เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

          อยากให้พี่ ๆ  ช่วยเปรียบเทียบให้หน่อยครับว่าระหว่าง กล้องบุชแนล โฮโลไซท์  กับกล้องซีมอร์  ในการใช้งานนั้นต่างกันอย่างไร  แลวราคาต่างกันมากหรือไม่  ผมเคยเห็นนักกีฬา (IPSC) ในเมืองไทยชอบใช้แต่กล้องซีมอร์  แต่ในต่างประเทศนั้นกลับใช้กล้องโฮโลไซท์  (ผมกำลังหาข้อมูลไว้ไปติดปืนลูกซอง เรฯ 870 ครับ)

เมืองไทย
ราคา เป็นตัวกำหนด  กลไก ทางการตลาด

     ถึงว่า...เห็นบางทีมใช้กล้องรุ่นเดียวกันทั้งทีมเลย

(http://img514.imageshack.us/img514/2764/555tq6.jpg)

(http://i94.photobucket.com/albums/l89/ajakeblade/REM%20870/_AJK8703.jpg)

ซีมอร์เป็นกล้องจุดแดงธรรมดาครับ....ตัวฉายภาพ มันจะฉายเอียงๆทำมุมกับจอครับ  ทำให้บางครับตำแหน่งจุดมันคลาดเคลื่อนได้(เวลามองในตำแหน่งที่ไม่ใช่ตำแหน่งของมัน)

HOLO Sight มันใช้เทคโนโลยีสูงจัด จอมันจะใส่หรือฉาบอะไรสักอย่างเนี่ย ตัวฉายภาพจะอยู่ใต้จอเป๊ะๆ(เหมือนจอเล็งอาวุธของเครื่องบินรบ) ไม่ว่าเราจะมองท่าไหน สายตาเราจะเห็นเหมือนกับว่าจุดมันลอยอยู่ที่เป้า ตาเราก็จะไม่ต้องโฟกัสทีละหลายจุด ทำให้เล็งได้เร็วขึ้น ตำแหน่งจุดก็ไม่เคลื่อนด้วย(แจ่ม...)

ปัญหาคือ จุดแดงแบบซีมอร์มันมีแต่ตั้งราคาไม่ถึง2000 แต่ไอ้ HOLO ต่ำสุดมัน13000 อ่ะท่าน.....

ถ้าเป็นกล้องจุดแดงยี่ห้อ C-more แท้ๆ กับ Bushnell HOLOsight ราคาในต่างประเทศ  ประมาณ 250 -300 เหรียญ แต่ C-more แพงกว่านิดหน่อยครับ


ส่วนการใช้งาน ไม่ทราบเหมือนกันครับ

ก็จริงครับ....ฝรั่งเขาถึงได้ใช้แต่ HOLO กัน

นักกีฬา IPSC ในเมืองไทยชอบใช้แต่ C-more  เทียบกับต่างประเทศก็ต้องเทียบวงการเดียวกันด้วยสิครับ
ช่วยพิสูจน์ด้วยว่า นักกีฬา IPSC ในต่างประเทศนิยมใช้กล้องโฮโลไซท์นั้น ดูหลักฐานจากตรงไหน ?
นักกีฬา IPSC  แชมป์ 50 คนแรก(หรือ top 50) มีใช้โฮโลไซท์อยู่คนเดียวและเป็นคนสุดท้าย คือ เจอรี่ บานฮาร์ท
และเจอรี่ก็หยุดยิงไป ๕ ปีแล้วครับ



มั่วทุกบรรทัด

 ;D ;D ;D

;D ;D :<< ;D ;D

ต้องขออธิบาย  เราเอาความเป็นจริงมาคุยกันนะครับ อย่าใช้อารมณ์
ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น กล้องจุดแดงอื่น เช่น เอมพ้อยท์ และโฮโลไซท์ ก็ถือเป็นจุดแดงธรรมดาเหมือนกัน
เกิดคำถามว่า แล้วจุดแดงไม่ธรรมดาเป็นอย่างไร ?


