เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: Nat_usp ที่ ตุลาคม 25, 2008, 10:03:35 AM



หัวข้อ: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ตุลาคม 25, 2008, 10:03:35 AM


สวัสดีครับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่าน

ผมขอท้าวความก่อนว่า

เมื่อเช้าวันที่ 14 ต.ค. 2551 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เวลาประมาณ 04:00 น.

คุณแม่ผมจากครอบครัวไปอย่างสงบ ขณะอายุเพียง 64 ปี ณ ที่บ้าน ที่เตียงนอนของท่าน

โดยขณะที่ท่านจากไป หลานสาวก็นอนอยู่ข้างๆท่าน โดยมีคุณพ่อผมนอนอยู่ข้างเตียงนอน ( พื้นห้อง )

การจัดการตามประเพณีเป็นไปอย่างเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความปลาบปลื้มเล็กๆ คือ


1.ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนมางานสวดค่อนข้างมากในทุกคืน ( น้อยสุดประมาณ 20 คน มากสุดประมาณ 80 คน )

เพราะคุณแม่ผมเป็นเพียงคนแก่ธรรมดาๆ  ในวันฌาปนกิจมีผู้คนมาเข้าร่วมประมาณ 100 กว่าคน


2. คุณแม่ผมป่วยด้วยโรคมะเร็งที่ปอด ระยะสุดท้าย แพทย์ผู้รักษาบอกว่า “จะฉายแสงให้คุณยายไหมครับท่านอาจจะทนไม่ไหว

แต่ท่านจะได้ไปอย่างไม่ทรมาน” แต่พวกเราเลือกที่จะพาคุณแม่มาพักฟื้นที่บ้านจนท่านจากไปอย่างสงบโดยไม่มีอาการทุรนทุราย

และในระหว่างที่คุณผมป่วยท่านก็ไม่มีอาการหนักทุรนทุรายแต่อย่างใด มีแต่อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ลุกนั่งลำบาก

การจากไปของคุณแม่ผม ทำให้ผมมีรอยแผลในใจคือ ผมได้แต่เฝ้าเตือนน้องๆในที่ทำงานเรื่องการใช้ชีวิต เรื่องครอบครัว

เรื่องการใช้เงินแต่ผมกลับละเลยเสียเอง  ผมรอจนเรียนจบ รอจนมีงานทำ รอจนซื้อบ้าน รอจนมีหลานให้คุณพ่อให้คุณแม่

รอจนซื้อรถ รอจนผ่อนบ้านหมด รอจนผ่อนรถหมด  เมื่อครบทุกอย่างคุณแม่ผมกลับมีลมหายใจอยู่ได้อีกแค่ 4 เดือน…….

คุณแม่ผมเข้าตรวจที่โรงพยาบาลของรัฐ  ตรวจและรักษาอยู่ประมาณ 3 เดือน กว่าจะรู้ว่าเป็นมะเร็ง.....ช้าไปไหมครับ......

ครั้งแรกบอกเป็นวัณโรค ต่อมาบอกน้ำท่วมปอด  ที่รู้ว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายนี่ผมรู้จากโรงพยาบาลเอกชนนะครับ


ถ้าวันนี้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆยังมีครอบครัวอยู่กับพร้อมหน้า  อย่ารอเวลานะครับ

ใช้ทุกวินาที ทุกนาที ทุกชั่วโมง ทุกวัน กับคนในครอบครัวของเราอย่างคุ้มค่าที่สุด

อย่ารอพรุ่งนี้  เพราะพรุ่งนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคน


วันที่ 23 ต.ค. 2551 ผมพาครอบครัวไปจ่ายของที่ห้างสรรพสินค้า

ภาพที่ผมเห็นก็คือ ลูกสาวผมจูงมือคุณพ่อผมพร้อมๆกับคุณพ่อผมใช้ไม้เท้าค้ำไปเรื่อยๆ

เมื่อผมยังเด็ก คุณพ่อจูงมือผมข้ามถนน แต่ตอนนี้ ตัวเองเดินยังไม่ค่อยจะไหว..............

ผมละเลยไปนานเท่าไรแล้ว ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าผมมันเหมือน 0 แล้วไป 100


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ตุลาคม 25, 2008, 10:05:01 AM

มาเริ่มเข้าเรื่องนะครับ

ก่อนที่คุณแม่ผมจะเสียไปประมาณปลายเดือนสิงหาคม เวลาประมาณ 18:50 น.

คุณพ่อโทรฯมาตามผมที่ทำงาน บอกว่าแม่ไม่สบายมากให้รีบกลับบ้าน

ผมก็สงสัยทำไมไม่เอารถคนรู้จักพาแม่ไปส่งโรงพยาบาลก่อน

เมื่อผมกับภรรยากลับถึงบ้าน ( ระยะทาง 11 กม. ขับรถ 5 นาที , อัดเต็มที่ )

พบว่าแม่นั่งอยู่ปลายเตียงในลักษณะกระตุกๆ ( นุ่งผ้าถุงกะโจมอก )

ภรรยาผมกับลูกสาว ( อายุ 9 ขวบ ) จับคุณแม่ใส่เสื้อผ้า เพื่อที่จะพาไปโรงพยาบาล

ขณะที่พวกเราประคองคุณแม่ขึ้นรถคุณแม่ขืนตัวตลอด พร้อมกับมองไปที่ประตูบ้านชั้นใน

เมื่อถึงโรงพยาบาลคุณแม่ต้องนอนห้องฉุกเฉิน 1 วัน 

...แปลกที่แพทย์หาอาการไม่พบ............


ภรรยาผมสงสัยจึงให้คนรู้จักกันดูให้ ( คืนนั้นเลย ) ก็ได้คำตอบว่า

“ที่คุณแม่ผมตกใจสุดขีดเพราะเห็นยายผมมายืนที่หน้าต่าง”

ทำไมถึงเห็นยาย “เพราะยายมารอรับคุณแม่ผม!”

เช้ารุ่งขึ้นพี่สาวผมลางานไปเยี่ยมคุณแม่ก็ได้ถามคุณแม่ว่า “ แม่เป็นอะไร”

คำตอบที่ได้จากคุณแม่ “ชั้นเห็นยายมายืนที่หน้าต่าง”     พูดไปก็ร้องไห้ไป

คุณแม่ผมคงรู้อนาคตตัวเอง......

หลายวันก่อนที่คุณแม่จะเสียอยู่ดีๆท่านก็สั่งให้คนในบ้านหุงข้าวเหนียวเยอะๆ

ท่านสั่งพร้อมกับชี้มือไปรอบๆแล้วก็พูดต่ออีกว่า “ หุงเยอะๆ  พวกมันชอบกิน”

( คุณแม่มีพี่น้อง 7 คน เสียไปแล้ว 6 คน เหลือคุณแม่ผมเป็นคนสุดท้าย )

เช้าวันที่ 1 9 ต.ค. 2551 ครอบครัวผมไปเก็บกระดูกของคุณแม่

พบว่า กระดูกของคุณแม่สีชมพูเรื่อๆ สวยงามมาก  สีฟ้าอ่อนๆ สีเขียวอ่อนๆก็มี


..........เดี๋ยวผมมาเริ่มลงลึกไปเรื่อยๆนะครับ.........


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ป๊อกแมน ที่ ตุลาคม 25, 2008, 11:00:52 AM
ผมขอลงทะเบียนรับฟังครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 25, 2008, 11:23:29 AM
ขอแสดงความเสียใจ ด้วยครับ คุณณัฐ.


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: แมวบ้า(น) ที่ ตุลาคม 25, 2008, 11:24:38 AM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับคุณ Nattapol  ::014::


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: บาร์ท รักในหลวง ที่ ตุลาคม 25, 2008, 11:33:35 AM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับพี่ณัฐ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ห ม า ย จั น ท ร์ ที่ ตุลาคม 25, 2008, 11:36:05 AM
เสียใจด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: CAESAR ที่ ตุลาคม 25, 2008, 11:41:28 AM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ ::014::


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ozero++รักในหลวงมากค่ะ++ ที่ ตุลาคม 25, 2008, 11:45:32 AM
เสียใจด้วยนะคุณณัฐ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ozero++รักในหลวงมากค่ะ++ ที่ ตุลาคม 25, 2008, 11:50:21 AM
ใครที่ยังมีพ่อมีแม่ หรือท่านใดท่านนึงอยู่ ดูแลท่านดีๆนะคะ เพราะเมื่อท่านจากไปแล้ว เราไม่อาจย้อนเวลาทำดี หรืออยากจะดูแลท่านเหล่านั้นได้ สุดท้ายมานั่งเสียดายเมื่อเวลาท่านจากไปแล้ว เพราะปัจจุบันโอเป็นอยู่ค่ะ ::004::


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ที่ ตุลาคม 25, 2008, 11:57:27 AM
เสียใจด้วยครับพี่ณัฐ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นหนาว ที่ ตุลาคม 25, 2008, 12:49:41 PM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: @สิบฤทัย@ ที่ ตุลาคม 25, 2008, 12:52:30 PM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: สราโท ที่ ตุลาคม 25, 2008, 01:18:24 PM
อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: E_mail ที่ ตุลาคม 25, 2008, 01:29:52 PM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับพี่ ขอให้คุณแม่ของพี่ไปสู่ภพภูมิที่สร้างสมบุญต่อได้ครับ  ::014::

สมัยวัยรุ่นผมเกเรกับพ่อขนาดหนัก ช่วงวัยหนุ่มโกรธพ่อขึ้นมาทีผมหายหัวไปเลยคราวละ2-3ปี

พอมีลูกแล้วถึงคิดได้ว่าพ่อรักผมขนาดไหน ตอนนี้เลยทิ้งทุกอย่างที่มี ที่เป็น มาอยู่กับพ่อ....ให้พ่อได้เล่นกับลูกๆผม .... ชดเชย ....


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: TWC - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 25, 2008, 02:05:53 PM
แม่ผมก็จากไปด้วยโรคเดียวกันกับคุณแม่ของท่านเจ้าของกระทู้เหมือนกันครับ
คำว่าแผลในใจนี่ผมเข้าใจดีครับว่ารู้สึกยังไง
ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกอยู่ แม้จะผ่านมา2ปีแล้ว
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: วุฒิ คนเล+รักในหลวง ที่ ตุลาคม 25, 2008, 02:15:51 PM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: น้าพงษ์...รักในหลวง ที่ ตุลาคม 25, 2008, 02:59:39 PM
..ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ..


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: day<รักในหลวง> ที่ ตุลาคม 25, 2008, 03:18:31 PM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: bigbang ที่ ตุลาคม 25, 2008, 03:44:40 PM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ตุลาคม 25, 2008, 03:52:55 PM

ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่านครับที่กรุณาแสดงความเสียใจในการจากไปของคุณแม่ผม

มาต่อครับ

จากการที่ผมสูญเสียคุณแม่ไปทำให้ผมเกิดฉุกคิดหันมามองเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องวิญญาณ

ผมพยายามจะหาคำตอบในข้อสงสัยหลายๆข้อ เช่น

1. ตายแล้วไปไหน

2. ตายแล้วสูญไหม

3. ถ้าไม่สูญ เราจะติดต่อคนที่ตายแล้วได้อย่างไร

4. ถ้าเกิดชาติหน้าจะจำกันได้ไหมหรือทำอย่างไรจะได้จำกันได้

5. ทำไมคนเราถึงไม่มีอายุขัยที่ตายตัว เช่น ทุกคนอายุขัยที่ 100 ปี เท่ากันหมด

6. การที่เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนทีล่วงลับไปแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาได้รับแล้ว

7. อีกหลายปีถัดมา เมื่อผมตายไป ผมจะได้พบคนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วหรือไม่

ที่กล่าวมาทั้ง 7 ข้อ เป็นเพียงตัวอย่างคำถามที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดตั้งแต่คุณแม่ผมเสียไป

ว่าทำอย่างไรถึงจะพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง

ลืมอีกข้อครับ ถ้าเราคิดว่าการตายเป็นสุขจริงๆ หมายถึงหมดทุกข์ หมดโศก หมดกรรม  ทำไมเราไม่จัดงานฉลองครับ

ทำไมจัดงานไว้อาลัยให้เศร้าศร้อย

ขอพักสัก 2 วัน เดี๋ยวต่อครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: xiehua dun ที่ ตุลาคม 25, 2008, 04:13:05 PM
แปลกดี บอกกันว่าความตายคือการสิ้นทุกข์
แล้วทำไมชอบอวยพรให้อายุยืนยาว


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Audy452 ♥ รักในหลวง ที่ ตุลาคม 25, 2008, 05:44:39 PM
ผมชอบมีความรู้สึกแปลกๆเหมือนมีใครมามองหรือเฝ้าคอยอยู่ข้างทาง

ถ้าออกจากบ้านในคืนวันโกนหรือวันพระครับ....แต่อาจจะกลัวเป็นทุนเดิมเลยคิดไปเองก็ได้ครับ อิ อิ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ ตุลาคม 25, 2008, 06:09:13 PM
บางทีผมก็ต้องคิดว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง   ไม่งั้นก็ต้องคิดเสียใจว่า    เมื่อก่อนเราเกเรไม่เชื่อฟังพ่อแม่ขนาดไหน


