หัวข้อ: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: Narin CZ ที่ มิถุนายน 30, 2007, 05:43:05 AM เอามาฝากไว้ให้อ่านกันเล่นๆนะครับ ;D
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ===จตุคามํ สรณํ คจฺฉามิ "ข้าพเจ้าขอถึงจตุคามรามเทพว่าเป็นที่พึ่ง ==== " (http://i12.tinypic.com/6259ftd.jpg) กระแสจตุคามรามเทพในฐานะวัตถุมงคลรุ่นใหม่ดังมาตั้งแต่ต้นปี 2550 จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลง เพราะมีศรัทธาและการตลาดเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงอยู่ ครั้งนี้ จึงขอแวะคุยเรื่องนี้กันพอหอมปากหอมคอ มีนักข่าวคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตกับผู้เขียนว่า การที่สังคมไทยคลั่งไคล้จตุคามรามเทพนั้น น่าจะเป็นเพราะสังคมไทยอยู่ในภาวะขาดที่พึ่ง คนจึงวิ่งหาที่พึ่งกันเป็นแถว แต่ผู้เขียนแย้งว่า คนไทยไม่ได้ขาดที่พึ่งแม้สักนิด เพราะอะไรก็ตามที่ถือกันว่าเป็นที่พึ่งของคนไทยนั้น ทุกอย่างก็ยังคงอยู่ครบเหมือนเดิม ดังนั้น สิ่งที่คนไทยขาดกล่าวอย่างตรงไปตรงมาที่สุด คือ คนไทยกำลังขาด "สภาพคล่องทางการเงิน" มากกว่า ลองถามคนทำมาค้าขายดูก็จะรู้ได้ว่า ตอนนี้การทำมาค้าขายฝืดเคืองขนาดไหน คนเดินห้างยังคงมีอยู่ แต่หาคนจับจ่ายใช้สอยยากขึ้นทุกที การที่คนวิ่งหาจตุคามรามเทพนั้น ลองมองให้ลึกๆ ถึงคติในการนับถือก็จะพบว่า แท้ที่จริงคนไทยต้องการอะไรแน่ ที่พึ่งหรือเงิน ปรัชญาของจตุคามรามเทพที่สมมติกันขึ้นมาก็คือ "มึงมีกูไว้ไม่จน" และชื่อรุ่นแต่ละรุ่นก็สะท้อนปรัชญานี้ทั้งหมด เช่น "รวยไม่รู้จบ รวยไม่มีเหตุผล รวยมหาศาล รวยเงินล้าน รวยทรัพย์นับหมื่นล้าน รวยล้นฟ้า ฯลฯ" คำว่า "รวย" ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นชื่อรุ่นจตุคามรามเทพ สะท้อนสิ่งที่คนไทยขาดอย่างไม่ปิดบัง ดังนั้น ย้ำกันชัดๆ คนไทยไม่ได้ขาดที่พึ่งในความหมายที่ว่า ที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจให้เกิดความอบอุ่นและปลอดภัย แต่คนไทยขาดที่พึ่งทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ ขาดเงินเท่านั้น นอกจากเงินแล้ว หากวิเคราะห์ต่อไป ก็จะพบว่า คนไทยยังขาดสิ่งเหล่านี้ด้วย (1) ขาดความรู้ (2) ขาดความรู้สึก (3) ขาดจิตสำนึกสาธารณะ (4) ขาดปัญญาที่เป็นกลาง ขาดความรู้ คือ คนไทยซึ่งกว่า 90% ปากบอกว่า เป็นชาวพุทธ แต่เรากลับไม่รู้จักหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ากันเอาเสียเลย ลองคิดดูง่ายๆ คำว่า "จตุคามรามเทพ" นั้น ก็บ่งชัดอยู่แล้วว่า ไม่ใช่คำที่แสดงหลักคิดทางพุทธศาสนา คำว่า "จตุคาม" นั้น เป็นคำเพี้ยนเสียงมาจาก "ขัตตุคาม" ซึ่งแต่เดิมคำนี้มาจากคำว่า "ขันธกุมาร" อีกทีหนึ่ง พระขันธกุมารเป็นเทพองค์หนึ่งในระบบความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ส่วนรามเทพนั้น