กล้องตัวอื่นก็ใช้ระบบทำมุมกับจอเหมือนกัน 
หยิบขึ้นมามองถ้าจับตัวกล้องอยู่กับที่ แล้วเอียงตัวไปมาจุดแดงจะเปลี่ยนตำแหน่งเหมือนกันหมดทุกแบบครับ
หลักการออกแบบกล้องชนิดนี้ เพื่อให้จุดแดงเป็นแนวเดียวตรงกับลำกล้อง
ตราบใดที่แนวลำกล้องไม่เปลี่ยน ตำแหน่งกระสุนตกของจุดแดงย่อมไม่เปลี่ยน



เป็น anti-reflect coating กันแสงสะท้อน ด้วยการอบไอโลหะ มีทั้งชนิดแพงและชนิดถูก
ที่เราเห็นในชีวิตประจำวันคือ แว่นตา  จอทีวี จอโน๊ตบุ๊คบางประเภท


ถ้าโฮโลไซท์ไม่ต้องโฟกัสหลายจุด มองจออย่างเดียว  ซีมอร์ก็เช่นเดียวกัน
จุดต่างแค่ โฮโลไซท์สามารถเปลี่ยนจอเส้นเล็งได้  ขณะที่ซีมอร์เปลี่ยนจอ(จะเรียกเลนส์ก็ได้)ตายตัว เปลี่ยนไม่ได้


ซีมอร์ไม่มีราคา 2000 บาทครับ  ราคาของใหม่ซีมอร์บ้านเราไม่มีใครขายต่ำกว่า 13000 บาท
แม้ว่าโฮโลไซท์รุ่นแรกนั้นเกือบสองหมื่น  แต่รุ่นปัจจุบันทำถูกลง(เพราะรุ่นเก่าขายไม่ออก และเลิกผลิตไป)
ราคาอ้างอิงในสหรัฐเป็น US$ ก็ใกล้เคียงซีมอร์

Holosight  เป็นชื่อของชนิดของกล้อง  ที่เรียกว่า Holographic sight  ซึ่งใช้แสง laser เป็นตัวช่วยสร้างรูปของศูนย์ที่เห็นบนจอภาพ( head up display ) โดยยิงแสง laser ผ่าน reticle mask ( หลัการเหมือน การแสดงหนังตลุง ) กล้องแบบนี้คือเช่น  EOtech http://www.eotech-inc.com/lawe_hwsmodels.php
และอีกยี่ห้อที่ทำเลียนแบบของ EOtech แต่ถูกกว่าคือ Bushnell Holosight http://www.swfa.com/c-196-bushnell-holosights.aspx กล้องพวกนี้จะทำให้เห็นเหมือนกับว่า ศูนย์ของกล้องอยู่ข้างหน้าของตัวคนเล็ง  ออกไป 50 หลา
Reflex sight  ( red dot sight)  ใช้ LED เป็นแหล่งกำเนิดตัวศูนย์จุดแดง  ส่องเข้ากระทบจอภาพ  กล้องจำพวกนี้คือ C-MORE , Aimpoint , Trijicon เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า กล้องทั้งสองชนิด ใช้หลักการต่างกัน  ผลการใช้ใกล้เคียงกัน แต่ Holosight จะได้เปรียบกว่าเล็กน้อย ( โดยส่วนตัว)
ถ้าจะเทียบราคากล้อง Holosight กับ C-MORE  ต้องเทียบกับ Bushnell  Holosight ราคาจะพอๆกัน   แต่จะนำ C-MORE ไปเทียบกับ
EOtech ไม่ได้ครับ  ;)

คนเข้ามาทีหลัง อาจจะงงๆ ว่าใครถูกใครผิด

บอกใบ้ว่า ในหลายๆท่านที่ตอบ มีนักกีฬา IPSC และกรรมการระดับ..อ๋อง.. อย่างน้อยหนึ่งท่าน

ผมเชื่อคนในวงการครับ เพราะจับ รู้ สัมผัส มาตรงๆ

บุชแนลโฮโลไซท์ เทอะทะเกินไปไม่เหมาะกับปืนสั้น คิดว่าน้ำหนักก็มากด้วยนะครับ

จากประสบการณ์ของตัวเองพบว่า กล้อง C-More เป็นกล้องที่ออกแบบได้สุดห่วยสำหรับผู้ใช้ครับ แต่ออกแบบได้ดีสำหรับผู้ขาย ซ่อมไม่ได้ต้องซื้อกล้องใหม่บ่อยๆ

