เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สงสัยตั้งแต่ซื้อปืนกระบอกแรกแล้วครับ..ว่าจากราคาปืนที่แพง ๆ ร้านปืนได้กำไรเท่าไหร
ลองคิดเป็นสัดส่วนดู..(ตามความรู้ที่มีอยู่น้อย) แบบนี้ครับ

ราคาขาย 100 ..
ต้นทุนปืน 30..
ค่าโควต้านำเข้าและภาษี 30
ค่าการตลาด 10..
ต้นทุนขาย.. 10
กำไร... 20

ใกล้เคียงหรือไม่..ถามท่านผู้รู้ครับ.. 

คิดไปก็ปวดหัวเปล่าๆครับ ของที่ค้ากำไรกว่านี้มีเยอะแยะไปครับ  ;D

เห็นด้วยครับ ขายก๋วยเตี๋ยวยังกำไรครึ่งต่อครึ่งเลย  ;D

ขายก๋วยเตี๋ยว กำไรเกินครึ่ง ครับ

เชื่อ ผมดิ แถว อนุสาวรีย์ ขายก๋วยเตี๋ยว ขับ BENZ / BM  ;D

คนกินนั่งรถเมล์ไปครับ อิอิ หาที่จอดยาก

..กำไร.เท่าไหร่ไม่ทราบครับ..รู้แต่ว่ามีแต่คนอยากเปิดอีก.ถ้าไม่ติดที่ใบ.อณุญาต..... :D.. ;D

เรื่องบางเรื่อง หากไม่ไปหาเหตุมัน ก็จะลดการปวดหัวได้ คริๆ

หาไปก็เท่านั้นครับ ตราบใดที่ ที่นี่คือประเทศไทย


จงภูมิใจเถิดว่า เราเกิดมาเป็นคนไทย ยังไงๆ ก็ยังมีดีอีกมากมาย อิๆ(ผมก็ซื้อปืนแพง)เช่นทุกท่านแหละครับ

ถูกต้องครับน้าแมว  ;D ::002::

คิดยากเพราะกำไรแต่ละแบบ สั้น ยาว ก็ต่างกันครับ

คิดว่าสรุปรวมแล้ว "สำหรับบางรุ่น" กำไรอาจจะ 20% ของราคาขายก็ได้

แต่ตั้งอย่างการคิดที่ให้มา คิดสวนทางกลับหัวหาง

เวลาคิดเอา ต้นทุนปืน (ราคาจากนอกบวกค่าขนส่ง) ขึ้นต้นก่อนจะเข้าใจได้ดีกว่า

อย่างที่ยกมา ทุน 30 ค่าโควต้าและภาษีก็ 30 ซึ่งเท่ากับ 100% ของราคาปืนบวกค่าขนส่ง แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น ภาษีแค่ 30% ของราคาปืน ส่วนค่าโควต้าเป็นค่าใช้จ่ายนอกระบบบัญชี สั้น กับยาวต่างกัน และไม่ขึ้นกับราคาปืน

แล้ว ต้นทุนขาย คืออะไรครับ?

กำไรพอใช้ได้ ;D ;D ;D ไม่งั้นปิดหมดแล้ว

กำไรดีก็มีกาแฟเลี้ยง

บางร้านเลี้ยงน้ำชา..... ยังลดรายจ่ายด้วยการนำน้ำชาเหลือของลูกค้ามาวนอีกรอบ   ::009::

อะจึ๋ย ยังดีครับผมรับแต่กาแฟเย็นกับชาร้อน

อวกกกกก ;D ;D ;D

อ้าว พี่คาร์อ้วกลงถังน้ำชาแถมอีก !!

ร้านจะได้กำไรเท่าไรไม่อยากรู้หรอกครับ

ขอให้ขอ ป.3 ง่ายๆเป็นพอ

คนขายปืน   เขาไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนหรอกครับ   เอาแค่ว่าขึ้นราคาไปเท่าไหร่  แล้วยังมีคนซื้อ แค่นั้นก็พอ
ส่วนการลงบัญชี  ก็แล้วแต่สรรพากร จะบังคับไว้อย่างไร
เช่นปีภาษีที่แล้ว  กำหนดว่าต้องขายไม่ต่ำกว่า 130% ของต้นทุน (เฉพาะตัวปืน ไม่รวมการบริหาร)  เช่นซีแซด 75 ต้นทุนหลังเสียอากรขาเข้า +VAT  จะอยู่ที่ 22,000 บาท  ก็ต้องลงบัญชีว่าขาย 28,600 กับ VAT ที่นำส่งอีก 2,202 บาท   ดังนั้นต้นทุนของซีแซด 75 จะเท่ากับ 24,002 บาท

กำไรอื้อซ่า............

