หัวข้อ: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: BEAMSOUND ที่ พฤษภาคม 16, 2005, 12:00:17 PM ไม่ทราบว่าเกิด อะไรขึ้นครับ เห็นเสริมกำลังกัน ข่าว ทีวี ดูไม่ทัน ;D
หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: Th@mes ที่ พฤษภาคม 16, 2005, 12:21:23 PM ด้านจังหวัดไหนครับ ถ้าบุรีรัมย์ เขามีการประชุมครม.สัญจรนอกสถานที่ ณ อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ กันครับ
หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: BEAMSOUND ที่ พฤษภาคม 16, 2005, 12:27:49 PM แถวๆเขาพระวิหารครับ ;D
หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: Sting รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 16, 2005, 12:34:54 PM ตามข่าวว่าตรึงกำลังตามแนวเขาพระวิหาร
ปัญหาเกิดจากการก่อสร้างชิดขอบชายแดนมากเกินไปหรืออย่างไรนี่แหละครับ หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: หินเหล็กไฟ ที่ พฤษภาคม 16, 2005, 07:47:55 PM ;D ;Dพี่แม้วขอให้พี่ฮุนเซนดูเรื่องแนวชายแดนทหารพรานแถวนั้นแหละไม่มีกองกำลังที่ไหนหรอก อ้อ..UNจะเข้าตรวจสอบแนวชายแดน...ได้ยินข่าวว่าเขมรไม่พอใจอะไรสักอย่างเลยปิดเขาพระวิหาร ได้ 2 - 3 วันแล้ว (คงจะเกี่ยวกับเรื่องร้านค้าขายแถวนั้นแหละ)ถามพี่ๆ ต.ช.ด.แถวนั้นเมื่อกี้ ;D ;D
หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: JC ที่ พฤษภาคม 16, 2005, 08:03:03 PM ฆ่ามันๆๆ.... :DD :DD :DD
หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: RUGER ที่ พฤษภาคม 16, 2005, 10:13:52 PM ;D วันนี้ รถ ติด มาก แถว ดินแดง เกี่ยว กะ นาย เหลี่ยม ตรวจ จราจร ป่าว ไม่รู้ ;D
หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ พฤษภาคม 16, 2005, 10:41:18 PM นายสมชายเอามาจากนี่ครับ... http://www.komchadluek.net/breaking/read.php?lang=th&newsid=59805
ก.ต่างประเทศยืนยันข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหารล่าสุด แก้ไขได้ [ 21:43 น. ] จากกรณีกัมพูชาปิดทางขึ้นเขาพระวิหาร พร้อมกล่าวหาว่า ไทยเสริมกำลังทหารราว 400 นาย บริเวณเชิงเขาพระวิหารนั้น ล่าสุด นายเกียรติคุณ ชาติประเสริฐ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยเครือเนชั่นว่า กรณีดังกล่าวเป็นความเข้าใจผิด โดยการเสริมกำลังที่กัมพูชาเข้าใจนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงการก่อสร้างป้อมตรวจการณ์ ขึ้นที่บริเวณเชิงเขาเท่านั้น แต่กัมพูชาเข้าใจผิดคิดว่าไทยเสริมกำลัง จึงไม่พอใจและปิดทางขึ้นเขาพระวิหาร ทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถขึ้นไปเที่ยวชมได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับการปิดทางขึ้นนั้น ขณะนี้ได้เจรจาในระดับจังหวัดกันแล้ว และเชื่อว่าจะสามารถคลี่คลายปัญหาได้ในที่สุด ความไม่พอใจของกัมพูชา เป็นปัญหาเดียวกับกรณี มีชาวกัมพูชามาปลูกสร้างบ้านเรือนบริเวณเชิงเขาพระวิหาร ซึ่งทำให้ไทยไม่พอใจเช่นกัน เพราะพื้นที่ดังกล่าว ยังเป็นพื้นที่ที่ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นของไทยหรือกัมพูชา หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: DICK ที่ พฤษภาคม 16, 2005, 10:49:21 PM ผมขอเดาล้วนๆเลยนะครับ
