หัวข้อ: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: oil ที่ สิงหาคม 19, 2013, 07:12:54 AM วันศุกร์ที่ผ่านมา ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงต้อนรับทีมนักศึกษาพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ที่ไดรับรางวัลชนะเลิศหุ่นยนต์กู้ภัยโลกจากประเทศเนเธอแลนด์
มีท่านใดทราบไหมครับ ทีมของมจพ.เป็นแชมป์มาเจ็ดสมัยแล้ว เก่งมาก แต่วันไปรับที่สนามบินมีเพียงเพื่อนๆอาจารย์และอธิการไปรับที่สนามบิน วันเลี้ยงต้อนรับมีกรรมการสภามหาวิทยาลัยมาเป็นเกียรติ นายพินิจ จ. อดีตรองนายกฯขึ้นไปกล่าวแสดงความยินดีเกือบครึ่งชั่วโมง เนื้อหากว่า90%เป็นการพูดถึงแต่ผลงานตนเองสมัยเป็นเสนาบดี ลีลาการพูดเหมือนการหาเสียงตามชุมชนไม่มีผิด ด้านหลังของงานมีการออกร้านอาหารเกือบสามสิบร้าน เจ้าหน้าที่มหาลัยและแขกทั่วไปทานอาหารกันแบบไม่เกรงใจใคร เหมือนได้รับคำสั่งมาว่า ทานเยอะๆอย่าให้เหลือ เอากลับบ้านด้วย ซึ่งไม่แปลกตรงไหน ผมและแขกสองสามคนนั่งคุยกันอยู่บนที่นั่งด้านบนหลังหอประชุม มองลงมาแล้วพูดกันว่า ห้องนี้เหมือนประเทศไทยในเวลานี้กล่าวคือ ๑. คนทำงานก็ทำงานไปตามหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน ๒.คนเสียสละทำงานด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่นเพื่อชื่อเสียงส่วนรวมก็ทำงานโดยแทบไม่มีใครเหลียวแล ถ้าทำดีมีผลงานก็จะได้รับคำชมเชยชั่วครู่ หลังจากนั้นก็หันหลังให้เช่นเคย ถ้าทำพลาดก็โดนเขี่ยแน่ๆ ๓.คนที่สร้างภาพสร้างผลงานฉกฉวยโอกาศบนความสำเร็จหรือความล้มเหลวของคนอื่นก็ทำได้ไม่แคร์สื่อ ๔.คนกินก็กินอย่างตะกละตะกลาม มูมมามโดยไม่สนใจสายตาคนที่นั่งมองอยู่ กินทิ้งกินข้วางเหมือนไม่เคยได้กินของดีๆ ๕.คนที่ไม่คิดจะทำอะไร ได้แต่นั่งมองตาปริบๆแล้วถอนหายใจแบบพวกผมที่นั่งข้างบนก็ทำได้แค่นั้น ที่ว่ามานี้เหมือนบรรยากาศในประเทศของเราเวลานี้เลย เพียงแต่มันเกืดขึ้นในเวลาสั้นๆแล้วจบไป หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: yod - รักในหลวง ครับ ที่ สิงหาคม 19, 2013, 07:21:16 AM ก็เลือกเขามา
ในวาระ ๔ ปี เมื่อเป็นแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็ทำอะไรลำบาก ระบบของเรา เป็นแบบนกแก้วนกขุนทอง ไปตามลำดับขั้น ใครคิดนอกกรอบ เป็นโดนแขวะ ดี รอดตัว ไม่ดี ทับถม เราก็เลยเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่พัฒนา เพราะถูกปลูกฝัง มาโดยตลอด รอเพียงแต่ ใครจะเป็นหนูเอากระดิ่งไปผูกคอแมว หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: babygun ที่ สิงหาคม 19, 2013, 08:59:17 AM ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุธเจ้า ก็จะเป็นแบบบัจจุบันนี้แหละครับ(แค่ทางสายกลางก็พอครับ) ประเทศกำลังคืบคลานไปสู่แบบและธรรมเนียมของฝรั่ง อยู่อย่างตัวใครตัวมัน ไม่รู้จักญาติ ไม่รู้จักใคร แต่ฝรั่งกลับเริ่มเลียนแบบเราในสมัยก่อนๆ ::014:: ::014:: ::014:: ::004:: ::004::
หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: bigbang ที่ สิงหาคม 19, 2013, 09:16:20 AM ขอบคุณที่คุณoil เอาภาพมุมสูงที่เห็นมาเล่าและสะท้อนถึงสังคมปัจจุบัน