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ ตุลาคม 25, 2008, 06:16:28 PM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับคุณณัฐ.  ในส่วนตัวผมเชื่อว่าทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว    เราทำกับพ่อแม่ไว้อย่างไร  ลูกเต้าของเราจะพิมพ์ตามโดยม่ต้องไปบอกสอนครับ ::014::


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ ตุลาคม 25, 2008, 06:26:34 PM

     ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ   ........   มารอฟังความในใจถัดไป


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: คนแปลกหน้า - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 25, 2008, 06:46:26 PM
 ขอแสดงความเสียใจกับคุณ ณัฐพล ด้วยครับ การจากลาโดยไม่วันที่จะได้เจอกันอีก เป็นเรื่องธรรมชาติครับ ความรู้สึกที่คุณมีผมเคยเป็นมาก่อน (คงจะเข้าใจความรู้สึกไม่ผิดนะครับ)ทุกวันนี้ความรู้สึกที่ว่าก็จะแวบเข้ามาในใจเป็นช่วงๆ   ส่วนใหญ่เมื่อมีโอกาสก็จะหาอะไรทำทดแทนสิ่งที่ควรทำแต่ไม่เคยทำน่ะครับ..... เช่นเดียวกับ เจ๊โอซีโร่ ใครที่ยังมีโอกาสอยู่อย่าลืมใช้โอกาสที่มีนะครับ ::014::


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Boatski ที่ ตุลาคม 25, 2008, 07:36:26 PM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ
ผมเริ่มคิดได้ตอนที่อาก๋งผมเสียไป ว่าทำไมตอนท่านมีชีวิตอยู่ เราถึงไม่ไปดูแลท่าน มาตอนนี้ผมพยายามจะเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ และดูแลท่านให้ดีที่สุดครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sutorn_p ที่ ตุลาคม 26, 2008, 12:00:43 AM
 ::014:: ผมก็พึ่งเสียแม่ไปวันที่ 14 ตค 51ด้วยอาการมะเร็งปอด  ส่งท่านขึ้นสวรรค์ในวันที่ 19 ที่ผ่านมา แม่ของผมเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่ 12 กันยายน และท่านก็ไม่ได้กลับมาหาลูกหลานอีกเลย ผมได้มีโอกาสที่ได้ดูลมหานใจสุดท้ายของแม่โดยที่แม่ผมไม่ได้รู้สึกตัว แม่ได้ดูวันที่ผมเกิด ผมได้ดูใจในวันที่ทานจากเราไปโดนไม่มีวันกลับ ผมไปหาแม่เกือบทุกวัน แม่อยากให้ผมอยู่กับท่านนานๆๆ แต่ผมมีภาระหน้าที่ในการดูแลลูกและหลาน กับหน้าที่การงานที่ต้องทำผมยังรู้สึกว่ายังไม่ได้ตอบแทนพระคุณท่านเลย  สำหรับท่านอื่นที่ยังมีโอกาสของท่านจงอย่าได้ละเลยท่านเลยแม้การที่ท่านได้บวชทดแทนคุณท่าน แต่ผมว่ายังไม่เท่าที่ท่านได้ดูแล และทำหน้าที่ของคำว่าลูก


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Sundance ที่ ตุลาคม 26, 2008, 12:56:37 AM
1. ตายแล้วไปไหน

ผมอ่านหนังสือของ Sylvia Browne ... ตายแล้วจะไปที่หนึ่ง ที่นั่นมี 2 ประตู ให้เข้าประตูขวา อย่าเข้าประตูซ้าย ห้องนั้นเป็นห้องที่เต็มไปด้วยความหดหู่ สิ้นหวัง ประตูขวาจะเป็นที่รวมที่วิญญานจะถูกส่งไปที่ชอบ ที่นั่นมีห้องสมุดให้ได้เห็นชีวิตที่ผ่านมา ไม่มีการกล่าวโทษ ไม่มีบาป มีครูมาแนะนำ เหมือนไปเรียนใหม่ จากนั้นจะกลับมาใหม่ เพื่อใช้ชีวิตที่ขัดเกลาแล้ว ที่นั่นไม่มีเวลา แต่ใช้เวลาประมาณ 100 ปีของโลกมนุษย์ แล้วก็จะกลับมาใหม่ ไม่จำเป็นที่จะกลับมายังโลกที่จากไป อาจเป็นโลกอื่น เลือกได้ จุดประสงค์เพื่อชำระวิญญานให้บริสุทธิ์กว่าเดิม เราสามรถเลือกพ่อแม่ได้ ขึ้นอยู่กับการต้องเรียนรู้ใหม่ เพื่อให้บริสุทธิ์ขึ้นกว่าเดิม

2. ตายแล้วสูญไหม

ไม่สูญครับ จริงๆแล้วไม่มีความตาย

3. ถ้าไม่สูญ เราจะติดต่อคนที่ตายแล้วได้อย่างไร

ไม่ทราบ อาจใช้การสมาธิกะมังครับ

4. ถ้าเกิดชาติหน้าจะจำกันได้ไหมหรือทำอย่างไรจะได้จำกันได้

อาจจำได้ จากความสัมพันธ์ในชาตินี้ มีหนังสือมากมายที่กล่าวถึงเรื่องนี้

5. ทำไมคนเราถึงไม่มีอายุขัยที่ตายตัว เช่น ทุกคนอายุขัยที่ 100 ปี เท่ากันหมด

ไม่ทราบครับ

6. การที่เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนทีล่วงลับไปแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาได้รับแล้ว

ไม่ทราบครับ การอุทิศส่วนกุศลไม่มีเขียนเอาไว้

7. อีกหลายปีถัดมา เมื่อผมตายไป ผมจะได้พบคนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วหรือไม่

พบแน่ๆครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: babygun ที่ ตุลาคม 26, 2008, 02:28:11 AM
แม่ผมก็เสียไปได้สองปีกว่าแล้ว ตอนนี้ผมก็ยังคิดถึงท่านอยู่ตลอดไม่รู้เป็นไง ผมไม่รู้ว่าแม่ผมยังอยู่ไหม แต่ที่แน่ๆ พี่สาวผมที่เสียไปก่อนแม่หลายปีตอนนี้ยังอยู่แน่นอน(อยู่ในบ้านผมนี่แหละ) เพราะมีคนเคยทักว่า พาพี่สาวมาด้วยเหรอ(พอดีไปเที่ยวบ้านพี่เขยที่เพชรบุรี) ไอ้เราก็หันหลังไปดูไม่มีใคร เลยถามลักษณะที่เห็น เต็มๆเลยพี่ครับ ตามไปถึงเพชรบุรี แต่ผมไม่กลัวหรอกเพราะเป็นพี่ผม เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว เป็นธรรมดาไปเสียแล้วครับ ::014::


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Mango ที่ ตุลาคม 26, 2008, 02:59:21 AM
ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับที่สูยเสียคุณแม่ไป พอได้ยินเจ้าของกระทู้พูดเกี่ยวกับการใช้เวลาอยู่กับครอบครัวให้พ่อแม่ให้มากที่สุด
ผมก็ต้องสะเทือนใจตัวเองเพราะไม่ได้กลับบ้านไปหาท่านทั้งสองเกือบปีแล้ว สงสัยคงต้องยื่นเรื่องลากลับไปหาท่านสักอาทิตย์สองอาทิตย์
ซะแล้ว พี่ณัฐพูดดดนใจผมมากเลยตรงที่ว่า อย่ารอวันหน้า...