1.   ใช้พลาสติกเป็นตัวถัง แต่ดันใช้สกรูแบบหัวกรวย (หัวกรวยจริงๆนะครับไม่มีเจตนาอื่น อย่าเปลี่ยนเป็นตัวอักษรไทยที่ 4 หล่ะ) พอขันแรงไปนิดหน่อย กรวยก็จะอัดไปที่พลาสติกทำให้เกิดแรงดึงและแรงเฉือนจนพลาสติกปริแตก แล้วก็ปริแตกง่ายมากจริงๆ ถ้าเป็นหัวแบนจะลดปัญหานี้ได้เยอะเลย แต่ถ้าเปลี่ยนตัวถังเป็นมีเนียมจะสุดยอด
2.   บอบบางเสียหายจากการกระทบกระแทกง่ายมาก การใช้วัสดุและอุปกรณ์น่าจะมีจุดประสงค์ให้ไม่ทนทานและซ่อมไม่ได้เพื่อขายของใหม่เรื่อยๆ
3.   ในกล้องหนึ่งตัว ไม่รู้ว่าคนออกแบบคิดได้อย่างไร ใช้สกรู 6-7 ขนาดได้มั้ง แถมยังต้องใช้ไขควงหรือประแจขัน ปากหกเหลี่ยม ปากแบน ปากดาว ครบเลย แกะซ่อมทีนึงเครื่องมือแทบจะกองเต็มโต๊ะ (อันนี้เว่อร์ให้เห็นภาพ) และถ้าจำไม่ผิดเคยเจอแบบที่ใช้เกลียวทั้งระบบอังกฤษและเมตริกในกล้องตัวเดียวกัน
4.   รวมๆแล้วมีขนาดที่เทอะทะ(ทั้งๆที่ดูราวกับว่ากระทัดรัด) ผมว่าสามารถลดระดับของเลนซ์ลงมาให้ใกล้กับแนวลำกล้องได้อีกประมาณ 1 เซนติเมตร สามารถตัดด้านท้ายออกได้ประมาณ 2.5 เซนติเมตร
5.   ออกแบบได้ไงใช้ความต้านทานเป็นตัวปรับความเข้มแสง เปลืองถ่านสุดๆ ไม่ประหยัดพลังงานเลย
6.   ตั้งศูนย์ยากเพราะปรับที่เลนซ์ ไม่ได้ปรับที่หลอดไฟ การปรับซ้าย-ขวา กับการปรับสูงต่ำไม่อิสระจากกัน เราต้องการจะปรับแต่ทิศซ้าย-ขวา แต่จะทำให้ระยะสูงต่ำเปลี่ยนไปด้วย




ข้อดี ดูดีกว่ากล้องแบบท่อ(จริงแท้แน่นอน) และเล็งง่าย เร็ว(อันหลังนี้ไม่มั่นใจนัก)


ต้วผมเองก็ใช้แต่ไอ้กล้องออกแบบสุดห่วยนี่แหล่ะครับ กลัวไม่เท่  ;D ;D

     ขอขอบคุณพี่ ๆ  ทุกท่านครับ 
ไอ้กระผมมันความรู้น้อย ก็เลยต้องแสวงหาข้อมูลจากพี่ ๆ  ในเวปนี่อีกนานเลยครับ

ขอติดตามด้วยคนครับ แต่อ่านแล้วก็งงๆ ครับ ยังไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง(ใครมั่วไม่มั่ว) ส่วนตัวแล้วใช้ holosight ของ bushnell  ใช้กับลูกซองครับ

โทษทีครับ.....ข้อมูลไม่แน่น....

ขอแก้ตัวหน่อย

หลังจากเสียเวลาไปหาข้อมูลมาพอสมควร ทำให้ผมเองก็ทึ่งไปกับเทคโนโลยีตัวนี้ครับ ผมเลยอดที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังไม่ได้...
ในระบบการยิงด้วย Red Dot ธรรมดานั้น ตัว Dot เองจะเป็นแบบที่ตัวเลเซอร์ จะถูกติดตั้งอยู่ที่ด้านข้าง หรือด้านล่าง แล้วใช้การฉายจุดเลเซอร์ ตกกระทบไปยังเลนส์เฉียง 45องศา ซึ่งเลนส์ตัวนี้จะเป็นกระจกโปร่งแสง เราเลยสามารถสะท้อนแสงเลเซอร์ ในขณะเดียวกับที่เราสามารถมองทะลุผ่านเลนส์ตัวนี้ได้