กลายเป็นเรื่องธรรมดาแล้วครับ คนทำงานไม่เก่งมักจะโตมาด้วยจากการสอพลอ ส่วนคนเก่งกับถูกเบียดบังจนท้อใจ ส่วนคนร่วมงานส่วนใหญ่หรือคนธรรมดาทั่วไป ก็ไม่ได้หวังที่จะมาหาความรู้ หรือ ค้นหาแรงบันดาลใจ จากคนที่ประสบความสำเร็จ กับมาหาประโยชน์จากการกินเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดไปวันๆ กินไม่ว่า ยังกินทิ้งกินกว้าง หมามันยังไม่ทำกันเลย หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ สิงหาคม 19, 2013, 09:54:05 AM วันศุกร์ที่ผ่านมา ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงต้อนรับทีมนักศึกษาพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ที่ไดรับรางวัลชนะเลิศหุ่นยนต์กู้ภัยโลกจากประเทศเนเธอแลนด์ มีท่านใดทราบไหมครับ ทีมของมจพ.เป็นแชมป์มาเจ็ดสมัยแล้ว เก่งมาก แต่วันไปรับที่สนามบินมีเพียงเพื่อนๆอาจารย์และอธิการไปรับที่สนามบิน วันเลี้ยงต้อนรับมีกรรมการสภามหาวิทยาลัยมาเป็นเกียรติ นายพินิจ จ. อดีตรองนายกฯขึ้นไปกล่าวแสดงความยินดีเกือบครึ่งชั่วโมง เนื้อหากว่า90%เป็นการพูดถึงแต่ผลงานตนเองสมัยเป็นเสนาบดี ลีลาการพูดเหมือนการหาเสียงตามชุมชนไม่มีผิด ด้านหลังของงานมีการออกร้านอาหารเกือบสามสิบร้าน เจ้าหน้าที่มหาลัยและแขกทั่วไปทานอาหารกันแบบไม่เกรงใจใคร เหมือนได้รับคำสั่งมาว่า ทานเยอะๆอย่าให้เหลือ เอากลับบ้านด้วย ซึ่งไม่แปลกตรงไหน ผมและแขกสองสามคนนั่งคุยกันอยู่บนที่นั่งด้านบนหลังหอประชุม มองลงมาแล้วพูดกันว่า ห้องนี้เหมือนประเทศไทยในเวลานี้กล่าวคือ ๑. คนทำงานก็ทำงานไปตามหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน ๒.คนเสียสละทำงานด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่นเพื่อชื่อเสียงส่วนรวมก็ทำงานโดยแทบไม่มีใครเหลียวแล ถ้าทำดีมีผลงานก็จะได้รับคำชมเชยชั่วครู่ หลังจากนั้นก็หันหลังให้เช่นเคย ถ้าทำพลาดก็โดนเขี่ยแน่ๆ ๓.คนที่สร้างภาพสร้างผลงานฉกฉวยโอกาศบนความสำเร็จหรือความล้มเหลวของคนอื่นก็ทำได้ไม่แคร์สื่อ ๔.คนกินก็กินอย่างตะกละตะกลาม มูมมามโดยไม่สนใจสายตาคนที่นั่งมองอยู่ กินทิ้งกินข้วางเหมือนไม่เคยได้กินของดีๆ ๕.คนที่ไม่คิดจะทำอะไร ได้แต่นั่งมองตาปริบๆแล้วถอนหายใจแบบพวกผมที่นั่งข้างบนก็ทำได้แค่นั้น ที่ว่ามานี้เหมือนบรรยากาศในประเทศของเราเวลานี้เลย เพียงแต่มันเกืดขึ้นในเวลาสั้นๆแล้วจบไป มันเป็นเช่นนั้นมานานแล้วครับ คีย์เวิร์ดคือคนโง่มันแยะเกิน วิธีแก้โง่คือต้องฝึกฝนการเรียนรู้ ใช้สมองคิดตามสิ่งที่ได้เรียนรู้ หากไม่เข้าใจให้ถาม แล้วจดจำความรู้ไว้ใช้ประโยชน์(สุ - จิ -ปุ - ลิ)... ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือต้องเริ่มต้นเรียนรู้ด้วยการอ่านแยะๆ ซึ่งเรื่องนี้คีย์เวิร์ดคือ"การใช้ภาษาไทย"... นายสมชายเริ่มชักจูง หลอกล่อ ยั่วเย้า ยุแหย่ โยงใย ยุ่มย่าม มาแล้วเยอะแยะ ทั้งในเว็บนี้และทุกแห่งที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ ซึ่งยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในเวลาอันสั้นๆ, ถึงแม้บางแห่งและบางครั้งในเว็บนี้จะโดนมองว่าตั้งใจจับผิดผู้อื่นที่ใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้องก็ตาม... คนโง่จะพูดไม่รู้เรื่อง อธิบายไม่ได้ ฟังไม่รู้ความ ฯลฯ, ทั้งหมดแก้ได้ด้วยการอ่านแยะๆครับ... เพราะคนโง่มันแยะ ในประเทศไทยเลยมีแต่คนมือยาวสาวได้สาวเอา เพราะคิดไปว่าเรือลำใหญ่ไม่จมง่ายๆหรอก กะอีแค่ฉันเจาะรูรั่วแค่รูเดียวเท่านั้นเอง... กว่าจะรู้ตัวว่ามีรูรั่วแล้ว 50 ล้านรูฯ, เรือจะจมลงอย่างรวดเร็วแบบหนีไม่ทัน... หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: zamphol ที่ สิงหาคม 19, 2013, 11:45:52 AM คนล่าสุดก็นักแบตฯพอเป็นข่าวดัง ก็เอามาเข้าฉากถ่ายรูปมอบเงิน คนเฮี้ยๆ ก็พลอยกลายเป็นคนดีมีความสามารถไปด้วย
