เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => สนทนาภาษาปืน => ข้อความที่เริ่มโดย: nirin ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 09:53:40 AM



หัวข้อ: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: nirin ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 09:53:40 AM
เปิดไฟไล่ท้ายถึงยิง "ทารก"ดับ! แซงประกบรัว4นัด


ตร.จับหนุ่มซีวิค เลือดร้อนปืนดุ ผัวเมียเก๋งซิตี้ "ลูก"โดนลูกหลง

จับหนุ่มเลือดร้อนแค่โดนเก๋งคันหลังเปิดไฟไล่ หักหลบลงข้างทางขับรถขึ้นประกบชักปืน11มม.ยิง 4นัดซ้อนใส่เก๋งมีเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ระยอง ขับมากับเมียและลูกทารกแรกเกิดอายุ 8 วัน คมกระสุนเจาะหัวเด็กดับอนาถ ก่อนโดนตร.รวบ สอบสวนอ้างอีกฝ่ายยิงปืนขึ้นฟ้าขู่ก่อน ตั้งใจจะยิงยางรถ ด้านพ่อแม่ของทารกโวยทำไมต้องทำกันถึงขนาดนี้ ทั้งที่ไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อน

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 27 ก.พ. พล.ต.ต.ภูมิรา วัฒนปาณี ผบก.ระยอง และ พ.ต.อ.จิระวุฒิ ตัณฑะศรี ผกก.สภ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง ร่วมแถลงจับกุมนายวัชฤทธิ์ เจตสมมา อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 49/3 หมู่ 3 ต.ตะพง อ.เมือง จ.ระยอง ผู้ต้องคดีฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และมีอาวุธปืนในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยสืบเนื่องจากเมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา เกิดเหตุคนร้ายยิงปืนใส่รถยนต์เป็นเหตุให้ทารกเพศชาย อายุเพียง 8 วัน ถูกยิงเสียชีวิต เหตุเกิดที่สะพานต่างระดับสี่แยกมาบข่า ต.มาบข่า อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง

จากการสอบสวนนายวัชฤทธิ์ ให้การว่าในวันเกิดเหตุขับรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีวิค สีเขียว ทะเบียน วค 8745 กทม. มาจากกทม. ก่อนจะถึงจุดเกิดเหตุประมาณ 1 กิโลเมตร มีรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซิตี้ สีดำ ทะเบียน กบ 5395 ชลบุรี ขับตามมา และเปิดไฟไล่หลัง พยายามจะหลบแต่ไม่สามารถหลบได้ เพราะมีรถวิ่งกันจำนวนมาก จึงขับไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง คนขับรถเก๋งฮอนด้าซิตี้ ชักอาวุธปืนออกมายิงขึ้นฟ้า 1 นัด จึงรีบหลบลงข้างทาง และขับรถยนต์ตาม พร้อมทั้งชักอาวุธปืนขนาด 11 ม.ม.ออกมาจนมาถึงจุดเกิดเหตุยิงใส่เข้าไปในรถ 4 นัดซ้อน โดยตั้งใจจะยิงยางรถ กระทั่งมาทราบว่าถูกทารกเสียชีวิต และถูกจับกุมตัว

พล.ต.ต.ภูมิรา กล่าวว่า นับเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญ และเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น สำหรับพ่อแม่เด็กที่เสียชีวิตทราบชื่อ นายโอฬาร บุญเจือ อายุ 34 ปี เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ จ.ระยอง และนางปาริชาติ บุญเจือ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1/8-9 ต.เชิงเนิน อ.เมือง ระยอง ขณะกำลังจัดงานศพลูกอยู่ที่โบสถ์คริสต์ ข้างโรงเรียนอัสสัมชัญระยอง โดยจะเรียกทั้งคู่มาสอบสวนข้อเท็จจริงว่า ได้ยิงปืนขึ้นฟ้าตามที่ผู้ต้องหาอ้างหรือไม่

ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังโบสถ์ข้างโรงเรียนอัสสัมชัญระยอง พบกับนายโอฬาร และนางปาริชาติ ส่วนลูกชายที่เสียชีวิตทราบชื่อ ด.ช.กายสิทธิ์ หรือน้องกาย บุญเจือ เพิ่งเกิดเมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยนายโอฬารกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ทราบแล้วว่าตำรวจจับกุมผู้ต้องหาได้ ก่อนเกิดเหตุกำลังขับรถมุ่งหน้า จ.ระยอง พร้อมด้วยภรรยาและลูกชาย ก่อนจะถึงที่เกิดเหตุก็ขับมาปกติ มีรถของผู้ต้องหามาจี้ท้าย พยายามจะหลบ และเมื่อรถของผู้ต้องหาขึ้นมาขนาบข้างด้านที่ภรรยานั่งอุ้มลูก ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 4 นัด พยายามหักหลบ แต่เมื่อเหลือบมองไปเห็นที่ศีรษะลูกมีเลือดไหลออกมา ภรรยาถึงกับช็อก หลังตั้งสติได้รีบพาส่งร.พ. แต่เสียชีวิตแล้ว

ด้านนางปาริชาติ กล่าวทั้งน้ำตาว่า ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ ทั้งที่ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกันมาก่อน แค่ขับรถมาตามปกติ ไม่ได้ไปปาดหน้ารถของผู้ต้องหาเลย ทำไมถึงโหดร้ายเช่นนี้ เด็กเพิ่งออกมาลืมตาดูโลกได้ไม่กี่วันต้องมาเสียชีวิต ทำใจไม่ได้กับการสูญเสียครั้งนี้ และเตรียมจะไปดูหน้าของผู้ต้องหาว่าทำไมถึงได้โหดร้ายขนาดนี้




หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: nirin ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 09:58:01 AM
อีกสำนักข่าวหนึ่ง ---- ถือว่าเป็นความผิดเนื่องจากร่วมกระทำความผิด....

จับแล้วมือยิงเด็กวัย 8 วันดับ หลังสารภาพหมั่นไส้พ่อ

จับแล้วมือปืนยิงเด็กวัย 8 วัน ตายคาอ้อมอกมารดา มือปืนสารภาพหมั่นไส้พ่อผู้ตายที่ขับรถปาดหน้าปาดหลัง

หลังจากหลบหนีคดีนาน 4 วัน นายวัชฤทธิ์ เจตสมมา อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 48/3 หมู่ 3 ต.ตะพง อ.เมือง จ.ระยอง ผู้ต้องหาคดียิง ด.ช.กายสิทธิ์ บุญเจือ หรือน้องกาย อายุ 8 วัน เสียชีวิตคาอ้อมอก นางปาริชาติ บัญชานิตยกาญจน์ มารดา ก็ถูกตำรวจ สภ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง ติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้

การจับกุมนายวัชฤทธิ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ภายในบ้านพักหลังหนึ่งใน จ.ชลบุรี ซึ่งหลังการจับกุมตำรวจได้ควบคุมตัวนายวัชฤทธิ์มาสอบสวนที่ สภ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง พร้อมแจ้งข้อหาดำเนินคดีฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

จากการสอบสวน นายวัชฤทธิ์ ให้การสารภาพว่า เมื่อคืนวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ได้ขับรถยนต์ฮอนด้า ซีวิค สีเขียว ทะเบียน วค 8745 กรุงเทพมหานคร แข่งกับรถเก๋งฮอนด้า ซีวิค สีดำ ทะเบียน กข 5395 ชลบุรี

ที่มี นายโอฬาร บุญเจือ อายุ 37 ปี เป็นคนขับ และมีนางปาริชาติ ภรรยาของนายโอฬาร นั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ พร้อมกับอุ้ม ด.ช.กายสิทธิ์ ไว้กับอก ระหว่างนั้นเกิดเขม่นกัน จึงขับรถไล่แซงกันไปมา

นายวัชฤทธิ์ ให้การต่อว่า กระทั่งมาถึงบริเวณแยกมาบข่า ต.มาบข่า อ.นิคมพัฒนา นายโอฬารได้ชะลอรถ ตนจึงแซงขึ้นไปวิ่งตีคู่ด้านซ้าย ระหว่างนั้นเห็นนายโอฬารเปิดกระจกรถออกมาแล้วหยิบปืนขึ้นมาขู่ตน

เมื่อเห็นดังนั้นจึงหยิบอาวุธปืนขนาด 11 มม. ยิงใส่ล้อรถนายโอฬาร 4 นัด แต่กระสุนพลาดไปโดนศีรษะ ด.ช.กายสิทธิ์ เสียชีวิต หลังเกิดเหตุด้วยความตกใจจึงขับรถหลบหนีไป กระทั่งถูกจับกุมได้ดังกล่าว

"ผมโมโหที่นายโอฬารขับรถปาดหน้าปาดหลัง แถมยังชักปืนออกมาข่มขู่ จึงยิงใส่รถไปหลายนัด ไม่คิดว่ากระสุนจะพลาดไปถูก ด.ช.กายสิทธิ์ เสียชีวิต" นายวัชฤทธิ์ ให้การ

ที่มา... คม ชัด ลึก


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 10:28:36 AM
อุทธาหรณ์ครับ...

ต่อไปก็จะเกิดเหตุเช่นนี้อีกเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังไม่ให้ความรู้เรื่องมรรยาทการใช้รถใช้ถนนแก่คนทั่วไปในวงกว้างครับ... เพราะต่างฝ่ายก็ต่างเข้าใจว่าตนเองใช้รถใช้ถนนถูกต้อง จึงไม่มีใครยอมใคร... จนกระทั่งถึงจุดที่อารมณ์เดือดเต็มที่ก็สายเสียแล้ว... หากถามใคร คนนั้นก็ว่าตนเองถูก แต่ในที่สุดคนชนะก็ติดคุก คนแพ้ก็บาดเจ็บล้มตายครับ...

นายสมชายเบื่อมาก บ่นมานานกับคนที่ขับรถยนต์ช้าแต่แช่ขวา... อยากขับช้าแต่ไม่ยอมชิดซ้าย หรือหากถนนมีแค่ 2 เลนก็น่าจะเปิดจังหวะให้คนที่ต้องการไปก่อนได้แซงบ้าง... ที่พบเป็นประจำคือหากพยายามจะแซง คนขับช้าจะเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นพยายามบังจังหวะให้เราแซงไม่ได้ครับ... เจอทีไรก็โมโหทุกที แต่ต้องทำใจปล่อยๆ...

หากเราไปถามคนขับรถช้า... เขาก็เข้าใจว่าตัวเองทำสิ่งที่ถูกที่ควร เพราะการขับช้าทำให้โอกาสเกิดอุบัติเหตุได้น้อยลง ซึ่งก็ถูกในแง่ของเขาครับ... บางคนไปไกลถึงขั้นที่พยายามบล็อกคนอื่นให้ช้าทั้งถนน เพราะต้องการให้ทุกคันประหยัดน้ำมัน... เป็นวีรกรรม"ประหยัดน้ำมันเพื่อชาติ"ครับ...

นายสมชายคนหนึ่งที่ชอบวาบไฟสูงใส่คันหน้าเพื่อขอทาง แล้วพยายามหาจังหวะแซง... แต่ถ้าเจอคันไหนวาบไฟสูงสองครั้งแล้วเฉย หรือแตะเบรคใส่หน้านายสมชาย... นายสมชายจะหยุดดำเนินการทันทีครับ ขับตามไปเรื่อยๆ บอกตรงๆ กลัวคนประเภทบ้าไม่คิดหน้าคิดหลัง... เขาอาจจะมีทุกข์หนัก ประสบปัญหาชีวิตกำลังจะฆ่าตัวตายอยู่แล้ว พอดีเราโผล่ไปในชีวิตเขาครับ... ซวยตายเลย...