แต่การใช้งาน Reflexing Dot Sight แบบนี้ จะเกิดปัญหา หากเรามองในมุมที่เปลี่ยนไป เนื่องจากตาของคนปกติ จะมีความห่างของจุด Focus ของตาทั้งสองข้างอยู่ที่ประมาณ 2.5cm ซึ่งเป็นกลไกของร่างกาย ทำให้สามารถ Focus ภาพที่ระยะต่างๆกันได้ ดังนั้น หากระยะไม่เหมาะสม ประกอบกับทิศทางที่ใช้มองลอดผ่าน Scope ไม่เป็นเส้นตรง จะทำให้เราไม่สามารถมองเห็น Dot ได้ (หากนึกภาพไม่ออก ลองเอียงศรีษะซ้าย-ขวาขณะมองลอด Dot ดูครับ)
(http://www.eotech-inc.com/images/fieldview.gif)
ดังนั้น Dot ที่มีราคาแพง จึงมีคุณสมบัติในการมองได้มุมกว้างกว่า Dot ที่มีราคาถูก โดยใช้ Reflexing Lens ที่มีคุณภาพสูง แต่ท้ายที่สุด ก็ยังไม่สามารถเอาชนะสรีระร่างกายคนได้

จนเมื่อปี 1995 ทางบริษัท EOTech ก็ได้มีการค้นคว้า และนำเทคโลยี Hologram เข้ามาเพื่อแก้ปัญหานี้ จนกระทั่งผลิตภัณฑ์รุ่นแรกได้เข้าสายการผลิตในปี 1996 และมีการพัฒนาจนถึงรุ่นที่สองในปี 2000

หลักการทำงานนี้ เรียกว่า Holographic Weapon Sight (HWS) ซึ่งมีใช้งานมาก่อนหน้านี้แล้วในแผงหน้าปัทม์เครื่องบินขับไล่ ที่เรียกว่า HUD (Head Up Display) โดยใช้หลักการบันทึกภาพ Hologram ของศูนย์ Dot ลงบน Recording Meterial ส่งผลให้เกิดภาพ 3 มิติบนวัสดุที่ใช้ทำการบันทึก



เมื่อศูนย์เล็งเป็นภาพ 3 มิติ ดังนั้นจึงหมดปัญหาในเรื่องของ Focus สายตา แทนที่จะมอง Laser ผ่าน Reflexing Lens ที่อยู่ด้านหน้าไปยังเป้าหมายที่ระยะ 50 หลา ระบบ HWS จะฉายภาพ Hologram ของ Dot Sight ที่ระยะ 50 หลาแทน (เท่ากับเราจะเห็นศูนย์ Dot ลอยเท้งเต้งอยู่ไกลๆ) ซึ่งผลลัพธ์ ก็คือ ลกระยะเวลาการปรับ Focus ของตา และลดระยะเวลาในการหาศูนย์ Dot ในการรบแบบ CQB ที่เวลาเสี้ยววินาที หมายถึงชีวิต
(http://www.eotech-inc.com/images/obstruct.gif)

ระบบ HWS นี้ไม่ใช่มีแต่ Dot ของ EOTech แต่กล้องชั่นนำอย่าง Bushnell ก็ได้ผลิตศูนย์ HWS เช่นเดียวกัน ดังนั้น ต่อไปหากจะเรียกถึง Holo Dot ขอให้นึกถึงคำว่า HWS - Holographic Weapon Sight ไม่ใช้ EOTech ซึ่งเป็นชื่อของยี่ห้อ Dot ครับ

(http://www.eotech-inc.com/images/durability.gif)[/img]

Credit ข้อเขียนของคุณ Carlos จากบอร์ด bbkairsoft

(http://i94.photobucket.com/albums/l89/ajakeblade/REM%20870/_AJK0473.jpg)
Aimpoint

(http://i94.photobucket.com/albums/l89/ajakeblade/REM%20870/_AJK0553-1.jpg)
EOTech

ไม่เคยใช้ C-More ครับ แต่เคยใช้ EO-Tech และ Aimpoint ในส่วนของเทคโนโลยีการใช้งานคงตามที่หลายๆ ท่านกล่าวมา แต่ถ้าในเรื่องของความทนทานการใช้งาน EO-Tech และ Aimpoint แข็งแรงมากๆ ครับ แต่น้ำหนักก็เยอะ และเทอะทะด้วย จึงเหมาะกับการใช้งานแบบปฏิบัติการ มากกว่าการแข่งขัน

(http://i94.photobucket.com/albums/l89/ajakeblade/Glock%2019%20Olive%20Drab/_AJK0468.jpg)
Doctor Optics

มีคำถามถามพี่ๆ ด้วยครับ ในการแข่งขัน IPSC มีใครใช้ Doctor Optics บ้างไหมครับ ผมว่ามันเล็กดี แต่ทำไมใช้ไปใช้มารู้สึกว่าเล็งช้ากว่าศูนย์เดิมไม่รู้  ???