จึงไม่แปลกที่สังคมไทยจะมีนักประชาสัมพันธ์อย่าง สอระย้วย พูดกรอกหูชาวบ้านทุกวัน เน้นข่าว ควายห้าขา กล้วยร้อยหวี ใบ้หวย พอใครดังก็รีบเกาะกระแส ฉวยโอกาสทุกสถานการณ์ หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: Earthworm ที่ สิงหาคม 19, 2013, 02:29:32 PM วันศุกร์ที่ผ่านมา ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงต้อนรับทีมนักศึกษาพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ที่ไดรับรางวัลชนะเลิศหุ่นยนต์กู้ภัยโลกจากประเทศเนเธอแลนด์ มีท่านใดทราบไหมครับ ทีมของมจพ.เป็นแชมป์มาเจ็ดสมัยแล้ว เก่งมาก แต่วันไปรับที่สนามบินมีเพียงเพื่อนๆอาจารย์และอธิการไปรับที่สนามบิน วันเลี้ยงต้อนรับมีกรรมการสภามหาวิทยาลัยมาเป็นเกียรติ นายพินิจ จ. อดีตรองนายกฯขึ้นไปกล่าวแสดงความยินดีเกือบครึ่งชั่วโมง เนื้อหากว่า90%เป็นการพูดถึงแต่ผลงานตนเองสมัยเป็นเสนาบดี ลีลาการพูดเหมือนการหาเสียงตามชุมชนไม่มีผิด ด้านหลังของงานมีการออกร้านอาหารเกือบสามสิบร้าน เจ้าหน้าที่มหาลัยและแขกทั่วไปทานอาหารกันแบบไม่เกรงใจใคร เหมือนได้รับคำสั่งมาว่า ทานเยอะๆอย่าให้เหลือ เอากลับบ้านด้วย ซึ่งไม่แปลกตรงไหน ผมและแขกสองสามคนนั่งคุยกันอยู่บนที่นั่งด้านบนหลังหอประชุม มองลงมาแล้วพูดกันว่า ห้องนี้เหมือนประเทศไทยในเวลานี้กล่าวคือ ๑. คนทำงานก็ทำงานไปตามหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน ๒.คนเสียสละทำงานด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่นเพื่อชื่อเสียงส่วนรวมก็ทำงานโดยแทบไม่มีใครเหลียวแล ถ้าทำดีมีผลงานก็จะได้รับคำชมเชยชั่วครู่ หลังจากนั้นก็หันหลังให้เช่นเคย ถ้าทำพลาดก็โดนเขี่ยแน่ๆ ๓.คนที่สร้างภาพสร้างผลงานฉกฉวยโอกาศบนความสำเร็จหรือความล้มเหลวของคนอื่นก็ทำได้ไม่แคร์สื่อ ๔.คนกินก็กินอย่างตะกละตะกลาม มูมมามโดยไม่สนใจสายตาคนที่นั่งมองอยู่ กินทิ้งกินข้วางเหมือนไม่เคยได้กินของดีๆ ๕.คนที่ไม่คิดจะทำอะไร ได้แต่นั่งมองตาปริบๆแล้วถอนหายใจแบบพวกผมที่นั่งข้างบนก็ทำได้แค่นั้น ที่ว่ามานี้เหมือนบรรยากาศในประเทศของเราเวลานี้เลย เพียงแต่มันเกืดขึ้นในเวลาสั้นๆแล้วจบไป มันเป็นเช่นนั้นมานานแล้วครับ คีย์เวิร์ดคือคนโง่มันแยะเกิน วิธีแก้โง่คือต้องฝึกฝนการเรียนรู้ ใช้สมองคิดตามสิ่งที่ได้เรียนรู้ หากไม่เข้าใจให้ถาม แล้วจดจำความรู้ไว้ใช้ประโยชน์(สุ - จิ -ปุ - ลิ)... ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือต้องเริ่มต้นเรียนรู้ด้วยการอ่านแยะๆ ซึ่งเรื่องนี้คีย์เวิร์ดคือ"การใช้ภาษาไทย"... นายสมชายเริ่มชักจูง หลอกล่อ ยั่วเย้า ยุแหย่ โยงใย ยุ่มย่าม มาแล้วเยอะแยะ ทั้งในเว็บนี้และทุกแห่งที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ ซึ่งยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในเวลาอันสั้นๆ, ถึงแม้บางแห่งและบางครั้งในเว็บนี้จะโดนมองว่าตั้งใจจับผิดผู้อื่นที่ใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้องก็ตาม... คนโง่จะพูดไม่รู้เรื่อง อธิบายไม่ได้ ฟังไม่รู้ความ ฯลฯ, ทั้งหมดแก้ได้ด้วยการอ่านแยะๆครับ... เพราะคนโง่มันแยะ ในประเทศไทยเลยมีแต่คนมือยาวสาวได้สาวเอา เพราะคิดไปว่าเรือลำใหญ่ไม่จมง่ายๆหรอก กะอีแค่ฉันเจาะรูรั่วแค่รูเดียวเท่านั้นเอง... กว่าจะรู้ตัวว่ามีรูรั่วแล้ว 50 ล้านรูฯ, เรือจะจมลงอย่างรวดเร็วแบบหนีไม่ทัน... ปีที่ผ่านมา ลูกชายคนโต(ม.1)ผมสอบได้ที่ 1 ในชั้น(คะแนนเฉลี่ย) ทั้งที่เทอม1 และเทอม 2 ไม่เคยได้ที่ 1 เลย วันหนึ่งมีเพื่อนของลูกผมแนะนำลูกผมกับพ่อเขาว่า ไอ้คนนี้น่ะสอบได้ที่1 พ่อเขาเลยถามว่าทำอย่างไรถึงได้ที่ 1 ลูกชายผมเลยบอกไปว่า " พ่อผมไม่ให้เล่นเฟซบุ๊คครับ " วันรุ่งขึ้นมาโรงเรียนลูกผมก็โดนเพื่อนรุมด่ากันใหญ่เลย เพราะพ่อเพื่อนคนที่ว่าเที่ยวไปบอกกับใครต่อใครเกือบทั้งห้องว่า เด็กคนที่ได้ที่ 1 เพราะพ่อไม่ให้เล่นเฟซบุ๊ค หลังจากที่โดนรุมด่าจากเพื่อนทั้งห้องแล้ว ไอ้ลูกชายผมมันก็เลยบอกว่าจะไปแก้ข่าวให้กับบรรดาพ่อๆแม่ๆ ของเพื่อนๆทั้งหลายในห้อง ว่าจริงๆแล้วพ่อไม่ได้ห้ามเล่นเน็ต เล่นเกมส์ อะไรหรอก ที่พูดไปบอกผิด คือถ้าอยากเล่นเกมส์หรือเล่นคอมฯ พ่อจะให้อ่านหนังสือแลกชั่วโมงเอา คือ ถ้าอ่านหนังสือสองชั่วโมงก็ได้ชั่วโมงเล่นหนึ่งชั่วโมง เดี๋ยวจะไปบอกพ่อแม่ของพวกมรึงให้ เท่านั้นแหละครับ ลูกผมก็โดนขู่ว่าถ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกพวกพ่อแม่เขา งานนี้จากโดนรุมด่าจะโดนเปลี่ยนเป็นโดนรุมตื๊บแทน ที่เล่าให้ฟังนี้ อยากจะบอกครับว่า จริงๆแล้วที่ลูกผมอ่าน ไม่เกี่ยวกับหนังสือเรียนเลยครับ อ่านการ์ตูน(พวกแฝงความรู้) อ่านสารคดี ฯลฯ แต่ที่บังคับให้อ่าน ก็อยากให้เขาติดนิสัยรักการอ่านมากๆครับ เผื่อบางทีอาจได้ค้นพบตัวเองว่าอนาคตเขาอยากจะเป็นอะไร เพราะทุกวันนี้ ถามว่าอยากเป็นอยากเรียนอะไร ยังเยอะแยะจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยครับ เห็นด้วยล้าน% กับน้าสมชายเรื่องการอ่านทำให้คนฉลาดขึ้นครับ แต่จะเป็นคนฉลาดที่เป็นคนดี เอาความฉลาดมาใช้ในทางที่ถูกที่ควรด้วยหรือไม่นั้น อันนี้ไม่รู้ครับ ::014:: หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ สิงหาคม 19, 2013, 03:40:34 PM เห็นด้วยล้าน% กับน้าสมชายเรื่องการอ่านทำให้คนฉลาดขึ้นครับ แต่จะเป็นคนฉลาดที่เป็นคนดี เอาความฉลาดมาใช้ในทางที่ถูกที่ควรด้วยหรือไม่นั้น อันนี้ไม่รู้ครับ ::014:: อ่านแล้วฉลาดคิด ฉลาดสรุปเรื่องราวได้ นั่นคือจุดเริ่มต้นให้เราสามารถ"สอน"ลูกได้ครับ... ส่วนไอ้เด็กที่อ่านหนังสือน้อยนั่นสอนมันไม่ได้หรอก เพราะมันไม่รู้เรื่องราว จะสรุปอะไรให้เราฟังก็ทำไม่ได้ ครั้นเราจะเล่าอะไรให้มันฟังมันก็โยงเรื่องราวสาวประเด็นไม่เป็น แล้วมันก็โมโหหรือไม่ก็น้อยใจ(ไปกันใหญ่)... เด็กโมโห หรือเด็กน้อยใจ จนพ่อแม่สอนไม่ได้นั่นเกิดจาก Content ในหัวมีน้อยครับ... วิธีเพิ่ม Content ก็ต้องอ่าน อ่าน และอ่านครับ... หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ สิงหาคม 19, 2013, 03:43:27 PM เฟสบุค และบรรดาแชตทั้งหลายนั้นขัดขวางกระบวนการเรียนรู้ของเด็กฯ... เพราะมีแต่ประโยคสั้นๆ เรื่องตื้นๆ ไม่สามารถโยงตรรกะต่อกันยาวเป็นสายโซ่ เรื่องราวที่คุยกันเลยมีแต่เรื่องตื้นๆ แล้วก็เน้นอารมณ์เพื่อเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ว่าผ่านทางภาษาวิบัติ หรือเน้นเรื่องเหนือชีวิตจริง(เพ้อเจ้อ)...
หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: carrera ที่ สิงหาคม 19, 2013, 03:44:42 PM ปีที่ผ่านมา ลูกชายคนโต(ม.1)ผมสอบได้ที่ 1 ในชั้น(คะแนนเฉลี่ย) ทั้งที่เทอม1 และเทอม 2 ไม่เคยได้ที่ 1 เลย ยินดีด้วย เป็นความน่าชื่นชมอย่างหนึ่งสำหรับใครมีลูกเรียนเก่ง ;D ;D ;D พ่อแม่ก็ดีใจ เรื่องสังคมเราอย่างท่าน oil ว่าเลยครับ ทำดีแต่รอบข้างนี่เอาผลประโยชน์ด้วย และไม่คิดทำอะไรแบบยั่งยืน หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ สิงหาคม 19, 2013, 03:47:13 PM เห็นด้วยล้าน% กับน้าสมชายเรื่องการอ่านทำให้คนฉลาดขึ้นครับ แต่จะเป็นคนฉลาดที่เป็นคนดี เอาความฉลาดมาใช้ในทางที่ถูกที่ควรด้วยหรือไม่นั้น อันนี้ไม่รู้ครับ ::014:: อ่านแล้วฉลาดคิด ฉลาดสรุปเรื่องราวได้ นั่นคือจุดเริ่มต้นให้เราสามารถ"สอน"ลูกได้ครับ... ส่วนไอ้เด็กที่อ่านหนังสือน้อยนั่นสอนมันไม่ได้หรอก เพราะมันไม่รู้เรื่องราว จะสรุปอะไรให้เราฟังก็ทำไม่ได้ ครั้นเราจะเล่าอะไรให้มันฟังมันก็โยงเรื่องราวสาวประเด็นไม่เป็น แล้วมันก็โมโหหรือไม่ก็น้อยใจ(ไปกันใหญ่)... เด็กโมโห หรือเด็กน้อยใจ จนพ่อแม่สอนไม่ได้นั่นเกิดจาก Content ในหัวมีน้อยครับ... วิธีเพิ่ม Content ก็ต้องอ่าน อ่าน และอ่านครับ... มีวิธีเพิ่ม Content อีกอย่างหนึ่งคือให้ดูหนังครับ... หากไม่รู้ว่าจะเอาหนังอะไรให้ดู ก็เลือกจากเรตติ้งใน IMDB ให้เรตติ้งสูงๆครับ... หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: อิติปิโสธงชัย รักในหลวง ที่ สิงหาคม 19, 2013, 05:27:30 PM ::014::ขอบคุณครับ กับมุมมองที่ชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่เราเเทบจะมองไม่เห็นในสังคม ::014::
หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: supreme ที่ สิงหาคม 19, 2013, 06:53:30 PM วันศุกร์ที่ผ่านมา ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงต้อนรับทีมนักศึกษาพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ที่ไดรับรางวัลชนะเลิศหุ่นยนต์กู้ภัยโลกจากประเทศเนเธอแลนด์ มีท่านใดทราบไหมครับ ทีมของมจพ.เป็นแชมป์มาเจ็ดสมัยแล้ว เก่งมาก แต่วันไปรับที่สนามบินมีเพียงเพื่อนๆอาจารย์และอธิการไปรับที่สนามบิน วันเลี้ยงต้อนรับมีกรรมการสภามหาวิทยาลัยมาเป็นเกียรติ นายพินิจ จ. อดีตรองนายกฯขึ้นไปกล่าวแสดงความยินดีเกือบครึ่งชั่วโมง เนื้อหากว่า90%เป็นการพูดถึงแต่ผลงานตนเองสมัยเป็นเสนาบดี ลีลาการพูดเหมือนการหาเสียงตามชุมชนไม่มีผิด ด้านหลังของงานมีการออกร้านอาหารเกือบสามสิบร้าน เจ้าหน้าที่มหาลัยและแขกทั่วไปทานอาหารกันแบบไม่เกรงใจใคร เหมือนได้รับคำสั่งมาว่า ทานเยอะๆอย่าให้เหลือ เอากลับบ้านด้วย ซึ่งไม่แปลกตรงไหน ผมและแขกสองสามคนนั่งคุยกันอยู่บนที่นั่งด้านบนหลังหอประชุม มองลงมาแล้วพูดกันว่า ห้องนี้เหมือนประเทศไทยในเวลานี้กล่าวคือ ๑. คนทำงานก็ทำงานไปตามหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน ๒.คนเสียสละทำงานด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่นเพื่อชื่อเสียงส่วนรวมก็ทำงานโดยแทบไม่มีใครเหลียวแล ถ้าทำดีมีผลงานก็จะได้รับคำชมเชยชั่วครู่ หลังจากนั้นก็หันหลังให้เช่นเคย ถ้าทำพลาดก็โดนเขี่ยแน่ๆ ๓.คนที่สร้างภาพสร้างผลงานฉกฉวยโอกาศบนความสำเร็จหรือความล้มเหลวของคนอื่นก็ทำได้ไม่แคร์สื่อ ๔.คนกินก็กินอย่างตะกละตะกลาม มูมมามโดยไม่สนใจสายตาคนที่นั่งมองอยู่ กินทิ้งกินข้วางเหมือนไม่เคยได้กินของดีๆ ๕.คนที่ไม่คิดจะทำอะไร ได้แต่นั่งมองตาปริบๆแล้วถอนหายใจแบบพวกผมที่นั่งข้างบนก็ทำได้แค่นั้น ที่ว่ามานี้เหมือนบรรยากาศในประเทศของเราเวลานี้เลย เพียงแต่มันเกืดขึ้นในเวลาสั้นๆแล้วจบไป ไม่รู้ว่าผมเห็นภาพแบบนี้มายาวนานเกินไปรึเปล่า คือผมว่า มันปกติน่ะครับ จริงๆมันก็ไม่ดีนั่นแหละ แต่เมื่อมีปัจจัยเดิมๆ มันก็ได้ผลซ้ำๆเดิมๆ อยู่ร่ำไปน่ะครับ ผมว่า คนที่ไม่มีหน้าที่อะไร เขาก็จะคิดว่าตัวเองเป็นแขก เมื่อพวกเขาเจอบุฟเฟ่ต์เข้า ผมว่าคนไทยร้อยทั้งร้อย จะมีพฤติกรรมตักมาสะสมก่อน หรือรีบๆกินเพื่อไปเมนูอื่น แต่ผมก็เชื่อว่า ครั้งแรกที่พวกเขาเจอบุฟเฟ่ต์เขาไม่ได้มีนิสัยแบบนี้แน่นอน แต่สมรภูมิที่ผ่านมามันทำให้เขาต้องโหด จนบางทีลืมคิดไปว่า เจ้าภาพเขาไม่ได้จะเลี้ยงให้อิ่มนะโว้ย ผมว่า คนไทยที่ตั้งใจทำงาน มักจะมีนิสัยอันนึงที่ติดตัวมาด้วยก็คือ ไม่ชอบเสนอผลงานของตัวเอง ผมก็ไม่รู้ว่าเหมาะไหมกับคนยุคนี้ หรือว่าสมัยก่อนมันอาจจะดูดี และฟ้ายังมีตาอยู่ก็ได้ แต่ปัจจุบันคนที่อยู่ฝ่ายบริหาร เขามักจะตัดสินใจจากอารมณ์ และสิ่งที่เขาเห็นแล้วสามารถเอาไปต่อยอดความก้าวหน้าของตัวเองได้ แล้วมันก็จะมีพวกนึงที่มันจะอ่านใจผู้บริหารได้ มันก็จะจัดเต็มให้ไม่ว่าจะงานหรือนอกงาน ผู้บริหารก็ไม่ต้องไม่ลำบากใจที่จะพูดความในใจออกมา นอกจากนี้ คนเก่งหลายคนที่ผมรู้จัก เขามักจะเป็นคนแนวหยิ่งๆ พูดจาเหมือนไม่ค่อยง้อคน แถมขี้โมโหเพิ่มขึ้นมาด้วย