        ขอบคุณครับ
เห็นราคา  แล้ว  ฮือ ๆ ๆ  ::0044:: ::004:: ::004::
        แม้แต่ปืนสวัสดิการที่เราจองแล้วรอกันเป็นปี ๆ (ถ้าไม่ไปเสียตังค์ลัดคิว) ดีใจว่าได้ปืนราคาถูก
(ทั้ง ๆ ที่ถ้าคิดจะช่วยเหลือกันจริง ต้องถูกกว่านี้  อันนี้เป็นสวัสดิการให้กับใครบางคนที่เกี่ยวข้องกับโครงการด้วย)
มันก็เกินจริงไปพอสมควร  แถมโอนไม่ได้อีก  ยิ่งปืนยาวราคาต่างกันไม่มาก

  :D~  กำไรเยอะจังครับ    ผมเคยถามเด็กที่อยู่หน้าร้าน บอกว่าวันนึงขายได้ 10-20 กระบอก      ฟังแล้ว วันนึงได้เป็น ล้านเลยครับ   :D~กำไรหลายแสนบาท

ร้านนึงถึงมีหุ้นส่วนหลายหุ้น  ::012::

โหววว....  :~)

ขอบคุณครับผู้การ.... ::014::.....เห็นกำไรแล้วอยากจะเปิดซักร้าน... ;D ;D

ถ้ายังไม่มีปืน  ก็ซื้อไว้เถอะครับ  เอากระบอกที่เราชอบจริงๆ  เพราะมันจะแพงขึ้นไปเรื่อยๆ ๆ ๆ

ที่ทำกำไรได้มากอีกอย่างหนึ่งคือการขายปืนเก่า  กับการขายกระสุนที่ไม่ต้องมี ป.๓   ไม่ต้องเสียภาษี

กำไรมากขนาดนี้เอาตังค์ไปเก็บไว้ในกัน...หนอร้านปืนทั้งหลาย
อย่างน้อยก็ยังดีที่ยังมีบางร้านที่ยังมีบริการที่ดีกับลูกค้าอยู่บ้าง...

มิน่าหละ ขายใบโควต้าว่ากันเป็นตัวเลข 7 หลัก....กำไรงามแบบนี้นี่เอง..........

ขายแพงยังไงก็ยังมีคนซื้อ
น่าเห็นใจบางคนที่รายได้น้อย ไม่มีกำลังซื้อนะครับ

กำไรที่ดี ก็ต้องย่อมจ่ายมาแพงด้วยครับ   ไม่งั้นผมก็ไปเปิดร้านขายปืนเองแล้ว
ปีหนึ่งๆ ก็กำหนดว่าได้ สั้นเท่าไร ไรยาวเท่าไร  ล้วนแล้วแต่ได้มาโดยใช้เบี้ยแลก
ความยุติธรรมไม่มีจริงหรอกครับ มีแต่ในนิยาย

ดูต้นทุนที่ใส่มาในชามก๋วยเตี๋ยวก็รู้แล้วครับ ว่าเค้ากำไร เท่าไหร่
ผักบุ้งที่ใส่ ยังกระจิ๊ดเดียว

ขายก๊วยเตี๋ยวยังโดน ;D ;D ;D คงต้องไปขายเตี๋ยวแทนทำทัวร์แล้วมั้ง

               ใบโควต้าใบนึงราคาเท่าไหร่กันครับผมเคยถามร้านปืนร้านนึงบอกว่าเอาไหมขาย  3,000,000............................ ::009:: ::010:: ::011:: ::012:: ::013:: ::014::

กี่ปีครับ ;D ;D ;D

เอ่อ...................ผมก็ลืมถามครับพี่ กลัวว่าจะปีต่อปี ถ้าสักสิบปีพี่สนใจร่วมหุ้นกับผมไหมหล่ะครับ ;D ;D ;D

ก๋วยเตี๋ยวยังไม่เท่าขายโอเลี้ยงค่ะ  ชงแก้ว ทิ้ง 2 แก้ว กำไรยังเกินครึ่ง :D

จริงหรือครับ.......ผมขายอยู่ไม่เห็นได้แบบนั้นเลยครับ^^

อัดน้ำแข็งแน่นๆซิครับพี่โป้ง  ::007::

ตั้งเป็นสหกรณ์เลยไหมครับ สั่งมาขายเฉพาะสมาชิกในราคาที่กำไรพออยู่  แต่ใบโควต้าแพงเกิน ถ้าใบโควต้าราคานั้นก็ต้องขายปืนใกล้เคียงกับร้านปืนอยู่ดี :~)

น้ำแข็งก็ขึ้นราคาแล้วนะจ้า

ก๋วยเตี๋ยวเดี๋ยวนี้ขายกัน30-35-40 ลูกชิ้น2เม็ด เนื้อนิดนึง เส้นนิดนึง ผัดนิดนึง กำไรน่าจะ60%+   :D

