างๆ ที่มีเชื้อสายอเมริกันไม่ว่าจะเป็น
ตัวโรงงานอุตสาหกรรมหรือที่ดินที่พวกเขาครอบครอง นายพล ดไวท์ ไอเซนฮาวร์ (Dwight D. Eisenhower)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/d/d6/Eisenhower_official.jpg/200px-Eisenhower_official.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Dwight_D._Eisenhower)
ประธานาธิบดีสหรัฐ ขณะนั้นเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมากและได้ใส่ชื่อ คิวบา ลงในสุมุดบัญชีดำ
ในฐานะศัตรูที่ต้องจัดการกำจัดโดยเร่งด่วน

หนึ่งปีผ่านไป หลังจากประธานาธิดีไอเซนฮาวร์ได้ประชุมกับบรรดาที่ปรึกษาทางด้านต่างประเทศก็ได้ข้อสรุปว่า
รัฐบาลของคาสโตรจะต้องถูกกำจัดโดยทันทีอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น วันที่ 17 มีนาคม 1960 ไอเซนฮาวร์
ได้ลงนามอนุมัติให้ ซีไอเอ ปฏิบัติการ
"แผนการลับต่อต้านการปกครองของคาสโตร" (A Program of Covert Action Against Castro Regime) (http://en.wikipedia.org/wiki/Operation_40)

เนื้อหาในแผนการนี้เขียนจุดประสงค์ไว้ว่า "เพื่อหาผู้ปกครองคนใหม่ที่มีความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อประชาชน
ชาวคิวบาและ เป็นที่ยอมรับของรัฐบาลสหรัฐ ทั้งนี้จะต้องหลีกเลี่ยงการเปิดเผยว่า
สหรัฐเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเข้าแทรกแซงครั้งนี้
"
(ความเห็นส่วนตัวว่า ดูเหมือนปัจจุบันเมืองไทยก็ถูกแทรกแซงด้วยแผนนี้ผ่านตัวแทนคือ
รัฐบาลขายชาติทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งสิงคโปร์)

ทางด้าน ซีไอเอ เองก็เพิ่งจะประสบความสำเร็จมาจากการโค่นล้มรัฐบาลฝ่ายซ้ายที่กัวเตมาลา เมื่อปี ค.ศ. 1954
ทำให้พวกเขาดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษต่อภารกิจใหม่ครั้งนี้ พวกเขาตกลงที่จะจำลองการปฏิบัติการในกัวเตมาลา
มาใช้กับคิวบา

ต้นแบบการปฏิบัติการ

วิธีที่ใช้ในปฏิบัติการครั้งนั้นก็คือ ทำให้ดูเหมือนว่าผู้ที่เข้าต่อสู้กับรัฐบาลฝ่ายซ้ายของประธานาธิบดี
จาโคโบ อาร์เบนซ์ (Jacobo Arbenz) นั้น
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/d/d0/Arbenz.jpg/200px-Arbenz.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Jacobo_Arbenz)
เป็นกองทัพพลัดถิ่นที่นำโดย คาร์ลอส คาสติลโล อาร์มาส (Carlos Castillo Armas)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/3/3d/Castillo_armas_1954.gif/200px-Castillo_armas_1954.gif) (http://en.wikipedia.org/wiki/Carlos_Castillo_Armas)

ซีไอเอ ได้ให้การช่วยเหลือต่ออาร์มาสทั้งด้านการเงิน การฝึกอาวุธ และการสร้างกองกำลังขนาดย่อม
อีกทั้ง ซีไอเอ ยังได้ช่วยเหลือในด้านการทำสงครามจิตวิทยาโดยการออกอากาศโฆษณาชวนเชื่อทางคลื่นวิทยุ
และส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดเข้าไปถล่มเมืองกัวเตมาลา จนกระทั่งประธานาธิบดี อาร์เบนซ์ ต้องหนีออกจากทำเนียบ
จึงได้ฉวยโอกาสในตอนนั้นส่ง อาร์มาส เข้ามาเสียบตำแหน่งประธานาธิบดี โดยมีเอกอัครราชทูตสหรัฐ
ประจำกัวเตมาลาเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ

ซีไอเอ ได้เสนอแผนการที่เป็นการผสมผสานกันระหว่างการเข้าแทรกแซง การก่อวินาศกรรม
และการทำสงครามจิตวิทยา เพื่อโค่นล้มอำนาจของคาสโตร พวกเขาเริ่มต้นโดยการฝึกกองกำลังพลัดถิ่น
และการออกอากาศรายการวิทยุต่อต้านรัฐบาลคาสโตร ผ่านทางสถานีวิทยุหลายแห่งในแถบคาริบเบียน
http://cuban-exile.com/doc_001-025/doc0004.html (http://cuban-exile.com/doc_001-025/doc0004.html)
http://homepage.eircom.net/~csg/TheBayOfPigs.html#OperationPluto (http://homepage.eircom.net/~csg/TheBayOfPigs.html#OperationPluto)

เคนเนดี้สานต่อ

ปี ค.ศ. 1961 ได้สิ้นสุดสมัยของประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ได้รับเลือกขึ้นมารับหน้าที่
บริหารงานประเทศแทน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่แผนการบุกคิวบาโดยกองทัพพลัดถิ่นใกล้จะเป็นความจริง
ซีไอเอ ซ่องสุมทหารกองกำลังพลัดถิ่นได้ราว 1,400 คนไว้ในกัวเตมาลา และได้เริ่มแทรกซึมเข้าไปข้างใน
เพื่อก่อวินาศกรรมในคิวบา

เคนเนดี้ รู้สึกทึ่งในแผนการโค่นล้มรัฐบาลคิวบาของอดีตประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ และซีไอเอเป็นอย่างมาก
เขาจึงเริ่มศึกษาแผนการนั้นอย่างถี่ถ้วน เขาพบว่าการปฏิบัติการครั้งนี้ต้องใช้กำลังคนและอาวุธยุทโธปกรณ์มากมาย
จึงยากต่อการปฏิเสธว่าสหรัฐไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แม้ว่าเคนเนดี้จะเชื่อในฝีมือของ ซีไอเอ เป็นอย่างมากก็ตาม

ไม่เพียงแต่ประธานาธิบดีเคนเนดี้เท่านั้นที่เป็นห่วงในเรื่องการปกปิดความลับที่สหรัฐอยู่เบื้องหลังปฏิบัติการบุกคิวบา
ที่กำลังจะเริ่มขึ้น เหล่าเสนาฯ ที่ปรึกษาประธานาธิบดีก็มีความหนักใจไม่แพ้กัน หนึ่งสัปดาห์ก่อนปฏิบัติการจะเริ่มขึ้น
อาร์เธอร์ เชล์ซิงเกอร์ จูเนียร์ (Arthur Schlesinger Jr.) (http://en.wikipedia.org/wiki/Arthur_Schlesinger_Jr.) ที่ปรึกษาคนหนึ่งได้เขียนบันทึกเตือนถึงเคนเนดี้ว่า
"เมื่อจำเป็นต้องโกหกต่อสาธารณชน ควรให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นคนทำ
ประธานาธิบดีไม่ควรมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการลับ"

ในที่สุดเมื่อกลางเดือนเมษายน ค.ศ. 1961 เคนเนดี้ก็ตัดสินใจให้ปฏิบัติการนี้เดินหน้าต่อไปอย่างลับๆ
ตามแผนการที่ว่าผู้ที่เข้าต่อต้านรัฐบาลคาสโตร ไม่ได้รับการว่าจ้างหรือมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับรัฐบาลสหรัฐ

กรุยทางด้วยจิตวิทยา

เมื่อเคนเนดี้เปิดไฟเขียวให้บุกคิวบา ซีไอเอ ก็ส่งผู้เชี่ยวชาญทางด้านโฆษณาชวนเชื่อไปสร้างข่าว
ต่อชาวคิวบาและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกให้สนับสนุนการโค่นล้มรัฐบาลคาสโตร หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นคือ
อี ฮาร์เวิร์ด ฮันท์ (E. Howard Hunt)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/5/57/Huntred.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/E._Howard_Hunt)
ผู้ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นหนึ่งในสายลับเชี่ยวชาญทางปฏิบัติการนอกรูปแบบของประธานาธิบดี
ริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/4/40/Nixon.jpg/200px-Nixon.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Richard_Nixon)

ผู้ที่มีบทบาทมากในปฏิบัติการครั้งนี้อีกคนหนึ่งก็คือ เดวิท แอทลี ฟิลิปส์ (David Atlee Phillips) (http://en.wikipedia.org/wiki/David_Atlee_Phillips)
ผู้ที่ซึ่งเคยทำงานร่วมกับสายลับฮันท์ในการลอบออกอากาศต่อต้านรัฐบาลกัวเตมาลาเมื่อปี ค.ศ. 1954

ทั้งสองคนได้เขียนข่าวโฆษณาชวนเชื่อในนามของ "สภาปฏิวัติคิวบา" (Cuban Revolutionary Council)
ซึ่งเป็นสถาบันที่ ซีไอเอ สร้างขึ้นมาเพื่อใช้บังหน้าและข่าวต่างๆ ได้ถูกส่งมายังบริษัท เลมโจนส์แอสโซซิเอทอิงค์
(Lem Jones Associates, Inc.) ในนิวยอร์ก ที่ซีไอเอ ได้ว่าจ้างให้ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ข่าวที่ตนต้องการ
ให้ปรากฏออกสู่สาธารณะ

และเพื่อปกปิดว่าสหรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องในการส่งฝูงบินเข้าโจมตีคิวบา ฟิลลิปส์ ได้สร้างเรื่องขึ้นมาว่า
มีนักบินชาวคิวบาได้แปรพักตร์เอาใจออกห่างจากรัฐบาลคาสโตร เขาทำโดยการทาสีเครื่องบินของซีไอเอ
เป็นแบบเดียวกับกองทัพอากาศคิวบา จากนั้นก็ให้คนของซีไอเอ ขับมาลงที่สนามบินฟลอริดา (อยู่บนชายฝั่ง
ตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐซึ่งใกล้กับหมู่เกาะคาริบเบียน)

จากนั้นนักบินก็จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอ้างว่าพวกเขาเป็นทหารอากาศของคิวบาที่ไม่พอใจการปกครอง
ของฟิเดล คาสโตร และพวกเขาก็ได้ทำการทิ้งระเบิดถล่มคิวบาก่อนที่จะหลบหนีมาลี้ภัยที่สหรัฐ แผนการนี้
น่าจะประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

พพพ. พังเพราะพื่อน!

วันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1961 แอดไล สตีเวนสัน (Adlai Stevenson)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/0/0c/Astevenson.jpg/200px-Astevenson.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Adlai_Stevenson)
เอกอัครราชทูตประจำยูเอ็น ได้แถลงการณ์ในที่ประชุมต่อสมาชิกสหประชาชาติ ปฏิเสธข้อหล่าวหาว่า
สหรัฐอยู่เบื้องหลังการโจมตีทางอากาศที่คิวบา เขากล่าวว่าเครื่องบินที่เข้าโจมตีคิวบานั้นเป็นเครื่องบิน
ของคิวบาเอง อีกทั้งนักบินที่ขับเครื่องบินลำนั้นก็เป็นทหารชาวคิวบา เพื่อให้คำพูดฟังน่าเชื่อถือ สตีเวนสัน
ได้นำภาพถ่ายของเครื่องบินที่ติดเครื่องหมายคิวบา มาแสดงประกอบการแถลงการณ์

เมื่อฟิลิปส์ ได้ฟังแถลงการณ์ของสตีเวนสัน เขาถึงกับช็อกไปหลายวันเลยละครับ เอ๋...แต่มันก็ฟังดูว่า
เป็นไปตามแผนที่ฟิลิปส์ ได้วางเอาไว้ แต่ทำไมเขาต้องเดือดดาลแทบจะฆ่าสตีเวนสัน เลยทีเดียว
เหตุผลมีนิดเดียวเองครับ แผนการนี้จะเริ่มกระทำในวันที่ 17 เมษายน!! แต่เดอะโชว์มัสท์โกออน
ปฏิบัติการบุกอ่าวสุกรก็ดำเนินต่อไปแม้ว่าแผนการปกปิดว่า สหรัฐอยู่เบื้องหลังจะถูกเปิดโปงออกมา
โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐเองก็ตาม

ยกพลขึ้นบก

เมื่อกองกำลังพลัดถิ่นที่จัดตั้งโดยซีไอเอ ได้ยกพลขึ้นบกที่อ่าวสุกร ฟิเดล คาสโตร
ได้ลงทุนมาบัญชาการรบด้วยตัวเอง เขาได้รวบรวมอาวุธยุทโธปกรณ์เพียงน้อยนิดเท่าที่กองทัพเขามีอยู่
เขาทำการบุกเข้าโจมตีผู้รุกรานอย่างรวดเร็ว

รวดเร็วขนาดที่ว่าเครื่องบินรบของเขาสามารถเข้าโจมตีเรือบรรทุกกระสุนและอุปกรณ์สื่อสาร
ที่ยังไม่ทันจะแล่นเข้ามาถึงชายฝั่งอ่าวสุกร เพื่อส่งมอบอุปกรณ์เหล่านั้นให้กับกองกำลังทหารพลัดถิ่น
ที่ยกพลขึ้นบกล่วงหน้าไปแล้ว

อย่างนี้ก็จะเหลืออะไรละครับ ไม่มีทั้งเครื่องมือสื่อสาร กระสุนก็มีเพียงแค่ที่นำติดตัวมา บรรดาทหารพลัดถิ่น
เหล่านั้นต้านทานกองกำลังของ ฟิเดล คาสโตร ที่บุกเข้ามาอย่างสายฟ้าแลบได้เพียงไม่กี่วันก็พ่ายแพ้ชนิดหมดรูป
ทหาร 114 นาย ถูกสังหาร และที่เหลือ 1,189 นาย ถูกจับเป็นเชลย

กองทัพคิวบา ที่นำโดย ฟิเดล คาสโตร ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการขัดขวางการรุกรานของกองทัพ ซีไอเอ
ก่อนที่พวกเขาจะพ้นจากชายหาดอ่าวสุกรซะอีก บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐ ต่างก็ต้องช็อกเป็นคำรบที่สอง
แผนการที่วางมานานนับปีกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่กี่วันต่อมาประธานาธิบดีเคนเนดี้ ได้ออกแถลงการณ์แก้เกี้ยวว่า
ปฏิบัติการบุกอ่าวสุกรนั้นถูกระงับ และการกระทำการใดๆ ในอนาคตที่เป็นการต่อต้าน ฟิเดล คาสโตร จะต้องได้รับ
การพิจารณาอย่างรอบคอบมากขึ้น

ความสัมพันธ์ขาดสะบั้น

ปฏิบัติการบุกอ่าวสุกรส่งผลกระทบต่อนโยบายต่างประเทศของสหรัฐเป็นอย่างมาก ปฏิบัติการครั้งนั้นได้ถูกบันทึก
ลงในประวัติศาสตร์ของสหรัฐว่าเป็น "ความล้มเหลวที่สมบูรณ์แบบ" (Perfect Failure) เหตุการณ์ครั้งนั้นถือว่า
เป็นเรื่องน่าอับอายที่สุดในสมัยการปกครองของประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้

อีกทั้งมันยังส่งผลให้กลายเป็นเรื่องที่ชาวคิวบา ต่างนำมาล้อเลียนกระทบกระเทียบสหรัฐ และทำให้คะแนนนิยม
ที่ชาวคิวบามีต่อ ฟิเดล คาสโตร มีมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดก็คือ นับเป็นเวลาเกือบ 40 ปีแล้วที่ผลกระทบของ
ปฏิบัติการยังมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับคิวบา

เคนเนดี้ ได้ตั้งคณะกรรมาธิการลับขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อทำการประเมินสาเหตุที่ทำให้ปฏิบัติการครั้งนี้ล้มเหลว
ผลสรุปก็คือ สาเหตุหนึ่งมาจากการที่กองกำลังทหารพลัดถิ่น (ที่จัดขึ้นโดย ซีไอเอ) นั้นมีขนาดใหญ่เกินไป
ทำให้ไม่สามารถที่จะเตรียมการ และควบคุมการปฏิบัติการได้ และปฏิบัติการบุกอ่าวสุกรก็เป็นรอยด่าง
อีกรอยหนึ่งที่ติดอยู่บนผืนธงชาติสหรัฐ
(ความเห็นส่วนตัวว่า เป็นเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลบุชจูเนียร์ ออกมาดีใจเมื่อเห็นคาสโตรเข้าโรงพยาบาล
เมื่อไม่นานมานี้เพราะทำให้อเมริกาเสียหน้า และจอร์จ บุช พ่อของ บุชจูเนียร์ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
ก็มีส่วนเกี่ยวข้องในปฏิบัติการครั้งนี้ รวมทั้งอาจเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารเคนเนดี้ด้วย)


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 27, 2006, 02:42:47 PM
และขอแถมตัวอย่างในปัจจุบันว่า ซีไอเอ(อเมริกา) แทรกแซงไทยผ่านทางไหน!


ซีไอเอเล็งไทยสู้ภัยก่อการร้าย ทุ่ม100ล.หนุนตั้งโรงเรียนด้านการข่าว
 
โดย ผู้จัดการรายวัน 28 ตุลาคม 2547 08:16 น.
 
 
              ผู้จัดการรายวัน - ซีไอเอ ทุ่ม 100 ล้านบาท ช่วยไทยตั้งโรงเรียนด้านการข่าว หลังเล็งเห็นไทย
อยู่ในภูมิภาคที่เริ่มมีภัยคุกคามจากการก่อการร้าย ขณะที่ไทยเอง ก็ต้องการยกระดับงานด้านการข่าว
ให้เทียบเท่าระดับสากล โดยมีกองบัญชาการตำรวจสันติบาลเป็นแม่งานใหญ่
       
       วานนี้ (27 ต.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจสันติบาล พล.ต.ท.ปรุง บุญผดุง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.)
เปิดเผยถึงการปรับปรุงการบริหารจัดการของ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ว่า
ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่จะให้สันติบาลเป็นแม่แบบในการดำเนินงาน การด้านข่าวกรอง
โดยมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพด้านการข่าวของตำรวจ แบบบูรณาการ
       
       ดังนั้นจึงได้จัดตั้งโรงเรียนด้านการข่าวขึ้นมาเป็นการเฉพาะ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการคือ
การพัฒนาองค์ความรู้ด้านการข่าว และการนำองค์ความรู้ดังกล่าวมาฝึกอบรมและสนับสนุนการปฏิบัติงาน
ของเจ้าหน้าที่เพื่อให้เกิดความทัดเทียมกับระดับสากล
       
       "โรงเรียนการข่าวที่กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างนั้น จะประกอบไปด้วยพื้นที่ฝึกซ้อมการปฏิบัติการ
ทั้งการรักษาความปลอดภัย การเจรจาต่อรอง การต่อต้านข่าวกรอง และการอบรมด้านการข่าว ซึ่งไม่เพียงแต่จะ
จัดอบรมให้ตำรวจสันติบาลเท่านั้น แต่พร้อมจะสนับสนุนหน่วยงานอื่นด้วย โดยได้รับการสนับสนุน ด้านงบประมาณ
ทั้งการออกแบบและปลูกสร้าง จากมิตรประเทศ โดยไม่มีเงื่อนไข ขณะเดียวกันก็ได้รับอนุมัติที่ดินจากราชพัสดุ
จำนวน 80ไร่ บริเวณริมถนนศรีสมาน-ปากเกร็ด จ"นนทบุรี ซึ่งจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกันยายน ปีหน้า"
       
       ส่วนการข่าวด้านความมั่นคง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หลังเกิดเหตุ ความไม่สงบ ในพื้นที่จังหวัดชายแดน
ภาคใต้โดยเฉพาะการสลายม็อบหน้า สภ.อ.ตากใบ จนเป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
พล.ต.ท.ปรุง กล่าวว่า จากการข่าวเหตุการณ์ยังไม่มีอะไรที่บ่งบอกถึงความผิดปกติ โดยมีเฉพาะในพื้นที่
จ.นราธิวาส ที่ได้รับรายงานว่า มีการเคลื่อนไหว ของกลุ่มนักศึกษา กลุ่มองค์กรอิสระ และญาติของผู้เสียชีวิต
และได้รับบาดเจ็บ ที่พยายามออกมาเคลื่อนไหวเพื่อหวังตอบโต้เจ้าหน้าที่ แต่เพื่อความไม่ประมาท ทางสันติบาล
ได้ติดตามข่าวการก่อเหตุร้ายอย่างใกล้ชิดต่อไป
       
       รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากที่ พล.ต.ท.ปรุง ได้เคยสนทนากับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ซีไอเอ ที่ประจำการ
อยู่ในประเทศไทยและได้เล่าให้ฟังถึงโครงการจัดตั้งโรงเรียนการข่าว ทำให้เจ้าหน้าที่รายดังกล่าวเกิดความสนใจ
และเสนอของบสนับสนุนไปยังสำนักงานใหญ่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยใช้เวลาเพียงสองสัปดาห์ ก็ได้รับการอนุมัติ
เงินงบประมาณสนับสนุน 100 ล้านบาท
       
       สำหรับการสนับสนุนงบประมาณ ซีไอเอ ให้เหตุผลว่า เนื่องจากประเทศไทย อยู่ในภูมิภาคที่เริ่มมีภัยจาก
การก่อการร้ายสากลซึ่งถือเป็นภัยที่คุกคามประชาคมโลก ไม่เฉพาะแต่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ดังนั้น การพัฒนา
ขีดความสามารถด้านการข่าวจึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ไทยสามารถรับมือกับการก่อการร้ายสากลได้เป็นอย่างดี
อันจะช่วยให้เกิดความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้อีกทางหนึ่งด้วย
 
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9470000073293 (http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9470000073293)


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: แจ็ค ที่ สิงหาคม 27, 2006, 04:05:36 PM

........ของท่าน Narongt  วิชาการล้วน ๆ สามารถอ้างอิงได้เลย   ตาลายเลยครับผมกว่าจะอ่านจบ........ผมลืมขอบคุณครับที่ท่านส่งเพลงเก่า ๆ มาให้ผม 2 แผ่น  สุดยอดเลยครับผม  เพื่อน ๆ ได้ฟังยังชอบเลย   กราบขอบพระคุณอีกครั้งครับผม......แล้วจะติดตามสาระในกระทู้นี้อีกครับผม......


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 27, 2006, 04:37:41 PM

........ของท่าน Narongt วิชาการล้วน ๆ สามารถอ้างอิงได้เลย ตาลายเลยครับผมกว่าจะอ่านจบ........ผมลืมขอบคุณครับที่ท่านส่งเพลงเก่า ๆ มาให้ผม 2 แผ่น สุดยอดเลยครับผม เพื่อน ๆ ได้ฟังยังชอบเลย กราบขอบพระคุณอีกครั้งครับผม......แล้วจะติดตามสาระในกระทู้นี้อีกครับผม......

รับทราบครับผม :)


หัวข้อ: ลิงค์ดาวน์โหลดวิดิโอเกี่ยวกับ ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 27, 2006, 09:26:49 PM
ลิงค์ดาวน์โหลดวิดิโอเกี่ยวกับ ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
ต้องการดาวน์โหลดให้คลิ๊กขวาเลือก Save Target As...

1. เป็นวิดิโอเกี่ยวกับการสมคบคิดของกลุ่มทุน และที่มาของดวงตาในรูปสามเหลี่ยมบนแบงค์ดอลลาร์

http://www.propagandamatrix.com/multimedia/Capitalist_Conspriracy.wmv (http://www.propagandamatrix.com/multimedia/Capitalist_Conspriracy.wmv)

2. เป็นวิดิโอเกี่ยวกับการออกมายอมรับว่ามีการสมคบคิดกันจริงของผู้ที่มีชื่อเสียงระดับโลก

http://www.unlearning.org/library/conspire.wmv (http://www.unlearning.org/library/conspire.wmv)

3. เป็นวิดิโอเกี่ยวกับเรื่อง รัฐตำรวจ
http://www.lastingnetworks.com/alexvideos/ps3-128.wmv


หัวข้อ: วิดิโอเกี่ยวกับ ทฤษฏีสมคบคิด เหตุการณ์ 11 กันยายน 2001
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 29, 2006, 01:08:23 PM
วิดิโอเกี่ยวกับ ทฤษฏีสมคบคิด เหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 (ดูผ่านเน็ตอย่างเดียวเซฟไฟล์ไม่ได้)
9/11 An Excellent Expose - Where are the planes? (http://youtube.com/watch?v=orbgLHrFJUk&mode=related&search=)
9/11 - WTC Towers Designed to take Multiple Airliner Crashes (http://youtube.com/watch?v=XL4isaZRapY&mode=related&search=)
9/11 Loose Change 2E Film Trailer - 4 mins (http://youtube.com/watch?v=ZDgDi256Zgg&eurl=)
9/11 - Explosions at the WTC (http://youtube.com/watch?v=it0VpgWEl90&mode=related&search=)
FOX News coverage Part 1of2 911 Loose Change 2E Conspiracy (http://youtube.com/watch?v=1dKdt3kedaE&mode=related&search=)
9/11 - Firefighters NYFD say Explosives brought down Towers (http://youtube.com/watch?v=fKdvl--1Dt0&mode=related&search=)
9/11 - NORAD - Dick Cheney was in charge on 911 (http://youtube.com/watch?v=I687jvb2uf8&mode=related&search=)
9/11 - WTC Tower Shakes (Controlled Demolition) (http://youtube.com/watch?v=6ZUgKNsc4CM&mode=related&search=)
911 Loose Change 2nd Ed. Part 1 of 3 - The Best 9/11 Film! (http://youtube.com/watch?v=eGEb40o17yE&mode=related&search=)
911 Loose Change 2nd Ed. Part 2 of 3 - The Best 9/11 Film! (http://youtube.com/watch?v=SOVWBQKUpsU&mode=related&search=)
911 Loose Change 2nd Ed. Part 3 of 3 - The Best 9/11 Film! (http://youtube.com/watch?v=PtV1uxYnu0w&mode=related&search=)
Wag the Osama - Fake 911 Confession Tape (http://youtube.com/watch?v=pk519bkcLjg&mode=related&search=)


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 30, 2006, 09:51:34 PM
คัดลอกมาจากหนังสือ สงครามล้างโลก

มหากาพย์แห่งสงคราม

ในขณะที่เราพอจะหลับตานึกภาพ "ชีวิตความเป็นอยู่และกระบวนการวิวัฒนาการ" ของมนุษย์สืบต่อกันมา
เป็นรุ่นๆ - ยุคๆ ได้โดยการอ่านบันทึกเอกสารทางประวัติศาสตร์ หรือหลักฐานทางโบราณคดี

สิ่งหนึ่งที่มักจะปรากฏตัวแทรกเข้ามาในตลอดกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นสังคมใด
เผ่าพันธ์ใด ชนชาติใด ก็แล้วแต่ นั่นก็คือ "สงคราม"

จนเหมือนกับว่า "สงคราม" และ "ประวัติศาสตร์" กลายเป็นเรื่องราวที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้เลย
หรือ "ประวัติศาสตร์" กลายเป็น "บันทึกว่าด้วยการสงคราม" ไปเลยก็ว่าได้ สงครามที่ปรากฏใน
ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา จึงดูคล้ายๆ กับ "มหากาพย์" ที่ยังแต่งไม่จบ

เพราะ "ประวัติศาสตร์แห่งอนาคต" ที่รอเราอยู่ข้างหน้านั้น ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับ
สงครามอีกต่อไป

พลเอก "โฮเวลล์ เอสทิช" อดีตผู้บัญชาการกองบังคับการด้านอวกาศแห่งสหรัฐอเมริกา เคยกล่าวไว้
เมื่อประมาณเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2001 ที่โคโรลาโด สปริงส์ ว่า

"ความจริงของสรรพสิ่งก็คือ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่กระหายสงครามไม่ต่างอะไรกับธรรมชาติของเดรัจฉาน
และเรา (สหรัฐอเมริกา) ก็ไม่สามารถเป็นเพียงแค่พื้นโบสถ์เพื่อรองรับความจริงในเรื่องนี้ได้"

คำพูดนี้จะสะท้อน "ความจริง" และ "ความจำเป็น" ในการทำสงครามมากน้อยเพียงใดก็แล้วแต่
แต่สิ่งที่น่าเจ็บปวดเอามากๆ ก็คือว่า ยิ่งกระบวนการวิวัฒนาการนำพามนุษย์ มาสู่ความเจริญเติบโต
ทางความรู้ ความสะดวกสบายในชีวิต และพัฒนาสิ่งที่เรียกกันว่า "อารยธรรม" ของมนุษย์มากยิ่งขึ้นเท่าใด
สงคราม กลับจะยิ่งปรากฏตัวอยู่ในกระบวนการวิวัฒนาการนั้นๆ ในอัตราที่ถี่ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มความรุนแรง
มากขึ้นเรื่อยๆ และขอบเขตในการทำสงครามก็กว้างขวางออกไปเรื่อยๆ จนน่าจะก่อให้เกิด "คำถาม"
ขึ้นมาบ้างว่า "จริงอยู่ แม้นว่าธรรมชาติของเราอาจจะไม่แตกต่างอะไรไปจากเดรัจฉานก็แล้วแต่
แต่บทเรียนเท่าที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์องค์ความรู้ที่เพิ่มขึ้น หรือการพัฒนาการอารยธรรมต่างๆ
ทำไมถึงไม่ได้ช่วยเราสลัดความเป็นเดรัจฉานลงไปจากความเป็นมนุษย์ได้กี่มากน้อย ???"
เหตุใดมันกลับนำเราไปสู่ประวัติศาสตร์อันซ้ำซาก ย่ำอยู่ในเส้นทางเดิมๆ ของประวัติศาสตร์
โดยไม่สามารถแสวงหา "แนวทางใหม่ๆ" ให้กับสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ได้เลย

ทำไม "บทเรียนจากสงคราม" ในอดีต ไม่ว่ามันจะโหดร้ายรุนแรงสักเพียงใด แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้
ทำให้เกิดความเข็ดหลาบเกิดวุฒิภาวะมากพอจนรังเกียจสงคราม มุ่งค้นหา "เส้นทางแห่งสันติภาพ"
กันอย่างเอาจริงเอาจัง

โดยทางตรงกันข้าม ความเจริญ อารยธรรม วิทยาการความรู้ที่เพิ่มพูนขึ้นมามากๆ กลับทำให้
"สงครามแห่งอนาคต" นั้นอาจจะมีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้น ดุเดือด รุนแรง และทวีความเหี้ยมโหดยิ่งกว่า
ยุคอดีตหลายต่อหลายเท่า

ในทุกๆ ครั้งที่มีการทำสงคราม เรามักจะพบ "ข้ออ้าง" นานาชนิดถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์
จนดูเหมือนว่าสงครามแต่ละครั้งนั้นเป็นการต่อสู้กันระหว่าง "ฝ่ายถูก" กับ "ฝ่ายผิด" หรือการต่อสู้กัน
ระหว่าง "ฝ่ายธรรมะ" กับ "ฝ่ายอธรรม"

แต่จริงๆ แล้ว เนื้อหาของสงครามในแต่ละครั้งมันอาจจะไม่ได้เป็นไปตาม "บันทึกประวัติศาสตร์" ที่เขียนขึ้น
โดย "ผู้แพ้" กับ "ผู้ชนะ" ไปตามสภาพ หลายต่อหลายครั้งหรือเกือบจะแทบทุกครั้งที่ "ทั้งสองฝ่าย"
ที่มีส่วนร่วมในการทำสงครามระหว่างกันและกันอาจจะเป็นส่วนร่วมแห่ง "ความผิดพลาด" ด้วยกันทั้งคู่
หรือในเส้นทางประวัติศาสตร์ที่แต่ละฝ่ายพยายามก้าวเดินไปในแนวเดียวกันทั้งนั้น มันทำให้แต่ละฝ่ายต่างก็
ต้องเดินไปสู่ "จุดจบแห่งสงคราม" อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในหนังสือเรื่อง "โครงสร้างประวัติศาสตร์โลก"
ของ "ประจักษ์ ช่วยไล่" เขาได้สะท้อนความเห็นของเขาออกมาในช่วงการบันทึกประวัติศาสตร์ของ
"สงครามโลกครั้งที่ 1" เอาไว้ว่า

"รัฐต่างๆ ที่เข้าสู่สงครามต่างก็มีเหตุผลของตนต่างๆ กัน เช่น เพื่อการดำรงอยู่ของประชาธิปไตย
เพื่อต่อต้านการขยายตัวของรัฐทหาร เพื่อต่อต้านการข่มขู่ที่จะปราบโลกและเป็นเจ้าโลก
เพื่อต่อต้านผู้ละเมิดกฏหมายระหว่างประเทศ ฯลฯ"

แม้กระทั่งประเทศไทย ประเทศเล็กๆ ที่ส่งกองทหารจำนวนหยิบมือหนึ่งเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1
ในช่วงปลายสงคราม เหตุผลของประเทศไทยในการเข้าร่วมกับฝ่ายอังกฤษก็คือ
"เพื่อดำรงธรรมะและปราบอธรรม บนผืนธงชัยเฉลิมพลของกองทัพไทยที่ส่งไปยุโรปได้จารึก
บทสวดพุทธคุณตอนพระพุทธเจ้าปราบมารหรือฝ่ายอธรรม (บทสวดพาหุง) แต่สิ่งที่ไม่มีประเทศใด
อ้างนั้นก็คือ เพื่อช่วงชิงผลประโยชน์จากผู้อื่น และเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง"

ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากเราจะ "ตั้งคำถาม" ต่อสิ่งที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ มันคงจะไม่ใช่แค่การตั้งคำถามถึง
"ความผิด - ความถูก" ของฝ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาในแต่ละยุคเมื่อครั้งอดีต เพราะ "ความผิด - ความถูก"
ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างถึงในการทำสงครามระหว่างกันและกันในแต่ละครั้งนั้น มันมักจะถูกอธิบายไปตาม
มุมมองของ "ผู้ชนะ" หรือ "ผู้แพ้" จนไม่อาจสะท้อนให้เห็นถึง "ความถูกต้อง" และ "ความผิดพลาด"
ได้อย่างชัดเจน หรือมันไม่สามารถนำเอาการอธิบายเช่นนี้มาใช้เป็นมาตรฐานในการแยกฝ่ายออกเป็น
ฝ่ายธรรมะ หรือ ฝ่ายอธรรม กันได้ง่ายๆ โศกนาฏกรรมอันเลวร้ายที่ก่อเกิดกับมนุษยชาติบนดาวพระเคราะห์
ดวงนี้อันเนื่องมาจาก "สงคราม" ที่แต่ละฝ่ายกระทำต่อกันและกันอย่าง ซ้ำๆ ซากๆ มันน่าจะมีความสาหัส
เพียงพอแล้วที่เราควรนำเอาความเคลื่อนไหวของทุกฝ่าย ที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ มาตลอดกาลสมัย
มาเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาว่า จริงๆ แล้ว "แนวทาง" ที่เราก้าวตามกันมาในประวัติศาสตร์ หรือ
วิวัฒนาการที่นำพาเรามาในเส้นทางเดียวกันนี้ มันมีความ "ผิดพลาด" หรือไม่? มันถึงผลักดันให้เราต้อง
ก้าวสู่สงครามอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด

ไม่เช่นนั้น "ธรรมชาติเยี่ยงเดรัจฉาน" ที่เกาะติดอยู่กับเราตลอดเส้นทางวิวัฒนาการ มันอาจจะทำให้
"ประวัติศาสตร์แห่งอนาคต" อาจจะกลายเป็น "บันทึกหน้าสุดท้ายของมหากาพย์แห่งสงคราม"
ด้วยวิวัฒนาการที่เพิ่มขีดความรุนแรงแห่งการทำลายได้ในระดับ "สงครามล้างโลก"

จากคดีลักพาตัว "เฮเลน" ถึงการ "ครอบครองโลก"

ในยุคโบราณนั้น ถึงแม้นจะมีการปะทะขัดแย้งกันด้วยอาวุธ ระหว่างผู้คนฝ่ายต่างๆ ในทุกพื้นที่ของโลก
และมีมาโดยตลอดก็ตาม

แต่หลายต่อหลายกรณีมันอาจจะไม่สามารถเรียกว่า "การทำสงคราม" ได้ถนัดนัก ถ้าหากเรานำมา
เปรียบเทียบกับสงครามในยุคหลังๆ หรือสงครามในปัจจุบันนี้

ภาพของสังคมชนเผ่าที่หมู่บ้านท้ายลำธารยกพวกไปสู้กับหมู่บ้านต้นลำธาร ด้วยกรณีพิพาทว่าด้วย
การถ่ายของเสียลงไปในลำน้ำ ภาพประวัติศาสตร์ว่าด้วยพระราชาในหมู่เกาะทะเลใต้ยกกองทัพ
ไปสู้กับอาณาจักรกัมพูชายุคต้นๆ เพราะได้ยินคำร่ำลือว่า ยุวกษัตริย์แห่งกัมพูชาตรัสอยากจะเห็น
หัวของพระองค์วางอยู่ในท้องพระโรงของยุวกษัตริย์ ภาพของกษัตริย์ไทยกับกษัตริย์พม่าทำศึก
เพื่อแข่งบารมีในเรื่อง "ช้างเผือก" ฯลฯ

ภาพเหล่านี้แม้นว่าจะจบลงด้วยการยกพวกเข่นฆ่ากันและกันก็ตาม หรือแม้นจะถูกบันทึกว่าเป็น
การทำสงครามระหว่างกันและกันก็แล้วแต่ แต่อาการมันไม่ต่างไปจาก "การทะเลาะเบาะแว้ง"
อันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมวลมนุษย์

แม้กระทั่งความขัดแย้งระหว่างผู้คนที่อยู่สองฝั่งฟากทะเลเมดิเตอร์เรนียน ที่ทำให้เกิดสงครามระหว่าง
"ชาวยุโรป" กับ "ชาวเอเชีย" ในยุคแรกๆ ถ้าหากเราอ่านหนังสือ "ตำนาน" ของนักบันทึกในยุคอดีต
อย่าง "เฮโรโดตัส" บรรยากาศของเหตุการณ์ปะทะขัดแย้งดูจะออกไปทาง "น่าหัวเราะ" มากกว่า
สะท้อนให้เห็น "ความโหดเหี้ยม"

ตำนานที่ว่าด้วย "ชาวฟินิเชียน" ซึ่งอาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ปัจจุบัน เดินทางไปค้าขายในดินแดน
"อาร์กอส" อันเป็นแผ่นดินของชาวยุโรป พ่อค้าเรือชาวฟินิเชียนในยุคนั้นจะคิดอย่างไรไม่ทราบ
แต่สิ่งที่ "เฮโรโดตัส" ได้ยินมาจากคำร่ำลือก็คือ พ่อค้าชาวฟินิเชียนกลุ่มหนึ่งได้ฉุด "อิโอ" ลูกสาวของ
พระราชา "อิมาคอส" แห่ง "อาร์กอส" กลับไปยังฝั่งประเทศอียิปต์

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในฝั่งยุโรปจึงแก้แค้นด้วยวิธีไปอุ้มเอาตัว "ยูโรปา" ลูกสาวของพระราชาแห่ง "นครไทร์"
ของพวกฟินิเชียน เป็นการสนองคืน แต่จะยังไม่หายแค้นหรือยังไม่หนำใจก็ไม่ทราบได้ นอกจากจะลักพาตัว
"ยูโรปา" ไปแล้วต่อมายังมาแอบฉุดคร่า "เมเดอา" ลูกสาวของพระราชา "คอลลิส" ในแผ่นดินเอเชีย
ไปอีกรายหนึ่ง

"เฮโรโดตัส" บอกว่า ด้วยเหตุนี้ เจ้าชายแห่ง "นครไพรอาม" ในเอเชีย ชื่อว่า "อเล็กซานเดอร์"
ก็เลยหาทางแก้คืน ด้วยการเดินทางไปฉุด "เฮเลน" มาไว้ยังนครไพรอาม ชาวยุโรปก็เลยยกทัพ
เข้ามาถล่มเอเชียเป็นครั้งแรก

แต่สำหรับสงครามในระยะหลังๆ นั้น การปะทะขัดแย้งระหว่างกันและกัน อาจจะไม่ต้องมีสาเหตุมาจาก
การทะเลาะเบาะแว้งกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเลยก็ได้

มันเป็นสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้คนที่ตัวเองไม่เคยรู้จักหน้าตามาก่อน หรือไม่เคยมีสาเหตุใดๆ
ที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังระหว่างกันและกันเลย

ในตอนที่พระจักรพรรดิ "อเล็กซานเดอร์มหาราช" แห่งจักรวรรดิกรีก ยกกองทัพกรีกข้ามหุบเขาคาบูล
ในอัฟกานิสถาน เข้าไปถึงแม่น้ำสินธุในอินเดียนั้น ว่ากันว่าพระองค์แทบไม่มีความรู้จักธรรมชาติและ
ผู้คนในพื้นที่บริเวณนั้นเอาเลย พระองค์คิดเอาเองว่า พวก "พ่อค้า" นั้นคือ "กษัตริย์อินเดีย" แบบเดียว
กับชาวกรีก นึกว่า "พราหมณ์" คือ "นักปรัชญาอินเดีย" ขณะที่พระองค์พบเห็น "จระเข้" ปรากฏตัว
ในแม่น้ำสินธุ พระองค์จึงเข้าใจไปว่า แม่น้ำสินธุ นั้นคือต้นน้ำของ "แม่น้ำไนล์" แต่ถึงกระนั้นก็ตาม
กองทัพของพระองค์กับกองทัพของ "พระเจ้าโปรุส" แห่งแคว้นปัญจาบก็ปะทะกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
เนื่องจากดินแดนที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์เสด็จผ่านนั้น ล้วนเป็นดินแดนที่พระองค์ต้องการ "ครอบครองให้ได้"

ในหนังสือประวัติชีวิตของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชที่เขียนโดย "นายพลอาร์เรี่ยน" ได้บันทึกถึง
ข้อความที่ "โยคีอินเดีย" กล่าวกับพระจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ในขณะที่พระองค์เสด็จไปทอดพระเนตร
ชีวิตความเป็นอยู่ของโยคีเหล่านี้ว่า "โอ...พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ทุกคนในโลกนี้เป็นเจ้าของแผ่นดิน
มากเพียงเท่าที่ฝ่าเท้าที่เราเหยียบย่างในแต่ละก้าวเท่านั้น พระองค์ก็เป็นคนดุจเดียวกับคนสามัญอื่นๆ
ไม่แตกต่างกันเลย แต่พระองค์มีความปรารถนาทะยานอยากมากกว่าคนอื่น ขณะนี้พระองค์ผ่านดินแดน
มาไกลแสนไกลทำความลำบากให้แก่พระองค์เอง และประชาชนของพระองค์เองก็ได้รับความลำบาก
ไปด้วย แต่ในที่สุด เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ชีพลงพระองค์ก็ต้องการแผ่นดินเพียงเล็กน้อย เพียงเพื่อจะ
เผาพระศพเท่านั้น"


แต่คำกล่าวของโยคีเหล่านี้ไม่สามารถโน้มน้าวความรู้สึกของอเล็กซานเดอร์ได้เลย "แผ่นดินมาซีโดเนีย"
ที่พระองค์ได้รับช่วงมาจากพระบิดา กลายเป็น "แผ่นดินที่เล็กเกินไป" เมื่อเปรียบเทียบกับ "อาณาจักรกรีก"
ทั้งหมด และอาณาจักรกรีกทั้งหมดที่พระองค์ยึดได้ ก็ยัง "เล็กเกินไป" เมื่อพระองค์มองเห็นแผ่นดิน
ในแอฟริกาและเอเชีย แม้กระทั่งก่อนจะสิ้นพระชนม์ไม่กี่วัน พระองค์ได้หารือกับนายทหารระดับสูงในกองทัพ
ถึงการส่งทัพเรือออกสำรวจ "อ่าวเปอร์เซีย" แผนการทางทหารที่พบภายหลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว
คือแผนการที่จะสร้างกองทัพเรือให้ใหญ่โตที่สุดในจักรวรรดิพร้อมกับสร้างถนนเพื่อส่งกองทัพบก
ออกปฏิบัติการเลียบชายฝั่งแอฟริกาเหนือจนสุดทวีป

แต่ท้ายที่สุด มันก็เป็นไปตามคำกล่าวของโยคีอินเดียนั่นแหละ แผ่นดินที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ยึดครอง
ได้จริงๆ หลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้วก็คือ แผ่นดินที่เท่ากับ "เนื้อที่หลุมฝังศพ" ของพระองค์เอง
ซึ่งแม้กระทั่งทุกวันนี้ ร่างของพระองค์จะถูกฝังเอาไว้ในแผ่นดินกว้าง - ยาวขนาดไหน? ที่ใด ก็ยังไม่มี
การยืนยันอย่างชัดเจน แต่จักรวรรดิกรีกทั้งจักรวรรดิ แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ หลังจากนั้น
เมื่อผู้รับช่วงมรดกของพระองค์หันมา "ทำสงครามกันเอง"

ถึงแม้นว่า "ผลลัพธ์" หรือ "จุดจบ" ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์จะเป็นไปตามคำเตือนของโยคีอินเดีย
อย่างชัดเจน แต่คำเตือนเหล่านี้ก็ไม่สามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับผู้คนรุ่นต่อๆ ไปที่ต่างพยายาม
เดินตามแนวทางเดียวกันกับพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

จักรวรรดิโรมันที่รับช่วงเอาอารยธรรมต่างๆ ต่อมาจากกรีก ก็เดินไปในแนวทางเดียวกันจนเชื่อว่า
จักรวรรดิของตัวเองเป็นเสมือนหนึ่ง "ศูนย์กลางของโลก" จนกระทั่งจักรวรรดิทั้งจักรวรรดิแตกสลาย
เหลือแต่เพียง "กรุงวาติกัน" อันเป็นที่ตั้งแห่ง "ศาสนจักร" ที่ถูกล้อมกรอบไปด้วย
"อนารยชน" ผู้พยายามเดินตามเส้นทางเส้นนี้ต่อไป ก็ออกไล่ล่าเพื่อครอบครองโลกทั้งโลกด้วย
ระดับความเหี้ยมโหดและความรุนแรงยิ่งกว่าสงครามในยุคอดีตหลายต่อหลายเท่า


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ สิงหาคม 30, 2006, 09:52:38 PM
อารยธรรมของอนารยชน

ในหนังสือเรื่อง "ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี" ของ "ดี บราวน์" ได้เท้าความไปถึงช่วงปี ค.ศ. 1492
เมื่อ "คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส" นำเรือสำรวจของสเปนไปถึงเกาะ "ซาน ซัลวาดอร์" ในทวีปอเมริกา
บรรยายถึงสภาพธรรมชาติบนเกาะว่า "เป็นที่ราบกว้างใหญ่ ต้นไม้มีสีเขียวแก่ ทั้งเกาะนั้นเป็นสีเขียว
เมื่อมองไปทางใดก็เกิดความรื่นรมย์" และเมื่อได้รับการต้อนรับด้วยไมตรีจิตจากชนเผ่า "ไตโน"
บนเกาะซาน ซัลวาดอร์ สาส์นของโคลัมบัสที่มีถึงกษัตริย์เฟอร์ดินานและราชินีอิสซาเบลลาแห่งสเปน
ได้พูดถึงชาว ไตโน หรือ "อินดิออส" เหล่านี้ว่า

"คนเหล่านี้ช่างว่าง่าย อยู่กันอย่างสงบและสันติเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ ข้าพระพุทธเจ้าสาบานต่อพระองค์ได้ว่า
ไม่มีชนชาติไหนในโลกที่ดีกว่านี้อีกแล้ว พวกเขารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง เสียงพูดของพวกเขา"
ก็อ่อนหวานและสุภาพ มีรอยยิ้มตลอดเวลา แม้นว่าจะเป็นความจริงในเรื่องที่พวกเขาเปลือยกาย
แต่กิริยาของพวกเขาก็สง่างามและน่ายกย่องยิ่งนัก"

แต่ท้ายที่สุดก่อนจะออกเรือกลับไปยังสเปน โคลัมเบียก็ลักพาตัวชนเผ่าไตโน 10 คนกลับไปเพื่อฝึกอบรม
ให้ใช้ชีวิตแบบคนขาว "ดี บราวน์" ระบุว่า "หนึ่งในจำนวนนั้นเสียชีวิตลงเมื่อไปถึงสเปนได้ไม่นาน
แต่ก็ได้รับศีลล้างบาปให้เป็นชาวคริสต์แล้ว ชาวสเปนรู้สึกยินดีมากที่พวกเขาสามารถทำให้อินเดียน
คนแรกขึ้นสวรรค์ และไม่รั้งรอที่จะกระจายข่าวดีเช่นนี้ตลอดหมู่เกาะเวสท์ อินดีส์"

"ดี บราวน์" บรรยายต่อไปว่า "เมื่อเวลากว่า 3 ศตวรรษผ่านไปนับตั้งแต่โคลัมบัสเหยียบย่างขึ้นบนฝั่ง
ซาน ซัลวาดอร์ หรือประมาณ 2 ศตวรรษนับตั้งแต่ชาวอาณานิคมของอังกฤษเข้ามายังเวอร์จิเนียและ
นิวอิงแลนด์ ในระหว่างนั้นชนเผ่าไตโนผู้เป็นมิตรซึ่งให้การต้อนรับโคลัมบัสขึ้นฝั่ง ถูกล้างผลาญไปจน
หมดสิ้นแล้ว" แต่ก่อนที่เผ่าพันธ์ไตโนคนสุดท้ายจะจบชีวิต วัฒนธรรมเกี่ยวกับการกสิกรรมและหัตถกรรม
แบบง่ายๆ ของพวกเขาก็ถูกทำลายลง โดยมีไร่ฝ้ายซึ่งใช้แรงงานทาสเข้ามาแทนที่ ชาวอาณานิคมผิวขาว
โค่นต้นไม้ในป่าเขตร้อนลงเพื่อขยายเนื้อที่ทำไร่ ต้นฝ้ายทำให้ดินจืดลงอย่างรวดเร็ว ลมพายุแรงเพราะ
ปราศจากต้นไม้ปิดกั้นก็พัดเอาทรายมาปกคลุมพื้นที่เกือบหมด ชาวยุโรปที่ตามเขามาที่นั่น
ในภายหลังได้ทำลายพืชพันธ์บนเกาะและผู้อยู่อาศัยบนเกาะ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ นก ปลา
และหลังจากเปลี่ยนแปลงให้เป็นดินแดนรกร้างแล้ว พวกเขาก็ทอดทิ้งมันไป..." ชาวโรมันเคยเรียก
กลุ่มชนผิวขาวกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าพวกแวนดาล แฟรงค์ วิซิโกธ ออสโตรโกธ แซกซอน ฯลฯ ที่ทำสงคราม
รบกวนจักรวรรดิโรมันในยุคอดีตว่า พวก "อนารยชน"

แต่หลังจากที่กลุ่มชนเหล่านี้บุกทำลายและยึดดินแดนต่างๆ ของจักรวรรดิโรมัน ตั้งแต่ช่วงประมาณ
ค.ศ. 400 เป็นต้นมา และพยายามสร้างจักรวรรดิของตนเองขึ้นมาใหม่ จักรวรรดิของเขาเหล่านั้น
ก็แทบจะไม่แตกต่างไปจากจักรวรรดิเดิมที่ถูกพวกเขาทำลายลงไป

จะเป็นเพราะสาเหตุที่เขาทั้งหลายยอมรับเอาสิ่งที่เรียกว่า "อารยธรรมกรีก-โรมัน" มาใช้เป็นแบบแผน
ในการสร้างอาณาจักรของตนเอง หรือมันจะเป็นเพราะ "สัญชาติญาณของอนารยชน" ก็ไม่ทราบได้
แต่มันทำให้ ""สงคราม" ที่ก่อเกิดขึ้นโดยจักรวรรดิต่างๆ ดังกล่าว ยิ่งทวีความรุนแรงและความเหี้ยมโหด
ยิ่งขึ้นไปอีก

ไม่เพียงแต่สงครามจะสามารถเกิดขึ้นโดย ไม่จำเป็นจะต้องมีสาเหตุแห่งความเกลียดชังหรือ
การทะเลาะเบาะแว้งกันแล้ว กระทั่งพวกเขาได้รับการตอบสนองด้วยการยกย่องอย่างบริสุทธิ์ใจ
หรือกระทั่งได้รับการศิโรราบก็แล้วแต่ แต่ "อารยธรรมของอนารยชน" กลายเป็นแรงผลักดัน
ให้พวกเขาต้องการครอบครองดินแดน แสวงหาผลประโยชน์เพื่อจักรวรรดิของตนเอง จนขีดความรุนแรง
ในการเข่นฆ่าสังหารอาจจะหนักหนาสาหัสยิ่งกว่า "สงคราม" โดยปกติหลายเท่า หลายครั้งมันแทบ
ไม่ต่างไปจากการ "ปล้นสะดม" อย่างดิบๆ กลายเป็นการ "สังหารหมู่" อย่างอำมหิต กลายเป็น
การทำลายล้างเผ่าพันธ์มนุษย์ และธรรมชาติอย่างน่าสยดสยอง

ขุนพลสเปนอย่าง "เฮอร์นันโด คอร์เตส" พร้อมกำลังทหารไม่เกิน 400 คน ที่ได้รับการต้อนรับ
ปานประหนึ่งเป็น "เทพเจ้า" จากพระราชา "มองเตซูม่า" แห่งอาณาจักร "แอซเทค" ในเม็กซิโก
ได้ตอบแทนความเคารพด้วยการจับตัว "มองเตซูม่า" สังหาร เข่นฆ่าพลเมืองชาวแอซเทคอย่างเหี้ยมโหด
แล้วสถาปนาตัวเองขึ้นปกครองอาณาจักรแห่งนี้แทนหลังปี ค.ศ. 1519 "ฟรังซิสโก ปิซาร์โร"
นำทหารสเปน 180 คน ค้นหา "ทองคำ" ในเขตอาณาจักร "อินคา" ในปี ค.ศ. 1530 แม้นว่าจะได้รับ
การต้อนรับด้วยไมตรีจิตรอย่างบริสุทธิ์ใจจากพระราชา "อตาฮอลพา" ของอินคาด้วยพระองค์เอง

แต่ปิซาร์โร ก็วางแผนทรยศจับตัวกษัตริย์อินคาเรียกร้องค่าไถ่เป็นทองคำและเงินสูงท่วมห้องขังพระราชา
และแม้นจะได้รับทองคำและเงินเต็มจำนวนที่เรียกร้องไปแล้วก็ตาม ปิซาร์โร ยังคงฆ่าพระราชาพร้อมกับ
นำกำลังทหารยึดกรุง "คุซโก" เมืองหลวงของอินคา พร้อมกับเข่นฆ่าขุนนางอินคาทั้งหมด จนอาณาจักร
อินคาล่มสลายเช่นเดียวกับอาณาจักรแอซเทคในเม็กซิโก

(ความเห็นส่วนตัว จึงอยากตั้งคำถามว่าคนไทยบางจำพวกที่ออกมาอ้างคำพูดต่างชาติ
คิดว่าทำตามแบบต่างชาติแล้วจะถือว่าเป็นผู้ที่เจริญแล้ว อยากเห็นต่างชาติทำให้ไทยล่มสลายเหมือนกับ
ที่ทำกับสองอาณาจักรข้างบนหรือไม่ ตัวคนที่ออกมาพูดเองก็จะไม่เหลือแม้แต่แผ่นดินจะให้ฝังศพด้วยซ้ำ
เพราะเสร็จภารกิจเขาก็ทำลายคนที่ร่วมมือกันทำลายชาติตนเองเหมือนกัน)


บนแผ่นดินใหญ่ของทวีปอเมริกาเหนือที่ชนเผ่าอินเดียนแดงนับล้านๆ เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่อันกว้างขวาง
ด้วยความสงบสันติมานานนับพันๆ ปี ไม่กี่ศตวรรษผ่านไป เผ่าพันธ์อินเดียนแดงกว่าครึ่งในทวีปนี้ถูกเข่นฆ่า
ลงไปในระดับ "สูญเผ่าพันธ์" ไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์ป่าจำนวนมากที่สูญพันธ์ไปเช่นกัน เผ่าวัมปาโน
เผ่าเซซาปีเก เผ่าชิคาโฮมินี เผ่าพอว์ฮาตาน ฯลฯ ในขณะนี้หลงเหลืออยู่เพียงชื่อและตำนานว่าเคยมีมนุษย์
ชนิดนี้อยู่ในทวีปอเมริกาเท่านั้น แผ่นดินของอินเดียนแดงที่กว้างขวางตั้งแต่อเมริกากลางไปจนถึงแคนาดา
ถูกหดแคบให้เหลือแค่ "พื้นที่เขตสงวนอินเดียน" เล็กกว่าพื้นที่ที่พวกเขาเคยใช้ชีวิตอยู่นับเป็นพันเป็นหมื่นเท่า
การล้างเผ่าพันธ์และการสังหารหมู่ที่ไม่ยกเว้นแม้แต่เด็ก ผู้หญิง คนชรา ถูกบันทึกยืนยันโดยเอกสาร หลักฐาน
นานาชนิด จนตราบเท่าทุกวันนี้ ไม่ต่างอะไรไปจากชาวอาณานิคมอังกฤษจำนวนไม่กี่ร้อยคนที่ถูกส่งไปยัง
ทวีปออสเตรเลีย อีกไม่นานนัก "อนารยชน" เหล่านี้ก็ยึดทวีปทั้งทวีปและสร้างประวัติศาสตร์การเข่นฆ่า
ชาวอะบอริจิน ซึ่งเป็นเผ่าพันธ์มนุษย์เหมือนกับมนุษย์อื่นๆ ในระดับ
"ฆ่าเพื่อเอาเนื้อชาวอะบอริจินมาให้สุนัขของชาวผิวขาวกิน"

ปรากฏการณ์เหล่านี้ยังเกิดขึ้นในทวีปแอฟริกา ทวีปเอเชีย หรือในทุกพื้นที่ของโลกที่ "อนารยชน"
แห่งจักรวรรดิใหม่นำพา "อารยธรรม" ของพวกเขาไปถึง

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 พื้นที่โลกไม่น้อยกว่า 43 ล้าน 9 แสน ตารางกิโลเมตร อันเป็นที่อยู่อาศัย
ของประชากรโลกไม่น้อยกว่า 713 ล้าน 4 แสนคน ได้กลายเป็น "เมืองขึ้น" หรือ "อาณานิคม"
ของจักรวรรดิใหม่ "ดมิตตรี เยฟีโมฟ" อดีตผู้สื่อข่าวสำนักข่าวรัสเซียรายหนึ่ง เคยรวบรวมภาพ
ความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิต่างๆ ในยุโรปในยุค "ล่าอาณานิคม" เอาไว้ว่า

"ในขณะที่นักล่าอาณานิคมรุ่นแรกอย่างโปรตุเกสสูญเสียดินแดนที่ยึดครองในระยะหลังไปไม่น้อย
แต่ในยุคปลายของการล่าอาณานิคม พวกเขายังครอบครองดินแดนของผู้อื่นในเนื้อที่ใหญ่กว่า
พื้นที่ประเทศตัวเองถึง 23 เท่า ฮอลันดานั้นแม้นพื้นที่อาณานิคมจะลดลงไปเช่นเดียวกับโปรตุเกส
แต่เฉพาะพื้นที่ประเทศอินโดนีเซียที่ยังถูกพวกเขายึดครองก็มีขนาดใหญ่กว่าประเทศตัวเองถึง 60 เท่า
ฝรั่งเศสยึดครองดินแดนประเทศอื่นใหญ่กว่าประเทศตัวเองถึง 21 เท่า เบลเยียมที่พยายามสร้าง
ความเทียมหน้า-เทียมตา กับประเทศอื่นๆ ในยุโรปครอบครองดินแดนในทวีปต่างๆ ใหญ่กว่า
ประเทศตัวเองถึง 77 เท่า และอังกฤษซึ่งมีบทบาทสูงสุดในการล่าอาณานิคมของผู้อื่นครอบครอง
ดินแดนในทวีปต่างๆ ใหญ่กว่าประเทศตัวเองถึง 120 เท่า จนทำให้จักรวรรดิแห่งนี้ได้รับสมญานาม
ว่าเป็น จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน"

ศตวรรษที่ 21 ศตวรรษแห่งสงคราม?