ไม่ต้องการคำอธิบายมาก "ราม" ก็คือ พระรามนั่นเอง ดังนั้น แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า จตุคามรามเทพ เป็นพราหมณ์ในนามพุทธ แต่คนไทยแยกไม่ออก ยกมาเป็นสรณะที่พึ่งหมด จนลืมไปว่าที่พึ่งของเราคือพระรัตนตรัยต่างหาก คนที่ขาดความรู้กลุ่มต่อไปก็คือ "พระสงฆ์" ที่ขาดความรู้ทั้งทางธรรมะและทางวินัย ทางธรรมะ พระสงฆ์ที่เป็นพระเกจิอาจารย์จำนวนมาก ล้วนลืมไปว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราชาวพุทธพึ่งตนเอง ไม่ให้พึ่งคนอื่นเป็นหลัก แต่พระสงฆ์กลับสอนให้เราพึ่งเทพ โดยลืมไปอีกว่า แท้จริงแล้ว เทพนั้นต้องพึ่งธรรม เอาง่ายๆ ก็แล้วกันว่า เทพยังต้องมาอาศัยอยู่ตามวัด ตามบ้าน ไม่สามารถสร้างที่อยู่อาศัยให้ตัวเองได้ คนกลับคิดว่า เทพนั้นยิ่งใหญ่จนต้องมอบกายถวายชีวิตให้เทพ และคิดว่าท่านช่วยเราได้ทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ตามความจริงแล้ว หาเป็นเช่นนั้นไม่ ในวัฒนธรรมความรู้ของพุทธศาสนานั้น เทพก็คือ เทวดา และเทวดานั้น ก็เป็นสภาพหรือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ซึ่งดำรงตนอยู่ได้เพราะบุญที่ตนทำไว้ เวลาจะหมดบุญนั้น เทวดาทั้งหลายล้วนอยากเกิดเป็น "มนุษย์" กันทั้งนั้น เพราะการเป็นมนุษย์ มีโอกาสมากกว่าในการทำความดี ในการพัฒนาตนจนสูงสุดจนเป็นพระอรหันต์ก็ยังได้ การอุบัติเป็นมนุษย์ คือ ยอดปรารถนาของเทพทั้งหลาย แต่มนุษย์ทั้งหลาย กลับคิดว่าการเป็นเทพนั้นวิเศษที่สุด และคิดว่าเทพจะเป็นที่พึ่งให้มนุษย์ได้ทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว เทพก็ยังพึ่งตนเองไม่ได้ หรือได้ก็ไม่สมบูรณ์นัก บางส่วนก็ยังต้องพึ่งมนุษย์เสียด้วยซ้ำ มนุษย์เรานั้น ดีกว่าเทพอย่างไม่มีทางเทียบกันได้ ในคัมภีร์พระธรรมบทเล่าว่า พระอินทร์ซึ่งเป็นเทพชั้นสูง ยังแอบมาตักบาตรกับพระสงฆ์เพื่อจะได้ "ต่ออายุบุญ" ออกไปให้ยืนยาว ส่วนท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี ซึ่งมีคุณธรรมมาก ก็ยังเคยไล่ตะเพิดเทพมิจฉาทิฐิออกจากซุ้มประตูบ้าน จนกลายเป็นเทพเร่ร่อนมาแล้ว ดังนั้น โดยความจริงแล้ว เทพไม่ใช่ที่พึ่งของมนุษย์ แต่ที่พึ่งของมนุษย์คือธรรมะ ในพระไตรปิฎกปรากฏอยู่เสมอว่า เทพมาขอฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า และจากพระอรหันต์สาวกทั้งหลายอยู่บ่อยๆ สิ่งที่เทพต้องการ คือโอกาสในการศึกษาและปฏิบัติธรรม เทพจึงไม่มีเวลาว่างมากมายมานั่งดลบันดาลประทานพรอย่างที่มนุษย์เข้าใจ หากเทพทั้งหลายศักดิ์สิทธิ์จริงๆ แล้ว ในเมืองไทยคงไม่มีใครขัดสน และในประเทศอินเดียซึ่งเป็นบ้านเกิดของเทพคงไม่มีคนยากคนจน และถ้าเทพมีฤทธิ์บันดาลอะไรๆ ได้ตามที่มนุษย์ขอ ถ้าเช่นนั้น เทพไม่ก้าวก่ายการทำงานของกฎแห่งกรรมหรือ ไหนเคยสอนกันมาว่า