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ก๊วยเจ๋ง ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 10:33:09 AM
ผิดทั้งคู่ครับ


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: snowwhite ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 10:34:41 AM
เด็กเกิดวันวาเลนไทน์ เป็นของขวัญวันแห่งความรัก    ::014:: พ่อแม่เด็กทารก .. คงทำใจลำบากมากๆๆ

สงสัยเป็นปืนเถื่อนด้วย ....  คนนี้น่าจะเป็นอันธพาล แถมยังขาดสติ ::004::

งง... ที่แรกบอกว่ายิงปืนขึ้นฟ้า 1 นัด อีกข่าวบอกว่าแค่ยกปืนขู่ ???


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: แมวบ้า(น) ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 11:06:11 AM
เดี๊ยวนี้เวลาขับรถผมจะพึงระลึกไว้เสมอว่า มีปืนกันแทบทุกคัน ใครหาเรื่องเราก็หลบดีกว่ากลัวโดนยิง  ::012::


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 11:11:13 AM
สวะสังคม .. และมันก็เป็นแค่คำแก้ตัวของเศษสวะตัวหนึ่ง
ที่ีอ้างเหตุ. แล้วโยนความผิดไปให้ผู้เสียหาย.. เท่านั้น.  ???


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: yod - รักในหลวง ครับ ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 11:16:29 AM
ก็ไม่รู้ล่ะ  เห็นว่ามีอาวุธปืน จะยิงขู่ หรือแค่เอาออกมาโชว์  มันก็ไม่ดี ทั้งนั้น

คิดว่า คนอื่น ไม่มี  แต่คราวนี้ ไม่   ก็ไม่ยอมกัน  แถมยังยิงใส่อีก

ได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต  รถก็ต้องซ่อม   สาเหตุเกิดจากอะไร

ถ้า ไม่ใจร้อน ในตอนแรก   ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในภายหลัง  ก็ไม่เกิด

ปล่อยวางแต่ทีแรก   สบายใจ  .....

ให้เป็น อุทาหรณ์  


อุทาหรณ์  [หอน] น. ตัวอย่างที่ยกขึ้นมาอ้างให้เห็น, สิ่งหรือเรื่องที่ยกขึ้นมา
 เทียบเคียงเป็นตัวอย่าง. (ป., ส.).
   



หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 11:20:20 AM
สวะสังคม .. และมันก็เป็นแค่คำแก้ตัวของเศษสวะตัวหนึ่ง
ที่ีอ้างเหตุ. แล้วโยนความผิดไปให้ผู้เสียหาย.. เท่านั้น.  ???

คิดเหมือนกันครับ .... แต่ก็ต้องฟังหูไว้หู .... ขนาดแหล่งข่าวเดียวกัน แต่คนเขียนข่าวคนละคน ยังออกมาเป็นคลเรื่องเดียวกันเลย   :P

ผมมักจะทำเหมือนท่านสมชายครับ เมื่อแซงไม่ได้ก็ไม่กดดันอีก หาจังหวะอื่นเอา ...  ::008::


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Gummy44 ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 11:23:13 AM
ขอแสดงความเสียใจกับผู้สูญเสียครับ


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: carrera ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 11:35:25 AM
น่าเสียดาย หาเรื่องใส่ตัว

แทนที่จะอยู่บ้านกันอย่างสบายใจ มีเวลาก็ไปท่องเที่ยว หาความสุขใส่ตัว



หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 11:39:09 AM
มีลูกแล้ว ควรจะต้องมีความรับผิดชอบในชีวิตให้มาก มีเหตุผล พูดจารู้เรื่องด้วย ไม่ใช่ทำตัวเป็นคน EQ ต่ำเอาแ่ต่ใจ หัวดื้อ ใจร้อน แตะอะไรไม่ได้


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ธำรง ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 12:00:03 PM

ผมฟังข้อเท็จจริงได้แค่ว่า......

นายวัชฤทธิ์ เจตสมมา ยิงปืนใส่รถที่นายโอฬาร บุญเจือ เป็นคนขับ ซึ่งมีนางปาริชาติ บัญชานิตยกาญจน์ และ ด.ช.กายสิทธิ์ บุญเจือ อยู่ในรถ กระสุนถูก ด.ช.กายสิทธิ์ ถึงแก่ความตาย

 :D :D


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 12:12:29 PM
มีลูกแล้ว ควรจะต้องมีความรับผิดชอบในชีวิตให้มาก มีเหตุผล พูดจารู้เรื่องด้วย ไม่ใช่ทำตัวเป็นคน EQ ต่ำเอาแ่ต่ใจ หัวดื้อ ใจร้อน แตะอะไรไม่ได้

;D ;D ;D ลูกผม ๖ เดือนเป็นวันที่ ๓ กำลังน่ารัก ... เช้า ๆ ตื่นมากระดืบไปมาบนเตียง พ่อนอนอยู่ด้วยไม่สนใจ เอาเท้ายันพ่อสักพัก ก็ต้องตื่นมาเล่นด้วย ... ผมลุกไปอาบน้ำ ก็จะมองตาม .... อาบเสร็จ มาแต่ตัว ก็จ้องเขม็ง .... ก่อนออกจากบ้านก็หอมแก้มเสีย ๒ ที ;D ;D ;D

ใครไม่มีลูก คงไม่มีโอกาสแบบนี้ ;D ;D

วันหนึ่งขณะขับรถพาลูกไปฉีดวัคซีน แฟนผมถามผมว่า เวลาลูกอยู่ในรถ รู้สึกไหมว่าต้องขับให้ระวังมากขึ้น ... ผมยังไม่ทันตอบ ก็ต้องกระทืบเบรคดังเอี๊ยด ทั้งแม่ ทั้งพี่เลี้ยง เกือบตกเก้าอี้ ดีที่ลูกผมคนอุ้มเก่ง โช๊คมือดี ลูกผมเลยไม่ได้บินข้ามไหล่พ่อมากระจกหน้า ...  ::012:: ::012:: ผมเลยโดนซ้า .... ::009:: ::009::

คนมีลูกก็คงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับลูกตัวเองครับ .... แต่ตอนทำคงไม่ได้คิด (ถ้าเชื่อตามจำเลย) ... เอาไว้มีอีกคน คงต้องทำตัวให้ดีขึ้นครับ ...

ว่าแต่ท่านต๊อกเมื่อไรจะมีข่าวดีบ้างล่ะ  ;D ;D

(http://img227.imageshack.us/img227/8448/27dscn4548hk4.jpg)


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: patara ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 12:23:24 PM
สงสารเด็กครับ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ลูกคุณ jakrit น่ารักดีครับ


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: noppadon ouysuwan ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 12:29:43 PM
ทั้งคู่มี EQ ต่ำ


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ออด ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 12:39:45 PM
ขัน-ติ คือ ความอดทน อดกลั้น  ขาดการเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันของผู้ร่วมเดินทาง ที่ใช้ทางสาธารณะร่วมกัน ไม่มีใครยอมใคร


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Miami_Dolphin ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 12:40:17 PM
เมื่อชักปืนแสดงว่ามีเหตุต้องยิง ถ้าไม่มีเหตุอย่าได้ชักออกมาเชียว เจอคนมีปืนเหมือนกันก็เป็นแบบนี้

น่าสงสารเด็กครับ


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: noom ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 12:43:59 PM
แค่เพียงยอมกันคนละหน่อย  ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้  สงสารพ่อแม่เด็กครับ


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Hatyai ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 12:46:07 PM
เป็นอีกหนึ่งสาเหตุครับ ที่หลายคนชอบว่าคนมีปืนเป็นคนไม่ดี


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Wisky6 ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 12:54:08 PM
มีลูกแล้ว ควรจะต้องมีความรับผิดชอบในชีวิตให้มาก มีเหตุผล พูดจารู้เรื่องด้วย ไม่ใช่ทำตัวเป็นคน EQ ต่ำเอาแ่ต่ใจ หัวดื้อ ใจร้อน แตะอะไรไม่ได้

;D ;D ;D ลูกผม ๖ เดือนเป็นวันที่ ๓ กำลังน่ารัก ... เช้า ๆ ตื่นมากระดืบไปมาบนเตียง พ่อนอนอยู่ด้วยไม่สนใจ เอาเท้ายันพ่อสักพัก ก็ต้องตื่นมาเล่นด้วย ... ผมลุกไปอาบน้ำ ก็จะมองตาม .... อาบเสร็จ มาแต่ตัว ก็จ้องเขม็ง .... ก่อนออกจากบ้านก็หอมแก้มเสีย ๒ ที ;D ;D ;D

ใครไม่มีลูก คงไม่มีโอกาสแบบนี้ ;D ;D

วันหนึ่งขณะขับรถพาลูกไปฉีดวัคซีน แฟนผมถามผมว่า เวลาลูกอยู่ในรถ รู้สึกไหมว่าต้องขับให้ระวังมากขึ้น ... ผมยังไม่ทันตอบ ก็ต้องกระทืบเบรคดังเอี๊ยด ทั้งแม่ ทั้งพี่เลี้ยง เกือบตกเก้าอี้ ดีที่ลูกผมคนอุ้มเก่ง โช๊คมือดี ลูกผมเลยไม่ได้บินข้ามไหล่พ่อมากระจกหน้า ...  ::012:: ::012:: ผมเลยโดนซ้า .... ::009:: ::009::

คนมีลูกก็คงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับลูกตัวเองครับ .... แต่ตอนทำคงไม่ได้คิด (ถ้าเชื่อตามจำเลย) ... เอาไว้มีอีกคน คงต้องทำตัวให้ดีขึ้นครับ ...

ว่าแต่ท่านต๊อกเมื่อไรจะมีข่าวดีบ้างล่ะ  ;D ;D

(http://img227.imageshack.us/img227/8448/27dscn4548hk4.jpg)



ผมขับรถไปทำงานทุกวันไปกลับ120กิโล ผมเจอแบบนี้ก็บ่อยครับ ขับมาจี้ตูดเปิดไฟสูงทั้งที่ข้างหน้ามันก็ไปไม่ได้ บางครั้งก็โมโห แต่คิดว่าไม่มีประโยชน์อะไร รังแต่จะทำให้ใจเราไม่สงบซะเปล่าถ้าหลบให้มันไปได้ก็หลบดีกว่า ลูกๆยังคอยอยู่ที่บ้าน รูปเจ้าหนูคนนี้น่ารักครับ  ::002::


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:00:50 PM
มีลูกแล้ว ควรจะต้องมีความรับผิดชอบในชีวิตให้มาก มีเหตุผล พูดจารู้เรื่องด้วย ไม่ใช่ทำตัวเป็นคน EQ ต่ำเอาแ่ต่ใจ หัวดื้อ ใจร้อน แตะอะไรไม่ได้

;D ;D ;D ลูกผม ๖ เดือนเป็นวันที่ ๓ กำลังน่ารัก ... เช้า ๆ ตื่นมากระดืบไปมาบนเตียง พ่อนอนอยู่ด้วยไม่สนใจ เอาเท้ายันพ่อสักพัก ก็ต้องตื่นมาเล่นด้วย ... ผมลุกไปอาบน้ำ ก็จะมองตาม .... อาบเสร็จ มาแต่ตัว ก็จ้องเขม็ง .... ก่อนออกจากบ้านก็หอมแก้มเสีย ๒ ที ;D ;D ;D

ใครไม่มีลูก คงไม่มีโอกาสแบบนี้ ;D ;D

วันหนึ่งขณะขับรถพาลูกไปฉีดวัคซีน แฟนผมถามผมว่า เวลาลูกอยู่ในรถ รู้สึกไหมว่าต้องขับให้ระวังมากขึ้น ... ผมยังไม่ทันตอบ ก็ต้องกระทืบเบรคดังเอี๊ยด ทั้งแม่ ทั้งพี่เลี้ยง เกือบตกเก้าอี้ ดีที่ลูกผมคนอุ้มเก่ง โช๊คมือดี ลูกผมเลยไม่ได้บินข้ามไหล่พ่อมากระจกหน้า ...  ::012:: ::012:: ผมเลยโดนซ้า .... ::009:: ::009::

คนมีลูกก็คงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับลูกตัวเองครับ .... แต่ตอนทำคงไม่ได้คิด (ถ้าเชื่อตามจำเลย) ... เอาไว้มีอีกคน คงต้องทำตัวให้ดีขึ้นครับ ...

