เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ธันวาคม 28, 2006, 01:08:18 AM



หัวข้อ: ท่าจะไม่รอด!
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ธันวาคม 28, 2006, 01:08:18 AM
การที่ยะไข่กลายเป็นพวกที่มีแต่แผ่นดิน แต่สิ้นชาติ ไม่มีประเทศเป็นของตนเองในปัจจุบัน ต้องโทษผู้นำยะไข่ในสมัยนั้นที่ไว้ใจให้ต่างชาติเข้า มาเกี่ยวดองหนองยุ่งกิจการในประเทศมากเกินไป เหมือนที่ราชอาณาจักรไทยไว้ใจให้ห้างต่างชาติเข้ามามากยังไงยังงั้น เรื่องอย่างนี้ ต้องถามนักประวัติศาสตร์ เพราะนักประวัติศาสตร์จะศึกษาและได้เห็นความเป็นไปของเผ่าพันธุ์ใดเผ่าพันธุ์หนึ่ง รู้ซึ้งถึงการกระดิกพลิกตัวตั้งแต่วันแรกที่ยอมให้ต่างชาติเข้ามา จนกระทั่งถึงนาทีที่สิ้นชาติ  
ที่ดินแดนสิ้นชาติเป็นเหมือนกันหมดทุกแห่งก็คือ   "  จะมีคนขายชาติที่ได้ประโยชน์จากต่างชาติตะโกนก่นด่าคนของตนที่รักชาติทั้งหลาย จะมีคณะผู้นำที่โง่เง่าเต่าตุ่นไม่ทันเกม และจะมีประชาชนคนของประเทศนั้นที่ไม่สนใจไยดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับอนาคตของตัว เอาสบายเพียงแต่แค่ปัจจุบัน นี่คือองค์ประกอบสิ้นชาติทั้งสิ้น  "

http://www.thairath.co.th/news.php?section=international01&content=31204

ขอเขียนเรื่องหนักๆรับปีใหม่นะครับ เพราะอาการประเทศเราตอนนี้สาหัสพอควร ถ้าผ่านจุดนี้ไปไม่ได้ มีโอกาสเสียดินแดนล่างสุดด้านขวามกับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต(เมืองขึ้นทางเศรษฐกิจ)ที่เดียว แต่สองสาเหตุนั้นก็เป็นเพียงปัจจัยภายนอกที่ไม่ได้เกินจากชนเชื้อชาติไทย ปัจจัยภายนอกนั้นไม่มีผลต่อการสิ้นชนชาติ เท่ากับปัจจัยภายในเกี่ยวกับความคิดวิถีชีวิตที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวของคนในชาติ การรบนั้นหากรบแพ้เป็นเมืองขึ้นก็ยังกู้ชาติได้ ตราบใดที่คนชนชาตินั้นๆยังสามัคคีเหนียวแน่น ตัวอย่างใกล้ๆก็ชนชาติมอญ ในอดีตเคยยิ่งใหญ่ที่สุดในลุ่มอิรวดี เหตุเริ่มต้นของการสิ้นชาติมอญมาจาก การที่พระเจ้าแปร ไปเข้าด้วยพม่า ช่วยพม่ารบกับหงสาวดี ชนชาติใดมีคนขายชาติ ทรยศชาติตัวเอง เห็นแก่ประโยชน์จากเศษเงินเล็กๆน้อยๆ อำนาจนิดๆหน่อยๆ ช่วยคนชาติอื่นทำร้ายคนเชื้อชาติเดียวกันล่ะก็สิ้นชาติทุกราย  ล่าสุดค่าเงินบาทถูกโจมตี คนมีหน้าที่(ถึงจะไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่แต่ต้องยอมรับว่าไม่มีใครพยากรณ์ทางเศรษฐศาสตร์ได้ถูกต้องทั้งหมด)ดำเนินการ ถึงจะผิดพลาดไปบ้าง ก็แทบไม่มีที่จะยืน ทหารไปรบแล้วพลาดพลั้งกลับมาคนนอนหน้าใสอยู่บ้านใจคอจะประหารซ้ำกันเชียวหรือ ทำกันอย่างนี้ใครจะกล้าเสี่ยงเพื่อบ้านเมือง?  แต่ต้นเหตุคือ กองทุนข้ามชาติ และ นักการเมืองชั่วที่แปลงร่างเป็นต่างชาติเทียมกลับรอดตัว อยากให้คิดกันสักนิดว่า เงินที่เข้ามาสะพัดในตลาดหลักทรัพย์น่ะ เป็นประโยชน์ต่อชาติจริงๆหรือ เงินค่าหุ้นที่เข้าถือครองมาไม่เกิน 1 ปี ก่อให้เกิดการลงทุนในภาค real sector หรือไม่  เงินต่างชาติเหล่านี้ ดอกบัวที่เห็นๆ จะเป็นกงจักรไหม?  อีกไม่นานก็คงได้เห็นกันครับ