ถ้วย35x100ถ้วย=3,500    ถ้าขายวัน300ถ้วย ยอดขาย10,000+   รวมเครื่องดื่ม กำไร5-6พันต่อวัน กำไรเดือนละ1-2แสน 

ปล.ไม่เกี่ยวกับปืนเลย ขออภัยด้วยครับ ;D

ครับผม! อย่าไปคิดมาก หากผู้ขายค้ากำไรเกินควรก็อย่าไปซื้อมัน ผมร่ำๆจะซื้อปืนยาว.22ตั้งแต่กระบอกละ15,000 พอสะสมเงินได้
ราคาก็กระโดดไปเกือบ20,000 ผมเห็นว่าค้ากำไรเกินควรเลยAntiไม่ซื้อ ตอนนี้ปาไป 25,000แล้ว เลิกซื้อครับ เอาของที่มีอยู่ 3กระบอก
มาขัดถูดีกว่า แล้วเอาเงินที่สะสมไว้ไปเล่น nootbook ที่ราคาลดลงทุกวันแถมผ่อน6เดือนไม่มีดอกอีก ผ่อนหมดแล้วครับ ของเล่นชิ้นต่อไป
กะว่าจะผ่อนTV LCD ที่ราคาถูกลงทุกวัน ขอบ่นหน่อยครับ

เห็นภาพ ชัดแจ๋วเลยน๊ะนั่น พี่ๆ เช็ดเงื่อด้วย คริๆ

คงจะซื้อเป็นกระบอกสุดท้ายแล้วครับ หันไปเล่นอย่างอื่นบ้างดีกว่าพวกเทคโนโลยีต่าง ๆ ไฮเทค นับวันจะถูกลง เช่น คอมพิวเตอร์ 
TV LCD
เครื่องเสียงแบบนุ่ม ๆ
กล้องจับความเคลื่อนไหว

ผมหันไปมอง ปืนบีบี ครับ

เติมฝันวัยเด็กให้เต็มได้เช่นกัน  แถมประหยัด ยิงเล่นที่หน้าบ้านก็ได้

 ราคาปืนของจีนและราคากระสุนบีบี ก็ยังพอรับได้

ส่วนตังที่เหลือ เก็บไว้ซื้อรถมาติดแก๊ซ ประหยัดค่าน้ำมันได้ปีละเป็นแสนบาทครับ

เห็นด้วยครับ ผมซื้อมาแล้ว 1กระบอก ::002:: ::002:: ::002::

 ::002::

ร้านไหนราคาเท่าไหร่ครับพี่  มีแบบ M4 บ้างมั๊ย เผื่อจะได้แอบเอา ATM ของ ผบทบ. ไปกด มาซื้อซักกระบอก  ;D

ผมเล่นปืนครับ ไม่ได้ลงทุนกับปืน

และไม่คิดว่าคนที่มีใบแล้วจะซื้อปืนมากขึ้น หรือง่ายขึ้น หรือทำให้ได้กำไรมาก ที่เข้าใจใบหนึ่งมี สัน 30 ยาว 50 ใช่ไหมครับ คงไม่จูงใจพอที่จะซื้อใบมาทำเอง ไม่แน่บางรุ่นที่ต้องการก็ต้องมีจำนวนในการสั่งอีก ถ้า 5-10 กระบอกแล้วจะเอามาทำไรกัน ถ้าต้องสั่ง 10 กระบอกก็ได้แค่ 3 แบบเท่านั้นต่อปี ต้องมีเบี้ยบ้ายรายทางอีกมากมาย กว่าจะเป็นโดนเขามั่วไปอีกเยอะ

ใครจะทำบอกได้ผมช่วยอุดหนุน แต่ไม่ทำเองแน่นอน ;D ;D ;D

ราคาปืนนะแค่หางอึ่งครับแต่มา+ภาษีนำเข้า+ส่วนต่างกำไรหน้าร้าน40เปอร์เซ็นครับถึงอยากมีคนเปิดร้านกันครับเปรียบกันราคาจองกับราคาที่ไม่ต้องจองดูครับ กำไรแค่ขำๆ

ขอนอกประเด็นว่าด้วยเรื่องโอเลี้ยงอีกซักนิดนะคะ  โอเลี้ยง ใช้วิธีต้ม เพราะจะทำให้ได้น้ำที่เข้มข้น และหอม โดยใช้ปริมาณผงกาแฟโบราณที่น้อยกว่าปรกติ ใช้น้ำตาลไม่ฟอกสีผสมให้หวาน เพราะน้ำตาลไม่ฟอกสีจะให้ความหวาน และหอมกว่าน้ำตาลทรายขาว เคล็ดลับอยู่ที่จะต้องไม่ให้หวานหรือขมมากจนเกินไปไม่งั้นเปลืองแย่  ก่อนนำไปขายควรให้โอเลี้ยงเย็นซะก่อน จะประหยัดทั้งโอเลี้ยงและน้ำแข็ง เชื่อสิคะเพื่อทำขายอยู่ไทยออยย์ บอกสูตรนี้ไปขายจนเปลี่ยนจากรถกะบะเป็น CRV และกำลังจะซื้ออัลติส อีกคัน 8)