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 "คาร์ล ปอปเปอร์" นักปรัชญาชาวออสเตรียที่มาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษ
ได้พยายามพูดถึงแบบแผนของ "ระบบสังคม" ในโลกว่า ควรมีพื้นฐานมาจากแรงผลักดันของ "เสรีภาพ"
ในการแสวงหาความสุขสมบูรณ์ของมวลมนุษย์ โดยให้คำนิยามถึงระบบสังคมชนิดนี้ว่า "สังคมเปิด"
(โอเพ่น โซไซตี้)

"อัลวิน ทอฟเลอร์" นักวิจารณ์สังคมชื่อดังในอเมริกาที่เขียนหนังสือหลายเล่มเผยแพร่ไปทั่วโลก
ได้แบ่งวิวัฒนาการของโลกในยุคต่างๆ มาตั้งแต่ "ยุคคลื่นลูกที่หนึ่ง" (สังคมการเกษตร), "ยุคคลื่นลูกที่สอง"
(สังคมอุตสาหกรรม) และจินตนาการอันพิสดารน่าตื่นตาตื่นใจของเขาในขณะที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่
"ยุคคลื่นลูกที่สาม" (สังคมเทคโนโลยี) นั้น มีรายละเอียดลึกลงไปถึงวิถีชีวิตของปัจเจกบุคคล, ครอบครัว,
องค์กรบริษัท, ระบบการเมือง-เศรษฐกิจ-การทหารที่เต็มไปด้วยความน่าตื่นตะลึง อันเกิดจากการค้นพบ
ความก้าวหน้าทางวิทยาการและองค์ความรู้ใหม่ๆ และภายใต้สีสันอันพิสดารนี้นั้น สังคมโลกอนาคตของเขา
สังคมโลกอนาคตของเขาตั้งอยู่บนพื้นฐานของสังคมที่ถูกขับดันด้วย "แรงปรารถนาแห่งความต้องการ
อันไม่สิ้นสุดของมนุษย์" ซึ่งทำให้เขาเรียกสังคมชนิดนี้ว่า สังคมในแบบที่แยกศาสนาและรัฐ ออกจากกัน
หรือ สังคมโลกียะ (เซ็กส์คิวเลอร์ โซไซตี้ - secular society)

"ซามูเอล ฮันติงตัน" นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองและการทหารคนสำคัญในสหรัฐอเมริกา
ได้พยายามอธิบายถึง "ความยิ่งใหญ่" ของสังคมที่พัฒนามาจาก "อารยธรรมที่ใช้เหตุ-ใช้ผล"
อันเป็นผลสืบเนื่องมาจาก "อารยธรรมกรีก-โรมัน" ซึ่งเคยพยายามครอบครองโลกมาในยุคอดีต

โลกในอนาคตของนักคิด-นักวิจารณ์เหล่านี้ มีลักษณะเกือบจะไม่แตกต่างไปจากโลกในจินตนาการ
ของบรรดาพ่อค้า, นักล่าอาณานิคม, นักจักรวรรดินิยมในยุคอดีตหรือยุคใหม่สักเท่าไหร่ ที่การแสวงหา
กำไร, เมืองขึ้น, แผ่นดินใหม่ๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุดนั้นเป็นเสมือนหนึ่ง "สัญชาติญาณ" หรือแรงปรารถนา
ทางธรรมชาติของมนุษย์

"จอร์จ บอล" อดีตปลัดกระทรวงเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา เคยพยายามสะท้อนจินตนาการ
ถึงโลกแห่งพ่อค้าในอนาคต ในความคิดเห็นของเขาเอาไว้ในคำกล่าวปราศรัยต่อคณะกรรมการหอการค้า
ระหว่างประเทศที่ประเทศอังกฤษ มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 โดยบอกเอาไว้ว่า

"ในอนาคตข้างหน้า เขตแดนทางการเมืองของรัฐชาตินั้น คับแคบ และจำกัดขอบเขตกิจกรรมของ
ธุรกิจสมัยใหม่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว บรรษัทที่มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจระดับโลก มีแนวโน้มที่
อยากจะเห็นโลกที่มิได้มีเพียงเฉพาะสินค้าเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี แต่จะต้องรวมไปถึง
ปัจจัยการผลิตทั้งหมดด้วย"

และในช่วงที่สงครามเย็นยุติลงไปหมาดๆ "อะกิโอะ มอริตะ" ผู้ก่อตั้งและประธานบรรษัทธุรกิจข้ามชาติ
อย่าง "โซนี่" ได้พยายามกระตุ้นให้มีการ จัดระเบียบโลกใหม่ (New World Order)
http://en.wikipedia.org/wiki/New_World_Order (http://en.wikipedia.org/wiki/New_World_Order)
เพื่อรองรับโลกในอนาคต โดยการเขียนจดหมายเปิดผนึกตีพิมพ์ในวารสาร "แอตแลนติก" รายเดือน
ในเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 1993 ว่า "ถึงเวลาแล้ว ที่ผลประโยชน์ท้องถิ่น, วัฒนธรรมท้องถิ่น
ตลอดจนสัญลักษณ์อื่นๆ ที่แสดงเอกลักษณ์ของท้องถิ่นหรือรัฐชาติ จะต้องยอมให้ความดีงามที่
กว้างใหญ่ไพศาลกว่า อันเป็นผลจากเสรีภาพทางการค้าในระบบตลาดเสรี ได้เข้ามาแทนที่"

ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะมีการอธิบายภาพของโลกในอนาคตผ่านคำนิยามว่าด้วยความสูงส่งของ "เสรีภาพ"
ความน่าตื่นตาตื่นใจของ "วิทยาการและเทคโนโลยี" ความยิ่งใหญ่ทาง "อารยธรรม" หรือ ความคึกคัก
ของ "กิจกรรมธุรกิจในอนาคต" ก็แล้วแต่ โลกในอนาคตตามแนวทางเช่นนี้ ได้เคยถูกสรุปโดย
"เดวิด ซี เคอร์เตน" ผู้เขียนหนังสือเรื่อง "เวน เดอะ คอปเปอเรชั่นส์ รูล เดอะ เวิล์ด" ให้เห็นถึง
สาระหลักๆ ของแก่นความคิดเหล่านี้เอาไว้ว่า

"ถ้าหากจะอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ถึงข้อปฏิบัติที่สถาปนิกแห่งโลกาภิวัฒน์เป็นผู้เสนอ โลกในอุดมคติ
ของนักโลกานิมิตจะมีลักษณะด้งต่อไปนี้
1. เงินตราของโลก เทคโนโลยี และตลาด จะถูกควบคุมและจัดการโดยโลกาบรรษัทยักษ์ใหญ่
2. วัฒนธรรมผู้บริโภคจะถูกหลอมให้เป็นหนึ่งเดียวในทิศทางของการเสาะแสวงหาความพึงพอใจทางวัตถุ
3. มีการแข่งขันกันอย่างสมบูรณ์ในระดับโลกจาก "แรงงาน" ในท้องที่ต่างๆ เพื่อจะให้บริการแก่ ผู้ลงทุน
ในลักษณะที่ผู้ลงทุนจะได้รับผลประโยชน์มากที่สุด
4. บรรษัทสามารถทำอะไรก็ได้บนพื้นฐานกำไร โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีผลกระทบอย่างไรต่อประเทศ
และท้องถิ่น
5. ความสัมพันธ์ทั้งปัจเจกบุคคลและบรรษัทจะถูกกำหนดทั้งหมดโดย ตลาด
6. ไม่มีที่ว่างสำหรับความจงรักภักดีต่อสถานที่และชุมชน"


ในความพยายามเผยแพร่แนวคิด ผลักดันให้โลกเป็นไปในลักษณะนี้ ในแบบแผนของ "ระบบสังคมเปิด"
ของ "คาร์ล ปอบเปอร์" เขาได้มองเห็นถึงจุดแห่งการปะทะขัดแย้งอย่างดุเดือดรุนแรงไม่น้อยใน
กระบวนการวิวัฒนาการไปสู่สังคมที่ว่า เมื่อเสรีภาพในการแสวงหาความสุขสมบูรณ์ของมนุษย์
นำพามนุษย์เข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า "ความตึงเครียดของความศิวิไลซ์"

เช่นเดียวกันกับการ "พัฒนาระบอบประชาธิปไตยอันมีพื้นฐานมาจากสังคมโลกียะ" ของ "อัลวิน ทอฟเลอร์"
ไม่ว่าเขาจะมองเห็นองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีว่าจะก้าวไปในระดับไหนก็แล้วแต่ เขาก็อดแสดงความห่วงใย
ถึง "อุปสรรคขัดขวาง" อันอาจจะเกิดจาก "กลุ่มคนที่ต้องการย้ายอำนาจประชาธิปไตยแห่งศตวรรษที่ 21"
กลับไปสู่ยุคมืดแห่งศตวรรษที่ 11 ไม่ได้ ไม่ต่างไปจาก "ซามูเอล ฮันติงตัน" ที่มองเห็นถึงความเป็นไปได้
ในการ "เผชิญหน้า" กันระหว่าง "อารยธรรมกรีก-โรมัน กับอารยธรรมที่แตกต่างออกไป" "ปอปเปอร์"
ได้พยายามปลุกปลอบใจให้ผู้สนับสนุนสังคมเปิดทั้งหลาย มี "ความกล้าหาญ" และ"ความมั่นใจต่อ
ศักยภาพมนุษย์" ที่จะต้องก้าวผ่านจุดปะทะแตกหักในภาวะความตึงเครียดของความศิวิไลซ์ไปให้ได้

"ทอฟเลอร์" ได้เรียกร้องให้พวก "จิตนิยมเข้มข้น" หรือพวก "ออร์เธอร์ด็อกซ์" ทั้งหลายเร่งหาทางปรับตัว
ให้เข้ากับสังคมโลกียะ หรือมิฉะนั้นจะต้อง "ขจัดอุปสรรค" เหล่านี้ออกไป

ไม่ต่างไปจากการเผชิญหน้าระหว่างอารยธรรมกรีก-โรมัน กับอารยธรรมที่แตกต่างออกไปของ "ฮันติงตัน"
ที่อาจจะก้าวไปสู่ "การปะทะทางอารยธรรม"

"ไมเคิล แคลร์" นักวิเคราะห์ยุทธศาสตร์สหรัฐฯ ซึ่งคลุกคลีกับการสังเกตความเคลื่อนไหวทางการเมือง-
การทหารของประเทศผู้นำทุนนิยมโลก และประเทศที่ประกาศว่าจะ "จัดระเบียบโลกใหม่" ให้กับ
ศตวรรษที่ 21 ผู้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า "รีสอร์ท วอร์-นิว แลนด์สเคป ออฟ โกลเบิล คอนฟลิค" หรือ
สงครามทรัพยากร-มิติใหม่ของสงครามโลก" ได้เคยกล่าวถึง "การปรับยุทธศาสตร์การเมือง-การทหาร"
ของประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 เอาไว้ว่า ความพยายามปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์
การเมือง-การทหาร ของประเทศสหรัฐอเมริกาหลังสงครามเย็นยุติไปแล้ว ได้สะท้อนให้เห็นถึง
"สัญญาณทางการทหาร" ที่มุ่งไปสู่ "การแย่งชิงทรัพยากรสำคัญๆ ที่กำลังขาดแคลนในโลกมากขึ้นเรื่อยๆ"

เขาได้ทำนายเอาไว้ล่วงหน้าประมาณ 6 เดือน ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์สำคัญระดับโลก หรือเหตุการณ์
ที่ว่ากันว่าเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงโลกทั้งโลกในเวลาต่อมา นั่นก็คือ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์วินาศกรรม
ในประเทศสหรัฐฯเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ประมาณ 6 เดือน "ไมเคิล แคลร์" ชี้ให้เห็นว่า
ยุทธศาสตร์การเมือง-การทหารของอเมริกากำลังปรับตัวมุ่งไปสู่การวางน้ำหนักทางทหารเข้าไปในพื้นที่
ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรด้านพลังงานที่ยังไม่มีการขุดค้นมาใช้ โดยเฉพาะความพยายามเข้าไปมีบทบาท
ในประเทศบริเวณ "เอเชียกลาง" ที่เชื่อกันว่าเป็นพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำมันอยู่ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของปริมาณ
น้ำมันสำรองของโลก รวมทั้งพื้นที่ที่ยังคงเหลือทรัพยากรสำรองแหล่งอื่นๆ ไม่ว่าแอฟริกา ตะวันออกกลาง
และรวมไปถึงทะเลจีนใต้ เขาสรุปว่า "สิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิดผลลัพธ์สำคัญที่สุด คือจะเกิดยุทธศาสตร์โลก
แบบใหม่ ที่วางอยู่บนปัญหาความขลาดแคลนทรัพยากรโดยไม่สนใจเขตแดนทางการเมืองเป็นสาระสำคัญ
อีกต่อไป"

และภายหลังจากที่เหตุการณ์ 11 กันยายน ปรากฏตัวขึ้นมา "สงครามครั้งใหม่" ก็ปรากฏตัวขึ้นมาในโลก
ด้วยการประกาศของผู้นำรัฐบาลอเมริกาว่า พวกเขาจะทำสงครามกับการก่อการร้ายที่อาจจะมีอาณาเขต
กว้างขวางพัวพันไปถึง 60 ประเทศทั่วโลก และอาจจะใช้ระยะเวลาในการทำสงครามไม่น้อยกว่า 50 ปี
ขึ้นไป ในการกล่าวสุนทรพจน์รายงานประจำปี ค.ศ. 2002 ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช บอกกับ
ชาวอเมริกันและชาวโลกเอาไว้ว่า ปีนี้เป็น "ปีแห่งสงคราม"


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 01, 2006, 12:34:19 AM
วันที่ 11 กันยายน 2001 วันแห่งการเปลี่ยนแปลงโลก

ในขณะที่ "นักโลกานิมิต" ทั้งหลาย พยายามชี้ชวนให้เราเห็นถึงด้านที่สดใส ความสุขสมบูรณ์
ความมั่งคั่ง สีสันพิสดารจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ฯลฯ รออยู่ในอนาคตข้างหน้า

แต่ความจริง ในโลกปัจจุบันกลับสะท้อนให้เห็นถึง "ความขาดแคลน" ปรากฏต่อนานาสรรพสิ่งชัดเจน
ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ความพยายามแสวงหาความสุขสมบูรณ์ด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างเร่งรีบของ
ประเทศต่างๆ ในโลกที่หันมาเดินใน "เส้นทางทุนนิยม" แบบเดียวกันทั้งสิ้น ส่งผลให้ "ทรัพยากรน้ำมัน"
กำลังก้าวไปสู่ "จุดสูงสุดของการผลิต" ภายใน 10-20 ปีข้างหน้า

ในขณะที่ผู้คนจำนวนหนึ่งในโลกกำลังเพลิดเพลินเจริญใจกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ
ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั่วโลก วิถีชีวิตของผู้คนในสังคมทันสมัยที่ไม่เคยประสบความขาดแคลนน้ำดื่ม,น้ำสะอาด
แต่ประชากรโลกไม่น้อยกว่า 1,100 ล้านคน กำลังขาดน้ำสะอาดสำหรับบริโภค อีก 2,400 ล้านคน
บริโภคน้ำที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ในขณะที่ปริมาณอาหารอันอุดมสมบูรณ์ถูกลำเลียงข้ามโลกมาตอบสนองความต้องการของประชากร
ที่อยู่ไกลจากแหล่งอาหารนับเป็นพันเป็นหมื่นไมล์ ที่ดินที่เคยใช้เพาะปลูกในโลกปัจจุบันนี้ขนาด
ไม่น้อยกว่าทวีปอเมริกาเหนือทั้งทวีป รวมไปถึงพื้นที่ประเทศเม็กซิโก กลับกลายสภาพเป็นพื้นที่ดิน
ที่ไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้อีกต่อไปแล้ว เพราะการสะสมของปริมาณเกลือในดิน ปริมาณสัตว์ป่า
ไม่น้อยกว่า 11,000 สายพันธ์กำลังสูญหายไปจากโลก ป่าโบราณที่เหลืออยู่ประมาณ 40 เปอร์เซนต์
กำลังจะหมดสภาพไปในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ชั้นบรรยากาศกำลังถูกคุกคามด้วยปริมาณก๊าซคาร์บอน
มากถึง 750 พันล้านตัน หรือสูงที่สุดจากการคำนวณย้อนหลังกลับไป 200,000 ปี และกำลังจะเพิ่มขึ้น
ต่อไปปีละไม่น้อยกว่า 6,000 ล้านตัน จนความร้อนจากอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศในอนาคต อาจจะทำให้
ทวีปบางทวีปกลายเป็นทะเลทรายได้ไม่ยาก ไหล่ทวีปหลายแห่งอาจจะจมอยู่ใต้บาดาล โรคระบาด
อาจจะฟื้นกลับคืนมาใหม่และ "กลายพันธ์" จนยากที่จะหาตัวยาใดๆ ไปสะกดได้ทัน ฯลฯ

ภาวะเช่นนี้ไม่ได้เป็นเพียงเพราะปริมาณของพลโลกมีจำนวนมากเพิ่มขึ้นจนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง
"ขาดแคลน" ลงไปเท่านั้น แต่มันเกิดจากแรงผลักดันของ "ความต้องการความสุขที่ไร้ขอบเขต"
โดยปราศจากความสนใจในการ "แบ่งปัน" ระหว่างกันและกัน นักวิชาการในองค์กรระหว่างประเทศ
บางรายถึงกับเปรียบเทียบเอาไว้ว่า ถ้าหากเราไม่พยายามควบคุมความต้องการอันไร้ขอบเขตให้ลดลง
และหันมาสนใจการแบ่งปันระหว่างกันและกันให้มากขึ้น ในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้าเราอาจจะต้องหาโลก
อีก 2 ใบมามาเตรียมเอาไว้ มันถึงจะสามารถตอบสนองพลโลกที่กำลังก้าวเดินไปในทิศทางเช่นนี้ได้พอ

แต่ในเมื่อในขณะนี้ มันมีอยู่โลกเดียวเท่านั้น ศตวรรษที่ 21 ที่ใครต่อใครวาดฝันเอาไว้ว่าอาจจะเป็น
"ศตวรรษที่แห่งสันติภาพ" ก็เลยย้อนกลับไปสู่รอยเท้าเก่าๆ ที่เคยปรากฏมาตลอดประวัติศาสตร์นั่นเอง
นั่นคือ มันเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องสรุปกันที่ สงคราม

แม้นว่าจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ "ความซับซ้อนที่อยู่เบิ้องหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001" ยังไม่มี
ความกระจ่างชัดในหลายๆ เรื่องคำถามถึง "การโกหกคำโต" ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในกรณีการวินาศกรรม
ตึกเวิร์ดเทรดและอาคารเพนตากอนของนักเขียนในฝรั่งเศส ข้อมูลหลักฐานว่าด้วย "การแจ้งเตือนล่วงหน้า"
ต่อชาวอิสราเอลประมาณ 4,000 คน ที่ทำงานอยู่ในตึกเวิร์ดเทรด โดยบริษัท "โอดิโก" ที่ทำหน้าที่
ส่งข่าวสารของอิสราเอลให้กับสำนักงานหลายแห่งในตึกเวิร์ดเทรด ก่อนที่เครื่องบินผู้ก่อการร้ายจะพุ่งชน
อาคารถึง 2 ชั่วโมง

MOSSAD – THE ISRAELI CONNECTION TO 9/11

By Christopher Bollyn
Exclusive to American Free Press

U.S. investigators and the controlled media have ignored a preponderance of evidence
pointing to Israel's intelligence agency, the Mossad, being involved in the terror attacks of 9/11.

From the very morning aircraft smashed into the World Trade Center (WTC) and the Pentagon,
news reports have indicated Israeli intelligence being involved in the events of 9/11 –
and the planting of "false flags" to blame Arab terrorists and mold public opinion to support
the pre-planned "war on terror."

Shortly after the destruction of the twin towers, radio news reports described five
"Middle Eastern men" being arrested in New Jersey after having been seen videotaping
and celebrating the explosive "collapses" of the WTC.

These men, from a phony moving company in Weehawken, N.J., turned out to be
agents of Israeli military intelligence, Mossad. Furthermore, their "moving van"
tested positive for explosives.

Dominic Suter, the Israeli owner of Urban Moving Systems, the phony "moving company,"
fled in haste, or was allowed to escape, to Israel before FBI agents could interrogate him.
The Israeli agents were later returned to Israel on minor visa violations.

The Assistant Attorney General in charge of criminal investigations at the time was
Michael Chertoff, the current head of the Dept. of Homeland Security. Chertoff,
the son of the first hostess of Israel's national air carrier,
El Al, is thought to be an Israeli national.

One of the Israeli agents later told Israeli radio that they had been sent to
"document the event" – the event which took the lives of some 3,000 Americans.

Despite the fact that the Israelis arrested in New Jersey evidently had prior knowledge
or were involved in the planning of 9/11, the U.S. mainstream media has never
even broached the question of Israeli complicity in the attacks.

ISRAELIS FOREWARNED

On September 12, 2001, the Internet edition of The Jerusalem Post reported,
"The Israeli foreign ministry has collected the names of 4,000 Israelis believed to
have been in the areas of the World Trade Center and the Pentagon
at the time of the attack."

Yet only one Israeli was killed at the WTC and two were reportedly killed
on the "hijacked" aircraft.

Although a total of three Israeli lives were reportedly lost on 9/11,
speechwriters for President George W. Bush grossly inflated the number of
Israeli dead to 130 in the president's address to a joint session of Congress
on September 20, 2001.

The fact that only one Israeli died at the WTC, while 4,000 Israelis were thought to
have been at the scene of the attacks on 9/11 naturally led to a widespread rumor,
blamed on Arabic sources, that Israelis had been forewarned to stay away that day.

"Whether this story was the origin of the rumor," Bret Stephens,
the Post's editor-in-chief wrote in 2003, "I cannot say.
What I can say is that there was no mistake in our reporting."

ODIGO INSTANT MESSAGES

Evidence that Israelis had been forewarned several hours before the attacks
surfaced at an Israeli instant messaging service, known as Odigo. This story,
clear evidence of Israeli prior knowledge, was reported only briefly in the U.S. media
– and quickly forgotten.

At least two Israel-based employees of Odigo received warnings of an imminent attack
in New York City more than two hours before the first plane hit the WTC.
Odigo had its U.S. headquarters two blocks from the WTC. The Odigo employees,
however, did not pass the warning on to the authorities in New York City,
a move that could have saved thousands of lives.

Odigo has a feature called People Finder that allows users to seek out and contact
others based on certain demographics, such as Israeli nationality.

Two weeks after 9/11, Alex Diamandis, Odigo's vice president, reportedly said,
"It was possible that the attack warning was broadcast to other Odigo members,
but the company has not received reports of other recipients of the message.”

The Internet address of the sender was given to the FBI, and two months later
it was reported that the FBI was still investigating the matter. There have been
no media reports since.

Odigo, like many Israeli software companies, is based and has its Research and Development
(R&D) center in Herzliya, Israel, the small town north of Tel Aviv, which happens to be
where Mossad's headquarters are located.

Shortly after 9/11, Odigo was taken over by Comverse Technology, another Israeli company.
Within a year, five executives from Comverse were reported to have profited by more than
$267 million from "insider trading."

Through Israeli "venture capital" (VC) investment funds, Mossad spawns
and sponsors scores of software companies currently doing business in the United States.
These Israel-based companies are sponsored by Mossad funding sources such as Cedar Fund,
Stage One Ventures, Veritas Venture Partners, and others.

As one might expect, the portfolios of these Mossad-linked funding companies contain only
Israeli-based companies, such as Odigo.

Reading through the strikingly similar websites of these Israeli "VC" funds and their
portfolio companies, one can't help but notice that the key "team" players share
a common profile and are often former members of "Israel's Intelligence Corps"
and veterans of the R&D Department of the Israel Air Force or another branch of the military.
Most are graduates of Israel's "Technion" school in Haifa, Mossad's Interdisciplinary Center
(IDC) in Herzliya, or a military program for software development.

The IDC, a private, non-profit university, is closely tied to the Mossad. The IDC has
a "research institute" headed by Shabtai Shavit, former head of the Mossad from
1989 to 1996, called the International Policy Institute for Counter-Terrorism.

The IDC also has a "Marc Rich Center for the Study of Commodities, Trading
and Financial Markets" and a "Lauder School of Government, Diplomacy and Strategy."
The cosmetics magnate Ronald S. Lauder, who is a supporter of Israel's Prime Minister
Ariel Sharon and his far-right Likud Party, founded the Lauder school.

Lauder, president of the Jewish National Fund and former chairman of
New York Governor George Pataki's Commission on Privatization, is the key individual
who pushed the privatization of the WTC and former Stewart AFB,
where the flight paths of the two planes that hit the twin towers oddly converged.
Ronald Lauder played a significant, albeit unreported, role in the preparation for 9/11.

Pataki's wife, Libby, has been on Lauder's payroll since at least 2002 and reportedly
earned $100,000 as a consultant in 2004. According to The Village Voice, between 1994
and 1998, Gov. Pataki earned some $70,000 for speaking to groups affiliated with Lauder.

THE PTECH CUTOUT

Ptech, a mysterious software company has been tied with the events of 9/11.
The Quincy, Massachusetts-based company was supposedly connected to
"the Muslim Brotherhood" and Arab financiers of terrorism.

The firm's suspected links with terrorism resulted in a consensual examination by
the FBI in December 2002, which was immediately leaked to the media.
The media reports of the FBI "raid" on Ptech soon led to the demise of the company.

Ptech "produced software that derived from PROMIS, had an artificial intelligence core,
and was installed on virtually every computer system of the U.S. government and
its military agencies on September 11, 2001," according to Michael Ruppert's From
the Wilderness (FTW) website.

"This included the White House, Treasury Dept. (Secret Service), Air Force, FAA, CIA, FBI,
both houses of Congress, Navy, Dept. of Energy, IRS, Booz Allen Hamilton, IBM, Enron
and more," FTW reported.

"Whoever plotted 9/11 definitely viewed the FAA as the enemy that morning.
Overriding FAA systems would be the most effective way to ensure the attacks
were successful," FTW reported. "To do this, the FAA needed an evolution of
PROMIS software installed on their systems and Ptech was just that; the White House
and Secret Service had the same software on their systems –
likely a superior modified version capable of 'surveillance and intervention' systems."

But did the U.S. government unwittingly load software capable of
"surveillance and intervention" operations and produced by a company linked to terrorism
onto its most sensitive computer networks, or was Ptech simply a Mossad "cutout" company?

Oussama Ziade, a Lebanese Muslim immigrant who came to the U.S. in 1985,
founded Ptech in 1994. But the company's original manager of marketing and
information systems was Michael S. Goff, whose PR firm, Goff Communications, currently
represents Guardium, a Mossad-linked software company.

And Goff comes from a well-to-do line of Jewish Masons who have belonged to
Worcester's Commonwealth Lodge 600 of B'nai Brith for decades. So, why would
a recently graduated Juris Doctor in Law leave a promising law career to join forces
with a Lebanese Muslim's upstart company sponsored with dodgy funders in Saudi Arabia?

"As information systems manager [for Ptech], Michael handled design, deployment
and management of its Windows and Macintosh, data, and voice networks,"
Goff's website says. "Michael also performed employee training and handled
all procurement for software, systems and peripherals."

AFP asked Goff, who left the Worcester law firm of Seder & Chandler in 1994,
how he wound up working at Ptech. "Through a temp agency," Goff said. Asked for
the name of the agency, Goff said he could not remember.

Could it be Mossad Temps, or maybe Sayan Placement Agency?

Goff, the original marketing manager for Ptech software, said he did not know who had
written the code that Ptech sold to many government agencies. Is this believable?

Goff leaves a legal practice in his home town to take a job, through a temp agency,
with a Lebanese Muslim immigrant who is selling software, and he doesn't know
who even wrote the code?

AFP contacted the government agencies that reportedly have Ptech software
on their computers, and IBM, to ask if they could identify who had written
the source code of the Ptech software.

By press time, only Lt. Commander Ron Steiner of the U.S. Navy's Naval Network Warfare
Command had responded. Steiner said he had checked with an analyst and been told that
none of the Ptech software has been approved for the Navy's enterprise networks.

Finis

Photo: David Rockefeller, who built the World Trade Center, with Gov. George Pataki,
Mayor Bloomberg, and the Mossad "sayan" Ronald Lauder
(http://www.rumormillnews.com/pix/pic68985.jpg)
http://www.rumormillnews.com/cgi-bin/archive.cgi?read=68985 (http://www.rumormillnews.com/cgi-bin/archive.cgi?read=68985)
http://www.tbrnews.org/Archives/a048.htm (http://www.tbrnews.org/Archives/a048.htm)

ซึ่งได้รับการเปิดเผยอย่างมีน้ำหนักโดยอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรสหรัฐฯ เอง หรือความรับรู้ของ
หน่วยงานสืบราชการลับสหรัฐฯ "ซีไอเอ" ที่ล่วงรู้แผนการวินาศกรรมล่วงหน้าแต่ปราศจากการแจ้งเตือนใดๆ
ต่อประชาชนชาวสหรัฐฯ ฯลฯ

แต่ท้ายที่สุด ผลของการก่อวินาศกรรมในสหรัฐฯ ครั้งนี้ก็ถูกนำมาใช้เป็น "ข้ออ้าง" หรือ "จุดเริ่มต้น" ในการ
"ประกาศสงครามกับการก่อการร้าย" ของสหรัฐเอมริกา จนทำให้ผู้นำเยอรมนีอย่างนาย "แกรฮาร์ด ชโรเดอร์"
เอ่ยวาทะว่า "วันที่ 11 กันยายน 2001 คือ วันเปลี่ยนแปลงโลก"

ก่อนหน้าจะเกิดเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 เป็นที่ทราบกันดีว่า เค้าลางความเคลื่อนไหวทางการทหารของ
รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ได้ปรากฏให้เห็นอย่างกว้างขวางชัดเจนตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 2001 ไม่ว่าจะเป็นข้อเสนอของ
"บริษัท แรนด์" (http://en.wikipedia.org/wiki/RAND) บริษัทรับจ้างศึกษาปัญหาทางยุทธศาสตร์ให้กับรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งได้ข้อสรุปเสนอต่อ
รัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2001 ให้สหรัฐฯ หันมาวางน้ำหนักยุทธศาสตร์ความมั่นคง
ของตัวเองเอาไว้ในเขตเอเชียและแปซิฟิคเป็นหลัก แจ้งเตือนถึงการขยายตัวของอำนาจทางทหารในประเทศ
สาธารณรัฐประชาชนจีน รวมทั้งความเปราะบางของความขัดแย้งกรณี "จีน-ไต้หวัน" เสนอให้ย้ายฐานทัพสหรัฐฯ
ไม่ว่าในส่วนกองทัพอากาศ, กองทัพเรือ มาอยู่ที่เกาะกวม เพื่อประโยชน์ในการเคลื่อนย้ายกำลังหาทางเปลี่ยน
ฟิลิปปินส์ ให้กลายเป็นฐานรองรับสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารครั้งใหม่ เสนอให้ขยายฐานทัพอากาศโอกินาวา
ในญี่ปุ่นออกไปสู่เกาะริวกิว ฯลฯ

ที่ปรึกษาคนสนิทของรัฐมนตรีกลาโหม "โดนัลด์ รัมส์เฟล"
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/17/Rumsfeld1.jpg/200px-Rumsfeld1.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Donald_Rumsfeld)
นาย "แอนดรูว์ ดับเบิ้ลยู มาร์แชล"
(http://www.wired.com/wired/archive/11.02/images/FF_marshall_116_1.jpg) (http://www.sourcewatch.org/index.php?title=Andrew_Marshall)
ได้เริ่มร่างแผนการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การทหาร โดยมุ่งหมายจะทำให้ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก อันถือว่า
เป็นเขตเป้าหมายสำคัญที่สุดในการวางแผนทางทหารเกิดการเปลี่ยนแปลงในแบบ "อย่างถึงรากถึงโคน"

เจ้าหน้าที่เพนตากอนให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ในช่วงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2001 ว่า
"เรากำลังมีการยุทธ์เพื่อแย่งชิงอิทธิพลในเอเชีย" ในขณะที่ พลเอก คอลิน เพาเวลล์
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/22/Colin_Powell_official_Secretary_of_State_photo.jpg/200px-Colin_Powell_official_Secretary_of_State_photo.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Colin_Powell)
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศว่า "เราขอยืนยันว่าสหรัฐฯ นั้นเป็นชาติแปซิฟิกและเป็นชาติแปซิฟิก
แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว และก็จะยังคงเกี่ยวข้องอยู่ในภูมิภาคนี้ทั้งทางการเมือง การทูต และด้วยการมี
กำลังทหารของเราด้วย"


"จอร์จ อาร์ เปอร์โควิค" (http://www.sourcewatch.org/index.php?title=George_Perkovich) ผู้เชี่ยวชาญด้านกองกำลังแห่งสถาบัน ดับเบิ้ลยู อัลตัน โจนส์ ฟาวน์เดชั่น
ได้อธิบายถึงข่าวที่รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียม "ยกเลิกการบอยคอตอินเดีย" ก่อนหน้าเหตุการณ์ 11 กันยายน
ไม่กี่เดือนว่า "อันที่จริงเราไม่ได้แคร์อินเดียในฐานะที่เป็นประเทศอินเดียสักเท่าไหร่ แต่เราแคร์ในฐานะ
ที่มีความใกล้ชิดกับจีน"

"ดร. ฉี เซี่ยง หนี" คณบดีภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาวิทยาลัย "ฟูดาน" ของจีน และผู้อำนวยการ
ศุนย์อเมริกาศึกษาซึ่งเดินทางไปบรรยายในการสัมนาเรื่อง "ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ" ที่กรุงวอชิงตันก่อนหน้า
เกิดเหตุการณ์ 11 กันยายน หลายเดือน ได้เคยกล่าวเตือนว่า "การที่สหรัฐอเมริกาส่งกำลังทหาร 500 คน
เข้าไปในประเทศเอเชียกลางอย่างคาซัคสถาน ทำให้เกิดการตีความการกระทำของอเมริกาในทัศนะของจีน
ในแง่ไม่ดีนัก หรือทำให้ความเชื่อในเรื่องที่ว่าสหรัฐฯ ฝักใฝ่ต่อความคิดที่จะเป็นมหาอำนาจรายเดียว
และพยายามสร้างลัทธิครองความเป็นเจ้า เพื่อปิดล้อมจีนมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น"

เหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 จะมีเบื้องหลังเป็นเช่นไรก็แล้วแต่ แต่ภายหลังจากที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว
ยุทธศาสตร์การเมืองและการทหารของสหรัฐอเมริกา ที่วางเอาไว้ก่อนเหตุการณ์ 11 กันยายนจะเกิดขึ้น
ก็ถูกทำให้เบ็ดเสร็จสมบูรณ์ตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้วยการนำเอาเหตุการณ์ 11 กันยายนมาใช้เป็น
"ข้ออ้าง" ด้วยกันทั้งสิ้น

โลกภายหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน จึงกลายเป็นโลกที่ตกอยู่ภายใต้แผนทางยุทธศาสตร์ของประเทศ
ผู้นำทุนนิยมโลก ซึ่งผงาดขึ้นมาเป็น "มหาอำนาจเดียว" ในโลกยุคนี้ จนความยิ่งใหญ่ของอเมริกาถูกนำ
ไปเปรียบเทียบกับความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิที่ทะเยอทะยานอยากจะปกครองโลกทั้งโลก หรือเชื่อว่า
ศูนย์กลางของโลกอยู่ที่จุดศูนย์กลางในจักรวรรดิของตัวเอง นั่นก็คือ "จักรวรรดิโรมัน" ในยุคอดีต
อเมริกาได้กลายเป็น "จักรวรรดิโรมันยุคใหม่" ที่อาจจะแตกต่างไปจากยุคอดีตตรงที่ว่า
ความยิ่งใหญ่ของมันอาจจะมากกว่าในยุคอดีตหลายต่อหลายเท่า


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 01, 2006, 10:12:58 AM
ผมว่า การเมืองระหว่างประเทศ

1. ไม่มีความเป็นกลาง ที่แท้จริง
2. ไม่มีความยุติธรรม ที่แท้จริง
3. ไม่มีบัญชีสมดุล ที่แท้จริง

ดังนั้น เพื่อผลประโยชน์ของชาติ

1. ไม่มีใครอยากเป็นกลาง จริงๆ
2. ไม่มีใครอยากยุติธรรมกับทุกฝ่าย จริงๆ
3. ไม่มีใครอยากจ่ายบัญชีสมดุล จริงๆ

ดังนั้น ความเป็นกลาง ความยุติธรรม บัญชีสมดุล ใช้คุยกันมันๆ ในฐานะบุคคลที่สาม แต่ในฐานะผู้เกี่ยวข้องความเห็นอาจต่างออกไป

เช่น หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

ท่านอยากให้ประเทศไทยยึดมั่นตกเป็นฝ่ายแพ้สงครามเพราะเหตุผลบางอย่าง หรือพยายามเลือกใช้เหตุผลอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงสถานภาพผู้แพ้ เ่ช่น ข้อกฎหมายตามที่ มรว0 เสนีย์ ปราโมช ท่านใช้ และการพิพากษาจอมพล ป.

คำอังกฤษว่า My country, right or wrong ! - "จะผิดจะถูกก็ชาติของข้า"



หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 01, 2006, 01:27:19 PM
ผมว่า การเมืองระหว่างประเทศ

1. ไม่มีความเป็นกลาง ที่แท้จริง
2. ไม่มีความยุติธรรม ที่แท้จริง
3. ไม่มีบัญชีสมดุล ที่แท้จริง

ดังนั้น เพื่อผลประโยชน์ของชาติ

1. ไม่มีใครอยากเป็นกลาง จริงๆ
2. ไม่มีใครอยากยุติธรรมกับทุกฝ่าย จริงๆ
3. ไม่มีใครอยากจ่ายบัญชีสมดุล จริงๆ

ดังนั้น ความเป็นกลาง ความยุติธรรม บัญชีสมดุล ใช้คุยกันมันๆ ในฐานะบุคคลที่สาม แต่ในฐานะผู้เกี่ยวข้องความเห็นอาจต่างออกไป

เช่น หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

ท่านอยากให้ประเทศไทยยึดมั่นตกเป็นฝ่ายแพ้สงครามเพราะเหตุผลบางอย่าง หรือพยายามเลือกใช้เหตุผลอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงสถานภาพผู้แพ้ เ่ช่น ข้อกฎหมายตามที่ มรว0 เสนีย์ ปราโมช ท่านใช้ และการพิพากษาจอมพล ป.

คำอังกฤษว่า My country, right or wrong ! - "จะผิดจะถูกก็ชาติของข้า"



ปัจจุบันเมืองไทยอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ระหว่างชาติมหาอำนาจ
หรือกลุ่มศาสนาต่างๆ
ผู้นำของไทยควรจะคิดหาทางควบคุมความสมดุลของการเมืองระหว่างประเทศ
ถ้าผู้นำเอียงเข้าข้างมหาอำนาจฝ่ายใดมากเกินไปก็จะทำเกิดการชักศึกเข้าบ้าน
และควรยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นหลักไม่ใช่ของตนเองหรือองค์กรของตนเองเท่านั้น
ทำให้ไทยยืนอยู่ได้ในสังคมโลกโดยไม่ล่มสลายไปก่อนจากความขัดแย้งทั้งหลาย
ที่จะถูกดึงเข้ามาทำให้ไทยกลายเป็นสนามรบจริงๆ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 01, 2006, 02:20:26 PM
ฮ่า ฮ่า ตัวอย่างชัดๆ ผมว่า จม. ถึงท่านบู๊ดที่เคารพเป็นตัวอย่างของการทำลาย ผลประโยชน์/เกียรติภูมิ/ความน่าเชื่อถือ ของประเทศอย่างรุนแรง


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 01, 2006, 05:12:19 PM
โรมันยุคใหม่ จักรวรรดิที่ไร้ผู้ต่อต้าน...???

เหตุการณ์ 11 กันยายน ได้ถูกนำไปใช้เพื่อเป็นฉากทำสงครามกับอัฟกานิสถานเป็นอันดับแรกจากเดิม
ที่กำลังทหารของอเมริกาแค่ 500 คนในประเทศเอเชียกลางอย่างคาซัคสถาน ก็ได้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญ
ด้านอเมริกาในจีนแสดงความกระวนกระวายใจถึงการปิดล้อมจีน และการสร้างลัทธิครองความเป็นเจ้า
ขึ้นมาในโลก

แต่ภายหลังจากที่กองทัพอเมริกาเอาชนะอัฟกานิสถานได้ไม่ยาก สูญเสียกำลังทหารไปไม่ถึงหลักร้อย
กำลังทหารของสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกก็ถูกจัดวางเอาไว้ในจุดยุทธศาสตร์ของเอเชียกลางคือ
ในอัฟกานิสถานเป็นจำนวนถึง 55,000 คน

นอกจากนั้น พื้นที่โดยรอบไม่ว่าจะเป็นเติร์กเมนิสถาน, อุซเบกิสถาน, ทาจิกิสถาน, คาซัคสถาน
ตลอดจน จอร์เจีย ที่อยู่ติดกับรัสเซีย ต่างเต็มไปด้วย "ที่ปรึกษาทางทหาร" ของอเมริกันที่เข้าไป
เพ่นพ่านอยู่ในทุกประเทศ พร้อมกับการจัดสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารไว้อย่างเต็มที่

บริษัทน้ำมันและก๊าซ "ยูโนแคล" ของสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในการลงนามกับรัฐบาลเติร์กเมนิสถาน
รัฐบาลอัฟกานิสถาน ที่สหรัฐฯ สถาปนาขึ้นมาเอง และรัฐบาลปากีสถานในการวางท่อก๊าซมูลค่า
2,500 ล้านดอลลาร์ ลำเลียงก๊าซจากเติร์กเมนิสถานผ่านอัฟกานิสถานมาออกทะเลที่ทะเลอาหรับ

และอีกไม่นานนัก บริษัทยูโนแคล บริษัทโทเทิลฟินาเอลฟ์ บริษัทบีพี สเตทออยลส์ ฯลฯ
ก็ประสบความสำเร็จในการเกลี้ยกล่อมให้รัฐบาลประเทศอาเซอร์ไบจาน จอรเจีย ตุรกี
สนับสนุนโครงการวางท่อขนส่งน้ำมันจากคาซัคสถาน อาร์เซอร์ไบจาน ในทะเลสาบแคสเปียน
ผ่านจอร์เจีย ไปออกตุรกีในชื่อว่า "โครงการบากู-ทะบิลิซี-เซย์ฮัน" เป็นโครงการลงทุนมูลค่า
2,950 ล้านดอลลาร์ ขจัดการผูกขาดการลำเลียงน้ำมันผ่านท่อของรัสเซียที่เคยยึดกุมการขนส่ง
2 ใน 3 ของพื้นที่ในย่านนี้

เหตุการณ์ 11 กันยายน ได้ถูกนำมาอ้างในการขนส่งกำลังทหารสหรัฐฯ เข้าไปในฟิลิปปินส์
จุดยุทธศาสตร์สำคัญในทะเลจีนใต้ เพิ่มจำนวนจากหลักสิบเป็นร้อยและเป็นพัน จนทำให้ชาวฟิลิปปินส์
เกิดความขัดแย้งภายในประเทศถึงระดับรองประธานาธิบดีต้องลาออกด้วยความไม่แน่ใจว่าจะมีการ
"รื้อฟิ้นฐานทัพอเมริกัน" ในฟิลิปปินส์ขึ้นมาใหม่หรือเปล่า?

ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีเพิ่มขึ้นภายหลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่า
"เกาหลีเหนือ" เป็นหนึ่งใน "แกนอักษะแห่งปีศาจ" ไม่ว่าจะโดยเหตุผลกลใดที่ทำให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
กล่าวหาเกาหลีเหนือเช่นนั้น แต่ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีนั้นมีผลไม่น้อยที่ทำให้บทบาททางทหาร
ของสหรัฐฯ ในคาบสมุทรเกาหลีสามารถอ้างถึงความจำเป็นในการคงอยู่ต่อไปได้อีกยาวนาน หรือแม้กระทั่ง
สามารถรองรับแนวความคิดทางยุทธศาสตร์ในการขยายฐานทัพเพิ่มขึ้นในอาณาบริเวณ โอกินาวา เช่นกัน

เยเมน โซมาเลีย ซูดาน ซึ่งถูกกล่าวหาอย่างชัดเจนว่าเป็น "แหล่งพักพิงของผู้ก่อการร้าย" ที่ทำการก่อวินาศกรรม
ในสหรัฐฯ นั้น เป็นประเทศที่อยู่ในอาณาบริเวณ "ทะเลแดง" ซึ่งเชื่อมโยงกับเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญของโลก
บริเวณคลองสุเอซ บทบาททางทหารของอเมริกันในย่านนี้ไม่ว่าจะเพิ่มขึ้นเพื่อไล่ล่าผู้ก่อการร้ายหรือเพื่ออะไรก็ตาม
มันได้ทำให้ยุทธศาสตร์การเมือง-การทหารของอเมริกาเข้มแข็งยิ่งขึ้น

สำหรับอินเดีย นอกจากจะได้รับการ "ยกเลิกการบอยคอต" หลังเหตุการณ์ 11 กันยายนผ่านไปแล้ว
สหรัฐฯ ได้รื้อฟื้นการ "ซ้อมรบร่วมครั้งใหม่" หลังจากที่ได้เลิกราไปนานถึง 40 ปี

และด้วยการอาศัย "เหตุการณ์ 11 กันยายน" เป็นข้ออ้าง รัฐบาลอเมริกันได้ประกาศฉีกสนธิสัญญาต่อต้าน
ขีปนาวุธเอบีเอ็ม ระหว่างสหรัฐฯ กับ รัสเซีย ปี ค.ศ. 1972 พร้อมกับยังคงพัฒนา "โครงการป้องกันขีปนาวุธ
ทางอวกาศ" ต่อไป จนกลายเป็นประเทศเดียวในโลกที่สามารถป้องกันตัวเองจากการถูกโจมตีด้วย
อาวุธนิวเคลียร์หรือเปลี่ยนดุลอำนาจของโลกในยุคสงครามเย็นให้สหรัฐฯ กลายเป็น "มหาอำนาจขั้วเดียว"
ในโลกนี้ ไปแล้ว

รัฐบาลอเมริกันยังใช้เหตุการณ์ 11 กันยายน เป็นข้ออ้างในการประกาศนโยบายชนิดใหม่ที่อยู่เหนือ
ประเพณีปฏิบัติดั้งเดิมของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เคยยอมรับกันมานานไม่ต่ำกว่า 400 ปี นั่นก็คือ
สหรัฐฯ จะ "ชิงลงมือก่อน" (พรีเอ็มทีฟ สไตรค์) ต่อประเทศใดก็ได้ที่สหรัฐฯ ตั้งข้อสงสัยว่าจะคุกคาม
ประเทศสหรัฐฯหรือผลประโยชน์ของสหรัฐฯ


หลังสงคราม "อ่าวเปอร์เซีย" ในปี ค.ศ. 1990 พื้นที่ของหลายประเทศในตะวันออกกลาง ได้กลายเป็น
ฐานอำนวยความสะดวกทางทหารให้กับกองทัพอเมริกัน จนกระทั่งในปัจจุบันนี้กำลังทหารอเมริกัน
ก็ยังคงถูกวางเอาไว้ในประเทศแหล่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ ซาอุดิอาระเบีย จำนวนนับแสนคน

หลัง "สงครามคาบสมุทรบัลข่าน" ในช่วงสิ้นสุดศตวรรษที่ 20 กำลังทหารของสหรัฐฯ และพันธมิตรนาโต
ขยายตัวกลืนกินแนวป้องกันเดิมของฝ่ายตรงข้ามในยุคสงครามเย็นทั่วทั้งยุโรปตะวันออก จนไปจ่อติดกับ
พื้นที่ประเทศรัสเซีย

และในระหว่างเริ่มต้นการประกาศสงครามกับการก่อการร้าย "เขตเอเชีย-แปซิฟิก" ที่ถูกจัดวางเอาไว้เป็น
"จุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สุด" ของสหรัฐฯ ก็มีกำลังทหารสหรัฐฯ ไม่น้อยกว่า 300,000 นาย กระจายอยู่
ในฐานทัพในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อลาสก้า ฮาวาย สร้างอำนาจทางทหารครอบคลุมพื้นที่ไม่น้อยกว่า
105 ล้านตารางไมล์ คาบเกี่ยวพื้นที่ถึง 43 ประเทศ

แหล่งน้ำมันแทบทุกพื้นที่ในโลกเต็มไปด้วยกำลังทหารอเมริกัน และฐานอำนวยความสะดวกทางทหาร
แผ่อิทธิพลครอบคลุมได้ทุกแหล่ง

เส้นทางคมนาคมหลักของโลก ตั้งแต่อ่าวเม็กซิโก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลแดง ไปยันช่องแคบมะละกา
ต่างตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางทหารของสหรัฐฯ แทบทั้งสิ้น

แม้กระทั่งใน "พื้นที่อวกาศ" ที่อยู่สูงขึ้นไปถึง 50,000 ไมล์จากโลกนี้ และไม่เคยมีใครเป็นเจ้าของ
มันก็ได้ถูกแปรสภาพให้กลายเป็น "มิติที่ 4" ในการทำสงครามของกองทัพสหรัฐฯ ไปแล้ว โดยไม่ใช่เป็นแค่
"พื้นที่ป้องกันตัวเอง" ในอวกาศเท่านั้น แต่ยังเป็นอาณาเขตที่สามารถใช้ควบคุมประเทศต่างๆ ในโลกหรือ
ปฏิเสธการใช้ประโยชน์จากอวกาศของประเทศต่างๆ ได้อีกด้วย

ในยุคที่ "จักรวรรดิโรมัน" เรื่องอำนาจ กวีชาวโรมผู้หนึ่งคือ "เวอร์จิล" ได้เคยแต่งบทกวีสรรเสริญความยิ่งใหญ่
และแนวทางของจักรวรรดิโรมันเมื่อครั้งอดีตเอาไว้ใน "โคลงเอเนียส" ท่อนหนึ่งมีใจความว่า

"โรม...เจ้าคือสิ่งเดียวเท่านั้น
ด้วยอำนาจอันน่าเกรงขามของเจ้า...
ที่จะปกครองมนุษยชาติและทำให้โลกอยู่ภายใต้อำนาจ
กำหนดสันติภาพและสงครามด้วยวิธีการอันยิ่งใหญ่ของเจ้า
ปราบพยศผู้เย่อหยิ่งและถอดถอนพันธนาการออกจากทาส...
ทั้งหมดนี้คือ ศิลปะแห่งจักรวรรดิ และเจ้าเท่านั้น...ที่ทรงคุณค่าจะทำได้..."