หัวข้อ: Re: ท่าจะไม่รอด!
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ธันวาคม 28, 2006, 01:50:49 AM
ครั้งก่อนโน้น...มีบุตรเศรษฐีชื่อมิตตวินทุกะ เป็นคนหัวดื้อ ไม่นับถือพุทธศาสนา แม่บอกว่าจะให้เงิน 1 พันตำลึง ถ้าลูกชายไปถือศีลฟังเทศน์

มิตตวินทุกะไปวัดรับศีล 8 แล้ว ไม่ฟังเทศน์ หลบไปนอนรุ่งเช้ากลับบ้าน แบมือขอเงินค่าจ้าง

วันหนึ่ง มิตตวินทุกะอยากจะไปค้าสำเภา...กับเพื่อนพ่อค้า 500 คน แม่ไม่ยอม ไปยืนขวางทางลงเรือ มิตตวินทุกะถีบแม่ล้มคว่ำ แล้วก็กระโดดลงเรือ

เรือแล่นไปกลางทะเล ทำท่าจะจม มีการแจกสลากกาลกิณี มิตตวินทุกะจับสลากถูกสามครั้ง

จึงต้องถูกจับลอยแพ

แพลอยไปถึงเกาะแรก ได้ 4 นางเปรต สวยเหมือนนางฟ้าเป็นเมีย แล้วก็เบื่อ ลอยแพต่อไปเกาะที่ 2 ได้ 8 นางเปรตเป็นเมีย ถึงเกาะที่ 3 ก็ได้ 16 นางเปรตเป็นเมีย

ชาดกบอกว่า นี่คือผลบุญของการรับศีล 8

ลอยแพต่อไปถึงเกาะที่ 5 เจอสัตว์นรกตนหนึ่ง มีจักร-กรดบดขยี้ศีรษะ เลือดไหลอาบทั้งตัว

ผลกรรมที่ถีบแม่ มิตตวินทุกะมองเห็นจักรกรด เป็นดอกบัว เห็นเลือดที่ไหลอาบร่างเป็นสร้อยสังวาล จึงออกปากขอ สัตว์นรกก็เต็มใจให้

ชาดกเรื่องนี้ เป็นที่มาของสำนวน เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

ผมไม่สบายใจ...ที่เห็นใคร...บางคน เผลอคิดว่า วิธีก่อการร้าย ไม่เลือกกระทั่งการเผาโรงเรียน เป็นยุทธวิธีที่เลือกใช้ตอบโต้ ต่อรองศัตรู

คนเผาโรงเรียนได้ ไม่ว่าจะมองมุมไหน  ก็ไม่ใช่คนดี ไม่ใช่คนเคยดี แต่เป็นคนเลวโดยสันดาน
ถือตามชาดก คนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ก็คือสัตว์นรก  จะพ้นจากนรกได้ วิถีพุทธก็คือการสำนึกบาป กลับมาทำบุญ กตัญญูต่อผู้มีคุณ  
และที่สำคัญ...คือความกตัญญูต่อแผ่นดิน.