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: A B A C U S รั ก ใ น ห ล ว ง ที่ ตุลาคม 26, 2008, 06:47:57 AM

ครับ
ขอแสดงความเสียใจครับ
ผมเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เชื่อเรื่องวิญญาณ
และก้อเคยเห็นกับตามาแล้ว
 ทุกชีวิตเกิดมาเพื่อสร้างบุญทำความดี แต่ส่วนมากจะลืมว่า ต้องมาทำอะไร
เพราะเนื้อหนัง กายหยาบพาไป
ในชีวิตคนสามารถทำได้ทุกสิ่งที่เหลือเชื่อ
ใครผู้ใดทำปฏิษัติก้อเห็นเฉพาะตัวครับ
อาหารตักใส่ที่ช้อนแล้ว  ไม่ใส่ปาก ก้อไม่ได้  ถึงใส่ปากแล้วถ้าไม่เคี้ยวไม่กลืน ก้อยังไม่ลงกระเพาะ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: babor ที่ ตุลาคม 26, 2008, 08:02:13 AM

ขอแสดงความเสียใจ และขอเป็นกำลังใจให้ครับพี่ณัฐ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: babor ที่ ตุลาคม 26, 2008, 08:05:05 AM

คุณแม่ท่านจากไปอย่างสงบ นับว่าเป็นคนมีบุญครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: เอ.เค. ที่ ตุลาคม 26, 2008, 08:09:52 AM

ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่านครับที่กรุณาแสดงความเสียใจในการจากไปของคุณแม่ผม

มาต่อครับ

จากการที่ผมสูญเสียคุณแม่ไปทำให้ผมเกิดฉุกคิดหันมามองเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องวิญญาณ

ผมพยายามจะหาคำตอบในข้อสงสัยหลายๆข้อ เช่น

1. ตายแล้วไปไหน

2. ตายแล้วสูญไหม

3. ถ้าไม่สูญ เราจะติดต่อคนที่ตายแล้วได้อย่างไร

4. ถ้าเกิดชาติหน้าจะจำกันได้ไหมหรือทำอย่างไรจะได้จำกันได้

5. ทำไมคนเราถึงไม่มีอายุขัยที่ตายตัว เช่น ทุกคนอายุขัยที่ 100 ปี เท่ากันหมด

6. การที่เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนทีล่วงลับไปแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาได้รับแล้ว

7. อีกหลายปีถัดมา เมื่อผมตายไป ผมจะได้พบคนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วหรือไม่

ที่กล่าวมาทั้ง 7 ข้อ เป็นเพียงตัวอย่างคำถามที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดตั้งแต่คุณแม่ผมเสียไป

ว่าทำอย่างไรถึงจะพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง

ลืมอีกข้อครับ ถ้าเราคิดว่าการตายเป็นสุขจริงๆ หมายถึงหมดทุกข์ หมดโศก หมดกรรม  ทำไมเราไม่จัดงานฉลองครับ

ทำไมจัดงานไว้อาลัยให้เศร้าศร้อย

ขอพักสัก 2 วัน เดี๋ยวต่อครับ


คำตอบของทุกคำถามมีอยู่ในพระพุทธศาสนาครับ
ตอบให้แคบที่สุดก็ต้องบอกว่า "กมฺมุนา วตตีโลโก แปลว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"
ถ้าตราบใดที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่(ยังไม่หลุดพ้น) ตราบนั้นก็ยังต้องเกิดต่อไป
โดยมีกรรมเป็นตัวนำไปเกิด เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิทั้ง  3
1. เทวภูมิ พวกเทวดา พรหม
2. มนุษภูมิ คน
3. อบายภูมิ ได้แก่ เปรต อสูรกาย ยักษ์ สัตว์นรก

คติที่ว่าตายแล้วสูญ และตายแล้วไม่สูญ ทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นคติที่สุดโต่งทั้ง 2 ด้าน ไม่ให้ยึดถือ

สำหรับคำถามที่ว่า เจอกันอีกจะจำได้ไหม ให้ลองนึกถึงตัวเราเองว่าจำเรื่องราวของตัวเองชาติที่แล้วได้ไหม
ไม่ต้องเอาตนเองไปเทียบกับคนอื่น

ส่วนเรื่องอายุขัยแต่ละคนก็มีกรรมเป็นตัวกำหนด แต่อายุกัป(อายุขัยของมนุษย์ตามปกติในช่วงเวลานั้นๆ)
เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

การทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้วายชนม์นั้น เราผู้เป็นปุถุชนธรรมดา ไม่ได้มีอภิญญา ไม่มีทางรู้ได้ว่าผู้นั้นได้รับหรือไม่
แต่ตามคำภีร์ทางพุทธศาสนาบอกไว้ว่าผู้ที่จะได้รับส่วนกุศลที่มีคนอุทิศให้นั้นต้องไปเกิดเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต(เปรตชนิดหนึ่ง) เท่านั้น จึงจะรับได้ เพราะถ้าเกิดในภพภูมิอื่นที่สูงหรือต่ำกว่าจะไม่อยู่ในภาวะที่รับได้ เช่น ถ้าไปเกิดเป็นเทวดาซึ่งมีสภาวะที่ละเอียดมากๆ จะมีสุขที่ละเอียดยิ่งกว่า ไม่สามารถรับสิ่งที่หยาบกว่าได้ หรือ ในกรณีที่เกิดเป็นสัตว์นรก ก็ต้องรับกรรมตามแบบของสัตว์นรก ไม่สามารถรับส่วนกุศลได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่สามารถรับส่วนกุศลได้ บุญกุศลที่เราทำนั้นก็ยังคงเป็นของเราอยู่ไม่ได้หายไปไหน