แต่ใน "จักรวรรดิโรมันยุคใหม่" ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ซึ่งคงแทบไม่มีหัวทางกวีหรือศิลปะใดๆ
แม้แต่น้อย หรืออาจจะเป็นเพราะความเชื่อมั่นในความยิ่งใหญ่ที่เหนือยิ่งกว่าโรมในยุคอดีตก็แล้วแต่
เขาไม่ได้พยายามปรุงแต่งถ้อยคำให้สละสลวยและเยิ่นเย้ออย่างที่เวอร์จิลเคยกระทำมา

ภายหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 เป็นต้นมา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ใช้คำพูดง่ายๆ สั้นๆ และหยาบๆ
ด้วยการประกาศว่า

"ใครก็ตาม...ที่ไม่ได้ยืนอยู่ข้างสหรัฐฯ...ผู้นั้นคือ ผู้ก่อการร้ายและปีศาจ...
ซึ่งจะต้องถูกโดดเดี่ยวหรือไม่ก็ต้องถูกขจัดออกไป..."


(ความเห็นส่วนตัวว่า นโยบายแบบนี้รู้สึกคุ้นๆ บ้างไหมว่าเหมือนใครบางคนที่เป็นลิ่วล้อให้สหรัฐฯ
ด้วยการประกาศว่า ใครที่เลือกก็จะช่วยก่อน ใครไม่ได้เลือกก็จะช่วยทีหลัง)


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 02, 2006, 09:59:38 PM
พ่อค้าและสงคราม

ในภาพยนตร์อเมริกันเรื่องหนึ่งเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วชื่อเรื่องว่า "ผู้พิพากษา รอยส์ บีน"
พยายามเล่าตำนานวิถีทางของความเป็นอเมริกันที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก "คาวบอย" ผู้ห้าวหาญ
ปรากฏตัวขึ้นในดินแดนป่าเถื่อนในแถบชายแดนติดต่อกับประเทศเม็กซิโก อาศัยความกล้าบ้าบิ่น
ความหลงใหลต่อความฝันและจินตนาการไม่ผิดอะไรกับความหลงใหลในอิสตรีรายหนึ่ง
สถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็น "ผู้พิพากษา" ในดินแดนรกร้าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อแผ่นดินดังกล่าวกลายเป็น
สิ่งที่มีค่ามหาศาลด้วยทรัพยากรน้ำมันที่ซ่อนอยู่ใต้ดิน เรื่องราวของคาวบอยที่แต่งตั้งตัวเองเป็น
ผู้พิพากษาก็กลายเป็นเพียง "ตำนาน" วิถีทางความเป็นอเมริกันยุคใหม่ได้เริ่มเข้าสู่ "โลกแห่งความจริง"
ภายใต้การยึดครองของ "พ่อค้า" และ "นักกฏหมาย" ไปแทนที่

ถึงแม้นว่าความเจริญเติบโตของชาวยุโรปในทวีปอเมริกาจะเริ่มต้นมาจากซากศพและกองกระดูกของ
ชาวอินเดียนแดงจำนวนมหาศาลเพียงไรก็ตาม แต่ "สีสันที่สดใส" ในจุดเริ่มต้นของ "ความเป็นอเมริกัน"
ในยุคแรกๆ ยังถูกประดับตกแต่งไปด้วยเรื่องราวของผู้อพยพที่ "รักการผจญภัย" นักเผชิญโชคที่มีหัวใจ
"ใฝ่หาเสรีภาพ" นักการศาสนาที่เบื่อหน่ายกับ "คริสเตียนคาบคัมภีร์" หรือกระทั่งพ่อค้าที่ไม่พึงพอใจต่อ
การสมคบกันระหว่างกษัตริย์ในยุโรปกับพ่อค้าผูกขาด มุ่งแสวงหาระบบการค้าที่มีรากฐานมาจาก
"การแข่งขันโดยเสรี"

"รัฐธรรมนูญอเมริกัน" ที่เขียนขึ้นในยุคแรกภายหลังได้รับอิสรภาพจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษนั้น
ว่ากันว่ามันมีความไพเราะ ลึกซึ้ง ไม่ต่างอะไรไปจาก "บทกวี" ชิ้นเยี่ยม

แต่ในเวลาอีกไม่นานนัก สิ่งที่เต็มไปด้วยสีสันสดใสเหล่านี้ก็กลายสภาพเป็นเพียง "ตำนาน" ที่ค่อยๆ
เลือนหายไป เมื่อชาวอเมริกันด้วยกันเองหันมาทำ "สงคราม" ระหว่างกันและกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
อันเป็นที่รู้จักกันในนาม "สงครามกลางเมือง" ในช่วงปี ค.ศ. 1861-1865 นั่นเอง

ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะหรือฝ่ายแพ้ด้วยสาเหตุอะไรก็ตามนักประวัติศาสตร์อเมริกันหลายรายมีความเชื่อว่า
ภายใต้สภาพความอ่อนแอของชาวอเมริกันอันเนื่องมาจากสงครามครั้งนี้ ได้มีผลอย่างร้ายแรงในการผลักดัน
ให้กลุ่ม "พ่อค้าผูกขาด" ที่อาศัยความร่วมมือจากนักการเมืองและนักกฏหมายผงาดขึ้นมาสร้าง "จุดเปลี่ยน"
ที่สำคัญที่สุดต่อวิถีทางของประเทศอเมริกานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา "เดวิด ซี คอร์เตน" ได้บรรยาย
ภาพเหตุการณ์ช่วงนั้นเอาไว้ว่า

"สงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกาได้ก่อให้เกิดจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับสิทธิอำนาจของบรรษัท...
การต่อต้านการเกณฑ์ทหารได้ปะทุเป็นการจลาจลที่รุนแรง สร้างความสั่นสะเทือนให้กับทุกเมือง
ทั่วทั้งประเทศ ทำให้ระบบการเมืองกระจัดกระจาย เมื่อมีผลกำไรมหาศาลเกิดขึ้นจากการทำสัญญา
ซื้อยุทธปัจจัย กลุ่มอุตสาหกรรมจึงใช้โอกาสจากสภาพความระส่ำระสายและการโกงกินทางการเมือง
ที่แพร่กระจายอยู่ทั่วไป โดยอาจเรียกได้ว่า เป็นการซื้อกฏหมาย ทำให้พวกเขาได้รับเงินและที่ดิน
เป็นจำนวนมากจากการขยายระบบรถไฟในตะวันตกและยิ่งมีกำไรมากยิ่งขึ้นก็ยิ่งทำให้กลุ่มอุตสาหกรรม
ที่รวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น ยึดกุมรัฐบาลเพื่อหาผลประโยชน์ให้มากขึ้นไปอีก เมื่อได้เห็นสิ่งต่างๆ
คลี่คลายขยายตัวออกมาเช่นนั้น ประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น ได้กล่าวไว้ก่อนการเสียชีวิตว่า
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/44/Abraham_Lincoln_head_on_shoulders_photo_portrait.jpg/200px-Abraham_Lincoln_head_on_shoulders_photo_portrait.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Abraham_lincoln)
บรรษัทได้ครองประเทศไปแล้ว ศักราชของการโกงกินในระดับสูงจะติดตามมาอำนาจเงินจะสามารถ
มีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่างไปอีกนาน โดยอาศัยความหลงผิดของประชาชน จนกระทั่งความมั่งคั่ง
ถูกสะสมในมือคนจำนวนน้อย และสาธารณรัฐจะถูกทำลายลงในที่สุด"

(ความเห็นส่วนตัวว่า สถานการณ์คล้ายกับไทยในปัจจุบันนี้)

จินตนาการถึง "เสรีภาพในการแข่งขันกันทางการค้า" ของนักเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมอย่าง "อาดัม สมิธ"
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/0/0a/AdamSmith.jpg/200px-AdamSmith.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Adam_smith)
พังทลายลงไปในเวลารวดเร็ว เมื่อความเติบโตของกลุ่มพ่อค้าที่ผงาดตัวขึ้นมาหลังสงครามได้พัฒนา
ตัวเองจนกลายเป็น "กลุ่มผูกขาด" ที่มีอำนาจและมีความชาญฉลาดยิ่งกว่า "การสมคบกันระหว่าง
กษัตริย์กับพ่อค้าผูกขาดในยุโรป" ในยุคอดีตเสียอีก แทนที่จะมีการ "แข่งขัน" ระหว่างกันและกัน

บรรษัทธุรกิจอันทรงอำนาจของ "เจพี มอร์แกน"
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/e/e9/JohnPierpontMorgan.jpg/180px-JohnPierpontMorgan.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Jp_morgan)
กับ "จอห์น ดี ร็อกกี้เฟลเลอร์"
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/0/00/John_d_rockefeller.jpg/220px-John_d_rockefeller.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/John_D._Rockefeller)
ก็สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับอเมริกา ด้วยการหันมาร่วมมือกันจัดตั้ง
"บรรษัทหลักทรัพย์ภาคเหนือแห่งนครนิวเจอร์ซี" ในปี ค.ศ. 1901
รวมกิจการธนาคาร เหล็กกล้า รถไฟ ระบบขนส่งในเมือง คมนาคม พาณิชย์นาวี ประกันภัย
สาธารณูปการ ไฟฟ้า ยาง กระดาษ โรงงานน้ำตาล การผลิตทองแดงและอุตสาหกรรมประกอบอื่นๆ
ของโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมหลัก จำนวนประมาณ 122 บรรษัทเข้าด้วยกัน กลายเป็นบรรษัท
ที่มีทรัพย์สินประมาณ 22.2 พันล้านดอลลาร์สหรัญฯ หรือมีจำนวนมากกว่ามูลค่าของทรัพย์สินต่างๆ
ใน 13 มลรัฐภาคใต้ของอเมริกาถึง 2 เท่า
(ความเห็นส่วนตัวว่า กลุ่มทุนในระบอบการเมืองไทยปัจจุบันก็มีเป้าหมายที่คล้ายกันเพื่อทำการผูกขาด)

ในขณะที่ความเติบโตของกลุ่มพ่อค้าผูกขาดผงาดขึ้นมาควบคุมอเมริกาทั้งประเทศ ว่ากันว่าในช่วงปลาย
ศตวรรษที่ 19 ประชากรชาวอเมริกันประมาณ 11 ล้านคน จาก 12.5 ล้านครอบครัว ยังชีพอยู่ด้วย
รายได้เพียง 380 ดอลลาร์ต่อปี

แรงกดดันจากการเอารัดเอาเปรียบทำให้เกิดการดิ้นรนหาทางต่อรองกับชนชั้นนำทางธุรกิจ
จนทำให้ตัวเลขสมาชิกสหภาพแรงงานในอเมริกา ปี ค.ศ. 1897 ซึ่งมีจำนวนเพียงแค่ 44,700 คน
ขยายตัวเป็น 2,073,000 คน ในปี ค.ศ. 1904

แต่ความเจริญรุ่งเรืองของบรรดาพ่อค้าผูกขาดที่ควบคุมประเทศอเมริกามากขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่ได้จีรัง
ไปโดยตลอด ในขณะที่เงินทุนจำนวนมากในอเมริกาถูกปล่อยกู้ให้กับประเทศในยุโรปซึ่งกำลังดิ้นรน
จากพิษร้ายภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ไม่นานนัก วิกฤตการณ์ทุนนิยมโลกครั้งร้ายแรงที่สุด
ในประวัติศาสตร์ ก็ได้ระเบิดตัวออกมาในช่วงทศวรรษ 1920-1930 และมันส่งผลกระทบต่อความมั่งคั่ง
ของประเทศอเมริกาที่ได้กลายมาเป็น "ศูนย์กลางของทุนนิยมโลก" จนถือได้ว่าเป็นวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ
ที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นกับประวัติศาสตร์อเมริกา
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/5/54/Lange-MigrantMother02.jpg/250px-Lange-MigrantMother02.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Great_Depression)

ว่ากันว่า ในขณะที่ประธานาธิบดีอเมริกันในขณะนั้น นาย "เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์" กำลังมองภาพความรุ่งเรือง
ของเศรษฐกิจอเมริกาที่ยังยืนยงอยู่เพียงประเทศเดียว ในขณะที่ชาวยุโรปเต็มไปด้วยพิษบาดแผลจาก
สงครามโลกครั้งที่ 1 ถึงขั้นว่ามันเป็น "พรจากพระเจ้า" ที่จะทำให้ "คามยากจนหมดสิ้นไปจากประเทศของเรา"
แต่เพียงชั่วเวลาแค่ 1 เดือนหลังจากนั้น ในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1929 ตลาดหุ้นในนิวยอร์กที่เดิมเคยมีปริมาณ
การซื้อขายหุ้นวันละประมาณ 2-3 ล้านหุ้น ได้ถูกเทขายในชั่วเวลาวันเดียวจำนวนถึง 12.8 ล้านหุ้น
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/e/e1/Crowd_outside_nyse.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Wall_Street_Crash_of_1929)

เงินกู้จากอเมริกาที่ถูกปล่อยไปแสวงหาผลประโยชน์ในยุโรปถูกเรียกคืนอย่างเร่งรัด ส่งผลให้วิกฤตการณ์
ลุกลามแผ่ไปทั่วยุโรป ธนาคารเวียนนาในออสเตรียซึ่งมีทรัพย์สินถึง 2 ใน 3 ของประเทศหมดความสามารถ
ในการชำระหนี้ ต้องประกาศล้มละลาย ธนาคารยักษ์ใหญ่ 1 ใน 4 ของเยอรมนีประกาศล้มละลายตามมาติดๆ
วิกฤตการณ์ลุกลามไปยังประเทศอังกฤษ ละตินอเมริกา โอเชียเนีย ซึ่งอาศัยรายได้จากการส่งออกผลผลิต
การเกษตรและการค้าระหว่างประเทศลามต่อไปยังประเทศฝรั่งเศส

ตลอด 3 ปีเต็ม ตั้งแต่ปี 1929-1933 หุ้นของกลุ่มบริษัทเหล็กกล้าในอเมริกา ที่เคยมีราคาหุ้นละ 262 เหรียญสหรัฐฯ
ลดลงเหลือแค่ 22 เหรียญสหรัฐฯ หุ้นของกลุ่มทุนผูกขาดการผลิตรถยนต์อย่าง บริษัท เจเนอรัล มอเตอร์ จากเดิม
เคยราคา 173 เหรียญสหรัฐฯ ต่อหุ้น ลดเหลือราคาแค่ 8 เหรียญต่อหุ้น ธนาคารในอเมริกาถึง 5,000 แห่งปิดกิจการ

ในขณะที่กรรมกรในโรงงานว่างงานจำนวนมาก เกษตรกรล้มละลาย ถนนหนทางเต็มไปด้วยคนว่างงาน
สวมใส่เสื้อผ้าขาดๆ เนื้อตัวมอมแมม สีหน้าแสดงความหิวโหย ผลิตผลการเกษตรที่ถูกผลิตขึ้นมามากเกินไป
จนทำให้ระดับราคาตกต่ำ ถูกนำไปทำลาย "นมโค" นับเป็นตันๆ ถูกนำไปเททิ้งในแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ จนว่ากันว่า
ทำให้แม่น้ำเปลี่ยนเป็น "สีเงิน" ข้าวสาลี ข้าวโพด ถูกนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนถ่านหิน

ความยิ่งใหญ่ของอเมริกาที่ผงาดขึ้นมาแทนที่จักรวรรดิอื่นๆ ในยุโรป เกิดความปั่นป่วนแทบจะล่มสลาย
และมันส่งผลกระทบไปยังโลกทั้งโลกที่ถูกทำให้ "ขึ้นต่อ" ระบบการค้าอาณานิคมมานานกว่าศตวรรษ
การผลิตภาคอุตสาหกรรมของโลกหดตัวลงไปถึง 36 เปอร์เซ็นต์ การค้าของโลกหดตัวลงถึง 2 ใน 3
กรรมกรตกงานมีจำนวนไม่น้อยกว่า 30 ล้านคน ชาวนาหลายล้านคนล้มละลาย ธนาคารนับหมื่นแห่งปิดกิจการ

แต่ในขณะที่เส้นทางทุนนิยมที่นำพาจักรวรรดิเติบโตมาจนมีอำนาจแผ่กระจายไปทั่วโลกกำลังเข้าสู่ทางตัน
"สงคราม" ก็ถูกใช้เป็น "ทางออก" อีกครั้ง สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นติดตามสงครามโลกครั้งที่ 1
ในช่วงเวลาห่างกันกว่า 20 ปีเท่านั้น ได้กลับทำให้เกิด "จักรวรรดิใหม่" ที่ใหญ่โตและกลายเป็นจักรวรรดิ
ที่ไร้ผู้ต่อต้านในเวลาต่อมาจนได้
(ความเห็นส่วนตัวว่า ในปัจจุบันชาติมหาอำนาจมักจะก่อสงครามเมื่อมีสัญญาณว่าอาจจะเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจเสมอ)


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 03, 2006, 01:36:31 PM
วิกฤตการณ์ทุนนิยมกับเศรษฐศาสตร์สงคราม

ในทัศนะของนักเศรษฐศาสตร์จำนวนไม่น้อยเห็นว่า การคลี่คลายวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศ
ศูนย์กลางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกาในช่วงวิกฤตการณ์ทุนนิยมโลกปี ค.ศ. 1920-1930 นั้น
มีผลมาจากแนวความคิดของนักเศรษฐศาสตร์รายหนึ่งที่ชื่อ "จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์"
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/0/04/WhiteandKeynes.jpg/250px-WhiteandKeynes.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/John_Maynard_Keynes)
ซึ่งเสนอข้อชี้แนะในปี ค.ศ. 1936 ให้รัฐบาลเข้ามาแทรกแซงและจัดการกับสภาพอนาธิปไตย
ทางเศรษฐกิจด้วยตัวเองและหาทางผ่อนคลายแรงกดดันภายในสังคมทุนนิยมด้วยมาตรการนานาชนิด
ในแบบ "เปิดวาล์วลดความดัน" ให้ความขัดแย้งต่างๆ ลดระดับลงไป

การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการสร้างงานแบบแปลกๆ การวางแผนเศรษฐกิจอย่างมีระบบ การสร้างระบบ
ประกันสังคมและหลักประกันในชีวิตต่อผู้คนที่กำลังเผชิญกับ "ความตึงเครียดแห่งความศิวิไลซ์" ฯลฯ
กลายเป็น "สูตร" ชนิดหนึ่ง ที่ว่ากันว่ามันสามารถทำให้เส้นทางวิวัฒนาการอันเกิดจากแรงขับดันของ
"ความปรารถนาต้องการอันไม่สิ้นสุดของมนุษย์" สามารถก้าวต่อไปได้อีกเฮือกใหญ่

แต่อันที่จริงแล้ว เหตุที่สูตรที่ว่านี้ถูกนำไปใช้อย่างได้ผล ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า
เพราะมันถูกรองรับเอาไว้ด้วยสถานการณ์ "สงคราม" ที่ถูกจุดชนวนขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. 1939
จนกลายเป็น "สงครามโลกครั้งที่ 2" รวมทั้ง "สงครามเย็น" ที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ยุติลงไปหมาดๆ และมีความต่อเนื่องยาวนานมาไม่น้อยกว่า 40 ปี

แหล่งวัตถุดิบจำนวนมหาศาล ตลาดระบายสินค้าที่กว้างขวางแผ่กระจายทั่วโลก เทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด
เพราะแรงผลักดันจากสงครามจนกลายมาเป็นพื้นฐานของอุตสาหกรรมชนิดใหม่ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีผลต่อการ
"ผ่าทางตัน" จากวิกฤตการณ์ทุนนิยมโลกอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

"เดวิด ซี คอร์เตน" ได้กล่าวถึง "จุดเปลี่ยน" ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกันอีกครั้ง ซึ่งเริ่มต้นขึ้น
ในวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1939 หรือไม่ถึงสองสัปดาห์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดขึ้น

เขาได้บรรยายถึงการพบปะกันระหว่างตัวแทนของ "กลุ่มธุรกิจผูกขาด" ในสหรัฐฯ ซึ่งรวมตัว
ก่อตั้งองค์กรศึกษานโยบายต่างประเทศในนาม "สภาว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ" (CFR) (http://en.wikipedia.org/wiki/Council_on_Foreign_Relations)
อาทิ "นายวอลเตอร์ มัลลอรี่" ผู้อำนวยการซีเอฟอาร์ "นายแฮมิลตัน อาร์มสตรอง"
บรรณาธิการวารสารฟอเรนจ์ แอฟแฟร์ "จอร์จ เมสเซอร์สมิธ" รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศสหรัฐฯ
ในขณะนั้น ฯลฯ ที่นครวอชิงตัน พร้อมกับระดมทีมงานร่างบันทึกข้อเสนอ 682 รายการให้กับ
ประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี รูสเวลท์ ซึ่งเคยเป็นสมาชิกในสภา ซีเอฟอาร์

บันทึกข้อเสนอดังกล่าวถือได้ว่า นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายต่างประเทศของอเมริกา
จากการตั้งมั่นอยู่ในแปซิฟิก ตามแนวคิดของ "ลัทธิมอนโร" ไปสู่อาศัยการ "สงคราม" เป็นเครื่องมือ
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/2a/Jamesmonroe-npgallery.jpg/200px-Jamesmonroe-npgallery.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Monroe_Doctrine)
ในการขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจของกลุ่มทุนผูกขาดในอเมริกาไปสู่โลกทั้งโลกในเวลาต่อมาได้จนถึงบัดนี้

ในบันทึกรายการหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า "อี-บี 34" ได้ระบุถึงแนวทางที่จะผลักดันให้อเมริกาเข้าไปครอบครอง
"อำนาจทางเศรษฐกิจและการทหาร" เหนืออาณาบริเวณซึ่งใช้คำเรียกว่า "พื้นที่อันใหญ่โตมโหฬาร"
เพื่อให้พื้นที่เหล่านั้นถูกแปรสภาพเป็นแหล่งวัตถุดิบและตลาดระบายสินค้าแก่อุตสาหกรรมของชนชั้นนำ
ทางธุรกิจในสหรัฐฯ

เขตที่ถูกขนานนามว่า "พื้นที่อันมโหฬาร" นั้น นอกจากจะหมายถึงพื้นที่ของโลกตะวันตกทั้งหมด
ที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับฝ่ายเยอรมนีคู่สงครามแล้ว ยังหมายถึงพื้นที่อาณานิคมที่เคยตกอยู่ใต้
อิทธิพลของจักรวรรดินิยมยุโรปทั้งหลาย ไม่ว่าอินเดียตะวันออกของดัตช์ จีน ญี่ปุ่น และพื้นที่
ที่อิทธิพลของจักรวรรดินิยมอังกฤษเสื่อมโทรมลงจนไม่สามารถรักษาอิทธิพลเอาไว้ได้

บันทึกฉบับนี้ยังได้เสนอแนวทางให้ "จัดตั้งสถาบันการเงิน" เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนการลงทุนและ
รักษาค่าเงินตรา รวมทั้งการพัฒนาภูมิภาคที่ล้าหลังและด้อยพัฒนา ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้ง "องค์กรโลกบาล"
อย่าง "กองทุนการเงินระหว่างประเทศ" (ไอเอ็มเอฟ) (http://en.wikipedia.org/wiki/Imf) และ "ธนาคารโลก" (เวิลด์ แบงก์) (http://en.wikipedia.org/wiki/World_bank) ในเวลาต่อมานั่นเอง

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น ว่ากันว่า ส่งผลให้ "อุตสาหกรรมการบิน" ในสหรัฐอเมริกาพัฒนาไปอย่าง
ก้าวกระโดดผลพลอยได้จากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องบินรบจำนวนมาก ทำให้กิจการการบินของพลเรือน
เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1919 แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 "ผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมสงคราม"
ได้กลายเป็นรากฐานที่ทำให้เกิดการยกระดับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเครื่องคำนวณไฟฟ้า
การผลิตแสงเลเซอร์ วิทยาการพลังงานปรมาณู การพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเรือโทรคมนาคม ฯลฯ ของสหรัฐฯ
ก้าวไปไกลในระดับส่งผลให้ "รัฐแคลิฟอร์เนีย" อันเป็นศูนย์รวมของอุตสาหกรรมเหล่านี้ ขยายตัวจนกลายเป็น
รัฐที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 5 ของเศรษฐกิจโลกได้ในเวลาต่อมา

อุตสาหกรรมอาวุธซึ่งทำรายได้จำนวนมหาศาลโดยเฉพาะในช่วง 40 ปีของสงครามเย็น ที่ต่อเนื่องจาก
สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ "งบประมาณทางทหาร" ของประเทศต่างๆ ในโลกที่เคยอยู่ในระดับ 5 เปอร์เซ็นต์
7 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ประชาชาติในช่วงปี ค.ศ. 1914 ก้าวกระโดดกลายเป็น 15 เปอร์เซ็นต์ 20 เปอร์เซ็นต์
25 เปอร์เซ็นต์ หรือบางประเทศสูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ประชาชาติ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

การเผชิญหน้ากันระหว่าง "กลุ่มทุนผูกขาด" ที่ครอบครองประเทศสหรัฐอเมริกามากขึ้นเรื่อยๆ กับประชาชน
ชาวอเมริกันในยุคอดีต ได้ถูกคลี่คลายลงไปตามลำดับ ส่วนหนึ่งมันอาจจะมีผลมาจากแนวคิดในการพัฒนา
ระบบทุนนิยมแบบใหม่ของ "จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์" ก็จริงอยู่ แต่ส่วนใหญ่แล้วมันวางอยู่บนพื้นฐานของ
"การครอบครองโลก" หรือการขยายผลประโยชน์ของกลุ่มทุนผูกขาดในอเมริกาได้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
การลดระดับความขัดแย้งภายในสังคมของตัวเอง หรือการ "เปิดวาล์วลดความดัน" ภายในสังคมอเมริกัน
จึงไม่ใช่เรื่องยาก หรือได้กระทบกระเทือนผลประโยชน์และกำไรจำนวนมหาศาล

ความพึงพอใจของชาวอเมริกันในการอยู่ร่วมกับกลุ่มทุนผูกขาดภายในประเทศภายใต้ "ลัทธิทุนนิยมใหม่"
หรือภายใต้การผ่าทางตันของระบบทุนนิยมในอดีตของ "เคนส์" ส่งผลให้สังคมอเมริกันกลายเป็น "แม่แบบ
ของโลกทุนนิยมทั้งโลก ยิ่งเมือประเทศสังคมนิยมทั่วโลกล่มสลายลงไป วิถีทางแบบอเมริกันก็กลายเป็น
วิถีทางของโลกไปเลยทีเดียว

"วิลเลียม ลีซ" ผู้เขียนหนังสือเรื่อง "เมอร์แชนท์ พาวเวอร์ แอนด์ เดอะ ไรซ์ ออฟ อะ นิว อเมริกัน คัลเจอร์"
(http://www.columbia.edu/cu/history/images/h_faculty_leach.jpg) (http://www.columbia.edu/cu/history/faculty/h_faculty_profile_leach.htm)
ได้อธิบายเอาไว้ว่า "ใครก็ตามที่มีอำนาจในการชี้วิสัยทัศน์ของชีวิตที่ดี และทำให้เป็นที่ยอมรับกันแพร่หลาย
จะมีอำนาจเด็ดขาดเหนือทุกคน และธุรกิจอเมริกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1890 เป็นต้นมาก็มีอำนาจเช่นนั้น อีกทั้งเมื่อ
ประสบความสำเร็จในการร่วมมือกับสถาบันหลักๆ ในสังคม ก็สามารถทำให้สังคมอเมริกันเปลี่ยนแปลงเป็นสังคม
ที่หมกมุ่นอยู่กับการบริโภคความสะดวกสบาย และความเป็นอยู่ที่อุดมสมบูรณ์ทางด้านกายภาพด้วยสิ่งที่หรูหรา
ด้วยการใช้จ่าย ด้วยการได้มาซึ่งสรรพสินค้าที่ต่างพยายามขวนขวายหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ"

แต่แล้ว ภายใต้สภาพที่โลกทั้งโลกหันมาเดินตามวิถีทางแบบเดียวกันนี้มากขึ้นเรื่อยๆ "พื้นที่อันมโหฬาร"
อันปรากฏอยู่ในบันทึกข้อเสนอแนะของกลุ่มทุนผูกขาดอเมริกาก็กลายเป็นพื้นที่ที่ "แคบ" ลงไปเรื่อยๆ
วิวัฒนาการอันเกิดจาก "ความปรารถนาต้องการอันไม่สิ้นสุดของมนุษย์" ที่ดำเนินมาจนถึงปี ค.ศ. 2000
ได้แสดงให้เห็นถึงพื้นที่ที่จะสามารถตอบสนองความต้องการเช่นนี้ในระดับที่จะต้องหา "โลกอีก 2 ใบ"
ถึงจะตอบสนองได้ต่อไป

"ความขาดแคลน" เริ่มหวนกลับมากลายเป็น "วัฏจักรแห่งวิกฤติทุนนิยมครั้งใหม่" ในต้นศตวรรษที่ 21
และดูเหมือนว่า "ทางออก" ของรัฐบาลอเมริกันและกลุ่มบรรษัทผูกขาดระดับโลก ก็ไม่ได้แตกต่างไปจาก
การหาทางออกเดิมๆ ในวิกฤตการณ์ทุนนิยมช่วง ค.ศ. 1920-1930 เลย แม้นว่าจะมีความพยายามค้นคิด
"สูตรเศรษฐกิจแบบใหม่" แทนที่แนวคิดเดิมๆ กันในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ นักคิด นักการเมือง ในอเมริกา
และยุโรป แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันไม่สามารถปฏิเสธ "สงคราม" ที่จะต้องนำมารองรับย่างก้าวต่อไปของ
เส้นทางวิวัฒนาการเส้นทางนี้


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ที่ กันยายน 03, 2006, 03:44:38 PM
เรื่องทฤษฎีสมคบคิดนี้ ผมนึกถึงภาพยนต์เรื่อง Syriana

ภาพยนต์เรื่องนี้ถ่ายทอดภาพแห่งความขัดแย้ง ทั้งทาง อำนาจ ศาสนา และ เศรษฐกิจ ได้เป็นอย่างดี

โดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ของอเมริกาในตะวันออกกลาง น้ำมัน ความขัดแย้งทางศาสนาและความเชื่อในเรื่องจิฮัด

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/c/cd/Syriana.jpg/406px-Syriana.jpg)

(http://adorocinema.cidadeinternet.com.br/filmes/syriana/syriana-poster02.jpg)

http://movies.narak.com/preview/syriana.shtml

http://en.wikipedia.org/wiki/Syriana


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 03, 2006, 07:07:07 PM
เรื่องทฤษฎีสมคบคิดนี้ ผมนึกถึงภาพยนต์เรื่อง Syriana

ภาพยนต์เรื่องนี้ถ่ายทอดภาพแห่งความขัดแย้ง ทั้งทาง อำนาจ ศาสนา และ เศรษฐกิจ ได้เป็นอย่างดี

โดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ของอเมริกาในตะวันออกกลาง น้ำมัน ความขัดแย้งทางศาสนาและความเชื่อในเรื่องจิฮัด


น่าสนใจครับจะลองหา DVD มาดู


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 03, 2006, 07:07:51 PM
วิกฤตการณ์ครั้งใหม่ "อนาธิปไตย" และ "ทางตัน"

ในเมื่อโลกมีอยู่เพียงแค่ 1 ใบเท่านั้น "พื้นที่อันมโหฬาร" ในสายตาของกลุ่มทุนผูกขาด
เมื่อตอนต้นศตวรรษที่ 20 ได้กลายเป็น "พื้นที่อันคับแคบ" ไปแล้วในการเริ่มต้นศตวรรษที่ 21

ทางออกในการผลักดัน "แรงปรารถนาอันไม่สิ้นสุด" ให้วิวัฒนาการต่อไปอีกก้าว หนีไม่พ้นที่จะต้อง
มีการ "รื้ออุปสรรคขัดขวาง" นานาชนิดลงไปให้ได้ ไม่ว่าอุปสรรคนั้นจะเป็นเส้นแบ่งพรมแดนเขตแดน
ทางการเมืองของรัฐชาติ ผลประโยชน์ท้องถิ่น วัฒนธรรมท้องถิ่น หรือสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เคยเป็น
เอกลักษณ์ท้องถิ่นและรัฐชาติ เพื่อหลีกทางกับสิ่งที่ "อากิโอะ มอริตะ" ประธานบรรษัทธุรกิจข้ามชาติ
"โซนี่" เคยเรียกมันว่า "ความดีงามที่กว้างใหญ่ไพศาลกว่า อันเป็นผลจากเสรีภาพทางการค้าในระบบ
ตลาดเสรี ได้เข้ามาแทนที่"

"เคนิชิ โอเมะ" ผู้จัดการบริษัทแมคเคนซีและสหาย ได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง "โลกไร้พรมแดน" ว่า
"รัฐบาลแห่งชาติที่ยังยึดติดอยู่กับบทบาทเดิมในฐานะที่เป็นผู้จัดการทางเศรษฐกิจแห่งชาติ
เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ทั้งนี้เนื่องจากเศรษฐกิจแห่งชาติในโลกปัจจุบันและอนาคตอันใกล้
จะเป็นสิ่งที่ไม่มีเหลืออยู่อีก" และ "โลกาภิวัตน์ จะทำให้บทบาททางการเมืองของรัฐบาล
เป็นจำนวนมากล้าสมัยไปด้วย"

"ดีแอนน์ จูเลียส" หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบรรษัทน้ำมันข้ามชาติอย่างบริษัทเชลล์ ได้เสนอรายงาน
วิจัยชี้ให้เห็น "หลักการ 3 ประการ" ของการสร้างพื้นที่อันกว้างขวางให้กับโลกยุคใหม่ นั่นก็คือ

1. บรรษัทต่างชาติจะต้องมีเสรีภาพอย่างเต็มที่ในการเลือกว่าจะมีส่วนร่วมในตลาดท้องถิ่น
โดยการนำสินค้าเข้าจากต่างประเทศหรือจัดการผลิตภายในท้องถิ่นเอง

2. วิสาหกิจต่างชาติจะต้องถูกบังคับโดยกฏหมายฉบับเดียวกันกับที่บังคับใช้กับวิสาหกิจภายในประเทศ

3. วิสาหกิจต่างชาติควรได้รับการอนุญาตให้ดำเนินกิจกรรมใดก็ได้ ในประเทศที่วิสาหกิจในประเทศนั้น
สามารถดำเนินการได้ถูกต้องตามกฏหมาย

ในการสำรวจความคิดเห็น ผู้บริหารบรรษัทธุรกิจระหว่างประเทศจำนวน 12,000 คน โดยนิตยสาร
"ฮาเวิร์ดธุรกิจปริทัศน์" ในปี ค.ศ. 1990 ได้ยืนยันว่า ผู้บริหารบรรษัทธุรกิจระหว่างประเทศเกือบทั้งหมด
เห็นด้วยกับทัศนะของ "นางคาร์ลา ฮิลส์" อดีตผู้แทนการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ออกมาเรียกร้องให้
"บรรษัทข้ามชาติ" สามารถลงทุนในประเทศต่างๆ ในโลกได้โดยไม่จำเป็นจะต้องมีผู้ร่วมลงทุนท้องถิ่น
สามารถส่งสินค้าออกจากประเทศที่เข้าไปทำการผลิตโดยไม่ต้องมีการควบคุมสัดส่วนใดๆ ไม่ต้องถูกบังคับ
ให้ใช้ชิ้นส่วนใดๆ ภายในท้องถิ่น รวมทั้งไม่ควรบังคับให้มีกฏเกณฑ์เฉพาะสำหรับการควบคุมกิจกรรมของ
บรรษัทข้ามชาติ

แรงผลักดันที่ต้องการให้รื้อเขตแดนทางการเมือง การค้าวัฒนธรรมต่างๆ ในทุกซีกโลกเพื่อให้
"พื้นที่อันคับแคบ" ของบรรษัทธุรกิจผูกขาดในระดับโลกสามารถแสวงหากำไรได้มากขึ้นนั้น
เกิดขึ้นพร้อมๆ กับ "วิกฤตการณ์ครั้งใหม่" ที่ส่อให้เห็นแนวโน้มซึ่งมีสภาพไม่ต่างไปจาก "ทางตัน"
ของทุนนิยมในปี ค.ศ. 1920-1930

ปลายศตวรรษที่ 20 "กิจกรรมทางการเงิน" ที่มีการซื้อ-ขายเงินตราเพื่อ "เก็งกำไรในระยะสั้น"
มีอัตราเพิ่มขึ้นถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่การซื้อ-ขายเงินตราเพื่อ "การค้าการลงทุน" จริงๆ
มีเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์พลิกผันจากกิจกรรมทางการเงินในยุคอดีตที่การซื้อ-ขายเงินตรา
เพื่อใช้ในการค้าการลงทุนเคยมีจำนวน 90 เปอร์เซ็นต์ การเก็งกำไรในระยะสั้นเคยมีเพียงแค่
10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

ในตอนต้นศตวรรษที่ 21 ยอดมูลค่าการซื้อขายเงินตราต่างประเทศในแต่ละวัน
ได้รับการประมาณการกันว่ามีมูลค่าไม่ต่ำกว่าวันละ 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ

สภาพความผันผวนในกิจกรรมทางการเงินลักษณะเช่นนี้ เคยทำให้ผู้นำคิวบา "ฟิเดล คาสโตร"
กล่าวในที่ประชุมว่าด้วยการระดมทุนเพื่อการพัฒนาแห่งสหประชาชาติปี ค.ศ. 2002 ว่า
"ระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน...ก็คือ บ่อนกาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในโลก"

"อนาธิปไตยทางการเงิน" ได้แสดงผลให้เห็นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 20 อย่างชัดเจน
ระบบเงินตราของยุโรปเกิดความผันผวนในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1993
เดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1994 เงินเปโซของเม็กซิโกลดค่าขนานใหญ่ ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์การเงิน
ลุกลามทั่วละตินอเมริกา เดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1995 ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของยุโรป
เกิดความปั่นป่วนอีกครั้ง ธนาคารแบรริ่งของอังกฤษ (http://en.wikipedia.org/wiki/Barings_Bank) ที่มีประวัติยาวนานถึง 233 ปี ต้องประกาศล้มละลาย
เนื่องมาจากผลของการเก็งกำไรทางการเงินในระยะสั้นของสาขาธนาคารที่สิงคโปร์ประสบความล้มเหลว
เดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1997 วิกฤตการณ์การเงินในเอเชียเริ่มต้นขึ้นที่ประเทศไทยและลามไปทั่วทั้งเอเชีย
จนกลายเป็นผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลกทั้งหมด

ต้นศตวรรษที่ 21 วิกฤตการณ์การเงินเริ่มก่อตัวในอาร์เจนตินา (http://en.wikipedia.org/wiki/Argentine_economic_crisis_%281999-2002%29) และในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2002
การลอยตัวค่าเงินเปโซของอาร์เจนตินาส่งผลให้ค่าเงินลดลงทันที 40 เปอร์เซ็นต์
เกิดจลาจลทั่วประเทศและต้องมีการเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีถึง 5 คน ภายในชั่วเวลา 14 วัน
ต้นปี ค.ศ. 2002 วิกฤตการณ์การเงินอาร์เจนตินาลุกลามต่อไปยังอุรุกวัย และเริ่มกดดันระบบการเงิน
และเศรษฐกิจของบราซิลในเวลาต่อมา

ในการประชุมนักวิชาการด้านเศรษฐกิจ-สังคมทั่วโลกที่ฮ่องกงในปี ค.ศ. 2000 เสียงส่วนใหญ่
ในที่ประชุมสัมนาได้ยอมรับถึง "ทางตัน" ในการแก้ปัญหา "ช่องว่างระหว่างความรวยและความจน"
ที่นับวันจะขยายตัวยิ่งขึ้น ไม่ว่าระหว่าง "ประเทศรวยกับประเทศจน" หรือ "ภายในประเทศแต่ละประเทศ"
และยิ่งมีการผลักดันให้เกิด "พื้นที่การค้า" ที่กว้างขวางขึ้น ด้วยการรื้ออุปสรรคต่างๆ ภายในชาติแต่ละชาติ
ลงไป ก็จะยิ่งทำให้แนวโน้มของช่องว่างเหล่านี้ขยายตัวในระดับที่ "ไม่อาจจะแก้ปัญหาใดๆ ได้อีกต่อไป"

ตัวเลขสถิติในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 แสดงให้เห็นว่า ชาติอุตสาหกรรมทันสมัย 24 ประเทศ ซึ่งมีประชากร
17 เปอร์เซ็นต์ของโลก ครอบครองมูลค่าการผลิตถึง 79 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมี
ประชากร 83 เปอร์เซ็นต์ กลับครอบครองมูลค่าการผลิตเพียง 21 เปอร์เซ็นต์ของโลก ยอดหนี้สิน
ต่างประเทศของโลกกำลังพัฒนามีมูลค่าถึง 25 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ประชากรถึง 1,300 ล้านคน
อยู่ในประเทศที่ยากจนที่สุดของโลก โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อวันไม่ถึง 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ผู้คน 800 ล้านคน อดอยากหิวโหย, 80 ล้านคนไม่เคยได้รับการรักษาพยาบาล, 2,600 ล้านคน
ไม่ได้เรียนหนังสือ ฯลฯ

และแม้กระทั่งภายใน "ประเทศร่ำรวย" เองก็ตาม การปรากฏตัวของความยากจนและช่องว่างรายได้
ชัดเจนยิ่งขึ้น "ศูนย์ความอดอยาก" แห่งรัฐสภาอเมริกาได้ประมาณการว่า ในแต่ละปีมีคนอเมริกัน
30 ล้านคนที่มีอาหารไม่พอบริโภค, 2 ล้านกว่าคน เคยผ่านประสบการณ์ไร้ที่พักพิงมาก่อน
ชาวเยอรมัน 850,000 คนไร้ที่อยู่อาศัย, ชาวฝรั่งเศส 300,000 คน อาศัยอยู่ในกล่องกระดาษ
ชาวญี่ปุ่นซึ่งเคยได้รับการยอมรับว่าเป็น "สังคมที่ไม่มีคนว่างงาน" ในยุคอดีต ได้พบอัตราว่างงาน
ถึง 2,140,000 คน ในปลายศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ฯลฯ

"การผลิตที่ล้นเกิน" ยังคงเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนการผลิต
ภาคเกษตรของประเทศร่ำรวยที่มีมูลค่าไม่ตำกว่าวันละ 1,000 ล้านดอลลาร์ ความ "ไม่ปลอดภัย
ในชีวิตทรัพย์สิน" รวมทั้ง "การขาดความมั่นคงทางจิตใจ" ได้ก่อให้เกิดความตึงเครียดปะทุไปทั่ว
สังคมทุนนิยมทุกแห่ง คดี "ฆ่าตัวตายหมู่" ของลัทธิความเชื่อวิปริตในสังคมอเมริกัน สวีเดน ญี่ปุ่น
และความเชื่ออันสับสนของลัทธิทางจิตวิญญานในจีน การขยายตัวของศาสนาใหม่โดยชาวเกาหลีใต้
การปล่อยก๊าซพิษในอุโมงค์รถไฟใต้ดินกรุงโตเกียวของลัทธิโอมชินริเกียว ฯลฯ นอกจากนั้น
ระบบการเมืองแบบ "เสรีประชาธิปไตย" ที่ใช้รองรับการพัฒนาของทุนนิยมใหม่ เกิดการสั่นคลอน
ความน่าเชื่อถือไปทั่วโลก ลัทธิชาตินิยม ลัทธิต่อต้านผิวสี ต่อต้านเชื้อชาติในยุโรป-ออสเตรเลีย
ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ นักการเมืองที่สนับสนุนเศรษฐกิจเสรีนิยมในเวเนซุเอลา โบลิเวีย บราซิล
ประสบความพ่ายแพ้ลงไปเรื่อยๆ ฯลฯ

วิกฤตการณ์ครั้งใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาในต้นศตวรรษที่ 21 นับวันเริ่มจะส่งสัญญานให้เห็นว่า
มันมีสภาพแทบไม่แตกต่างไปจากยุคก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่ 2 สักเท่าไหร่
ความพยายามดิ้นรน "ผ่าทางตัน" จึงปรากฏตัวด้วย "รูปแบบ" อันหลากหลาย


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 03, 2006, 10:53:07 PM
การ "ผ่าทางตัน" "ทฤษฏีใหม่" และ "สงครามใหม่"

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ผู้นำการเมืองในยุโรปและอเมริกาหลายราย ไม่ว่า
โทนี่ แบลร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/6/64/BlairL.jpg/200px-BlairL.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Tony_blair)
บิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีอเมริกา
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/d/d3/Bill_Clinton.jpg/200px-Bill_Clinton.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Bill_Clinton)
แกรฮาร์ด ชโรเดอร์ อดีตผู้นำเยอรมนี
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/0/04/Schr%C3%B6der.jpg/200px-Schr%C3%B6der.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Gerhard_Schr%C3%B6der)
ฟรังซัวร์ มิตแตร์รองต์ อดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศส ฯลฯ
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/b/ba/Fran%C3%A7oisMitterrand.jpg/200px-Fran%C3%A7oisMitterrand.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Fran%C3%A7ois_Mitterrand)
ต่างเคยพบปะหารือเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นในการ "หาทางออก" จากแรงกดดันทางการเมือง
อนาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และความตึงเครียดของสังคมศิวิไลซ์ ที่กำลังกลายเป็น "ทางตัน"
สำหรับโลกทุนนิยมทั้งหมด

รูปแบบแนวความคิดที่บรรดาผู้นำเหล่านี้หยิบมาใช้เป็น "ภาพร่าง" ในการค้นหาทางออกร่วมกัน
ถูกสรุปเอาไว้ในช่วงแรกๆ ว่า มันจะเป็นไปในลักษณะ "กลาง-ซ้าย" หรือบางรายใช้คำเรียกว่า
"หนทางที่ 3" คือแนวความคิดทางการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม ที่จะต่างไปจากแนวทางทุนนิยม
ของปีกขวา แต่ก็จะไม่ก้าวไปถึงขั้นที่จะปรับตัวไปสู่แนวความคิดแบบสังคมนิยมของปีกซ้าย
(ความเห็นส่วนตัวว่า แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นหนทางหนึ่งที่เหมาะกับเมืองไทยและโลกในขณะนี้)

หลังจากผ่านการถกเถียงกันอย่างชุลมุนตั้งแต่เริ่มแรก เกิดความยุ่งยากในการปรับแนวความคิด
ในระดับพื้นฐานให้กลมกลืนกันในท้ายที่สุด ผู้นำทางการเมืองเหล่านี้ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่า
การพัฒนาเศรษฐกิจให้เกิดความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังที่เคยเป็นมาในอดีตนั้น จะสามารถ
"หาจุดลงตัว" กับ ความเป็นธรรมในสังคมได้อย่างไร? และจะรักษาความมั่นคงของสภาพสิ่งแวดล้อม
เอาไว้ได้ขนาดไหน? ด้วยการปรับแก้ "รูปแบบ" บางอย่างเพื่อให้เส้นทางวิวัฒนาการที่เคยเป็นมา
ในประวัติศาสตร์ยุคอดีตสามารถก้าวต่อไปในการสร้างประวัติศาสตร์แห่งอนาคต

การปฏิเสธที่จะเข้าร่วมประชุมหารือเรื่องแนวความคิดเหล่านี้ของนาย "ฟรังซัวร์ มิตแตร์รองต์"
ในการจัดประชุมที่ประเทศอิตาลี ในเวลาต่อมาได้สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการ
"ค้นหาสูตรทางออกใหม่ๆ" ที่มันไม่สามารถสร้างความยอมรับแบบสูตรของ "เคนส์" ในช่วงปี ค.ศ. 1936
มันกลายเป็นแค่ "การสร้างภาพทางการเมือง" ของผู้นำทางการเมืองที่อยากจะมีภาพเป็น
"นักฝันเฟื่องทางทฤษฏี" มากกว่า

แรงกดดันทางการเมืองที่เป็นจริงปรากฏ อนาธิปไตยทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวออกไปได้รวดเร็วมาก
และความตึงเครียดภายในสังคมทุนนิยมหนักขึ้นเรื่อยๆ ดูจะทำให้ความพยายาม "ค้นหาทางทฤษฏีใหม่"
เพื่อขัดสีฉวีวรรณทุนนิยมอีกครั้ง กลายเป็นเรื่องที่ "เสียเวลา"

เพราะเป็นที่รับรู้กันอยู่แล้วว่า โดย "เนื้อหา" ที่เป็นจริงนั้นเส้นทางวิวัฒนาการสายนี้กำลังกระหายหิวต่อ
"แหล่งวัตถุดิบ" ที่ไม่เคยเพียงพอต่อแรงปรารถนาซึ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กำลังต้องการ "พื้นที่ตลาด"
ที่กว้างขวางเกินกว่าจะถูกกั้นขวางโดยอาณาเขต ความเป็นชาติและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมใดๆ
ที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากสินค้าและหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเปิดพื้นที่ให้กับ "วิทยาการและองค์ความรู้ใหม่ๆ"
ในการต่อสู้กับกระบวนการทางธรรมชาติและวิถีทางธรรมชาติทุกชนิดอย่างถึงพริกถึงขิง

หรือโดย "เนื้อหา" แล้ว "สูตรทางออก" ของวิกฤตการณ์ในยุคใหม่ไม่ได้แตกต่างไปจากยุคอดีตแต่อย่างใด
เพียงแต่จะทำอย่างไรให้ "รูปแบบ" ของมันถูกปรับเปลี่ยนจะได้ถูกต่อต้านน้อยที่สุดเท่านั้นเอง

องค์ความรู้ใหม่ๆ ที่จะนำพาโลกวิวัฒนาการเข้าสู่ยุคอีกยุคหนึ่งหรือเข้าสู่ "คลื่นลูกที่สาม"
ไม่ว่าเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมซึ่งสามารถเพิ่มปริมาณอาหารในโลกได้หลายต่อหลายเท่า
วงการแพทย์ที่จะถูกปฏิวัติด้วยระบบ "ป้องกัน" แทนการ "รักษา" โรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆ
ขนาดของเศรษฐกิจชีวภาพที่จะใหญ่โตจนกลายเป็น "เศรษฐกิจใหม่" ฯลฯ

เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่สามารถเปลี่ยนปัจจัยการผลิตในระดับรากฐานด้วยขีดความสามารถของ
"หุ่นยนต์คอมพิวเตอร์" ซึ่งอาจจะพัฒนาไปถึงขึ้น "คิดเองได้" (อาร์ติฟิเชียล อินทิลิเจนซ์ - AI)
เทคโนโลยีเครื่องจักรกลขนาดจิ๋วหรือ "จุลจักร" ที่จะปฏิวัติกลไกอุตสาหกรรมเดิมให้กลายเป็นสิ่งพ้นสมัย ฯลฯ

ภายใต้เส้นทางวิวัฒนาการสายนี้มักไม่ได้มุ่งหมายที่จะก่อให้เกิด "ความเท่าเทียมกัน" หรือ "ความเป็นธรรม"
ขึ้นมาในโลกแต่อย่างใด แตมันสามารถนำไปใช้เพื่อ "เปิดวาล์วแรงกดดัน" ต่างๆ ได้ในบางช่วงของยุคสมัย
ก่อนที่จะนำไปสู่ "ทางตัน" ครั้งต่อไปในอนาคตนั่นเอง

"ความขาดแคลน" อาจจะถูกคลี่คลายลงไปในขณะที่ "ช่องว่าง" ระหว่างผู้คนในสังคมจะยังขยายตัวต่อไป
จนอาจทำให้การคาดการณ์ของกลุ่มนักวิชาการระหว่างประเทศ ซึ่งจัดการประชุมในประเทศรัสเซีย
เมื่อช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เป็นจริงขึ้นมาในอนาคตอันใกล้ นั่นก็คือ "ระบบโลก" จะขจัดผู้คนประมาณ
80 เปอร์เซ็นต์ ออกจากการบริหารจัดการของโลกยุคใหม่ เหลือผู้คนเพียง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ที่จะอยู่ในระบบบริหารจัดการของโลกยุคใหม่

ความแตกต่างทางชนชั้นก็ยังคงมีอยู่ต่อไป เพียงแต่มาตรฐานในการวัดความแตกต่างอาจจะเริ่มต้น
ตั้งแต่ "ยีนและพันธุกรรม" การยึดครองควบคุมดินแดนตั้งแต่ยุคโบราณก็ยังคงดำเนินต่อไป
เพียงแต่ถูกเปลี่ยนรูปแบบจากเมืองขึ้นมาเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิหนึ่งจักรวรรดิใด จนกลายเป็น
อาณานิคมโลกภายใต้การควบคุมของศูนย์กลางจักรวรรดิโลก หรือโดย "มหาอำนาจเดียว" นั่นเอง

"จิตวิญญาณความเป็นมนุษย์" ที่ถูกเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นเพียง "ผู้บริโภค" จะเพิ่มปริมาณแหล่งตลาด
ระบายสินค้าอย่างยาวนาน สามารถกระตุ้นและควบคุมจากอำนาจศูนย์กลางได้อย่างเป็นระบบและง่ายต่อ
ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผน

แต่อย่างไรก็ตาม การก้าวไปสู่ขั้นตอนต่อไปของการวิวัฒนาการในแนวทางนี้ ไม่อาจปฏิเสธ "สงคราม"
ที่จะถูกนำมาใช้เพื่อขจัดสภาพอนาธิปไตยทางการเมือง-เศรษฐกิจ ปะทะกับฝ่ายต่อต้านที่ก่อเกิดขึ้นมา
จากความตึงเครียดของความศิวิไลซ์ สงครามที่จะเป็นฐานรองรับการเร่งรัดเทคโนโลยีให้สามารถ
แปรสภาพมาใช้กับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจใหม่ได้เร็วขึ้น

ในตอนที่ "โดนัลด์ รัมส์เฟล" ยังมีตำแหน่งเป็น "ประธานคณะกรรมการเพื่อการประเมินผลองค์กร
และการบริหารความมั่นคงด้านอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ" หรือยังไม่ได้มีตำแหน่งเป็น "รัฐมนตรีกลาโหม"
ในรัฐบาลสหรัฐฯ ยุคปัจจุบัน เขาไม่ได้สับสนวุ่นวายอยู่กับการแสวงหา "ทฤษฏีใหม่" หรือ
"แนวความคิดใหม่ๆ" ในการหาทางออกให้กับวิกฤตการณ์ทุนนิยมแบบผู้นำการเมืองในอเมริกา
และยุโรปที่กำลังเถียงกันในเรื่อง "หนทางที่ 3" แต่อย่างใดเลย