http://www.thairath.co.th/news.php?section=politics02&content=31565


หัวข้อ: Re: ท่าจะไม่รอด!
เริ่มหัวข้อโดย: Chayanin-We love the king ที่ ธันวาคม 28, 2006, 10:26:36 AM
เงินที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น  ของกองทุนเฮจด์ฟันด์
สร้างรายได้ให้ โบรกเกอร์ที่มีลูกค้าส่วนนี้เท่านั้นครับ  และส่วนมากผู้ถือหุ้นบักโกรกเกอร์ก็หัวสีเดียวกัน 
เฮดจ์ฟันไม่ได้เอาตังค์มาแจก   ดังนั้นหลายคนที่อ้อนออเซาะราวกับมันเป็นพ่อแม่เรานี่ก็น่าจะเป็นคนที่อาศัยวอลลุ่มซื้อขายจากนักเก็งกำไรต่างประเทศเพราะเป็นหม้อข้าวของเขา
ต่างชาตินี่ก็ไม่รู้ว่า  ใช่ ไมเคิลเหลี่ยมกับพวกหรือเปล่า  ถ้าใช่มันเอาเงินมากจากไหนหว่า
ดีเนอะ เอาเงินเรา มาฆ่าเรา  ผมล่ะเบื่อจริงๆพวกที่รู้อยู่แก่ใจแล้วยังทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่  อ้างตำรา อ้างมาร์เก็ตแคปตลาด ภาพลวงตาทั้งนั้น
ตลาดหุ้นในมิติหนึ่ง  ก็เป็นบ่อนการพนัน(ชอบกันนัก) แบบหรูๆ  วันไหนไม่มีฝรั่งพี่ไทยหงอยไม่ต้องทำอะไร  ไม่ค่อยเล่นเก็งกำไรกันเอง  จะมีก็เฉพาะเจ้าของหุ้นปั่นหุ้นตกแต่งบัญชีไซฟ่อนเงิน  รายย่อยชอบนักล่ะ
ผมชอบ คำพูดของนายกที่ว่า   ตลาดหุ้นเป็นเรื่องของคนส่วนน้อย จริงๆ
ถึงแม้ผลของคำพูด ความคิดนั้นจะทำให้ตลาดหุ้นเงียบเหมือนป่าช้า


หัวข้อ: Re: ท่าจะไม่รอด!
เริ่มหัวข้อโดย: ฅนแผ่นดิน ที่ ธันวาคม 28, 2006, 10:36:38 AM
เอ้า...ยังเป็นกำลังใจให้กันเสมอครับ....


หัวข้อ: Re: ท่าจะไม่รอด!
เริ่มหัวข้อโดย: carrera ที่ ธันวาคม 28, 2006, 10:51:04 AM
คนเผาโรงเรียนได้ ไม่ว่าจะมองมุมไหน  ก็ไม่ใช่คนดี ไม่ใช่คนเคยดี แต่เป็นคนเลวโดยสันดาน
ถือตามชาดก คนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ก็คือสัตว์นรก  จะพ้นจากนรกได้ วิถีพุทธก็คือการสำนึกบาป กลับมาทำบุญ กตัญญูต่อผู้มีคุณ  
และที่สำคัญ...คือความกตัญญูต่อแผ่นดิน.

http://www.thairath.co.th/news.php?section=politics02&content=31565

เห็นด้วย แต่รู้สึกผลกรรมจะมาช้าเหลือเกิน


หัวข้อ: Re: ท่าจะไม่รอด!
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ ธันวาคม 28, 2006, 11:01:54 AM
คงใส่ปุ๋ยให้หญ้าไว้เยอะ เลยได้รับส่วนบุญจนกรรมตามไม่ทัน


หัวข้อ: Re: ท่าจะไม่รอด!
เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ธันวาคม 29, 2006, 02:58:05 AM
ที่ห้องพิจารณาคดี 902 ศาลภาษีอากรกลาง ถนนรัชดาฯภิเษก เมื่อเวลา 14.00 น. วานนี้ (28 ธ.ค.)  มีการอ่านคำพิพากษาคดีที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นักธุรกิจ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องกรมสรรพากร เป็นจำเลย ในความผิดเรื่องละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจสั่งคืนเงินภาษีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีโจทก์ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการอุทธรณ์การคืนภาษีเงินได้ ที่กรมสรรพากรให้เรียกเก็บภาษีจากการได้รับโอนหุ้นของบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีอีซีแอล จากบิดา ในราคา 10 บาท/หุ้น จากราคาตลาด 21 บาท  คณะกรรมการดังกล่าวมีมติให้กรมสรรพากรรับเงินภาษีจำนวน 19,438 บาท จากการรับโอนหุ้นระหว่างโจทก์กับบิดา แต่ภายหลังนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ขณะนั้นมีคำสั่งให้กรมสรรพากรคืนเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเช็คคืนกลับไปให้โจทก์ พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้อง และทำเพื่อประโยชน์บางประการแก่ผู้มีอำนาจทางการเมือง จึงยื่นฟ้องเพื่อให้ศาลบังคับให้จำเลยรับเช็คกลับคืน