ว่าแต่ท่านต๊อกเมื่อไรจะมีข่าวดีบ้างล่ะ  ;D ;D

(http://img227.imageshack.us/img227/8448/27dscn4548hk4.jpg)

อ๊า น่ารักจังครับพี่ ตาโตเชียว อิ อิ น่าอิจฉาคุณพ่อจัง

อูย.. น่าจะใช้ที่นั่งเด็กนะครับ

อือม์ สำหรับผมยังไม่มีช่าวครับ อิ อิ


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: TWC - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:02:25 PM
เคยเจอขับรถกวนประสาทเหมือนกันครับ
แต่แม่บ้านปรามไว้"จะบ้าเหรอลูกก็นั่งมาด้วยนะ" :)


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: SingCring ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:08:21 PM
ขออนุญาตนำข้อความที่ผมเคยโพสไว้ น่าจะเทียบเคียงได้

ผมเคยเจอสถานการณ์ใกล้เคียงกัน เพียงแต่ว่ามันเป็นพวกกวนเมืองที่ขับรถแล้วปาก้อนหินใส่รถที่จอดกินข้าวต้มอยู่ แต่ผมจะคิดเสมอว่าพวกที่กล้าทำมันก็ต้องมี
1.ทางหลบหนีเตรียมอยู่ก่อนแล้ว หรือ
2.อาวุธ หรือ
3.ทั้งสองอย่าง

        สมัยนี้วัยรุ่นส่วนใหญ่มักจะมีปืนทั้งนั้น ไม่ว่าเถื่อนหรือแอบขโมยของผู้ปกครองมาพกพาด้วยความคะนองใจ แต่ที่ต่างกันก็คือ
พวกเราจะชักปืนออกมายิงก็ต่อเมือมีเหตุจำเป็นจริงๆ เพราะอันตรายร้ายแรงที่ใกล้จะมาถึง ส่วนพวก(ตื้ด..เซนเซอร์)นั้นสามารถชักปืนออกมายิงได้ทุกสถานการณ์ .......
  :~) :~)


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: snowwhite ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:09:11 PM
ได้ข้อมูลเพิ่มเติม บังเอิญแม่เด็กเป็นเพื่อนกับเพื่อนที่ทำงาน และได้ไปงานศพน้องคนนี้มา  ครอบครัวนี้มีลูกสาว 1 คน และเด็กที่เสียชีวิตเป็นผู้ชาย พึ่งมีอายุเพียง 8 วัน ทั้งพ่อและแม่แทบจะยังไม่ได้มีโอกาสถ่ายรูปกับลูก สุดท้ายต้องมาถ่ายรูปกับลูกขณะไร้วิญญาญ  บอกว่าจากเหตุการณ์พ่อแม่ไม่เป็นอะไร แต่กระสุนเข้าที่ศีรษะของเด็ก ขณะแม่อุ้มอยู่ (ก็เลยคิดกันเล่นๆ ว่า ถ้าไม่ได้อุ้มลูกไว้ กระสุนก็ตรงหน้าอกของแม่พอดี)
ได้สอบถามว่ารายละเอียดวันนั้นเป็นอย่างไร เพื่อนบอกว่าไม่รู้เพราะไม่อยากถามถึงเหตุการณ์ เนื่องจากกลัวจะสะเทือนความรู้สึก  ซึ่งเพียงก็บอกว่าปรกติพ่อเด็กก็ไม่ใช่คนใจร้อนอะไร (อันนี้ก็ไม่รู้ว่าพออยู่ในสถานการณ์นั้นจะเป็นอย่างไร)
 ::004::


พอดีได้รับเมล์ที่เกี่ยวข้องกับกระทู้ และคิดว่านะจะเป็นประโยชน์เลยนำมาโพสท์ให้อ่านกันดู..

การขับรถ  

คอลัมน์ จับจิตด้วยใจ

โดย นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ หัวใจใหม่ ชีวิตใหม่ เชียงราย drwithan@hotmail.com

การขับรถเป็นเรื่องราวที่ผมประทับใจเป็นพิเศษ เพราะมีเหตุการณ์สำคัญๆ
เกิดขึ้นในชีวิตผมกับเรื่องการขับรถ แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมเคยประสบเหตุการณ์อะไรพิเศษๆ
ประเภทขับรถไปเจอมนุษย์ต่างดาวหรือเคยขับรถข้ามมหาสมุทรข้ามโลกหรืออะไรแบบนั้น

แต่เป็นการขับรถ "ที่เป็นธรรมดาๆ" "ที่เป็นปกติ" ในชีวิตประจำวันนี่แหละ

เมื่อหลายปีก่อนผมอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่งของท่านติช นัท ฮันห์ที่ชื่อ Peace Is Every Step
(มีผู้แปลเป็นภาษาไทยแล้วชื่อหนังสือสันติภาพทุกย่างก้าว)
ท่านบอกว่าทุกครั้งที่เห็นสัญญาณไฟแดงในขณะที่ขับรถ ให้ลองถือเสมือนว่าเป็น "สัญญาณเตือน"
ให้เรากลับมาหาตัวเอง ให้กลับมาฝึกลมหายใจของตัวเองทุกครั้ง

ท่านติช นัท ฮันห์เป็นพระชาวเวียดนาม ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านพลัมประเทศฝรั่งเศส
ปัจจุบันถือได้ว่าเป็นเสาหลักที่สำคัญคนหนึ่งของพุทธศาสนาเคียงคู่กับองค์ทะไลลามะ
ทั้งสองท่านนี้ได้ทำให้พุทธศาสนาเป็นที่ปรากฏและรู้จักไปทั่วโลก คำว่า "ปรากฏและรู้จัก"
ในที่นี้ไม่ได้หมายความแค่ "ปรากฏและรู้จัก"
ทางภายนอกเท่านั้นแต่รูปธรรมก็คือมีผู้คนทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาหันมาสนใจที่จะ
"ฝึกฝนตัวเอง" อย่างจริงจังในแนวพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก  โดยที่ยังคงอาจจะดำรงตนอยู่ในศาสนาเดิม
และไม่จำเป็นจะต้องหันมาทำตัวหรือมาเปลี่ยนศาสนาให้เป็นพุทธศาสนิกใดๆ

จุดเด่นที่เป็นลักษณะพิเศษของท่านติช นัท ฮันห์คือท่านเน้นว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของการทำกิจวัตรปกติในชีวิตต่างๆ ได้
เช่นการล้างจาน การถูบ้าน การกินอาหาร รวมไปถึง "การขับรถ"
ไม่จำเป็นจะต้องนุ่งขาวห่มขาวนั่งสมาธิเข้าวัดสร้างวัดเท่านั้นที่ถือว่าเป็น "การปฏิบัติธรรม"
โดยที่ท่านเน้นเรื่อง "การอยู่กับปัจจุบันขณะ" โดยอาศัย "ลมหายใจ"  เป็นตัวเชื่อมที่สำคัญ

ผมอยากจะขยายความเพื่ออธิบายเรื่อง "ลมหายใจ" ของท่านนัท ฮันห์อีกสักเล็กน้อย
จุดประสงค์ของการฝึกเรื่องลมหายใจคือเป็นการฝึก "ตัวรู้" ของเรา ให้กลับมาสู่ปัจจุบัน
ผมคิดว่าอุบายของท่าน "แยบยลมาก" ที่มุ่งทำให้เกิด "ความเป็นปกติ" ในชีวิตทั่วๆ
ไปของพวกเรา เมื่อรถติดไฟแดงคนส่วนใหญ่ก็จะ "เผลอหงุดหงิด"
ในช่วงเวลาที่หงุดหงิดหรือวิตกกังวลว่าจะไปทำงานไม่ทัน, ไปถึงที่หมายไม่ทันนั้น คุณกำลังตก  "ร่องอารมณ์"
คุณกำลังทำร้ายตัวเองเพราะร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนด้านลบที่เป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมามากมาย ตามที่ผม
ได้เคยให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาหลายครั้งแล้วในบทความครั้งก่อนๆ

การเลือกที่จะกลับมาสู่ "สภาวะแห่งความเป็นปกติ" ด้วยวิธีง่ายๆ
ด้วยลมหายใจนั้นช่วยให้ร่างกายของคุณหลั่งฮอร์โมนด้านบวกอย่างเอ็นดอร์ฟินออกมา

ถ้าเราลองมองในภาพรวมเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าแค่ในช่วงติดไฟแดงเพียงไม่กี่นาทีตรงนั้น
คนที่โดยไม่รู้ตัวเลือกที่จะหงุดหงิดจะมี "ความแตกต่าง" กับคนที่เลือกโดยรู้ตัวที่อยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่จริงมากมายในทุกเรื่อง
ไม่ใช่แค่เรื่องฮอร์โมนบวกลบซึ่งจะมีผลต่อสุขภาพที่ดีตามที่ผมอธิบายเท่านั้น แต่จะสามารถส่งผลในทุกเรื่องของชีวิต
ประสิทธิภาพในการทำงานได้ดี ความรู้สึกสนุกกับชีวิตอยากเรียนรู้ประสบการณ์ของเอ็นดอร์ฟินเป็นประสบการณ์ที่อบอุ่นหัวใจ
ความสุขในชีวิต ความสัมพันธ์ที่ดีๆ กับคนรอบข้าง ฯลฯ

ในแต่ละวันเราจะพบกับ "กับดัก" ในพื้นที่ของชีวิตนั้นมีมากมายเหลือเกิน พวกเราพร้อมที่จะ"ตกลงไป" "หลุดเข้าไป"
ใน "กับดัก" เหล่านั้นอย่างไม่รู้ตัวเป็นการเข้าไปสู่ "ความไม่ปกติของชีวิต" ซึ่งเรื่องนี้ก็จะนำไปสู่
"การสะสมความเครียด" มากขึ้นไปเรื่อยๆ ทำร้ายร่างกายตัวเองไปเรื่อย ทำร้ายคนรอบข้างไปเรื่อยๆ
และบางคนทำร้ายสังคมไปเรื่อยๆ เช่นกัน