รายละเอียดลึกซึ้งกว่านี้มาก ต้องศึกษาเอาจากพระไตรปิฎกครับ อย่าไปเชื่อ(พวกที่ตั้งตัวว่าเป็น)อาจารย์มากนัก เพราะบางส่วนก็ถูก บางส่วนก็ไม่ถูก เชื่อพระไตรปิฎกดีที่สุดครับ

หวังว่าคำตอบนี้จะพอเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านบ้าง


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Udomkd ที่ ตุลาคม 26, 2008, 08:57:58 AM
เกิด แก่ เจ็บ ตาย หลีกหนีไม่พ้น

ขอให้ท่านสู่สุขคติ ครับ

ผมก็มีแผลใจ กับพ่อที่เสียไปแล้ว เพียงแค่ได้ดูแลท่านบ้าง ตอนที่ท่านเจ็บป่วยอยู่ แต่ ก็ไม่ได้เต็มที่


แนะนำหนังสือ ครับ "เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน" นักเขียน "ดั่งตฤน" ผมน่าจะสกดผิด แต่ อ่านว่า ดั่ง -ตะ-รน ลองหาอ่านกันดูครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: อู๋ รักในหลวง ที่ ตุลาคม 26, 2008, 09:25:38 AM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ ::014::

ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่านครับที่กรุณาแสดงความเสียใจในการจากไปของคุณแม่ผม

มาต่อครับ

จากการที่ผมสูญเสียคุณแม่ไปทำให้ผมเกิดฉุกคิดหันมามองเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องวิญญาณ

ผมพยายามจะหาคำตอบในข้อสงสัยหลายๆข้อ เช่น

1. ตายแล้วไปไหน

2. ตายแล้วสูญไหม

3. ถ้าไม่สูญ เราจะติดต่อคนที่ตายแล้วได้อย่างไร

4. ถ้าเกิดชาติหน้าจะจำกันได้ไหมหรือทำอย่างไรจะได้จำกันได้

5. ทำไมคนเราถึงไม่มีอายุขัยที่ตายตัว เช่น ทุกคนอายุขัยที่ 100 ปี เท่ากันหมด

6. การที่เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนทีล่วงลับไปแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาได้รับแล้ว

7. อีกหลายปีถัดมา เมื่อผมตายไป ผมจะได้พบคนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วหรือไม่

ที่กล่าวมาทั้ง 7 ข้อ เป็นเพียงตัวอย่างคำถามที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดตั้งแต่คุณแม่ผมเสียไป

ว่าทำอย่างไรถึงจะพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง

ลืมอีกข้อครับ ถ้าเราคิดว่าการตายเป็นสุขจริงๆ หมายถึงหมดทุกข์ หมดโศก หมดกรรม  ทำไมเราไม่จัดงานฉลองครับ

ทำไมจัดงานไว้อาลัยให้เศร้าศร้อย

ขอพักสัก 2 วัน เดี๋ยวต่อครับ


คำตอบของทุกคำถามมีอยู่ในพระพุทธศาสนาครับ
ตอบให้แคบที่สุดก็ต้องบอกว่า "กมฺมุนา วตตีโลโก แปลว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"
ถ้าตราบใดที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่(ยังไม่หลุดพ้น) ตราบนั้นก็ยังต้องเกิดต่อไป
โดยมีกรรมเป็นตัวนำไปเกิด เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิทั้ง  3
1. เทวภูมิ พวกเทวดา พรหม
2. มนุษภูมิ คน
3. อบายภูมิ ได้แก่ เปรต อสูรกาย ยักษ์ สัตว์นรก

คติที่ว่าตายแล้วสูญ และตายแล้วไม่สูญ ทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นคติที่สุดโต่งทั้ง 2 ด้าน ไม่ให้ยึดถือ

สำหรับคำถามที่ว่า เจอกันอีกจะจำได้ไหม ให้ลองนึกถึงตัวเราเองว่าจำเรื่องราวของตัวเองชาติที่แล้วได้ไหม
ไม่ต้องเอาตนเองไปเทียบกับคนอื่น

ส่วนเรื่องอายุขัยแต่ละคนก็มีกรรมเป็นตัวกำหนด แต่อายุกัป(อายุขัยของมนุษย์ตามปกติในช่วงเวลานั้นๆ)
เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

การทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้วายชนม์นั้น เราผู้เป็นปุถุชนธรรมดา ไม่ได้มีอภิญญา ไม่มีทางรู้ได้ว่าผู้นั้นได้รับหรือไม่
แต่ตามคำภีร์ทางพุทธศาสนาบอกไว้ว่าผู้ที่จะได้รับส่วนกุศลที่มีคนอุทิศให้นั้นต้องไปเกิดเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต(เปรตชนิดหนึ่ง) เท่านั้น จึงจะรับได้ เพราะถ้าเกิดในภพภูมิอื่นที่สูงหรือต่ำกว่าจะไม่อยู่ในภาวะที่รับได้ เช่น ถ้าไปเกิดเป็นเทวดาซึ่งมีสภาวะที่ละเอียดมากๆ จะมีสุขที่ละเอียดยิ่งกว่า ไม่สามารถรับสิ่งที่หยาบกว่าได้ หรือ ในกรณีที่เกิดเป็นสัตว์นรก ก็ต้องรับกรรมตามแบบของสัตว์นรก ไม่สามารถรับส่วนกุศลได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่สามารถรับส่วนกุศลได้ บุญกุศลที่เราทำนั้นก็ยังคงเป็นของเราอยู่ไม่ได้หายไปไหน

รายละเอียดลึกซึ้งกว่านี้มาก ต้องศึกษาเอาจากพระไตรปิฎกครับ อย่าไปเชื่อ(พวกที่ตั้งตัวว่าเป็น)อาจารย์มากนัก เพราะบางส่วนก็ถูก บางส่วนก็ไม่ถูก เชื่อพระไตรปิฎกดีที่สุดครับ

หวังว่าคำตอบนี้จะพอเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านบ้าง


เห็นด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Apichaij ที่ ตุลาคม 26, 2008, 09:29:09 AM
1. ตายแล้วไปไหน
แล้วแต่กรรมส่งผลครับ โดยเฉพาะนิมิตก่อนตาย (กรรมจะเป็นตัวกำหนดนิมิต)

2. ตายแล้วสูญไหม
เหมือนความเห็นของคุณเอเคครับ
คติที่ว่าตายแล้วสูญ และตายแล้วไม่สูญ ทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นคติที่สุดโต่งทั้ง 2 ด้าน ไม่ให้ยึดถือ