ขอบคุณครับ

จากการวิเคราะห์ของผมเองนะครับ ผิดถูกอย่างไรช่วยแก้ไขด้วย

ความไม่ดีของ Holosite คือ เทอะทะ หนัก และแพง ความดีอยู่ที่เทคโนโลยี่สูงและการมี paralax น้อยมากๆ เรียกว่าเป็นกล้องจุดแดงชั้นยอดก็แล้วกัน ซึ่งดีสุดยอดแต่เกินความจำเป็นสำหรับการยิงปืนแบบ IPSC

การยิงปืนแบบ IPSC โดยเฉพาะปืนสั้นและลูกซอง ส่วนมากมักจะมีการเล็งแบบหยาบๆและยิงในระยะใกล้(ในที่นี้ 50 เมตร ถือว่าไกล แต่ไม่ถึงกับไกลมากกกก นะครับ) แถมผู้ยิงก็ซ้อมจับปืนชักปืนจนกระทั่งหลับตาหรืออยู่ในห้องมืดชักปืนก็ยังมองเห็นศูนย์ตรงกับเป้าได้ดังนั้นต่อให้มี paralax ถึงสเกล 4 ก็ยัง ไม่เดือดร้อน ยิง IPSC ได้สบายมาก กล้องห่วยหน่อยก็ยังสามารถนำมาใช้ได้ครับ

จากความเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวอีกเช่นกันนะครับ

กล้อง Docter เป็นอีกตัวอย่างของการออกแบบที่มี concept ดีมาก แต่พอทำออกมาแล้วมีข้อบกพร่องพอสมควร เนื่องจากหลักใหญ่ๆคือต้องการให้กล้องมีขนาดเล็กกระทัดรัด

เพราะต้องการให้เล็ก เลนซ์ก็เลยต้องเล็กและมีส่วนโค้งพิเศษแต่หลอกตาพอสมควรทีเดียว ทดสอบมองผ่านเลนซ์โดยยังไม่ต้องเปิดด๊อทดูสิครับ ลองเอียงกล้องทำมุมต่างๆกันจะเห็นว่ามีการเบี่ยงเบนของแสงและขนาดภาพอย่างเห็นได้ชัด

อีกส่วนหนึ่งก็คือ ระยะห่างของเลนซ์กับจุดกำเนิดแสงใกล้กันมาก ทำให้เกิดการเปลี่ยนตำแหน่งของด๊อทมากกว่ากล้องที่มีระยะห่างของเลนซ์กับจุดกำเนิดแสงมากกว่า ทดสอบอย่างนี้ครับ วางกล้องไว้ให้นิ่งๆไม่สามารถขยับได้ เปิดด๊อท มองผ่านเลนซ์ไปยังเป้าหมาย ขณะที่มองนั้นให้ขยับตัวไปยังตำแหน่งต่างๆ เริ่มจากตรงกลาง ไปซ้าย-ขวา สูงขึ้น-ต่ำลง เราจะพบว่าด๊อทเคลื่อนจากกลางเป้าไปรอบๆและมีระยะที่เคลื่อนออกไปจากกลางเป้าเยอะมาก เมื่อเทียบกับกล้องที่มีระยะห่างของเลนซ์กับจุดกำเนิดแสงมากกว่าเช่น C-More,  Tasco, Aimpoint

นี่คือเหตุผลที่ทำให้กล้อง Docter เล็งยากกว่า แม่นน้อยกว่าโดยเฉพาะยิงไกลแบบเร็วๆ แต่ความคล่องตัวและเบาทำให้มีนักยิงปืนจำนวนหนึ่งเลือกใช้กล้อง Docter ด้วยเหตุผลลักษณะเดียวกับที่โพสไว้ก่อนหน้านี้ คือ IPSC มักยิงในระยะใกล้ และคนยิง IPSC ซ้อมมากจนกระทั่งกล้องเล็กหรือใหญ่ก็แทบไม่มีความแตกต่างกัน แต่เดิมสำหรับปืนสั้นกล้อง Docter มักได้รับการติดตั้งกับสไลด์โดยตรง แต่เสียหายง่ายเพราะการเคลื่อนที่ติดไปกับสไลด์จะต้องรับแรงกระแทกตลอดเวลา จึงมีการติดตั้งโดยใช้ขากล้องซึ่งทำให้ทนทานขึ้นมากและน่าจะทนกว่า C-More หลายเท่าเลยทีเดียว