โดยส่วนตัวผมพบประสบการณ์ที่น่าสนใจในเรื่องการฝึกแบบนี้อยู่เรื่องหนึ่งก็คือ ใหม่ๆ
จะทำค่อนข้างยากคือมักจะลืม แต่ "สัญญาณไฟแดง" แบบที่ท่านนัท ฮันห์แนะนำนี้เป็น"ตัวเตือน" ที่ดีมาก
และเมื่อฝึกเรื่องนี้มากขึ้นๆ น่าแปลกที่เหมือนกับว่าทำให้เรา"เรียนรู้ใหม่" เรียนรู้เส้นทางของความคิดและอารมณ์
"เส้นทางใหม่" ที่จะไม่นำไปสู่ "ฮอร์โมนลบ"

"การเรียนรู้ใหม่" (Re-Learn) ที่ว่านี้ก็ตรงกับที่บรูซ ลิปตันนักชีววิทยาผู้เสนอทฤษฎีเซลล์แบบใหม่ที่บอกว่า
เซลล์ของร่างกายเราสามารถสร้าง "ยีนส์ใหม่" ได้จากผนังเซลล์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำตาม "ความเคยชิน"
ตามที่ยีนส์ในนิวเคลียสได้กำหนดมาไว้แล้ว ลิปตันบอกว่าการเรียนรู้คือการสร้างยีนส์ใหม่ออกมานั่นเอง

โดยส่วนตัวผมพบว่าการขับรถเป็น "บริเวณของชีวิต" ของผมที่ผมสามารถพัฒนาขึ้นมาได้อย่างเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมาก
จากเดิมที่ผมเคยหงุดหงิดเป็นประจำและมากถึง 80-90% ของเวลาที่ใช้ในการขับรถมาเหลืออยู่เพียง 10-20% เท่านั้น

เดี๋ยวนี้ผมรู้จักรอที่จะให้รถทางขวาไปก่อน ไม่พยายามแย่งชิงจังหวะตัดหน้ากัน
แถมยังสามารถส่งยิ้มส่งความปรารถนาดีๆ ไปให้คนขับคนอื่น
เดี๋ยวนี้ผมรู้จักรอให้รถฝั่งตรงข้ามที่ต้องการจะเลี้ยวขวาเพื่อเข้าซอยที่อยู่ฝั่งผม
เดี๋ยวผมรู้สึกเข้าใจแล้วว่าทำไมมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานไม่ค่อยอยากจะชิดซ้ายมากนัก
รู้สึกเข้าใจสามล้อถีบที่ขวางทางอยู่ข้างหน้า ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนจะหงุดหงิดมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ยอมชิดขอบทางและขับเกะกะ
รู้สึกหงุดหงิดกับสามล้อที่ช้าต้วมเตี้ยมขวางทางอยู่ข้างหน้า

และเดี๋ยวนี้ผมรู้สึกว่าผมควรจะหยุดรถเพื่อให้คนเดินข้ามถนนและผมพร้อมที่รอคนเหล่านี้ข้ามถนน ทั้งๆที่เมื่อก่อนนี้จะรู้สึกว่า
ถนนเป็นของรถยนต์คนข้ามถนนควรจะต้องรอรถยนต์มากกว่าให้รถยนต์หยุดรอ

ที่เล่ามานี้ก็เพียงแค่เล่าให้เห็นประสบการณ์ที่ผ่านมาว่าเป็นไปได้ที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงให้มีอารมณ์ดีขึ้นได้โดยผ่าน
"ประสบการณ์ปกติธรรมดาๆ" ที่เราเจอกันอยู่ทุกวี่ทุกวันอย่างเช่นการขับรถนี้
ผมเชื่อว่าหลายท่านจะทำได้เหมือนผมและหลายท่านก็คงจะทำได้ดีกว่าผมไปแล้วด้วยซ้ำ

ที่เล่ามานี้ผมไม่ได้มีเจตโอ้อวดใดๆ ตัวผมยังต้องเรียนรู้ใน "บริเวณอื่นๆ ของชีวิต "อีกมากมาย
ตัวอย่างเช่นในเรื่องการเลี้ยงลูกเป็นตัวอย่างที่ท้าทายยิ่ง
กล่าวคือเป็นบริเวณพื้นที่ของชีวิตที่ผมยังอาจจะทำได้ไม่ดีนัก เป็นต้น

ผมเชื่อว่า เราสามารถเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ปกติธรรมดาๆ ได้เป็นอย่างดี
เราคงต้องรู้สึกขอบคุณชีวิตที่ให้ "แบบฝึกหัด" ต่างๆ
มากมายที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวันที่ทำให้ทุกวันเป็นวันที่เสมือนหนึ่งทำให้เราพบ
"ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ" กันได้ตลอดเวลาอย่างที่ติช นัท ฮันห์ได้นำเสนอไว้จริงๆ


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Egle ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:13:10 PM
ไม่น่าเชื่อ คำพูดของ นายวัชฤทธิ์ (คนยิง)
   คนขับรถมากับภรรยา และ ลูกอายุ  8 วัน  จะชักปืนขู่  หรือยิงขึ้นฟ้าก่อน อาจเป็นเพียงข้ออ้างมากกว่า ที่โดนเปิดไฟไล่
       มีปืนด้วยกัน  ถูกยิง ไป 4 นัด ลูกเสียชีวิต   กลับขับรถไปแจ้งความ  ผิดวิสัยของคนที่มีปืนติดรถ


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:35:36 PM


(http://img227.imageshack.us/img227/8448/27dscn4548hk4.jpg)

่ลูกชายน่ารักมากครับ คุณ jakrit .. ยูมีินเนอร์  น้อย(อดีตดารา ฮอลลิวู๊ด)  :D



หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ฅนต้นน้ำ ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:51:56 PM
อ่านแล้วสเทือนใจครับ ลูกน้อยมีบุญแค่ใด้ช่วยชีวิตแม่ใว้ ความใจร้อนใม่ใด้เกิดผลดีในชีวิตเลย


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: boon(เสือไบ) ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:57:20 PM
กระทู้เรื่องเดียวกันกับที่หลังแนวยิงเลย
http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=53431.0


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:57:51 PM
ได้ข้อมูลเพิ่มเติม บังเอิญแม่เด็กเป็นเพื่อนกับเพื่อนที่ทำงาน และได้ไปงานศพน้องคนนี้มา  ครอบครัวนี้มีลูกสาว 1 คน และเด็กที่เสียชีวิตเป็นผู้ชาย พึ่งมีอายุเพียง 8 วัน ทั้งพ่อและแม่แทบจะยังไม่ได้มีโอกาสถ่ายรูปกับลูก สุดท้ายต้องมาถ่ายรูปกับลูกขณะไร้วิญญาญ  บอกว่าจากเหตุการณ์พ่อแม่ไม่เป็นอะไร แต่กระสุนเข้าที่ศีรษะของเด็ก ขณะแม่อุ้มอยู่ (ก็เลยคิดกันเล่นๆ ว่า ถ้าไม่ได้อุ้มลูกไว้ กระสุนก็ตรงหน้าอกของแม่พอดี)
ได้สอบถามว่ารายละเอียดวันนั้นเป็นอย่างไร เพื่อนบอกว่าไม่รู้เพราะไม่อยากถามถึงเหตุการณ์ เนื่องจากกลัวจะสะเทือนความรู้สึก  ซึ่งเพียงก็บอกว่าปรกติพ่อเด็กก็ไม่ใช่คนใจร้อนอะไร (อันนี้ก็ไม่รู้ว่าพออยู่ในสถานการณ์นั้นจะเป็นอย่างไร)
 ::004::


พอดีได้รับเมล์ที่เกี่ยวข้องกับกระทู้ และคิดว่านะจะเป็นประโยชน์เลยนำมาโพสท์ให้อ่านกันดู..

การขับรถ  

คอลัมน์ จับจิตด้วยใจ

โดย นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ หัวใจใหม่ ชีวิตใหม่ เชียงราย drwithan@hotmail.com

การขับรถเป็นเรื่องราวที่ผมประทับใจเป็นพิเศษ เพราะมีเหตุการณ์สำคัญๆ
เกิดขึ้นในชีวิตผมกับเรื่องการขับรถ แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมเคยประสบเหตุการณ์อะไรพิเศษๆ
ประเภทขับรถไปเจอมนุษย์ต่างดาวหรือเคยขับรถข้ามมหาสมุทรข้ามโลกหรืออะไรแบบนั้น

แต่เป็นการขับรถ "ที่เป็นธรรมดาๆ" "ที่เป็นปกติ" ในชีวิตประจำวันนี่แหละ

เมื่อหลายปีก่อนผมอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่งของท่านติช นัท ฮันห์ที่ชื่อ Peace Is Every Step
(มีผู้แปลเป็นภาษาไทยแล้วชื่อหนังสือสันติภาพทุกย่างก้าว)
ท่านบอกว่าทุกครั้งที่เห็นสัญญาณไฟแดงในขณะที่ขับรถ ให้ลองถือเสมือนว่าเป็น "สัญญาณเตือน"
ให้เรากลับมาหาตัวเอง ให้กลับมาฝึกลมหายใจของตัวเองทุกครั้ง

ท่านติช นัท ฮันห์เป็นพระชาวเวียดนาม ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านพลัมประเทศฝรั่งเศส
ปัจจุบันถือได้ว่าเป็นเสาหลักที่สำคัญคนหนึ่งของพุทธศาสนาเคียงคู่กับองค์ทะไลลามะ
ทั้งสองท่านนี้ได้ทำให้พุทธศาสนาเป็นที่ปรากฏและรู้จักไปทั่วโลก คำว่า "ปรากฏและรู้จัก"
ในที่นี้ไม่ได้หมายความแค่ "ปรากฏและรู้จัก"
ทางภายนอกเท่านั้นแต่รูปธรรมก็คือมีผู้คนทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาหันมาสนใจที่จะ
"ฝึกฝนตัวเอง" อย่างจริงจังในแนวพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก  โดยที่ยังคงอาจจะดำรงตนอยู่ในศาสนาเดิม
และไม่จำเป็นจะต้องหันมาทำตัวหรือมาเปลี่ยนศาสนาให้เป็นพุทธศาสนิกใดๆ

จุดเด่นที่เป็นลักษณะพิเศษของท่านติช นัท ฮันห์คือท่านเน้นว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของการทำกิจวัตรปกติในชีวิตต่างๆ ได้
เช่นการล้างจาน การถูบ้าน การกินอาหาร รวมไปถึง "การขับรถ"
ไม่จำเป็นจะต้องนุ่งขาวห่มขาวนั่งสมาธิเข้าวัดสร้างวัดเท่านั้นที่ถือว่าเป็น "การปฏิบัติธรรม"
โดยที่ท่านเน้นเรื่อง "การอยู่กับปัจจุบันขณะ" โดยอาศัย "ลมหายใจ"  เป็นตัวเชื่อมที่สำคัญ

ผมอยากจะขยายความเพื่ออธิบายเรื่อง "ลมหายใจ" ของท่านนัท ฮันห์อีกสักเล็กน้อย
จุดประสงค์ของการฝึกเรื่องลมหายใจคือเป็นการฝึก "ตัวรู้" ของเรา ให้กลับมาสู่ปัจจุบัน
ผมคิดว่าอุบายของท่าน "แยบยลมาก" ที่มุ่งทำให้เกิด "ความเป็นปกติ" ในชีวิตทั่วๆ
ไปของพวกเรา เมื่อรถติดไฟแดงคนส่วนใหญ่ก็จะ "เผลอหงุดหงิด"
ในช่วงเวลาที่หงุดหงิดหรือวิตกกังวลว่าจะไปทำงานไม่ทัน, ไปถึงที่หมายไม่ทันนั้น คุณกำลังตก  "ร่องอารมณ์"
คุณกำลังทำร้ายตัวเองเพราะร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนด้านลบที่เป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมามากมาย ตามที่ผม
ได้เคยให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาหลายครั้งแล้วในบทความครั้งก่อนๆ