3. ถ้าไม่สูญ เราจะติดต่อคนที่ตายแล้วได้อย่างไร
แล้วแต่ภพภูมิของคนที่ตายไปแล้วว่าเกิดเป็นอะไร ความสามารถของผู้ต้องการติดต่อ ความจำได้

4. ถ้าเกิดชาติหน้าจะจำกันได้ไหมหรือทำอย่างไรจะได้จำกันได้
ต้องฝึกสมถะกรรมฐาน จนได้จุตูปปาตญาณ หรือจักษุทิพย์ เห็นการเกิดดับของสัตว์อื่น และ ต้องมี ปุพเพนิวาสนสติ ซึ่งเป็นญาณที่ทำให้ระลึกชาติของตัวเองได้ครับ

5. ทำไมคนเราถึงไม่มีอายุขัยที่ตายตัว เช่น ทุกคนอายุขัยที่ 100 ปี เท่ากันหมด
มีกรรมนำมาเกิด และมีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ครับ

6. การที่เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนทีล่วงลับไปแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาได้รับแล้ว
เหมือนความเห็นคุณเอเคครับ แล้วแต่ภพภูมิ บางภพภูมิแผ่ส่วนกุศลได้(เช่นเปรต) บางภพภูมิแผ่เมตตาได้(เช่นสัตว์) บางภพภูมิให้ร่วมอนุโมทนาบุญด้วย(เช่นอสุรกาย
แต่ได้รับหรือไม่ ก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศล และทำจิตระลึกถึงด้วยใจที่เป็นกุศล ไม่เสียหายอะไร

7. อีกหลายปีถัดมา เมื่อผมตายไป ผมจะได้พบคนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วหรือไม่
แล้วแต่กรรมจะซัดพาไปครับ ทำเหตุปัจจัยให้เหมาะสมอาจจะได้พบ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Choro - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 26, 2008, 12:25:29 PM
ขอแสดงความเสียใจกับท่าน จขกท ด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: @สิบฤทัย@ ที่ ตุลาคม 26, 2008, 12:40:05 PM
1. ตายแล้วไปไหน
แล้วแต่กรรมส่งผลครับ โดยเฉพาะนิมิตก่อนตาย (กรรมจะเป็นตัวกำหนดนิมิต)

2. ตายแล้วสูญไหม
เหมือนความเห็นของคุณเอเคครับ
คติที่ว่าตายแล้วสูญ และตายแล้วไม่สูญ ทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นคติที่สุดโต่งทั้ง 2 ด้าน ไม่ให้ยึดถือ

3. ถ้าไม่สูญ เราจะติดต่อคนที่ตายแล้วได้อย่างไร
แล้วแต่ภพภูมิของคนที่ตายไปแล้วว่าเกิดเป็นอะไร ความสามารถของผู้ต้องการติดต่อ ความจำได้

4. ถ้าเกิดชาติหน้าจะจำกันได้ไหมหรือทำอย่างไรจะได้จำกันได้
ต้องฝึกสมถะกรรมฐาน จนได้จุตูปปาตญาณ หรือจักษุทิพย์ เห็นการเกิดดับของสัตว์อื่น และ ต้องมี ปุพเพนิวาสนสติ ซึ่งเป็นญาณที่ทำให้ระลึกชาติของตัวเองได้ครับ

5. ทำไมคนเราถึงไม่มีอายุขัยที่ตายตัว เช่น ทุกคนอายุขัยที่ 100 ปี เท่ากันหมด
มีกรรมนำมาเกิด และมีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ครับ

6. การที่เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนทีล่วงลับไปแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาได้รับแล้ว
เหมือนความเห็นคุณเอเคครับ แล้วแต่ภพภูมิ บางภพภูมิแผ่ส่วนกุศลได้(เช่นเปรต) บางภพภูมิแผ่เมตตาได้(เช่นสัตว์) บางภพภูมิให้ร่วมอนุโมทนาบุญด้วย(เช่นอสุรกาย
แต่ได้รับหรือไม่ ก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศล และทำจิตระลึกถึงด้วยใจที่เป็นกุศล ไม่เสียหายอะไร

7. อีกหลายปีถัดมา เมื่อผมตายไป ผมจะได้พบคนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วหรือไม่
แล้วแต่กรรมจะซัดพาไปครับ ทำเหตุปัจจัยให้เหมาะสมอาจจะได้พบ

สรุปแล้วทั้งหมดที่ว่ามานี้ถ้าอยากรู้ต้องตายก่อนอ่ะดิ  งั้นผมไม่อยากรู้แล้วอ่ะครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: sopon7 ที่ ตุลาคม 26, 2008, 02:20:08 PM
- ขอแสดงความเสียใจกับ จขกท. ด้วย
- ผมเองก็เสียทั้งพ่อและแม่ไปหลายปีแล้ว เข้าใจความรู้สึกดี โดยเฉพาะแม่ลูก ๆให้อาหารทางสายยางที่บ้านถึง 4 เดือน กว่าท่านจะเสีย
- และขณะนี้ผมต้องเป็นผู้นอนเฝ้าแม่ยายที่โรงพยาบาลเป็นคืนที่ 17 แล้ว ด้วยโรคชลา ส่วนแฟนผมเฝ้าตอนกลางวัน ...ยังนึกภาพไม่ออกเลยว่าสิ้นเดือนนี้โรงเรียนเปิดเทอมจะทำอย่างไรดี


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: supreme ที่ ตุลาคม 26, 2008, 02:38:17 PM
 ::014:: ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ  และขอตอบคำถามตามความเข้าใจของผมนะครับ

1. ตายแล้วไปไหน

ตายแล้วก็ไปเกิด แต่จะเกิดเป็นอะไรขึ้นอยู่กับว่าวินาทีก่อนตาย จิตเป็นอย่างไร ในชาดกมีคนที่อิจฉาสุนัขของเศรษฐีที่ไม่ต้องลำบากอดยาก  วินาทีที่อิจฉานั้นได้กินอาหารติดคอตาย แล้วไปเกิดเป็นสุนัขของเศรษฐีทันที
หรือคนที่ทำกรรมชั่วมามากจิตก็มีแต่อกุศลก็ไปจุติในนรกทันที   หรือคนที่ยึดติดผูกพันกับสิ่งใดก็จะวนเวียนอยู่กับเรื่องนั้นๆ สถานที่นั้นๆ
ด้วยความเชื่อทำนองนี้ คนสมัยก่อนญาติคนป่วยใกล้ตายก็มักจะมาเฝ้า แล้วบอกคนป่วยให้นึกถึงพระบ้าง ถึงกุศลที่ทำไว้บ้าง  เพื่อหวังให้ปลายทางเป็นที่สุข แต่ในพุทธศาสนายกให้การเกิดเป็นมนุษย์ดีกว่าการเกิดอื่นใด เพราะบางอย่างก็มีแต่สัญชาติญาณเรียนรู้ธรรมได้ยาก บางอย่างก็สุขจนมองไม่เห็นสภาวะทุกข์  แต่ก็มีที่ตายแล้วไม่เกิดใหม่ คือ พระอรหันต์