ยิ่งพวกที่แกคุยด้วยแล้วรู้สึกว่า มันโง่ในเรื่องง่ายๆ โง่แต่เสือกได้ดีกว่า บางคนก็จะทำตัวห่างเหิน เย็นชา บางคนก็ออกแนวด่าเหน็บตลอด มันก็เลยทำให้คนเก่งพวกนี้ถูกดอง เพราะ การงานปกติก็ไม่ได้ต้องการคนเก่งสุดๆขนาดนั้น เอาคนโง่ไม่มาก แต่อ่อนน้อม มาทำงานด้วยสบายใจกว่าเยอะ แต่ถ้ามีงานที่ต้องการความสามารถของคนเก่งๆเหล่านี้ ผู้บริหารก็จะมอบหมายไปแบบเฉพาะกิจ แต่เรื่องความดีความชอบจะโดนหักคะแนนออกครึ่งนึง ฮิฮิ เรียกว่า ผลงานไม่ดีมากจริงๆ อย่าหวัง ทีนี้พอเวลาผ่านไป ไอ้พวกที่มันจูนผู้บริหารรุ่นแรกติด มันก็จะถูกเลือกเข้ามาทำงานใกล้ชิด ทำงานสบาย ความก้าวหน้าสูงพิเศษ อนาคตได้สืบทอดตำแหน่งด้วย แล้วจุดเริ่มต้นของอนุกรมที่แข็งแกร่งก็เกิดขึ้น และขยายออกทางแนวนอนและแนวลึกไปอีกยาวนาน จนบางทีการระเบิดมันทิ้งแล้วเริ่มต้นสร้างใหม่จากศูนย์คือ วิธีที่ได้ผลที่สุด ;D หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: oil ที่ สิงหาคม 19, 2013, 07:35:37 PM ผมก็เห็นหลายท่านไปในฐานะแขกที่ได้รับเชิญครับ แต่แขกประเภทนี้สำนึกสาธารณะต่ำหรือด้อยจนมองไม่เห็นถึงวัตถุประสงค์การมาเป็นแขก หรือบางทีทำจนชินติดเป็นสันดารถาวร เห็นเป็นเรื่องปกติ เช่นการขับขี่รถยนต์ของคนในเมืองใหญ่ที่เห็นการฝ่าฝืนกฏจราจรเป็นเรื่องทำมะดา ใครก็ทำกัน
ส่วนพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่ต้องพูดถึง เป็นเจ้าบ้านไม่ดูแลแขก ดูแลปากท้องตัวเอง ที่สำคัญไม่ให้เกียรติเด็กที่ทุ่มเทสร้างชื่อเสียงให้ที่ทำงานตนเอง ผมว่ายิ่งกว่าพวกขอส่วนบุญ ในขณะเดียวกันก็อย่าลืมชื่นชมคนทำงานที่ดูแลแขกและอาหารการกิน รวมทั้งแม่บ้านภารโรงที่ต้องรอเก็ยขยะเศษอาหารเหลือทิ้งมากมาย หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: Southlander ที่ สิงหาคม 19, 2013, 08:50:45 PM อ้าว เด็กแข่งโรบ็อตทีมไหนล่ะเนี่ย สงสัยมีกันหลายทีม หลายคณะ เห็นเด็กที่เรียนแผนก Robotics Engineering and Automation System หลักสูตรภาคภาษาอังกฤษ
จะไปแข่งหุ่นยนต์ที่โคราช บอกว่าไม่มีสปอนเซอร์ ออกตังค์ ออกทุน ทำกันเอง ไปแข่งแบบไม่หวังผล แต่ขอแค่มีส่วนร่วมเท่านั้นเพราะเพิ่งเป็นสาขาใหม่แค่สองปีเอง มาขอทุนพ่อทุนแม่อยู่ แม่เค้าเพิ่งโอนไปให้ห้าพันห้าร้อยบาทวันนี้เอง อนาถากันน่าดูเลย ไม่มีคนเชียร์ ไม่มีแนวร่วม มาบอกผมว่า พ่อช่วยไปเชียร์เป็นหน้าม้าให้หนูหน่อย ::005:: http://www.pe.kmutnb.ac.th/index.php/2010-09-15-10-22-42/2545 หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: kensiro ที่ สิงหาคม 19, 2013, 09:15:49 PM พูดถึงเรื่องการอ่านมีคนถามผมว่า เห็นผมทุกวันเลยไปนั่งทำอะไรกับลุงแก ผมเลยบอกว่า ไปขอวิชาเขา
ไมมีในชั้นเรียน ไม่มีในหนังสือ แต่อยู่ที่ตัวลุงเขา หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: Earthworm ที่ สิงหาคม 19, 2013, 11:14:22 PM ปีที่ผ่านมา ลูกชายคนโต(ม.1)ผมสอบได้ที่ 1 ในชั้น(คะแนนเฉลี่ย) ทั้งที่เทอม1 และเทอม 2 ไม่เคยได้ที่ 1 เลย ยินดีด้วย เป็นความน่าชื่นชมอย่างหนึ่งสำหรับใครมีลูกเรียนเก่ง ;D ;D ;D พ่อแม่ก็ดีใจ เรื่องสังคมเราอย่างท่าน oil ว่าเลยครับ ทำดีแต่รอบข้างนี่เอาผลประโยชน์ด้วย และไม่คิดทำอะไรแบบยั่งยืน ใช่ครับ เวลาเจอพรรคพวกเพื่อนฝูงกัน คุยเรื่องลูกเก่งอย่างนู้นเก่งอย่างนี้ มันก็ไม่ท่ากับผลการเรียนครับ ถ้าโรงเรียนที่มีมาตรฐานสูงๆนี่แล้วคะแนนสูงๆ แถมไม่ค่อยต้องเรียนพิเศษแบบบ้าระห่ำ พวกขี้โม้จ๋อยกันหมดเลยครับ ในก๊วนผมลูกสาวเพื่อนเพิ่งสอบติดเตรียมใหญ่ปีที่ผ่านมา ผมเลี้ยงโต๊ะจีนฉลองให้หลานเลยครับ ที่เลี้ยงนี่ไม่ได้เพราะว่าเก่งหรือว่าได้เข้าโรงเรียนดีๆนะครับ แต่เลี้ยงให้เพราะแบ่งเบาภาระให้พ่อแม่เขาเยอะครับ จากค่าเทอมโรงเรียนเก่าหลายหมื่น เหลือพันกว่าบาทเอง ยังบอกกับลูกชายเลยว่า ถ้าเข้าได้แบบพี่เขา ส่วนต่างของค่าเทอมจะยกให้เลย มันก็เป็นสิ่งเร้าให้ลูกได้เหมือนกันครับ เปรียบว่าพี่เขาน่ะระดับ สส. แล้วแต่แกยังแค่ระดับ อบต.เอง ::014:: หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ สิงหาคม 21, 2013, 11:37:54 AM ทำไงดี..เด็กนักประดิษฐ์กลุ่มนี้ถึงจะได้ทำงานกับ NASA
หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ สิงหาคม 21, 2013, 12:16:43 PM ทำไงดี..เด็กนักประดิษฐ์กลุ่มนี้ถึงจะได้ทำงานกับ NASA ต้องไปอยู่อเมริกาครับ NASA มีงานวิจัยหลายสาขามากมายหลานคนหนึ่งทำอยู่กลุ่มรีไซเคิลขยะให้กลับมีมูลค่าสูง ไม่เกี่ยวกับอวกาศเลย พอพูดเรื่องลูกหลานสอบได้ที่ 1 2 3 ... เออทำไมไปให้เด็กแข่งกัน มีตัวอย่างดีๆที่โรงเรียนในวัง น้องๆ หลานๆของผมจบที่นั่น ท่านไม่ให้มีการจัดอันดับผลสอบ ให้นักเรียนแข่งกับตัวเองโดยเปรียบเทียบผลการสอบทุกครั้งเท่านั้น ตอนเย็นไม่มีเรียนพิเศษมีแต่กิจกรรมตามใจรักเช่นดนตรี กลับบ้านก็ทำการบ้านเช้ามาเรียนจบ ม.3 ใครถนัดงานฝีมือก็ไปสายอาชีวะที่เหลือก็ไปสายสามัญในโรงเรียนเดียวกัน ชอบทางไหนไปทางนั้นไม่จำเป็นว่า เอ้อหัวดีไปสายวิทย์ รุ่นหลานที่จบเมื่อ 6 ปีที่แล้วที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เลือกก็ได้ทุกคนที่เลือกไปเอกชนหรือเลือกรามก็ตรงไปเลย หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: oil ที่ สิงหาคม 21, 2013, 12:25:00 PM ขอแว้งเรื่องลูกหลานการเรียนนะครับ
ชัดๆไปเลยว่าวิศวจบใหม่สองหมื่น ทำงานไปห้าปีถ้าไม่ผันตัวออกมาเป็นเซลหรือการตลาด ชีวิตจะติดหนึบกับบรรยากาศห้องดีไซด์และมีสิทธิ์ตกงานได้ทุกเมื่อ เพราะเงินเดือนแมร่งแพงกว่าเด็กใหม่ หมอ พยาบาลถ้าไม่กินอุดมการณ์เป็นเทวดาเดินดินตามถิ่นธุรกันดาร ก็ต้องหากินแบบนักขายหรือตลกคาเฟ่ คือวิ่งรอกหลายๆงาน พวกล่ามญี่ปุ่น จีน อังกฤษ ตามนาย นั่งลีมูซีนตลอด กินดีๆกับนาย เงินเดือนสตราทที่สี่หมื่น ทำไปซักพักเจ็ดหมื่นห้า ผมเป็นคนอนุมัติเงินเดือนเอง เห็นมาเยอะ หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ สิงหาคม 21, 2013, 09:38:15 PM ขอแว้งเรื่องลูกหลานการเรียนนะครับ ชัดๆไปเลยว่าวิศวจบใหม่สองหมื่น ทำงานไปห้าปีถ้าไม่ผันตัวออกมาเป็นเซลหรือการตลาด ชีวิตจะติดหนึบกับบรรยากาศห้องดีไซด์และมีสิทธิ์ตกงานได้ทุกเมื่อ เพราะเงินเดือนแมร่งแพงกว่าเด็กใหม่ หมอ พยาบาลถ้าไม่กินอุดมการณ์เป็นเทวดาเดินดินตามถิ่นธุรกันดาร ก็ต้องหากินแบบนักขายหรือตลกคาเฟ่ คือวิ่งรอกหลายๆงาน พวกล่ามญี่ปุ่น จีน อังกฤษ ตามนาย นั่งลีมูซีนตลอด กินดีๆกับนาย เงินเดือนสตราทที่สี่หมื่น ทำไปซักพักเจ็ดหมื่นห้า ผมเป็นคนอนุมัติเงินเดือนเอง เห็นมาเยอะ อาจารย์ที่สัมภาษณ์ผมเข้าเรียนตอนมหาวิทยาลัยบอกว่า ... เงินเดือนจะมากหรือน้อย อยู่ที่คนจ่าย ไม่ได้อยู่ที่จะเลือกเรียนภาควิชาอะไร ... ผมเลยเลือกเรียนที่ชอบครับ ... ทำงานมาหลายปี เพิ่งซื้อรถเป็นของตัวเองไม่นานนี้เองครับ ::004:: เพื่อนรุ่นเดียวกันคนหนึ่ง สมัยเรียนหลุดจากทุนของหลวง เพราะเอาแต่เล่น เกรดไม่ถึงเกณฑ์ ได้เลือกเรียนในภาควิชาที่ตอนนั้นไม่ค่อยเป็นที่สนใจของนักศึกษาที่เกรดเกิน 2.5 (ปัจจุบันตรงกันข้ามครับ) .... จบแล้ว ได้ทำงานกับบริษัทข้ามชาติ ... เฉพาะที่ไทย ซื้อบ้านมา 2 หลังแล้ว (ที่ต่างประเทศไม่เคยถาม) ::003:: หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: Earthworm ที่ สิงหาคม 22, 2013, 06:42:54 AM ขอแว้งเรื่องลูกหลานการเรียนนะครับ ชัดๆไปเลยว่าวิศวจบใหม่สองหมื่น ทำงานไปห้าปีถ้าไม่ผันตัวออกมาเป็นเซลหรือการตลาด ชีวิตจะติดหนึบกับบรรยากาศห้องดีไซด์และมีสิทธิ์ตกงานได้ทุกเมื่อ เพราะเงินเดือนแมร่งแพงกว่าเด็กใหม่ หมอ พยาบาลถ้าไม่กินอุดมการณ์เป็นเทวดาเดินดินตามถิ่นธุรกันดาร ก็ต้องหากินแบบนักขายหรือตลกคาเฟ่ คือวิ่งรอกหลายๆงาน พวกล่ามญี่ปุ่น จีน อังกฤษ ตามนาย นั่งลีมูซีนตลอด กินดีๆกับนาย เงินเดือนสตราทที่สี่หมื่น ทำไปซักพักเจ็ดหมื่นห้า ผมเป็นคนอนุมัติเงินเดือนเอง เห็นมาเยอะ ล่ามนี่สุดยอดทุกเรื่องจริงๆครับ เงินเดือน ค่าทิป ได้กินได้เที่ยว ได้ค่าปิดปาก ฯลฯ เพื่อนผมคนนึง สิบกว่าปีที่แล้วโดนจับส่งกลับจากญี่ปุ่น เงินทองที่ส่งกลับมาเมียก็เอาไปปรนเปรอกิ๊กจนหมด แถมหนีไปโดยทิ้งลูกไว้ให้อีก เอาแต่กินเหล้าฟูมฟายกับชีวิตอยู่หลายเดือน พอผมบอกให้ไปหางานเป็นล่ามดู ไม่เจอพักเดียวกลับมาหรูหราฟู่ฟ่าเป็นคนละคน ขอบอกขอบใจผมใหญ่ บอกว่าผมเป็นคนฉุดมันขึ้นมาจากนรกจริงๆ ส่วนเรื่องเรียนนี่ผมก็ไม่ได้บังคับลูกๆหรอกครับ แต่ที่โรงเรียนเขามีแจกโล่แจกประกาศพวกนั้นเอง ตัวเด็กเองก็ไม่ได้เครียดหรือเอาเป็นเอาตายหรอกครับ เตะบอลดูหนังเหมือนเด็กปกติทั่วไป เค้าเห็นอาของเขาที่ได้เกียรตินิยมมาแล้ว โอกาสในการเลือกงานมันเยอะกว่าก็เลยเอามาเป็นแบบอย่าง ทำตัวชิลด์ๆ แต่ตั้งใจในชั้น เกรดมันก็ออกมาดีเองครับ ::014:: หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเช้านี้ ของผมเอง เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ สิงหาคม 22, 2013, 09:10:56 AM ขอแว้งเรื่องลูกหลานการเรียนนะครับ ชัดๆไปเลยว่าวิศวจบใหม่สองหมื่น ทำงานไปห้าปีถ้าไม่ผันตัวออกมาเป็นเซลหรือการตลาด ชีวิตจะติดหนึบกับบรรยากาศห้องดีไซด์และมีสิทธิ์ตกงานได้ทุกเมื่อ เพราะเงินเดือนแมร่งแพงกว่าเด็กใหม่ หมอ พยาบาลถ้าไม่กินอุดมการณ์เป็นเทวดาเดินดินตามถิ่นธุรกันดาร ก็ต้องหากินแบบนักขายหรือตลกคาเฟ่ คือวิ่งรอกหลายๆงาน พวกล่ามญี่ปุ่น จีน อังกฤษ ตามนาย นั่งลีมูซีนตลอด กินดีๆกับนาย เงินเดือนสตราทที่สี่หมื่น ทำไปซักพักเจ็ดหมื่นห้า ผมเป็นคนอนุมัติเงินเดือนเอง เห็นมาเยอะ ล่ามนี่สุดยอดทุกเรื่องจริงๆครับ เงินเดือน ค่าทิป ได้กินได้เที่ยว ได้ค่าปิดปาก ฯลฯ เพื่อนผมคนนึง สิบกว่าปีที่แล้วโดนจับส่งกลับจากญี่ปุ่น เงินทองที่ส่งกลับมาเมียก็เอาไปปรนเปรอกิ๊กจนหมด แถมหนีไปโดยทิ้งลูกไว้ให้อีก เอาแต่กินเหล้าฟูมฟายกับชีวิตอยู่หลายเดือน พอผมบอกให้ไปหางานเป็นล่ามดู ไม่เจอพักเดียวกลับมาหรูหราฟู่ฟ่าเป็นคนละคน ขอบอกขอบใจผมใหญ่ บอกว่าผมเป็นคนฉุดมันขึ้นมาจากนรกจริงๆ ส่วนเรื่องเรียนนี่ผมก็ไม่ได้บังคับลูกๆหรอกครับ แต่ที่โรงเรียนเขามีแจกโล่แจกประกาศพวกนั้นเอง ตัวเด็กเองก็ไม่ได้เครียดหรือเอาเป็นเอาตายหรอกครับ เตะบอลดูหนังเหมือนเด็กปกติทั่วไป เค้าเห็นอาของเขาที่ได้เกียรตินิยมมาแล้ว โอกาสในการเลือกงานมันเยอะกว่าก็เลยเอามาเป็นแบบอย่าง ทำตัวชิลด์ๆ แต่ตั้งใจในชั้น เกรดมันก็ออกมาดีเองครับ ::014:: ให้ดูหนังแยะๆด้วยครับ... โดยเฉพาะหนังรางวัลออสการ์กับลูกโลกทองคำนี่ต้องตามดู"ทุกเรื่อง"ครับ... หนังรางวัลใหญ่(Academy Award) ของฝรั่งทุกเรื่องจะมีแกนร่วมกันคือเนื้อหาหนัก สอนเรื่องของ"มนุษย์" และจะต้องจบดีแบบกฎแห่งกรรมทำงานลุล่วงสำเร็จครับ... เด็กๆ ดูใหม่ๆอาจไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่หากได้ดูเป็นประจำแล้วจะเรียนรู้โลกและชีวิตมากครับ หนังได้รางวัลส่วนใหญ่ดูแล้วเรื่องจบไปแล้ว แต่คนดูไม่ค่อยจบครับ เรารู้เลยเพราะเอาคีย์เวิร์ดในหนังมาค้นกูเกิ้ลแค่พิมพ์คีย์เวิร์ดไม่ทันครบ กูเกิ้ลมันเติมคำในช่องว่างให้เองเชียวครับ... |