การเลือกที่จะกลับมาสู่ "สภาวะแห่งความเป็นปกติ" ด้วยวิธีง่ายๆ
ด้วยลมหายใจนั้นช่วยให้ร่างกายของคุณหลั่งฮอร์โมนด้านบวกอย่างเอ็นดอร์ฟินออกมา

ถ้าเราลองมองในภาพรวมเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าแค่ในช่วงติดไฟแดงเพียงไม่กี่นาทีตรงนั้น
คนที่โดยไม่รู้ตัวเลือกที่จะหงุดหงิดจะมี "ความแตกต่าง" กับคนที่เลือกโดยรู้ตัวที่อยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่จริงมากมายในทุกเรื่อง
ไม่ใช่แค่เรื่องฮอร์โมนบวกลบซึ่งจะมีผลต่อสุขภาพที่ดีตามที่ผมอธิบายเท่านั้น แต่จะสามารถส่งผลในทุกเรื่องของชีวิต
ประสิทธิภาพในการทำงานได้ดี ความรู้สึกสนุกกับชีวิตอยากเรียนรู้ประสบการณ์ของเอ็นดอร์ฟินเป็นประสบการณ์ที่อบอุ่นหัวใจ
ความสุขในชีวิต ความสัมพันธ์ที่ดีๆ กับคนรอบข้าง ฯลฯ

ในแต่ละวันเราจะพบกับ "กับดัก" ในพื้นที่ของชีวิตนั้นมีมากมายเหลือเกิน พวกเราพร้อมที่จะ"ตกลงไป" "หลุดเข้าไป"
ใน "กับดัก" เหล่านั้นอย่างไม่รู้ตัวเป็นการเข้าไปสู่ "ความไม่ปกติของชีวิต" ซึ่งเรื่องนี้ก็จะนำไปสู่
"การสะสมความเครียด" มากขึ้นไปเรื่อยๆ ทำร้ายร่างกายตัวเองไปเรื่อย ทำร้ายคนรอบข้างไปเรื่อยๆ
และบางคนทำร้ายสังคมไปเรื่อยๆ เช่นกัน

โดยส่วนตัวผมพบประสบการณ์ที่น่าสนใจในเรื่องการฝึกแบบนี้อยู่เรื่องหนึ่งก็คือ ใหม่ๆ
จะทำค่อนข้างยากคือมักจะลืม แต่ "สัญญาณไฟแดง" แบบที่ท่านนัท ฮันห์แนะนำนี้เป็น"ตัวเตือน" ที่ดีมาก
และเมื่อฝึกเรื่องนี้มากขึ้นๆ น่าแปลกที่เหมือนกับว่าทำให้เรา"เรียนรู้ใหม่" เรียนรู้เส้นทางของความคิดและอารมณ์
"เส้นทางใหม่" ที่จะไม่นำไปสู่ "ฮอร์โมนลบ"

"การเรียนรู้ใหม่" (Re-Learn) ที่ว่านี้ก็ตรงกับที่บรูซ ลิปตันนักชีววิทยาผู้เสนอทฤษฎีเซลล์แบบใหม่ที่บอกว่า
เซลล์ของร่างกายเราสามารถสร้าง "ยีนส์ใหม่" ได้จากผนังเซลล์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำตาม "ความเคยชิน"
ตามที่ยีนส์ในนิวเคลียสได้กำหนดมาไว้แล้ว ลิปตันบอกว่าการเรียนรู้คือการสร้างยีนส์ใหม่ออกมานั่นเอง

โดยส่วนตัวผมพบว่าการขับรถเป็น "บริเวณของชีวิต" ของผมที่ผมสามารถพัฒนาขึ้นมาได้อย่างเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมาก
จากเดิมที่ผมเคยหงุดหงิดเป็นประจำและมากถึง 80-90% ของเวลาที่ใช้ในการขับรถมาเหลืออยู่เพียง 10-20% เท่านั้น

เดี๋ยวนี้ผมรู้จักรอที่จะให้รถทางขวาไปก่อน ไม่พยายามแย่งชิงจังหวะตัดหน้ากัน
แถมยังสามารถส่งยิ้มส่งความปรารถนาดีๆ ไปให้คนขับคนอื่น
เดี๋ยวนี้ผมรู้จักรอให้รถฝั่งตรงข้ามที่ต้องการจะเลี้ยวขวาเพื่อเข้าซอยที่อยู่ฝั่งผม
เดี๋ยวผมรู้สึกเข้าใจแล้วว่าทำไมมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานไม่ค่อยอยากจะชิดซ้ายมากนัก
รู้สึกเข้าใจสามล้อถีบที่ขวางทางอยู่ข้างหน้า ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนจะหงุดหงิดมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ยอมชิดขอบทางและขับเกะกะ
รู้สึกหงุดหงิดกับสามล้อที่ช้าต้วมเตี้ยมขวางทางอยู่ข้างหน้า

และเดี๋ยวนี้ผมรู้สึกว่าผมควรจะหยุดรถเพื่อให้คนเดินข้ามถนนและผมพร้อมที่รอคนเหล่านี้ข้ามถนน ทั้งๆที่เมื่อก่อนนี้จะรู้สึกว่า
ถนนเป็นของรถยนต์คนข้ามถนนควรจะต้องรอรถยนต์มากกว่าให้รถยนต์หยุดรอ

ที่เล่ามานี้ก็เพียงแค่เล่าให้เห็นประสบการณ์ที่ผ่านมาว่าเป็นไปได้ที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงให้มีอารมณ์ดีขึ้นได้โดยผ่าน
"ประสบการณ์ปกติธรรมดาๆ" ที่เราเจอกันอยู่ทุกวี่ทุกวันอย่างเช่นการขับรถนี้
ผมเชื่อว่าหลายท่านจะทำได้เหมือนผมและหลายท่านก็คงจะทำได้ดีกว่าผมไปแล้วด้วยซ้ำ

ที่เล่ามานี้ผมไม่ได้มีเจตโอ้อวดใดๆ ตัวผมยังต้องเรียนรู้ใน "บริเวณอื่นๆ ของชีวิต "อีกมากมาย
ตัวอย่างเช่นในเรื่องการเลี้ยงลูกเป็นตัวอย่างที่ท้าทายยิ่ง
กล่าวคือเป็นบริเวณพื้นที่ของชีวิตที่ผมยังอาจจะทำได้ไม่ดีนัก เป็นต้น

ผมเชื่อว่า เราสามารถเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ปกติธรรมดาๆ ได้เป็นอย่างดี
เราคงต้องรู้สึกขอบคุณชีวิตที่ให้ "แบบฝึกหัด" ต่างๆ
มากมายที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวันที่ทำให้ทุกวันเป็นวันที่เสมือนหนึ่งทำให้เราพบ
"ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ" กันได้ตลอดเวลาอย่างที่ติช นัท ฮันห์ได้นำเสนอไว้จริงๆ


ขอบคุณมากครับ คุณ snowwhite..

หลักคิดในพุทธศาสนา "การอยู่กับปัจจุบันขณะ"  คือ "ให้อยู่กับสภาวะที่เป็นปัจจุบัน"
ให้จิต มีสมาธิ อยู่กับการกระทำของตัว ณ เวลานั้น ..
ในขณะนั้น กำลังทำอะไรอยู่ จิตจะต้องสนใจอยู่กับเรื่องนั้น..ไม่ให้จิตล่องลอย ท่องเที่ยวไปจากสภาพที่เป็นปัจจุบัน.

จิตของคน ยากนัก ที่จะมารวมอยู่กับตัวตน.อยากทราบว่าจิตทำงานอย่างไร
ให้คิดถึงตอนนอนหลับ ร่างกายหลับแต่จิตอาจไม่หลับ การฝันว่าได้ท่องเที่ยวไป คือการทำงานของจิต .. แล้วบ้านของจิตอยู่ตรงส่วนใดของร่างกาย

ท่านผู้ที่ปฎิบัติธรรม จะได้รับบอกว่า มาจากบ่อน้ำเลี้ยงของหัวใจ  ที่อยู่กึ่งกลางร่างกาย
เหนือ สะดือ ขึ้นมาราว ๑ นิ้ว

การมีสมาธิ  คือการที่จิต มีภาวะุจดจ่อสนใจกับเรื่องที่เป็นปัจจุบันเฉพาะหน้า.
จะสามารถแก้ไข หรือทำผลงานออกมาได้ดี

ท่านติช นัท ฮันห์ นำมาปรับใช้กับการขับรถ และอธิบายให้ทราบ. ได้อย่างชาญฉลาดมากครับ.  :D


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: yod - รักในหลวง ครับ ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 02:02:02 PM
ถูกยิง ไป 4 นัด ลูกเสียชีวิต   กลับขับรถไปแจ้งความ  

มีผู้เสียชีวิต  ต้องไปแจ้งที่ไหนครับ

รถมีรอยกระสุนปืน ต้องทำอย่างไร

---

มีผู้ประสงค์ร้าย ใช้อาวุธปืน ยิงใส่รถ

ผมยิงตอบโต้  มีคนเสียชีวิต 

จำตำหนิรูปพรรณ รถได้

ข่วยติดตามด้วยครับ            จะเป็นอย่างนี้ ได้มั๊ย

แล้วถึงค่อยว่า  ผิดวิสัยของคนที่มีปืนติดรถ


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: prai ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 02:42:15 PM
ตอนเป็นวัยรุ่นเคยขับถึง 195 กม/ชม

แต่ตอนนี้ขับรถไม่ว่าจะไปไหน ผมท่องใว้เสมอครับว่า

ทำอย่างไรก็ได้ จะช้ายังไงก็ยอม แต่ต้องให้กลับถึงบ้านไปเจอหน้าลูกเมีย


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: xxx ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 02:53:09 PM
แต่ก่อนขับรถเก๋ง  (ปัจุจบันยังใช้อยู่)  โดนคนอื่นขับหาเรื่องประจำ  บางครั้งยังงเลยครับว่าเราไปทำอะไรให้ถึงกับบางทีโบกให้เปิดกระจก(งงว่าเรียกทำไม) แล้วก็ด่าครับ   เจอประจำ   เดี๋ยวนี้สบายครับ ไม่มีใครมาหาเรื่องเลย อิอิ     ทำไงเหรอครับ



ก็แค่มีสัญญลักษณ์ อะไรก็ตาม(ขอไม่บอกนะครับ) ที่ทำให้คันข้างหลังหรือคนที่อาจมาหาเรื่องเราได้ เขารู้ว่า ในรถคันนี้ อาจมีปืนหรือเกี่ยวข้องกับ ผู้ที่ใช้อาวุธปืนครับ ซึ่งเป็นที่ทราบกันของคนทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะคนที่เล่นปืนเท่านั้นที่รู้       ตั้งแต่ใช้วิธีนี้ ไม่เคยโดนปาดหน้าหาเรื่องเลย ได้ผลดีมากเลยครับ  เป็นการป้อมปรามไปในตัว   เพราะคนที่คิดว่าตัวเองมีของดีอยู่ในรถหรือเหนือกว่าคนอื่น(คิดว่าตัวเองได้เปรียบมากกว่า 70-100%)   มักจะกร่างกับคนที่เขาคิดว่าไม่มีทางสู้เขาได้แน่   ปัญหาจึงเกิด  ซึ่งกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่ก็ไปหายมบาลแล้ว        แต่ถ้าเจอกับ คนอื่นที่ผู้ที่คิดจะหาเรื่องเขาคิดว่าตัวเองอาจด้อยกว่าหรือเท่ากัน หรือมีโอกาสเป็นและตาย 50:50  ย่อมหลีกเลี่ยงที่จะมีเรื่องครับ      แต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ แค่ลองแล้วได้ผลเท่านั้นครับ   ไม่ต้องหยิบอะไรมาโชว์เลย


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: nirin ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 03:29:00 PM
แต่ก่อนขับรถเก๋ง  (ปัจุจบันยังใช้อยู่)  โดนคนอื่นขับหาเรื่องประจำ  บางครั้งยังงเลยครับว่าเราไปทำอะไรให้ถึงกับบางทีโบกให้เปิดกระจก(งงว่าเรียกทำไม) แล้วก็ด่าครับ   เจอประจำ   เดี๋ยวนี้สบายครับ ไม่มีใครมาหาเรื่องเลย อิอิ     ทำไงเหรอครับ



ก็แค่มีสัญญลักษณ์ อะไรก็ตาม(ขอไม่บอกนะครับ) ที่ทำให้คันข้างหลังหรือคนที่อาจมาหาเรื่องเราได้ เขารู้ว่า ในรถคันนี้ อาจมีปืนหรือเกี่ยวข้องกับ ผู้ที่ใช้อาวุธปืนครับ ซึ่งเป็นที่ทราบกันของคนทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะคนที่เล่นปืนเท่านั้นที่รู้       ตั้งแต่ใช้วิธีนี้ ไม่เคยโดนปาดหน้าหาเรื่องเลย ได้ผลดีมากเลยครับ  เป็นการป้อมปรามไปในตัว   เพราะคนที่คิดว่าตัวเองมีของดีอยู่ในรถหรือเหนือกว่าคนอื่น(คิดว่าตัวเองได้เปรียบมากกว่า 70-100%)   มักจะกร่างกับคนที่เขาคิดว่าไม่มีทางสู้เขาได้แน่   ปัญหาจึงเกิด  ซึ่งกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่ก็ไปหายมบาลแล้ว        แต่ถ้าเจอกับ คนอื่นที่ผู้ที่คิดจะหาเรื่องเขาคิดว่าตัวเองอาจด้อยกว่าหรือเท่ากัน หรือมีโอกาสเป็นและตาย 50:50  ย่อมหลีกเลี่ยงที่จะมีเรื่องครับ      แต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ แค่ลองแล้วได้ผลเท่านั้นครับ   ไม่ต้องหยิบอะไรมาโชว์เลย

ดี ๆ ครับไอเดียร์ดี ๆ ผมว่าจะหามาติดกระจกบ้าง.... เบื่อเหมือนกันครับ


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Egle ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 03:58:23 PM
 
ถูกยิง ไป 4 นัด ลูกเสียชีวิต   กลับขับรถไปแจ้งความ  

มีผู้เสียชีวิต  ต้องไปแจ้งที่ไหนครับ

รถมีรอยกระสุนปืน ต้องทำอย่างไร

---

มีผู้ประสงค์ร้าย ใช้อาวุธปืน ยิงใส่รถ

ผมยิงตอบโต้  มีคนเสียชีวิต 

จำตำหนิรูปพรรณ รถได้

ข่วยติดตามด้วยครับ            จะเป็นอย่างนี้ ได้มั๊ย

แล้วถึงค่อยว่า  ผิดวิสัยของคนที่มีปืนติดรถ

  ที่ผมโพสต์ ไป ผมหมายถึง คนถูกยิง   อาจไม่มี ปืน หรือ ไม่ได้ยิงขู่ ตามที่คนยิงกล่าวอ้าง  
    
      ถ้ามีปืนอยู่ในมือ   ถูกยิง  4  นัด   ลูกตาย  

    เป็นไปได้หรือครับ  ถ้าไม่ยิงตอบโต้  ( ใครจะใจเย็นขนาดนั้น  ถ้าเขาใจเย็น มีสติขนาดนั้น เขาคงไม่เอาปืนติดรถไป เสี่ยง ตร.จับฐานไม่มมีใบพกหรอกครับ คงเก็บใว้ที่บ้านหรือ  เอาใส่ท้ายรถแทน )

       ผมจึงว่า  ผิดวิสัยคนมีปืนติดรถ  

      


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 04:02:04 PM
แต่ก่อนขับรถเก๋ง  (ปัจุจบันยังใช้อยู่)  โดนคนอื่นขับหาเรื่องประจำ  บางครั้งยังงเลยครับว่าเราไปทำอะไรให้ถึงกับบางทีโบกให้เปิดกระจก(งงว่าเรียกทำไม) แล้วก็ด่าครับ   เจอประจำ   เดี๋ยวนี้สบายครับ ไม่มีใครมาหาเรื่องเลย อิอิ     ทำไงเหรอครับ



ก็แค่มีสัญญลักษณ์ อะไรก็ตาม(ขอไม่บอกนะครับ) ที่ทำให้คันข้างหลังหรือคนที่อาจมาหาเรื่องเราได้ เขารู้ว่า ในรถคันนี้ อาจมีปืนหรือเกี่ยวข้องกับ ผู้ที่ใช้อาวุธปืนครับ ซึ่งเป็นที่ทราบกันของคนทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะคนที่เล่นปืนเท่านั้นที่รู้       ตั้งแต่ใช้วิธีนี้ ไม่เคยโดนปาดหน้าหาเรื่องเลย ได้ผลดีมากเลยครับ  เป็นการป้อมปรามไปในตัว   เพราะคนที่คิดว่าตัวเองมีของดีอยู่ในรถหรือเหนือกว่าคนอื่น(คิดว่าตัวเองได้เปรียบมากกว่า 70-100%)   มักจะกร่างกับคนที่เขาคิดว่าไม่มีทางสู้เขาได้แน่   ปัญหาจึงเกิด  ซึ่งกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่ก็ไปหายมบาลแล้ว        แต่ถ้าเจอกับ คนอื่นที่ผู้ที่คิดจะหาเรื่องเขาคิดว่าตัวเองอาจด้อยกว่าหรือเท่ากัน หรือมีโอกาสเป็นและตาย 50:50  ย่อมหลีกเลี่ยงที่จะมีเรื่องครับ      แต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ แค่ลองแล้วได้ผลเท่านั้นครับ   ไม่ต้องหยิบอะไรมาโชว์เลย
แต่ก่อนขับรถเก๋ง  (ปัจุจบันยังใช้อยู่)  โดนคนอื่นขับหาเรื่องประจำ  บางครั้งยังงเลยครับว่าเราไปทำอะไรให้ถึงกับบางทีโบกให้เปิดกระจก(งงว่าเรียกทำไม) แล้วก็ด่าครับ   เจอประจำ   เดี๋ยวนี้สบายครับ ไม่มีใครมาหาเรื่องเลย อิอิ     ทำไงเหรอครับ



ก็แค่มีสัญญลักษณ์ อะไรก็ตาม(ขอไม่บอกนะครับ) ที่ทำให้คันข้างหลังหรือคนที่อาจมาหาเรื่องเราได้ เขารู้ว่า ในรถคันนี้ อาจมีปืนหรือเกี่ยวข้องกับ ผู้ที่ใช้อาวุธปืนครับ ซึ่งเป็นที่ทราบกันของคนทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะคนที่เล่นปืนเท่านั้นที่รู้       ตั้งแต่ใช้วิธีนี้ ไม่เคยโดนปาดหน้าหาเรื่องเลย ได้ผลดีมากเลยครับ  เป็นการป้อมปรามไปในตัว   เพราะคนที่คิดว่าตัวเองมีของดีอยู่ในรถหรือเหนือกว่าคนอื่น(คิดว่าตัวเองได้เปรียบมากกว่า 70-100%)   มักจะกร่างกับคนที่เขาคิดว่าไม่มีทางสู้เขาได้แน่   ปัญหาจึงเกิด  ซึ่งกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่ก็ไปหายมบาลแล้ว        แต่ถ้าเจอกับ คนอื่นที่ผู้ที่คิดจะหาเรื่องเขาคิดว่าตัวเองอาจด้อยกว่าหรือเท่ากัน หรือมีโอกาสเป็นและตาย 50:50  ย่อมหลีกเลี่ยงที่จะมีเรื่องครับ      แต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ แค่ลองแล้วได้ผลเท่านั้นครับ   ไม่ต้องหยิบอะไรมาโชว์เลย

แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงโดนทุบกระจกค้นของเวลาเราไม่อยู่นะครับ..


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 04:47:52 PM
แต่ก่อนขับรถเก๋ง  (ปัจุจบันยังใช้อยู่)  โดนคนอื่นขับหาเรื่องประจำ  บางครั้งยังงเลยครับว่าเราไปทำอะไรให้ถึงกับบางทีโบกให้เปิดกระจก(งงว่าเรียกทำไม) แล้วก็ด่าครับ   เจอประจำ   เดี๋ยวนี้สบายครับ ไม่มีใครมาหาเรื่องเลย อิอิ     ทำไงเหรอครับ

ก็แค่มีสัญญลักษณ์ อะไรก็ตาม(ขอไม่บอกนะครับ) ที่ทำให้คันข้างหลังหรือคนที่อาจมาหาเรื่องเราได้ เขารู้ว่า ในรถคันนี้ อาจมีปืนหรือเกี่ยวข้องกับ ผู้ที่ใช้อาวุธปืนครับ ซึ่งเป็นที่ทราบกันของคนทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะคนที่เล่นปืนเท่านั้นที่รู้       ตั้งแต่ใช้วิธีนี้ ไม่เคยโดนปาดหน้าหาเรื่องเลย ได้ผลดีมากเลยครับ  เป็นการป้อมปรามไปในตัว   

ผมมองว่าไม่มีประโยชน์ครับ ... ซ้ำอาจเป็นโทษ เพราะทำให้เราเกิดความลำพอง ...  ;)


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ChipMunk รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 04:49:41 PM
บางที่รถเยอะๆแล้วคันหลังเปิดไฟไล่ถี่ๆก็น่าโมโหเหมือนกันนะครับ ::001::

เห็นบางคันจอดติดไฟแดงอยู่คันแรกยังบีบแตรไล่ไฟแดงเลยครับ ::006::ไม่รู้จะรีบไปใหน

ผมขับช้าชิดซ้าย ขับเร็วอยู่เลนกลาง ไม่กล้าอยู่เลนขวาสุดครับเสียว เป็นข่าวมาเยอะเพราะเลนขวาสุดนี่แหละครับ ::010::



หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 05:10:48 PM
เป็นว่า เรียกร้องตนเองให้กระทำในสิ่งที่ดีมีมารยาทมากขึ้น.. ไม่ถือทาง ไม่ติดใจและผ่อนปรนให้กับผู้ร่วมใช้ทาง

แซงขวาไม่ได้ ก็ทิ้งระยะลง.. ถือว่าคันหน้าให้เราแซงซ้าย ก็แล้วกัน
และกระพริบไฟเตือนรถคันหลังที่ตามมาด้วย.