อีกส่วนหนึ่งที่ผมไม่ชอบ Docter เลยก็คือการใช้ความเข้มแสงภายนอกมาเป็นตัวปรับความเข้มของด๊อทโดยอัตโนมัติ แต่ละคนชอบความเข้มของด๊อทไม่เหมือนกัน ที่จริงก็มีวิธีหลอกกล้องโดยปิดเทปบางๆตรงจุดรับแสง หรือเลือกใช้ถ่านให้เหมาะสมได้ แต่แหมผมอยากหมุนเองนี่ ยิงใกล้ๆผมชอบให้ด๊อทเข้มๆ ยิงไกลๆผมชอบให้ด๊อทจางๆหน่อย แต่หมดสิทธิเลือกครับกล้องจัดการให้หมด

ถ้าผมทำกล้องเองได้ ผมจะใช้หลักการของ Docter กับ C-More มารวมๆกัน จะได้กล้องที่ถูกใจมากทีเดียวครับ

ในความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ...ผมว่าใครเริ่มฝึกฝนจากกล้องแบบไหนก็จะชินกับแบบนั้น..นี่ผมพูดถึงความเคยชินนะครับ.
สมัยแรกๆผมเคยคิดจะใช้กล้อง Holosight อยู่เหมือนกันครับ แต่พอทดลองจับกล้องดูรู้สึกมันหนักและใหญ่ครับ เลยหันมาใช้ C More พอใช้ไปนานๆมันก็เคยชินกับมัน ช่วงหลังเห็นหลายคนมาใช้ของ Doctor ดูไม่เลวครับแต่พอไปลองดู..อ้าว...หาด๊อทไม่เจอเพราะทุกอย่างมันเปลี่ยนไปทั้งความสูงและตำแหน่ง แถมรุ่นแรกๆติดบนสไลด์ ผมเห็นกับตาว่ายิงๆไป มันแยกเป็น 3 ชิ้นปิวว่อนเลย....ก็เลยเลิกสนใจ เห็นรุ่นหลังนี่ก็อย่างที่ อ.ใหม่ บอกทำขายึดกันก็น่าจะดี.
สรุปแล้ว..ผมว่าถ้าเริ่มต้นใช้แบบไหน มันก็จะชินกับแบบนั้นครับ..ดีกันคนละแบบแต่เท่าที่ใช้มา Cmore มีปัญหาตรงปุ่มเปิดปิดครับ...หมุนบ่อยๆมันหลวมหรือเสียง่ายเหมือนกันครับ... :~) :~)

จริงครับพี่นก ไม่ชิน ก็ยิงได้ไม่ดี แถมหาศูนย์ไม่เจออีกด้วย แต่ถ้าเราซ้อมสักพักก็น่าจะปรับตัวได้ไม่ยาก เรายังยิงได้ทั้ง 1911, 2011, Glock, CZ, Walther etc. (สำหรับผมนี่ยกเว้น กล๊อค 21 กับ บาร์เรตต้า ที่ปรับตัวเข้าหาปืนได้ยากเหลือเกินเพราะด้ามที่ใหญ่ กับ มือน้อยๆของผมนั่นเอง)

แต่สำหรับกรณี Doctor นี่ พี่นกทดลองดูนะครับ เป็นอย่างที่ผมว่าจริงๆ ผมอยากเปลี่ยนไปใช้ Docter ด้วยหลายเหตุผลเช่น เล็ก, เบา, โครงสร้างแข็งแรงกว่า C-More, ดูเท่, ประหยัดถ่านสุดๆ,  concept ในการออกแบบหลายๆประเด็นเยี่ยมยอด ผมเคยเอาของเพื่อนมาลองอยู่พักนึงจนเริ่มชินแล้วหล่ะ ถ้าเอาจริงๆก็ใช้ยิงได้แน่นอน แต่ด้วยข้อจำกัดต่างๆที่ว่าไว้ทำให้ตัดสินใจเลือก C-More ครับ

อ้อมีอีกประเด็นของ Docter dot ที่ผมไม่ชอบเลย  คือวิธีการเปลี่ยนถ่านที่ต้องแกะกล้องทั้งตัวออกมาก่อนจึงจะเปลี่ยนถ่านได้ แถมน๊อทที่ต้องแกะยังดันเป็นน๊อทยึดกล้องเข้ากันปืนเสียด้วย เกลียวก็บางๆ หวานง่ายมาก