ในเอกสารสรุปความเห็นของคณะกรรมการด้านอวกาศสหรัฐฯ ประจำเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2001
รัมส์เฟล แสดงความเห็นร่วมกับคณะกรรมการอีก 13 รายเอาไว้ว่า

"ช่องว่างระหว่างชาติที่มี และชาติที่ไม่มี ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนในโลกจะขยายตัว
กว้างขวางขึ้นและจะก่อให้เกิดความไม่สงบในหลายภูมิภาครวมทั้งภายในสังคมแต่ละสังคม
และความไม่สงบเหล่านี้จะนำมาซึ่งภัยคุกคามต่อการครอบงำทางการเมืองและเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ
ด้วยเหตุนี้เพื่อให้สหรัฐฯ ยังคงเป็นมหาอำนาจโลกและผู้นำการใช้อำนาจได้ต่อไป ความสำคัญ
อันดับแรกก็คือ จะต้องมี แผนระยะยาว ในการพัฒนาการปฏิบัติการทางทหารในอวกาศให้สามารถ
ทำสงครามเพื่อปกป้องบทบาทของสหรัฐฯ และขยายบทบาทโลกาภิวัตน์ที่นำโดยบรรษัทต่อไปให้ได้"

ถึงแม้นว่าจะไม่มี "เคนส์" รายใหม่ปรากฏตัวขึ้นมาสร้างรูปแบบในการหาทางออกให้กับวิกฤตการณ์
ครั้งใหม่ก็ตาม แต่ "สงครามครั้งใหม่" ก็ได้อุบัติขึ้นมาแล้วตามเนื้อหาเดิมๆ ที่ดำรงมาตลอดเส้นทาง
วิวัฒนาการสายนี้


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 04, 2006, 01:30:16 PM
สงครามล้างโลก

นับตั้งแต่ "อเล็กซานเดอร์มหาราช"
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/b/b7/AlexanderAttackingDarius.jpg/300px-AlexanderAttackingDarius.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Alexander_the_Great)
ยกกองทัพกรีกเข้าตีอาณาจักรเปอร์เซียเมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้ว "การทะเลาะเบาะแว้ง" ก็ไม่ได้เป็น
"ข้ออ้าง" ที่มีน้ำหนักพอในการอธิบาย "เนื้อหาของสงคราม" ระหว่างกันและกัน ยิ่งนานวัน
เนื้อหาของสงครามยิ่งสะท้อนให้เห็นถึง "เหตุผลแท้ๆ" ที่อยู่เบื้องหลัง "ข้ออ้าง" นานาชนิด นั่นก็คือ
"ความพยายามช่วงชิงผลประโยชน์จากผู้อื่น" หรือ "เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง" เป็นหลัก
และมันทำให้ "ขอบเขตในการทำสงคราม" ขยายตัวกว้างขวางยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

การที่ "เหตุการณ์ 11 กันยายน" ถูกใช้เป็น "จุดเริ่มต้น" แต่ "จุดจบ" มันไม่ได้สิ้นสุดลงตรงที่ชัยชนะ
ของอเมริกาใน "สงครามอัฟกานิสถาน" อันที่จริงมันก็เป็นการอธิบาย "เนื้อหาของสงครามครั้งใหม่"
หรือการส่งสัญญาณถึง "ขอบเขตของสงครามครั้งใหม่" ได้ไม่น้อยทีเดียว

การ "ไล่ล่า" หรือ "ล้างแค้น" ต่อ "โอซามา บิน ลาเดน" ที่ยังสาบสูญลอยนวลอยู่ในขณะนี้ ดูจะไม่ได้มี
ความสำคัญเท่ากับการยึดครองแหล่งทรัพยากรในเอเชียกลาง การรื้อฟื้นโครงการวางท่อก๊าซจาก
เติร์กเมนิสถานมายังปากีสถาน การบรรลุโครงการท่อน้ำมัน "บากู-ทะบิลิซี-เซย์ฮัน"
(http://news.bbc.co.uk/media/images/38260000/gif/_38260059_pipeline_300map.gif) (http://en.wikipedia.org/wiki/Baku-Tbilisi-Ceyhan_Pipeline)
การจัดวางกำลังทหารเพื่อสร้าง "ยุทธศาสตร์ปิดล้อม" คู่แข่งทางอำนาจ ฯลฯ
(http://www.globalresearch.ca/images/middleastmap.jpg) (http://www.energybulletin.net/18656.html)

"ขอบเขตของสงคราม" จึงได้ขยายตัวต่อไปสู่ "อัรัก" อย่างรวดเร็ว ในปี ค.ศ. 1998 "สก็อตต์ ริตเตอร์"
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/8/81/03-16-06ritter-scott1.jpg/300px-03-16-06ritter-scott1.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Scott_Ritter)
หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการตรวจสอบอาวุธสหประชาชาติ (อันคอม) ซึ่งเป็นอดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ เอง
ได้ยืนยันเอาไว้ชัดเจนว่า ภัยคุกคามจากโครงการอาวุธต่างๆ ในอิรักนั้น "ลดลงเหลือเท่ากับศูนย์เปอร์เซ็นต์" (http://archives.cnn.com/2002/WORLD/meast/07/17/saddam.ritter.cnna/)
หรือไม่สามารถใช้เป็น "ข้ออ้าง" ใดๆ อีกต่อไปแล้ว

สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอิรักจำนวนมากที่ยังชีพด้วยรายได้เดือนละ 2-6 ดอลลาร์
งบประมาณเพื่อการศึกษาสำหรับเยาวชนลดลงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงระยะเวลา 10 ปีแห่งการคว่ำบาตร
มาตรฐานด้านสาธารณสุขอยู่ในสภาพ "พังทลาย" ปริมาณเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบเสียชีวิตเพราะขาดอาหารและ
ขาดยารักษาโรคปีละไม่น้อยกว่า 50,000 ศพขึ้นไป ฯลฯ แต่ภายใต้สภาพเช่นนี้ "ภัยคุกคามทางทหารจากอิรัก"
ยังถูกนำมาใช้เป็น "ข้ออ้าง" ในการ "ขยายขอบเขตสงคราม" ของรัฐบาลอเมริกันต่อไป

ปริมาณน้ำมันสำรองในอิรักที่ยังมีปริมาณไม่น้อยกว่า 112,000 ล้านบาร์เรล การใช้อิทธิพลในการควบคุม
ราคาน้ำมัน เป็นตัวควบคุมอัตราการขยายของเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ ทั่วโลก จึงน่าจะเป็นเหตุผล
ในการขยายเขตสงครามที่มีน้ำหนักยิ่งกว่าความแค้นที่ประธานาธิบดี "บุชผู้ลูก" มีต่อ "ซัดดัม ฮุสเซ็น"
เนื่องจากรับทราบว่าเคยวางแผนสังหาร "บุชผู้พ่อ" หลายต่อหลายร้อยเท่า และ "เหตุผลแท้ๆ"
ที่อยู่เบื้องหลังข้ออ้างนานาชนิด ก็เป็นที่เข้าใจกันในหมู่ชาวโลกที่ยังไม่ถึงกับ "ปัญญาอ่อน"
เพราะการครอบงำจากสื่อมวลชนอเมริกันทั้งหลาย

แม้แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลอเมริกันเองก็ยังเลี่ยงไม่ได้ที่จะใช้ "เหตุผลแท้ๆ" เหล่านี้ในการจูงใจ
โน้มน้าวพันธมิตรให้เห็นดีเห็นงามกับการ "ใช้น้ำมันในอิรักเพื่อฉุดดึงเศรษฐกิจโลก"

"สงครามอิรัก" จึงยิ่งส่งสัญญาณชัดเจนยิ่งขึ้นว่า "สงครามครั้งใหม่ในศตวรรษที่ 21" นั้น
นอกจากมันจะไม่ได้จบลงตรงที่อัฟกานิสถาน แล้ว มันก็จะยังไม่จบลงที่อิรัก อีกด้วย

"ศุภวัฒน์ สายเชื้อ" กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัยและวางแผนบริษัท "เมอร์ริล ลินซ์ ประเทศไทย"
ได้เขียนบทความวิเคราะห์ไว้เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2002 ว่า
"การบุกอิรักของสหรัฐฯ นั้น เป็นหมาก ที่สหรัฐฯ พยายามเดินเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศที่เป็นพื้นที่
แหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางทั้งหมด ให้กลายเป็นภูมิภาคที่เอื้ออำนวยต่อผลประโยชน์ทางการเมือง
และเศรษฐกิจของฝ่ายตะวันตก"

ข้อเสนอของ "บริษัท แรนด์" บริษัทที่ปรึกษาทางการข่าวและการทหาร ผู้เคยสร้างผลเปลี่ยนแปลงให้กับ
"การปรับยุทธศาสตร์ใหม่" ของอเมริกาตั้งแต่ตอนต้นรัฐบาลบุช ซึ่งเสนอต่อที่ประชุมสภากลาโหมสหรัฐฯ
ในวันที่ 10 กรกฏาคม ค.ศ. 2002 ก็สะท้อนให้เห็นสัญญาณสงครามที่แผ่กว้างไปมากกว่าพื้นที่ประเทศอิรัก
อย่างชัดเจน เมื่อมีการอ้างอิงถึง "การสนับสนุนการก่อการร้ายของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย" รวมทั้งกระตุ้น
สมาชิกสภาที่ปรึกษาให้ "ยื่นคำขาด" เพื่อนำไปสู่ "การยึดทรัพย์และบ่อน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย"

แน่นอนว่า เนื้อหาของสงครามแห่งศตวรรษที่ 21 ก็จะไม่สิ้นสุดอยู่แค่ความพยายาม
"ปฏิรูปตะวันออกกลาง" อีกนั่นแหละ

มันไม่ใช่แค่การ "ยึดกุมแหล่งทรัพยากร" ที่กำลังขาดแคลนหรือจัดวางกำลังเพื่อยึดกุมจุดยุทธศาสตร์
ทุกพื้นที่ในโลกเอาไว้เฉยๆ แน่ๆ แต่อำนาจที่ได้รับจากแหล่งทรัพยากรต่างๆ รวมทั้งอำนาจที่เกิดขึ้นจาก
การควบคุมจุดยุทธศาสตร์แต่ละแห่ง มันจะถูกใช้ไปสู่ จุดมุ่งหมาย อะไรกันแน่?

แนวคิดนานาชนิดของนักคิดฝ่ายตะวันตกหลายรายที่ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่สงครามเย็นเพิ่งจะยุติไปหมาดๆ
ได้สะท้อนให้เห็นชัดเจนแล้วว่า มันเป็นจุดมุ่งหมายที่ต้องการทำให้พื้นที่โลกซึ่งเคยใหญ่โตมโหฬารในตอนต้น
ศตวรรษที่ 20 แต่กลับแคบลงไป เรื่อยๆ เมื่อถึงต้นศตวรรษที่ 21 จะต้องถูกทำให้ "กว้างขวาง" ยิ่งขึ้นหรือ
"เพิ่มเนื้อที่การตลาด" ด้วยการ "รื้อถอน" อุปสรรคกีดขวางนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น "ความเป็นรัฐชาติ"
"วัฒนธรรม-อารยธรรมท้องถิ่น" "สัญลักษณ์หรือเอกลักษณ์ที่แสดงความเป็นท้องถิ่น" ต่างๆ หรือ
"ทำให้โลกกลายเป็นตลาด" รวมทั้ง "เปลี่ยนจิตวิญญาณ" ของมนุษย์ให้กลายเป็นเพียง "ผู้บริโภค" นั่นเอง

"วอลเตอร์ ไอแซคสัน" บรรณธิการนิตยสาร "ไทม์ แมกกาซีน" ผู้สนับสนุนโลกาภิวัตน์ตัวฉกาจ ได้เคยเขียน
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/b/b9/Isaacson.jpg/180px-Isaacson.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Walter_Isaacson)
บทความเรื่อง "อาวเออร์ เซ็นจูรี่ แอนด์ เดอะ เน็กซ์ท วัน" (http://205.188.238.109/time/magazine/article/0,9171,988149-1,00.html) ในนิตยสารไทม์ ตั้งแต่เดือนเมษายน ค.ศ. 1998
เพื่อพยายามชี้ให้เห็นว่า บรรดามนุษยชาติที่ยังยึดเหนี่ยวกับคุณค่าทางจิตวิญญาณในศตวรรษที่ 21
หรือพวก "จิตวิญญาณยุคใหม่" (นิวเอจ สปิริชวล) (http://www.webspirit.com/) ก็คือ "ศัตรูตัวสุดท้าย" ของโลกอนาคต ไม่ว่าจะเป็นพวก
"นับถือศาสนาแบบออร์เธอร์ดอกซ์" ทั้งหลาย ฯลฯ หรือกระทั่ง "ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อสีเขียว"
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/0/0b/Rainbow_warrior.jpg/250px-Rainbow_warrior.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Green_Peace)
อันประกอบด้วยพลังของฝ่ายอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ผู้นำ "ขบวนการซัพพาติสต้า" ในเม็กซิโก
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/37/Mexico.Chis.EZLN.01.jpg/300px-Mexico.Chis.EZLN.01.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Zapatista_uprising_in_Chiapas%2C_Mexico)
http://www.zapatistarevolution.com/alarm.html (http://www.zapatistarevolution.com/alarm.html)
ซึ่งใช้นามแฝงว่า "ผู้บัญชาการมาร์คอส" ได้แสดงความเห็นในบทความชิ้นหนึ่งในเวปไซต์ช่วงระหว่าง
เกิดสงครามอัฟกานิสถานโดยชี้ให้เห็นว่า "สงครามในศตวรรษที่ 21" นั้น ไม่ใช่เป็นสงครามที่มุ่งกระทำ
ต่อคู่สงครามประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นการเฉพาะ และยังไม่ใช่เป็นแค่สงครามที่จะกระทำต่อกันและกัน
ด้วย "อาวุธสงครามเท่านั้น" แต่มันจะเป็นสงครามที่จะกระทำต่อประเทศต่างๆ ที่มีพื้นที่ตั้งอยู่บนโลกใบนี้
และคู่สงครามที่แท้จริงก็คือ "มนุษยชาติ" ทั้งหลาย มันเป็นสงครามที่จะใช้ "ทุกสิ่งทุกอย่าง" เป็นอาวุธ
เพื่อมุ่งทำลายล้างลงไปถึง "จิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ของพลโลก" เพื่อให้ "โลกกลายเป็นตลาด"
และมนุษย์กลายเป็นเพียง "ผู้บริโภคสินค้า"

เนื้อหาของสงครามและขอบเขตของสงครามแห่งศตวรรษที่ 21 จึงแตกต่างไปจากสงครามทุกชนิดเท่าที่เคยมีมา
ขอบเขตของมันไม่ใช่เพียงแค่ "เนื้อที่-ดินแดน" ที่สามารถวัดขนาดออกมาเป็น "รูปธรรม" ได้ แต่มันรวมไปถึง
"เนื้อที่-ดินแดน" ที่เป็น "นามธรรม" อันไม่อาจวัดขนาดออกมาได้ชัดเจน ไม่ว่า ความเป็นชาติ อารยธรรม
สัญลักษณ์ และเอกลักษณ์วัฒนธรรมต่างๆ และเนื้อหาของมัน ก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ก่อให้เกิด "เชลยสงคราม"
แต่เพียงภายนอกร่างกาย แต่มันพยายามควบคุมเชลยสงครามให้ลึกลงไปถึง "จิตวิญญาณ" ของปัจเจกบุคคล

มันไม่ใช่ "สงครามโลก" แต่เป็น "สงครามล้างโลก" เป็นจุดสูงสุดของสงครามเท่าที่เคยมีมา
ตลอดเส้นทางวิวัฒนาการของมนุษยชาติ เป็น "จุดตัด" ระหว่างเส้นทางวิวัฒนาการในอดีตกับ
เส้นทางวิวัฒนาการในอนาคต ว่ามนุษยชาติจะเดินไปสู่เส้นทางใด เป็นชัยชนะและความพ่ายแพ้
ระหว่าง "ฝ่ายธรรมะ" กับ "ฝ่ายอธรรม" ที่จะต้องพิสูจน์ว่า
อะไรคือหนทางที่ถูกต้องสำหรับกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 04, 2006, 08:50:14 PM
จิ๋นซีฮ่องเต้แห่งอนาคต?

ในหนังสือเรื่อง "ครีเอติ้ง อะ นิว ศิวิไลเซชั่น -เดอะโพลิติก ออฟ เดอะ เธิร์ด เวฟ" (http://www.worldtrans.org/whole/createnewciv.html) หรือ
"อารยธรรมใหม่ - ในการเมืองคลื่นลูกที่สาม" ของอัลวิน และไฮดี้ ทอฟเลอร์
ซึ่งเขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1995 และอดีตผู้นำพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรสอย่าง "นิวท์ กิงกริช"
ถึงกับเรียกมันว่า "คู่มือประชาชนสู่ศตวรรษที่ 21" นั้น

"ทอฟเลอร์" คาดการณ์อนาคตเอาไว้ว่า "มนุษยชาติกำลังเผชิญกับการก้าวไปข้างหน้าครั้งยิ่งใหญ่
กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงทางสังคม และการปรับโครงสร้างเชิงสร้างสรรค์ที่ลึกซึ้งที่สุด
เท่าที่เคยมีมา ฯลฯ รวมทั้งมีแนวโน้มว่า คลื่นลูกที่สาม จะถั่งโถมข้ามประวัติศาสตร์และเสร็จสมบูรณ์
ภายในเวลาอีกสองสามทศวรรษข้างหน้าเท่านั้น"

ภายใต้ "การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงที่สุด" นั้น "ทอฟเลอร์" ได้บอกเอาไว้ด้วยว่า
"ขณะที่เศรษฐกิจกำลังถูกแปรสภาพโดยคลื่นลูกที่สามอยู่นั้น ระบบเศรษฐกิจเหล่านี้ก็จะบีบบังคับ
ฝ่ายหนึ่งให้เกิดการ ยอมจำนน หรือการสละความเป็นเอกราชบางส่วนของตน และต้องยอมให้อีกฝ่ายหนึ่ง
ล่วงล้ำเข้ามาในวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของตนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ในขณะที่กวีและปัญญาชนแห่งภูมิภาค
ที่มีความล้าหลังทางเศรษฐกิจกำลัง ประพันธ์เพลงชาติ ของตนอยู่นั้น กวีและปัญญาชนแห่งชาติใน
คลื่นลูกที่สามก็กำลังครวญบทเพลงว่าด้วย คุณค่าของโลกไร้พรมแดนและ สำนึกแห่งความเป็นโลกใบเดียวกัน
การปะทะทางความคิดชนิดนี้อาจจะสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงของ
อารยธรรมทั้งสอง และอาจจะกระตุ้นให้เกิด การนองเลือดที่เลวร้ายที่สุดในอนาคตที่จะมาถึงก็ได้"

"การนองเลือดที่เลวร้ายที่สุดในอนาคต" นั้น "ทอฟเลอร์" พยายามสะท้อนมุมมองในแง่ดีเอาไว้ด้วยว่า
แม้นมันอาจจะทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยเกิดความรู้สึกว่า "มันอาจจะเป็นศึกครั้งสุดท้ายระหว่าง
ธรรมะและอธรรม" ในแบบ "สงครามอาร์มาเกดดอน" หรือ "สงครามล้างโลก"
แต่เขาพยายามชี้ให้ชาวอเมริกันเห็นว่า "แม้นในช่วงทศวรรษหน้าจะมีแนวโน้มเต็มไปด้วย
การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ความสับสนอลหม่าน หรือบางทีอาจจะหมายถึงความรุนแรงแผ่ขยายไปทั่ว
แต่เราก็ไม่ได้ทำลายตัวเองจนราบคาบ" เพราะสิ่งที่หลงเหลืออยู่หรือไม่ได้ถูกทำลายลงไปตามทัศนะของ
"ทอฟเลอร์" ก็จะกลายเป็น "ผู้สร้างอารยธรรมใหม่" หรือก่อให้เกิด "การปฏิวัติในระดับโลก" แต่ผู้คนเหล่านั้น
หรือชาติเหล่านั้น หรือผู้นำอารยธรรมแห่งคลื่นลูกที่สามจะเป็นใคร? ทอฟเลอร์ก็ไม่ได้ระบุเอาไว้ชัดเจนนัก

แต่ในการปาฐกถาของนาย "โธมัส อาร์ พิคเกอร์ริ่ง" (http://en.wikipedia.org/wiki/Thomas_R._Pickering) อดีตปลัดกระทรวงต่างประเทศ
ฝ่ายการเมืองของอเมริกา ว่าด้วยเรื่อง "แนวทางยุทธศาสตร์ในอนาคตของสหรัฐอเมริกา" ที่เรียกว่า
"โพลิติคอล มิลลิทารี อะ นิว เธียร์เตอร์ ออฟ โอเปอเรชั่น" หรือ "ยุทธบริเวณใหม่ของยุทธการสหรัฐ
- ทางการเมืองและการทหาร" ในวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1998 ดูจะให้คำอธิบายถึง "ผู้สร้างอารยธรรมใหม่"
หรือ "ผู้นำการปฏิวัติโลก" เอาไว้ค่อนข้างชัดเจน

"พิคเกอร์ริ่ง" ได้มองเห็นถึงความสับสนอลหม่าน และความรุนแรงที่อาจแผ่ขยายไปทั่วโลกในวันข้างหน้าว่า
มันเป็น "ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่" จนทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาอาจจะมีกำลังคน งบประมาณ และทรัพยากร
ไม่เพียงพอที่จะปล่อยให้โลกมีลักษณะเป็น "พหุนิยม" (พลูราลิสติก) หรือโลกที่มีลักษณะของศูนย์อำนาจต่างๆ
จำนวนมากมาย หรือไม่อาจกำหนดยุทธศาสตร์และ นโยบายที่จะรับมือกับโลกในลักษณะนี้ได้ ด้วยเหตุนี้
"สหรัฐฯ จึงไม่มีทางเลือก ที่จะต้อง (สร้างยุทธศาสตร์หรือกำหนดนโยบายเพื่อ) คงบทบาทในการเป็น
ผู้นำโลกเอาไว้ "เพื่อที่จะ" ไม่เพียงแต่จะต้องทำในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น แต่ก็ยังต้องแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูกอีกด้วย"

ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ถูกกำหนดโดยยุทธศาสตร์ให้เป็น "ผู้นำโลก" และเป็นผู้กำหนด "มาตรฐานความถูกต้อง"
และ "มาตรฐานความผิดพลาด" ให้กับโลกตามแนวคิดของ "โธมัส อาร์ พิคเกอร์ริ่ง" ก็จึงมีบทบาทไม่ต่างจาก
"ชาติแห่งคลื่นลูกที่สาม" ในทัศนะของ "ทอฟเลอร์"

เพียงแต่ "ทอฟเลอร์" ไม่ได้แบ่งรายละเอียดของชาติต่างๆ ไปตามลักษณะของศูนย์อำนาจ
ทางการเมืองและการทหาร แต่เขาแบ่งชาติต่างๆ ออกเป็น 3 กลุ่ม หรือ 3 คลื่นอารยธรรม อันได้แก่
ชาติที่อยู่ในอารยธรรมคลื่นลูกที่หนึ่ง หรืออยู่ในพื้นฐานสังคมการเกษตร
ชาติที่อยู่ในกลุ่มคลื่นลูกที่สอง หรืออยู่ในพื้นฐานสังคมอุตสาหกรรม
และชาติที่อยู่ในกลุ่มคลื่นลูกที่สาม ที่จะผงาดขึ้นมาในอนาคต โดยสร้างพื้นฐานสังคม
จากเทคโนโลยีและองค์ความรู้

เขายังพยายาม "จัดแบ่งหน้าที่" ของโลกส่วนต่างๆ เอาไว้ด้วยว่า "ในโลกที่ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนนี้
ส่วนคลื่นลูกที่หนึ่งจะทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรการเกษตรและแร่ธาตุต่างๆ กลุ่มแห่งคลื่นลูกที่สองจะ
จัดสรรแรงงานราคาถูกและทำหน้าที่ผลิตสินค้าจำนวนทีละมากๆ ส่วนชาติแห่งคลื่นลูกที่สามนั้น
จะทำหน้าที่จำหน่ายจ่ายแจกข้อมูล นวัตกรรมการบริหาร การจัดการวัฒนธรรม และวัฒนธรรมตามสมัยนิยม
เทคโนโลยีอันทันสมัย ซอฟต์แวร์การศึกษา การฝึกอบรม การดูแลรักษาพยาบาล การให้บริการทางการเงิน
และอื่นๆ แก่โลก ซึ่งหนึ่งในบริการนั้น อาจหมายถึง การให้ความคุ้มครองด้านการทหารที่เป็นผลจาก
ความเหนือกว่าในด้านการทหารของกองกำลังแห่งคลื่นลูกที่สาม"
(ความเห็นส่วนตัวว่า สำหรับไทยตอนนี้อยู่ในช่วงคลื่นลูกที่หนึ่งและสอง การที่จะก้าวไปสู่คลื่นลูกที่สามได้นั้น
จะต้องปรับปรุงสถาบันการศึกษา (ที่ผู้เรียนคิดแต่จะเข้าสถาบันการศึกษาดีๆ เท่านั้น) ทำให้ทุกสถาบันมี
คุณภาพใกล้เคียงกัน, ค่าเล่าเรียนที่รัฐต้องสนับสนุน และมีจิตสำนึกที่จะช่วยกันพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง
มากกว่าที่จะมาแย่งกันหางานทำในตัวเมือง ปัจจุบันนี้ก็แค่สอนให้รู้จักการใช้เทคโนโลยีเท่านั้น
แต่ไม่สามารถที่จะนำไปประยุกต์ใช้พัฒนาประเทศหรือท้องถิ่นด้วยเทคโนโลยีหรือองค์ความรู้ต่างๆได้
เพราะการศึกษาเมืองไทยไม่ได้สอนให้คนคิดเป็น เพียงแค่รู้และใช้เป็นอย่างเดียว รวมทั้งเป็นการใช้
แบบไม่เกิดประโยชน์สักเท่าไหร่เช่น เพื่อความบันเทิงต่างๆ)

ในยุคอดีตที่ผ่านมา จักรวรรดิบางจักรวรรดิที่เคยผ่านประสบการณ์ความสับสนอลหม่านและความรุนแรง
อันเนื่องมาจากสภาพความเป็น "พหุนิยมทางอำนาจ" อาทิ จักรวรรดิจีนก่อนยุคพระจักรพรรดิ "จิ๋นซีฮ่องเต้"

การรบพุ่งที่ยืดเยิ้อยาวนานถึง 158 ปี สามารถยุติลงไปได้ในช่วงระยะหนึ่ง เมื่อจักรพรรดิจิ๋นซี ค้นพบวิทยาการ
ในการ "ชลประทาน" และสะสมความมั่งคั่งให้กับนครรัฐของตัวเอง จนมีอำนาจพอที่จะทำลายอีก 6 รัฐ
ให้ศิโรราบอยู่ภายใต้ "อำนาจของจักรวรรดิ"

เพื่อคง "บทบาทความเป็นผู้นำจักรวรรดิ" เอาไว้ให้ได้เพื่อ "หลอมละลายนครรัฐต่างๆ ให้กลายเป็นจักรวรรดิ
เดียวกันหมด" จักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ได้ทำการ "ปฏิวัติแผ่นดินจีน" และสร้าง "วัฒนธรรมจีน" จนสามารถฝังราก
อยู่ในแผ่นดินจีนตราบเท่าทุกวันนี้ได้ ด้วยวิธีการนานาชนิด

ภายหลังจาก "ชนะสงคราม" ได้แล้ว พระองค์ "สร้างสันติภาพ" ให้เกิดขึ้นภายในจักรวรรดิด้วยการ "ริบอาวุธ"
ทุกชนิดของราษฏรทั่วราชอาณาจักรและนำเอาอาวุธโลหะหนักประมาณ 1 ล้าน 7 แสนกิโลกรัมมาหลอมเป็น
รูปปั้น 12 รูปตั้งเอาไว้กลางใจเมือง พระองค์จัดระเบียบเศรษฐกิจใหม่ด้วยการรวบรวมตระกูลชาวจีนผู้มั่งคั่ง
หรืออพยพเศรษฐีจำนวน 120,000 ครัวเรือน มารวมไว้ในเมืองหลวง พระองค์ไม่ได้ใช้วิธี "ล้างสมอง" ราษฏร
ที่คิดต่างไปจากพระองค์ด้วยวิธีการที่ประณีตนัก เนื่องจากยังไม่มีเครื่องมือสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการครอบงำ
ความคิดของผู้คนได้เท่ายุคนี้ แต่ใช้วิธีจับเอาบรรดา "นักคิด" หรือผู้มีแนวคิดที่เป็นอุปสรรคกับระบบการปกครอง
ของพระองค์มา "สังหารหมู่" รวดเดียว 460 ศพ และเผาตำรานานาชนิดของนักปราชญ์ ฯลฯ

แผ่นดินจีนที่เคยกระจัดกระจายออกเป็น 6 นครรัฐ หรือ 6 ศูนย์อำนาจ ก็จึงกลายมาเป็น
แผ่นดินเดียวกันของจักรวรรดิ ไม่ต่างไปจากจักรวรรดิกรีกที่สามารถรวบรวมนครรัฐต่างๆ
ให้กลายมาเป็นจักรวรรดิเดียวกันได้ ไม่ต่างไปจากจักรวรรดิโรมันที่เดินตามมาในเส้นทางเดียวกันนี้
และไม่ต่างไปจากจักรวรรดิของนักล่าอาณานิคมทั้งหลาย

"ความเปลี่ยนแปลง" ของมนุษย์ในสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเส้นทางที่ว่า จึงแทบไม่สามารถ
เรียกว่า "อารยธรรมใหม่" ได้เลย เพราะมันล้วนเป็น "สัญชาตญาณดิบ" ที่แปรเปลี่ยนรูปร่าง
ไปตามยุคสมัยต่างๆ เท่านั้น

"สิ่งประดิษฐ์คิดค้น" หรือ "วิทยาการองค์ความรู้ใหม่ๆ" ไม่ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษยชาติไปใน
ลักษณะไหนก็แล้วแต่ แต่ถ้าหากมันไม่สามารถทำให้มนุษยชาติหลุดออกไปจาก "สัญชาตญาณดิบ" เดิมๆ ได้
มันก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า "อารยธรรม"

ด้วยเหตุนี้ แม้นว่า "ทอฟเลอร์" จะตั้งความหวังเอาไว้สูงมากกับ "ผู้ที่หลงเหลืออยู่" หรือผู้ที่ไม่ถูก
"การนองเลือดที่เลวร้ายที่สุด" ทำลายลงไปอย่างราบคาบ ว่าจะสามารถสร้างอารยธรรมใหม่ สร้างสังคม
แห่งคลื่นลูกที่สาม สร้างสันติภาพรูปแบบใหม่ ฯลฯ แต่ "ผู้นำโลก" หรือ "ผู้นำชาติแห่งคลื่นลูกที่สาม" นั้น
ดูๆ ก็แทบไม่แตกต่างไปจาก "จิ๋นซีฮ่องเต้แห่งอนาคต" แม้แต่น้อย


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: Udomkd ที่ กันยายน 04, 2006, 09:39:55 PM
 :OO

http://โอ้...มนุษย์


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 04, 2006, 11:37:41 PM
อารยธรรมในถ้ำอันมืดมิดและสันติภาพของคนตาบอด

"สังคมใหม่" ที่เกิดขึ้นจาก "กลุ่มคนที่เหลือจากการทำลายอันราบคาบ"
"อารยธรรมใหม่แห่งคลื่นลูกที่สาม" ที่ก่อตัวขึ้นมาจาก "การนองเลือดที่เลวร้ายที่สุด" กับ
"อารยธรรมแห่งคลื่นลูกเดิม" จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร?

ที่สำคัญที่สุด มันสามารถนำพากระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์ไปสู่ "สันติภาพ" ที่แท้จริงได้หรือไม่?
นักทำนายอนาคตอย่าง "อัลวิน ทอฟเลอร์" ได้สร้าง "เปลือกนอกที่หรูหรา" เอาไว้ในหนังสือเล่มต่างๆ
ของเขาจำนวนมากมาย แต่ "แก่นสาระ" ที่อยู่ภายใต้เปลือกเหล่านั้น ล้วนสะท้อนให้เห็นหลักการเดิมๆ
แนวทางเดิมๆ สัญชาตญาณเดิมๆ จนก่อให้เกิดคำถามจำนวนมากมาย

"อารยธรรมใหม่" ของ "ทอฟเลอร์" ซึ่งเขาระบุเอาไว้ว่าจะเป็น "ผู้เขียนกฏเกณฑ์แห่งพฤติกรรม
แบบใหม่ให้กับมนุษยชาติ" จะสร้างกฏ ระเบียบ ค่านิยมต่างๆ ขึ้นมาจาก "พื้นฐานชนิดไหน?"

เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า "เนื้อหาอารยธรรมแท้ๆ" นั้น กฏ ระเบียบ ค่านิยมต่างๆ ของอารยธรรม
ที่ใช้เป็นตัวกำกับควบคุมพฤติกรรมมนุษย์นั้น มักจะวางเอาไว้บนพื้นฐานของ "ศีลธรรม" เป็นอันดับแรก

กฏ ระเบียบ ค่านิยมต่างๆ ของประชากรโลกกว่าครึ่งโลกแทบเรียกได้ว่าถูกวางเอาไว้บนพื้นฐานที่
"พระผู้เป็นเจ้า" เขียนให้ หรือในอีกหลายส่วนของโลกก็อาศัยพื้นฐานของ "สัจธรรมสูงสุด"
ในศาสนามาเป็นแนวทาง

ไม่ว่าจะมีความพยายาม "แยกศาสนาออกจากเรื่องทางโลก" (เซ็กคิวลาลิสม์) มากี่ยุคกี่สมัยก็ตาม
ในประวัติศาสตร์ แต่ความเป็น "อารยธรรมแท้ๆ" ของมนุษยชาติ มักจะต้องอาศัย "โลกอันเป็นแม่พิมพ์
สมบูรณ์แบบ" ของศาสนา มาใช้เป็นแนวทางให้กับ "โลกอันเต็มไปด้วยปัจจัยผันแปร" ของมนุษยชาติ

แต่ในพื้นฐาน "อารยธรรมใหม่" ตามแนวคิดของ "ทอฟเลอร์" ใคร ? ที่จะเป็นผู้มีอำนาจในการเขียน
กฏ ระเบียบ กำหนดค่านิยม และจะใช้อะไร? เป็นแนวทาง

ดูเหมือนว่า ผู้ที่มีอำนาจในการเขียนกฏแห่งอารยธรรมใหม่คงหนีไม่พ้นไปจาก "ผู้ควบคุมตลาด"
หรือผู้สั่งสมประสบการณ์ในการ "เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม" และ "สร้างพฤติกรรมการบริโภค"
ในตลาดสังคมอุตสาหกรรมนั่นแหละ ที่จะมีอำนาจต่อไปในการสร้างอารยธรรมแห่งคลื่นลูกที่สาม
และแนวทางของอารยธรรมใหม่ก็คงเป็นไปตามแนวทางเดิมๆ นั่นก็คือ แนวทางที่มุ่งตอบสนอง
ความต้องการอันไม่สิ้นสุดต่อความสมบูรณ์พูนสุขในโลกนี้ของมนุษย์กลุ่มหนึ่ง หรือเป็นไปได้สูงมาก
ที่มาตรฐานของอารยธรรมแบบใหม่นั้น แท้ที่จริงแล้วก็อาศัย "ผลประโยชน์ของเศรษฐกิจแบบใหม่"
เป็นแนวทาง นั่นเอง

อันที่จริงแล้ว โลกในขณะนี้ "อารยธรรมแท้ๆ" ก็ได้ถูกท้าทายและถูกคุกคามจาก "วิทยาการและ
องค์ความรู้ใหม่ๆ" ซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับมนุษย์กลุ่มหนึ่งอย่างชัดเจนอยู่แล้ว

"ระบบเศรษฐกิจใหม่" ที่กำลังพยายามนำเอาองค์ความรู้ในด้าน "เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม"
"เทคโนโลยีหุ่นยนต์คอมพิวเตอร์" "เทคโนโลยีนาโน" ฯลฯ มาใช้ในการวิจัยเพื่อพัฒนาสินค้า
และแผนการตลาดใหม่ๆ ของบรรษัทขนาดยักษ์ จนระบบ "กฏหมาย" และ "ระบบศีลธรรม"
ของประเทศต่างๆ ไม่สามารถรองรับความชุลมุน วุ่นวาย อันเกิดจากการทดลองผสมยีน
ข้ามสายพันธ์ระหว่างพืชกับสัตว์ มนุษย์กับสัตว์ หรือกระทั่งมนุษย์กับเครื่องจักรกล

การพัฒนาคอมพิวเตอร์ที่คิดเองได้ ถูกนำไปใช้กับระบบอาวุธมากขึ้น การจำลองแบบตัวเอง
ของเครื่องจักรกลขนาดจิ๋ว ยังก่อให้เกิดคำถามใหม่ๆ ต่อการควบคุมประดิษฐกรรมชนิดนี้ ฯลฯ

ภายใต้แรงกระตุ้นจาก "ความต้องการอันไม่สิ้นสุด" เหล่านี้ ถ้าหากมาตรฐานทางศีลธรรม
ในอารยธรรมเดิมๆ ไม่สามารถรับมือได้ "อารยธรรมใหม่" ก็คงจะต้องอาศัย "ความไร้ศีลธรรม" นั่นเอง
มาเป็นมาตรฐานในการสร้างกฏ ระเบียบ ค่านิยม ต่อไป และกฏ ระเบียบ ค่านิยม ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่
มันคงไม่ต่างไปจากกฏของสัตว์ป่า ระเบียบของจักรวรรดิยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ หรือค่านิยมแบบ
ชาร์ลส ดาร์วิน ที่ "ผู้แข็งแรงกว่า" ย่อมสามารถทำลาย "ผู้ที่อ่อนแอกว่า" ด้วยข้ออ้างว่าด้วย
ทฤษฏีวิวัฒนาการในแต่ละขั้น

"สังคมใหม่" ที่ถูกวาดภาพให้ดูน่าประทับใจ ด้วยการนำเอา "บ้าน" ที่ถูกปรับสภาพเป็น
"เรือนอิเล็กทรอนิกส์" (อิเล็กทรอนิกส์ คอทเทจ) มาใช้เป็น "ศูนย์กลางของสังคม"

"ทอฟเลอร์" ได้ย้ายหน้าที่การงานในบริษัท ระบบการศึกษาในโรงเรียน การตรวจสุขภาพ
ในโรงพยาบาล ฯลฯ เข้ามารวมศูนย์อยู่ในบ้าน จนทำให้การ "ชุลมุนวุ่นวาย" ของ "พ่อ-แม่-ลูก"
ภายในบ้านแห่งอนาคตกลายเป็นการสร้าง "คุณค่าสถาบันครอบครัวแบบใหม่" โดยไม่จำเป็น
จะต้องไป "รื้อฟื้นคุณค่าแห่งสถาบันครอบครัวแบบเดิม" ที่สูญหายไปเพราะอารยธรรม
แห่งยุคอุตสาหกรรมอีกต่อไปแล้ว

แต่การนัวเนียของ พ่อ แม่ ลูก ภายในบ้านในระยะเวลาที่เพิ่มขึ้นนั้น มันจะสามารถทำให้บ้านนั้น
เกิดความ "อบอุ่น" เกิดสายใยที่กลายเป็น "คุณค่า" แบบเดียวกับคุณค่าของสถาบันครอบครัว
ในสังคมเดิมๆ ได้หรือไม่?

ถ้าหากมาตรฐานของอารยธรรมใหม่นั้นก่อให้เกิดสภาพของบ้านแต่ละแห่ง ประกอบไปด้วย
พ่อที่เป็นชาย แม่ที่เป็นชาย หรือพ่อที่เป็นหญิง แม่ที่เป็นหญิง ชุลมุนวุ่นวายอยู่กับลูกสาว-ลูกชาย
ที่กำเนิดมาจากกระบวนการตัดต่อยีน การคัดเลือกพันธ์จากธนาคารสเปิร์ม หรือลูกที่เกิดจากการ
"โคลนนิ่ง"

ครอบครัวแบบใหม่ที่พยายาม "รวมศูนย์" ทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ในบ้าน จะกลายเป็นบ้านที่
"แยกตัวออกจากสังคม" มากน้อยขนาดไหน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ "ความเป็นชาติ"
"เอกลักษณ์ชุมชนท้องถิ่น" หรือสายใยทาง "วัฒนธรรมชุมชน" ซึ่งเกิดมาจากความเป็นปึกแผ่น
หรือจากกิจกรรมของชุมชนเมื่อครั้งอดีต ถูกทำลายลงไปหมดแล้ว เพื่อหลีกทางให้กับ
"ความดีงามอันกว้างใหญ่ไพศาล" ที่ถูกควบคุมไว้ที่ศูนย์กลางจักรวรรดิเข้ามาแทนที่ครอบครัว
ที่กระจุกตัวอยู่บน "ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน" จนกลายเป็น "ประเทศครอบครัว" ไปแล้ว
จะมีอำนาจตอบโต้กับ กฏ ระเบียบ ค่านิยม ที่ถูกเขียนขึ้นโดย "อารยธรรมแบบใหม่" ได้มากน้อย
ขนาดไหน?

"เฮอร์แมน อี ดาลี" อดีตผู้บริหารธนาคารโลกซึ่งลาออกจากตำแหน่งในธนาคารโลก
เมื่อปี ค.ศ. 1994 ได้พูดเอาไว้นานแล้วในการปาฐกถาอำลาว่า

"โลกาภิวัตน์นั้นนอกจากมันจะทำให้พรมแดนระหว่างประเทศหมดไปแล้ว มันยังทำให้อำนาจ
ของประชาชนและชุมชนย่อยๆ ลงมา ไร้ความสำคัญลงไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็จะส่งเสริม
ให้อำนาจของบรรษัทข้ามชาติแข็งแกร่งยิ่งขึ้น"


"ครอบครัวของสัตว์ป่า" ที่ถูกกักขังอยู่ในกรงขังของ "สวนสัตว์" มันจะเกิดความอบอุ่น
จนไม่คิดทวงถามถึง "อิสรภาพ" ของมันเลยหรือไม่?

แต่ "ครอบครัวของมนุษย์" ที่ถูกกักขังอยู่ใน "อารยธรรมแบบใหม่" หรือ "สังคมแบบใหม่" อาจจะแตกต่าง
ไปจากสัตว์ป่าในสวนสัตว์อยู่บ้าง และภายใต้ความไม่พึงพอใจต่ออารยธรรมใหม่ หรือสังคมใหม่ "สันติภาพ"
ในแบบใด ที่จะสามารถสร้างความสงบร่มเย็นให้กับยุคสมัยแห่งคลื่นลูกที่สาม?

สิ่งที่นักโลกานิมิตคิดเอาไว้ ก็ไม่ต่างไปจาก "คนตาบอด" ที่พยายามจูง "คนตาดี"
เข้าไปทะเลาะกันในถ้ำอันมืดมิดนั่นเอง


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 04, 2006, 11:59:44 PM
"เหตุผลแท้ๆ"
ที่อยู่เบื้องหลังข้ออ้างนานาชนิด ก็เป็นที่เข้าใจกันในหมู่ชาวโลกที่ยังไม่ถึงกับ "ปัญญาอ่อน"
เพราะการครอบงำจากสื่อมวลชนอเมริกันทั้งหลาย

 ;)

ชาวไทยที่ไม่ปัญญาอ่อนไปกับสื่อรัฐก็มีเยอะเหมือนกันครับ
ขอบพระคุณพี่ narongt มากครับที่เอามาให้อ่านครับ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 05, 2006, 12:19:28 PM
"เหตุผลแท้ๆ"
ที่อยู่เบื้องหลังข้ออ้างนานาชนิด ก็เป็นที่เข้าใจกันในหมู่ชาวโลกที่ยังไม่ถึงกับ "ปัญญาอ่อน"
เพราะการครอบงำจากสื่อมวลชนอเมริกันทั้งหลาย

 ;)

ชาวไทยที่ไม่ปัญญาอ่อนไปกับสื่อรัฐก็มีเยอะเหมือนกันครับ
ขอบพระคุณพี่ narongt มากครับที่เอามาให้อ่านครับ

รับทราบครับผม


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 05, 2006, 12:20:16 PM
สงครามที่ปราศจากเลือดและสันติภาพที่ปราศจากจิตวิญญาณ

"อัลวินและไฮดี้ ทอฟเลอร์" พยายามวาดภาพถึงพัฒนาการขององค์ความรู้และวิทยาการใหม่ๆ
ที่อาจจะทำให้เกิดสิ่งที่เขาเรียกว่า "สงครามที่ปราศจากเลือด"

เขาได้อ้างถึงความพยายามค้นคว้าและวิจัยของ "เจเน็ต มอริส" และ "คริส มอริส" ถึง "อาวุธสงคราม"
ที่จะทำให้เกิด "สงครามที่หลีกเลี่ยงความตาย" ด้วยการวาดภาพ "ผู้เดินขบวนประท้วงหน้าสถานทูต"
กำลังก้มหน้าอาเจียนและถ่ายของเสียเมื่อบุกเข้ามาใกล้กำแพงสถานทูต ฝูงชนที่ไม่พอใจรัฐบาล
ปั่นป่วนมึนงงด้วยเครื่องสร้างคลื่นเสียงอินฟราซาวนด์หรือคลื่นเสียงความถี่ต่ำ ปืนเลเซอร์ที่จะยิง
ฝ่ายตรงข้ามให้เกิดอาการ "ตาบอดชั่วขณะ" รถถังและรถบรรทุกทหารที่ไม่สามารถวิ่งต่อไปได้
เพราะจะถูกสารโพลีเมอร์ยึดล้อรถเอาไว้กับถนน สเปรย์ที่ถูกฉีดใส่สะพาน สนามบิน ลิฟต์ หรือ
อาวุธจนทำให้สิ่งของนั้นเปราะและหักพังโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องยิงระเบิดถล่ม หัวจรวดกระตุ้นด้วย
ระบบอิเล็กโครแมกเนติกที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ที่สามารถทำลายระบบเรดาร์ เครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์
และคอมพิวเตอร์ของฝ่ายตรงกันข้าม ไปจนถึง "การขายอาวุธ" ที่ถูก "ติดกลไกพิเศษให้สามารถ
ทำลายตัวเอง" โดยที่ผู้ซื้อไม่สามารถตรวจพบ ซึ่งจะสามารถถูกสั่งการให้ทำลายตัวเองก่อนที่จะ
ถูกใช้ไปทำลายผู้อื่น ฯลฯ

และด้วยจินตนาการถึง "สงครามที่ปราศจากเลือด" อันพิลึกกึกกือเช่นนี้ ก็อาจจะมีส่วนทำให้
เขามองเห็นรูปแบบของ "สันติภาพ" ในแบบที่ "ปราศจากจิตวิญญาณ" ไปด้วย

"ทอฟเลอร์" ได้วาดภาพของสันติภาพบนโลกยุคใหม่ถูกที่ "แบ่งออกเป็นสามส่วน" หรือเมื่อ
"พรมแดนของรัฐชาติ" หมดความสำคัญลงไป "แผนที่โลก" จะถูกเขียนขึ้นมาจากระบบการปกครอง
ระบบเศรษฐกิจ และอารยธรรมที่แตกต่างกันใน 3 ลักษณะ หรือ "อารยธรรม 3 เสี้ยว"

ส่วนที่ "จมปลัก" อยู่กับ "สังคมการเกษตร" หรือถูกทำให้ "จมปลัก" อยู่กับ "อารยธรรมการเกษตร
แห่งคลื่นลูกที่หนึ่งต่อไป" จะรับหน้าที่ "ด้านสิ่งแวดล้อม" (หรืออันที่จริงก็คือการเป็นถังขยะ) ให้กับ
สังคมสมัยใหม่ "ป้องกันป่า ท้องฟ้า และความเขียวของตน" การถูก "มอบหมาย" หรือ "บังคับ"
ให้ทำหน้าที่นี้ก็แล้วแต่ "ทอฟเลอร์" อ้างว่าเพื่อ "ความดีอันเป็นสากล แม้ว่าบางครั้งมันอาจจะทำให้
พัฒนาเศรษกิจไม่ได้" ส่วนที่ยังไม่อาจ "ดิ้นรน" ขึ้นมาอยู่ในอารยธรรมคลื่นลูกที่สามได้ หรือยังต้องอยู่
ในฐานะ "คลื่นลูกที่สอง" ก็จะรับหน้าที่จัดหา "แรงงานราคาถูกๆ ผลิตสินค้าปริมาณมากๆ จัดหาวัตถุดิบ
เพื่อมาผลิตสินค้า และหาตลาดระบายสินค้า" ต่อไป

และแน่นอนที่สุด ส่วนที่เป็น "คลื่นลูกที่สาม" นั่นเอง ที่จะมีอำนาจเศรษฐกิจที่มั่งคั่งที่สุด
และมีเทคโนโลยีการทหารสูงสุด ก็จะเป็นผู้ "กำหนดสงครามและสันติภาพ" ให้กับโลกต่อไป

รูปแบบสันติภาพของ "ทอฟเลอร์" สามารถเกิดขึ้นได้ในลักษณะที่ "เมื่อเราเอาความเปลี่ยนแปลง
ทั้งมวล (โลกทั้ง 3 ส่วน) มาเสียบปลั๊กไฟ มันจะกลายเป็นระบบโลกแห่งศตวรรษที่ 21 เป็นต้นตอ
แห่งสงครามและสันติภาพ" เขาสรุปเอาไว้ง่ายๆ และเต็มไปด้วยความคิดแบบ "กลไก" โดยไม่มี
ความรู้สึกที่เกี่ยวกับเลือดเนื้อ วิญญาณให้เห็นแม้แต่น้อย

เขากล่าวเอาไว้ด้วยว่า "การสร้างสันติภาพนั้น ไม่อาจนำเอาวิธีการของการแก้ปัญหา
ทางเศรษฐกิจ-สังคม (ความยากจนและความอยุติธรรม) รวมทั้งศีลธรรมของโลกมาใช้ได้"
แต่ "สันติภาพในรุ่งอรุณแห่งศตวรรษที่ 21 ต้องการการผ่าตัดโดยรีบด่วนและแพทย์
ที่ทำการผ่าตัดนั้นคือ สิ่งที่จับต้องไม่ได้ นั่นคือ ความรู้"

จินตนาการอันพิลึกกึกกือ ที่ถูกสรุปมาเป็นกุญแจดอกสำคัญของการแก้ไขไปสู่สันติภาพของ
"ทอฟเลอร์" อาจจะน่าสนใจอยู่พอสมควรเพียงแต่เขาไม่ได้อธิบายเอาไว้ให้ชัดเจนว่า
ความรู้ที่ว่านั้นคือ ความรู้ในแบบไหน? ความรู้ที่ถูกนำไปใช้ในทิศทางแบบใด และอะไรคือ
จุดมุ่งหมายของความรู้นั้นๆ รวมทั้ง ใคร? คือผู้ใช้ความรู้ดังกล่าว อย่างที่พยายามเรียบเรียง
ให้เห็นมาตั้งแต่ต้นว่า "ความรู้นานาชนิด" ที่อุบัติขึ้นมาในแต่ละช่วงประวัติศาสตร์ แทนที่มันจะนำ
"สันติภาพ" มาสู่ยุคสมัยต่างๆ มันกลับถูกนำไปใช้จนเกิด "สงคราม" มาตลอดเส้นทางวิวัฒนาการ
ของมนุษยชาติกันเลยก็ว่าได้

ความรู้ในการผลิตเหล็กของชาว "อัสซีเรีย" ความรู้ในการพัฒนากองทัพของชาว "กรีกและโรมัน"
ความรู้ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมของ "นักล่าอาณานิคมตะวันตก" ฯลฯ ล้วนแต่เป็นความรู้ที่ทำให้เกิด
"สงคราม" ในแต่ละยุคสมัย เนื่องจากผู้ใช้ความรู้นั้นๆ ต่างมุ่งไปสู่ทิศทางที่ต้องการให้ความรู้นั้น
ก่อให้เกิดความสุขสมบูรณ์อันไม่สิ้นสุดกับตัวเองเป็นหลัก

ในหนังสือ "ปรัชญาอินเดีย" ที่เขียนและเรียบเรียงโดย "อดิศักดิ์ ทองบุญ" หัวหน้ากองธรรมศาสตร์และ
การเมืองแห่งราชบัณฑิตยสถาน ในปี ค.ศ. 1981 ได้อธิบายถึง "กระบวนการความรู้" ของชาวอินเดีย
ยุคโบราณเอาไว้ว่า

"คนอินเดียโบราณ ถือเป็นคติชีวิตว่า จงอยู่เพื่อหาความรู้ ไม่ใช่หาความรู้เพื่ออยู่ คติชีวิตนี้ไม่ได้คัดค้าน
การเล่าเรียนวิชาชีพเพื่อใช้เป็นเครื่องมือประกอบอาชีพให้อยู่เป็นสุขสบายในโลกนี้ เท่าที่พอจะหาได้
ว่าไม่มีความจำเป็น แต่ถือว่า นั่นไม่ใช่จุดประสงค์สูงสุดเท่านั้น เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความรู้สูง
(ในทางโลก) แต่ใช้ความรู้ไปในทางที่ผิด เพื่อประโยชน์แก่ตนและพรรคพวกของตนเองแต่อย่างเดียว
และมีคนอีกจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่มีความรู้ดีในหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ไม่รู้จักตัวเองเลย
การอยู่เพื่อหาความรู้นั้นๆ หมายความว่า จุดประสงค์สูงสุดของการเกิดมาก็เพื่อศึกษาให้รู้ว่า ตัวเราคืออะไร
เกิดขึ้นมาอย่างไร? มีเงื่อนไขหรือปัจจัยอะไรให้เกิดให้เป็นอยู่ ตลอดจนให้เป็นไปอย่างไรต่อไป
เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องนี้แล้วก็จะไม่ หลงผิด ไม่ยึดมั่นถือมั่นอยู่กับสิ่งที่เป็นมายาของโลกต่อไป
แต่จะใช้ชีวิตอันน้อยนิดในโลกนี้ให้เป็นคุณประโยชน์ทั้งแก่ตนและผู้อื่นให้มากเท่าที่จะทำได้
เพราะเขาถือว่า โลกนี้เป็นเพียงเวทีหรือสถานศึกษาเท่านั้น หาใช่ที่พำนักอันถาวรไม่"

อันที่จริง "คติชีวิต" เช่นนี้ ก็ไม่ใช่มีอยู่ในเฉพาะคนอินเดียยุคโบราณเท่านั้น แต่บรรดาชาวอียิปต์โบราณ
ชาวฮิบรูยุคอดีต ชาวเปอร์เซีย ชาวบาบิโลน ฯลฯ ที่ค้นพบความรู้ในด้านคณิตศาสตร์ วิศวกรรม ดาราศาสตร์
การแพทย์ ฯลฯ ก็ดูจะมี "คติชีวิต" ไม่ต่างกันมากมายนัก กระบวนการใช้ความรู้ของผู้คนเหล่านี้จึงมุ่งไปสู่
"การค้นหาความหมายในชีวิต" ไปจนถึง "การค้นหาพระผู้เป็นเจ้า" แตกต่างไปจาก "ชาวกรีก"
ที่ไปลอกเลียนความรู้มาจากผู้คนเหล่านี้และเริ่มนำเอามาใช้ "ตอบสนองความสุขสมบูรณ์ของตนเอง"
และส่งมอบต่อให้กับ "ชาวโรมัน" จนตกทอดไปสู่ชาวยุโรป "ที่ก่อกำเนิด" การปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นมา
บนพื้นฐานแบบที่ "ฟรังซิส เบคอน" เคยว่าไว้นั่นเอง คือ "จุดมุ่งหมายของการวิทยาการและการค้นหา
องค์ความรู้ใหม่ๆ ก็คือ มุ่งตอบสนองความต้องการความสุขสมบูรณ์ของมนุษย์จากสิ่งที่ค้นพบ" เป็นหลัก

มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจนัก เมื่อเรามองย้อนกลับไปยังประวัติศาสตร์แล้วพบว่า "ศาสนาหลักๆ"
ที่ปรากฏขึ้นมาในโลกและนำมาซึ่ง "สันติภาพภายในจิตวิญญาณ" ให้กับพลโลกทั้งมวลจนกระทั่งทุกวันนี้
ล้วนก่อเกิดขึ้นจาก "อารยธรรมตะวันออก" ที่ครอบคลุมยุคแห่งคลื่นลูกที่หนึ่ง คลื่นลูกที่สอง และจะคง
ความสำคัญต่อยุคคลื่นลูกที่สามอีกต่อไป ไม่ว่าพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ฯลฯ ในขณะที่ "สงครามหลักๆ"
ที่ปรากฏขึ้นมาในระดับ "สงครามโลก" และนำมาซึ่งการทำลายล้างมนุษยชาติและธรรมชาติ
ทำลายจิตวิญญาณของพลโลกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ล้วนก่อเกิดขึ้นมาจาก "อารยธรรมตะวันตก" สร้างความปั่นป่วน
วุ่นวายให้กับยุคคลื่นลูกที่หนึ่ง คลื่นลูกที่สอง และการก้าวสู่ยุคคลื่นลูกที่สามในระดับที่เลวร้ายที่สุด
เท่าที่เคยมีมาเลยก็ได้

ความแตกต่างระหว่าง "สงครามและสันติภาพ" มันจึงน่าสรุปได้หรือไม่ว่า มันคือ
ความแตกต่างในการใช้ความรู้ไปในทิศทางใด? หรือควรจะตั้งคำถามต่อไปในอนาคตด้วยหรือไม่ว่า
เราจะสามารถหลุดออกไปจาก "วัฏจักรแห่งสงคราม" และ "สร้างสันติภาพที่แท้" ขึ้นมาในอนาคต
ได้โดยการเปลี่ยนทิศทางในการใช้ความรู้ เพื่อนำไปสู่ "กระบวนการวิวัฒนาการ" แบบใหม่ได้หรือเปล่า?