คือก่อนหน้านี้ ได้เห็นข่าวว่าทางราชการเรา มีนโยบาย ไม่ให้คนเดินทางไปเล่นการพนันที่ฝั่งโน้น น่าจะทำให้ทางด้านโน้นเสียผลประโยชน์ไปไม่น้อย ผู้เสียผลประโยชน์ อาจจะเป็นผู้ประกอบการ และผู้ประกอบการอาจจะเป็นใครก็ได้ที่มีอำนาจ หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 12:41:31 AM ;D ใจเย็นๆค่อยๆพูดจากันดีๆ ประเทศเพื่อนบ้านกัน ยังไงก็ย้ายหนีกันไม่ได้อยู่แล้ว... ;D
หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: vichai01++รักในหลวง++ ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 07:57:02 AM ;D ใจเย็นๆค่อยๆพูดจากันดีๆ ประเทศเพื่อนบ้านกัน ยังไงก็ย้ายหนีกันไม่ได้อยู่แล้ว... ;D ;Dเห็นด้วยครับถึงทะเลาะกันยังไง ก็ต้องอยู่ด้วยกันไปตลอด ;Dหัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: หินเหล็กไฟ ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 12:19:03 PM ;D ;D ยุคนี้นโยบายระดับประเทศมีแต่เสริมสร้างความร่วมมือร่วมกันอยู่แล้วหล่ะครับ เห็นไหมที่เป็นข่าวก็เพราะเข้าใจผิดที่จริงไม่มีอะไร กัมพูชาก็เป็นประเทศเหมือนไทยนี่แหละ คนในประเทศต่างหากที่แตกต่างกัน ;D ;D
หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: MK 4 ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 03:25:07 PM ;D ลองย้อนหลังดูประวัติศาสตร์กัมพูชากับไทยดูซิครับว่าเขาเป็นคนอย่างไร.... ???
หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: หินเหล็กไฟ ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 03:46:10 PM ;D ;D เอามาให้อ่านหน่อยซี ..... ไม่รู้จะเอามาจากใหน....แบบของจริงหนะ ;D ;D
หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: MK 4 ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 03:49:44 PM :D ก็สมัยเรียนวิชาสังคมตอนมัธยมนั้นแหละครับพี่ ;D
หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: หินเหล็กไฟ ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 03:51:23 PM ;D ;D มันไม่นานไปหน่อยเหรอ ;D ;D
หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: MK 4 ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 03:59:23 PM ;) ผมก็จำได้ลาง ๆ ครับพี่ ;)
หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: โจ ™ ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 04:18:32 PM ธิบดี บัวคำศรี/ศูนย์ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทยกับประเทศในเอเชีย
ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีการวิเคราะห์เหตุการณ์ที่นักศึกษาและประชาชนชาวกัมพูชาชุมนุมประท้วงที่หน้าสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญไปหลายทาง ที่เชื่อถือกันที่สุดดูจะเป็นแนววิเคราะห์ที่ว่าเหตุการณ์เผาสถานทูตไทยมีที่มาจากการเมืองภายในของกัมพูชา กล่าวคือมีการปลุกกระแสชาตินิยมและความเกลียดชังต่างชาติขึ้นมาในหมู่ชาวกัมพูชา ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งระดับชาติในเดือนกรกฎาคมปีนี้ โดยปกติแล้วฝ่ายค้านมักจะกล่าวโจมตี สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาว่าฝักใฝ่เวียดนาม เพื่อเรียกคะแนนเสียงจากชาวกัมพูชาที่เห็นว่าเวียดนามเป็นผู้ร้าย ดังนั้นหากสมเด็จฮุน เซน และพรรคประชาชนกัมพูชาของท่านจะหาคะแนนจากการใช้ประเด็นทางชาตินิยมบ้าง ก็ต้องเลือกผู้ร้ายตัวใหม่ที่ไม่ใช่เวียดนามขึ้นมา ไทยมีความสัมพันธ์กับกัมพูชามายาวนาน คบกันมานานอย่างนี้ก็จึงมีทั้งความร่วมมือและความขัดแย้ง ทั้งชื่นชอบและเกลียดชัง ทั้งยกย่องและดูถูก จึงอาจเรียกรูปแบบความสัมพันธ์กัมพูชา-ไทย ว่า ความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งชัง (love & hate relation) เพราะทั้งรักทั้งชังอย่างนี้ บางครั้งกัมพูชาจึงมองเห็นไทยเป็นผู้ร้าย แต่บางคราวก็ว่าเป็นผู้ดี แต่ในบางทีก็เป็นทั้งผู้ดีและผู้ร้ายในเวลาเดียวกัน เปลี่ยนไปมาตามสภาพทางการเมืองทั้งในกัมพูชาและการเมืองระหว่างประเทศ แต่ไทยดูจะไม่ค่อยเห็นว่าตัวถูกมองเป็นผู้ร้าย มิหนำซ้ำยังยกให้เวียดนามซึ่งกัมพูชาสมมติให้เป็นผู้ร้ายร่วม เป็นผู้ร้ายแต่ฝ่ายเดียว แต่เพราะผู้ครองอำนาจตัวจริงของกัมพูชาในทุกวันนี้มีรากเหง้าสัมพันธ์กับเวียดนามอย่างลึกซึ้ง การเลือกไทยเป็นผู้ร้ายจึงทำให้ทุกพรรคการเมืองของกัมพูชาหยิบขึ้นมาประณามได้โดยไม่เข้าตัว และง่ายต่อการที่ประชาชนชาวกัมพูชาจะคล้อยตาม ความเป็นผู้ร้ายของไทยในสายตาของกัมพูชานั้นไม่เป็นสิ่งที่คนไทยรับรู้กัน และมักจะมองกันว่าก่อนกรณีเผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญนั้น กัมพูชาและไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาโดยตลอด ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจึงสร้างความรู้สึกหลายหลากให้เกิดขึ้นในหมู่ชาวไทย มีทั้งเคียดแค้นชิงชังซึ่งเห็นได้จากการแสดงออกของประชาชนทั่วไป กับมีทั้งความรู้สึกงุนงงปนตกใจเจือสงสัยแกมน้อยใจคละกันไปดังคำว่า ก็รู้จักกันหมดตั้งแต่นายกรัฐมนตรีไปจนนักการเมืองและขุนทหารน้อยใหญ่ของกัมพูชา ทั้งไทยยังอุตส่าห์ไปสร้างความเจริญและให้ความช่วยเหลือก็ตั้งมาก แล้วทำไมจึงเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นได้ อันที่จริงอาจกล่าวได้ว่า เหตุการณ์เผาสถานทูตไทยเป็นเพียงจุดต่ำสุดของความสัมพันธ์ นั่นคือก่อนหน้านั้นกัมพูชาและไทยก็มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกันเรื่อยมา ปัญหาเหล่านั้นไม่ได้หมายความถึงกรณีที่สมเด็จฮุน เซน สั่งห้ามสร้างบ้านทรงไทย กรณีนักศึกษากัมพูชาเรียกร้องดินแดนบางจังหวัดคืนจากไทย หรือข่าวเรื่องกัมพูชาทวงปราสาทสด๊กก๊อกธมและปราสาทตาเมือนธมคืน แต่เป็นปัญหาใหญ่และเร้นตัวลึก และเป็นคำตอบว่าเหตุใดชาวกัมพูชาจึงได้เชื่อข่าวลือ และแสดงความเกลียดชังไทยได้เพียงนั้น