ทุกอย่างในชีวิตคนเป็นไปตามกฎแห่งกรรม แต่เดี๋ยวนี้ ทำไมทุกอย่างเป็นไปตามกฎแห่งเทพ กฎสองกฎนี้ไม่ตีกันหรือ สำหรับพระวินัยนั้น หากพระสงฆ์มีความรู้สักหน่อย ท่านก็จะรู้ว่า การปลุกเสกลงเลขยันต์นั้นเป็นการประกอบ "มิจฉาอาชีวะ" คือ การหาเลี้ยงชีพที่ไม่ถูกต้อง ยิ่งการทำเป็นธุรกิจยิ่งผิดมหันต์ ยิ่งกระตุ้นให้คนโลภโมโทสันยิ่งไม่ต้องพูดถึงผิดจรรยาของพระสงฆ์อย่างไม่มีทางเลี่ยง ในบางกรณีที่มีการอวดอ้างปาฏิหาริย์ประกอบการขายองค์จตุคาม ยิ่งมีโอกาสผิดพระวินัยร้ายแรงถึงขั้นขาดจากความเป็นพระ พระสงฆ์ว่าขาดความรู้แล้ว คนไทยกลับขาดความรู้ยิ่งกว่า ก็เทพนั้น คนมีกิเลสหนาปัญญาทรามด้วยกันแท้ๆ ช่วยกันปลุกเสก ช่วยกันโฆษณา ช่วยกันสร้างเรื่องขึ้นมาหลอกกันเป็นทอดๆ กระนั้น ก็ยังคงมีคนหลงเชื่อ หลงศรัทธาเป็นบ้าเป็นหลัง ปาฏิหาริย์แห่งปาฏิหาริย์ก็คือ ในสังคมไทยคนหลอกคนได้ง่ายดายอย่างเหลือเชื่อ ขาดความรู้สึก คือ แม้สังคมไทยกำลังเดินออกนอกทางแห่งธรรมถึงขนาดนี้แล้ว มีใคร หน่วยงาน หรือสถาบันไหนตระหนักถึงภัยเหล่านี้บ้าง ? เรายังคงมองการขยายตัวของธุรกิจไสยพาณิชย์ในนามพุทธศาสนานี้ด้วยสายตาแห่งความรื่นรมย์ อาจารย์มหาวิทยาลัยบางคนออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ทำให้คนเข้าวัดมากขึ้น วัดได้รับการบำรุง และวัยรุ่นสนใจธรรมะ นี่คือ อาการขาดทั้งความรู้และขาดทั้งความรู้สึก มองเห็นความเสื่อมเป็นความเจริญนี่คือขาดความรู้ เผยแผ่ความเสื่อมนั้นออกไปจนบดบังพุทธศาสนาและพาสังคมไทยเสื่อมโทรม ก็ยังไม่ตื่น นี่คือขาดความรู้สึก ขาดจิตสำนึกสาธารณะ คือ มีคนจำนวนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ที่จะออกมาอุทิศตนติงเตือนให้สังคมไทยได้ตื่นตัว มองเห็นความวิปลาสคลาดเคลื่อนของการพระศาสนาในสังคมไทยและในระบบความเชื่อของสังคมไทย หากสิ่งเหล่านี้ถูกทิ้งเอาไว้ก็จะกลายเป็นมรดกบาปไปจนถึงคนรุ่นหลัง แล้วอย่างนี้ ประเทศไทยจะเอาศักยภาพทางปัญญาที่ไหนไปแข่งขันในเวทีโลก ขาดปัญญาที่เป็นกลาง คือ ทุกวันนี้ ชนชั้นกลาง ปัญญาชนจำนวนมาก รวมทั้งพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ไม่น้อย ล้วนยินดีใช้ปัญญาของตน เพื่อสนองต่อ "นายทุน" และต่อ "ลัทธิบริโภคนิยม" ที่เน้นความร่ำรวยและความมั่งคั่งทางวัตถุเป็นสิ่งสำคัญ คนที่ได้เปรียบสังคมอยู่แล้วเหล่านี้ ต่างยอมหลับตาเสียข้างหนึ่ง ทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น ต่อความเสื่อมที่คุกคามสังคมไทยในยามนี้ เพราะตัวเองพลอยได้รับประโยชน์โสตถิผล จากความโง่เขลาของเพื่อนร่วมสังคมอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ปัญญาของชนชั้นกลางและชั้นสูงในสังคมในยามนี้นั้นแม้จะรู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี แต่ก็ทนนิ่งเงียบเสียดีกว่า