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 05, 2006, 02:42:36 PM
กระบวนการวิวัฒนาการใหม่กับโลกพระศรีอาริย์

อันที่จริงแล้ว ถ้าหากเราย้อนหลังกลับเป็นพันๆ ปี เราสามารถพบเห็น "นักโลกานิมิต"
ที่เคยวาดภาพของ "โลกอนาคต" ด้วยสีสันสดใสไม่น้อยกว่านักโลกานิมิตยุคนี้จำนวนมากมาย
และก็เป็นเรื่องที่น่าแปลก ที่เราสามารถค้นพบจินตนาการแห่งโลกอนาคตได้ในศาสนาแทบทุก
ศาสนาในโลกนี้ ชาวฮินดูอาจจะคุ้นเคยกับโลกภายหลังจากการเสด็จมาของ "กัลกี" พระวิษณุ
ผู้อวตารลงมาสู่โลกมนุษย์บนหลังม้าสีขาว ชาวคริสต์อาจจะฝันถึงสันติสุขและความสงบร่มเย็น
อย่างไม่เคยมีมา เมื่อ "พระเมซิอาห์" เสด็จกลับมาสู่โลกมนุษย์ ในหมู่ชาวพุทธได้มีการอ้างถึง
คำพูดของพระศาสดาหรือพระพุทธเจ้าโดยตรง ว่าด้วยยุคๆ หนึ่งที่อุบัติขึ้นในโลกจนความมั่งคั่ง
สมบูรณ์พูนสุขนั้นก่อให้เกิดพระศาสดาองค์ใหม่ชื่อว่า "เมตไตรย"

ความสมบูรณ์พูนสุข สันติภาพ และวิทยาการที่ปรากฏในมโนภาพของโลกยุคพระศรีอาริยเมตไตรยนั้น
อาจจะไม่มีรายละเอียดลึกลงไปถึงระบบการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม หรือการทหารอย่าง
นักโลกานิมิตยุคใหม่ แต่ภายใต้ข้อความที่ดูเหมือนถูกสร้างออกมาจากจินตนาการล้วนๆ นั้น
มันอาจจะสะท้อนให้เราพอมองเห็นภาพรางๆ ของ "เส้นทางการวิวัฒนาการแบบใหม่" กันใน
ระดับพื้นฐานได้บ้าง

ภายใต้จินตนาการที่เมืองต่างๆ "แออัดยัดเยียดไปด้วยมนุษย์" หรือจำนวนประชากร
ทบเท่าทวีคูณ อย่างไรก็ตาม อาคารบ้านเรือนและการติดต่อสื่อสารระหว่างมนุษย์เป็นไปแบบ
"มีคามนิคมราชธานีแบบไก่บินถึง" แต่ภายใต้จินตนาการที่ว่านี้ไม่ได้สะท้อน "ความขาดแคลน" ใดๆ
เอาไว้เลย กลับกล่าวถึง "ความมั่งคั่ง" ในแบบที่ "มีคนมาก" แต่ "อาหารหาง่าย" จนมนุษยชาติจะ
"มีโรคเพียง 3 อย่าง" คือ 1. ความปรารถนา (อยากอาหาร) 2. ความไม่อยากกินอาหาร
(เกียจคร้านอยากจะนอน) และ 3. ความแก่

ชาวเอเชียจำนวนไม่น้อยเคยนอนฟังเรื่องเล่าที่ตกทอดสืบต่อมาเป็นรุ่นๆ จนกลายเป็นตำนาน
ถึงสีสันอันสดใสของโลกในอนาคตในแง่มุมต่างๆ อย่างตื่นตาตื่นใจกันมาตั้งแต่ครั้งอดีต
ไม่ว่าพฤติกรรมของผู้คนที่ "มีความพอใจในการเป็นอยู่" "ไม่มีการเบียดเบียน" บ้านที่ไม่มีประตู
เพราะไม่มีขโมยหรือคนร้าย ผู้คนที่ออกจากบ้านเรือนของตัวเองแล้วแทบจำใครต่อใครไม่ได้
เพราะผู้คนในท้องถนน อาคาร หล่อเหลา-สวยงามเหมือนกันหมด กิริยาอาการสุภาพ จิตใจดีงาม
เหมือนกันหมด วัตถุที่จะนำมาตอบสนองความต้องการในชีวิตสามารถสอยเอาได้จาก
"ต้นกัลปพฤกษ์" ที่ตั้งอยู่ทุกทิศทุกทาง ฯลฯ

แน่นอน โลกจินตนาการเช่นนี้ไม่มีโอกาสเป็นจริงหรือมีเค้าโครงของความจริงแม้แต่ส่วน
เล็กๆ น้อยๆ ได้เลย ถ้าหากเราใช้ "กระบวนการวิวัฒนาการ" ของมนุษย์ในอดีตนับตั้งแต่
เริ่มต้นประวัติศาสตร์มาเป็นพื้นฐานในการพิจารณา "ความหิวโหย-ความขาดแคลน" ที่ทำให้
มนุษย์ออกไล่ล่าแย่งชิงอาหารในแบบเดียวกันกับสัตว์ป่า ความยากลำบากในการติดต่อสื่อสาร
ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจระหว่างกันและกันทำได้ยาก ความขัดแย้งแตกต่างทางความเชื่อ-
วัฒนธรรม-ประเพณี นำมาซึ่งการรบราฆ่าฟันได้เสมอๆ ความแตกต่างของสีผิว-เพศ-เผ่าพันธ์
และความเป็นชนชาติทำให้เกิดการมองมนุษย์ด้วยกันเองว่าไม่ใช่มนุษย์ ผลประโยชน์ ของ
"ปัจเจกบุคคล" ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองว่าหรือมนุษย์กับธรรมชาติ
ต้องถูกบังคับเอาไว้ด้วยกฏระเบียบทางการเมืองและกฏเกณฑ์ทางเศรษฐกิจกันต่อไป ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็น "ข้อเท็จจริง" ที่ปรากฏอยู่ตลอดเส้นทางวิวัฒนาการนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้
ด้วยเหตุนี้ กระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์จึงไม่ต่างอะไรไปจาก "วัฏจักร" ที่หมุนวนเป็นรอบๆ
และในแต่ละรอบ ไม่สามารถหลีกเลี่ยง "สงคราม" ได้เลย ตั้งแต่สงครามขนาดเล็กไปจนถึง
สงครามขนาดใหญ่ และยิ่งนานวัน ดูเหมือนวงรอบของวัฏจักรที่ว่านี้ยิ่งมีอัตราความเร็ว
ในการหมุนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อัตราเร่งที่เพิ่มขึ้นมันจึงทำให้โลกไม่เคยขาดสงครามหรือ
แทบไม่มีช่วงเวลาระยะยาวของสันติภาพ ยิ่งไปกว่านั้น "วิทยาการ" หรือ "องค์ความรู้"
ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนของการวิวัฒนาการ ได้มีส่วนทำให้อัตราความรุนแรงของสงคราม
รุนแรงยิ่งขึ้นไปด้วย

ถึงแม้นจะมีความพยายามสร้าง สงครามที่ปราศจากเลือดด้วยความมุ่งมั่นเพียงใดก็ตาม
แต่ "สันติภาพที่ปราศจากวิญญาณ" นั้นก็จะนำเราไปสู่การทำลายล้างที่รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก

ด้วยเหตุนี้ เราจึงเหลือเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะต้องเริ่มต้นมองอนาคต จากการใช้
"แนวทางวิวัฒนาการ" แบบใหม่เข้ามาเป็นพื้นฐานในการพิจารณา หรือเราจะต้องหาทาง
"เปลี่ยนเส้นทางวิวัฒนาการ" ให้แตกต่างไปจากอดีตให้ได้ หรือถึงแม้นเราจะยังไม่อาจค้นหา
หนทางที่จะหลุดออกไปจาก "วัฏจักรแห่งการวิวัฒนาการ" แต่การหาทางทำให้วงรอบของ
การหมุนวนของวัฏจักรมัน ช้าลงไปได้เท่าไหร่ ช่วงเวลาแห่ง "สันติภาพ" ก็จะยาวนานขึ้นเท่านั้น
และช่วงเวลาแห่งสันติภาพยาวนานขึ้นเท่าไหร่ สิ่งที่จะปรากฏในขั้นตอนต่อไปของการวิวัฒนาการ
จึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็น "อารยธรรม" ที่แท้จริง อารยธรรมที่ทำให้เราแตกต่างไปจาก
สัตว์เดียรัจฉาน ไม่ใช่อารยธรรมที่นำเรากลับไปสู่ธรรมชาติแห่งสัตว์เดียรัจฉานมากขึ้นเรื่อยๆ

ว่าไปแล้ว "วิทยาการ" และ "องค์ความรู้" ที่เรามีอยู่ในขณะนี้ มันสามารถนำไปสร้างเค้าโครง
ความเป็นไปได้ของโลกจินตนาการที่มีมานานนับพันๆ ปีอย่าง "โลกพระศรีอาริย์" ได้ไม่น้อยทีเดียว
แม้นว่าอาจจะไม่เป็นไปตามจินตนาการได้ทั้งหมด ภายใต้ปริมาณที่เพิ่มขึ้นของประชากรโลก
ที่อาจจะทำให้เมืองต่างๆ "ยัดเยียดไปด้วยมนุษย์" นั้น ความขาดแคลนอาหารอาจจะไม่มีอยู่เลย
ถ้าหากมันเกิด "การแบ่งปัน" อย่างเป็นจริงเป็นจังขึ้นในกระบวนการวิวัฒนาการใหม่

เราพยายามค้นหา "ต้นกัลปพฤกษ์" ที่สามารถแจกจ่ายปัจจัยการดำรงชีวิตของมนุษย์
อย่างไม่ขาดแคลนไม่ว่าอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค เครื่องอุปโภค-บริโภค ด้วยการคิดค้น
"ระบบเศรษฐกิจ-การเมือง" บางชนิดขึ้นมาในบางยุค แต่มันก็ไม่ประสบความสำเร็จซักเท่าไหร่
เพราะการค้นหาเหล่านั้นไม่ได้มองไปถึงการ "เปลี่ยนเส้นทางวิวัฒนาการ" แต่มันเป็นการค้นหา
ภายใต้เส้นทางวิวัฒนาการแบบเดิม ต้นกัลปพฤกษ์ แต่ละต้นในสังคมที่พยายามจะจัดสรรการแบ่งปัน
ทรัพยากรเพื่อให้เกิด ความเท่าเทียมกัน หรือเกิด "ความไม่มีชนชั้น" ในสังคมนั้นๆ ก็เลยเหี่ยวเฉาและ
ค่อยๆ ตายลงไป หรือถูกหักโค่นในช่วงเวลาสั้นๆ ของประวัติศาสตร์ ดังเห็นได้จากการ
"ล่มสลายของอุดมการณ์สังคมนิยม" และเราก็หันกลับมาวิวัฒนาการไปสู่โลกอนาคตด้วย
ธรรมชาติของเดียรัจฉานกันต่อไป


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 05, 2006, 05:31:07 PM
ความล้มเหลวของสังคมนิยมภายใต้เส้นทางวิวัฒนาการแบบเก่า

"ไมเคิล โนวาค" นักวิชาการอเมริกันรายหนึ่ง ได้วิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวของ
ระบบสังคมนิยม ด้วยลีลาเยาะเย้ยเสียดสีในฐานะที่เขาเป็นนักคิดฝ่ายทุนนิยมชัดเจน
แต่ถ้อยคำเยาะเย้ยในบางประโยคก็สามารถทำให้นักสังคมนิยมที่ตั้งความหวังถึงสังคม
ที่เท่าเทียมกัน สังคมที่เน้นการเฉลี่ยแบ่งปันมานานเกือบครึ่งศตวรรษ อาจจะต้อง "นิ่งอึ้ง"
ไปได้เหมือนกัน เขากล่าวเอาไว้ว่า

"หลายคนที่อ้างว่าปรารถนาระบอบสังคมนิยมนั้น แท้ที่จริงแล้วพวกเขามิได้ปรารถนา
สถาบันทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะชุดหนึ่ง แต่ปรารถนา มนุษย์คนใหม่ มากกว่า
พวกเขาต้องการสังคมที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน สังคมที่มีความกรุณา สังคมที่มีความไม่เห็นแก่ตัว
แต่พวกเขาได้รวมเอาภาพของสังคมที่มีพลเมืองแบบ ชาวคริสต์แบบนักบุญ กับภาพของสถาบันเศรษฐกิจ
แบบสังคมนิยมเข้าด้วยกันในระดับหนึ่ง อย่างไร้เดียงสา ด้วยเหตุนี้ ระบบสังคมนิยมจึงเกิดปัญหาสำคัญๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ขาดการตรวจสอบในเรื่องอำนาจ และมันไม่ได้ทำให้ระบบสังคมนิยมสามารถขจัด
ความเห็นแก่ตัวได้ แต่มันได้แปลงความเห็นแก่ตัวไปสู่การแสวงหาอำนาจทางทหารและการบริหารประเทศ"

อันที่จริงแล้ว กระแสความคิดแบบ "สังคมนิยม" ที่ก่อเกิดขึ้นมาในประมาณศตวรรษที่ 16 นั้น
มันเริ่มต้นมาจากการมองเห็นความเลวร้าย ความไม่เป็นธรรม การเอารัด-เอาเปรียบกันระหว่าง
มนุษย์ต่อมนุษย์ที่ดำเนินต่อเนื่องกันมานานแล้ว การปรากฏตัวของกระแสความคิดชนิดนี้
จึงไม่ได้เป็นสิ่งที่ไร้ค่าหรือผิดพลาดแต่อย่างใด แต่มันเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความผิดพลาด
ในเส้นทางวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ผ่านมาในอดีตได้อย่างชัดเจนต่างหาก

แต่ความพยายามเอาชนะหรือการแสดงตัวเป็น "ปฏิปักษ์" กับระบบทุนนิยมมาตั้งแต่ต้นนั้น
ได้ถูกพัฒนาไปสู่การเอาชนะฝ่ายตรงกันข้ามภายใต้แนวทางวิวัฒนาการแบบเดียวกันเป็นหลัก
เป็นไปตามพื้นฐานความเชื่อที่มีพื้นฐานมาจากอารยธรรมตะวันตกสืบทอดกันมานั่นเอง นั่นก็คือ
การมองเห็นความสมบูรณ์พูนสุขของมนุษย์อันเนื่องมาจากได้รับการตอบสนองทาง "วัตถุ" เป็นสำคัญ
ความพยายามสร้างความเท่าเทียมกันด้วยการ "แบ่งปันทางวัตถุ" จึงไม่ได้ทำให้กระบวนการ
วิวัฒนาการของสังคมนิยมประสบความสำเร็จในการ "ยกระดับทางจิตใจ" ของผู้คนแต่อย่างใด

แรงผลักดันที่ทำให้ผู้คนในหลายๆ สังคมหลายๆ ประเทศ หันไปหาแนวทางสังคมนิยมในอดีตก็อาจจะไม่ได้
เริ่มต้นจากความเป็น "ชาวสังคมนิยม" มาแต่แรก หลายต่อหลายบุคคล หลายต่อหลายประเทศ อาจจะเริ่มต้น
ความเป็นสังคมนิยมด้วย "นักชาตินิยม" ด้วย "นักต่อสู้เพื่อเสรีภาพ" ด้วย "ผู้รักความเป็นธรรม" ที่หมดขีดความ
อดกลั้นจากการสูญเสียเอกราชของชาติ การกดขี่บังคับของทุนนิยม หรือการเอารัด-เอาเปรียบของทุนนิยม ฯลฯ

แต่ชัยชนะของสังคมนิยมหลังจากนั้น ก็ไม่ได้สามารถพัฒนาจิตวิญญาณของผู้คนเหล่านี้ได้มากนัก
"ภราดรภาพสังคมนิยม" สร้างความงุนงงให้กับนักชาตินิยมที่แปรสภาพมาเป็นชาวสังคมนิยม
จำนวนไม่น้อยทีเดียวเมื่อเริ่มจะมองเห็น "จักรวรรดิสังคมนิยม" ปรากฏตัวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

จิตวิญญาณของนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพเริ่มสูญเสีย เมื่อยอมรับความเป็นชาวสังคมนิยมภายใต้
ระบบ "รวมศูนย์อำนาจสู่ส่วนกลาง" แม้กระทั่งผู้รักความเป็นธรรมที่สร้างจิตวิญญาณชนิดนี้มาจาก
การบ่มเพาะทางวัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา ต่างก็ไม่สามารถพัฒนาจิตใจเหล่านี้ให้ยกระดับขึ้นไปได้
เนื่องจากกรอบความคิดทางวัตถุ

ความเท่าเทียมกันในทางวัตถุในแบบสังคมนิยมจึงไม่สามารถสร้าง "ความสัมพันธ์ทางจิตใจ"
ได้เหมือนกับ "ระบบศีลธรรม" ที่ชัยชนะของชาวสังคมนิยมมักจะ "ทำลายมันลงไป"

มันไม่ได้ก่อให้เกิดระบบการแบ่งปันอันมาจาก "จิตใจที่เอื้อเฟิ้อเผื่อแผ่ต่อกัน" แต่มันก่อเกิดมาจากการบังคับ
ด้วยสถาบันทางเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม มันเป็น "ความเท่าเทียมกันในทางเศรษฐศาสตร์" แต่ไม่ใช่
"ความเท่าเทียมกันในทางศีลธรรม" มันจึงไม่สามารถขจัดความเห็นแก่ตัวในสังคมให้ลดน้อยลงไปได้
แต่กลับแปรสภาพความเห็นแก่ตัวไปสู่อำนาจทางการเมืองและการทหาร ดังที่ ไมเคิล โนวาค ว่าไว้

"เดวิด ซี คอร์เตน" นั้นถึงกับมองว่า ท้ายที่สุดแล้ว ทั้ง "สังคมนิยม" และ "ทุนนิยม" ต่างก็เดินไป
บนเส้นทางเดียวกัน ทั้งๆ ที่มันเริ่มต้นด้วยการแสดงความเป็น "ปฏิปักษ์" ต่อกันและกันมาตั้งแต่แรก
โดยให้เหตุผลว่า

"- ทั้งสองระบบนำไปสู่การรวมศูนย์อำนาจทางเศรษฐกิจ ให้ไปอยู่ในสถาบันที่ไม่มีความรับผิดชอบ
- ทั้งสองระบบได้สร้างระบบเศรษฐกิจที่ทำลายสิ่งมีชีวิตในโลกเพื่อมุ่งแสวงหาความก้าวหน้า
ทางเศรษฐกิจ
- ทั้งสองระบบได้ก่อให้เกิดการลิดรอนอำนาจจากประชาชนและต้องพึ่งพาสถาบันขนาดมหึมาที่ค่อยๆ
ทำลายทุนทางสังคม
- ทั้งสองระบบได้พิจารณาถึงความจำเป็นของมนุษย์ในแง่มุมเศรษฐกิจที่คับแคบ ทำลายความรู้สึก
ผูกพันทางจิตวิญญาณที่มีต่อโลกและชุมชนของสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการร้อยรัด
สายสัมพันธ์ทางศีลธรรมของสังคม"


การเป็นปฏิปักษ์ระหว่างระบบสองระบบ จึงไม่แตกต่างไปจากการขัดแย้งระหว่าง 2 นครรัฐ
ที่ต่างทำสงครามต่อกันและกันไปบน เส้นทางวิวัฒนาการแบบเดียวกัน ความล่มสลายของ
รัฐสังคมนิยมทั่วโลกในตอนปลายศตวรรษที่ 20 จึงไม่ต่างอะไรไปจากการ "แพ้สงครามของนครรัฐ"
แต่สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่และยังไม่ได้ล่มสลายไปตามจักรวรรดิสังคมนิยม หรือรัฐสังคมนิยมต่างๆ ก็คือ
สิ่งที่ชาวสังคมนิยมด้วยกันเองเรียกว่า "สังคมนิยมเพ้อฝัน" หรือความใฝ่ฝันถึงสังคมที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน
สังคมเสมอภาคด้วยความไม่เห็นแก่ตัว สังคมที่มีสันติสุขและสันติภาพ ที่เคยปรากฏอยู่ในจินตนาการของ
"โธมัส มัวร์" ในนาม "ยูโธเปีย" นั่นเอง

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ความพยายาม "ปรับตัว" ของฝ่ายสังคมนิยมตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 20 จนกระทั่ง
ถึงต้นศตวรรษที่ 21 ก็ยังคงเป็นความพยายามปรับตัวไป "ภายใต้เส้นทางวิวัฒนาการแบบเดิม" อีกนั่นแหละ

ก่อนที่จักรวรรดิสังคมนิยมโซเวียตจะล่มสลาย กระบวนการปรับตัวของสังคมนิยมในยุคประธานาธิบดี
"มิคาอิล กอร์บาชอฟ" ก็ยังมุ่งค้นหาระบบการจัดการทางเศรษฐกิจและทางการเมืองแบบใหม่ เพื่อแก้ปัญหา
ความขาดแคลนทางวัตถุ และยกระดับความก้าวหน้าทางวัตถุ จนทั้งจักรวรรดิแตกกระจัดกระจาย

การปรับตัวของสังคมนิยมจีนที่เริ่มต้นในยุค "เติ้งเสี่ยวผิง" ด้วยการประคับประคองสถาบันทางการเมือง
และการทหารเอาไว้ และนำเอาวิธีการจัดการทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเข้ามาผสมผสาน ด้วยการเสนอ
คำขวัญว่า "พัฒนาสังคมนิยมด้วยการปลดปล่อยพลังการผลิต พัฒนาพลังการผลิต ทำลายการขูดรีด
ทำลายการแยกเป็น 2 ขั้ว สุดท้ายบรรลุจุดหมายปลายทางไปสู่ ความร่ำรวยด้วยกัน" ก็ไม่ได้ทำให้
"สังคมนิยมจีน" ในศตวรรษที่ 21 มีกลิ่นอายของ "ยูโธเปีย" หลงเหลืออยู่เลย ความสำเร็จหรือ
ความล้มเหลวของสังคมนิยมจีนที่ถูกวัดด้วย "ความรวย-ความจน" แทนที่ แทบไม่มีผลในการยกระดับ
"จิตวิญญาณสังคมนิยม" ให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น หรือแทบจะไม่สามารถค้นหา "จิตวิญญาณสังคมนิยมเดิม"
ได้จาก "วิถีทางทุนนิยม" ที่ประเทศจีนนำมาใช้ยกระดับสังคมนิยมของตนเอง

ในยุคที่ "อยาตุลเลาะห์ โคไมนี" ผู้นำศาสนาอิสลามในอิหร่านยังมีชีวิตอยู่ เขาเคยได้เขียนจดหมาย
ไปถึงประธานาธิบดี "กอร์บาชอฟ" แห่งโซเวียต ในวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1988 มีใจความตอนหนึ่งว่า

"ปัญหาขั้นพื้นฐานของประเทศของท่าน ไม่ใช่เป็นปัญหาของการถือครองทรัพยากรในทางเศรษฐกิจ
หรือปัญหาเสรีภาพ แต่ปัญหาของท่านก็คือ ปัญหาอันเนื่องมาจากการขาดความศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า
อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกันที่เคยผลักดัน และกำลังผลักดันให้โลกตะวันตกก้าวไปสู่...ทางตัน..."


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 05, 2006, 11:43:34 PM
โลกพระศรีอาริย์อยู่แค่ปลายจมูก

ว่ากันว่า "จุดเด่นของทุนนิยม" นั้น มันสามารถสร้างแรงกระตุ้นในการค้นพบองค์ความรู้และ
วิทยาการใหม่ๆ อันนำมาซึ่งกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์ในแต่ละยุคแต่ละขั้น
แต่องค์ความรู้ที่เกิดขึ้นบน "ความต้องการอันไม่สิ้นสุด" มันนำไปสู่การสะสม ขาดการแบ่งปัน
นำไปสู่ความขาดแคลนในท้ายที่สุด และนำไปสู่การขัดแย้ง-แย่งชิงในเวลาต่อมา

ส่วน "จุดเด่นของสังคมนิยม" นั้น ก็คือความพยายามจัดสรรแบ่งปันให้เกิดความเท่าเทียมกัน
แต่มันเป็นการมองเห็นแต่ความเท่าเทียมกันในทางวัตถุ ด้วยเหตุนี้ นอกจากมันจะทำลาย
แรงกระตุ้นในการค้นพบองค์ความรู้ต่างๆ โดยตัวมันเองแล้ว มันยังไม่สามารถจัดสรรสิ่งใดๆ
ให้เกิดความพอเพียงกับความต้องการอันไม่สิ้นสุด เนื่องจากมันไม่สามารถสร้างพัฒนาการ
ด้านจิตใจควบคู่ไปกับพัฒนาการทางสังคมได้อีกด้วย

ความพยายามประคับประคองเส้นทางวิวัฒนาการของมนุษย์ด้วยวิธีค้นหา "สูตรสำเร็จ" ของ
ระบบเศรษฐกิจ-การเมือง จึงมักจะวนไปวนมาอยู่ในขั้นตอนต่างๆ เสมอๆ โดยที่ไม่สามารถ
ยกระดับจิตใจของผู้คนให้ก้าวตามทันกระบวนการวิวัฒนาการในแต่ละขั้นหรือไม่เช่นนั้น
มันกลับทำให้พัฒนาการทางจิตใจของผู้คนกลับต่ำลงเพราะกระบวนการวิวัฒนาการ
ก็มีให้เห็นมาโดยตลอด

ในบางครั้งทุนนิยมพยายามประคับประคองวิถีทางของตัวเองให้อยู่รอดต่อไปได้อีกพักหนึ่ง
ด้วยการนำเอาจุดเด่นของสังคมนิยมมาปรับใช้เพื่อ "เปิดวาล์วลดความดัน" ภายในสังคมทุนนิยม
สังคมนิยมในยุคหลังๆ ที่พยายามค้นหาหนทางที่จะทำให้ความเป็นสังคมนิยมไม่พังทลายไปเสีย
ทั้งหมดก็พยายามดึงเอาจุดเด่นของทุนนิยมมาใช้เพื่อ "เปิดวาล์วลดความดัน" ภายในสังคมของตัวเอง
เพื่อสร้างแรงกระตุ้นในการก้าวตามให้ทันกับพัฒนาการขององค์ความรู้ใหม่ๆ เช่นกัน

หรือแม้กระทั่งนักคิดบางรายที่คิดอย่างหยาบๆ ถึงกับพยายามนำเอาระบบ 2 ระบบ
เข้ามาผสมผสานเข้าหากัน แต่มันก็ไม่สามารถทำให้เกิดการยกระดับด้านจิตใจที่วิวัฒนาการ
ควบคู่ไปกับกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์แต่อย่างใด คำถามที่เราเผชิญหน้ามาโดยตลอด
ของกระบวนการวิวัฒนาการตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และแม้กระทั่งจินตนาการถึงโลกในอนาคต ก็คือ
คำถามที่ว่า เราจะวิวัฒนาการไปสู่อะไร? ไปสู่การหมุนวนกลับสู่วัฏจักรแห่งการทำลายล้าง
รุนแรงยิ่งขึ้นอย่างนั้นหรือ? เหตุใดกระบวนการวิวัฒนาการที่ผ่านมานานแสนนาน กลับไม่ได้ทำให้
คุณค่าของความเป็นมนุษย์ถูกยกระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ เหตุใดกระบวนการวิวัฒนาการอันยาวนาน
จึงไม่สามารถทำให้เราสามารถสลัดหลุดออกไปจากธรรมชาติของเดรัจฉาน?

วิทยาการและองค์ความรู้ใหม่ๆ นั้น เป็นเครื่องหมายยืนยันถึงกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์
อย่างแน่นอน และเราไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องไปปฏิเสธ หรือหาทางขัดขวางไม่ให้กระบวนการ
ค้นหาองค์ความรู้ใหม่ๆ มันพัฒนาการต่อไป แต่ภายในวิทยาการและองค์ความรู้แต่ละชนิดมันมี
องค์ประกอบด้วยกัน 2 ด้านเสมอๆ ด้านที่นำไปสู่ สงคราม และด้านที่นำไปสู่ สันติภาพ

อันที่จริง วิทยาการและองค์ความรู้ที่มีอยู่ในขณะนี้ มันแทบจะนำไปใช้ปะติดปะต่อให้การ
จินตนาการถึง "โลกพระศรีอาริย์" ที่เกิดขึ้นมานับพันๆ ปีแล้ว มีความเป็นไปได้ไม่น้อยทีเดียว

โลกที่มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับสภาพแวดล้อมอันอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติได้อีกนานเท่านาน
เมื่อองค์ความรู้ใหม่ๆ ได้สร้างพลังงานที่มีความหลากหลาย พลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้

โลกที่ "ผู้คนมีมาก" แต่ "อาหารหาง่าย" ก็ไม่ใช่จินตนาการที่ไกลเกินไปกว่าองค์ความรู้
ในด้านเทคโนโลยีชีวภาพจะสามารถรองรับสภาวะเช่นนี้ได้

โลกที่องค์ความรู้ด้านการแพทย์ก้าวไปถึงระดับ "ปฏิวัติทางการแพทย์" จนโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
สามารถขจัดลงไปได้ด้วย "การป้องกัน" แทน "การรักษา" จนเหลือโรคแค่ 3 อย่าง คือ
ความอยาก ความไม่อยาก และความแก่ ตามที่จินตนาการในโลกพระศรีอาริย์ว่าไว้

เทคโนโลยีการสื่อสารที่สามารถทำให้เราเกิดความเข้าใจและใกล้ชิดกันในแบบ
"คามนิคมราชธานีที่ไก่บินถึง" จินตนาการอันสวยสดงดงามเหล่านี้จะเป็นไปได้หรือไม่?
หรือจะกลับกลายเป็น ตรงกันข้าม มันก็ขึ้นอยู่กับสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ เราจะใช้วิทยาการ
และองค์ความรู้ต่างๆ ไปในทิศทางใด?

และการนำเอาวิทยาการและองค์ความรู้เหล่านี้ไปใช้ในทิศทางที่จะทำให้เราหลุดออกไปจาก
วงจรอันซ้ำซากของกระบวนการวิวัฒนาการที่ผ่านมาในอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ
การออกแบบระบบเศรษฐกิจ การเมืองใดๆ แต่มันขึ้นอยู่กับ "วิวัฒนาการทางจิตใจ" หรือการ
"ยกระดับจิตใจ" ของผู้คนเท่านั้น ถึงจะเปลี่ยนเส้นทางวิวัฒนาการของมนุษย์ออกไป
จากวงจรเดิมๆได้

ปราชญ์ทางพุทธศาสนาของไทยรายหนึ่ง คือ "ท่านพุทธทาสภิกขุ" เคยกล่าวเอาไว้ว่าจินตนาการ
เกี่ยวกับ "โลกพระศรีอาริย์" นั้น อันที่จริง "อยู่ใกล้แค่ปลายจมูก" ของเราทั้งหลายนี่เอง

เพียงแต่หากเราสามารถ "ยกระดับจิตใจ" ของเราทั้งหลายให้วิวัฒนาการไปแค่ถึงระดับ
"ศีลธรรมอันแรกสุดของศาสนาทุกศาสนา" ในมุมมองของพุทธทาสภิกขุ ท่านเชื่อว่า
"ศีลธรรมขั้นพื้นฐาน" ของทุกศาสนา วางเอาไว้บนระดับจิตใจที่มนุษย์จะสามารถ
"รักผู้อื่นได้ไม่น้อยกว่ารักตัวเอง"

และสิ่งๆ นี้นี่แหละที่จะนำไปสู่ "การเปลี่ยนเส้นทางวิวัฒนาการ" ของมนุษย์ที่หมุนวนซ้ำๆ ซากๆ
มานานนับพันๆ ปี นำไปสู่จินตนาการความฝันนานาชนิดที่มนุษย์โลกได้เคยฝันเอาไว้ในบทกวี
ดนตรี และบทสรรเสริญสันติภาพทุกชนิด นำไปสู่โลกพระศรีอาริย์และยูโธเปีย

ด้วยระดับจิตใจเช่นนี้ เราสามารถใช้วิทยาการและองค์ความรู้ต่างๆ นำไปสู่ความสุขสมบูรณ์
ที่เท่าเทียมกันโดยปราศจากความขาดแคลน โดยไม่จำเป็นจะต้องค้นหา "ระบบเศรษฐกิจ"
ที่ยุ่งยากซับซ้อนยิ่งๆ ขึ้นไปเพื่อสร้างการแบ่งปันให้ลงตัว เพียงแต่หากสามารถยกระดับจิตใจ
ของมนุษย์ให้วิวัฒนาการไปสู่ระดับนี้ได้ เราก็จะสร้างการแบ่งปันที่เกิดจากความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ที่กว้างขวางยิ่งกว่าการแบ่งปันโดยระบบเศรษฐกิจใดๆ เราสามารถสร้างความสุขสมบูรณ์ให้กับ
มนุษย์ไม่ใช่แค่ด้านกายภาพ ซึ่งมันมักสร้าง "ความต้องการที่ไม่สิ้นสุด" ให้ขยายตัวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
แต่มันจะประกอบไปด้วยความสุขด้านจิตใจที่จะทำให้เกิด "ขอบเขตแห่งความพอเพียง" ได้ง่ายขึ้น

ท่านพุทธทาสภิกขุได้กล่าวเอาไว้ด้วยว่า "ถ้าไม่มีความรักผู้อื่นเป็นตัวรองรับเอาไว้แล้ว
ระบบเศรษฐกิจใดๆ ก็ตามจะกลายเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด และจะเป็นภัยกับมนุษย์มากที่สุด
และการเมืองจะกลายเป็นสิ่งเสนียดจัญไรที่สุด และถ้าหากปราศจากความรักผู้อื่น
ระบบทุกชนิดและองค์ความรู้ทุกชนิดก็จะนำไปสู่ การทำลายล้าง..."


แต่อะไรล่ะ ที่จะทำให้คำพูดสั้นๆ ง่ายๆ เหล่านี้เป็นจริง เพราะอันที่จริงแล้วมันไม่ได้เป็น "สิ่งใหม่"
แต่อย่างใดเลย มันเป็นสิ่งที่เคยพูดถึงแบบซ้ำๆ ซากๆ มานานแล้ว ถูกใช้เป็นศีลธรรมลำดับแรกสุด
ในศาสนาทุกศาสนาในโลกนี้

ถูกนำไปใช้ในบทกวีเพื่อสันติภาพนับหมื่นๆ แสนๆ บท ถูกนำไปแต่งเป็นเนื้อร้องใน
บทเพลงนานาชนิด ถูกนำไปขยายเป็นวรรณกรรมแทบทุกภาษา ฯลฯ แต่มันก็ไม่สามารถทำให้
เส้นทางวิวัฒนาการของมนุษย์เปลี่ยนไปจากอดีตที่ผ่านมานับพันๆ ปี เรายังก้าวสู่โลกอนาคตภายใต้
เส้นทางวิวัฒนาการที่ซ้ำซากเช่นเดิม โดยปราศจากการนำเอาถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ ที่ว่านี้ไปบรรจุใน
บทวิเคราะห์ทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือในหนังสือพยากรณ์อนาคต ของบรรดานักโลกานิมิตยุคใหม่
แม้แต่บรรทัดเดียว


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 06, 2006, 06:32:25 PM
วันสิ้นยุคจุดเปลี่ยนแห่งวิวัฒนาการ?

เคยมีนักวิทยาศาสตร์บางราย ที่พยายามหาทางอธิบาย "ปมสัญชาตญาณลึกๆ"
ที่ทำให้มนุษย์จำนวนมากมีความหวั่นกลัวต่อการปรากฏตัวของ "ดาวหาง" มานับหมื่นๆปี
ด้วยการตั้ง "ทฤษฏีพิลึกกึกกือ" และฟังดูน่ากระอักกระอ่วนพอสมควร นั่นก็คือ การตั้งสมมุติฐาน
ขึ้นมาว่า ในขณะที่ต้นตระกูลมนุษย์ยังมีรูปร่างลักษณะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมรูปร่างคล้าย "หนู"
ที่เรียกกันว่า "ไพรเมท" ได้เกิด "วันมหาวินาศของโลก" เมื่อดาวหางดวงหนึ่งพุ่งเข้าชนโลก
เมื่อประมาณ 65 ล้านปีที่แล้ว หรือในยุค "ครีเตซัส"

นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ตั้งคำถามเอาไว้ว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าบรรดาต้นตระกูลมนุษย์
ที่เป็น "ไพรเมท" อยู่ในขณะนั้น แล้วสามารถ "วิวัฒนาการ" เหลือรอดต่อมาได้
จะสามารถนำเอาเหตุการณ์วิบัติครั้งร้ายแรงที่สุดฝังเอาไว้ใน "สัญชาตญาณส่วนลึกที่สุด"
และสัญชาตญาณเหล่านั้น สามารถส่งต่อมาถึงลูกหลาน "โฮมินิด" ที่กลายเป็นมนุษย์ในทุกวันนี้
ทฤษฏีนี้ อาจจะน่าหัวเราะมากกว่าจะเก็บมาคิดถึงความเป็นไปได้

แต่อย่างไรก็ตาม เราคงไม่อาจปฏิเสธได้ทั้งหมดว่า "การเปลี่ยนแปลงระดับจิตใจของมนุษย์" นั้น
นอกเหนือไปจากการใช้ "เหตุผล" และ "ปัญญา" แล้ว "วุฒิภาวะ" จำนวนไม่น้อยของมนุษย์
ก็สามารถก่อเกิดขึ้นมาจากการผ่านประสบการณ์ที่หนักหนาสากรรจ์ได้เช่นกัน

นักปรัชญาชาวกรีกอย่าง "เพลโต" ก็เคยตั้งทฤษฏีชนิดหนึ่งขึ้น มาอธิบายพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์
เอาไว้ในลักษณะไม่ต่างจากกันมากนัก คือเขาเชื่อว่า พฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์ที่เกิดมาในโลก
น่าจะเกี่ยวข้องกับ "ความทรงจำ" ในส่วนลึก ที่จำได้คลับคล้ายคลับคลามาจากสถานที่ไหนซักแห่ง
ที่มันสืบเนื่องต่อกันมาจากอดีต และเขาพยายามเรียกโลกแห่งความทรงจำที่ฝังอยู่ในสัญชาตญาณ
ส่วนลึกเหล่านั้นว่า "โลกแห่งแม่พิมพ์สมบูรณ์แบบ"

โลกเหล่านี้ จะมีอยู่จริงหรือไม่จริงก็แล้วแต่

แต่มันก็เป็นเรื่องแปลก ที่ในยุคอดีตอันไกลโพ้นในขณะที่ "สงคราม" ยังไม่ได้ทวีความรุนแรง เหี้ยมโหด
น่าสยดสยองเท่ากับยุคหลังๆ มนุษย์ยุคโบราณจำนวนมากที่เป็นผู้ "ค้นพบวิทยาการความรู้" นานาชนิด
ไม่ว่าชาวอียิปต์ ชาวฮิบรู ชาวบาบิโลเนีย ชาวเปอร์เซีย ชาวอินเดีย ฯลฯ ต่างพยายามนำเอาวิทยาการ
ความรู้ไม่ว่าในด้าน คณิตศาสตร์ วิศวกรรม วิทยาศาสตร์ การแพทย์ ดาราศาสตร์ ฯลฯ ไปใช้เพื่อ
"ค้นหาพระเจ้า" หรือ "ค้นหาความหมายในชีวิต" แทนที่จะนำมาใช้เพื่อความสุขสมบูรณ์ในชีวิตโลก

ชาวอินเดียจำนวนมากตั้งแต่กษัตริย์ พราหมณ์ ถึงชนชั้นผู้ยากไร้ ที่มี "สัญชาตญาณเบื้องลึก"
ทำให้เชื่อว่า "โลกนี้เป็นเพียงเวทีหรือสถานศึกษา...หาใช่ที่พำนักอันถาวรไม่" จึงได้สลัด
ความสุขสมบูรณ์ที่ตนเองมีอยู่ กลับไปค้นหาความรู้ที่ไม่ได้ก่อให้เกิดการสะสมแย่งชิง
หรือเบียดเบียนใครๆ ความพยายามค้นหาความรู้ในลักษณะนี้ ปราชญ์ทางพุทธศาสนาอย่าง
"ท่านพุทธทาสภิกขุ" เรียกว่า "วิทยาศาสตร์ในฝ่ายจิต" หรือกระบวนการค้นหาความรู้
เพื่อค้นหาความหมายในชีวิต

ในหนังสือเล่มหนึ่งของท่านพุทธทาสที่ได้เผยแพร่เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว
ชื่อว่า "นิพพาน" ท่านอธิบายเอาไว้ว่า
"เมื่อใดที่การค้นหาความรู้หนักไปทางฝ่ายวัตถุ ก็จะถึงจุดหมายปลายทางของฝ่ายวัตถุ
เช่นที่เห็นอยู่ในวิทยาศาสตร์แผนปัจจุบัน ซึ่งกำลังก้าวพรวดๆ ไป และเมื่อใดโลกพากัน
ค้นหาความรู้ในฝ่ายจิต ก็จะพากันบรรลุถึงจุดหมายปลายทางของฝ่ายจิต เช่นเดียวกับ
ยุคๆ หนึ่งที่ก่อเกิด พระอรหันต์ ซึ่งผ่านพ้นมาแล้ว แต่อย่างไรก็ดี แม้โลกนี้จะเป็นเด็กดื้อ
ดันทุรังไปสู่ฝ่ายวัตถุ เมื่อ เข็ดฟัน ก็จะย่อมหมุนกลับไปสู่ฝ่ายจิตในที่สุด"

แต่ในกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ต่อเนื่องมาในเส้นทางเดียวกันนับเป็นพันๆ ปีมาแล้ว
ผ่านสงครามนานาชนิดที่รุนแรง ฉกาจฉกรรจ์ จนน่าจะเกิดอาการ "เข็ดฟัน" อย่างที่
ท่านพุทธทาสท่านนิยามเอาไว้มานานแล้ว แต่มันก็กลับไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น

พื้นฐานจิตใจในระดับที่ "สามารถรักผู้อื่นได้เหมือนกับรักตัวเอง" อันถือกันว่าเป็น
ระดับจิตใจขั้นพื้นฐานที่สุดของศีลธรรมในศาสนาทุกศาสนา มันไม่ได้เกิดการยกระดับได้อย่างทั่วถึง
มันยังไม่สามารถ "ฝังลึก" ลงไปในสัญชาตญาณได้เหมือนกับข้อสันนิษฐานพิลึกๆ ของนักวิทยาศาสตร์
บางรายในเรื่องความกลัวของมนุษย์ต่อการปรากฏตัวของดาวหาง หรือยิ่งนานวัน "ความทรงจำต่อโลก
แห่งแม่พิมพ์สมบูรณ์แบบ" มันก็ได้เลือนรางลงไปเรื่อยๆ

"การนองเลือดครั้งร้ายแรงที่สุด" ตามจินตนาการของนักโลกานิมิตยุคใหม่ อันเนื่องมาจาก
การก้าวกระโดดของโลกไปสู่ยุคอนาคต จะทำให้ "ผู้ที่ไม่ได้ถูกทำลายราบคาบลงไปทั้งหมด"
เป็นใคร? นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญมากนัก แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ
บรรดาผู้ที่เหลือรอดทั้งหลายเหล่านี้จะสามารถสร้าง "ความทรงจำในส่วนลึก"
จนเกิดระดับจิตใจแบบไหน? หรือจะไม่เกิดความทรงจำใดๆ ขึ้นมาเลย?

แต่สำหรับนักโลกานิมิตในฝ่ายศาสนานั้น นอกจากจะจินตนาการถึงโลกอนาคตที่สดใสยิ่งกว่า
นักโลกานิมิตยุคใหม่หลายเท่าแล้ว พวกเขายังมองว่า ก่อนความสดใสของโลกอนาคตจะบังเกิดขึ้น
"ระดับจิตใจ" ของมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่ในโลกอนาคตจะถูกยกระดับขึ้นมาด้วย "ความทรงจำ"
ที่อาจจะมีพลังฝังลงไปในสัญชาตญาณได้ลึกที่สุด ก่อนจะเกิดยุค "โลกพระศรีอาริย์" นั้น
ในคัมภีร์พระไตรปิฏกได้กล่าวถึงช่วงเวลาช่วงหนึ่งที่ถูกเรียกว่า "สัตถันตรกัลปป์" หรือช่วงเวลาที่
มนุษย์จะถึงกาลพินาศด้วย "อาวุธ" หรือด้วย "ศัสตรา" พระไตรปิฏกเขียนไว้ว่า

"จะเกิดมีสัตถันตรกัลปป์ คือกัลปป์ที่อยู่ในระหว่างศัสตรา 7 วัน คนทั้งหลายจะมีความสำคัญ
ในกันและกันว่าเป็นเนื้อ(มิคสัญญี) จะมีศัสตราอันคมเกิดขึ้นในมือ ฆ่ากันและกันด้วยสำคัญว่าเป็นเนื้อ"

ในศาสนาฮินดูนั้น เมื่อถึง "กัลกียุค" พระวิษณุซึ่งอวตารลงมาเป็น "กัลกี" จะถือดาบในมือขวาและ
จะแกว่งดาบแห่งการทำลายล้างบรรดามนุษย์ที่เกิดความตกต่ำทางจิตใจในระดับที่ "สามานย์ที่สุด"

ในศาสนาคริสต์ ก่อนพระ "เมซิอาห์" จะเสด็จลงมา สงครามครั้งร้ายแรงที่สุดในโลกมนุษย์
จะเป็นสงครามในระดับที่เรียกกันว่า "วันสิ้นยุค" เมื่อปวงบรรดากษัตริย์มาชุมนุมทำสงครามกันที่
พื้นที่แห่งหนึ่งที่เรียกกันว่า "อาร์มาเกดดอน"

จินตนาการของนักโลกานิมิตในศาสนา ถือเอา "สงครามครั้งที่ร้ายแรงที่สุด" หรือสงครามระดับ
"สงครามล้างโลก" นี่แหละ กลายเป็น "จุดเปลี่ยนแห่งวิวัฒนาการ" พระไตรปิฏกนั้นระบุไว้ว่า
หลังจากช่วง "สัตถันตรกัลปป์" ผ่านไปแล้ว "มีบุคคลบางคนหลบไปอยู่ในป่าดงพงชัฏ กินเหง้าไม้
ผลไม้ในป่า เมื่อพ้น 7 วันแล้ว ออกมาดีใจร่าเริงที่รอดชีวิต จึงตั้งใจทำกุศลกรรมละเว้นการฆ่าสัตว์
และบำเพ็ญกุศลกรรมละเว้นอกุศลกรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ"

ความเจริญมั่งคั่งทางวัตถุและจิตใจหลังจากนั้น กลายเป็นสภาพแวดล้อมที่รองรับการเสด็จมาของ
"พระผู้มีพระภาคผู้ทรงนามว่า เมตไตรย"

คำถามมีอยู่ว่า หรือเราจะต้องผ่านวิบัติการณ์ครั้งมหาวินาศอย่างถึงที่สุดจริงๆ หรือ?
เราถึงจะสามารถยกระดับจิตใจของเราได้ขึ้นสู่ระดับพื้นฐานขั้นแรกของศีลธรรมในศาสนา

หรือเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงกระบวนการวิวัฒนาการของเรา
เปลี่ยนวิธีในการใช้องค์ความรู้นานาชนิด ได้ด้วย "ปัญญา" และ "เหตุผล"
ด้วยการย้อนกลับไปทบทวนอดีต นำมาใช้เป็นบทเรียนในปัจจุบัน และวาดภาพอนาคต
ที่มันยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง แน่นอน มันจะเป็นแบบไหนก็ได้ เพราะมันขึ้นอยู่กับ "ระดับจิตใจ"
ของเราในขณะนี้นี่แหละ


หัวข้อ: ลิงค์ดาวน์โหลดวิดิโอ ทฤษฏีสมคบคิด 911 และ การสร้างรัฐตำรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 07, 2006, 11:28:02 AM
ลิงค์ดาวน์โหลดวิดิโอ ทฤษฏีสมคบคิด 911 และ การสร้างรัฐตำรวจ

>>>Alex Jones - Martial Law 911 Full Documentary<<< (http://www.yousendit.com/transfer.php?action=download&ufid=30C020F97EADFEC2)

ดาวน์โหลดภายในวันที่ 21 กันยายน 2549 และ ต้องใช้ ADSL เท่านั้น

>>>Loose Change 2nd Edition<<< (http://www.yousendit.com/transfer.php?action=download&ufid=813B9D0E7ED7A15C)

Loose Change 2nd Edition เป็นวิดิโอวิเคราะห์เกี่ยวกับ 11 กันยายน 2001 ว่า

1. ไม่มีเครื่องบินชนตึกเพนตากอน แต่เป็นการระเบิดเพราะโดนขีปนาวุธร่อนของอเมริกาเอง เช่น โทมาฮอว์ค
2. เที่ยวบินที่ 93 ที่ตกแถบเพนซิลวาเนียก็ไม่มีการตกจริง แต่เป็นการยิงขีปนาวุธไปตกเหมือนกัน
3. เครื่องบิน 2 ลำที่ชนตึกเวิล์ดเทรดถูกบังคับด้วยรีโมทให้ชนตึก
4. ตึกเวิล์ดเทรดไม่ได้ถล่มลงมาเพราะน้ำมันจากเครื่องบินเจ็ท แต่มีการฝังระเบิดไว้ที่โครงสร้างของตึก
เพื่อให้ถล่มลงมาตรงๆ เหมือนกับที่ บริษัทรับทำลายตึกเพื่อสร้างใหม่ในอเมริกาใช้กัน
5. ตึกหมายเลข 7 ในกลุ่มตึกของเวิล์ดเทรดก็เหมือนกับข้อ 4 เพราะเป็นที่เก็บเอกสารของหน่วยงานลับของรัฐบาล
6. ผู้โดยสารบนเครื่องอาจจะมีตัวตนหรือไม่มีตัวตนจริงก็ได้ ถ้ามีตัวตนจริงบนเครื่องบินที่ชนตึกเวิร์ดเทรด
ก็อาจจะบินไปลงที่แคนาดาและกักตัวให้อยู่ที่นั่นถาวรเพราะตอนเกิดเหตุแคนาดาเปิดน่านฟ้าให้เครืองบินอเมริกาไปลง


เหตุผล(อาจจะมีมากกว่านี้เยอะ)คือ

1. อเมริกากำลังมีปัญหาเรื่องการล่มสลายของค่าเงินดอลลาร์
2. เพื่อผลักดันให้สภาและชาวอเมริกัน ยอมรับในการส่งกองกำลังไปรุกรานอัฟกานิสถานและอิรักได้ง่าย
โดยอ้างเรื่องการก่อการร้ายเพื่อควบคุมแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลาง
รวมทั้งแทรกแซงประเทศอื่นโดยใช้ข้ออ้างการก่อการร้ายด้วยเช่นกัน
3. การถล่มของตึกเวิล์ดเทรดและตึก 7 เพราะต้องการเคลียร์พื้นที่ให้กลุ่ม SILVERSTIEN ทำสัญญา 99 ปี
ในการเช่าทำประโยชน์ (เหมือนกับไทยที่พยายามออกกฏหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษที่มีระยะเวลาเช่า 99 ปี)
ฯลฯ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 08, 2006, 10:25:40 AM
26 TOP ANOMALIES SURROUNDING THE EVENTS OF 9/11
- Powerpoint Notes


Do you think the Bush administration was telling the truth about 9/11?
If so, how do you explain the following anomalies?
by Ian Woods, Publisher/Editor - Global OutlookTM - Contact: editor@globaloutlook.ca

THE DAY OF SEPTEMBER 11, 2001
01. Bush’s Puzzling Reaction
- Why did Bush just sit there in the 2nd grade classroom reading for 25 minutes?
02. No Immediate Jet Scramble
- Why was Flight 77 not intercepted after 1 hr 45 minutes of flying off course?
03. Collapse of the Twin Towers
- Could this be the first time ever that a steel skyscraper has collapsed due to fire?
04. Collapse of the Twin Towers
- How can the ‘Pancake Theory’ account for lower floors resistance at 10.4 seconds?
05. Collapse of the Twin Towers
- Why does the thermal data indicate ‘hot spots’ weeks after their collapse?
06. Mysterious Collapse of Building 7
- Why did Building 7 come down if no airplane hit it, nor any debris fell on it?
07. Attack on the Pentagon - Flight 77
– Why was there so little damage done and such a small amount of debris?
08. Attack on the Pentagon - Flight 77
- Why has the Pentagon only released 5 frames out of all the video tapes?
09. Flight 93 Crashed in Pennsylvania
- Why was crash debris so small and spread out over a 5 mile swath?