ผมเป็นคนขับรถเร็วมากคนหนึ่ง..
แต่เมื่อเปลี่ยนมาขับช้าลง และใช้เลนกลาง และกระพริบไฟให้คันหลังแซงขวา..
ก็ทำให้ใจเย็น และไม่เครียด  และก็ประหยัดน้ำมันได้ด้วย..  :D


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chew - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 05:14:47 PM
เป็นว่า เรียกร้องตนเองให้กระทำในสิ่งที่ดีมีมารยาทมากขึ้น.. ไม่ถือทาง ไม่ติดใจและผ่อนปรนให้กับผู้ร่วมใช้ทาง

แซงขวาไม่ได้ ก็ทิ้งระยะลง.. ถือว่าคันหน้าให้เราแซงซ้าย ก็แล้วกัน
และกระพริบไฟเตือนรถคันหลังที่ตามมาด้วย.

ผมเป็นคนขับรถเร็วมากคนหนึ่ง..
แต่เมื่อเปลี่ยนมาขับช้าลง และใช้เลนกลาง และกระพริบไฟให้คันหลังแซงขวา..
ก็ทำให้ใจเย็น และไม่เครียด  และก็ประหยัดน้ำมันได้ด้วย..  :D
อันนี้เป็นไปตามวัยหรือเปล่าครับพี่ :D


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 05:18:15 PM
...  ผมก็อยู่ในกลุ่ม เตรียม สว. เหมือน คุณ chew.. ละครับ.  ;D


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: nirin ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2008, 06:15:43 PM
เป็นว่า เรียกร้องตนเองให้กระทำในสิ่งที่ดีมีมารยาทมากขึ้น.. ไม่ถือทาง ไม่ติดใจและผ่อนปรนให้กับผู้ร่วมใช้ทาง

แซงขวาไม่ได้ ก็ทิ้งระยะลง.. ถือว่าคันหน้าให้เราแซงซ้าย ก็แล้วกัน
และกระพริบไฟเตือนรถคันหลังที่ตามมาด้วย.

ผมเป็นคนขับรถเร็วมากคนหนึ่ง..
แต่เมื่อเปลี่ยนมาขับช้าลง และใช้เลนกลาง และกระพริบไฟให้คันหลังแซงขวา..
ก็ทำให้ใจเย็น และไม่เครียด  และก็ประหยัดน้ำมันได้ด้วย..  :D

ขออนุญาตินำไปใช้นะครับพี่


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: rainbow warrior ที่ มีนาคม 01, 2008, 10:36:01 AM
แต่ก่อนขับรถเก๋ง  (ปัจุจบันยังใช้อยู่)  โดนคนอื่นขับหาเรื่องประจำ  บางครั้งยังงเลยครับว่าเราไปทำอะไรให้ถึงกับบางทีโบกให้เปิดกระจก(งงว่าเรียกทำไม) แล้วก็ด่าครับ   เจอประจำ   เดี๋ยวนี้สบายครับ ไม่มีใครมาหาเรื่องเลย อิอิ     ทำไงเหรอครับ



ก็แค่มีสัญญลักษณ์ อะไรก็ตาม(ขอไม่บอกนะครับ) ที่ทำให้คันข้างหลังหรือคนที่อาจมาหาเรื่องเราได้ เขารู้ว่า ในรถคันนี้ อาจมีปืนหรือเกี่ยวข้องกับ ผู้ที่ใช้อาวุธปืนครับ ซึ่งเป็นที่ทราบกันของคนทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะคนที่เล่นปืนเท่านั้นที่รู้       ตั้งแต่ใช้วิธีนี้ ไม่เคยโดนปาดหน้าหาเรื่องเลย ได้ผลดีมากเลยครับ  เป็นการป้อมปรามไปในตัว   เพราะคนที่คิดว่าตัวเองมีของดีอยู่ในรถหรือเหนือกว่าคนอื่น(คิดว่าตัวเองได้เปรียบมากกว่า 70-100%)   มักจะกร่างกับคนที่เขาคิดว่าไม่มีทางสู้เขาได้แน่   ปัญหาจึงเกิด  ซึ่งกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่ก็ไปหายมบาลแล้ว        แต่ถ้าเจอกับ คนอื่นที่ผู้ที่คิดจะหาเรื่องเขาคิดว่าตัวเองอาจด้อยกว่าหรือเท่ากัน หรือมีโอกาสเป็นและตาย 50:50  ย่อมหลีกเลี่ยงที่จะมีเรื่องครับ      แต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ แค่ลองแล้วได้ผลเท่านั้นครับ   ไม่ต้องหยิบอะไรมาโชว์เลย

เคยขับรถเก๋งเจอเหมือนกันครับ มีเรื่องหงุดหงิดทุกวัน หลังสุดเปลี่ยนมาใช้รถ 4WD ยกสูงติดกันชนเหล็กหน้าหลัง ไม่มีใครมายุ่งอีกเลยสุขภาพจิตดีขึ้นมาก เรื่องสติ๊กเกอร์ไม่กล้าติดครับกลัวรถโดนทุบกระจกเอาของ


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: keang_ja ที่ มีนาคม 01, 2008, 10:50:38 AM
ขอแสดงความเสียใจกับผู้สูญเสียด้วยครับ ::004::


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Suchet ที่ มีนาคม 01, 2008, 11:27:04 AM
 

  ที่ผมโพสต์ ไป ผมหมายถึง คนถูกยิง   อาจไม่มี ปืน หรือ ไม่ได้ยิงขู่ ตามที่คนยิงกล่าวอ้าง  
    
      ถ้ามีปืนอยู่ในมือ   ถูกยิง  4  นัด   ลูกตาย  

    เป็นไปได้หรือครับ  ถ้าไม่ยิงตอบโต้  ( ใครจะใจเย็นขนาดนั้น  ถ้าเขาใจเย็น มีสติขนาดนั้น เขาคงไม่เอาปืนติดรถไป เสี่ยง ตร.จับฐานไม่มมีใบพกหรอกครับ คงเก็บใว้ที่บ้านหรือ  เอาใส่ท้ายรถแทน )

       ผมจึงว่า  ผิดวิสัยคนมีปืนติดรถ  

      

               
                                           หมายความว่า คนที่มีปืนติดไว้ในรถ เป็นคนใจร้อน  และขาดสติ อย่างนั้นหรือครับ







หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: PCK ที่ มีนาคม 01, 2008, 10:38:53 PM
ถ้าเขาใจเย็น มีสติขนาดนั้น เขาคงไม่เอาปืนติดรถไป

น่าจะใช้คำว่า ถ้าเขาใจเย็น มีสติขนาดนั้น เขาคงไม่เอาปืนออกมาขู่หรือยิงขึ้นฟ้าแน่นอน ถึงจะถูกต้องกว่า สรุปว่าถ้าเอาออกมาแล้วถูกยิงไม่โดนตัวเองแต่โดนลูกแล้วไม่สวนกลับผมมองว่าแปลกมาก
คนมันเลวขนาดนั้นมันก็พูดแก้ตัวไปได้ทุกอย่าง


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: WPRAYUTH ที่ มีนาคม 01, 2008, 11:18:17 PM
นี่คือสิ่งที่ผมเลิกทำมาเกือบ 10 ปีแลวครับ :VOV:
1.เปิดไฟสูงใส่รถคันหน้า
2.ขับรถจี้คันหน้า
3.แซงแล้วปาดหน้าคันที่แซง
4.บีบแตรไล่รถคันอื่น
5.มองหน้าคนขับรถคันอื่น
6.ขับรถกีดขวางคันหลังไม่ว่าจะอยู่เลนใดก็ตาม
และนี่คือสิ่งที่ผมทำในปัจจุบันนี้ :VOV:
1.ขับรถให้มีความเร็วเหมาะสมกับสภาพการจราจรขนาดนั้น
2.ขับรถให้มีมารยาทและสวยงาม
3.ขับรถให้ดูน่าชื่นชมสำหรับรถคันอื่นและตนเอง


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: JJ-รักในหลวง ที่ มีนาคม 01, 2008, 11:43:02 PM
นี่คือสิ่งที่ผมเลิกทำมาเกือบ 10 ปีแลวครับ :VOV:
1.เปิดไฟสูงใส่รถคันหน้า
2.ขับรถจี้คันหน้า
3.แซงแล้วปาดหน้าคันที่แซง
4.บีบแตรไล่รถคันอื่น
5.มองหน้าคนขับรถคันอื่น
6.ขับรถกีดขวางคันหลังไม่ว่าจะอยู่เลนใดก็ตาม
และนี่คือสิ่งที่ผมทำในปัจจุบันนี้ :VOV:
1.ขับรถให้มีความเร็วเหมาะสมกับสภาพการจราจรขนาดนั้น
2.ขับรถให้มีมารยาทและสวยงาม
3.ขับรถให้ดูน่าชื่นชมสำหรับรถคันอื่นและตนเอง
เมื่ออายุมากขึ้น ความคิดรับผิดชอบต่อครอบครัวตนเอง
ผมก็ทำอย่างนี้เหมือนกันครับ


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ มีนาคม 02, 2008, 11:32:49 AM
ว่าตามพี่สมชายครับ  คือบ้านเรายังไม่เอาจริงเอาจังกับการ อบรมผู้สอบใบขับขี   จึงมีมุมมองมาตรฐานของแต่ละคนขับต่างกัน

เคยเจอ บางพวกไม่รู้ไปหัดขับมาจากไหน  จะแซง ถนนก็โล่ง  และรถคันหน้าก็หลบให้  แต่เจ้าตัวจะต้องกระพริบไฟ ไฟสูงไล่จี้เขาไปซะอย่างนั้น   ตอนแรกเข้าใจว่า...เกิดอะไรผิดพลาดจารถคันหน้าหรือเปล่า   หรือว่าคนคนขับรถคันที่แซงไม่มีมารยาทที่ดี ......  พอดีเป็นขับรถตามไป เห็นทำตลอดเส้นทาง เวลาจะแซง  .....เลยเข้าใจว่า คนขับได้รับการอมรมมาอย่างผิดๆหรือเปล่า

เมื่อ บรรทัดฐานของแต่ละคนมันแตกต่าง  การทะเลาะเบาะแว้งย่อมตามมา


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: xxx ที่ มีนาคม 05, 2008, 08:55:11 AM
แต่ก่อนขับรถเก๋ง  (ปัจุจบันยังใช้อยู่)  โดนคนอื่นขับหาเรื่องประจำ  บางครั้งยังงเลยครับว่าเราไปทำอะไรให้ถึงกับบางทีโบกให้เปิดกระจก(งงว่าเรียกทำไม) แล้วก็ด่าครับ   เจอประจำ   เดี๋ยวนี้สบายครับ ไม่มีใครมาหาเรื่องเลย อิอิ     ทำไงเหรอครับ