ปัญหานี้มีพื้นฐานจากประวัติศาสตร์ที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นในกรอบของความเป็นชาติในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 2 แล้วถูกสถาปนาให้เป็น 'สำนึกทางประวัติศาสตร์' ของคนในชาติที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ โดยรัฐอาศัยแบบเรียนและสื่ออื่นๆ ตลอดจน 'การเกลี้ยกล่อมทางสังคม' เป็นเครื่องมือ ภาพของไทยในประวัติศาสตร์กัมพูชานั้นเจ้าเล่ห์แสนกล ไม่ตั้งอยู่ในสัตย์สัญญา ดีแต่จะเอาเปรียบกัมพูชาอยู่ร่ำไป สรรพวิทยาการทั้งหลายไทยก็ได้ไปจากกัมพูชา ขณะที่ภาพของกัมพูชาในตำราประวัติศาสตร์และแบบเรียนของไทยนั้นเป็นพวกที่ไม่อยู่ในสัตย์ ไม่รู้สำนึกบุญคุณ มักลอบกัด เหตุการณ์เดียวกันจึงถูกเล่าในประวัติศาสตร์กัมพูชาต่างไปจากประวัติศาสตร์ไทย และมักเป็นแต่ในทางขัดแย้งกันเป็นพื้น และมีเรื่องให้แย้งกันมาแต่สมัยสุโขทัย ดังกรณีเรื่องนายร่วงบุตรนายคงเคราซึ่งต้องส่งส่วยน้ำให้กัมพูชานั้น ข้างไทยเล่าว่านายร่วงเป็นผู้มีปัญญา เอาชะลอมบรรจุน้ำไปถวายพระเจ้ากรุงกัมพูชาได้โดยน้ำไม่รั่ว ทั้งขอมที่ดำดินมาตามล่าก็กลายเป็นหินด้วยอำนาจวาจาสิทธิ์ของนายร่วง ไทยจึงเลิกเป็นเมืองส่วยน้ำกรุงกัมพูชา ต่อมานายร่วงก็ได้เป็นพระร่วงเจ้าครองกรุงสุโขทัย ขณะที่กัมพูชาเล่าเรื่องเดียวกันนี้ว่า เกิดในครั้งพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ครองกรุงกัมพูชา พระองค์เป็นผู้มีฤทธิ์ มีวาจาสิทธิ์ จึงนายร่วงแม้จะมีฤทธิ์เพียงใดก็ต้องพ่ายแก่พระบารมี แต่ด้วยความเมตตาของพระองค์จึงให้นายร่วงไปตั้งกรุงสุโขทัยเป็นอิสระจากกรุงกัมพูชา ยิ่งประวัติศาสตร์ในสมัยอยุธยาก็ขัดแย้งกันมาก ดังที่ประวัติศาสตร์กัมพูชากล่าวไว้ตอนหนึ่งว่าเมื่อครั้งพระนเรศวรหนีจากการเป็นตัวประกันที่กรุงหงสาวดีกลับมายังกรุงศรีอยุธยานั้น สมเด็จพระเจ้ากรุงหงสาวดีก็โปรดให้ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา คราวนั้นสมเด็จพระมหาธรรมราชาก็ให้แต่งทูตไปยังกรุงกัมพูชาเพื่อขอความช่วยเหลือโดยอ้างถึงสัญญาทางพระราชไมตรีที่มีอยู่แต่ก่อน สมเด็จพระสัตถาพระเจ้ากรุงกัมพูชาก็จัดทัพให้สมเด็จพระศรีสุริโยพัณณซึ่งเป็นพระมหาอุปราชนำพล 25,000 คน ยกมาช่วยอยุธยา แต่อยุธยากลับลอบเข้ามาเกณฑ์ผู้คนในแดนกัมพูชาไป 30,000 คน สมทบกับกำลังคนที่เกณฑ์มาได้ 20,000 คน รวมเป็น 50,000 คน แล้วยกไปรบชนะพม่า ขณะเมื่อยกทัพกลับ พระนเรศวรประทับมาในเรือพระที่นั่งทอดพระเนตรเห็นสมเด็จพระศรีสุริโยพัณณซึ่งยกทัพมาช่วยรบประทับห้อยพระบาท ไม่ถวายบังคมก็ทรงพิโรธ โปรดให้ตัดศีรษะเชลยพม่าไปเสียบไว้ที่หัวเรือพระที่นั่งของสมเด็จพระศรีสุริโยพัณณ สมเด็จพระศรีสุริโยพัณณก็ทรงพิโรธ และออกพระโอษฐ์ว่า " ที่พระนเรนทรสูร (พระนเรศวร) ให้มาเกณฑ์เอาราษฎรในเขตกรุงกัมพูชาธิบดีไปเข้าในกระบวนทัพของพระองค์นั้น เห็นว่าพระนเรนทรสูรประพฤติผิดสัตย์สัญญา " สมเด็จพระศรีสุริโยพัณณจึงยกมาช่วยอยุธยาอย่างเจ้าเอกราชที่ได้รับการร้องขอ แต่กลับถูกกระทำอันเป็นการหยามพระเกียรติ ซ้ำอยุธยายังละเมิดทางพระราชไมตรีโดยการเข้ามากวาดต้อนประชาชนในแดนกัมพูชา ข้างไทยเล่าว่าครั้งนั้นสมเด็จพระสัตถา (เอกสารไทยเรียกพระยาละแวก) ซึ่งเพิ่งจะทำไมตรีด้วยอยุธยาทราบข่าวว่ามีศึกพม่ามาติดกรุงศรีอยุธยาก็ให้สมเด็จพระศรีสุริโยพัณณยกพล 15,000 คน มาช่วยอยุธยารับศึกพม่า แต่ทีว่าไทยจะมองว่าฐานะของสมเด็จพระศรีสุริโยพัณณต่ำกว่า การไม่ถวายบังคมจึงเป็นความผิดขั้นอุกฤษฏ์ เหตุการณ์สุดยอดที่แสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่าของไทยต่อกัมพูชา และเป็นที่จับใจของชาวไทยอย่างยิ่งคือ คราวที่สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปตีกรุงละแวก จับได้สมเด็จพระสัตถาแล้วกุมตัวมากระทำพิธีปฐมกรรม คือตัดศีรษะเอาโลหิตมาชำระพระบาท ประวัติศาสตร์กัมพูชาก็ว่าไทยตีละแวกได้จริง แต่สมเด็จพระสัตถาเสด็จหนีไปได้ พิธีปฐมกรรมจึงไม่ได้เกิดขึ้นจริง โดยความข้อนี้มีหลักฐานของชาวสเปนอยู่ในกัมพูชาในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ยืนยัน ในสมัยรัตนโกสินทร์ แม้ความในหนังสือประวัติศาสตร์กัมพูชาและไทยจะไม่ได้แย้งกันมากมายอย่างสมัยอยุธยา แต่การที่ไทยเข้าไปมีส่วนในกิจการกรุงกัมพูชาซึ่งแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ก็ทำให้ไทยเป็นที่ขัดเคืองของอีกฝ่ายได้ ดังในสมัยสมเด็จพระอุทัยราชาครองกรุงกัมพูชานั้นทรงมีพระทัยนิยมเวียดนาม ขณะที่พระวรราชบิดา คือสมเด็จพระนารายณ์ราชาและพระอนุชาของพระองค์คือ พระองค์สงวน พระองค์อิ่ม และพระองค์ด้วง ฝักใฝ่ไทย ช่วงสงครามเย็น กัมพูชาตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยถึง 2 หน และยังมีเรื่องกระทบกระทั่งกันอีกหลายคราว อาทิ กรณีพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ ที่ไทยบุกไปยึดเอามาตอนก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยถือว่าเป็นดินแดนของไทยมาแต่เดิม เวลานั้นกัมพูชาเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส เล่ากันว่าพระบาทสมเด็จพระศรีสวัสดิ์ทรงเสียพระทัยมาก ถึงกับไม่ทรงตรัสเป็นภาษาฝรั่งเศสอีกเลยจนเสด็จสุรคต แน่นอนว่าแม้จะทรงขัดเคืองฝรั่งเศส แต่พระองค์และประชาชนเขมรก็คงจะเห็นว่าศัตรูที่แท้จริงคือไทย ไม่ใช่ฝรั่งเศส ในกรณีเขาพระวิหารที่เป็นความกันจนถึงขึ้นศาลโลกก็นำความขัดเคืองใจมาสู่กัมพูชาไม่น้อย แม้ว่ากัมพูชาจะชนะคดีก็ตาม ส่วนชาวไทยก็ยังคงคับแค้นใจมาจนทุกวันนี้ด้วยว่าทางขึ้นปราสาทเขาพระวิหารนั้นอยู่ทางฝั่งไทย แล้วทำไมจึงกลายเป็นของกัมพูชาไปได้ เมื่อมีข่าวดาราสาวไทยกล่าวหาว่ากัมพูชาขโมยนครวัดไปจากไทย และเรียกร้องให้กัมพูชาคืนให้ไทยนั้นจึงเป็นเรื่องที่ชาวกัมพูชาเกิดความไม่พอใจโดยง่าย เพราะนครวัดนั้นเป็นทั้งสัญลักษณ์ของชาติ เป็นทั้งอนุสาวรีย์ที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของประชาชาติกัมพูชา เป็นทั้งความภาคภูมิใจของชาวกัมพูชา แม้ว่าจะเป็นเพียงข่าวลือ แต่เมื่อมาประสมเข้ากับความขัดเคืองใจกันทางประวัติศาสตร์ก็กลายเป็นความเกลียดชังอย่างรุนแรงขึ้นได้ นอกจากนั้น