THE BACKGROUND
10. Intelligence Warnings
- Why did Bush ignore an unprecedented # of intelligence warnings 3 months prior to 9/11?
11. Intelligence Warnings
- Why did the FBI & CIA ignore Agents C. Rowley, Kenneth Williams & Robert Wright?
12. Precedents - the 1993 WTC Car Bombing
- Why did the FBI Agent John Anticev pay Edam Salem $1.5M?
13. 9/11 and the War Agenda
- What is the Project for a New American Century? (www.newamericancentury.org)
14. History of War-triggering Deceptions
- Why was Bush Sr. not incarcerated for the 1991 Incubator Baby Scam?
15. History of War-triggering Deceptions
- Why did FDR knowingly let the Japanese attack Pearl Harbor (1941)?
16. History of War-triggering Deceptions
- Has the military been planning another Operation Northwoods (1962)?
17. Al Qaeda and the Intelligence Ploy
- Why didn’t CIA arrest bin Laden in Dubai (July) & Rawalpindi (Sep 10)?
18. Al Qaeda and the Intelligence Ploy
- Why was J. Michael Springmann issuing US visas to Saudi terrorists?
19. Al Qaeda and the Intelligence Ploy
- Why did Pakistan’s ISI air-lift Al Qaeda to safety Nov 2001 - Jan 02?
20. Al Qaeda and the Intelligence Ploy
- Why was the 9/11 Money Man (Gen. Mahmoud) visiting DC on Sep 4-13?
21. The Bush and Bin Laden Family Ties
- Why was Bush Sr. meeting bin Laden’s brother at the Ritz on 9/11?

THE AFTERMATH
22. Manufacturing Terror
- How did anthrax produced at an American weapon’s lab end up on T. Daschle’s desk?
23. Installing a Police State
- Why would they pass the PATRIOT Act before everyone had a chance to read it?
24. The Coverup
- Why was key evidence for the WTC site and Pentagon destroyed by the US Government?
25. Investigative Commissions
- Why did it take 411 days to form the 9/11 Commission when others took 7 days?
26. The Motives - Profits of Death: Financial Scams
- Why was there1200% more ‘puts’ on UA & AA on 9/11?


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 08, 2006, 01:21:53 PM
ดาวน์โหลดภายในวันที่ 21 กันยายน 2549 และ ต้องใช้ ADSL เท่านั้น

David Kay - The Big Lie - 911 and the Government's Complicity in Mass Murder

>>>David Kay - The Big Lie - 911 and the Government's Complicity in Mass Murder<<< (http://www.yousendit.com/transfer.php?action=download&ufid=E98010F22372B862)

PNAC - Project for the New American Century

>>>PNAC - Project for the New American Century<<< (http://www.yousendit.com/transfer.php?action=download&ufid=644F242C690774E8)

Photo Archive

>>>Photo Archive<<< (http://www.yousendit.com/transfer.php?action=download&ufid=60DA10192C554B90)


หัวข้อ: ฐานทัพใต้มหาสมุทร
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 08, 2006, 10:43:27 PM
ฐานทัพใต้มหาสมุทร

ทุกคนต่างก็สงสัยว่าอะไรที่ทำให้เบอร์มิวดากลายเป็นสถานที่ที่ลึกลับที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง?
และ "เรา" ไม่ใช่คนเพียงกลุ่มเดียวที่สนใจในความลึกลับของมัน ที่ก้นบึ้งของมหาสมุทรบริเวณนี้
มี "ฐานทัพ" ขนาดใหญ่มหึมาซ่อนอยู่ อยากจะรู้ไหมล่ะครับว่า พวกเขาเป็นใคร? และกำลังทำอะไรกัน?

พื้นที่ 51 แห่งคาริบเบียน

เราก็คงจะทราบกันดีอีกเช่นกันว่า พื้นที่ 51 (AREA 51) นั้นเป็นฐานทัพทหารของกองทัพสหรัฐฯ
ที่สร้างขึ้นมาโดย CIA เพื่อทำการทดลองเครื่องบินจารกรรม (Stealth Plane) และยิ่งไปกว่านั้น
มันยังเป็นสถานที่ใช้ศึกษาและวิจัยยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ถ้าพื้นที่ 51 เป็นพื้นที่ที่มีระบบ
รักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด และลึกลับที่สุดบนพื้นโลกแล้วละก็ คงจะไม่ผิดนักถ้าเราจะเรียก
พื้นที่ใต้มหาสมุทรแอตแลนติก บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาว่า (พื้นที่ 51 แห่งแคริบเบียน)

ฐานทัพใต้ทะเลแห่งนี้มีชื่อจริงที่พ่อ-แม่ตั้งให้ว่า
The Atlantic Undersea Test and Evaluation Center หรือศูนย์ทดลองและพัฒนาใต้ทะเลแอตแลนติก
(http://www.npt.nuwc.navy.mil/autec/images/mainbase.jpg) (http://www.npt.nuwc.navy.mil/autec/)
ส่วนชื่อเล่นก็คือ AUTEC หรือ ออเทค มันถูกสร้างขึ้นบน เกาะแอนดรอส
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/e/ef/Bf-map.gif) (http://en.wikipedia.org/wiki/Andros%2C_Bahamas)
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะบาฮามาส์ ในทะเลแคริบเบียน เมื่อราว 30 ปีก่อน สิ่งที่ ออเทค
ทดลองและพัฒนาก็คือ อาวุธสงคราม

ที่ ออเทค มาตั้งฐานทัพที่นี่ก็เพราะว่าเกาะแอนดรอส อยู่ใกล้กับ "ลิ้นของมหาสมุทร"
(The Tongue of the Ocean) หรือที่มีชื่อย่อว่า "โตโต" (TOTO)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/3/34/Tongue_of_the_Ocean_with_Andros.jpg/600px-Tongue_of_the_Ocean_with_Andros.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Tongue_of_the_Ocean)
โตโต เป็นแอ่งน้ำที่มีความลึกมาก ที่แห่งนี้มีขนาดยาวประมาณ 110 ไมล์ทะเล (204 กิโลเมตร)
กว้าง 20 ไมล์ทะเล (37 กิโลเมตร) และลึกราว 700-1,100 ฟาทัม (1,280-2,012 กิโลเมตร)

จริงอยู่ที่ ออเทค เป็นศูนย์บัญชาการที่มีขนาดเพียงแค่ 1 ตารางไมล์เท่านั้นเองจากที่เราเห็น
บนเกาะแอนดรอส แต่อย่าลืมว่ามันถูกล้อมรอบด้วย "ลิ้นของมหาสมุทร" ที่เรามองไม่เห็นซึ่งมีพื้นที่
ทั้งหมดถึง 1,670 ตารางไมล์ และมีข่าวลือกันอย่างหนาหูว่า ออเทค มีการรักษาความปลอดภัย
อย่างเข้มงวดไม่แพ้ "พื้นที่ 51" ตัวจริงที่อยู่ในรัฐเนวาดา นี่ขนาดตั้งอยู่กลางมหาสมุทร
ยังมีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด ผมว่ามันก็ไม่ธรรมดาซะแล้วละ ในปี ค.ศ. 1997
มีพรานล่านกเป็ดน้ำหลงเข้าไปใน "เขตหวงห้าม" ระหว่างนั้นเองพวกเขาก็เจอกำแพงต้นไม้
ที่หนาแน่นผิดปกติ ทันใดนั้นเองพวกเขาก็ถูก "อัด" ที่ท้องและถูกบังคับให้นอนราบลงกับพื้น!

เหล่านายพรานที่โชคร้าย รู้แทบในทันทีว่าเจ้ากำแพงต้นไม้ที่พวกเขาพบนั้นเป็น ต้นไม้ปลอม
ที่ใช้พรางค่ายทหาร ทหารอีกกลุ่มหนึ่ง "แหวก" กำแพงต้นไม้ออกมา "หิ้ว" พวกเขาเข้าไปในค่าย
จากนั้นพวกเขาก็ถูกจับเข้ากรงขัง หลายชั่วโมงต่อมาก็มีทหารมาไขกุญแจห้องขังให้และบอกว่า
พวกเขาเชื่อว่า พวกนายพรานไม่มีเจตนาที่จะบุกรุกเข้ามาในเขตหวงห้าม จึงปล่อยตัวพวกเขาไป

มีหลายคนอ้างว่า ได้เห็นวัตถุบินลึกลับบินอยู่บริเวณเกาะแอนดรอสบ่อยครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งที่พบนั้น
มันจะโชว์ลีลาการบินที่คุณจะไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มันสามารถหักเลี้ยวเป็นมุมแคบแบบเฉียบพลัน
ได้โดยทันทีทันใดดั่งใจนึก ครั้งหนึ่งขณะที่นักธุรกิจชาวเวียดนามคนหนึ่งกำลังแล่นเรือยอชท์
อยู่บริเวณชายฝั่งของเกาะแอนดรอส เขาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างซึ่งเขาคิดว่าเป็นปลาวาฬ
อยู่ห่างจากเขาไปราว 2 ไมล์

แต่เมื่อเขาแล่นเรือเข้าไปใกล้ราวครึ่งไมล์ เขาก็พบว่ามันไม่ใช่ปลาวาฬ แต่กลับเป็น "สิ่งประดิษฐ์"
บางอย่างที่มีรูปร่างลักษณะที่ล้ำสมัยมาก ทันใดนั้นเองมันก็ออกตัวไปด้วยความเร็วชนิดที่เรียกว่า
"เร็วchipหาย" ไปบนผิวน้ำฝ่าคลื่นลูกใหญ่และหายวับไปต่อหน้าต่อตา

รูหนอน

ดร. ไมเคิล ไพรซิงเกอร์ (Dr. Michael Preisinger) (http://www.atlantisrising.com/issue18/18bermuda.html) นักประวัติศาสตร์และนักประดาน้ำชาวเยอรมัน
ได้ถูกบริษัทที่เขาทำงานอยู่ส่งตัวมาทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนการดำน้ำให้กับลูกค้าที่เมือง นาส์ซอ
ซึ่งเป็นเมืองหลวงของบาฮามาส์ ดร.ไมเคิล และครอบครัวได้เดินทางมาที่บาฮามาส์ในปี ค.ศ. 1995

ลูกค้าของ ดร.ไมเคิล ก็คือ เหล่าบรรดาเจ้าหน้าที่ของสายการบินต่างๆ ของประเทศเยอรมัน พวกเขามาฝึก
การดำน้ำแบบสกูบา (Scuba Diving) เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาโปรแกรมท่องเที่ยวของสายการบิน
ระหว่างที่ ดร.ไมเคิล พาลูกค้าของเขานั่งเรือไปยังจุดที่จะทำการฝึกสอนลูกค้าหลายคนได้บอกว่า
เข็มทิศของพวกเขามีปัญหา มันชี้มั่วไปหมดจนไม่รู้ว่าทิศไหนเป็นทิศไหน ด้วยความเป็นนักประวัติศาสตร์
ดร.ไมเคิล ก็ได้ทำการจดบันทึกตำแหน่งของเรือตอนที่เข็มทิศมีอาการผิดปกติ โดยหวังว่าวันหนึ่ง
เขาจะกลับมาหาข้อพิสูจน์เรื่องนี้ให้ได้
(http://www.crystalinks.com/bermudacompass.gif) (http://www.crystalinks.com/bermuda.html)

ดร.ไมเคิล ก็กลับมาที่นั่นจริงๆ เขาพบว่าเข็มทิศของเขาชี้มั่วเหมือนกับที่ลูกค้าเขาบอก
ดร.ไมเคิลไม่เข้าใจว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับเข็มทิศ และอะไรเป็นสาเหตุให้มันเป็นเช่นนั้น
เขาได้แต่เก็บความสงสัยไว้ จนกระทั่งหลายเดือนต่อมาเขาได้นำปัญหานี้ไปปรึกษากับ
นักฟิสิกส์หลายคนทั่วโลกและก็มีนักฟิสิกส์ท่านหนึ่งได้ให้ข้อสังเกตว่า สิ่งเดียวที่สามารถทำให้
เข็มทิศผิดปกติได้คือ "รูหนอน" (Wormhole)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/a/af/Worm3.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Wormhole)

"รูหนอน" นี้ก็เหมือนกับ "หลุมดำ" (Black hole)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/a/ab/Black_hole_jet_diagram.jpg/350px-Black_hole_jet_diagram.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Black_hole)

คือ มันเกิดขึ้นแล้วก็ดับสลายไป แล้วก็เกิดใหม่ แล้วก็ดับไป เวียนว่ายไปไม่มีที่สิ้นสุด
ผมจะขอธิบายการทำงานของ "รูหนอน" แบบง่ายๆ โดยให้คุณนำกระดาษมาหนึ่งแผ่น
ซึ่งสมมุติว่าเป็นพื้นโลก จากนั้นให้คุณวาดจุดลงบนปลายกระดาษด้านบนหนึ่งจุด และด้านล่างหนึ่งจุด
โดยให้ชื่อว่าจุด A และจุด B เสร็จแล้วให้งอกระดาษเป็นรูปตัวยู (U) เอาละครับทีนี้สมมุติว่า
เราจะเดินทางจากจุด A ไปยังจุด B เราก็ต้องเดินทางไปตามผิวโลก(แผ่นกระดาษ) แต่ถ้าหาก
ระหว่างจุด A และจุด B เกิดปรากฏการณ์ "รูหนอน" เราก็สามารถที่จะเดินทางผ่าน "รูหนอน"
จากจุด A มายังจุด B ได้โดยที่ใช้เวลาน้อยกว่ามาก

ทฤษฏีหลุมฟ้า

ร็อบ พลาเมอร์ (Rob Palmer) นักประดาน้ำระดับโลกชาวอังกฤษ
(http://www.divernet.com/profs/pics/Palmer1399.jpg) (http://www.divernet.com/profs/palmer399.htm)
ผู้อำนวยการมูลนิธิหลุมฟ้า (The Blue Holes Foundation)
(http://www.blueholes.org/images/photos/ed3.jpg) (http://www.blueholes.org/about.html)

ได้ศึกษาเรื่องถ้ำประหลาดที่เขาพบใต้มหาสมุทร ร็อบเชื่อว่าถ้ำประหลาดเหล่านั้นเป็นทางเชื่อมต่อ
ระหว่างมิติที่พวกมนุษย์ต่างดาวใช้ในการเดินทาง ร็อบกล่าวว่า บริเวณหมู่เกาะบาฮามาส์ นี้
เต็มไปด้วยหินปูนขนาดใหญ่ ซึ่งหินปูนนี้เองที่เป็นตัวการในการก่อกำเนิดถ้ำ และจากการที่ไม่มี
แม่น้ำไหลผ่านบนเกาะจึงทำให้บรรดาหินปูนก่อตัวกันขึ้นเป็นถ้ำที่มีขนาดใหญ่ และยาวขึ้นเรื่อยๆ
จนบางครั้งมันกินเนื้อที่ลงไปในใต้น้ำเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร

การขาดแคลนน้ำจืดบนหมู่เกาะบาฮามาส์ ทำให้ถ้ำเหล่านี้ก่อตัวมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
จนบางครั้งมันถึงกับพังครืนลงมาเพราะรากฐานของถ้ำไม่สามารถรับน้ำหนักของมันได้
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่น้ำในมหาสมุทรมีระดับต่ำมากเช่น ในช่วง ยุคน้ำแข็ง (Ice age) (http://en.wikipedia.org/wiki/Ice_age)
บางครั้งการถล่มของถ้ำได้เกิดต่อเนื่องขึ้นมาจนถึงตัวถ้ำที่อยู่บนพื้นเกาะ และในช่วงนี้เอง
ที่ทางเข้าถ้ำใต้พิภพได้ก่อตัวขึ้น

เมื่อน้ำในมหาสมุทรมีปริมาณมากขึ้น บรรดาถ้ำเหล่านี้ก็จมอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร ปากถ้ำส่วนใหญ่
จะจมอยู่ใต้ทะเลสาบบนเกาะหรือไม่ก็จมอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า แนวปะการังรอบๆ เกาะ (Barrier Reef)
ปากทางเข้าถ้ำใต้พื้นน้ำนี่เองที่ร็อบเรียกมันว่า "หลุมฟ้า" (http://en.wikipedia.org/wiki/Blue_hole)

"หลุมฟ้า" มีอยู่เป็นจำนวนมากรอบๆ หมู่เกาะบาฮามาส์ โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นลิ้นของมหาสมุทร
(http://www.tamug.edu/cavebiology/Bahamas/images/DoubleHolePhotoSm.jpg) (http://www.tamug.edu/cavebiology/Bahamas/BahamaIntro.html)
"หลุมฟ้า" เหล่านี้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกเมื่อราวปลายทศวรรษที่ 1950 โดย จอร์จ เบนจามิน
(George Benjamin) นักประดาน้ำชาวแคนาดา ได้มาดำน้ำสำรวจถ้ำใต้น้ำเหล่านี้ รอบๆ เกาะแอนดรอส
ซึ่งทำให้ผู้คนก็เริ่มรู้จักถ้ำประหลาดใต้น้ำ และเรียกมันว่า "หลุมฟ้าของเบนจามิน" (Benjamin's Blue Hole)

ภายในถ้ำยังมีช่องเล็กช่องน้อยนำเข้าไปสู่ถ้ำอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ในถ้ำใหญ่ จอร์จได้ดำน้ำสำรวจถ้ำใต้น้ำเหล่านี้
ไปจนกระทั่งที่ระดับความลึก 300 ฟุต และจากภาพยนตร์ที่เขาได้บันทึกเอาไว้ ทำให้ผู้คนเริ่มรู้จัก
ถ้ำใต้น้ำในบาฮามาส์ แต่การสำรวจของจอร์จได้สิ้นสุดลงในช่วงกลางทศวรรษที่ 1970
เนื่องจากเพื่อนที่ร่วมเดินทางสำรวจถ้ำคนหนึ่งเสียชีวิตภายในถ้ำใต้น้ำบริเวณ "ลิ้นของมหาสมุทร"
ที่พวกเขากำลังสำรวจอยู่นั่นเอง
(http://www.theoceanadventure.com/JSIE/IMAGES/holestitelow.JPG)(http://www.theoceanadventure.com/JSIE/IMAGES/holeWBlow.JPG)
(http://www.theoceanadventure.com/JSIE/IMAGES/holestiteslow.JPG)(http://www.theoceanadventure.com/JSIE/IMAGES/holesite2low.JPG)

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ก็มีนักประดาน้ำชาวอเมริกันชื่อ เช็ก เอ็กซ์เลย์ (Sheck Exley) (http://en.wikipedia.org/wiki/Sheck_Exley)
ได้พบถ้ำใต้น้ำที่มีความยาวถึง 8 กิโลเมตร ซึ่งเป็นถ้ำใต้น้ำที่ยาวที่สุดในโลก และอีก 10 ปีต่อมา
มันก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น "อุทยานแห่งชาติลูคายัน" (Lucayan National Park) (http://www.geographia.com/grandbahama/lucayan.htm)
ส่วน ร็อบ พลาเมอร์ ได้เริ่มมาสำรวจถ้ำใต้น้ำเมื่อปี ค.ศ. 1981 เขาได้พบถ้ำใต้น้ำอีกจำนวนมาก
อีกทั้งเขายังพบสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่บรรดานักวิทยาศาสตร์คิดว่ามันสูญพันธ์ไปแล้วเมื่อ 150 ล้านปีก่อน
(http://www.smallhope.com/CTSD/OBHConchSound199.gif) (http://www.smallhope.com/CTSD/OceanBlueHoles.html)
(http://www.smallhope.com/CTSD/WDChurchWindows141.gif) (http://www.smallhope.com/CTSD/Walls.html)

วันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1997 ร็อบและเพื่อนร่วมทีมอีก 3 คน เดินทางไปสำรวจถ้ำใต้น้ำ
ในทะเลแดงที่ประเทศ อียิปต์
(http://www.blueholeproject.com/2005/big/DSCF0151.JPG) (http://www.blueholeproject.com/2005/canyonmaps.html)
เมื่อเรือแล่นไปถึงจุดที่ร็อบจะดำสำรวจถ้ำใต้น้ำ เขาก็ทิ้งตัวลงจากเรือดำดิ่งไต่ความลึกลง
ตรงไปยังถ้ำใต้น้ำทันที เพื่อนร่วมทีมของเขาประหลาดใจที่ ร็อบ ทำเช่นนั้น เพราะโดยปรกติแล้ว
นักประดาน้ำจะว่ายน้ำจากเรือไปยังตำแหน่งของถ้ำใต้น้ำเรียกว่า "กำแพง" แล้วจึงค่อยดำลงไป

ทั้งๆ ที่ยังแปลกใจไม่หาย เพื่อนร่วมทีมทั้ง 3 คนก็รีบดำน้ำตาม ร็อบ ลงไป หนึ่งในนั้นตามไปถึง
แค่เพียงระดับความลึก 64 เมตรก็กลับ ส่วนอีก 2 คนที่เหลือยังคงดำน้ำตาม ร็อบ ไปจนถึงที่
ระดับความลึก 99 เมตรก็ยังไม่สามารถตามร็อบไปได้ทัน ทั้ง 2 คนจึงตัดสินใจกลับสู่ผิวน้ำ
ส่วนร็อบก็ยังคงดำดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ

เพื่อนๆ ได้รอคอยการกลับมาของ ร็อบ อยู่บนเรือเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่เขาก็ไม่ได้กลับขึ้นมาอีกเลย
อะไรเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของ ร็อบ นั้นยังเป็นปริศนาอยู่จนถึงปัจจุบัน ไม่มีใครตอบได้ว่า
ทำไมร็อบจึงตัดสินใจดำน้ำดิ่งตรงจากเรือ แทนที่จะค่อยๆ ว่ายน้ำไปยังจุดที่ต้องการก่อน

ดร.ไมเคิล เชื่อว่า ร็อบ พลาเมอร์ ถูก "สั่งเก็บ" โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ เพราะว่า
เขาเป็นอันตรายต่อความลับใต้ท้องมหาสมุทรในบาฮามาส์ ที่รัฐบาลพยายามปกปิด
เขาอาจโดนสะกดจิตให้ทำในสิ่งที่ต้องคร่าชีวิตเขาเอง หรือไม่ก็มีการปรับแต่ง
อุปกรณ์ประดาน้ำของเขา เนื่องจาก ดร.ไมเคิล เชื่อว่า "หลุมฟ้า" ที่ ร็อบ ทำการสำรวจนั้น
เป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการเกิด-ดับของ "รูหนอน"

มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะหาข้อมูลของ "ออเทค" หรือ "พื้นที่ 51 แห่งแคริบเบียน"
เนื่องจากมันตั้งอยู่กลางมหาสมุทร แถมทั้งยังกินพื้นที่ลงไปใต้พื้นมหาสมุทรอีกด้วย
แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า ทำไมฐานทัพสหรัฐฯ จึงมักจะไปตั้งอยู่ในบริเวณที่ลับหูลับตาผู้คน
และมักจะมีรายงานการพบเห็นวัตถุบินลึกลับในบริเวณฐานทัพเหล่านั้นเสมอ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: SA-KE ที่ กันยายน 08, 2006, 11:18:07 PM
   อ่านแล้วสะดุด..." ร็อบ พลาเมอร์ " โดนสะกดจิต..ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง "พลังจิต " ที่ทั้ง สหภาพโซเวียตฯ (ชื่อสมัยนั่น ) และ อเมริกา ได้ค้นคว้า ซึ่งตอนที่ผมอ่าน มิติที่ 4 พอได้อ่านมาบ้างแต่ไม่เจาะลึกเท่าข้อมูลต่างๆที่  คุณ narongt นำมาเสนอ...ถ้ามีโอกาส ..คงต้องขอรบกวนด้วยครับ.. ขอบคุณมากครับ.. :) :)

  หมายเหตุ : ผมเก็บหัวข้อนี้ ไว้ใน Favoritesด้วยครับ...เผื่อนานๆไปอยู่หน้าอื่น จะได้ไม่ต้องตามหาครับ.. ;)


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: M 60 - 7 รักในหลวง ที่ กันยายน 09, 2006, 01:24:55 AM
ตอนแรกอ่านชื่อกระทู้เป็นทฤษฎีคบสมคิด น่ะครับ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 09, 2006, 10:10:57 AM
   อ่านแล้วสะดุด..." ร็อบ พลาเมอร์ " โดนสะกดจิต..ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง "พลังจิต " ที่ทั้ง สหภาพโซเวียตฯ (ชื่อสมัยนั่น ) และ อเมริกา ได้ค้นคว้า ซึ่งตอนที่ผมอ่าน มิติที่ 4 พอได้อ่านมาบ้างแต่ไม่เจาะลึกเท่าข้อมูลต่างๆที่  คุณ narongt นำมาเสนอ...ถ้ามีโอกาส ..คงต้องขอรบกวนด้วยครับ.. ขอบคุณมากครับ.. :) :)

  หมายเหตุ : ผมเก็บหัวข้อนี้ ไว้ใน Favoritesด้วยครับ...เผื่อนานๆไปอยู่หน้าอื่น จะได้ไม่ต้องตามหาครับ.. ;)

ได้ตามคำขอครับ แต่อาจจะมีข้อมูลไม่เยอะเท่าไหร่!

เก็บได้ตามสบายเลยครับ และอย่าลืมดาวน์โหลดไฟล์ไปดูนะครับน่าสนใจมั่กๆ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 09, 2006, 10:11:59 AM
ตอนแรกอ่านชื่อกระทู้เป็นทฤษฎีคบสมคิด น่ะครับ

ทักษินเลิกคบไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ! อิ อิ


หัวข้อ: Bohemian Grove (ลัทธิซาตาน)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 10, 2006, 03:28:55 PM
Bohemian Grove (ลัทธิซาตาน)
(http://www.sonomacountyfreepress.com/bohos/burningcare.jpg) (http://www.sonomacountyfreepress.com/bohos/bohoindx.html)

Bohemian Grove เป็นที่ตั้งค่ายพักแรมกลางป่ามีเนื้อที่ขนาด 2700-เอเคอร์ (11 ตารางกิโลเมตร)
อยู่ที่ 20601 Bohemian Ave, Monte Rio, California 95462 เป็นส่วนหนึ่งของที่ตั้ง
คลับศิลปะลับๆของกลุ่มผู้ชายกลุ่มหนึ่งในซานฟรานซิสโกที่รู้จักกันในนาม Bohemian Club (http://en.wikipedia.org/wiki/Bohemian_Club)
http://sociology.ucsc.edu/whorulesamerica/power/bohemian_grove.html (http://sociology.ucsc.edu/whorulesamerica/power/bohemian_grove.html)
(http://home.planet.nl/~reijd050/organisations/grove/Grove_plattegrond_03.gif)
http://maps.google.com/maps?ie=UTF8&z=15&ll=38.467753,-123.00175&spn=0.01633,0.028925&om=1 (http://maps.google.com/maps?ie=UTF8&z=15&ll=38.467753,-123.00175&spn=0.01633,0.028925&om=1)
ทุกๆปี (นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1899) Bohemian Grove จะถูกใช้เป็นที่พักประมาณ 2-3 สัปดาห์
เริ่มต้นในกลางเดือนกรกฏาคม ของกลุ่มผู้ชายบางกลุ่มที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/8/89/Reagon-nixon.jpg/300px-Reagon-nixon.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Bohemian_Grove)

สมาชิกของ The Bohemian Club มีทั้ง ศิลปิน, นักดนตรีระดับโลก, ผู้นำทางธุรกิจอันดับต้นๆของโลก,
เจ้าหน้าที่ของรัฐบาล (รวมทั้งประธานาธิบดีบางคน), และผู้บริหารธุรกิจสื่อสารมวลชนอาวุโส
เงื่อนไขในการรับสมาชิกของคลับ มีการรายงานว่า มีคนที่รอคอยการพิจารณาอยู่ในลิสต์เพื่อสมัครสมาชิก
นานถึง 15-20 ปี คิดว่าเร็วที่สุดที่เป็นไปได้ในกระบวนการสมัครสมาชิกก็น่าจะประมาณ 3 ปี
ผู้ที่หวังจะได้เป็นสมาชิกใหม่ต้องได้รับการรับรองจากผู้ที่เป็นสมาชิกอยู่แล้วจำนวน 2 คน
มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี เพื่อเป็นค่าบำรุงรักษา

หลังจากที่เป็นสมาชิก 40 ปี ผู้ชายจะได้รับสถานะ "Old Guard" (เทียบเท่าราชองครักษ์หรือรัฐบุรุษ)
ซึ่งจะได้รับอภิสิทธิ์จัดที่นั่งให้เป็นพิเศษในการพูดคุยอย่างสง่าผ่าเผยในทุกๆ วัน สมาชิกอาจจะเชิญแขก
ส่วนตัวเข้ามาในกลุ่มได้ จะเป็นใครก็ได้แต่มีกระบวนการตรวจสอบอย่างเข้มงวดกวดขัน แขกรับเชิญมาจาก
ทั้งในอเมริกาและต่างประเทศ

คำขวัญของกลุ่มคือ "Weaving Spiders Come Not Here" อันซึ่งบอกเป็นนัยว่า
เกี่ยวกับเรื่องภายนอกและการตกลงกันทางธุรกิจให้ปล่อยทิ้งไว้ข้างนอก อย่างไรก็ตามมีหลักฐานที่ยืนยันว่า
การตกลงกันทางการเมืองและธุรกิจ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นจาก ณ. ที่แห่งนี้ ที่นี่ยังเคยเป็นที่วางแผนโครงการ
ที่มีชื่อเสียงมากโครงการหนึ่งนั่นก็คือ โครงการแมนฮัตตัน ในเดือนกันยายน 1942 อันซึ่งนำไปสู่การสร้าง
ระเบิดนิวเคลียร์ ในภายหลัง
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/8d/Trinity_shot_color.jpg/250px-Trinity_shot_color.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Manhattan_Project)
โครงการนี้ผู้ที่รับผิดชอบนอกจาก เออร์เนสท์ ลอว์เรนซ์ (Ernest Lawrence) และเจ้าหน้าที่ทางการทหารแล้ว
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/0/01/Ernest_O._Lawrence.jpg/180px-Ernest_O._Lawrence.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Ernest_Lawrence)
ยังรวมถึง ประธานของมหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด และ ผู้แทนของกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมัน และ กลุ่ม จีอี

พิจารณาจากอดีตที่ผ่านมา

The Bohemian Club เป็นคลับที่เป็นความลับ สมาชิกของคลับเท่านั้น(เรียกกันว่า "Bohos")
และ แขกรับเชิญของพวกเขาที่อาจจะได้เข้ามาในคลับนี้ แขกเหล่านี้เท่าที่เคยรู้มีทั้ง นักการเมือง,
คนที่มีชื่อเสียงจากภายนอกประเทศอเมริกา ระหว่างกลางฤดูร้อนที่มีการเข้ามาพัก จำนวนของ
แขกรับเชิญถูกจำกัดอย่างเข้มงวด ด้วยข้อจำกัดของสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีจำนวนไม่มาก
แต่กระนั้น ก็เคยมีรายงานว่ามี สมาชิกและแขกรับเชิญถึง 1,500 คนที่เข้ามาพักในการประชุมประจำปี

รายชื่อ สมาชิกและแขกรับเชิญ ในการประชุมประจำปีของคลับ ถูกเก็บเป็นความลับ
แต่นักค้นหาได้อุทิศเวลาในการค้นหาโดยเข้าไปถึงคนบางคนในกลุ่มนี้
(ดูที่ Peter Martin Phillips' Dissertation,
http://libweb.sonoma.edu/regional/faculty/phillips/bohemianindex.html (http://libweb.sonoma.edu/regional/faculty/phillips/bohemianindex.html)
Kerry Richardson
http://www.sonic.net/~kerry/bohemian/ (http://www.sonic.net/~kerry/bohemian/)
and Joel van der Reijden's
http://home.planet.nl/~reijd050/organisations/Bohemian_Grove.htm (http://home.planet.nl/~reijd050/organisations/Bohemian_Grove.htm)
comprehensive Membership List เพื่ออ้างอิงต่อรายชื่อเหล่านี้)
จากข้อมูลแหล่งต่างๆ, การรายงาน, พิจารณาจากอดีตที่ผ่านมา รวมทั้งปัจจุบัน
โดยมีรายชื่อดังต่อไปนี้ที่ได้เคยเข้าไปร่วมประชุม

ผู้ดำเนินการปัจจุบัน:
George W. Bush
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/d/d4/George-W-Bush.jpeg/200px-George-W-Bush.jpeg) (http://en.wikipedia.org/wiki/George_W._Bush)

Dick Cheney
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/2b/Richard_Cheney_2005_official_portrait.jpg/200px-Richard_Cheney_2005_official_portrait.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Dick_Cheney)

Donald Rumsfeld
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/17/Rumsfeld1.jpg/200px-Rumsfeld1.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Donald_Rumsfeld)

Karl Rove
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/8/82/Karl_Rove.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Karl_Rove)

อดีตประธานาธิบดีอเมริกัน:
George Herbert Walker Bush
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/0/0f/George_H._W._Bush%2C_President_of_the_United_States%2C_1989_official_portrait.jpg/200px-George_H._W._Bush%2C_President_of_the_United_States%2C_1989_official_portrait.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/George_H._W._Bush)

Bill Clinton
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/d/d3/Bill_Clinton.jpg/200px-Bill_Clinton.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Bill_Clinton)

Ronald Reagan
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/16/Official_Portrait_of_President_Reagan_1981.jpg/200px-Official_Portrait_of_President_Reagan_1981.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Ronald_Reagan)

Jimmy Carter
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4c/Jimmy_Carter.jpg/200px-Jimmy_Carter.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Jimmy_Carter)

Gerald Ford
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/6/6a/Jerryford.jpg/200px-Jerryford.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Gerald_Ford)

Richard Nixon
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/4/40/Nixon.jpg/200px-Nixon.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Richard_Nixon)

Dwight D. Eisenhower
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/d/d6/Eisenhower_official.jpg/200px-Eisenhower_official.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Dwight_D._Eisenhower)

Harry S. Truman
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/0/00/Harry-s-truman-58-766-09.jpg/200px-Harry-s-truman-58-766-09.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Harry_Truman)

Herbert Hoover
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/b/ba/HerbertHoover.jpg/200px-HerbertHoover.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Herbert_Hoover)

Calvin Coolidge
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/f/fd/Calvin_Coolidge_photo_portrait_head_and_shoulders.jpg/200px-Calvin_Coolidge_photo_portrait_head_and_shoulders.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Calvin_Coolidge)

William Howard Taft
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/f/fc/William_Howard_Taft%2C_Bain_bw_photo_portrait%2C_1908.jpg/200px-William_Howard_Taft%2C_Bain_bw_photo_portrait%2C_1908.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/William_Howard_Taft)

Theodore Roosevelt
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/19/President_Theodore_Roosevelt%2C_1904.jpg/200px-President_Theodore_Roosevelt%2C_1904.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Theodore_Roosevelt)

พร้อมด้วยบุคคลเหล่านี้:
Jeb Bush
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/0/00/Jeb_Bush.jpg/160px-Jeb_Bush.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Jeb_Bush)

Henry Kissinger
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/e/e3/Henry_Kissinger.jpg/200px-Henry_Kissinger.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Henry_Kissinger)

George P. Shultz
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/c/c7/GeorgePShultz.jpg/170px-GeorgePShultz.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/George_Shultz)

Earl Warren
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/0/04/Earl_Warren.jpg/200px-Earl_Warren.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Earl_Warren)

Robert F. Kennedy
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/d/dc/Robertkennedy.jpg/180px-Robertkennedy.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Robert_Kennedy)

David Rockefeller (http://en.wikipedia.org/wiki/David_Rockefeller)

David Rockefeller, Jr.

Nelson Rockefeller
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/7/75/N_rockefeller.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Nelson_Rockefeller)

James Wolfensohn
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/43/James_D._Wolfensohn_2003.jpg/180px-James_D._Wolfensohn_2003.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/James_Wolfensohn)

Alan Greenspan
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/9/98/Greenspan.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Alan_Greenspan)

Paul Volcker (http://en.wikipedia.org/wiki/Paul_Volcker)

Colin Powell
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/22/Colin_Powell_official_Secretary_of_State_photo.jpg/200px-Colin_Powell_official_Secretary_of_State_photo.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Colin_Powell)

Jack Welch
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/0/0f/Jack-welch.jpg/200px-Jack-welch.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Jack_Welch)

David Packard (http://en.wikipedia.org/wiki/David_Packard)

Riley P. Bechtel (http://en.wikipedia.org/wiki/Riley_P._Bechtel)

Henry Ford II
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/3/3a/Henry-Ford-II.jpg/180px-Henry-Ford-II.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Henry_Ford_II)

Prince Philip, Duke of Edinburgh
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/e/e4/Prince_Philip%2C_Duke_of_Edinburgh_cropped.jpg/262px-Prince_Philip%2C_Duke_of_Edinburgh_cropped.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Prince_Philip)

John Major
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/1/1c/JohnMajor.gif) (http://en.wikipedia.org/wiki/John_Major)

Helmut Schmidt
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/e/ed/Schmidt.JPG/200px-Schmidt.JPG) (http://en.wikipedia.org/wiki/Helmut_Schmidt)

Lee Kuan Yew
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/0/0f/Lee_Kuan_Yew.jpg/195px-Lee_Kuan_Yew.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Lee_Kuan_Yew)

James Baker
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/b/b9/JamesBaker.jpeg/200px-JamesBaker.jpeg) (http://en.wikipedia.org/wiki/James_A._Baker_III)

Newt Gingrich
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/1/13/NewtGingrichPhotograph.jpg/160px-NewtGingrichPhotograph.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Newt_Gingrich)

Arnold Schwarzenegger
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/9/93/Arnoldthegov.jpg/160px-Arnoldthegov.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Arnold_Schwarzenegger)

Robert Novak (http://en.wikipedia.org/wiki/Robert_Novak)

Malcolm Forbes (http://en.wikipedia.org/wiki/Malcolm_Forbes)

David S. Broder (http://en.wikipedia.org/wiki/David_S._Broder)

Neil Armstrong
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/0/0d/Neil_Armstrong_pose.jpg/200px-Neil_Armstrong_pose.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Neil_Armstrong)

Mark Twain
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/31/MarkTwain.LOC.jpg/200px-MarkTwain.LOC.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Mark_Twain)

Francis Ford Coppola
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/9f/Francis_Ford_Coppola%28CannesPhotoCall%29.jpg/180px-Francis_Ford_Coppola%28CannesPhotoCall%29.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Francis_Ford_Coppola)

Charlton Heston
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/0/0d/Charlton_Heston_Civil_Rights_March_1963.jpg/142px-Charlton_Heston_Civil_Rights_March_1963.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Charlton_Heston)

Clint Eastwood
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/1/11/Clint_eastwood.jpg/180px-Clint_eastwood.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Clint_Eastwood)

Walter Cronkite
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/0/06/Cronkite.jpg/180px-Cronkite.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Walter_Cronkite)


หัวข้อ: สายลับพลังจิต
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 11, 2006, 02:40:54 PM
สายลับพลังจิต

ซีไอเอ มักจะมี "อาวุธลับ" ประหลาดๆ อยู่เสมอ "สายลับพลังจิต" ก็เป็นหนึ่งในอาวุธลับที่ "ซีไอเอ"
แอบซ่อนไว้ใช้งานเวลาที่เข้าตาจนไม่สามารถที่จะใช้วิธีการตามแบบปรกติได้ "สายลับพลังจิต"
เป็นใครและพวกเขาทำงานกันอย่างไร

คาดว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ได้เริ่มศึกษาเรื่องการติดต่อสื่อสารโดยพลังจิตหรือที่เรานิยมเรียกกันย่อๆ ว่า
อีเอสพี (ESP - Extra-sensory perception) (http://en.wikipedia.org/wiki/Extra-sensory_perception) อย่างเป็นจริงเป็นจังก็ในราวช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อมีข่าวกรองระบุว่า จอมเผด็จการ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้วางแผนการรบโดยอาศัยคำแนะนำของ
นักไสยศาสตร์ และนายแพทย์ทัศนา(หมอดู) ด้วยความกลัวว่าจะตกเป็นรองเยอรมันในการทำสงคราม
สหรัฐฯ จึงได้จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจขึ้นเพื่อการศึกษาและวิจัยการใช้พลังจิต

เริ่มโครงการ

ในปี ค.ศ. 1952 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้รับรายงานว่า มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเอา "พลังจิต"
มาใช้เป็นอาวุธสงคราม ทำให้มีการศึกษา ค้นคว้ากันมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1962
มีรายงานการวิจัยฉบับหนึ่งไปเตะตาหัวหน้าหน่วยให้บริการทางเทคโนโลยีของซีไอเอ เข้าให้จังเบ้อเร่อ
เขาก็เลยติดต่อไปยัง สตีเฟ่น ไอ แอบรัมส์ (Stephen I.Abrams) (http://72.14.235.104/search?q=cache:_zkL0oha2twJ:www.scientificexploration.org/jse/articles/pdf/13.1_kress.pdf+Abrams,+the+Director+of+the+Parapsychological+Laboratory,+Oxford+University,.+England&hl=th&gl=th&ct=clnk&cd=2) ผู้อำนวยการห้องทดลองค้นคว้าพลังจิต
ของมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด ในประเทศอังกฤษ สตีเฟ่นจึงได้ทดลองเรื่องการใช้พลังจิตภายใต้การอุปถัมภ์
ของโครงการ อัลทรา (ULTRA) ซึ่งเป็นโครงการลับโครงการหนึ่งของซีไอเอ ที่ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับ
เรื่องพลังจิต

ซีไอเอ ได้เคยทำการทดลองใช้สารเสพติด เพื่อควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ การทดลองนั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง
ของโครงการอัลทรา ที่มีชื่อเรียกว่า โครงการเอ็มเคอัลทรา (MKULTRA) โครงการอัลทรา ได้ถูกซอยย่อย
ออกไปอีกหลายแขนงซึ่งแต่ละโครงการก็จะมีชื่อรหัสเรียกเฉพาะแตกต่างกันไป

ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านไป สตีเฟนก็ได้ทดลองและจดบันทึก เขาไม่สามารถที่จะควบคุมและหาคำตอบ
เรื่องการใช้พลังจิตได้ ทำให้ดูเหมือนว่า โครงการวิจัยเรื่องปรากฏการณ์พลังจิตเหนือธรรมชาตินี้จะล้มเหลว
จนกระทั่งมีนักฟิสิกส์มือดี 2 คนมาปลุกผีโครงการนี้ขึ้นอีกครั้งในต้นทศวรรษที่ 1970

ดร. รัสเซลล์ ทาร์ก (Dr. Russell Targ) (http://en.wikipedia.org/wiki/Russell_Targ) และ ดร. ฮาโรลด์ อี พิวทอฟฟ์ (Harold E. Puthoff) (http://en.wikipedia.org/wiki/Harold_E._Puthoff)
มีความสนใจในเรื่องพลังจิตเป็นอย่างมาก ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1972 ดร. ฮาโรลด์
ได้แนะนำชายคนหนึ่งกับเจ้าหน้าที่ของซีไอเอ โดยกล่าวว่า ชายคนนั้นมีหลักฐานการทดลองเรื่อง
การใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุ (Psychokinesis) (http://en.wikipedia.org/wiki/Psychokinesis) ของรัสเซียอยู่ในมือ หลังจากที่ซีไอเอได้เห็นหลักฐาน
ที่เป็นภาพยนตร์ก็เกิดความสนใจและตกลงให้ ดร. ฮาร์โรลด์ และ ดร. รัสเซลล์ ทำการค้นคว้า
http://youtube.com/watch?v=WyRwrBtlh-0 (http://youtube.com/watch?v=WyRwrBtlh-0)
http://youtube.com/watch?v=_oudvOV3hy0 (http://youtube.com/watch?v=_oudvOV3hy0)
http://youtube.com/watch?v=GcoNGkcTSZE (http://youtube.com/watch?v=GcoNGkcTSZE)

พบผู้ที่มีความสามารถ

และนั่นก็คือที่มาของโครงการลับ สแกนเอท (Scanate) (http://www.associatedcontent.com/article/24100/project_scanate_the_cia_and_the_birth.html) ซึ่งมาจากคำว่า Scan by Coordinate
เป็นโครงการที่ทำการค้นคว้าเรื่องปรากฏการณ์พลังจิตเหนือธรรมชาติ การทดลองได้เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรก
เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1972 ชายที่อ้างว่าตนมีพลังจิตคนหนึ่ง ได้ถูกทดสอบโดยให้บรรยายลักษณะ
ของวัตถุที่ถูกซ่อนอยู่โดยเจ้าหน้าที่ของซีไอเอ และเขาก็บอกรายละเอียดได้อย่างแม่นยำ

ในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1973 ซีไอเอ ได้ทำการทดลอง การมองระยะไกลโดยอาศัยพลังจิต (Remote Viewing) (http://en.wikipedia.org/wiki/Remote_Viewing)
Remote Viewing Timeline (http://www.sc-i-r-s-ology.pair.com/rvtimeline/index.html)
พวกเขาได้ฝึกนักพลังจิตชื่อ แพท ไพรซ์ (Pat Price) (http://en.wikipedia.org/wiki/Pat_Price_%28remote_viewer%29) โดยพวกเขาได้บอกเพียงตำแหน่งที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้าง
ชนิดหนึ่งให้แพททำการเพ่งกระแสจิตไปโดยไม่ใช้แผนที่ ซึ่งเป้าหมายนั้นเป็นบ้านพักตากอากาศแห่งหนึ่ง
ในฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ แล้วให้บอกทันทีว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แต่แพทกลับบรรยายลักษณะ
ของสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างที่คล้ายกับฐานทัพทหาร

เพื่อเป็นการพิสูจน์ผลการทดสอบ เจ้าหน้าที่ซีไอเอ ได้ขับรถไปยังบ้านพักตากอากาศแห่งนั้น
แต่เขาเองกลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าห่างจากบ้านพักตากอากาศไปเพียงไม่กี่ไมล์
มีอาคารของทางราชการที่มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดตั้งอยู่ เขาจึงรีบขับรถกลับมา
เพื่อขอให้แพท ระบุรายละเอียดของอาคารนั้นอีกครั้ง

แพทสามารถระบุรายละเอียด รูปร่างของอาคารได้อย่างถูกต้อง ซึ่งก็ทำให้ ซีไอเอพอใจในการทดลอง
ครั้งนี้เป็นอย่างมาก จนได้มีการพัฒนาการทดลองในวิธีการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเสริมสร้าง
พลังจิตให้กับนักพลังจิต อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นใจในความถูกต้องของข้อมูลที่ได้ ก่อนที่จะนำ
มันมาใช้งานจริง

ใช้พลังจิตข้ามทวีป
(http://www.biomindsuperpowers.com/Images/HPCIA6.gif) (http://www.biomindsuperpowers.com/Pages/CIA-InitiatedRV.html)
สายลับพลังจิต แพท ไพรซ์(คนกลาง) และ ดร. ฮาโรลด์ อี พิวทอฟฟ์(ริมขวา)
ยืนถ่ายภาพร่วมกันหลังจากเสร็จการทดลองการมองระยะไกล

การทดลองมองระยะไกลที่ได้ผลลัพธ์น่าทึ่งที่สุดก็คือ การทดลองให้แพท บรรยายถึง
เมืองเซมิพาลาทินส์ก (Semipalatinsk) ที่อยู่ในประเทศคาซักสถาน
(http://www.espresearch.com/images/graphic-f8rv-crane-orig2.gif)
มันเป็นสถานที่ที่ไม่มีข้อมูลซึ่งยังต้องรอการสำรวจที่ ซีไอเอ ใช้รหัสเรียกว่า
URDF-3 (Unidentified Research and Development Facility - 3) (http://www.gwu.edu/~nsarchiv/NSAEBB/NSAEBB54/st36.pdf)

แพท ระบุว่าเขาเห็นปั้นจั่นขนาดใหญ่มากอันหนึ่ง มันใหญ่ขนาดเขาเห็นคนสูงเพียงแค่เพลาล้อของมัน
(http://www.espresearch.com/images/graphic-f8rv-crane-draw+orig.gif)
ซึ่งมันก็มีอยู่ที่นั่นจริงๆ แม้ว่าข้อมูลของแพทยังไม่ละเอียดนัก เพราะว่ายังมีแท่นขุดเจาะที่แพทไม่ได้กล่าวถึง
แต่ก็มากพอที่จะทำให้ ดร. เคนเน็ท เอ เครสส์ (Kenneth A. Kress) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านปรากฏการณ์
เหนือธรรมชาติของซีไอเอ ทึ่งในความสามารถของแพท จนเขาต้องเดินทางมาสัมภาษณ์แพทด้วยตัวเอง

เมื่อ ดร. รัสเซลล์ และ ดร. ฮาโรลด์ มาแพทมาพบกับ ดร. เคนเน็ท
ดร. เคนเน็ทต้องการทดสอบความสามารถของแพท โดยถามแพทว่า รู้ไหมว่าเขาเป็นใคร
แพทตอบอย่างไม่ลังเลว่า "รู้" ดร. เคนเน็ท จึงถามต่อว่าแล้วรู้จักชื่อของเขาไหม แพทก็ตอบว่า
"เคน เครสส์" แล้วอาชีพของเขาล่ะ แพทตอบอย่างมั่นใจว่า "ทำงานให้กับ ซีไอเอ"

การที่ แพทตอบคำถามเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ เพราะ ดร. เคนเน็ท
เป็นเจ้าหน้าที่ลับของซีไอเอ เขาไม่ได้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ดร. เคนเน็ท
ตัดสินใจยอมรับ แพท ไพรซ์ เข้าเป็น "สายลับพลังจิต" ของซีไอเอ จากนั้น ดร. เคนเน็ท
ก็หยิบภาพใบหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วถามแพทว่าเคยเห็นสถานที่นี้ไหม? แพทก็ตอบว่า
"แน่นอน เขาเคยเห็น" ดร. เคนเน็ท จึงถามต่อ ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาไม่ระบุถึงแท่นขุดเจาะ
4 แท่นนี้ ตอนที่เขาถูกทดสอบ? แพทตอบว่า "รอเดี๋ยว ขอให้ได้ตรวจสอบอีกที"

แพทหลับตาลง แล้วหยิบแว่นตาขึ้นมาใส่ซึ่งเขาบอกว่ามันทำให้เขา "เห็น" ได้ชัดเจนขึ้น
เพียงแค่ไม่กี่วินาที แพทก็ตอบว่าที่เขาไม่เห็นแท่นขุดเจาะก็เพราะว่ามันไม่ได้อยู่ที่นั่น
หลังจากนั้นมาอีก 2-3 สัปดาห์ก็มีการตรวจเช็คกลับไปที่ URDF-3 ก็พบว่าแท่นขุดเจาะ 2 แท่น
ได้ถูกรื้อถอนไปแล้ว แต่ก็ยังพอมีร่องรอยของแท่นขุดเจาะเหลืออยู่ ทำให้พอจะสรุปได้ว่า
ข้อมูลที่ได้จากการมองระยะไกลของแพทนั้นมีทั้งส่วนที่เชื่อถือได้ และส่วนที่เชื่อถือไม่ได้

นำมาใช้งานจริง

ปลายปี ค.ศ. 1974 แพทได้ถูกสั่งให้ใช้พลังจิตของเขาตรวจสอบที่ซ่อนของฐานกำลังของกองทัพใต้ดิน
ในประเทศลิเบีย แพทได้ชี้จุดที่คาดว่าเป็นที่ซ่อนของสถานีทดลองขีปนาวุธ SA-5 ซึ่งก็ตรงกับที่ข่าวกรอง
ที่กองทัพลิเบียได้รับแจ้ง และแพทยังได้ระบุถึงสถานที่ที่พวกกองทัพใต้ดินได้ใช้เป็นที่ฝึกการก่อวินาศกรรม
ตรงกับที่แหล่งข่าวของลิเบียแจ้งเช่นกัน

กองทัพลิเบียได้ขอให้แพท ช่วยบอกรายละเอียดว่าในสถานที่ซ่อนของพวกกองทัพใต้ดินนั้น
มีการเคลื่อนไหวเป็นอย่างไรบ้าง คำถามต่างๆ ที่ลิเบียอยากรู้เกี่ยวกับพวกกองทัพใต้ดินได้ถูกเขียนส่งไป
ให้กับแพท แต่เป็นที่น่าเสียดายที่แพทได้เสียชีวิตเพราะหัวใจวายเสียก่อน ปฏิบัติการครั้งนั้นจึงถูกยกเลิก
และไม่มีการส่งข้อมูลเพิ่มเติมจากซีไอเอ ให้กับลิเบียอีก

กองทัพสหรัฐฯ ได้นำการมองระยะไกลมาใช้ในสงครามเวียดนาม โดยให้นักพลังจิตเป็น "ผู้นำทาง" (Point Man)
ทำหน้าที่นำกองทหารระหว่างที่อยู่ในเขตของข้าศึก เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักและการซุ่มโจมตี ซึ่งมันมีผลเป็นอย่างมาก
ต่อขวัญและกำลังใจของพวกทหารที่ตกอยู่ในสภาวะบีบคั้นทางจิตใจในขณะที่อยู่ในสนามรบ

มองผ่านผู้อื่น

แต่บางครั้ง "สายลับพลังจิต" ก็ต้องการผู้นำทางเช่นกัน ผู้นำทางนี้ใช้รหัสเรียกว่า "บีคอน" (Beacon) เขามีหน้าที่
ในการท่องไปในพื้นที่ต่างๆ เพื่อทำหน้าที่เป็น "ตา" ให้กับสายลับพลังจิตที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยหลายพันไมล์
สายลับพลังจิตจะมองผ่านตาของผู้นำทาง แล้วบรรยายลักษณะของสถานที่นั้นๆ อาจเป็นการบอกเล่าไปเรื่อยๆ
แล้วให้คนคอยจดบันทึก แต่ส่วนใหญ่แล้ว สายลับพลังจิตจะวาดภาพร่างของสถานที่นั้นๆ เอง

ตัวอย่างเช่นการทดสอบพลังจิตของ ดร. เอ็ดวิน ซี เมย์ (Dr. Edwin C. May) ในปี ค.ศ. 1987
(http://www.parapsych.org/members/images/ed_may_pic.jpg) (http://www.parapsych.org/members/e_c_may.html)
"สายลับพลังจิต" โจเซฟ แมคมอนอีเกิล (Joseph McMoneagle)
(http://www.parapsych.org/members/images/mcmoneagle.jpg) (http://www.parapsych.org/members/j_mcmoneagle.html)
ได้ถูกสั่งให้ติดตาม "ผู้นำทาง" คนหนึ่ง เขาได้รับคำบอกกล่าวเพียงแค่ว่า ผู้นำทางอยู่ห่างจากศูนย์ทดลอง
เป็นรัศมีราว 100 ไมล์ และข้อมูลส่วนตัวของผู้นำทางก็มีเพียงแค่หมายเลขบัตรประกันสังคมและ
กำลังขับรถอะไรแค่นั้น