 :VOV:.......ว้าวๆผมจะมีรถขับแล้ว

ขอบคุณมากครับ

********************

เพื่อนคุณ Rosa ขายอยู่ใน ไทยออยล์ ตรงไหนครับ

ในแคนทีน TOR ไหนครับจะได้เข้าไปอุนหนุนครับ ;)

(http://img166.imageshack.us/img166/7915/robocopeb2.jpg) (http://imageshack.us)

ขออภัย จขกท. ขอนอกเรื่องปืนไปชงโอเลี้ยงสัก2-3ข้อความครับ ;D

ผมอ่านกระทู้นี้ทีไรอดอมยิ้มไม่ได้ ขออภัย

คุณหอมมะลิ ในกระทู้อื่นอาจขัดแย้งทางความคิดกับท่านอื่น

แต่ในหัวข้อแบบนี้ของคณหอมมะลิ หลายท่านก็เข้ามาตอบอย่างจริงใจ แสดงออกถึงความเป็นผู้ใหญ่ใจดี มีน้ำใจนักกีฬา แยกแยะออกและมีเมตตาของสมาชิกหลายๆท่าน

ขออภัยนะครับ ผมแค่รู้สึกสุขใจขึ้นมาเฉยๆ


  

ถามเหมือนจับผิดเลยนะค่ะ.........โดยปรกติดิฉันจะไม่ตอบคำถามแบบนี้ แต่สามีดิฉันบอกว่าคุณเป็นคนกันเองไม่มีอะไรต้องปิดบัง.............ไม่ได้สนใจค่ะว่าว่าขายอยู่ตรงไหน เพราะดิฉันไม่คิดจะเข้าไปค้าขายในนั้น...........ร้านคุณอเนก เป็นคนจันทบุรี แต่ย้ายมาอยู่ศรีราชานานกว่า 20 ปี มีบ้านอยู่ถนนน 9 กิโล หลังตึกคอมฯ ลองสืบดูสิค่ะ มีอยู่คนเดียวเท่านั้นที่เปลี่ยนจากขายข้าวแกงมาขายโอเลี้ยง.............ข้อมูลแค่นี้พอหรือยังค่ะ.. :)

กะทู้นี้ มีหนทางทำกินแฮะ ขายอะไรต่อกันดีครับ  :D

คุณ  Rosa อาจจะคิดมากไปครับ ผมจะไปจับผิดคุณทำไมครับ

ถ้าไม่สะดวกจะตอบก็ไม่เป็นไรครับ

แค่เจอคนที่อยู่ใกล้ๆกัน มันก็ดีใจ ในไทยออยล์ ก็เหมือนกับบ้านและโรงเรียนของผม

ก็เลยอยากจะเข้าไปชิมโอเลี้ยงสักแก้ว เท่านั้นครับ

แต่ถ้าทำให้คุณ  Rosa อึดอัดก็ขออภัยด้วยนะครับ

ถ้าประมาณนี้ ก็ขายขาดนะครับ ได้ยินว่าปีต่อปีประมาณ ๗ แสน

ขอบคุณครับ...ลองคิดแบบที่คูณ Wilhelm Tell  -(--  พูด
ต้นทุน 100 ขายที่ 200 กว่า ก็เท่ากับกำไรเป็น 100% ใช่ไหมครับ

ส่วนต้นทุนขายหมายถึงค่าใช้จ่ายคงที่ (อาคาร+ร้าน) และแปรผัน
(ค่าจ้างพนักงาน+น้ำชากาแฟ+อื่น ๆ) ครับ ซึ่งเข้าใจว่าร้านคงมี
เหล่านี้ครับ...

เห็นราคารุ่นที่ผู้การพูดถึงขายหน้าร้านมากกว่า 70K แสดงว่ากำไรมากกว่าครึ่งของต้นทุน
หรือมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ  ครับ

ก็เป็นต้นทุนทางการบริหารตามปกติ
ยกให้อีกหนึ่งตัวอย่าง
ปืนร้านกับปืนสวัสดิการ   ปืนสวัสดิการ มีต้นทุนสูงกว่าปืนร้าน  แต่ขายถูกกว่ามาก
ต้นทุนราคาปืนเท่ากัน เพราะปืนสวัสดิการ ก็ต้องเสียอากรขาเข้า กับ VAT   เช่นซีแซด 22,000 เท่ากัน  แต่ปืนสวัสดิการ จะมีต้นทุนแบบใต้โต๊ะอีกกระบอกละประมาณหกพันบาท  (ปืนร้านไม่มี)   และ VAT ปืนสวัสดิการจะสูงกว่า  เช่นซีแซดขายสวัสดิการ 41,000 บาท  ก็จะต้องเสีย VAT ตามนั้น คือ 2,870 บาท