เพราะในความเงียบของชนชั้นกลางและชั้นสูงทั้งหลาย หมายถึงการโกยรายได้เป็นกอบเป็นกำจากคนชั้นล่างหรือชั้นอื่นที่โง่กว่า กรุงศรีอยุธยานั้นว่ากันว่าที่แตกเป็นจุณไม่ใช่เพราะพม่าข้าศึกเก่งกาจอะไร แต่เพราะคนไทยที่เป็นชนชั้นนำ ต่างพากันดูดายและเห็นแก่ตัวต่างหากภาวะอย่างนี้ ชวนให้นึกถึงกวีของสุนทรภู่ที่พรรณนาสภาพกรุงศรีอยุธยาหลังจากเสียกรุงเอาไว้ว่า "กำแพงป้อมขอบคูก็ดูลึก ไม่น่าอ้ายขุนศึกเข้ามาได้ ยังปล่อยให้ข้ามเข้าเอาเวียงชัย โอ้กระไรเหมือนบุรีไม่มีชาย" กรุงเทพฯ แตกย่อยยับทางการเมืองการปกครองและทางเศรษฐกิจแล้ว ยังไม่พอ ยังมาแตกย่อยยับทางจิตวิญญาณซ้ำเติมลงไปอีก สังคมไทยกลายเป็นสังคมหลักลอยทางความเชื่อและไม่มีจริยธรรมทางปัญญาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เห็นสภาพแล้ว อยากสวมวิญญาณสุนทรภู่พรรณนาสภาพกรุงเทพฯ เมืองไทยในตอนนี้ว่า "กำแพงแก้วแววไวไสวสว่าง ยังมาสร้างจตุคามงามหน้าเหลือ มาทิ้งธรรมสยบเทพเสพเป็นเบือ โอ้ว่าเรือประเทศไทยบรรลัยแล้ว" บทความโดย.. ว.วชิรเมธี จาก นสพ. กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: น้าพงษ์...รักในหลวง ที่ มิถุนายน 30, 2007, 07:23:12 AM ขอบคุณครับ..ยอมรับว่า.กระแส.จตุคาม.ช่วงนี้.แรงจริงๆ.. ;)
หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: CAPTAINKID-รักในหลวงที่สุด ที่ มิถุนายน 30, 2007, 07:57:05 AM ผมกลัวอำนาจของจตุคามเหมือนกัน เหมือนมันเร่งเอาโชคของเราออกมามากกว่าปกติ ผมกลัวผลบุญที่สะสมไว้จะถูกดึงออกมาใช้จนหมด ตอนนี้เลยอยากทำบุญมากๆ ยอมรับว่าโชคดีผิดปกติ จนน่ากลัวมาก และถ้าอยากมีประสบการณ์แบบนี้แนะนำให้ลงทุนบูชาองค์เก่าๆที่มีเจ้าพิธีรุ่นแรกจริงๆ ซึ่งตอนนี้ผมห้อยเหรียญปิดตาพังพระกาฬรุ่นแรก แค่อยากอินเทรนเท่านั้นไม่นึกเกินนี้เลย ไม่เคยว่าคาถา ไม่เคยขออะไร
หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: ตะบันไฟ ที่ มิถุนายน 30, 2007, 08:10:44 AM ขอบคุณครับ แรงมาก ไม่เชื่อก็ไม่ลบหลู่ครับ :D
หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ มิถุนายน 30, 2007, 08:17:44 AM ผมกลัวอำนาจของจตุคามเหมือนกัน เหมือนมันเร่งเอาโชคของเราออกมามากกว่าปกติ ผมกลัวผลบุญที่สะสมไว้จะถูกดึงออกมาใช้จนหมด ตอนนี้เลยอยากทำบุญมากๆ ยอมรับว่าโชคดีผิดปกติ จนน่ากลัวมาก และถ้าอยากมีประสบการณ์แบบนี้แนะนำให้ลงทุนบูชาองค์เก่าๆที่มีเจ้าพิธีรุ่นแรกจริงๆ ซึ่งตอนนี้ผมห้อยเหรียญปิดตาพังพระกาฬรุ่นแรก แค่อยากอินเทรนเท่านั้นไม่นึกเกินนี้เลย ไม่เคยว่าคาถา ไม่เคยขออะไร ครับผู้กอง แปลกแต่จริง หรือเป็นเพราะเข้าจังหวะตัวเราพอดี หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: CAPTAINKID-รักในหลวงที่สุด ที่ มิถุนายน 30, 2007, 08:33:48 AM มันแปลกตรงที่บังเอิญมาเกิดตอนเราห้อยนะซิครับ
หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: ozero++รักในหลวงมากค่ะ++ ที่ มิถุนายน 30, 2007, 08:57:44 AM หากเป็นผู้รู้เค้าจะบอกว่าต้องดูที่มวลสารและพิธีค่ะ(จำมาจากทีวี) :D
หากเป็นรุ่นใหม่ๆโอก็ไม่เอาเช่นกัน(แต่เพื่อนเอามาให้ประจำเลย) :D หากเรากลัวผลบุญที่สะสมไว้จะถูกดึงออกมาใช้จนหมด เราก็ต้องสะสมบุญเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ เหมือนเงินๆทองๆ หากเราใช้อย่างเดียวมันก็ต้องมีวันหมดอยู่แล้ว หากกลัวจนก็ต้องหยอดกระปุกฝากธ.สะสมกันไป วันนี้ใช้บุญมากก็ทำบุญให้มากๆ วันไหนใช้น้อยก็ทำบุญมากๆเพื่อที่จะมีเหลือให้ใช้วันอื่นๆค่ะ :D หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: sopon7 ที่ มิถุนายน 30, 2007, 09:04:23 AM เท่าที่สังเกตุ ..เพื่อน ๆและคนใกล้ชิด เมื่อหามาไว้บูชาส่วนมากจะเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองไปในทางที่ดีขึ้น (เมื่อเปลียบเทียบกับก่อนมี)
หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 30, 2007, 09:08:40 AM ขอบคุณมากครับ คุณ Narin CZ .
ผมไม่มีความเชื่อ ในเรื่องของ จตุคาม รามเทพ แม้แต่นิดเดียว. และมีความเห็นตรงกับบทความนี้. ความเชื่อ ที่เป็นเรื่องของแต่ละคน ผมไม่ก้าวล่วง.. แต่ไม่ใช่คนอย่างผม. ผมแขวนพระเครื่อง เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางศาสนา แต่ไม่ใช่ให้พระเครื่องมาช่วยตัวผม ทุกเหตุร้าย ผมใช้อาวุปืนที่มีอยู่ในมือ ช่วยให้ตัวรอดมาทุกครั้ง. กรุงศรีอยุธยาแตก เหตุสำคัญ คือผู้นำอ่อนแอ เกิดความเชื่อแม้กระทั่ง ว่าทหารสยาม สามารถหายตัวได้ จนสามารถจะเป็นอัศวินม้าขาวขับไล่ ทหารพม่า . :OO หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: ozero++รักในหลวงมากค่ะ++ ที่ มิถุนายน 30, 2007, 09:10:20 AM เท่าที่สังเกตุ ..เพื่อน ๆและคนใกล้ชิด เมื่อหามาไว้บูชาส่วนมากจะเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองไปในทางที่ดีขึ้น (เมื่อเปลียบเทียบกับก่อนมี) จริงค่ะ ประมาณเกิน50%สำหรับคนที่โอรู้จักเมื่อบูชาแล้วเค้าปฏิบัติตัวดีขึ้น ไม่ได้จะเชียร์แต่จะชื่นชมกุศโลบายที่ทำให้คนทำดี...ทำบุญกันมากขึ้น แต่ก็มีบางคนผิดวัตถุประสงค์ออกในแนวงมงาย...แบบนั้นทำไม่ถูก ;) แต่ก็ต้องยอมรับว่าราคาของจตุคามนั้น ปั่นกันได้ใจจริงๆ :~) หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: ป - ปั้น-รักในหลวง ที่ มิถุนายน 30, 2007, 09:40:08 AM ........ชอบเพราะดูเป็นงานศิลปะประเภทประติมากรรมนูนต่ำ คนปั้นและแกะขี้ผึ้งใส่ใจในรายละเอียดมาก ..ช่วงนีมีออกมาเรื่อย งานฝีมือก็เยอะ หยาบก็เยอะ ส่วนตัวแล้วไม่สนใจออกวัดไหน ถ้าดูผลงานแล้ว..เล็งเห็นถึงความใส่ใจ ในรายละเอียดของช่างปั้น มีโอกาสก็ซื้อครับ...
หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: Narin CZ ที่ มิถุนายน 30, 2007, 10:17:00 AM ยอมรับครับว่ากระแสจตุคามฯนั้นแรงจริงๆ ผมสังเกตว่าบรรดาแม่ค้าพ่อในตลาดแถวบ้านผม 80 % ต่างก็ห้อยจตุคามกันทั้งนั้น แถมบางคนนั้นห้อยที่เดียวเกือบๆ 10 องค์แน่ะ !(หนักคอแย่เลย)
ส่วนตัวผม แหะ แหะ ไม่มีสั๊กกะองค์ มีแต่ตระกุดลูกปืนของอาจารย์อ๊อดที่ทั้งประธาน อบต รวมทั้งกำนันและเมียกำนันเอามาให้ถึงบ้าน สงสัยจะหาเสียงหรือไงก็ไม่รู้... ;D หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 30, 2007, 10:50:49 PM ขอบคุณมากครับ คุณ Narin CZ . ผมไม่มีความเชื่อ ในเรื่องของ จตุคาม รามเทพ แม้แต่นิดเดียว. และมีความเห็นตรงกับบทความนี้. ความเชื่อ ที่เป็นเรื่องของแต่ละคน ผมไม่ก้าวล่วง.. แต่ไม่ใช่คนอย่างผม. ผมแขวนพระเครื่อง เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางศาสนา แต่ไม่ใช่ให้พระเครื่องมาช่วยตัวผม ทุกเหตุร้าย ผมใช้อาวุปืนที่มีอยู่ในมือ ช่วยให้ตัวรอดมาทุกครั้ง. กรุงศรีอยุธยาแตก เหตุสำคัญ คือผู้นำอ่อนแอ เกิดความเชื่อแม้กระทั่ง ว่าทหารสยาม สามารถหายตัวได้ จนสามารถจะเป็นอัศวินม้าขาวขับไล่ ทหารพม่า . :OO เห็นด้วยอย่างยิ่งกับพี่โร้ดครับ... ;) หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: Rock ที่ มิถุนายน 30, 2007, 11:15:34 PM ผมก็เช่นพี่หมอครับ
หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: หรอย ที่ มิถุนายน 30, 2007, 11:17:59 PM สวัสดีครับ ผมเองไม่เคยสนใจด้านพระเครื่อง แต่กับจตุคาม ผมมองแบบศิลปะครับ
ช่างปั้น แกะแบบ จินตนาการรูปแบบได้ดีมาก และผสมมวลสารต่างๆได้สวยงามจริงๆครับ หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: MadFroG ที่ มิถุนายน 30, 2007, 11:29:51 PM ........ชอบเพราะดูเป็นงานศิลปะประเภทประติมากรรมนูนต่ำ คนปั้นและแกะขี้ผึ้งใส่ใจในรายละเอียดมาก ..ช่วงนีมีออกมาเรื่อย งานฝีมือก็เยอะ หยาบก็เยอะ ส่วนตัวแล้วไม่สนใจออกวัดไหน ถ้าดูผลงานแล้ว..เล็งเห็นถึงความใส่ใจ ในรายละเอียดของช่างปั้น มีโอกาสก็ซื้อครับ... ผมมองเหมือนพี่ปั้นเลยครับ ชอบงานศิลปะทุกประเภทเป็นทุนอยู่แล้ว มีหลายพิมพ์เลยนะครับที่สวย แต่อย่าถามว่าวัดไหน ไม่เคยทราบ หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: Audy452 ♥ รักในหลวง ที่ มิถุนายน 30, 2007, 11:36:59 PM แค่นึกก็เกิดเหตุแปลกๆแล้วครับ....ผมขับรถกลับจากมุกดาหารครับ