ดร. เอ็ดวิน สั่งให้โจเซฟ บรรยายถึงสิ่งที่ "ผู้นำทาง" เห็นในเวลา 16:00 น. โจเซฟได้วาดภาพนั้นออกมา
และบอกว่าเขาเห็นการเคลื่อนไหวของกระแสไฟฟ้าเป็นเหมือนตะแกรงและเห็นรัศมีบางอย่างบนยอดเสา
ที่อาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และเมื่อนำภาพถ่ายที่ "ผู้นำทาง" บันทึกไว้ตอนเวลา 16:00 น.
มาเปรียบเทียบกับภาพร่างของโจเซฟ เราจะพบว่ามันมีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก
(http://www.espresearch.com/images/graphic-f12rv-windm-draw.gif) (http://www.espresearch.com/example3.shtml)
(http://www.espresearch.com/images/graphic-f11rv-windm-orig.gif)

การมองระยะไกลเป็นส่วนหนึ่งของโครงการป้องกันประเทศภายใต้ชื่อรหัส "สตาร์เกท" (Stargate Project) (http://en.wikipedia.org/wiki/Stargate_Project)
ซึ่งเป้าหมายหลักของโครงการนี้แบ่งเป็น 3 ขั้นตอนคือ
"การปฏิบัติการ" (Operations) เป็นการใช้การมองระยะไกลเพื่อเก็บข้อมูลข่าวกรองของประเทศต่างๆ
"การวิจัยและพัฒนา" (Research and Development) เป็นการศึกษาภายในห้องทดลองเพื่อหาวิธีการใหม่ๆ
ในการปรับปรุงการมองระยะไกลเพื่อนำมาใช้ในงานสืบราชการลับ
และ "การประเมินต่างประเทศ" (Foreign .sment) เป็นการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของประเทศต่างๆ
ที่มีการปรับปรุงและพัฒนา การใช้พลังจิตในรูปแบบใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ (สหรัฐฯ)

อดีตสายลับแฉ

หลายคนอาจจะคุ้นกับชื่อ เดวิด มอร์เฮาส์ (David Morehouse) (http://en.wikipedia.org/wiki/David_Morehouse)
(http://www.davidmorehouse.com/images/tn_closeup%20head02.jpg) (http://www.davidmorehouse.com)
เดวิดเป็นสายลับพลังจิตของซีไอเอ ที่ออกมาตีแผ่ความลับของโครงการ สตาร์เกท ผ่านรายการสารคดี
ดิสคัฟเวอรีแชนแนล (Discovery Channel) เมื่อหลายปีก่อน เดวิดได้รับมอบหมายให้สืบหาข้อมูล
การทำจารกรรมในอดีตที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงมืดแปดด้านไม่รู้จะหาข้อมูลจากที่ไหนได้นอกจากการใช้
"สายลับพลังจิต" ย้อนอดีตกลับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ เช่น คดีที่เครื่องบินรบของรัสเซียเข้าโจมตี
เครื่องบินพาณิชย์เที่ยวบิน 007 ของสายการบินเกาหลีว่า เป็นการบินที่จงใจล่วงล้ำเข้าไป
ในน่านฟ้าของรัสเซียเพื่อทำจารกรรมตามข้อกล่าวหาหรือไม่
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/86/KA_Flight_007.gif/586px-KA_Flight_007.gif) (http://en.wikipedia.org/wiki/Korean_Air_Flight_007)
หรือคดีที่ทหารอิรักเข้าลอบวางเพลิงบ่อน้ำมันในคูเวต ก่อนที่จะพ่ายแพ้ถอนทัพกลับเพื่อดูว่า
เป็นการลอบวางเพลิงเพียงอย่างเดียวหรือเป็นการอำพรางเพื่อแอบปล่อยก๊าซพิษชนิดอื่น
ปะปนเข้าไปในบรรยากาศ

ก่อนที่เดวิด จะมาเป็นสายลับพลังจิต เขาก็เป็นเพียงแค่ทหารพรานที่มีผลงานดีเด่นคนหนึ่ง
แต่จากการซ้อมรบร่วมกับทหารพรานของจอร์แดน ในกลางปี ค.ศ. 1980 เขาก็ประสบอุบัติเหตุ
ถูกยิงเข้าที่ศรีษะ แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง เนื่องจากกระสุนปืนไม่สามารถเจาะผ่าน
หมวกเหล็กที่เขาสวมใส่อยู่ขณะนั้นได้ แต่แรงกระแทกก็ทำให้เขาสลบไปนานพอดู
ขณะที่เขาสลบไสลอยู่นั้น เขาเห็นอะไรบางอย่างที่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่า เทวดา หรือ ปีศาจ ดี
แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่มนุษย์และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มรู้สึกว่า มีบางอย่างผิดปรกติเกิดขึ้นกับเขา

หลังจากนั้นมาเขาก็เริ่มเห็นภาพแปลกๆ ที่เขาเรียกมันว่าฝันร้ายอยู่เรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว
ต้องไปพบแพทย์ของกองทัพ และเมื่อเขาเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาให้กับหมอฟัง เรื่องราวและเหตุการณ์
ประหลาดที่เกิดขึ้นกับเดวิด ได้ถูกส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่ชั้นสูง และในที่สุดเจ้าหน้าที่ของโครงการสตาร์เกท
ก็ให้ความสนใจและนั่นก็คือที่มาของการได้เข้าร่วมกับ โครงการสตาร์เกท ในฐานะ "สายลับพลังจิต"

เรื่องเล่าของเดวิด อาจฟังดูเหมือนนิยาย เช่นเดียวกับความเป็นมาของ โจเซฟ แมคมอนอีเกิล ย้อนกลับไป
ในทศวรรษที่ 1970 โจเซฟพบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเป็นครั้งแรกก็ตอนที่เขาถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล
ของกองทัพยุโรป เขาพบกับปรากฏการณ์ "เฉียดตาย" และหลังจากที่เขาถูกรักษาจนหายดี ปรากฏการณ์นั้น
กลับยังคงอยู่และทำให้เขามี "พลังจิต" เหนือคนธรรมดาสามัญทั่วไป

เดวิดทำหน้าที่ "สายลับพลังจิต" นานกว่า 10 ปีก่อนที่เขาจะตัดสินใจถอนตัวออกมา ในปี ค.ศ. 1993
เดวิดได้ละเมิดข้อตกลงในการป้องกันความลับของกองทัพรั่วไหล โดยออกมาเปิดเผยเรื่องราวของเขา
ขณะที่ทำงานให้กับโครงการสตาร์เกท เขาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนทุกแขนง ทั้งหนังสือพิมพ์,
วิทยุ และโทรทัศน์ เท่านั้นยังไม่พอเขายังเขียนหนังสือ "นักรบพลังจิต" (Psychic Warrior) อีกด้วย
(http://www.baproducts.com/images/2270.gif) (http://www.baproducts.com/2270.htm)

เรื่องราวของ "สายลับพลังจิต" และโครงการสตาร์เกท ไม่ได้เป็นเพียงแค่จินตนาการ
เพราะในวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1995 ประธานาธิบดี บิลล์ คลินตัน ได้ลงนามในหนังสือคำสั่งจากเบื้องบน
เลขที่ เอ็นอาร์ 1995-4-17 (Executive Order Nr. 1995-4-17) อนุญาตให้เผยแพร่เอกสาร ข้อมูลของ
โครงการสตาร์เกท ออกสู่สายตาของสาธารณชนได้

และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่งที่ ซีไอเอ เคยปฏิเสธนักหนาว่า "ไม่จริง" แต่ท้ายที่สุดก็โผล่หาง
ออกมาให้เห็น แต่เชื่อได้เลยครับว่าสิ่งที่ ซีไอเอ ยอมเปิดเผยออกมานั้นเป็นเพียงแค่ "ปลายจวัก"
ความลับส่วนใหญ่ก็ยังคงถูกซุกซ่อนอยู่ในตึกห้าเหลี่ยมที่ชื่อว่า "เพนตากอน" (The Pentagon)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/d/d2/The_Pentagon_US_Department_of_Defense_building.jpg/300px-The_Pentagon_US_Department_of_Defense_building.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/The_Pentagon)


หัวข้อ: Re: Bohemian Grove (ลัทธิซาตาน)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 13, 2006, 01:13:57 PM
วิดิโอความลึกลับของ Molech

The mystery of Molech (http://youtube.com/watch?v=KMMImXbcj2s)

วิดิโอการประกอบพิธีฌาปนกิจของลัทธิ

Cremation of Care Bohemian Grove ritual part 1 (http://youtube.com/watch?v=sZD3WT3Vqa8)

Cremation of Care Bohemian Grove ritual part 2 (http://youtube.com/watch?v=TrZ1B38TH6k)

วิดิโอสารคดีด้านมืดของ Bohemian Grove (ลัทธิซาตาน)

Dark Secrets Inside Bohemian Grove 1-14 (http://youtube.com/watch?v=jF5cu243DDk)

Dark Secrets Inside Bohemian Grove 2-14 (http://youtube.com/watch?v=8e2a94q5M4I)

Dark Secrets Inside Bohemian Grove 3-14 (http://youtube.com/watch?v=d803qJMjpoc)

Dark Secrets Inside Bohemian Grove 4-14 (http://youtube.com/watch?v=O2wik-9SS5c)

Dark Secrets Inside Bohemian Grove 5-14 (http://youtube.com/watch?v=Mg0u8HgLMns)

Dark Secrets Inside Bohemian Grove 6-14 (http://youtube.com/watch?v=CSKfeqL1t5g)

Dark Secrets Inside Bohemian Grove 7-14 (http://youtube.com/watch?v=jTCOu2Cla4E)

Dark Secrets Inside Bohemian Grove 8-14 (http://youtube.com/watch?v=fiw__SODC74)

Dark Secrets Inside Bohemian Grove 9-14 (http://youtube.com/watch?v=Sc4QIN2vmik)

Dark Secrets Inside Bohemian Grove 10-14 (http://youtube.com/watch?v=Kg1L0Ykaa8I)

Dark Secrets Inside Bohemian Grove 11-14 (http://youtube.com/watch?v=tXVEWVPd2Lw)

Dark Secrets Inside Bohemian Grove 12-14 (http://youtube.com/watch?v=7mbcSO1-Thk)

Dark Secrets Inside Bohemian Grove 13-14 (http://youtube.com/watch?v=FvhyOs9N1Hk)

Dark Secrets Inside Bohemian Grove 14-14 (http://youtube.com/watch?v=iEML8iAu2A4)


หัวข้อ: 666 รหัสลับซาตาน
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 13, 2006, 04:09:02 PM
666 รหัสลับซาตาน

>>>666<<< (http://youtube.com/watch?v=49byH2zSATg)
>>>Microchip 666<<< (http://youtube.com/watch?v=SEholETmDT4)

http://www.av1611.org/666/ (http://www.av1611.org/666/)

http://en.wikipedia.org/wiki/Number_of_the_Beast (http://en.wikipedia.org/wiki/Number_of_the_Beast)

http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=53&Pid=53301 (http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=53&Pid=53301)

http://www.greaterthings.com/Word-Number/666/ (http://www.greaterthings.com/Word-Number/666/)

http://www.rense.com/general20/666.htm (http://www.rense.com/general20/666.htm)
(http://www.rense.com/1.imagesC/splitimage1.gif)

http://www.benabraham.com/html/illuminati_-_666.html (http://www.benabraham.com/html/illuminati_-_666.html)
(http://www.benabraham.com/assets/images/Illum1.gif)

http://www.satansrapture.com/ (http://www.satansrapture.com/)
http://www.satansrapture.com/maitreya.htm (http://www.satansrapture.com/maitreya.htm)
(http://www.satansrapture.com/stamp.jpg)


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: M 60 - 7 รักในหลวง ที่ กันยายน 13, 2006, 05:20:49 PM
เพียบเลย ขอบคุณมากครับ ;D


หัวข้อ: ใครอยู่เบื้องหลังลัทธิคอมมิวนิสต์!!!
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 14, 2006, 11:38:16 AM
http://www.benabraham.com/html/illuminati_-_4a.html

This would naturally sound terrific to some poor struggling blacks,
or to the starving in the Latin American countries.
But what the Communist leaders don't tell the people is that the leaders are exempt from
sharing equally the material wealth of their nation.
How many Russian leaders do you see among the poverty stricken?

The real motive behind Communism is not to distribute the wealth of the world equally,
but the Communist Party is just a front for the super-rich as an instrument for gaining
and using power.
IT IS NOT THE COMMUNISTS THAT RUN COMMUNISM.
There is yet another controling power behind communism.
Communism and socialism are just arms of a more devilish conspiracy working behind
the public eye, that is not being run from Moscow or Peking,
but from New York, Paris and London.

'Communism' is not a movement of the down-trodden m. but is a movement created,
manipulated and used by power-seeking billionaires in order to gain control over the world ...

first by establishing socialist governments in the various nations and then consolidating them all
through a 'Great Merger,' into an ALL POWERFUL WORLD SOCIALIST SUPERSTATE probably
under the auspices of the UNITED NATIONS."
None Dare Call It Conspiracy, Allan, Concord Press, 1971.

It is the International Bankers who are actually pulling the strings that control the affairs of Communism,
not the Communists. Russia, China, Cuba, Poland, etc. are taking their orders indirectly from
the super-rich International Bankers who control the commerce of this world.

Seventy years before Karl Marx came on the scene, Weishaupt told his disciples that
in order to achieve this One World Government, his conspirators would have to infiltrate
every agency of the governmental affairs of the nations.
They first used the Masonic Lodges as we learned earlier, to begin this task.
By sitting in the top seats of all governments, the Illuminati agents could eventually guide
the nations toward a "Novus Ordo Seclorum," which means in Latin "A New World Order."
They would accomplish this by the power of the vote which they would have
while occupying positions as legislators.

However, before the people of the world would accept the Luciferian Government
which Weishaupt, an apostle of Lucifer, hoped to eventually achieve,
there would have to be a culture change within the societies of the people first,
along with a spirit of unrest and riots in the air.
The people of the world would have to be reduced into a godless society.
Atheism was just a tool to destroy Christianity in France during the Revolution.
Weishaupt and his "Inner Circle" were not ATHEISTS; they believed in a god.
However, this god was not Jesus Christ, but Lucifer.

As we tried to show the reader before,
Communism is not a movement to help the downtrodden people of the world.
But Communism is actually being run today by Capitalists, the very people
who control the wealth of the world that Communism is supposedly fighting against.
Very few Americans know that Karl Marx was a correspondent and political analyst
for Horace Greeley, who owned the New York Times newspaper.

In 1849 both Horace Greeley and Clinton Roosevelt contributed financially to
the Communist League in London to assist in the publication of the Communist Manifesto.
Other contributors were the English millionaire, Cowell Stepney, and of course Friedrich Engels,
who was a wealthy German. And, up until recently, two checks made out to Karl Marx
by Nathan Rothschild could be seen on display at the British Museum.
Lenin, Trotsky and Stalin were financed by Capitalists from America, England and Germany,
to help promote the Bolsheviki Revolution in Russia.

The modern Luciferian One World Government plot to enslave the whole world
under socialism is attackng the world by using physical force (Communism)
and by subliminal warfare coming in the name of the New Age Movement.
This is nothing less than a mask for the super-rich who are really the ruling class
and those who control the huge secret Society of the Illuminati.
The first Russian Marxist group was formed in 1883 in the very year of Marx's death by Lenin,
who was a Russian Revolutionary exiled in Switzerland. Between 1900 and 1903 Lenin called
his revolutionaries the "Bolsheviki, then later renamed themselves" Communists,
after Marx's term in the Communist Manifesto.

Lenin announced to the world before the overthrow of the Tsar in Russia the following:
"After Russia we will take Eastern Europe, then the m. of Asia, then we will encircle
the United States which will be the last bastion of capitalism. We will not have to attack.
It will fall like an overripe fruit into our hands".

Since that statement Russia, China, Mongolia, Tibet, Afghanistan, Algeria, Ethiopia, Libya,
North Korea, North and South Vietnam, Czechoslovakia, Poland, Hungary, East Germany,
Romania, Yugoslavia, Albania, Cuba, Chile, etc, are under Communist rule;
and now Central America and Mexico are threatened with Communist guerrillas.

However, the Communist plan to overthrow the last bastion of capitalism (The United States)
is to be attacked politically, socially and economically, as Lenin planned. Robert L. Preston,
in his book Wake Up America, states the following:

"When Nikita Khrushchev visited the United States, he boasted that the Communists would bury us
and that our grandchildren would live under Communist rule. He even outlined the exact manner
in which they would accomplish it:

"You Americans are so gullible. No, you won't accept Communism outright,
but we'll keep feeding you small doses of Socialism until you'll finally wake up
and find you already have Communism. We won't have to fight you.
We'll so weaken your economy until you'll fall like overripe fruit into our hands."

"As outlined by Khrushchev and Lenin, there is no intention for the Communist to attack us in battle;
they expect us to fall into their hands like overripe fruit. They intend to bring this about by weakening
our economic structure until we are financially insolvent and by giving us more and more Socialism until
we are too weak to resist the final thrust into complete Communist rule. As we review the Socialistic
and economic picture in this nation today, we are forced to admit that they have once again
proceeded exactly as planned." Wake-Up America, Hawkes publishing Inc., 3775 South 500 W.,
Salt Lake City, Utah 84115.

Preston goes on to quote in his book on page 18,
the second point Khrushchev made that was to cause the overthrow of the United States.

"The best way to destroy the Capitalist System is to debauch the currency.
By a continuing process of inflation, governments can confiscate, secretly and unobserved,
an important part of the wealth of their citizens." Wake-Up America, pp. 15-17.

There shall be wars and rumors of wars until Jesus returns. However, the world and man will not be
destroyed by a world wide nuclear holocaust. The Bible makes this very clear. God's people are here
and will be delivered out of this world at Christ's Second Coming. 1.Thessalonians 4:16.
It will be Jesus who will lay this world in complete ruins, not the Communists.
The threat of a world-wide nuclear war is nothing less than another Communist plot to frighten
the inhabitants of the world into believing that a One World Government is the only solution
for world peace. The reader must understand that Communism is not being run from Moscow,
but by those who control the monetary systems of the world in London, Paris and New York.
Do you really believe they would blow up each other?

The modern day Luciferian Conspiracy to overthrow Christianity and all other religions
that will not worship Lucifer is today called THE PLAN. It was Adam Weishaupt in the 18th century
who first wrote out this Plan for a One World Luciferian Government.
Then, 70 years later it was updated by Karl Marx in the 19th century.
However, it was Alice Bailey whom Lucifer used to speak to the 20th century man.
Alice Bailey died in 1949 leaving behind a step by step plan to destroy Christianity
and all other religions and governments who will not adhere to this New Age Movement.
Attorney Constance Chumbey points out in her book, The Hidden Dangers Of  The Rainbow,
how Alice Bailey, in The Externalisation of the Hierarcy, told New Agers to feel free to use weapons
on religious groups who interfere in the political process of their movement.
The New Age Movement plans to eliminate several billions of people from the earth's population.
They say this must be done before the year 2000 if the world is to survive.

The weapons that they plan to use are NUCLEAR BOMBS,
gained through the promotion of a nuclear freeze and disarmament.
The countries of the world are to be pressured into giving up these nuclear weapons
and they are to be placed into the hands of the United Nations so they can police the world.
On page 548 of her book, Alice Bailey is quoted as follows:

"As a means in the hands of the United Nations to enforce the outer forms of peace,
and thus give time for teaching on peace and on the growth of goodwill to take effect.
The atomic bomb does not belong to the three nations who perfected it
and who own the secrets at present - the United States of America, Great Britain and Canada.
It belongs to the United Nations for use (or rather let us hope, simply for threatened use)
when aggressive action on the part of any nation rears its ugly head."
The Externalisation of the Hierarcy, Bailey.

The most dangerous threat for Freedom and Christianity from these modern Luciferians
is coming today under the guise of WORLD PEACE.

To take control of the world, these conspirators had to get control of the world monetary systems
through a Central Bank which we shall discover they have already achieved.
Now they are working night and day to condition the world governments into handing over
the weapons to them and place them in the very hands of those who want this
One World Luciferian Government. Coming in the name of Nuclear Freeze for Peace,
or Nuclear Disarmament, it has been their greatest task to get their hands on these nuclear weapons.
Alice Bailey, whom these modern Luciferians follow to the letter, states the following in her book,
The Externalisation of the Hierarchy:

"In the preparatory period for the new world order there will be a steady and regulated disarmament.
It will not be optional. No nation will be permitted to produce and organise any equiptment for
destructive purposes or to infringe the security of any nation. One of the first tasks of any future
peace conference will be to regulate this matter and gradually see to the disarming of the nations."

This 20th Century Luciferian prophetess told her disciples that the nations of
the 20th century will eventually hand over  their nuclear weapons to the United Nations.
This is their ultimate plan, because, as the reader continues to follow the history of this
One World Luciferian Government Conspiracy, we will show with documentive evidence that
the United Nations is the headquarters for the New Age Movement (Illuminati)!


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: M 60 - 7 รักในหลวง ที่ กันยายน 14, 2006, 11:46:15 AM
 ;D อันนี้ต้องใช้เวลาอ่านนานหน่อย ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: Tee17 - รักพ่อหลวง ที่ กันยายน 15, 2006, 10:44:47 AM
กระทู้นี้มีความรู้หลากหลายดี น่าติดตาม ขอบคุณครับ  ;D


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: M 60 - 7 รักในหลวง ที่ กันยายน 15, 2006, 10:53:48 AM
กระทู้นี้มีความรู้หลากหลายดี น่าติดตาม ขอบคุณครับ ;D

 ความรู้สึกเหมือนกันครับ ผมก็ติดตามเก็บเกี่ยวเอาความรู้ตลอดครับ ;D


หัวข้อ: เจ้างูร้ายกับผลไม้ต้องห้าม
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 17, 2006, 11:46:34 AM
http://webboard.mthai.com/7/2005-12-11/175761.html (http://webboard.mthai.com/7/2005-12-11/175761.html)

เจ้างูร้ายกับผลไม้ต้องห้าม

"สัตว์ร้ายที่จะเข้าครอบงำโลกในช่วงปี 2000 สัตว์ร้ายที่มีเลขประจำกายเป็น 666"
อำนาจมหัศจรรย์ประการใดครับที่ทำให้ข้อความในไบเบิลเป็นจริงขึ้นมาในยุคปัจจุบัน?

เริ่มจากสัตว์ร้ายหมายเลข 666 "มันจะกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางสายตาที่ชื่นชมในความสำเร็จของมัน
ชั่วไม่นาน เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้จะมีบริวารไปทั้งโลก ประชาชนต้องตกอยู่ในอำนาจของมัน
ผู้ที่แข็งข้อมิยอมอยู่ในอาณัติจะอยู่ในสังคมอย่างลำบาก ทำไม่ได้แม้แต่จะซื้อ-ขายของเพื่อประทังชีวิต"
ตั้งแต่คริสศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา มีคนตีความหมายของเลข 666 นี้กันอย่างหัวร้างข้างแตก
แต่ก็สรุปไม่ได้ว่ามันคืออะไร จนเมื่อไม่นานนี้แหละครับ ที่ผู้เชี่ยวชาญบางคน
เอาปัจจัยหลายอย่างมาประกอบกันเข้า จึงถึงบางอ้อว่า แท้ที่จริงแล้ว สัตว์ร้าย-งูร้าย-ซาตาน
แล้วแต่ท่านจะเรียกขานนั้น ตัวตนจริงๆของมันคืออะไร

"...และมันยังได้บังคับคนทั้งปวง ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย คนรวยคนจน ทั้งนายและบ่าว
ให้ได้รับเครื่องหมายไว้ที่มือขวา หรือที่หน้าผากของเขา เพื่อไม่ให้ผู้ใดทำการซื้อขายได้
นอกจากผู้ที่มีเครื่องหมายนั้น ซึ่งเป็นชื่อของสัตว์ร้ายนั้น หรือเลขชื่อของมัน
เรื่องนี้จงใช้สติปัญญาตรึกตรองให้ดี ถ้าผู้ใดมีความเข้าใจ ก็จะสามารถเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของมันได้
เพราะว่าเป็นเลขของบุคคลผู้หนึ่ง เลขของมันคือ 666"

ประโยคนี้ได้ถูกระบุเอาไว้ในไบเบิล ซึ่งทำนายว่าด้วยช่วงเวลาก่อนถึงวาระสุดท้ายของโลก
จะมีสัตว์ร้ายสองตัวปรากฏขึ้น ซึ่งตัวที่สองก็คือเจ้าสัตว์ร้ายที่มีเลขประจำตัวเป็น 666 นี่แหละครับ
ท่านผู้อ่านครับ ตามปกติผมไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องโชคชะตา หรือ การทำนายทายทักเลย
แต่จากประโยคนี้ของไบเบิล ก็ได้ทำให้ผมอึ้งไปเหมือนกัน เพราะมันมาพ้องกับความจริงที่เกิดขึ้น
ในยุคสมัยของเราในต้นศตวรรษที่ 21 อย่างที่สุด และเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องราวของผลไม้แห่งความรู้
ซึ่งเราได้พูดถึงกันไปแล้วในก่อนหน้านี้

อะไรคือมารร้ายหมายเลข 666? เหตุใดพระเจ้าจึงเตือนนักเตือนหนาเกี่ยวกับอันตรายและพิษสงของมารร้ายตนนี้
ไม่ว่าจะเป็นความบังเอิญหรือไม่ก็ตาม จากความพยายามควานหาต้นตอของหมายเลข 666 มานับร้อยนับพันปี
ในที่สุด ในยุคปัจจุบัน เมื่อวิทยาการของเราเจริญก้าวหน้าขึ้น เมื่อเวลาที่เคยระบุไว้ในไบเบิลมาถึง
(ตรงนี้ผมอยากเลี่ยงคำว่าปาฏิหารย์ออกไป แต่ก็ไม่มีคำอธิบายอื่นที่ดีกว่านี้) เจ้าสัตว์ร้ายหมายเลข 666
ก็เผยโฉมแล้ว และอยู่ตรงหน้าทุกท่านที่กำลังอ่านอยู่เสียด้วย

หลังจากค้นหากันมานานนมอย่างวุ่นวาย ในที่สุดก็มีคนฉุกใจคิดว่า สัตว์ร้ายหรือมารร้าย 666 นี้
น่าจะหมายถึงอะไรบางอย่าง ที่สามารถครอบคลุมและเข้าถึง รวมทั้งมีอิทธิพลกับมนุษย์ในช่วงปี 2000 ขึ้นไป
(ตามที่ระบุไว้ในไบเบิล) อย่างมากมาย ซึ่งเจ้าสิ่งที่ว่าคงต้องยกให้สมองกลคนเก่ง ที่เราคุ้นเคยกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

COMPUTER ไงครับ พิสูจน์กันง่ายๆ ลองเรียงอักษรคำว่า COMPUTER จากบนลงล่างตามวิธีการเรียงอักษรโบราณ
พร้อมกำกับลำดับพยัญชนะ เช่น A=1, B=2 ไปเรื่อยๆจนถึง Z=26 จากนั้นเอาลำดับทุกตัวมาคูณด้วย 6
แล้วรวมผลลัพธ์ออกมา เห็นมั๊ยล่ะครับ จากตัวอย่างข้างล่าง มันได้ 666 พอดิบพอดี

C = 3 x 6 ===> 18
O = 15 x 6 ===> 90
M = 13 x 6 ===> 78
P = 16 x 6 ===> 96
U = 21 x 6 ===> 126
T = 20 x 6 ===> 120
E = 5 x 6 ===> 30
R = 18 x 6 ==> 108
COMPUTER => 666

บังเอิญหรือครับ งั้นลองอีกที ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ที่เชื่อกันว่ามีประสิทธิภาพที่สุดในโลกเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์
ที่ใช้เทคโลโลยีจากมหาอำนาจทางเศรษฐกิจร่วมกันผลิตขึ้น ตั้งอยู่ในสำนักงานใหญ่ขององค์กรตลาดร่วมยุโรป
มันมีชื่อเสียโก้เก๋ซึ่งตั้งให้จากผู้สร้างมันว่า Mark of Beast หรือเครื่องหมายแห่งสัตว์ร้าย ... ตรงตามไบเบิลเป๊ะๆ
คุณๆลองเอาวิธีคำนวณแบบเดิมมาใช้กับ Mark of Beast สิครับ เหลือเชื่อกระมัง ผลของมันคือเลข 666!!!

เป็นอันว่าเลขเจ้ากรรมนี้ต้องเกี่ยวข้องอะไรสักอย่างกับคอมพิวเตอร์อย่างไม่ต้องสงสัย
ยิ่งข้อความที่ว่า มันครอบคลุมมีอิทธิพลกับพลโลกเกือบทั้งหมดนี้

เราต้องยอมรับกันใช่ไหมครับว่าเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนเรื่องที่ว่ามันมีอิทธิพลถึงขนาด
ผู้ไม่ยอมศิโรราบให้มันจะทำไม่ได้แม้แต่การซื้อขายสินค้า อันนี้ก็ยิ่งตรงประเด็นใหญ่ ในยุคที่ E-commerce
มีบทบาทมากเช่นนี้ เชื่อว่าต่อไปในอนาคต การซื้อขายก็จะยิ่งผ่านเครือข่ายอิเล็คทรอนิคส์แทบทั้งหมด
แม้แต่การโอนเงินผ่านบัญชีในธนาคารก็ยังต้องทำผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของแต่ละแบงค์ อ้อ แล้วรู้ไหมครับ
ว่าโค้ดที่ใช้เป็นรหัสของธนาคารโลกหรือ World Bank นั้นคืออะไร ก็ 666 อีกนั่นแหละครับ
ปาฏิหารย์หรือความบังเอิญหนอ สำหรับคำทำนายนี้ของไบเบิล?

นี่ไงครับ สิ่งแรกที่พระเจ้าได้เตือนเราเอาไว้ว่าอย่าไปยุ่งกับมัน ถ้าเราตีความตัวตนของสัตว์ร้าย 666 นี้ออก
เรื่องของผลไม้ต้องห้ามก็ยิ่งง่ายใหญ่ หรือในทางกลับกัน หากมองความหมายของผลไม้ต้องห้ามออกแต่แรก
เราแทบจะไม่ต้องมานั่งคำนวณเลยว่า สัตว์ร้าย 666 นั้นคืออะไร มาถึงตรงนี้ทุกท่านก็คงจะอ๋อแล้วนะครับ
ว่าแอปเปิลผลไม้ต้องห้ามนั้นคืออะไร ครับ... คอมพิวเตอร์อีกนั่นแหละ ลองนึกทบทวนดูดีๆนะครับ ว่าคำๆนี้
คำว่าแอปเปิลมีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการคอมพิวเตอร์อย่างไร นักเลงคอมพิวเตอร์ทั้งหลายย่อมซึมซาบว่า
เจ้าผลไม้ลูกนี้มันหมายถึงอะไร และมีอิทธิพลมากขนาดไหนในวงการคอมพิวเตอร์ นี่คือผลไม้แห่งความรู้
และสัตว์ร้าย666 สองสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวที่พระเจ้าไม่อยากให้มนุษย์แตะต้องมัน เหตุผลน่ะหรือครับ?
ไม่บอกก็คงรู้กันนี่นา...

ความบังเอิญข้อสุดท้าย ไบเบิลนั้นเรารู้ๆกันอยู่ว่า เป็นคัมภีร์ที่รจนาโดยชนชาติฮีบรูว์หรืออิสราเอลในปัจจุบัน
ในไบเบิลระบุเวลาเอาไว้อย่างชัดเจนว่า วาระสุดท้ายของโลกจะมาถึงภายในเวลาไม่ช้าไม่นาน
หลังจากชนชาวอิสราเอลรวมกันได้เป็นชาติ ครับก็ปลายศตวรรษที่ 20 หลังสงครามโลกครั้งที่สองมาหมาดๆนี้เอง
สิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับชนชาติอิสราเอลนี้ก็คือ รหัสโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศของอิสราเอลคือ 666 ครับท่าน

(ความเห็นส่วนตัว ตั้งข้อสังเกตว่า รหัสทางไกลของไทยก็ขึ้นต้นด้วย 66 เพียงแต่มีแค่สองตัว เกี่ยวอะไรกันหรือเปล่าหว่า!)


หัวข้อ: ใครคือซาตาน?
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 17, 2006, 11:47:48 AM
http://www.benabraham.com/html/illuminati_-_4b.html (http://www.benabraham.com/html/illuminati_-_4b.html)

"And I stood upon the sand of the sea, and saw a beast rise up out of the sea,
having seven heads and ten horns, and upon his horns ten crowns,
and upon his heads the name of blasphemy. And the beast which I saw was like unto a leopard,
and his feet were as the feet of a bear, and his mouth as the mouth of a lion:
and the dragon gave him his power, and his seat, and great authority.
And I saw one of his heads as it were wounded to death; and his deadly wound was healed:
and all the world wondered after the beast.
And they worshipped the dragon which gave power unto the beast:
and they worshipped the beast, saying, Who is like unto the beast? who is able to make war with him?
And there was given unto him a mouth speaking great things and blasphemies;
and power was given unto him to continue forty and two months.
And he opened his mouth in blasphemy against God, to blaspheme his name,
and his tabernacle, and them that dwell in heaven. And it was given unto him to make war with the saints,
and to overcome them: and power was given him over all kindreds, and tongues and nations.
And all that dwell upon the earth shall worship him,
whose names are not written in the book of life of the Lamb slain from the foundation of the world.
If any man have an ear, let him hear. He that leadeth into captivity shall go into captivity:
he that killeth with the sword must be killed with the sword. Here is the patience and the faith of the saints."
Revelation 13:1-10.

คำแปล:
http://thaipope.org/webdual/66_013.htm (http://thaipope.org/webdual/66_013.htm)
สัตว์ร้ายที่ขึ้นมาจากทะเล

13:1 และข้าพเจ้าได้ยืนอยู่ที่หาดทรายชายทะเล และเห็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งขึ้นมาจากทะเล มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา
ที่เขาทั้งสิบนั้นมีมงกุฎสิบอัน และมีชื่อที่เป็นคำหมิ่นประมาทจารึกไว้ที่หัวทั้งหลายของมัน

A Beast Rises Up Out of the Sea
13:1 And I stood upon the sand of the sea, and saw a beast rise up out of the sea,
having seven heads and ten horns, and upon his horns ten crowns,
and upon his heads the name of blasphemy.

13:2 สัตว์ร้ายที่ข้าพเจ้าได้เห็นนั้น เหมือนเสือดาว และเท้าเหมือนเท้าหมี และปากเหมือนปากสิงโต
และพญานาคได้ให้ฤทธิ์ของมัน และที่นั่งของมัน และสิทธิอำนาจอันใหญ่ยิ่งแก่สัตว์ร้ายนั้น

13:2 And the beast which I saw was like unto a leopard, and his feet were as the feet of a bear,
and his mouth as the mouth of a lion: and the dragon gave him his power, and his seat, and great authority.

13:3 ข้าพเจ้าได้เห็นว่าหัวๆหนึ่งของสัตว์ร้ายดูเหมือนถูกฟันปางตาย แต่แผลที่ถูกฟันนั้นรักษาหายแล้ว
คนทั้งโลกติดตามสัตว์ร้ายนั้นไปด้วยความอัศจรรย์ใจ

13:3 And I saw one of his heads as it were wounded to death; and his deadly wound was healed:
and all the world wondered after the beast.

13:4 เขาทั้งหลายได้บูชาพญานาคที่ได้ให้อำนาจแก่สัตว์ร้ายนั้น เขาได้บูชาสัตว์ร้ายนั้น กล่าวว่า
"ใครจะเปรียบปานสัตว์นี้ได้ และใครสามารถจะทำสงครามกับสัตว์นี้ได้"

13:4 And they worshipped the dragon which gave power unto the beast:
and they worshipped the beast, saying, Who is like unto the beast? who is able to make war with him?

13:5 และยอมให้สัตว์ร้ายนั้นมีปากที่พูดคำกล่าวร้ายและหมิ่นประมาท และยอมให้มันใช้อำนาจกระทำอย่างนั้นตลอดสี่สิบสองเดือน

13:5 And there was given unto him a mouth speaking great things and blasphemies;
and power was given unto him to continue forty and two months.

13:6 มันกล่าวคำหมิ่นประมาทต่อพระเจ้า เพื่อหมิ่นประมาทต่อพระนามของพระองค์
ต่อพลับพลาของพระองค์ และต่อผู้ที่อยู่ในสวรรค์

13:6 And he opened his mouth in blasphemy against God, to blaspheme his name,
and his tabernacle, and them that dwell in heaven.

สัตว์ร้ายกระทำสงครามกับพวกวิสุทธิชน
13:7 และยอมให้มันทำสงครามกับพวกวิสุทธิชน และชนะเขา
และให้มันมีอำนาจเหนือชนทุกตระกูล ทุกภาษา และทุกประชาชาติ

The Beast Makes War against the Saints
13:7 And it was given unto him to make war with the saints, and to overcome them:
and power was given him over all kindreds, and tongues, and nations.

13:8 และบรรดาคนที่อยู่ในแผ่นดินโลกจะบูชาสัตว์ร้ายนั้น คือคนทั้งปวงที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดก
ผู้ทรงถูกปลงพระชนม์ตั้งแต่แรกทรงสร้างโลก

13:8 And all that dwell upon the earth shall worship him,
whose names are not written in the book of life of the Lamb slain from the foundation of the world.

13:9 ใครมีหูก็ให้ฟังเอาเถิด

13:9 If any man have an ear, let him hear.

13:10 ผู้ใดที่กำหนดไว้ให้ไปเป็นเชลยผู้นั้นก็จะต้องไปเป็นเชลย ผู้ใดฆ่าเขาด้วยดาบผู้นั้นก็ต้องถูกฆ่าด้วยดาบ
นี่แหละคือความอดทนและความเชื่อของพวกวิสุทธิชน

13:10 He that leadeth into captivity shall go into captivity:
he that killeth with the sword must be killed with the sword. Here is the patience and the faith of the saints.
http://www.sacred-texts.com/chr/tbr/tbr054.htm (http://www.sacred-texts.com/chr/tbr/tbr054.htm)
(http://www.sacred-texts.com/chr/tbr/img/10300.jpg)

แสดงให้เห็นว่า โลกถูกครอบงำด้วยอำนาจทางการเมืองและใช้สนับสนุนจิตวิญญาณของซาตาน
ข้อชวนคิดบางอย่างนั่นคือ 7 หัว ของสัตว์ร้าย เป็นตัวแทนของ 7 อาณาจักรคือ
อียิปต์, บาบิโลน, เปอร์เซีย, กรีซ, ลัทธินอกศาสนาแห่งโรม, สังฆราชแห่งโรม
และหัวที่ 7 คือรัชสมัยของสังฆราชแห่งโรมอีกครั้ง, เมื่อการปกครองด้วยเผด็จการทางศาสนา
ถูกฟื้นขึ้นมาใหม่

http://www.pickle-publishing.com/papers/prophecy/seven-heads.htm (http://www.pickle-publishing.com/papers/prophecy/seven-heads.htm)
It is these seven kings that we want to deal with in this paper.
Basically, there are three different interpretations that could be considered about
who these seven kings are:

1. Seven Individual Kings: This interpretation has a couple variations.
Some try to identify seven individual emperors (a typical preterist view),
and others seven individual popes.

2. Seven Kingdoms: This interpretation typically identifies the first five kings either as being
Babylon, Medo-Persia, Greece, Pagan Rome, and Papal Rome;
or as being Egypt, Assyria, Babylon, Medo-Persia, and Greece.

3. Seven Forms of Roman Government:
This interpretation typically identifies the first five kings as being five of the following forms of government:
a) kings, b) consuls, c) dictators, d) decemvirate, e) military tribunes with consular power, and f) triumvirate.

http://www.thegoodseed.com/newworldorder.htm (http://www.thegoodseed.com/newworldorder.htm)
(http://www.thegoodseed.com/beast.JPG)

อย่างไรก็ตาม, ส่วนมากจะลืมเกี่ยวกับอาณาจักรอื่นๆ ที่มีอยู่ก่อนอียิปต์จะกลายเป็นชนชาติ
ช่วงสั้นๆ หลังจากน้ำท่วมโลก, อาณาจักรซาตานแรกที่ใช้สนับสนุนทางจิตวิญญาณคือ บาเบิล
และ บาเบิล นั้น นิมรอด ได้พยายามรวมโลกในตอนนั้นเข้าเป็น One World Government
อียิปต์โดยแท้จริงแล้วเป็นชนชาติหนึ่งที่สนับสนุนเรื่องการใช้เวทมนตร์ แต่อียิปต์ไม่เคยใช้อำนาจปกครองโลก
บาเบิลทำ และมันควบคุมความรู้เรื่องโลกประมาณ 2,000 ปี ก่อนการปกครองของกษัตริย์เนบูคัดเนซซาร์
(King Nebuchadnezzar) ที่รู้เรื่องโลกจากอาณาจักรบาบิโลน อาณาจักรบาบิโลนถูกสร้างบนความร้ายกาจ
ของบาเบิล ดังนั้น 7 หัว น่าจะเป็น บาเบิล, บาบิโลน, เปอร์เซีย, กรีซ, ลัทธินอกศาสนาแห่งโรม, สังฆราชแห่งโรม
และรัชสมัยของสังฆราชแห่งโรมอีกครั้ง

การเผยความจริง ข้อที่ 13:1-10 มันทำให้ผู้อ่านมองภาพรวมหลังจากยุคน้ำท่วมโลกจนกระทั่ง
ผ่านวันเวลาของประวัติศาสตร์โลกถึงปัจจุบันนี้ ได้จาก หอคอยนิมรอดแห่งบาเบิล (Nimrod's Tower of Babel)
http://en.wikipedia.org/wiki/Tower_of_Babel (http://en.wikipedia.org/wiki/Tower_of_Babel)
ด้วยการค้นพบของสหรัฐฯ ประวัติศาสตร์ได้วางรากฐานตั้งแต่ ค.ศ. 95 สำหรับสาวกจอห์น
ต่อการเป็นพยานในการมองเห็นนี้

จากหอคอยแห่งบาเบิล และที่ผ่านมาเป็นศตวรรษ, พระเป็นเจ้าได้แสดงถึงอำนาจการปกครองของซาตาน
ซาตานจะใช้การเผยแพร่การสักการะของตัวเขาผ่านจิตวิญญาณ การสักการะโดยผ่านมนุษย์เริ่มต้นที่บาเบิล
และคำทำนายในคัมภีร์ โดยการสนับสนุนจาก วาติกัน ภายใต้ระบบผิดๆ ของคริสต์ศาสนา
รัชสมัยของสังฆราชจะมาในอนาคตอันใกล้ ส่วนหัวของศาสนาแห่งโลกใหม่นี้ (New World Religion)
จะรวมเข้ากับ คนนอกรีตและผู้ที่ประท้วงละทิ้งศาสนาของตน


หัวข้อ: ใครอยู่เบื้องหลังกระบวนการที่เรียกว่า โลกาภิวัตน์ หรือ จัดระเบียบโลกใหม่?
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 17, 2006, 03:27:15 PM
http://www.benabraham.com/html/illuminati_-_4b.html (http://www.benabraham.com/html/illuminati_-_4b.html)

อ่านฉบับสมบูรณ์ได้ตามลิงค์ข้างบนนะครับ
และขออภัยที่สำนวนแปลอาจจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่! ทนๆ อ่านกันไปละกัน อิ อิ


ปัจจุบันนี้ เราสามารถมองภาพของโลกในปัจจุบันออกได้หรือยังว่า ใครอยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้เช่น
เรื่องฆาตกรรมของ Charles Manson Family,
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/b/b0/Charles_Manson.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Charles_Manson)
แก๊งค์มอเตอร์ไซค์, วงดนตรีร็อคบางวง, ฮอลลีวู๊ด และโทรทัศน์, การคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงของธนาคารต่างๆ,
การเคลื่อนไหวของกลุ่มลัทธิต่างๆ, องค์กรสิทธิมนุษยชน, และสหภาพแรงงานต่างๆ
นั่นคือการสร้างความเลวทรามให้กับสังคมอเมริกันชน ไปสู่การแบ่งแยกเกลียดชังกันของฝ่ายต่างๆ
คล้ายๆ กันกับการปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อก่อนหน้านี้?

ไบเบิ้ลทำนายพลังปฏิวัตินี้ว่าเป็น การขึ้นมาจากก้นทะเลของสัตว์ร้าย แต่เรามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลา
ที่ซึ่งเราสามารถที่จะเรียนรู้การเคลื่อนไหวข้างในลึกๆ ของเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้
เพราะว่าประวัติศาสตร์เคยกล่าวถึงการเดินไปของเบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านี้
ด้วยการนำอุบายเหล่านี้มาใช้นับตั้งแต่การปฏิวัติฝรั่งเศส?
เราสามารถแกะรอยทางเดินเหล่านี้ด้วยประวัติศาสตร์, เพื่อแสดงให้เห็นว่า
พวกเขาเริ่มต้นจากที่ไหน? พวกเขาชักจูงไปที่ไหน? และพวกเขาคือใคร?

การแกะรอยเหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มจากช่วงเวลาที่ อดัมส์ เวส์ฮอบส์ (Adam Weishaupt)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/e/e8/Adam_Weishaupt02.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Adam_Weishaupt)
จนมาถึงช่วงเวลาของเรา จะนำเราเข้าสู่ประตูวงแหวนของ นายธนาคารข้ามชาติ (international bankers)
อันซึ่งเป็นผู้ที่ควบคุมความมั่งคั่งของโลก, และมีความศรัทธาเหมือนกับ อัลเบิร์ต ไปค์ (Albert Pike)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4e/AlbertPikeYounger.jpeg/180px-AlbertPikeYounger.jpeg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Albert_Pike)
ภายใต้พวกเขาก็คือเครือข่ายของ กลุ่มนักอุตสาหกรรม, นักวิทยาศาสตร์, ผู้นำทางด้านการทหารและการเมือง,
นักการศึกษา, นักเศรษฐศาสตร์, และนักแสดง

มันเป็นความจริงที่รู้กันเป็นอย่างดีว่า นายธนาคารข้ามชาติได้ให้ทุนชนชาติหนึ่งเพื่อต่อสู้กับอีกชนชาติหนึ่ง
คุณคิดว่าประเทศต่างๆ ได้รับเงินเพื่อซื้อ รถถัง, ปืน, เครื่องแบบ และยุทธภัณท์อื่นๆ มาจากที่ไหน?
เพื่อเตรียมอาวุธให้ชนชาติเหล่านั้นพร้อมสำหรับการทำสงคราม? พวกเขากู้เงินมาจากนายธนาคารข้ามชาติ
นายธนาคารข้ามชาติได้ให้เงินทุนกับประเทศคู่สงครามทั้งสองฝั่ง พวกเขาไม่สนใจว่าใครจะชนะ
ขณะที่ชนชาติที่กู้เงินเป็นจำนวนมหาศาลกำลังฆ่ากันเองอยู่นั้น นายธนาคารข้ามชาติก็ทำเงินเป็นจำนวนมหาศาล
จากการคิดค่าดอกเบี้ยที่ชนชาตินั้นๆ ต้องจ่ายให้ พวกเขามีอำนาจในการควบคุมผลของสงครามโดยการตัด
กระแสหมุนเวียนของเงินที่เขาให้กู้ ดังนั้นภายใต้การคุกคามของสงคราม นายธนาคารข้ามชาติได้ใช้อำนาจ
ของพวกเขาในการขยายหรือเพิ่มการควบคุมเหนือรัฐบาลของชนชาตินั้นๆ โดยการรักษาให้ชนชาตินั้นๆ คงหนี้สินกับพวกเขา
เพื่อให้พวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่จะเรียกร้องเสียงในรัฐบาลของชนชาตินั้นๆ

อย่างไรก็ตาม จุดหมายอื่นอันซึ่งพวกเขาประสบความสำเร็จอยู่แล้วคือ การควบคุมระบบการเงินทั้งหมดของโลก
ที่ซึ่งเราจะเรียนรู้ว่านายธนาคารอเมริกัน มีสายสัมพันธ์กับ กลุ่มรอทไชลด์ (Rothschilds) (http://en.wikipedia.org/wiki/Rothschilds) อย่างไร?
และประวัติศาสตร์เบื้องหลังการสร้างกับดักด้วย ธนาคารกลาง
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/7/7a/Fed_Reserve.JPG/350px-Fed_Reserve.JPG) (http://en.wikipedia.org/wiki/Federal_Reserve)

แกรี่ อัลเลน, ในหนังสือของเขาชื่อ None Dare Call It Conspiracy,
ชี้ว่าทั้งหมดอยู่ใน Karl Marx Communist Manifesto มันเป็นส่วนหนึ่งในการปูทางเดิน
เขียนขึ้นมาเพื่อให้ได้มาซึ่งการควบคุมระบบการเงิน แกรีกล่าว

"เลนินกล่าวในเวลาต่อมาว่า การจัดตั้งของธนาคารกลางก็คือ 90 เปอร์เซนต์ จะเป็นทรัพย์สินส่วนกลางของประเทศ
เช่นผู้ที่สมคบคิดรู้ว่านั่นคือ คุณไม่สามารถที่จะเข้าไปควบคุมประชาชาติหนึ่งๆ โดยปราศจากการใช้กำลังทางทหาร
เว้นแต่ว่า ประชาชาตินั้นๆ มีธนาคารกลางเป็นตัวผ่าน อันซึ่งคุณสามารถควบคุมเศรษฐกิจของชาตินั้นได้"
None Dare Call It Conspiracy Allan, Concord Press, 1971, pp. 41, 42.

วันที่ 1 พฤษภาคม 1776 เป็นวันที่ อดัมส์ เวส์ฮอบส์ (Adam Weishaupt) กลับไปที่อเมริกาและดำเนินงาน
โดยการส่งไปของ the House of Rothschild,
(http://www.red-ice.net/specialreports/2005/08aug/redshield06.jpg) (http://www.red-ice.net/specialreports/2005/08aug/redshield.html)
และได้จัดตั้งกองกำลังปฏิวัติสากล ที่เรียกว่า กลุ่มอิลลูมิเนติ (the Illuminati - ดวงประทีป)
อันซึ่งในเวลาต่อมาเป็นที่รู้จักในนามว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์ (Communism)

ในปัจจุบันนี้, สโลแกนของการปฏิวัติสำหรับ กลุ่มอิลลูมิเนติ ในภาษาลาติน คือ
"NOVUS ORDO SECLORIUM," อันซึ่งหมายถึง "A NEW ORDER FOR THE AGES," การจัดระเบียบสำหรับยุคใหม่
ซึ่งมาจาก ความรู้ทางโหราศาสตร์

เหมือนว่าเราเคยเห็นคำๆ นี้มาก่อน, ก็เครื่องหมายบนหลังธนบัตรดอลลาร์กับ
ดวงตาที่มองเห็นทุกสิ่ง (the ALL-SEEING-EYE,) ไง!
เป็นสัญลักษณ์ของเวทมนตร์ พบได้ในกลุ่มเมสัน (the Masons - เป็นกลุ่มที่มีแนวทางเดียวกัน)
http://freemasonrywatch.org/siteindex.html (http://freemasonrywatch.org/siteindex.html)
อันซึ่ง กลุ่มอิลลูมิเนติ ได้เป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากการลงนามประกาศอิสรภาพของอเมริกา
ในวันที่ 4 กรกฏาคม 1776 ชาวอเมริกันสร้างความเชื่อถือด้วยตัวเลขโรมัน MDCCLXXVI บนฐานปิรามิด
(http://www.cuttingedge.org/pages/seminar2/img9.jpg) (http://www.cuttingedge.org/pages/seminar2/MDCCLXXV.htm)
อันซึ่งบวกกันแล้วได้เท่ากับ 1776
MDC   =  1600
                  +
CLX    =    160
                  +
XVI     =     16
          = 1776
แต่ผู้อ่านไม่สามารถได้ความจริงเพิ่มเติมจากสาระเหล่านี้

สัญลักษณ์ลึกลับกับคำขวัญของมันต่างหาก "NOVUS ORDO SECLORUM" ที่เป็นอนุสรณ์
ในการก่อตั้งของกลุ่มอิลลูมิเนติ ในวันที่ 1 พฤษภาคม 1776 ไม่ใช่ 4 กรกฏาคม และมันไม่ใช่โดยความบังเอิญ
นั่นคือ อินทรี อันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนสำหรับ ลูซิเฟอร์ (Lucifer) ในสมัยโบราณ
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/9d/Paradise_Lost_12.jpg/300px-Paradise_Lost_12.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Lucifer)
และเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า ฟินิกซ์ (Phoenix) (http://en.wikipedia.org/wiki/Phoenix_%28mythology%29) และปัจจุบันได้นำไปใช้เป็นสัญลักษณ์ของทำเนียบประธานาธิบดีอเมริกา
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/a7/USPresidentialSeal.jpg/250px-USPresidentialSeal.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/President_of_the_United_States)
อันซึ่งทำตามคำทำนายในไบเบิ้ลที่ว่า พูดดั่งมังกร "SPEAK AS A DRAGON." Revelations 13:11.