   คนซื้อปืนและคนขายปืนคือคนในวงการเดียวกันที่จะต้องพึ่งพาอาศัยกัน  ถ้าคนขายปืนอยู่ไม่ได้คนซื้อปืนก็จะเดือดร้อน  การมานั่งตำหนิติเตียนกันคงไม่ได้ประโยชน์อะไร  ลองมองหาต้นเหตุของปัญหาและหาวิธีการแก้ไขจะดีกว่า http://www.gun.in.th/webboard/index.php/topic,41341.0.html (http://www.gun.in.th/webboard/index.php/topic,41341.0.html)                                                                                                                                      http://www.gun.in.th/webboard/index.php/topic,41355.0.html (http://www.gun.in.th/webboard/index.php/topic,41355.0.html)                                                                                                                                      http://www.gun.in.th/webboard/index.php/topic,41304.0.html (http://www.gun.in.th/webboard/index.php/topic,41304.0.html)                                                                                                                                      http://www.gun.in.th/webboard/index.php/topic,41344.0.html (http://www.gun.in.th/webboard/index.php/topic,41344.0.html)

ชื้อมาแล้วเลยไม่อยากคิด

ผมว่าไปๆ มาๆ ปัจจัยที่มีผลต่อกำไรเป็นอันดับสองรองจาก อุปสงค์ อุปทาน ที่ทำให้ขึ้นราคามากท่สุดที่ขายได้ ก็คือค่าใช้จ่ายนอกระบบนี่แหละครับ

ราคาจริงที่ขึ้นเราเห็นชัด แต่นอกระบบเรา (ผม) ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปเท่าไหร่

ก่อนเหตุรัฐบาลกีกกันการซื้อปืน และเหตุทางใต้

ซีแซด ๗๕ กับกล๊อก ๑๙ ประมาณ ๔๓,๐๐๐
คาร์ เอ็มเค ๙ ๕๒,๐๐๐ (ผมซื้อเอง)
เอชเค ยูเอสพี ๔๕ ทางร้านจะขายผม ๕ หมื่นกว่าเหมือนกัน ผมทำเป็นเล่นตัว (เจ็บใจจริง)
เทารัส ๘๕ ๓ หมื่นถ้วน
เบเนลี่ เอ็ม ๑ ๔๓,๐๐๐

มาวันนี้ราคาเป็นยังงี้ไปแล้ว ทั้งที่ราคาของจากนอกเรียกว่าไม่ต่างดีกว่า ถึงขึ้นก็น่าชดเชยกับค่าดอลที่อ่อนได้

..ที่จริงผมก็ขายปืนขอตัวที่ซื้อตอนนั้นได้กำไรเหมือนกันครับ

คิดว่ายังไม่มีใครตำหนิใครหรอกนะครับ..กำลังแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอยู่ว่า..
ปืนแพงมาจากอะไร..เนื่องจากราคามันเป็นตัวเลข ก็ต้องมาแจงกันดู..
ถ้ากำไรเยอะก็แพง..ที่มาหลักของกำไรก็ Demand & Supply
ถ้าตลาดเสรี..มันคงไม่แพง แต่นี่ตลาดควบคุม ก็มีคนปั่นราคากันได้ครับ
หากต้องการให้ราคาลด ก็ต้องว่ากันที่ละส่วน
- ต้นทุนปืนจากต่างประเทศ คงลดไม่ได้
-โควต้านำเข้าและภาษี ลดได้ โดยราชการผู้ควบคุมกฏระเบียบ
- ค่าการตลาด คิดว่าไม่ได้มากมายอะไร มีหนังสือดีๆ แหล่งความรู้เยี่ยม ๆให้หาความรู้
- ค่าใช้จ่ายขายของร้าน คิดว่าไม่มาก
- "เงินนอกระบบ" น่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ปืนราคาแพง
เลยแยกกันไม่ออกว่าราคาขายกับต้นทุนที่ต่างกันมากๆ เป็นส่วนของ
"ค่าใช้จ่ายนอกระบบ" หรือ "กำไร"เท่าไร ผมเชื่อว่าถ้าจะทำให้ปืนราคาถูก
ต้องรู้ตัวเลขของ "ค่าใช้จ่ายนอกระบบ" และ"กำไร" ครับ

ค่าใช้จ่ายนอกระบบ  มีผลน้อยมากครับ
อยู่ที่ประมาณปีละสามหมื่นห้าพันบาท ต่อใบอนุญาต  หารตัวปืน เอาเฉพาะปืนสั้นก็ได้  ตก 1,166 บาท/กระบอก  ถ้ารวมปืนยาวก็เหลือแค่ 437.50 บาท
ส่วนประเด็นรัฐบาลกีดกัน  ก็ไม่มีผลทำให้ปืนแพง  เพราะเขาจำกัดที่ใบ ป.3   ที่จริงจะทำให้ปืนถูกลงด้วยซ้ำ   เพราะทำให้ Demand ลดลง