ขออนุญาตถามตรงๆว่า

เคยได้ลองจับ ลองเล็ง ลองใช้งาน ศูนย์เหล่านี้บ้างไหมครับ

ขอบคุณครับ

ผมเคยคิดที่จะเปลี่ยนเหมือนกันครับ...แต่พอนึกถึง Cmore 3 ตัวที่มีอยู่ก็เลยไม่เปลี่ยนครับ เนื่องจากว่าถ้าเปลี่ยนไปคุ้นกับ Doctor พอกลับมาใช้ Cmore เดี๋ยวก็ไม่คุ้นอีก สรุปก็เลยยิงด้วย Cmore ต่อครับ....อนาคตไว้ว่ากันอีกทีครับ ;D ;D ;D

Cmore 3 ตัว  หวานนนน...... :D~ :D~ :D~

Doctor เห็นเค้าว่าใช้ดีนะครับพี่ ;D ;D ;D

จุดแดง เมื่อตั้ง ตำบลกระสุนตก ให้สัมพันธ์ กันแล้ว
ก็ไม่ต้องสนใจ ว่า เราจะมองที่มุมใด
ถ้าเห็นจุดแดงทาบเป้า ก็หมายถึงว่า แนวตำบลกระสุนตกนั้น
ย่อมตรงทิศทาง อย่างที่ควรจะเป็น
เพราะว่า เราไม่ต้องเราผ่านเลนส์แบบตรง ๆ  แต่จุดมันบ่งชี้แทนแล้ว
ทำให้เรา มองเห็นวิว ในมุมกว้าง ได้มากกว่า

น้องหนุ่มจะเปลี่ยนหรือจ๊ะ...ถ้างั้นเอามารวมกับของผมเป็น 4 ตัวก็แล้วกัน... ;D ;D ;D

 :D~ :D~ :D~

พี่นกทดลองตามที่โพสด้านบนดูสิครับ ผมเชื่อว่าพี่นกจะไม่อยากใช้ Docter อีกเลย ตำแหน่งกระสุนตกมันเลิ่อนไปเยอะมากเลยนะพี่

ถ้าอย่างงั้นเวลายิงพอร์ตต่ำๆก็ห้ามตะแคงปืนยิงสิครับเพราะแนวกระสุนจะเคลื่อนไปมากเหมือนกัน ยกเว้นแต่ว่าจะต้องถือปืนในแนวเดียวกับร่างกายเหมือนยิงธรรมดาอยู่ใช่ไหมครับ ??? ???

ยิงท่าใดก็ได้ เอียงอย่างไรก็ได้ แต่จะต้องรักษาด๊อทให้อยู่ที่กลางเล็นซ์ตลอดเวลาจึงจะแม่นยำ ในขณะที่กล้องอื่นๆมีระยะอนุโลมมากกว่าเช่นด๊อทอาจไม่ต้องแตะกลางเล็นซ์เป๊ะก็พอจะยิงได้แล้ว พี่นกทดลองอย่างที่ผมว่าก่อนก็แล้วกัน ผมก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้เห็นภาพมากกว่านี้

ที่พี่นกยกตัวอย่างมาเป็นกรณีที่ตรงกับเรื่องที่ผมพยายามอธิบายเลย โดยปกติ ถ้าเป็นจากท่ายืนยิงมักไม่มีปัญหาเพราะเราซ้อมท่านี้มากกว่าท่าอื่นๆ เราหาด๊อทได้ง่ายอยู่แล้วหลับตายังสามารถเอาด๊อทไปทาบเป้าได้เลย แต่พอเจอท่าเอียงๆตัวซึ่งพวกเราซ้อมน้อยอยู่แล้ว แถมการเอียงตัวแต่ละสนามก็เอียงไม่เท่ากัน ยิ่งไปเจอ Docter ยิ่งยิงยาก หาด๊อทยาก พบเห็นด๊อทบนขอบๆเลนซ์ก็เหนี่ยว ปรากฏว่ามิส อะไรทำนองนี้ครับ

ที่โพสมานี้ไม่ได้ต้องการโจมตีว่ากล้องยี่ห้อใดห่วยอย่างไรนะครับ แต่ต้องการชี้จุดต่างๆที่พบบนพื้นฐานจากประสบการณ์การยิง IPSC เป็นการกีฬาเท่านั้น

สมมุติว่าผมเปลี่ยนอาช๊พเป็นประเภทที่ต้องใช้ปืนสั้นเป็นอาวุธระยะประชิดตัว หรือในเมือง ถ้าผมจะเลือกกล้องจุดแดงผมคงเลือก Doctor เป็นอันดับหนึ่ง อาจมีตัวเลือกอื่นได้อีก แต่ที่ไม่เลือกแน่นอนคือ C-More