เพื่อแสดงถึงการต่อสู้กันภายใต้อาณาจักรของปีศาจโดยประชาชนของเขา ให้เราดูที่เลข 13 เพื่อแสดงให้เห็นว่า
มันเป็นส่วนสำคัญของผู้ที่ร่วมกันคิดขึ้นมา เวทมนตร์ของเลข 13 เป็นเลขที่มีความอาถรรพ์มากที่สุดในการทำพิธีข่ม
เหมือนเมื่อก่อนนี้, ที่กลุ่มแม่มด โดยปรกติจะมีสมาชิกจำนวน 13 คน แต่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้
เมื่อเหล่าแม่มดร่ายมนตร์ที่จะทำร้ายคนหรือรักษาพวกเขา 13 แม่มดจะยืนอยู่ภายในกรอบห้าเหลี่ยม
(ศูนย์กลางของดาวห้าดวง) และเรียกนำวิญญาณ (familar spirits Deut. 18:11) อันซึ่งที่แท้จริงก็คือปีศาจ
และเหล่าแม่มดจะควบคุมพวกมันด้วยคำสั่ง ปีศาจจะปรากฏตัวในจุดศูนย์กลางของห้าเหลี่ยม(จุดดาวห้าดวง)
(http://www.benabraham.com/assets/images/1_Dollar-Bill.jpg)

ตอนนี้ให้ผู้อ่านดูให้ใกล้ๆ มากๆ บนด้านหลังของธนบัตรฉบับหนึ่งเหรียญของคุณ ไม่ใช่เฉพาะ ฟินิกซ์(อินทรี)
(Phoenix (EAGLE)) ที่ถูกแสดงที่จุดนี้เท่านั้น, แต่ดูใกล้ๆ ที่ดาวอยู่เหนือหัวอินทรี สังเกตุว่าจะมี 13 ดวง
ดูว่าพวกเขาจัดเรียงมันอย่างไร มันไม่ใช่ความบังเอิญ นั่นคือ ดาว 13 ในกรอบหกเหลี่ยม อันซึ่งประมาณได้ว่า
เป็นสัญลักษณ์เวทมนตร์ปีศาจ (EVIL SIGN IN WITCHCRAFT) อเมริกันสร้างด้วยความเชื่อว่า ดาว 13 ดวงนั้น
เป็นตัวแทน 13 จักรวรรดิดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้อ่านดูเข้าไปใกล้ๆ ในวงกลมล้อมรอบนก
(great seal of the United States) จะค้นพบว่าใครที่ออกแบบสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้แสดงเลขอาถรรพ์ 13 โดยอุบัติเหตุ
ให้สังเกตุจำนวนครั้งที่ใช้เลข 13 คือ

1. กรอบหกเหลี่ยมถูกจัดเรียงโดยห้าเหลี่ยม (ดาว) 13 ดวง
2. โล่ป้องกันหน้าอกของนกอินทรีมีแถบ 13 แถบ
3. ผลเบอร์รี่ 13 ผลบนกิ่งมะกอก ในกรงเล็บขวาของนกอินทรี
4. ลูกธนู 13 ลูก ในกรงเล็บซ้ายของนกอินทรี
5. ใบมะกอก 13 ใบบนกิ่งมะกอก

แต่สำหรับการบันทึกของสัญลักษณ์เหล่านี้ เหตุผลที่พบบนด้านหลังของธนบัตรดอลลาร์
เป็นเพราะ บุรุษ 6 คน (เลข 6 อีกแล้วครับท่าน) อันซึ่งมีส่วนในการออกแบบคือ
Benjamin Franklin
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/2f/Benjamin_Franklin_by_Jean-Baptiste_Greuze.jpg/220px-Benjamin_Franklin_by_Jean-Baptiste_Greuze.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Benjamin_Franklin)
John Adams
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/1/1a/JohnAdams.jpg/200px-JohnAdams.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/John_Adams)
Thomas Jefferson
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/4/46/T_Jefferson_by_Charles_Willson_Peale_1791_2.jpg/200px-T_Jefferson_by_Charles_Willson_Peale_1791_2.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Thomas_Jefferson)
Francis Hopkinson (ทั้งสี่คนนี้เป็นผู้ที่ออกแบบธงชาติด้วย)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/6/61/Francis_Hopkinson_sepia_print.jpg/180px-Francis_Hopkinson_sepia_print.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Francis_Hopkinson)

Charles Thomson
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/4/44/CharlesThomson.jpeg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Charles_Thomson)
และ William Barton (http://en.wikipedia.org/wiki/William_Barton)

เหมือนกับที่แจ้งก่อนหน้านี้ มากกว่า 50 คน ของผู้ที่ลงนามในสัญญาของการประกาศอิสรภาพ
เป็นกลุ่มเมสันหรือ โรสิครูเซี่ยน (Rosicrucians คล้ายกลุ่มเมสัน) (http://en.wikipedia.org/wiki/Rosicrucian) มาก่อน
และถูกระบุว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ซึ่งรู้จักกันในวงจำกัด (กลุ่มลึกลับ)
ดังนั้นให้คุณดูว่า มันไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากเลยว่า ทำไม ธนาคารกลาง (Federal Reserve)
ถึงแสดงออกสัญลักษณ์เวทมนตร์บนธนบัตรเหล่านั้น เพราะว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ธนาคารกลางโดยตัวมันเอง
ประกอบด้วยสมาชิก 12 ธนาคารใหญ่ และหนึ่งธนาคารกลาง รวมทั้งหมดเป็น 13 ธนาคาร ผู้อ่านจะตกใจเมื่อรู้ว่า
ธนาคารกลางไม่ใช่สหรัฐอเมริกาเองที่เป็นผู้ดำเนินงานของสถาบัน ให้ลองแกะรอยเส้นทางเดินของมันเพื่อดูว่าใครเป็นผู้นำ

ย้อนกลับไปอีกครั้งในปี ค.ศ. 1800 ชาวเยอรมันกลุ่มอิลูมิเนติ ได้ส่งผู้ปฏิบัติงานจาก the House of Rothschild
เพื่อทำจุดมุ่งหมายใน การจัดระเบียบสำหรับยุคใหม่ ให้บรรลุความสำเร็จชื่อของเขาคือ
จาคอบ เฮนรี่ ชิฟฟ์ (Jacob Henry Schiff (1847-1920))
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/5/54/JacobSchiff.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Jacob_Henry_Schiff)
เขามานิวยอร์คครั้งแรกสำหรับจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือ การได้ควบคุมระบบการเงินของอเมริกา
ในที่สุดเขาได้กลายเป็นหัวหน้าขององค์กรธนาคารชื่อ Kuhn, Loeb & Company (http://en.wikipedia.org/wiki/Kuhn%2C_Loeb_and_Company)
เขาได้ซื้อ Kuhn, Loeb & Company ในเวลาต่อมาด้วยเงินของ Rothschild

เขาได้เป็นกรรมการของบริษัทที่สำคัญๆ มากมาย รวมทั้ง New York City National Bank,
the Equitable Life Assurance Society และ the Union Pacific Railroad

การใช้การกุศลเป็นฉากบังหน้าซ่อนการเคลื่อนไหวของกลุ่มอิลูมิเนติ ที่ต้องการทำให้โลกมีเพียงรัฐบาลเดียวเอาไว้
(ความเห็นส่วนตัวว่า ปัจจุบันที่เห็นมหาเศรษฐีโลกได้ทำการบริจาคเพื่อการกุศลแต่จริงๆ แล้วเป้าหมายก็คือ
การทำให้โลกมีเพียงรัฐบาลเดียวเช่นกัน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเป้าหมายแต่อย่างใด เพราะมหาเศรษฐีส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเหล่านี้
ที่ต้องการล้มล้างการปกครองภายในของทุกประเทศ เพื่อปกครองโดยผ่าน UN หรือการเป็นรัฐบาลกลางของลัทธิซาตานนั่นเอง
แต่เพราะตอนนี้กระแสต่อต้านทุนข้ามชาติของแต่ละประเทศแรงเลยต้องทำให้มีข่าวในด้านดีเพื่อลดแรงต่อต้าน)
จาคอบ ชิฟฟ์ เป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมากในความสำเร็จของ อัลเบิร์ต ไปค์ (Albert Pike)
ในการนำอเมริกาไปสู่สภาวะอนาธิปไตย ปราศจากขื่อแป ซึ่งได้อ้างถ้อยคำเลนินก่อนหน้านี้ว่า
จุดมุ่งหมายแรกของคอมมิวนิสต์ ก็เพื่อการควบคุมระบบการเงินทั้งหมดของโลก และนี่คือความสำเร็จในขั้นแรก
ของ จาคอบ ชิฟฟ์ ในวันที่ 22 ธันวาคม 1913 เป็นจุดเริ่มต้นจุดหนึ่งในปฏิบัติการชั่วร้ายนั่นคือ
คอมมิวนิสต์ได้บรรลุผลสำเร็จในการผลักดันอเมริกาไปสู่วาระสุดท้าย โดยใช้ความช่ำชองในการวางแผนของ
อัลเบิร์ต ไปค์ สำหรับการพิชิตโลก ณ.จุดนี้ เราจะมองเห็นความจริงของไบเบิ้ลว่าถูกต้องอย่างไร ในถ้อยคำที่ว่า
เราจะเข้าสู่สงครามด้วย "จิตวิญญาณที่เลวทรามในสถานที่สูง" "spiritual wickedness in high places" Ephesians 6:12

สมาชิกวุฒิสภา พรรครีพับลิกัน เนลสัน อัลดริช (Nelson Aldrich)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/0/09/Nelson_W._Aldrich.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Nelson_Aldrich)
ได้เสนอให้ National Reserve Association (http://www.minneapolisfed.org/pubs/region/88-08/reg888a.cfm) ในปี ค.ศ. 1911 เป็นหัวขบวนประกอบขึ้นเป็น
ธนาคารกลาง,และธนาคารใหญ่อีก 15 สาขา
และถูกควบคุมด้วยนายธนาคารชั้นนำแห่งชาติ (อันซึ่งถูกครอบงำโดย เจ.พี. มอร์แกน (J.P. Morgan))
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/e/e9/JohnPierpontMorgan.jpg/180px-JohnPierpontMorgan.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/J.P._Morgan)
แต่ข้อเสนอของอัลดริชไม่ผ่าน อย่างไรก็ตาม, ผู้ที่ร่วมคิดของกลุ่มอิลูมิเนติ ได้วางตัวหนึ่งในพวกเขาให้กลายเป็น
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชื่อของเขาคือ วูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/2d/President_Woodrow_Wilson_portrait_December_2_1912.jpg/200px-President_Woodrow_Wilson_portrait_December_2_1912.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Woodrow_Wilson)
เราจะมองผ่านชีวประวัติของวิลสัน และอะไรที่ทำให้เขาถูกวางเป็นตัวเล่นในการสมคบคิดในขณะนั้น
อย่างไรก็ตาม, ก่อนที่เราจะเรียนรู้ว่ามีความเป็นมาอย่างไรของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของเรา
เราจะต้องทำความเข้าใจความสำเร็จอื่นๆ ที่ จาคอบ ชิฟฟ์ ได้ประสบความสำเร็จในสหรัฐฯ ก่อนคือ
การเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างนายธนาคารในอเมริกา, เจ.พี. มอร์แกน, พอล วอร์เบิร์ก (Paul Warburg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Paul_Warburg)
และตระกูล ร็อกกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller family) (http://en.wikipedia.org/wiki/Rockefellers) ไปสู่การร่วมกันสมคบคิดกับซาตานนี้
แกรี่ อัลเลน (Gary Allan) ได้กล่าวถึงในหนังสือ "None Dare Call It Conspiracy" ชี้แจงว่า
นายธนาคารขนาดใหญ่ของอเมริกันจัดตั้งขึ้นเพื่อสมคบคิดกับ จาคอบ ชิฟฟ์ อย่างไร
ผู้ที่ซึ่งโดยแท้จริงแล้วทำงานเป็นตัวแทนให้กับกลุ่ม Rothschild:

"พอล วอร์เบิร์ก ได้แต่งงานกับ นีน่า โลบ (Nina Loeb) บุตรสาวของ โซโลมอน โลบ (Solomon Loeb) (http://en.wikipedia.org/wiki/Solomon_Loeb)
เจ้าของ Kuhn Loeb and Company องค์กรธนาคารข้ามชาติที่อำนาจมากที่สุดของอเมริกา
เฟลิกซ์ (Felix M. Warburg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Felix_M._Warburg) ซึ่งเป็นน้องชายได้แต่งงานกับ ฟรีด้า ชิฟฟ์(Frieda Schiff) บุตรสาว
ของ จาคอบ ชิฟฟ์ มีอำนาจครอบงำอยู่เบื้องหลัง Kuhn, Loeb"

สตีเฟ่น เบอร์มิงแฮม (Stephen Birmingham) ได้เขียนในหนังสือที่เขาแต่งชื่อ Our Crowd: ว่า
(http://images.alibris.com/isbn/0/8/1/5/6/0815604114.gif) (http://www.alibris.com/search/search.cfm?qwork=4920950&wauth=Birmingham%2C%20Stephen&matches=298&qsort=r&cm_re=works*listing*title)
"ในศตวรรษที่ 18 ตระกูล ชิฟฟ์ และ รอทไชลด์ ได้เคยอยู่ร่วมกันในบ้านเดียวกัน" ใน แฟรงค์เฟิร์ท เยอรมนี
มีรายงานว่า ชิฟฟ์ซื้อหุ้นใน Kuhn, Loeb ด้วยเงินของ Rothschild
ทั้ง พอล และ เฟลิกซ์ วอร์เบิร์ก ได้กลายเป็นหุ้นส่วนใน Kuhn, Loeb and Company
"None Dare Call It Conspiracy" Allan, Concord Press, 1971, p.45.

สมาชิกวุฒิสภา เนลสัน อัลดริช อันซึ่งบุตรสาวของเขาได้แต่งงานกับ จอห์น ดี ร็อกกี้เฟลเลอร์ จูเนียร์ (John D. Rockfeller Jr.)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/2/2a/JD_Rockefeller_Jr.jpg/200px-JD_Rockefeller_Jr.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/John_D._Rockefeller%2C_Jr.)
ได้เข้าร่วมกับ พอล วอร์เบิร์ก และนายธนาคารข้ามชาติอื่นๆ ทำการพบปะกันอย่างลับๆ ที่ Jekyll Island Georgia
เพื่อทำแผนงานให้ได้มาซึ่งการควบคุมระบบธนาคารของอเมริกา โดยการก่อตั้ง ธนาคารกลาง ขึ้นมาแขกที่ได้รับเชิญบางส่วนคือ
http://en.wikipedia.org/wiki/History_of_Central_Banking_in_the_United_States (http://en.wikipedia.org/wiki/History_of_Central_Banking_in_the_United_States)
Henry P Davidson of J.P Morgan and Company,
Frank A. Vanderlip President of the Rockefeller owned National City Bank;
Assistant Secretary of the U.S. Treasury;
A. Piatt Andrew and Benjamin Strong of Morgan Bankers Trust Company.
มันมีแรงกดดันระหว่างการประชุมลับนี้ที่จะทำให้สภายอมรับแผนการตั้งธนาคารกลาง ชื่อของธนาคารกลางว่า "Central Bank"
จะต้องหลีกเลี่ยงที่จะใช้คำนี้ หลังจากการพบปะที่ Jekyll Island เสร็จสิ้นลงก็ได้มาซึ่ง กฏหมายอัลดริช
แต่ส่วนกลางของกลุ่มธนาคารอเมริกันไม่ยอมให้ผ่านสภา อย่างไรก็ตาม, ผู้ที่ร่วมคิดเพียงแค่ผิดหวังกลับไป
และจัดตั้งกลุ่มขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และเปลี่ยนชื่อกฏหมายจัดตั้งธนาคารกลางที่สมคบคิดกันเป็น
"The Federal Reserve Act," (http://en.wikipedia.org/wiki/Federal_Reserve_Act) เพื่อทำให้ฟังแล้วดูเหมือนดำเนินงานโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
และเมื่อมองดูแล้วมันควรจะผ่านสภาในครั้งนี้ โดยการวางตัวแทนผู้ที่จะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชื่อของเขาคือ วูดโรว์ วิลสัน
จาคอบ ชิฟฟ์,
Bernard Baruch,
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/6/68/Bernard_Baruch.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Bernard_Baruch)
Henry Morgenthau,
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/2/20/Ambassador.JPG) (http://en.wikipedia.org/wiki/Henry_Morgenthau%2C_Sr.)
Thomas Fortune Ryan (http://en.wikipedia.org/wiki/Thomas_Fortune_Ryan),
และ Adolph Ochs เจ้าของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/9/95/Ochsstamp.jpg/200px-Ochsstamp.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Adolph_Ochs)
พวกเขาทั้งหมดได้ทำการสนับสนุนทางการเงินอย่างมากในการหาเสียงของวิลสัน (Wilson Campaign)

วูดโรว์ วิลสัน ได้พยายามให้ระบบธนาคารกลางนี้ถูกเรียกว่า "Federal Reserve System" และเพื่อทำให้มันผ่านสภา
เขาได้เลือก คาร์เตอร์ กลาส (Carter Glass)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/1/1e/CarterGlass.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Carter_Glass)
ให้เป็นคนเสนอ Federal Reserve Act ฉบับนี้แทนของ อัลดริช และในเดือนธันวาคม ขณะที่สภาตัดสินใจเลื่อน
การผ่านกฏหมายไปช่วงคริสต์มาส ก็สามารถผ่านได้ด้วยคะแนนเสียงส่วนใหญ่ของสภา 298 ต่อ 60

วันนี้มันเหมือนกับช่วงระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส กลุ่มอิลูมิเนติ หรือ คอมมิวนิสต์ ได้แทรกซึมเข้าสู่การเมืองอเมริกันระดับสูง
และสถาบันบริหารของรัฐบาลระดับสูง แต่ไม่ได้เป็นการพูดเกินเลยแต่อย่างใดว่า
พวกเขามีคนแทรกซึมอยู่ในตำแหน่งระดับบนๆ เช่น สมาชิกสภา, สมาชิกวุฒิสภา, แม้แต่ประธานาธิบดี,
เอฟบีไอ (FBI) และ ตัวแทน ซีไอเอ (CIA agents), เป็นเจ้าหน้าทางทหาร, และ แม้แต่เป็นนักบัญชี
(ความเห็นส่วนตัวว่า รูปแบบการแทรกซึมทั้งหมดเหมือนกับเมืองไทยในปัจจุบันนี้ไม่มีผิด
อยากให้ผู้ที่มีหน้าเกี่ยวกับความมั่นคงของไทยลองไปตรวจสอบกันดีๆ จริงๆแล้วไม่ใช่คอมมิวนิสต์
เพราะมันเป็นแค่ชื่อที่ตั้งไว้หลอกๆ เท่านั้น แต่เบื้องหลังคือ กลุ่มทุนหรือนายธนาคารข้ามชาติระดับโลก
ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงไทยให้เป็นรัฐในอาณานิคม รวมทั้งกลุ่มก่อการร้ายภาคใต้ ใครล่ะเป็นผู้ที่สนับสนุนจริงๆ!)


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: M 60 - 7 รักในหลวง ที่ กันยายน 17, 2006, 06:25:57 PM
ขอบคุณครับ ;D


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 18, 2006, 12:11:27 PM
อือม์ ผมเห็นในคำนำหนังสือปืนเมกันเล่มนึงเขียนว่า "ทำไมเอาอีแร้ง เอ้อ นกอินทรีหัวล้านมาเป็นสัญลักญณ์ของประเทศเมกาก็ไม่รู้ ไม่เห็นมีความสำคัญเรื่องสร้างชาติอะไร น่าจะเอารูปปืนมาใช้มากกว่า"


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 19, 2006, 01:00:55 PM
อือม์ ผมเห็นในคำนำหนังสือปืนเมกันเล่มนึงเขียนว่า "ทำไมเอาอีแร้ง เอ้อ นกอินทรีหัวล้านมาเป็นสัญลักญณ์ของประเทศเมกาก็ไม่รู้ ไม่เห็นมีความสำคัญเรื่องสร้างชาติอะไร น่าจะเอารูปปืนมาใช้มากกว่า"

;D ;D ;D


หัวข้อ: ใครอยู่เบื้องหลังกระบวนการที่เรียกว่า โลกาภิวัตน์ หรือ จัดระเบียบโลกใหม่? (ต่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 19, 2006, 01:02:50 PM
อำนาจของกลุ่มอิลูมิเนติ คือ เงิน และพวกเขาก็ใช้เงินของเขาเพื่อขยายการควบคุมพื้นที่ทางสังคมทั้งหมดคือ
ศาสนา, การเมือง, เศรษฐกิจ, การศึกษา, การแพทย์, การทหาร, และสังคม และในระหว่างการปฏิวัติของรัสเซีย
"Russian Revolution," มันอยู่ภายใต้ชื่อ บอลเชวิก "Bolshevism" นั่นคือกลุ่มอิลูมิเนติ ได้แทรกซึมเข้าไป
ในพื้นที่ด้านต่างๆ เหล่านี้ ด้วยสาเหตุที่ว่าต้องการล้มล้าง ระบอบซาร์แห่งรัสเซีย (Czarism in Russia)

เดส กริฟฟิน (Des Griffin) เขียนไว้ในหนังสือของเขาชื่อ "Fourth Reich of the Rich,"
ได้มีการวบรวมความจริงที่สำคัญๆ ไว้มากมายเกี่ยวกับว่า ใครทำงานอยู่เบื้องหลังฉากในการปฏิวัติของรัสเซีย

หลังจากที่ออกจากฝรั่งเศสและสเปน ลีออง ทรอตสกี้ (Leon Trotsky)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/5/5b/Trockiy2.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Leon_Trotsky)
และครอบครัวของเขาได้โดยสารเรือกลไฟมาถึงนิวยอร์กในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1917
แม้ว่าเขาไม่รู้ว่าจะต้องหางานทำได้อย่างไร ทรอตสกี้ ก็ยังอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนท์ที่หรูหราและท่องเที่ยวไปรอบๆ
ด้วยรถลิมูซีน บางครั้งไม่มีใครรู้แหล่งที่มาของทรัพย์สมบัติเหล่านี้

World Revolution and World War (http://members.iimetro.com.au/~hubbca/us_history.htm)
United states of America History and international bankers history (http://theunjustmedia.com/Banking%20&%20Federal%20Reserve/United%20states%20of%20America%20and%20intentional%20Bankers%20History.htm)
Lenin, Trotsky and the Bolshevik Revolution (http://www.modernhistoryproject.org/mhp/ArticleDisplay.php?Article=FinalWarn07-3)
ทรอตสกี้ ได้ออกจากนิวยอร์กโดยเรือ S.S. Kristianiafjord ไปสู่ เปโตรกราด
ซึ่งเกี่ยวพันกับการจัดการองค์กรบอลเชวิกในช่วงการปฏิวัติของรัสเซีย เมื่อเรือเทียบท่าที่ Halifax, Nova Scotia
ในวันที่ 3 เมษายน 1917 ทรอตสกี้และพรรคพวกได้ถูกกักตัวเอาไว้โดยเจ้าหน้าที่ภายใต้คำสั่ง
ของพลเรือเอกของอังกฤษในลอนดอน

โดยเสียเวลาไปหลายชั่วโมง, ด้วยแรงกดดันอย่างมากจากความเชื่องช้าของเจ้าหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูง
ทั้งทางฝั่งวอชิงตันและลอนดอน ได้แจ้งการเดินทางที่เป็นความลับต่อรัฐบาลให้ใหม่ โดยแสดงให้เจ้าหน้าที่นั้นรู้ว่า
กลุ่มของทรอตสกี้ เป็นกลุ่มสังคมนิยมที่อาศัยอยู่ในอเมริกามีจุดประสงค์เพื่อไปเริ่มต้นการปฏิวัติต่อสู้กับรัฐบาลรัสเซีย
(Wall Street and the Bolshevik Revolution, by Antony G. Sutton, Arlington House publishers 1974, p. 28).
ทรอตสกี้และพรรคพวกของเขาก็ได้รับการปล่อยผ่านอย่างรวดเร็ว
" The Fourth Reich of the Rich, Emissary Publications. 1979, p. 89.

เดส กริฟฟิน ได้แสดงให้เห็นว่าเงินทุนนั้นมาจากไหน! ในการปฏิวัติของรัสเซีย
"ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน (ข้อสันนิษฐานว่าภายใต้คำสั่งจาก 'Col. House and his backers') ผู้ซึ่งอนุญาตให้
หนังสือเดินทางอเมริกันกับทรอตสกี้ ให้กลับไปรัสเซียเพื่อเดินหน้าการปฏิวัติต่อไป หนังสือเดินทางอเมริกันนี้
ได้ถูกรับรองอนุญาติให้เข้ารัสเซียและผ่านทางด้วยวีซ่าของอังกฤษ" Jennings C. Wise ให้ความเห็นว่า
"ประวัติศาสตร์จะจารึก วูดโรว์ วิลสัน เอาไว้ว่าแม้จะมีความขัดข้องกับทางตำรวจอังกฤษ มันก็ทำอะไรที่เป็นไปไม่ได้
ให้เป็นไปได้ด้วยการอนุญาติให้ ลีออง ทรอตสกี้เข้ารัสเซีย ด้วยหนังสือเดินทางอเมริกัน (Sutton, p. 25)"


"ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1917 เลนิน และพรรคพวกนักปฏิวัติชาวรัสเซีย 32 คน โดยพวกบอลเชวิกส่วนมากจะเดินทาง
โดยทางรถไฟจากสวิตเซอร์แลนด์ข้าม เยอรมนี ผ่านเข้าสวีเดน สู่เปโตรกราดของรัสเซีย พวกเขาเข้าร่วมกับ
ทรอตสกี้ เพื่อทำการปฏิวัตให้เสร็จสิ้น การเดินทางผ่านทางเยอรมนีของพวกเขาถูกอนุมัติ อำนวยความสะดวก
และสนับสนุนการเงินโดย General Staff" ซึ่ง General Staff ชื่อว่า แมกซ์ วอร์เบิร์ต (Max Warburg)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/30/Max_Warburg_1905.jpg/180px-Max_Warburg_1905.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Max_Warburg)
(พี่น้องของ พอล และเฟลิกซ์ วอร์เบิร์ก ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าระบบธนาคารกลางของอเมริกันเป็นองค์กรสายลับระดับสูง)
โดยแมกซ์เป็นหัวหน้าธนาคาร Rothschild/Warburg ในแฟรงค์เฟิร์ต มีใครสงสัยมั๊ยว่า
ใครอยู่เบื้องหลังในการมีบทบาทของนายธนาคารข้ามชาติทั้งหมด"
Fourth Reich of the Rich." Griffin, Emissary Publications, 1979, pp. 89-91

คนที่อยู่เบื้องหลังได้ถูกยืนยันโดย New York Journal American ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 1949 ว่า
จาคอบ ชิฟฟ์ ได้ให้ทองจำนวน 20 ล้านเหรียญเพื่อช่วยเหลือให้ได้ชัยชนะขั้นสุดท้ายในการปฏิวัติของพวกบอลเชวิกในรัสเซีย

ตอนนี้ให้มองลึกเข้าไปในการเมืองอเมริกันและเรียนรู้แผนการของซาตานนี้มีความน่ากลัวอย่างไร
และมีการทำงานเบื้องหลังฉากในสหรัฐฯ อย่างไร เหมือนกับที่พวกเขาทำสำเร็จกับประชาชนชาวรัสเซีย
จาคอบ ชิฟฟ์ ทำหน้าที่ตามคำสั่งของ the House of Rothschild อีกครั้ง การวางแผนในองค์กรจะคล้ายกับ
จาโคแบงส์ คลับ (เป็นกลุ่มปฏิวัติในฝรั่งเศส) (http://en.wikipedia.org/wiki/Jacobin_Club) และบอลเชวิกในรัสเซีย
โดยพวกนี้ก็คือ กลุ่มก่อการร้ายของชนชั้นสูง ที่แทรกซึมเข้าสู่การเมืองอเมริกัน เหมือนกับที่พีน้องของเขา
ทำสำเร็จไว้ก่อนแล้วใน ฝรั่งเศส และ รัสเซีย วูดโรว์ วิลสัน เป็นทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวของ จาคอบ ชิฟฟ์
และ เจ พี มอร์แกน และนายธนาคารข้ามชาติอื่นๆ แต่ยังมีบุรุษคนหนึ่งอันซึ่งเป็นคนดำเนินการเรื่องต่างๆ ในทำเนียบขาว
อย่างลับๆ ก็คือ "Col." Edward Mandel House (http://en.wikipedia.org/wiki/Edward_Mandell_House) ระหว่างการดำรงตำแหน่งของ วิลสัน

พลเอก เอ็ดวาร์ด เฮาส์ จบการศึกษามาจากอังกฤษเป็นบุตรชายของผู้แทนรักษาผลประโยชน์ทางการเงิน
ของอังกฤษในอเมริกาใต้ ได้เขียนหนังสือที่เกี่ยวกับการปฏิวัติ อันซึ่งทำให้เขาได้รับการยอมรับในเวลาต่อมา
นั่นคือได้เปิดเผยความจริงของแผนการล้มล้างรัฐบาลของอเมริกา หนังสือมีชื่อว่า Philip Dru Administrator (http://philipdru.com)
และมันเป็นการเขียนบอกเป็นนัยแสดงถึงรายละเอียดของแผนการสำหรับการสร้าง
รัฐบาลรวบอำนาจรัฐบาลเดียวของโลก (One World Totalitarian Government)

เฮาส์และเหล่านายธนาคารข้ามชาติ เป็นผู้ที่สนับสนุน วิลสัน ให้เป็นตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
วูดโรว์ วิลสัน ผู้ซึ่งได้เป็นประธานาธิบดีถึงสองสมัยนับจาก 4 มีนาคม 1913 ถึง 4 มีนาคม 1921
แต่เป็น เฮาส์ ที่ได้ชักจูง วิลสัน ให้ยอมรับ กฏเกณฑ์ในการมีศูนย์กลางของระบบการเงินสหรัฐฯ
และเฮาส์ก็มีส่วนในการสนับสนุนตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt อีกด้วย
ซึ่งเป็นผู้ที่ยอมให้ เยอรมนีตะวันออกและยุโรปตะวันออกกลายเป็นคอมมิวนิสต์

และเป็น เอ็ดวาร์ด แมนเดล เฮาส์ ภายใต้การควบคุมของ จาคอบ ชิฟฟ์ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมด้วย
หัวหน้าผู้ที่ร่วมสมคบคิดชาวต่างชาติ (the House of Rothschild of London and Paris)
ได้ก่อตั้งองค์กรหนึ่งขึ้นในปี ค.ศ. 1921 เป็นอะไรที่เหมือนกับเหล่าสหายของเขาได้ก่อตั้งขึ้นก่อนหน้านั้น
เพื่อล้มล้างรัฐบาล ฝรั่งเศส และ รัสเซีย ที่เรียกว่า กลุ่มจาโคแบง คลับ ในฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 18
การเคลื่อนไหวในการปฏิวัติของกลุ่มชนชั้นสูงในอเมริกาวันนี้คือองค์กร ที่ถูกเรียกว่า
สภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (THE  COUNCIL ON FOREIGN RELATIONS, INC.) (http://en.wikipedia.org/wiki/Council_on_Foreign_Relations)
และที่แตกแขนงสาขาออกไปอีกเป็นคณะกรรมาธิการชื่อ TRILATERAL COMMISSION (http://en.wikipedia.org/wiki/Trilateral_Commission)
สภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คือกลุ่มอิลูมิเนติ ที่เคลื่อนไหวทางด้านการเมืองในวันนี้ พวกเขามีทั้ง
สมาชิกสภาล่าง, สมาชิกวุฒิสภา, และแม้แต่ตัวประธานาธิบดีเอง นั่นคือพวกเขาใช้งานคนเหล่านี้
เพื่อผ่านกฏหมาย ซึ่งมีกฏหมายเพียงเล็กน้อยมากที่จะนำอเมริกาให้เข้าสู่การเปลี่ยนแปลง
ให้เป็นประเทศสังคมนิยม (ไม่เหมือนกับที่ทำในรัสเซีย)

คณะกรรมาธิการ Trilateral Commission เป็นองค์กรข้ามชาติก่อตั้งโดย เดวิด ร็อกกี้เฟลเลอร์ (David Rockefeller) (http://en.wikipedia.org/wiki/David_Rockefeller)
ผู้ที่ซึ่งมีส่วนในการก่อตั้ง สภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเป็นประธานกรรมการของคณะกรรมาธิการนี้ด้วย
คณะกรรมาธิการนี้เป็นความพยายามของกลุ่มอิลูมิเนติ ที่จะเข้ารวมกับ ตลาดร่วมของยุโรปตะวันตก, ญี่ปุ่น, แคนาดา
และสหรัฐฯ นำไปสู่ความร่วมมือกันทางเศรษฐกิจและการเมือง ถ้าอะไรที่เขาไม่สามารถกระทำผ่านทางด้านการเมืองได้
ของกลุ่มอิลูมิเนติ (สภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) พวกเขาก็จะพยายามโดยทันทีที่จะเข้าหาทางเศรษฐกิจ

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ในความพยายามเริ่มแรกในศตวรรษที่ 20 เพื่อรวบรวมโลกทั้งหมดไปสู่
การมีเพียงหน่วยรับใช้ซาตานหน่วยเดียวของโลก ความพยายามในประวัติศาสตร์โดยเหล่าผู้สมคบคิดที่ร่ำรวยที่สุด
ตอนใกล้สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในวันที่ 8 มกราคม 1918 ประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้ร่างแผน 14 ข้อ
เข้าสู่สภาสำหรับสันติภาพที่ถาวร ภายในแพ็คเกทสันติภาพของโลกนี้ ได้ซ่อนแผนเอาไว้อย่างเหมาะเจาะ
สำหรับเหล่าผู้สมคบคิดเพื่อให้ชนชาติทั้งหมดในโลกยกความเป็นเอกราชขึ้นมาเรียกร้อง มันถูกติดป้ายว่า
สันนิบาตแห่งชาติ ("The League of Nations.")

ผู้ค้าเงินตราสมัยใหม่ ใช้สงครามโลกครั้งที่ 1 ในการทำเงินมหาศาล และเป็นเครื่องมือสร้างความน่ากลัวให้กับ
ประชาชนผู้ที่เสียหายจากสงครามของโลก ณ.ตอนนั้นให้มีความหวัง ถ้ารัฐบาลทั้งหมดของโลกจะรวมกันเป็น
รัฐบาลเดียวของโลก สิ่งนี้จะทำให้หยุดสงครามระหว่างชนชาติ และจะบรรลุถึง สันติภาพและมีความปลอดภัย

สำนักงานใหญ่ สันนิบาตแห่งชาติ ตั้งอยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
และมันอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 นั่นคือ ประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ในปี ค.ศ. 1918
ได้เริ่มต้นร่างการเป็นเจ้าของสัญชาติอเมริกันขึ้น ร่วมด้วยส่วนอื่นๆ ของโลก ไปสู่การยอมรับการตบตาอันนี้
ในที่สุดด้วยความช่วยเหลือของ พลเอก เอ็ดวาร์ด แมนเดล เฮาส์ มี 63 ชาติที่เข้าร่วมสันนิบาต
แม้ว่าในการประชุมแต่ละครั้งจะมีสมาชิกเข้าร่วประชุมไม่เกิน 58 ชาติ อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดี วิลสัน
ไม่เคยกล่าวถึง เมื่อเขาไม่สามารถทำให้ได้รับเสียงโหวต สองในสาม ในสภาสูงของสหรัฐฯ
สำหรับการลงสัตยาบันในสนธิสัญญานี้ และสหรัฐฯ ก็ไม่เคยเข้าร่วมประชุมกับ สันนิบาตแห่งชาติเลย

นี่คือการเปิดเผยตัวเต็มที่ของเหล่าผู้สมคบคิดเพราะมั่นใจว่าจะเป็นที่ยอมรับ
พวกเขาคิดว่าสหรัฐฯ ล้มเหลวจากการตบตานี้ เป็นเพราะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้ที่ซึ่งสนับสนุนมันทำล้มเหลว

โดยทันที เมื่อกลุ่มผู้สมคบคิดมองเห็นว่า รัฐบาลเดียวของโลก (One World Government)
ไม่สามารถบรรลุความสำเร็จโดยใช้ชื่อ สันนิบาตแห่งชาติ พลเอกเฮาส์ ภายใต้คำสั่งของ จาคอบ ชิฟฟ์
ได้ก่อตั้งองค์รกรลับของชนชั้นสูง ที่เรียกว่า สภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
สมาคมลับส่วนบุคคลนี้ ก็คือการสร้าง สมาชิกสภาล่าง, สมาชิกวุฒิสภา และผู้ว่าการรัฐ และอื่นๆ ขึ้นมาเอง
จากนั้นความพยายามขั้นต่อไปที่จะรวมสหรัฐฯ ไปสู่รัฐบาลเดียวของโลก จะไม่มีความผิดพลาดอีก
เพราะว่าอำนาจของเสียงโหวตที่พวกเขามีอยู่ แต่ผู้อ่านต้องไม่ลืมว่า ไม่ใช่รัฐบาลสหรัฐฯ ที่เป็นผู้ดำเนินการก่อตั้ง
ดูได้จากรายงานประจำปี ค.ศ. 1979-1980 ของสภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ถูกตีพิมพ์ออกมา
อันซึ่งถูกควบคุมโดย เดวิด ร็อกกี้เฟลเลอร์ หาอ่านได้ที่หน้า 5 มีใจความว่า

"The Twenty-one Americans, who, together with British counterparts, founded in Paris in 1919
'The Institute of International Affairs,' were a diverse group that included Col. Edward M. House,
Herbert Hoover, Gen. Tasker Bliss, Christian Herter, and such scholars as Charles Seymour,
later president of Yale, Professors Archibald Cary Coolidge of Harvard and James T. Shotwell of Columbia.
In 1921 their American branch of the Institute MERGED WITH A LARGER,
EXISTING GROUP  OF  NEW YORK  BUSINESS  AND PROFESSIONAL MEN
TO  FORM THE COUNCIL ON FOREIGN RELATIONS, INC."

ในวันนี้เราอยู่ระหว่างความพยายามขั้นที่สอง สำหรับคำขวัญที่ว่า NOVUS ORDO SECLORUM, หรือ
การจัดระเบียบโลกใหม่ สภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นแค่ส่วนหน้าของกลุ่มอิลูมิเนติในสหรัฐฯ เท่านั้น
สำหรับการตั้งรัฐบาลโลก ยังมีพี่น้องของเขาอยู่ในอังกฤษด้วยเช่นกัน ใช้ชื่อว่า The Institute of International Affairs (http://en.wikipedia.org/wiki/Royal_Institute_of_International_Affairs)
กลุ่มมหาเศรษฐีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ลัทธิข้ามชาติ อันซึ่งถูกรับรองโดย IRS ก็คือ องค์กรที่เรียกกันว่าเป็นองค์กรการกุศล
ใช้ชื่อว่า The American Friends of Bilderbergers
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/6/62/Bilderberg_bad_aachen_1980.jpg/180px-Bilderberg_bad_aachen_1980.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/American_Friends_of_Bilderberg)
การเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้ เหมือนกับกลุ่มปฏิวัติ จาโคแบง คลับ ในฝรั่งเศส พวกเขาเลือกใช้ชื่อนี้
จากชื่อสถานที่ที่ใช้พบปะกันครั้งแรก ในกรณีนี้คือ โรงแรมบิลเดอร์เบิร์ก ประเทศฮอลแลนด์ ในปี ค.ศ. 1954
(the Bilderberg Hotel in Oosterbeek, Holland in May of 1954) (http://en.wikipedia.org/wiki/Hotel_de_Bilderberg)

เหมือนกับกลุ่ม จาโคแบง คลับ, บอลเชวิก และ สภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
กลุ่มบิลเดอร์เบิร์กเป็นสมาคมลับของชนชั้นสูง สำหรับเหล่ามหาเศรษฐี มันถูกสร้างขึ้นจาก
โลกแห่งการทำธุรกิจธนาคารข้ามชาติ, วงจรการเมือง และธุรกิจ และรวมถึงประชาชนทั่วไปที่เป็นมืออาชีพ
พวกเขายึดถือการพบปะกันเป็นประจำให้เป็นความลับสูงสุด เพื่อสนับสนุนลัทธิข้ามชาติ

ประธานของสมาคมลับชั้นสูงนี้คือ Prince Bernard of the Netherlands (http://en.wikipedia.org/wiki/Prince_Bernard_of_the_Netherlands)
(เสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2004)  royal consort of Queen Juliana,
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/b/bc/Queen_Juliana_der_nederlanden.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Juliana_of_the_Netherlands)
ผู้ที่ซึ่งมีรายงานว่า เป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ราชินีจูเลียน่า (Queen Juliana)
และ ลอร์ด รอทช์ไชล์(Lord Rothschild) (http://en.wikipedia.org/wiki/Mayer_Amschel_Rothschild_family) เป็นผู้ที่ถือหุ้นของบริษัท เชลล์ ออยล์ (Shell Oil Company) (http://en.wikipedia.org/wiki/Shell_Oil_Company)
ขณะที่ตระกูล ร็อกกี้เฟลเลอร์ ควบคุม สแตนดาร์ด ออยล์ (Standard Oil) (http://en.wikipedia.org/wiki/Standard_Oil)
กลุ่มบิลเดอร์เบิร์ก รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า "The 500." เดส กริฟฟิน ระบุชื่อบางคนที่ถูกเชิญเป็นแขก
ในการพบปะกันประจำปีของกลุ่มบิลเดอร์เบิร์ก ในหนังสือของเขา Fourth Reich of the Rich, หน้า 118

"A lot can be learned from noting the names of the people who attend these clandestine annual meetings:
David and Nelson Rockefeller,
Emilio Collado, ประธานบริหารของ Exxon Corporation,
Ciovanni Agnelli, เจ้าของ the Fiat car company,
Robert Strange McNamara, ประธานของ World bank ขณะนั้น,
Heinz (Henry) Kissinger, Gerald Ford, Senator Mathias,
นายกรัฐมนตรีของอังกฤษขณะนั้น James Callaghan AND his "conservative" counterpart Margaret Thatcher,
ประธานาธิบดีหุ่นเชิดของกลุ่มรอทช์ไชลด์ Valery Giscard D'Estang of France,
และผู้คนที่มีตำแหน่งเทียบเท่าจากอีกหลายๆ ชาติ"

ในขณะเดียวกันตามรายงานประจำปีของสภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศปี ค.ศ. 1979-1980, มีรายชื่อดังนี้
Kissinger, Mathias and a host of other political American figures are members of the Council.
Howard Baker, George Ball, Harold Brown, Ellsworth Bunker, Donald Bush, Hodding Carter,
Douglas Dillon, Arthur Goldberg, Alexander Haig, Jacob Javits, David LIttle,  Henry Cabot Lodge,
George McGovern, Robert McNamara, Walter Mondale, Donald Began, Dean Rusk,
Adlai Stevenson III, and Andrew Young ซึ่งเป็นเพียงรายชื่อจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่มีชื่ออยู่ในสมาคมลับนี้

ย้อนกลับไปตอนที่ วิลสัน ตั้งสำนักงานใหญ่สำหรับ สันนิบาตแห่งชาติ ในการจัดระเบียบโลกใหม่นานาชาตินี้
ในวันนี้ ผลงานชิ้นเอกในการหลอกชาติต่างๆ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น สหประชาชาติ (United Nations)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/e/e7/Naciones_Unidas_3.jpg/180px-Naciones_Unidas_3.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/United_Nations)
ชาติเดิมๆ มากมายที่ถูกต้มโดยเหล่าผู้นำให้เข้าสู่ สันนิบาตแห่งชาติ ก็ได้ถูกต้มอีกครั้งหนึ่งให้เข้าร่วมกับ สหประชาชาติ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 19, 2006, 01:17:04 PM
ลึกลับ สยึมกึ๋ย ซุปเปอร์ต่วยคุณภาพจริงๆ ครับ ผมว่าความคิดพิศดารของคนเรานี่แหละที่สร้าง "เทวดา" และ "ซาตาน" ขึ้นมาใช้ประโยชน์ทั้งต่อส่วนรวมและตนเอง


หัวข้อ: Re: ใครอยู่เบื้องหลังกระบวนการที่เรียกว่า โลกาภิวัตน์ หรือ จัดระเบียบโลกใหม่?
เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กันยายน 19, 2006, 01:23:48 PM
http://www.benabraham.com/html/illuminati_-_4b.html (http://www.benabraham.com/html/illuminati_-_4b.html)

สหประชาชาติ (UN) เหมือนกับ สันนิบาตแห่งชาติ คือถูกตั้งขึ้นมาหลังจากที่โลก
ได้มีประสบการณ์จากความน่ากลัวของสงคราม ความหวังในช่วงนั้นของประชาชน
ผู้ที่เสียหายจากสงครามของสหรัฐอเมริกาก็ได้เข้าร่วมสนับสนุนด้วย
สันนิบาตแห่งชาติ ความจริงแล้วมีความแตกต่างจาก สหประชาชาติ ในวันนี้เพียงสองอย่างเท่านั้น
คืออย่างแรก สำนักงานใหญ่ที่เข้ามาแทน ที่เคยตั้งอยู่ ณ.กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ในเวลานี้ผู้ที่ร่วมกันสมคบคิดได้ย้ายมาตั้งอยู่ที่มหานครนิวยอร์กแทน
และสอง แล้วใครล่ะที่บริจาคเงินเพื่อซื้อที่ดินและวัสดุในการสร้างตึกเพื่อรวบรวมชาติต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน?
คำตอบคือ จอห์น ดี ร็อกกี้เฟลเลอร์ (John D. Rockefeller)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/6/65/PURE%24%24.JPG/300px-PURE%24%24.JPG) (http://en.wikipedia.org/wiki/John_D._Rockefeller)
ผู้ที่ซึ่งถมเงิน 18.5 ล้านเหรียญ เป็นของขวัญให้แก่ สหประชาชาติ เพื่อซื้อที่ดิน 18 เอเคอร์
ริมฝั่งแม่น้ำตะวันออก (East River) ในมหานครนิวยอร์ก ที่ซึ่งเป็นที่ตั้งในปัจจุบันนี้
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/e/e2/Wpdms_terra_east_river.jpg/250px-Wpdms_terra_east_river.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/East_River)

ในหนังสือของ แกรี่ อัลเลน ได้กล่าวตามข้อความข้างล่างนี้ว่า
ใครเป็นผู้ที่ตั้งสมาคมเพื่อให้เป็น หอคอยแห่งบาเบิลในยุคนี้

"มีสมาชิกของ สภามนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (CFR) อย่างน้อย 47 คน เป็นคณะผู้แทนของอเมริกา
ในระหว่างการก่อตั้ง สหประชาชาติ ในมหานครนิวยอร์กปี ค.ศ. 1945 สมาชิกของกลุ่ม CFR ประกอบด้วย
Harold Stassen
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/7/79/Harold_Stassen.gif) (http://en.wikipedia.org/wiki/Harold_Stassen)
John J. McCloy
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/f/fc/John_j_mccloy.jpg/150px-John_j_mccloy.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/John_J._McCloy)
Owen Lattimore (http://en.wikipedia.org/wiki/Owen_Lattimore), Alger Hiss (http://en.wikipedia.org/wiki/Alger_Hiss),Philip Jessup (http://en.wikipedia.org/wiki/Philip_Jessup), Harry Dexter White (http://en.wikipedia.org/wiki/Harry_Dexter_White), Nelson Rockefeller (http://en.wikipedia.org/wiki/Nelson_Rockefeller)
John Foster Dulles
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/d/dc/JohnFosterDulles.jpeg/180px-JohnFosterDulles.jpeg) (http://en.wikipedia.org/wiki/John_Foster_Dulles)
John Carter Vincent
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/5/56/JohnCarterVincent.gif) (http://en.wikipedia.org/wiki/John_Carter_Vincent)
Dean Acheson
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/1/1c/Dean_acheson.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Dean_Acheson)
None Dare Call It Conspiracy Allan, Concord Press, 1971, p. 86"

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์ต่อ Council of Foreign Relations
องค์กรเอกชนของสหรัฐ ที่ Council of Foreign Rela tions นครนิวยอร์ก
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0101200949 (http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0101200949)

เหมือนกับที่เราเรียนรู้มาก่อนหน้านี้จากการเขียนเกี่ยวกับการทำนายซาตานยุคใหม่
อลิซ ไบลีย์ (Alice Bailey)
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/d/d9/Alice_Bailey.jpg) (http://en.wikipedia.org/wiki/Alice_Bailey)
ผู้เขียนแบบแผนเกี่ยวกับปีศาจ ที่จะนำเรื่อง ศาสนาและรัฐบาลเดียวของโลก จะกระทำผิดผ่านทางสื่อ
สหประชาชาติ จอมหลอกลวง จุดหมายสูงสุดในวันนี้ในการสมคบคิดกันตั้งรัฐบาลซาตานหนึ่งเดียวของโลก
คือ เพื่อทำการปลดอาวุธให้อยู่ห่างๆ จากพลเมืองของโลก ดังนั้นพวกเขาจะไม่มีปัญหาเรื่องการทำลายล้าง
ผู้ที่เป็นใครก็ตามที่จะง้างคันธนู ไปฆ่าพระเจ้าของพวกเขา สิ่งนี้กระทำได้โดยให้โลกอยู่ในสภาวะที่โดนหลอกได้ง่ายๆ
นำไปสู่การยอมรับแผนสันติภาพจอมปลอม อันซึ่งคือการตั้ง สหประชาชาติ โดยที่ สหประชาชาติ
จะรักษาวินัยทำตัวเป็นเหมือน ตำรวจโลก ภายใต้แผนนี้สหประชาชาติจะรักษาวินัยชาติใดๆ ก็ตาม
ที่จะเริ่มต้นทำสงคราม โดยข่มขู่ชาตินั้นๆ ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ อันซึ่งชาติเหล่านั้นจะต้องยกมือยอมแพ้พวกเขา

อย่างไรก็ตาม อย่างที่เราเคยบอกให้ทราบมาก่อน เหตุผลจริงๆ ที่อยู่เบื้องหลังการใช้อาวุธเหล่านี้
ก็เพื่อกวาดล้างคนนับพันล้านในโลก ซึ่งเป็นใครก็ตามที่จะไม่ยอมเข้าร่วมตามความต้องการของพวกเขา


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: Tee17 - รักพ่อหลวง ที่ พฤศจิกายน 20, 2006, 09:45:25 AM
 ;)


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: east ที่ พฤศจิกายน 20, 2006, 10:11:27 AM
  ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: Southlander ที่ มิถุนายน 23, 2008, 11:07:44 AM
ดีเลย...ยก


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ มิถุนายน 23, 2008, 12:42:52 PM
สงสัย ไข้หวัดนกก้มาจากโครงการทดลองอาวุธเชื้อโรคแน่ๆ เนื่องจากไก่เราอร่อย อิอิอิ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: MP7 ที่ มิถุนายน 23, 2008, 02:09:33 PM
ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ มิถุนายน 23, 2008, 06:01:14 PM
up


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: Udomkd ที่ มิถุนายน 23, 2008, 06:10:37 PM
สงสัย ไข้หวัดนกก้มาจากโครงการทดลองอาวุธเชื้อโรคแน่ๆ เนื่องจากไก่เราอร่อย อิอิอิ

ผมไม่มีข้อมูลอะไร อาศัยความจำ ขอพิมพ์เล่นๆ หากผิดพลาดข้อมูล ขออภัยด้วยครับ และขอให้ช่วยแก้ไขด้วยครับ ด้วยความเคารพ

คือไม่แน่ใจว่า ไข้หวัดนกนี่ รู้สึกว่า มันจะเริ่มต้นมาจากเมืองจีน หรือเปล่า ตามข่าว และช่วงเวลา ก็ประมาณ สงครามถล่มอิรัก ซึ่งอิรักนี่ เป็นขุมทองของจีนอยู่ด้วยเหมือนกัน อาจจะประมาณว่า จีนอยู่นิ่งๆ แก้ปัญหา ไข้หวัดนกไป อย่ามายุ่ง ประมาณนี้ หรือเปล่า คิดเล่นๆ อย่าเอาเป็นอ้างอิงไม่ได้ครับ อิๆ

แล้วข่าวคราวมันระบาดหนักๆอยู่แถวบ้านเราแหละ ทางยุโรป อเมริกา ไม่เท่าไหร่ หรือผมตกข่าว หรือว่าเชื้อพวกนี้สร้างมาพิเศษ เจริญได้ดี แถวเอเชีย

หรือ ผมเพ้อมากไป ขอประทานอภัยครับ อิๆ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: เบิ้ม ที่ มิถุนายน 24, 2008, 12:30:05 AM
สงสัย ไข้หวัดนกก้มาจากโครงการทดลองอาวุธเชื้อโรคแน่ๆ เนื่องจากไก่เราอร่อย อิอิอิ

ผมไม่มีข้อมูลอะไร อาศัยความจำ ขอพิมพ์เล่นๆ หากผิดพลาดข้อมูล ขออภัยด้วยครับ และขอให้ช่วยแก้ไขด้วยครับ ด้วยความเคารพ

คือไม่แน่ใจว่า ไข้หวัดนกนี่ รู้สึกว่า มันจะเริ่มต้นมาจากเมืองจีน หรือเปล่า ตามข่าว และช่วงเวลา ก็ประมาณ สงครามถล่มอิรัก ซึ่งอิรักนี่ เป็นขุมทองของจีนอยู่ด้วยเหมือนกัน อาจจะประมาณว่า จีนอยู่นิ่งๆ แก้ปัญหา ไข้หวัดนกไป อย่ามายุ่ง ประมาณนี้ หรือเปล่า คิดเล่นๆ อย่าเอาเป็นอ้างอิงไม่ได้ครับ อิๆ

แล้วข่าวคราวมันระบาดหนักๆอยู่แถวบ้านเราแหละ ทางยุโรป อเมริกา ไม่เท่าไหร่ หรือผมตกข่าว หรือว่าเชื้อพวกนี้สร้างมาพิเศษ เจริญได้ดี แถวเอเชีย

หรือ ผมเพ้อมากไป ขอประทานอภัยครับ อิๆ



เคยคิดเล่นๆเหมือนกันครับพี่เข้ม  ว่ามันแปลกๆ

อีกโรคที่เคยคิดเล่นๆ คือโรคเอดส์ เคยอ่านสมมุติฐานจากใคร จำไม่ได้  ว่ามีคนผิวขาวการทดลองเชื้อโรคในลิงพันธุ์หนึ่งในแอฟฟริกา ลิงมีเชื้อนี้ แต่ทนได้ นักวิทยาศาสตร์เอาเชื้อมาทดลองกับคน  แต่คนทนไม่ได้ ตายลูกเดียว

แล้วก็แปลก โรคเอดส์แพร่เลวร้ายที่สุดในทวีปแอฟฟริกา ติดเชื้อมากที่สุด แทบสูญเผ่าพันธุ์ในบางประเทศ

ไม่อยากมองโลกในแง่ร้าย  แต่ว่ามันคล้ายๆการล้างเผ่าพันธุ์ยังไงไม่รู้  :P


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ มิถุนายน 24, 2008, 06:56:39 PM
คั้งแต่มีมนุษย์อยู่บนโลก เราไม่เคยเว้นว่างจากสงครามเลย ทั้งๆที่วิทยาศาสตร์ทางด้านพันธุ์กรรมก็พิสูจน์แล้วว่าเรามีต้นกำเนิดจากที่เดียวกัน


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: Udomkd ที่ มิถุนายน 24, 2008, 07:10:48 PM
คั้งแต่มีมนุษย์อยู่บนโลก เราไม่เคยเว้นว่างจากสงครามเลย ทั้งๆที่วิทยาศาสตร์ทางด้านพันธุ์กรรมก็พิสูจน์แล้วว่าเรามีต้นกำเนิดจากที่เดียวกัน


อำนาจ โลภ กิเลส ตัวร้ายเลย


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ มิถุนายน 24, 2008, 07:25:15 PM
เดี๋ยวนี้ สงครามไม่ต้องประกาศแล้ว รบกันตลอด ทุกวิธีการ เคยสงสัยไหมครับว่าทำไม อเมริกาฝึกหน่วยซีลตลอด และอัตตราการผ่านหลักสูตรจึงเพิ่มขึ้นจากเดิม เนื่องจากเขาใช้นักจิตวิทยามาช่วยครับ แต่ถึงกระนั้นก้ไม่เคยพอต่อความต้องการของเขาสักทีแปลก


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: k14ladytheone ที่ มิถุนายน 26, 2008, 10:36:03 AM
เพิ่งเข้ามาอ่านกระทู้นี้ดีมากๆเลยค่ะ


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: sig_surath7171 ที่ มิถุนายน 26, 2008, 02:49:18 PM
จขกท เยี่ยมมาก อ่านสนุกทุกบรรทัด ;D


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: WPRAYUTH ที่ มิถุนายน 26, 2008, 04:43:42 PM
เหนื่อยครับ........ :D~ :D~ อ่านมาตั้งแต่เช้า ได้ความรู้มากๆเลย ต้องขอขอบคุณ ::014::ท่าน จขกท.มากครับ ::002::


หัวข้อ: Re: ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity_TheOne ที่ มิถุนายน 26, 2008, 04:46:49 PM
ขอบคุณ จขกท. ครับ