ตัวแบบของไทยสมัยสร้างความเป็นรัฐชาติมาตลอดจนสมัยพัฒนานั้น คือตะวันตกซึ่งเป็นชาติที่มีอารยธรรมในสายตาของชนชั้นนำและรัฐบาลไทย ความคิดความเชื่อ ตลอดจนรูปแบบประเพณีที่เป็นอยู่เดิมจึงเป็นของที่ป่าเถื่อนและไม่มีอารยธรรม จำเป็นต้องปรับเปลี่ยน ผลประการหนึ่งจากการปรับเปลี่ยนก็คือ ชนชั้นนำและรัฐบาลไทยเห็นว่าชาติไทยมีความเจริญทัดเทียมกันกับอารยประเทศ ผลโดยปริยายที่ตามมาอีกประการหนึ่งคือ การเหยียดชาติต่างๆ ที่อยู่โดยรอบว่าเป็นพวกป่าเถื่อน ซึ่งมีนัยแฝงอีกหลายประการ เช่น ล้าหลัง สกปรก ฯลฯ และชอบที่จะนำตนไปสมาคมชาติมหาอำนาจตะวันตกเสียมากกว่าจะเหลียวแลดูประเทศเพื่อนบ้านด้วยความเข้าใจที่ดี คนไทยจึงไม่เคยรู้ว่ากัมพูชา (รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ) มองตนเองอย่างไร จึงไม่รู้ว่าการจะแก้ปัญหาวิกฤติความสัมพันธ์กัมพูชา-ไทย ที่ใครๆ ก็พูดกันนักกันหนานั้น ต้องทำอย่างไร เพราะคิดหรือฟังข่าวเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อไร เลือดรักชาติก็ฉีดพล่านไปทั่วร่าง แต่การกระทำเช่นนี้ไม่ได้แก้ปัญหาความสัมพันธ์กัมพูชา-ไทย เพราะรากเหง้าของปัญหาอยู่ที่ 'สำนึกทางประวัติศาสตร์' ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะแก้แต่ก็จำเป็นจะต้องเริ่มทำ หากไม่ต้องการให้เกิดปัญหารุนแรงขึ้นอีก และหากประสงค์ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับกัมพูชา สิ่งที่ควรทำจึงพึงชำระตำราและแบบเรียนประวัติศาสตร์ของไทยเสียใหม่โดยเร่งด่วน เริ่มจากทบทวนภาพของกัมพูชาที่ถูกสร้างขึ้นในประวัติศาสตร์ชาติไทย ว่ามีกระบวนการสร้างอย่างไร เป็นไปเพื่อประโยชน์อะไร ของคนกลุ่มไหน อันจะทำให้เราเห็นว่าภาพของความคบไม่ได้ ไม่รู้คุณคน ฯลฯ ของกัมพูชานั้น ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนองตอบเป้าประสงค์เฉพาะของชนชั้นปกครอง ซึ่งเป็นเรื่องที่เหมาะกับยุคสมัยนั้นหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องอภิปรายต่างหากไป แต่ที่แน่ๆ คือ ภาพเช่นนั้นไม่สนองประโยชน์ในปัจจุบัน หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: MK 4 ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 04:24:12 PM :D OK ครับนายโจลึกซึ้ง กระจาง แจ่มแจ้งแดงแจ๋ :D
หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: coda ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 04:41:18 PM ...ขอบคุณคุณโจ ประวัติศาสตร์ถูกเขียนเพื่อรับใช้การเมืองปัจจุบัน ::)
หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: โจ ™ ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 04:52:00 PM ...