 
  "   ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า มติของคณะกรรมการอุทธรณ์การคืนภาษีเงินได้ของกรมสรรพากร ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด การคืนเช็คให้กับโจทก์ถือเป็นการมิชอบตามกฎหมาย จึงมีคำสั่งให้กรมสรรพากรรับเช็คคืน   "
 

ด้าน นายเรืองไกร กล่าวว่า    "  คำพิพากษาวันนี้จะเป็นบรรทัดฐานในคดีโอนหุ้น ของตระกูลชินวัตรด้วย   "   นับจากนี้ข้าราชการกรมสรรพากรคงจะเข้ารับการเรียกเก็บภาษีมากขึ้น อัยการมีเวลายื่นอุทธรณ์คำพิพากษาภายใน 30 วัน
 

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า  คดีของนายเรืองไกร ถูกนำมาเปรียบเทียบกับการขายหุ้นของตระกูลชินวัตร  พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ภริยา ขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ชินคอร์ป ให้แก่นายพานทองแท้ บุตรชาย จำนวน 73,395,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท  ในขณะที่ราคาตลาดในขณะนั้นอยู่ที่ 150 บาท โดยไม่มีการเสียภาษี ขณะที่นายเรืองไกร ซื้อหุ้นบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีอีซีแอล จากบิดา ในราคา 10 บาท จากราคาตลาด 21 บาท และถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีเงินได้ แต่เมื่อปรากฏเป็นข่าว ก็มีคำสั่งให้กรมสรรพากรคืนเงินภาษีให้แก่นายเรืองไกรทันที.

เท่าที่รู้หุ้นชุดนี้ราคา 150 ตอนยังไม่แตกพาร์ พอแตกพาร์เป็น10 หุ้นใหม่ต่อหนึ่งหุ้นเดิม temasec ซื้อไปในราคา เกือบ50 บาท ราคาสูงขึ้นถึง3เท่าในเวลาไม่นานเท่าไหร่ ราคารวมล่าสุดก่อนขายให้temasec น่าจะเกือบ สี่หมื่นล้านบาททีเดียวสำหรับหุ้นชุดนี้ อะไรมันจะทำกำไรได้มหาศาลในเวลารวดเร็วขนาดนั้นไม่เคนเห็นกิจการที่สร้างยอดขายหรือ3เท่าได้ในเพียงแค่นี้จริงๆครับ นี่ไม่ใช่หุ้นตัวเดียวที่ทักษิณปั่น แต่ยังมีทักษิณและพวกไปเปิดพอร์ตไว้ที่ สิงค์ แปลงร่างเป็นฝรั่งเทียมเข้ามาหาเงินกับคนไทยครับ

http://www.thairath.co.th/onlineheadnews.html?id=31729


หัวข้อ: Re: ท่าจะไม่รอด!
เริ่มหัวข้อโดย: carrera ที่ ธันวาคม 29, 2006, 05:00:35 AM
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า  คดีของนายเรืองไกร ถูกนำมาเปรียบเทียบกับการขายหุ้นของตระกูลชินวัตร  พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ภริยา ขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ชินคอร์ป ให้แก่นายพานทองแท้ บุตรชาย จำนวน 73,395,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท  ในขณะที่ราคาตลาดในขณะนั้นอยู่ที่ 150 บาท โดยไม่มีการเสียภาษี ขณะที่นายเรืองไกร ซื้อหุ้นบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีอีซีแอล จากบิดา ในราคา 10 บาท จากราคาตลาด 21 บาท และถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีเงินได้ แต่เมื่อปรากฏเป็นข่าว ก็มีคำสั่งให้กรมสรรพากรคืนเงินภาษีให้แก่นายเรืองไกรทันที.

คุณเรืองไกรนี่โชคดีจริงๆ   ;D ;D ;D แต่ยอดเงินแค่ 19438 บาทเท่านั้นหรือครับ ;D ;D ;D  ทำไมขายหุ้นกันน้อยจัง


หัวข้อ: Re: ท่าจะไม่รอด!
เริ่มหัวข้อโดย: นายอันตราย ที่ ธันวาคม 30, 2006, 11:39:06 AM
 >:(