มาถึงช่วงขึ้นเขาทางโค้งแถวๆเขตติดต่ออ.ชาติตระการ-อ.ทองแสนขัน ถึงทางโค้งคล้ายจะเบลอๆคนในรถที่หลับอยู่ก็ไอขึ้นมา...พร้อมๆกลับที่ผมก็สดุ้งมีสติ ประครองพวงมาลัยหักเข้าโค้งอันตราย(โค้งนี้ตายหลายศพ)พอดี...ผมขนลุกซู่เลย คนในรถก็สดุ้งตื่นกันหมดเลยนะครับ...เพราะรถผมลงไปไต่ขอบถนนครับ ในใจผมนึกถึงองค์พ่อวัดท่ายายหนีที่ห้อยคออยู่อย่างเดียวเลยครับ ;) หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: o/uboy ที่ มิถุนายน 30, 2007, 11:49:24 PM แสงสว่างกำลังจะมาแล้วครับ อย่างที่ผมเคยบอก ผมเองไม่นับถือแม้แต่น้อย แต่ซื้อเพื่อหวังกำไรเท่านั้น ตอนนี้ก็คงต้องรีบขายกันแล้วครับ อีกหน่อยจากอันละ15,000อาจเหลือแค่1500ได้ครับ
หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: Chaman Davis ที่ กรกฎาคม 01, 2007, 12:01:07 AM ผมก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของท้าวจตุคามฯครับ ที่บ้านมีคนให้มาหลายลูกเหมือนกันแต่ไม่เคยได้แขวนใช้สักทีครับ
หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: Narin CZ ที่ กรกฎาคม 02, 2007, 06:27:27 PM แค่นึกก็เกิดเหตุแปลกๆแล้วครับ....ผมขับรถกลับจากมุกดาหารครับ ใช่แล้ว...น้องAudy452 โค้งนี้หลายศพแล้ว มันเป็นโค้งหักศอกแถมเป็นทางลงด้วย...หากง่วงนอนแนะนำให้แวะหาอะไรกินก่อนที่ร้านของ อบต อะไรนี่แหละจำชื่อไม่ได้อยู่ทางขวามือประมาณ 1.5 โลก่อนถึงทางโค้ง...มาถึงช่วงขึ้นเขาทางโค้งแถวๆเขตติดต่ออ.ชาติตระการ-อ.ทองแสนขัน ถึงทางโค้งคล้ายจะเบลอๆคนในรถที่หลับอยู่ก็ไอขึ้นมา...พร้อมๆกลับที่ผมก็สดุ้งมีสติ ประครองพวงมาลัยหักเข้าโค้งอันตราย(โค้งนี้ตายหลายศพ)พอดี...ผมขนลุกซู่เลย คนในรถก็สดุ้งตื่นกันหมดเลยนะครับ...เพราะรถผมลงไปไต่ขอบถนนครับ ในใจผมนึกถึงองค์พ่อวัดท่ายายหนีที่ห้อยคออยู่อย่างเดียวเลยครับ ;) โชคดีที่ไม่มีอุบัติเหตุ.... หัวข้อ: Re: จตุคาม รามเทพ เริ่มหัวข้อโดย: สหายเล็กน้อย ที่ กรกฎาคม 02, 2007, 08:37:07 PM :) :) :)
...เวลาที่นั่งมองจตุคาม...ผมพยายามมองลงไป...ผ่านรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงาม...เพียรระลึกถึง...การกล่าวขานว่าเป็น...เทพเจ้าแห่งความศักดิ์สิทธิ์...ความมั่งคั่ง...สร้างความเชื่อมั่นและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ...เปรียบเสมือนเครื่องรางของขลัง...ที่ออกแบบได้สวยมาก...เข้ากับยุคสมัย... ...เวลาที่ผมมอง...พระพุทธรูป...พระ...วัด...และพระเครื่อง...ผมมองผ่านลงไป...เห็นพระธรรมคำสั่งสอน...เห็นผู้ซึ่งเสียสละละแล้ว...เฝ้าพร่ำเทศนาสั่งสอนปัดเป่า...ผู้ที่กำลังวนเวียนอยู่ในวังวนของกิเลส...ให้สบายใจคลายใจจากทุกข์...เห็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ในการปฏิบัติธรรม... ...เวลาผมทุกข์ใจ...เวลามีปัญหาอะไร...จตุคามคุยกับผมไม่ได้...แต่พระ...ถึงแม้จะคิดว่าเป็นเพียงพระพุทธรูป...ผมคุยได้...ผมเข้าใจ... |