งั้นประเด็นสำคัญ น่าจะอยู่ที่ว่าไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่สามารถเข้าตลาดได้อย่างเสรี   จำนวนร้านทุกวันนี้เป็นจำนวนเดียวกะเมื่อเกือบสามสิบปีก่อน ......  เลยมีการผูกขาดโดยอัตโนมัติ   โดยกลุ่มเล็กๆ

เมื่อคำนวนในมุมมองของผู้ค้า 
-ได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่เพราะไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาในตลาดได้
-ขณะเดียวกัน ก็ไม่สามารถเพิ่ม อุปทานของสินค้าได้  เพราะมีโควต้ากำหนดตายตัว  ไม่สามารถขยายกิจการออกไปอีกได้  เท่าไหร่ก็เท่านั้น
- ผู้ค้าย่อมคิดคำนวนต้นทุนค่าเสียโอกาสเมื่อเที่ยบกะธุรกิจอื่น  สมมุติว่าปืนสั้น 1 โควต้า  30 กระบอก  ได้กำไร กระบอกละ 60,000 บาท ทั้งปีจะได้กำไร สูงสุดที่ 1,800,000  และไม่สามารถเพิ่มยอดขายได้  แต่สามารถเร่งการขายได้เร็วๆเพื่อถือครองสภาพคล่อง  ในสายตาคนทำธุรกิจกำไรจากการค้าปืนเพียงอย่างเดียวกำไรน้อย (สำหรับร้านเล็กที่ถือครองโควต้า 1-2 ใบ)
-ธุรกิจที่ที่ทำกำไรได้เยอะ กลับเป็นการรับฝากขายกระสุนปืน  ขายปืนมือสอง    สำหรับร้านใหญ่จะเป็นการตั้งตัวเป็นตัวแทนแบรนด์สินค้าในประเทศ พร้อมประมูลขายสินค้าให้ส่วนราชการ  หรือ หาทางออกมาขายปืนสัวสดิการแก่กำลังพล เพราะแม้กำไรจะน้อยกว่าแต่สามารถสร้างตลาดที่ใหญ่กว่าได้ และยังมีการรับค่ามัดจำ เพื่อหมุนสภาพคล่องในธุรกิจได้อีก

ขอบพระคุณผู้การสุพินท์ คุณโทน 37 และท่านอื่น ๆ มากๆเลยครับ..สำหรับข้อมูลเชิงลึกของราคาปืน
โดยเฉพาะข้อมูล "ค่าใช้จ่ายนอกระบบ" ที่ได้จากผู้การ ทำเอาผมแปลกใจมากครับ..ทำไมน้อยจัง
ผมพอจะมองเห็นรางๆครับว่าราคาปืนที่แพงนั้น..

- มาจากการตั้งกำไรสูงของร้านค้าปืน..
- ร้านค้าปืนต้องเอากำไรมากเพื่อให้คุ้มค่าต่อการลงทุน..
- ร้านค้าปืนเอากำไรมากได้เพราะ Demand สูงกว่า Supply
- Supply จำกัดเพราะมีโควต้านำเข้า (ควบคุมปริมาณ)
- Demand สูงเพราะมีการขอและออกใบอนุญาตกันมาก

ถ้าต้องการให้ปืนราคาถูก..
1. เพิ่มปริมาณนำเข้าให้สอดคล้องกับ Demand 
2. กำหนดให้"อาวุธปืน"เป็นสินค้าควบคุม ที่ต้องแจงต้นทุนและกำหนดราคาขาย เพื่อไม่ให้ค้ากำไรเกินควร
    (เช่น กำไรไม่เกิน 20%ของต้นทุน)
3. ส่งเสริมอุตสาหกรรมผลิตอาวุธปืนในประเทศ เพื่อเพิ่มปริมาณ Supply
     
  ซึ่งแน่นอนว่า 3 ข้อนี้  ส่งผลให้ร้านค้าปืนเดือดร้อนเพราะกำไรน้อยลง ทำให้ ร้านค้าปืนต้อง "พัวพัน"กับผู้กำหนด
  โควต้า  อย่างใกล้ชิด เพื่อคงปริมาณนำเข้าที่เหมาะสมสำหรับร้านค้า (ที่จะได้กำไรสูง) และ/หรือไม่ให้ปืนเป็นสินค้า
  ควบคุมราคา และ/หรือไม่ต้องให้มีการผลิตอาวุธปืนในประเทศเพื่อจำหน่าย และที่สำคัญก็จะกระทบต่อ "อำนาจ"
  และแหล่ง "รายได้นอกระบบ"ของผู้กำหนดโควต้า

มีอีกข้อ ทางด้าน Demand
4. ลดปริมาณใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน โดยการเข้มงวดการออกใบ ป.3 (ซึ่งจะกระทบกับประชาชนทั่วไปที่ต้อง
    การครอบครองปืน และกระทบต่อ "อำนาจ" และ"รายได้นอกระบบ" ของผู้ออกใบอนุญาต)

มีผู้เล่น 2 กลุ่มที่คานอำนาจกันอยู่คือ 1. ร้านค้าปืนและผู้คุมกฎ 2. ประชาชนที่ต้องการครอบครองปืนและผู้ออกใบอนุญาต ทางเลือกที่กระทบกับทั้งสองฝ่ายน้อยที่สุด น่าจะเป็นข้อ 2 ครับ

เป็นไปได้ไหมครับ..

- Demand สูงเพราะมีการขอและออกใบอนุญาตกันมาก

 ก็ไม่เชิง  การขออนุญาตซื้ออาวุธปืนยุ่งยากพอสมควร น่าจะเป็นการลด Demand  แต่ทันทีที่ใบ ป 3 ออก  เลิกคิดเรื่อง Demand Supply  ไปได้เลย  เพราะ 90 % ต้องซื้ออยู่แล้ว  (ผีถึงป่าช้า)   ไม่อยากปล่อยให้ใบอนุญาตหมดอายุ  เนื่องจากขั้นตอนการขอยุ่งยากกลัวขอใหม่ไม่ได้อีก



1. เพิ่มปริมาณนำเข้าให้สอดคล้องกับ Demand   

ร้านปืนเล็กที่ไม่มีธุรกิจประมูลงานส่วนราชการ กลับชอบ  เพราะสามารถขยายกิจการไปได้ กำไรต่อหน่วยอาจลดลงแต่ตลาดกว้างกว่าเดิมเยอะ

3. ส่งเสริมอุตสาหกรรมผลิตอาวุธปืนในประเทศ เพื่อเพิ่มปริมาณ Supply

ไม่จำเป็น  แค่ใช้ระเบียบเดิมที่เคยอนุญาตให้บุคคลทั่วไปสามารถสั่งนำเข้าอาวุธปืนเข้ามาใช้เองได้  ราคาปืนสั้นก็ลดลง 20,000 -30,000 บาทต่อกระบอก

มีผู้เล่น 2 กลุ่มที่คานอำนาจกันอยู่คือ 1. ร้านค้าปืนและผู้คุมกฎ 2. ประชาชนที่ต้องการครอบครองปืนและผู้ออกใบอนุญาต ทางเลือกที่กระทบกับทั้งสองฝ่ายน้อยที่สุด น่าจะเป็นข้อ 2 ครับ

อำนาจอยู่ที่มหาดไทย  และยังมีปัญหาทางการเมืองมาเกี่ยวข้องอีก  เลยไม่มีใครมาจับเรื่องนี้จริงจัง  เพราะกลัวเป็นข่าวถูกโจมตี  เช่น ธุรกิจอบายมุขอืน  ไม่มีใครอยากมาแตะ เพราะจะเป็นเป้าที่ถูกโจมตีได้ง่าย

อย่าง นโยบายของนาย 23  ที่เคยให้ระงับการออกใบอนุญาตซื้อปืน ไปช่วงหนึ่ง  แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ  แต่ก็ทำให้ ระบบการของอนุญาตของชาวบ้านตาสีตาสายากขึ้นมาก    นอกจากนั้นยังมีแนวคิดยึดอาวุธปืนจากพลเมืองดีอีก  คนที่มีแนวคิดริดรอนอำนาจของประชาชนเท่านั้นที่จะทำแบบนี้  มีแต่รัฐบาลเผด็จการที่อยากจะกดหัวประชาชนเท่านั้นที่จะยึดปืนในมือประชาชน  ...  พอคนไม่มีอาวุธในมือหรือเข้าถึงอาวุธได้ยากขึ้น  ก็จะสร้างกลุ่มอันธพาลการเมืองแบบ เรดการ์ด  เข้าไปครอบงำอีกครั้ง

http://www.gun.in.th/webboard/index.php/topic,52856.0.html (http://www.gun.in.th/webboard/index.php/topic,52856.0.html)

ขอบคุณมากครับท่านผู้การ โอ้ โควต้าตัวแสบ

มีผู้เล่น 2 กลุ่มที่คานอำนาจกันอยู่คือ 1. ร้านค้าปืนและผู้คุมกฎ 2. ประชาชนที่ต้องการครอบครองปืนและผู้ออกใบอนุญาต ทางเลือกที่กระทบกับทั้งสองฝ่ายน้อยที่สุด น่าจะเป็นข้อ 2 ครับ
ผมว่า ผู้ออกใบอนุญาตฯ เป็นกลุ่มเดียวกับผู้คุมกฎครับ ที่ผมประโยชน์ต่างกันชัดเจนน่าจะเป็น