ขอบคุณคุณโจ ประวัติศาสตร์ถูกเขียนเพื่อรับใช้การเมืองปัจจุบัน ::) ไม่มีใครเอาของเน่าเข้าบ้านตัวเองหรอกครับ โยนได้ก็โยน ดังที่เป็นข่าว ญี่ปุ่นกับเกาหลีเมื่อไม่นานมานี้ครับ ประวัติศาสตร์เดียวกัน เหตุการณ์เดียวกัน แต่ถูกถ่ายทอดไม่เหมือนกัน :~) :~) หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: โจ ™ ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 04:53:02 PM :D OK ครับนายโจลึกซึ้ง กระจาง แจ่มแจ้งแดงแจ๋ :D ผมไม่ได้อธิบายเองครับ ไปลอกเค้ามาครับ อ่านแล้วเข้าใจง่ายดีครับ เห็นถกกันหลายรอบแล้ว ;D หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: babor ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 06:11:22 PM :D OK ครับนายโจลึกซึ้ง กระจาง แจ่มแจ้งแดงแจ๋ :D ผมไม่ได้อธิบายเองครับ ไปลอกเค้ามาครับ อ่านแล้วเข้าใจง่ายดีครับ เห็นถกกันหลายรอบแล้ว ;D ;D จะได้เลิกถกกันซะที ;D หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: ป - ปั้น-รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 06:13:57 PM :D OK ครับนายโจลึกซึ้ง กระจาง แจ่มแจ้งแดงแจ๋ :D ผมไม่ได้อธิบายเองครับ ไปลอกเค้ามาครับ อ่านแล้วเข้าใจง่ายดีครับ เห็นถกกันหลายรอบแล้ว ;D ;D จะได้เลิกถกกันซะที ;D ;D ;D ;D หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: โจ ™ ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 06:18:48 PM เห็นนะว่าพี่ por-pan เปลี่ยนชื่อเป็น ป-ปั้นตะกี้ ;D ;D
หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: E_mail ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 06:44:04 PM ดูข่าวเมื่อตอนเย็น เห็นว่าทหารเขมรที่ถูกส่งมาตรึงกำลัง เดินข้ามมาขอแบ่งน้ำแข็งจากทหารไทยเราด้วยนี่ครับ ::)
หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: ป - ปั้น-รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 06:44:21 PM เห็นนะว่าพี่ por-pan เปลี่ยนชื่อเป็น ป-ปั้นตะกี้ ;D ;D ใช่ครับ...ขออนุญาตใช้เป็นภาษาไทย ;D ;D ;D ( แก้คำผิดแล้วนะครับครูครับ :~) :~) :~) )หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: coda ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 06:58:13 PM เห็นนะว่าพี่ por-pan เปลี่ยนชื่อเป็น ป-ปั้นตะกี้ ;D ;D ใช่ครับ...ขออนุญาติใช้เป็นภาษาไทย ;D ;D ;D..."อนุญาต" ให้ใช้เป็นภาษาไทยครับ (http://www.debsfunpages.com/moresmiles/looks.gif) หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ พฤษภาคม 17, 2005, 07:23:59 PM เอาแค่ชำระประวัติศาสตร์วันที่ 14 ต.ค.16 ผ่านไปกว่า 30 ปี ยังไม่สะอาดเลย
ไม่รู้ว่าใช้ผงซักฟอกไปกี่กิโลกรัมแล้ว ??? ??? ??? ??? ??? หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: Th@mes ที่ พฤษภาคม 18, 2005, 09:44:37 AM เอาแค่ชำระประวัติศาสตร์วันที่ 14 ต.ค.16 ผ่านไปกว่า 30 ปี ยังไม่สะอาดเลย ไม่รู้ว่าใช้ผงซักฟอกไปกี่กิโลกรัมแล้ว ??? ??? ??? ??? ??? เอ๊ะ พี่ปู พูดอย่างนี้ เดี๋ยวสหายเราโกรธตาย พวกเธอละอุดมการณ์ เอามือซุกหีบ ใส่สูท เป็นรัฐมนตรีหมดแล้ว เหลือแต่เราเรานี่ อนุสาวรีย์เขายังเอาไปขายสลากเลย 14 ตุลา 16 ถ้ายังนึกออก จะถามว่า ภาพตรงไหนที่ติดตรึงตราใจ มากที่สุด หัวข้อ: Re: ชายแดนเขมร เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ พฤษภาคม 18, 2005, 11:45:06 AM ขอบคุณ คุณโจ ครับ
|