ถ้าต้องต่อสู้ระยะใกล้ๆ-ไกลๆ บุกป่าฝ่าดง ลุยมากๆ ผมคงเลือก Holosite, Aimpiont, Tasco ที่ไม่เลือกแน่ๆก็คือ C-More อีกเช่นกัน

แต่ถ้ายิงเป็นกีฬาโดยเฉพาะ  IPSC Open division ผมก็จะเลือก C-More (ทั้งๆที่มีจุดห่วยๆมากมาย) แต่ไม่เลือก Doctor หรือ Holosite แน่นอน

การแลกเปลี่ยนความรู้มันได้ประโยชน์เสมอครับถึงแม้บางครั้งความคิดเห็นจะต่างกันเพราะประสบการณ์ที่เจอและวิธีการต่างกัน
มีโอกาสผมจะลองอีกทีครับกับศูนย์ Doctor ตามที่ อ.ใหม่ บอกครับ

นับว่าโชคดีครับ....เอียงรับกล้อง ;D

C-more ของผมกำลังจะแยกเป็น 2 ชิ้นในไม่ช้านี้แล้ว เป็นจุดที่ซ่อมไม่ได้เสียด้วยสิ

อาการเป็นแบบไหนครับ... :OO :OO

เริ่มเป็นมานานแล้วครับ ทีแรกแตกจากน๊อทล๊อคปรับซ้ายขวา ตามด้วยจากฝั่งตรงกันข้ามด้านซ้าย เหลือที่ยังไม่ขาดออกจากกันซัก 2-3 มิล ตอนนี้ยังยิงอยู่ได้เพราะอัดกาวช้างกับฐานกล้องและน๊อทยึดกล้องอีกสามตัว ลองใช้ไปเรื่อยๆก่อนครับ ดูซิว่าคนกับกล้องใครจะอึดกว่ากัน :D

อืมม คงจะใช้หลายคลาสฯแล้วมั้งครับ อายุกล้องคงพอสมควร ;D
อาการน๊อตยึดหัวน็อตปรับซ้ายขวานี่ ผมก็เป็น แต่เป็นลักษณะเกลียวรูด แต่พอจะยึดได้อยู่บ้างครับ
ศูนย์ก็ยังเที่ยงตรงตลอด ไม่โยเย เลยไม่ต้องปรับศูนย์บ่อย หรืออาจเป็นว่ากล้องไม่ถูกกระแทกตอนอยู่ในกล่อง
ผมจะมีผ้ายืดครอบกล้องอีกชั้นหนึ่ง...ก็อาจเป็นได้ครับ :D
แบบนี้ครับ....
(http://www.midwayusa.com/mediasvr.dll/highresimage?saleitemid=399574)

กาวตราช้าง อย่างเดียวไม่แข็งแรงเท่าไรครับพี่

ลองตัดกระดาษทิชชู่บางๆวางซ้อนดามตามรอยแตก แล้วหยอดกาว เหมือนทำไฟเบอร์กลาส  ครับ

กระดาษจะดามและรับแรงได้ดีกว่าเนื้อกาวอย่างเดียวครับ

ไอเดียทิชชูไฟเบอร์เทียมเข้าท่าดี

ได้วิชามาจากรถ Tamiya ครับ

ถ้าทำความสะอาด เตรียมผิวงานดี ความแข็งแรงหายห่วงครับ

เคยปะมาแล้วหลายอย่าง หม้อน้ำรถยนต์ยังเอาอยู่ครับ

ขอบคุณคุณทัดมาลา  เรื่องไฟเบอร์เทียมเช่นกันไอเดียน่าลองครับ

แหะๆ ตั้งแต่ซื้อปืนเลยครับ (คลาส U Open) แถมเป็นปืนเก่ามากกกก ซื้อต่อมาจากคเชนทร์ ถ้าพี่นกเห็นสภาพอาจสงสารจนบริจาคกล้องเก่าๆให้ผมซักตัวก็เป็นได้


น่าสนใจมากเดี๋ยวจะลองครับ วิธีนี้เป็นการสร้าง Composit Material ชนิดหนึ่งเลยนะเนี่ย

เยี่ยมครับ....แต่หน้าแตกใช้ได้เปล่า... ;D ;D

ด้วยความยินดีครับ 

ถ้าหน้าแตกต้องไปหาหมอประจำทีมครับ...หมู หมา กา ไก่...รักษามาหมดแล้ว... ;D ;D ;D


ขอบคุณสำหรับความคิดดีๆที่มอบให้ทุกคนครับ.