๑ ผู้คุมกฎระเบียบ (ไม่สนใจอะไร) โดยมีผู้ออกใบฯ เป็นกลุ่มย่อย (ตามน้ำจากใต้โต๊ะ ซึ่งที่จริงถ้าผู้คุมกฎให้นำเข้ามากๆ น้ำจะไหลแรงขึ้น)

๒ ร้านค้า อยากทำงานน้อย ได้เงินมาก ถ้าเพิ่มการนำเข้า ก็ต้องทำงานมากแข่งกัน ถึงได้เงินมาก

๒ ประชาชน ก็ต้องซื้อตามกำลังทรัพย์

อือม์ ถ้ามาดูต้นตอว่า "ทำไมปืนแพงถึงเป็นปัญหา?" จะเห็นว่า ๑ คนที่จำเป็นไม่มีปัญญาซื้อ และ ๒ คนอยากเล่นปืนซื้อเพิ่มยาก

ดังนั้น เรื่องการออก ป๓ มากหรือน้อย ผมว่าตัดไปได้เลย เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา เพราะเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ประชาชนพลเมืองดีพึงมี ประชาชนทุกๆ คนมีสิทธิในการป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน ในสถานการณ์ที่ฝ่ายรัฐช่วยคุ้มครองไม่ได้จริงทั้งในเมือง ในชนบท ภาคเหนือ หรือภาคใต้ อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นก็ต้องถือเป็นสมมติฐานพื้นฐานตามธรรมชาติ ไม่ใช่ปัจจัยผิดปรกติที่ต้องควบคุมหรือสามารถเปลี่ยนแปลงได้

สำหรับผลกระทบต่อฝ่ายใดนั้น ตัดเรื่องอีโก้ส่วนตัวหรือหน่วยงาน หรือผลประโยชน์ใต้โต๊ะไปเลย เพราะถ้าไม่ถูกต้องก็ต้องแก้ไข อย่างโควต้า เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีหลักการ แล้วก็คงที่มา ๑๖ ปีแล้ว ไม่ได้เพิ่มตามจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น

ดังนั้น ถ้าโควต้าเพิ่มจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงแน่ ถ้าถึงระดับสินค้าควบคุมได้ ผมเห็นด้วยครับ แต่ในระดับภาพรวม เสียงส่วนมาก และนักการเมืองบางกลุ่มไม่ชอบแน่ๆ เรื่องนี้พูดให้ทุกคนฟังยาก ยิ่งสื่อแล้วมักมีอุดมคตินิยมค้ำคอ ยากที่จะให้ยอมรับว่ารัฐคุ้มครองคนในสังคมไม่ได้จริง จนเป็นความจำเป็นที่แต่ละคนต้องใช้สิทธิ "ใช้กำลัง" ป้องกันตนเอง

ให้การบ้านอีกหนึ่งข้อ
ผู้คุมกฎ  เป็นกลุ่มเดียวกับผู้อนุมัติปืนสวัสดิการหรือไม่
และการอนุมัติปืนสวัสดิการ  มีผลประโยชน์แฝงเร้นอยู่หรือไม่

ตีกิน .. คนอื่นซื้อขายยาก  แต่ตัวเองขายเองและพิจารณาใบอนุญาตเอง

กระทรวงนี้อยู่แถวสนามหลวง.....นั่นเอง

   แนวความคิดในการควบคุมและจำกัดสิทธิของผู้ถือครองอาวุธปืนมีมาตั้งแต่ก่อน พ.ศ.2500 แล้วและเข้มงวดขึ้นมาโดยลำดับ  ถึงแม้จะเปลี่ยนไปกี่รัฐบาลก็ตาม  ยังไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนเลยที่ออกกฏหมายเพิ่มสิทธิให้กับคนใช้ปืน ถ้าจะตำหนิคงต้องตำหนิรัฐบาลแทบทุกชุดที่ผ่านมา  ลองอ่านดู  http://203.113.86.134:8085/ebook/index.jsp?booktype=5 (http://203.113.86.134:8085/ebook/index.jsp?booktype=5)

ตอบการบ้านครับท่านผู้การ

1. ผู้คุ้มกฎ คือกลุ่มผู้อนุมัติและขายปืนสวัสดิการครับ

2. ส่วนผลประโยชน์ คงแฝงอยู่ แต่ไม่ค่อยเร้นเท่าไหร่ครับ เห็นจะๆ ว่า สวัสดิการ เทารัส 85SS 36,000 ในขณะที่ผมเคยซื้อหน้าร้านมา 30,000 ส่วนลูกโม่สมิทที่ราคาดีลเลอร์ซื้อจากนอกประมาณ 500 ดอลก็ขายประมาณ 45,000 หรือกว่านั้น