ก็แค่มีสัญญลักษณ์ อะไรก็ตาม(ขอไม่บอกนะครับ) ที่ทำให้คันข้างหลังหรือคนที่อาจมาหาเรื่องเราได้ เขารู้ว่า ในรถคันนี้ อาจมีปืนหรือเกี่ยวข้องกับ ผู้ที่ใช้อาวุธปืนครับ ซึ่งเป็นที่ทราบกันของคนทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะคนที่เล่นปืนเท่านั้นที่รู้       ตั้งแต่ใช้วิธีนี้ ไม่เคยโดนปาดหน้าหาเรื่องเลย ได้ผลดีมากเลยครับ  เป็นการป้อมปรามไปในตัว   เพราะคนที่คิดว่าตัวเองมีของดีอยู่ในรถหรือเหนือกว่าคนอื่น(คิดว่าตัวเองได้เปรียบมากกว่า 70-100%)   มักจะกร่างกับคนที่เขาคิดว่าไม่มีทางสู้เขาได้แน่   ปัญหาจึงเกิด  ซึ่งกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่ก็ไปหายมบาลแล้ว        แต่ถ้าเจอกับ คนอื่นที่ผู้ที่คิดจะหาเรื่องเขาคิดว่าตัวเองอาจด้อยกว่าหรือเท่ากัน หรือมีโอกาสเป็นและตาย 50:50  ย่อมหลีกเลี่ยงที่จะมีเรื่องครับ      แต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ แค่ลองแล้วได้ผลเท่านั้นครับ   ไม่ต้องหยิบอะไรมาโชว์เลย
แต่ก่อนขับรถเก๋ง  (ปัจุจบันยังใช้อยู่)  โดนคนอื่นขับหาเรื่องประจำ  บางครั้งยังงเลยครับว่าเราไปทำอะไรให้ถึงกับบางทีโบกให้เปิดกระจก(งงว่าเรียกทำไม) แล้วก็ด่าครับ   เจอประจำ   เดี๋ยวนี้สบายครับ ไม่มีใครมาหาเรื่องเลย อิอิ     ทำไงเหรอครับ



ก็แค่มีสัญญลักษณ์ อะไรก็ตาม(ขอไม่บอกนะครับ) ที่ทำให้คันข้างหลังหรือคนที่อาจมาหาเรื่องเราได้ เขารู้ว่า ในรถคันนี้ อาจมีปืนหรือเกี่ยวข้องกับ ผู้ที่ใช้อาวุธปืนครับ ซึ่งเป็นที่ทราบกันของคนทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะคนที่เล่นปืนเท่านั้นที่รู้       ตั้งแต่ใช้วิธีนี้ ไม่เคยโดนปาดหน้าหาเรื่องเลย ได้ผลดีมากเลยครับ  เป็นการป้อมปรามไปในตัว   เพราะคนที่คิดว่าตัวเองมีของดีอยู่ในรถหรือเหนือกว่าคนอื่น(คิดว่าตัวเองได้เปรียบมากกว่า 70-100%)   มักจะกร่างกับคนที่เขาคิดว่าไม่มีทางสู้เขาได้แน่   ปัญหาจึงเกิด  ซึ่งกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่ก็ไปหายมบาลแล้ว        แต่ถ้าเจอกับ คนอื่นที่ผู้ที่คิดจะหาเรื่องเขาคิดว่าตัวเองอาจด้อยกว่าหรือเท่ากัน หรือมีโอกาสเป็นและตาย 50:50  ย่อมหลีกเลี่ยงที่จะมีเรื่องครับ      แต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ แค่ลองแล้วได้ผลเท่านั้นครับ   ไม่ต้องหยิบอะไรมาโชว์เลย

แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงโดนทุบกระจกค้นของเวลาเราไม่อยู่นะครับ..
คิดว่าไม่น่าเป็นห่วงครับ ติดหรือวางมานานกว่า 5 ปีแล้ว ไม่เคยโดนทุบกระจกเอาของครับเพราะสิ่งที่ติดหรือวางไว้ เป็นสิ่งที่พวกมิฉาชีพ หรืออันธพาล ไม่อยากเสี่ยงหรือยุ่งด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: salin - รักในหลวง ที่ มีนาคม 05, 2008, 08:58:24 AM
อุทธาหรณ์ครับ...

ต่อไปก็จะเกิดเหตุเช่นนี้อีกเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังไม่ให้ความรู้เรื่องมรรยาทการใช้รถใช้ถนนแก่คนทั่วไปในวงกว้างครับ... เพราะต่างฝ่ายก็ต่างเข้าใจว่าตนเองใช้รถใช้ถนนถูกต้อง จึงไม่มีใครยอมใคร... จนกระทั่งถึงจุดที่อารมณ์เดือดเต็มที่ก็สายเสียแล้ว... หากถามใคร คนนั้นก็ว่าตนเองถูก แต่ในที่สุดคนชนะก็ติดคุก คนแพ้ก็บาดเจ็บล้มตายครับ...

นายสมชายเบื่อมาก บ่นมานานกับคนที่ขับรถยนต์ช้าแต่แช่ขวา... อยากขับช้าแต่ไม่ยอมชิดซ้าย หรือหากถนนมีแค่ 2 เลนก็น่าจะเปิดจังหวะให้คนที่ต้องการไปก่อนได้แซงบ้าง... ที่พบเป็นประจำคือหากพยายามจะแซง คนขับช้าจะเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นพยายามบังจังหวะให้เราแซงไม่ได้ครับ... เจอทีไรก็โมโหทุกที แต่ต้องทำใจปล่อยๆ...

หากเราไปถามคนขับรถช้า... เขาก็เข้าใจว่าตัวเองทำสิ่งที่ถูกที่ควร เพราะการขับช้าทำให้โอกาสเกิดอุบัติเหตุได้น้อยลง ซึ่งก็ถูกในแง่ของเขาครับ... บางคนไปไกลถึงขั้นที่พยายามบล็อกคนอื่นให้ช้าทั้งถนน เพราะต้องการให้ทุกคันประหยัดน้ำมัน... เป็นวีรกรรม"ประหยัดน้ำมันเพื่อชาติ"ครับ...

นายสมชายคนหนึ่งที่ชอบวาบไฟสูงใส่คันหน้าเพื่อขอทาง แล้วพยายามหาจังหวะแซง... แต่ถ้าเจอคันไหนวาบไฟสูงสองครั้งแล้วเฉย หรือแตะเบรคใส่หน้านายสมชาย... นายสมชายจะหยุดดำเนินการทันทีครับ ขับตามไปเรื่อยๆ บอกตรงๆ กลัวคนประเภทบ้าไม่คิดหน้าคิดหลัง... เขาอาจจะมีทุกข์หนัก ประสบปัญหาชีวิตกำลังจะฆ่าตัวตายอยู่แล้ว พอดีเราโผล่ไปในชีวิตเขาครับ... ซวยตายเลย...
   ::002:: ::002::


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: phanup10 ที่ มีนาคม 05, 2008, 10:57:50 AM
ว่าตามพี่สมชายครับ  คือบ้านเรายังไม่เอาจริงเอาจังกับการ อบรมผู้สอบใบขับขี   จึงมีมุมมองมาตรฐานของแต่ละคนขับต่างกัน

เคยเจอ บางพวกไม่รู้ไปหัดขับมาจากไหน  จะแซง ถนนก็โล่ง  และรถคันหน้าก็หลบให้  แต่เจ้าตัวจะต้องกระพริบไฟ ไฟสูงไล่จี้เขาไปซะอย่างนั้น   ตอนแรกเข้าใจว่า...เกิดอะไรผิดพลาดจารถคันหน้าหรือเปล่า   หรือว่าคนคนขับรถคันที่แซงไม่มีมารยาทที่ดี ......  พอดีเป็นขับรถตามไป เห็นทำตลอดเส้นทาง เวลาจะแซง  .....เลยเข้าใจว่า คนขับได้รับการอมรมมาอย่างผิดๆหรือเปล่า

เมื่อ บรรทัดฐานของแต่ละคนมันแตกต่าง  การทะเลาะเบาะแว้งย่อมตามมา
 
 
ว่ากฏหมายการจราจร นะ การขับรถแซงคันหน้า ต้องให้สัญญาณ (กลางวัน ก็น่าจะเป็นสัญญาณแตร กลางคืน ก็ไฟสูง) เมื่อคันหน้าให้สัญญาณแซง และแอบซ้าย จึ่งแซงขึ้นไป แต่สำมะคัญ ดันวิ่งขวาซิ ถนนจะโล่งยังไงก็ชัง (ก็เสียภาษีเหมียนกัน) อยากรีบ ก็ซ้ายไปซิ


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Macbkk ที่ มีนาคม 05, 2008, 11:24:52 AM
ถ้าเขาใจเย็น มีสติขนาดนั้น เขาคงไม่เอาปืนติดรถไป

น่าจะใช้คำว่า ถ้าเขาใจเย็น มีสติขนาดนั้น เขาคงไม่เอาปืนออกมาขู่หรือยิงขึ้นฟ้าแน่นอน ถึงจะถูกต้องกว่า สรุปว่าถ้าเอาออกมาแล้วถูกยิงไม่โดนตัวเองแต่โดนลูกแล้วไม่สวนกลับผมมองว่าแปลกมาก
คนมันเลวขนาดนั้นมันก็พูดแก้ตัวไปได้ทุกอย่าง

เห็นด้วยครับ ถ้าคนที่เขามีสติมีความคิด เขาคงไม่เอาปืนมาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้แน่นอนครับ คนดีเขามีปืนไว้ป้องกันชีวิตและทรัพย์สินตามสิทธิ ไม่ได้มีไว้รุกราน หรือ ใช้ตัดสิน คนอื่น


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: TONG_RUAMSAM ที่ มีนาคม 05, 2008, 12:02:41 PM
คนที่มีครอบครัวแล้วขับรถขับรา ต้องระวังให้มาก ๆ  เพราะทุก ๆ คันที่อยู่บนถนน (อาจ)มีปืนทุกคันจะเป็นของจริง หรือปลอมเป็นอีกเรื่อง ถ้าเห็นเราก็ต้องป้องกันตัวไว้ก่อน ส่วนใครจะขับเร็ว ขับช้าก็เป็นเรื่องของเขา ผมเองมีลุฏแล้วต้องระวังให้มาก ๆ  แค่ 90 ก็พอแล้ว ประหยัดน้ำมันด้วย


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: TONG_RUAMSAM ที่ มีนาคม 05, 2008, 12:06:53 PM
คนที่มีครอบครัวแล้วขับรถขับรา ต้องระวังให้มาก ๆ  เพราะทุก ๆ คันที่อยู่บนถนน (อาจ)มีปืนทุกคันจะเป็นของจริง หรือปลอมเป็นอีกเรื่อง ถ้าเห็นเราก็ต้องป้องกันตัวไว้ก่อน ส่วนใครจะขับเร็ว ขับช้าก็เป็นเรื่องของเขา ผมเองมีลุฏแล้วต้องระวังให้มาก ๆ  แค่ 90 ก็พอแล้ว ประหยัดน้ำมันด้วย  ::014:: ::014:: ::014::


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: GoZfater ที่ มีนาคม 05, 2008, 12:40:42 PM
คุกๆๆ ::013:: อยากดื่มก็ไม่ได้ดื่ม อยากเที่ยวก็ไม่ได้เที่ยว จะไปทำบุญที่วัดโพ(ไซดอน) :D~ก็ปายมายด้าย...สม... :DD :DD


หัวข้อ: Re: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Mseal ที่ มีนาคม 06, 2008, 02:55:09 AM
ไอ้พวกนี้มันเหมือนวัยรุ่นเห่อ...... มีปืนแล้วอยากจะยิง  ::009::

คนมันไม่เคยยิงก็ยังงี้แหล่ะ หาเรื่องจะยิงปืนอย่างเดียว

มีอะไรนิดๆหน่อยๆ ก็อยากจะลองยิงดู

ไอ้กระบือน้อยเอย  พูดถึงพวกนี้แล้วเกลียด  >:( >:( >:(