2. ตายแล้วสูญไหม

เป็นได้ทั้งสูญและไม่สูญ  ลองหาอ่านใน ทิฐิ ๖๒ กับ ปฏิจจสมุปบาท ครับ


5. ทำไมคนเราถึงไม่มีอายุขัยที่ตายตัว เช่น ทุกคนอายุขัยที่ 100 ปี เท่ากันหมด

ก่อนเกิดขึ้นอยู่กับเหตุกรรมเป็นพื้นฐานของแต่ละคน  พอเกิดเป็นคนแล้วก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่ทำด้วย  บางคนด้วยกรรมทำให้เกิดในสกุลที่ร่างกายอ่อนแอจนหมอดูทายว่าอายุจะสั้น  แต่เจ้าตัวดูแลตัวเองเป็นอย่างดีก็ทำให้ร่างกายแข็งแรงอายุยืนกว่าใครในสกุล  กรรมเก่าใหม่ไม่เหมือนกัน

6. การที่เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนทีล่วงลับไปแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาได้รับแล้ว

คิดว่าอย่างเราๆท่านๆคงไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า ได้รับจริงหรือไม่  คิดไปก็ไม่สิ้นสงสัยทำให้ทุกข์เปล่าๆ   ทำไปเถิดครับ ทำด้วยความศรัทธา ทำด้วยความปรารถนาดี  การทำบุญมีถึงสิบวิธีเลือกได้ตามโอกาสต่างๆครับ  ไม่ต้องรอตักบาตรตอนเช้าเท่านั้น  และพุทธศาสนาก็มุ่งให้ทำเอง(ได้รับเองแน่นอน)มากกว่ารอรับ(ซึ่งไม่แน่นอนเพราะมีเหตุปัจจัยสารพัด)


7. อีกหลายปีถัดมา เมื่อผมตายไป ผมจะได้พบคนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วหรือไม่

เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้อยู่กับเหตุปัจจัย  บางทีพบก็เหมือนไม่ได้พบ และอาจจะไม่ใช่ชาติถัดไปก็ได้  ชีวิตไม่เหมือนในหนังที่ชาติถัดไปก็เจอกันได้ง่ายๆ  เจอกันแล้วจำกันได้อีก    ในพุทธศาสนากล่าวถึงความสัมพันธ์ในชาติก่อน(ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นชาติที่แล้ว แต่เป็นชาติก่อนโน้น)ส่งผลต่อความรู้สึกถึงชาติปัจจุบันให้ชอบไม่ชอบ  แต่เราก็ไม่รู้ว่าชาติก่อนเรามีฐานะต่อกันแบบไหน และเวรกรรมทำให้วนเวียนสลับศักดิ์กันหาจุดเริ่มจุดจบไม่เจอ และเรื่องชาติภพ เรื่องกรรม นั้นปุถุชนไม่สามารถรู้และจบด้วยการ พูด คุย คิด กันเองครับ(คิดมากก็ทำให้บ้าได้) แต่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า มีชาติภพ มีเวรกรรม จริง

ถ้าเราคิดว่าการตายเป็นสุขจริงๆ หมายถึงหมดทุกข์ หมดโศก หมดกรรม  ทำไมเราไม่จัดงานฉลองครับ ทำไมจัดงานไว้อาลัยให้เศร้าศร้อย

ทุกข์สุขคืออะไร  ในพุทธศาสนาคำว่าทุกข์มีเป็นสิบๆความหมาย ตามแต่บริบท วาระ  ความสุขก็มีหลายแบบ  แต่ความสุขแบบปุถุชนพระท่านว่าไม่ใช่สุข ท่านว่าเป็นแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย  ทุกข์มีไว้ให้กำหนดรู้ไม่ได้มีไว้ให้เป็นทุกข์ แต่คนที่ไม่เคยฝึกมาจะให้หายทุกข์ทันใจคงยาก  เรื่องทางโลกนั้นสับสน หาความจริงได้ยาก เพราะแตกต่างทั้ง มารยาท วัฒนธรรม ชนชาติ ต่างกรรมต่างวาระ ศัพท์ที่บรรยัติ ที่เคลือบความรู้สึกเอาไว้  ทุกข์ของคนหนึ่งอาจเป็นธรรมดาของอีกคนก็ได้  ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวถ้าจะหาเหตุผลของแต่ละคน  แต่ถ้าคิดแบบพุทธศาสนาก็จบตั้งแต่เรื่องทุกข์แล้วครับ  แต่จะทำใจยอมรับได้ไหม  ส่วนแผลในใจผมเชื่อว่าทุกคนมี  ทุกคนที่มีมโนธรรมแม้เพียงเล็กน้อยสามารถรู้สึกได้เมื่อย้อนคิดถึง แต่ขอให้มันเป็นแค่เครื่องเตือนความจำเท่านั้น  อย่าเอามาเป็นอารมณ์คิดฟุ้งนานๆบันทอนจิตใจเลยครับ  วัฏสงสารนี้อีกยาวไกล มีโอกาสอีกมากที่จะให้เราแก้ไขด้วยการชดเชยเริ่มใหม่ไม่ทำอีก  แต่ไม่ใช่แก้ไขเรื่องที่เกิดผ่านไปแล้วไม่ให้เกิดแบบย้อนเวลา แม้ในพระไตรฯก็ไม่มีกล่าวถึงการย้อนเวลาไปแก้ไขอดีตได้ มีเร่งให้มุ่งทำปัจจุบันเท่านั้น 



หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: โอรสเยาวราช-รักในหลวง ที่ ตุลาคม 26, 2008, 04:41:13 PM
ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับพี่ณัฐ

ได้คุยกับพี่เรื่องคุณแม่ตั้งแต่ช่วงเดือนกันยา

ไม่คิดว่าท่านจะจากพี่ณัฐไปเร็วขนาดนี้


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Udomkd ที่ ตุลาคม 26, 2008, 09:56:34 PM
หนังสือน่าอ่าน

อัลเบิร์ต ไอสไตส์พบ พระพุทธเจ้าเห็น


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: kong รักในหลวง ที่ ตุลาคม 26, 2008, 10:05:26 PM
เสียใจด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ต.แม่สาย ที่ ตุลาคม 26, 2008, 10:50:06 PM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ทิดเป้า ที่ ตุลาคม 27, 2008, 12:06:28 AM
 ::014::ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ

 ::014::ผมเชื่อเรื่อง วิญญาน และ กฎแห่งกรรมครับ

 ::014::เคยเจอ ...พิมพ์ เซฟไว้...แต่ไม่กล้าโพสครับ...



หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: babor ที่ ตุลาคม 27, 2008, 09:32:32 AM
ส่งมาทาง pm ให้ผมก็ได้ครับพี่เป้า  ;D


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ที่ ตุลาคม 27, 2008, 11:21:01 AM
ภูมิท่านของแต่ละท่านที่ตอบคำถาม พี่ณัฐ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

นับถือๆครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ ตุลาคม 27, 2008, 01:35:00 PM
ขอแสดงความเสียใจกับคุณณัฐพลด้วยครับ ....

เดี๋ยวกลับมาอ่านต่อ ขอทำงานก่อนครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: birdwhistle...รักในหลวง ที่ ตุลาคม 27, 2008, 03:04:47 PM
ขอแสดงความเสียใจกับคุรณัฐด้วยความจริงใจครับ

ความตาย....คือการเปลี่ยนภพ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง จากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่ง ส่วนจะไปภพไหน สภาพไหนก็สุดแต่กรรม และนิมิตสุดท้ายก่อน "เปลี่ยนภพ" ดังนั้นตั้งแต่โบราณกาลมา จึงมีการนำเอาดอกไม้ธูปเทียนไว้ที่มือของผู้ที่ใกล้จะสิ้นลม เพื่อให้นำไปไหว้พระพุทธองค์ อันนี้ก็เพื่อให้ผู้ใกล้สิ้นลม
นึกถึงแต่สิ่งกรรมดีที่กระทำมาในชาติภพนี้ จะได้เปลี่ยนภพเปลี่ยนสภาพไปสู่ยังสุขคตินั่นเอง


 


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: S.V ที่ ตุลาคม 27, 2008, 03:09:53 PM

   ถ้าเป็นคนชอบหาเหตุผล ลองหาเล่มนี้มาอ่านดูซิครับ..


(http://img247.imageshack.us/img247/6933/img8332mq0.jpg) (http://imageshack.us)

   ขอแสดงความเสียใจกับท่าน จขกท และทุกท่านที่เสียบุคลที่รักด้วยครับ.. ::014::


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ตุลาคม 27, 2008, 03:50:34 PM

สวัสดีครับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่านและขอบคุณทุกๆความคิดเห็นครับ


จากความสงสัยที่ผมมีซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้

คงเหลือเพียงแค่วิธีที่ผมต้องฝึกสมาธิจนถึงขั้นที่จะติดต่อและรับรู้ได้กับสิ่งเหล่านั้น

ซึ่งก็ไม่ทราบว่าผมจะมีบุญ , มีความสามารถถึงขั้นนั้นหรือเปล่า

มนุษย์เราพยายามติดต่อและค้นหาสิ่งมีชีวิตต่างดาว พยายามค้นหาสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่น

แต่ผมไม่ทราบว่ามนุษย์เรามีการค้นคิดหาวิธีติดต่อกับจิตวิญญาณที่ละออกจากสังขารไปแล้วหรือไม่



อันที่จริงผมคิดว่าถ้ามนุษย์ทุกคนมีโอกาสตายแล้วฟื้นคนละหนึ่งครั้ง

มีโอกาสไปเห็นนรกเห็นสวรรค์ด้วยตัวเอง

ผมคิดว่าเกือบทุกคนต้องเลิกทำกรรมชั่วอย่างเด็ดขาด

หันมาสร้างแต่กรรมดี หยุดการเบียดเบียน , อาฆาต , จองเวร , มุ่งร้ายผู้อื่น

ไม่ว่ามนุษย์จะยิ่งใหญ่เพียงใด ประเสริฐเพียงใด ชั่วช้า ต่ำทรามเพียงใด

สุดท้ายก็ต้องละทิ้งสังขารร่างกายให้เน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลา

แต่ก่อนที่ร่างกายจะผุพังไปตามกาลเวลา หากมนุษย์ทุกคนทำแต่กรรมดี

สิ่งเลวร้ายต่างๆก็คงไม่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ไม่ใช่หรือ

ถ้าเป็นเช่นนั้นโลกมนุษย์ก็คงไม่ต่างจากโลกสวรรค์นัก


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ ตุลาคม 27, 2008, 03:51:02 PM
จากการที่ผมสูญเสียคุณแม่ไปทำให้ผมเกิดฉุกคิดหันมามองเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องวิญญาณ
ผมพยายามจะหาคำตอบในข้อสงสัยหลายๆข้อ เช่น
1. ตายแล้วไปไหน
2. ตายแล้วสูญไหม
3. ถ้าไม่สูญ เราจะติดต่อคนที่ตายแล้วได้อย่างไร
4. ถ้าเกิดชาติหน้าจะจำกันได้ไหมหรือทำอย่างไรจะได้จำกันได้
5. ทำไมคนเราถึงไม่มีอายุขัยที่ตายตัว เช่น ทุกคนอายุขัยที่ 100 ปี เท่ากันหมด
6. การที่เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนทีล่วงลับไปแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาได้รับแล้ว
7. อีกหลายปีถัดมา เมื่อผมตายไป ผมจะได้พบคนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วหรือไม่
ที่กล่าวมาทั้ง 7 ข้อ เป็นเพียงตัวอย่างคำถามที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดตั้งแต่คุณแม่ผมเสียไป

ว่าทำอย่างไรถึงจะพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง

วิปัสนากรรมฐานครับ ....

ลืมอีกข้อครับ ถ้าเราคิดว่าการตายเป็นสุขจริงๆ หมายถึงหมดทุกข์ หมดโศก หมดกรรม  ทำไมเราไม่จัดงานฉลองครับ
ทำไมจัดงานไว้อาลัยให้เศร้าศร้อย

ผมว่าที่ไม่จัดงานฉลอง ... เป็นเพราะคนที่ยังอยู่ ไม่อยากให้คนที่เสียชีวิต "ตาย" ครับ

คุณณัฐลองดูเวปนี้ครับ ... http://www.luangpor.com/ .... เลือกฟังที่สนใจครับ

ตอนผมยังเด็ก ผมชอบฟังเทป "เมื่อข้าพเจ้าตาย" เป็นฉบับย่อ ภายหลังสอบทานกับที่ลงหนังสือ ซึ่งยาวกว่า เนื้อหาสรุปเหมือนกัน ...


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ ตุลาคม 27, 2008, 04:22:44 PM
จากความสงสัยที่ผมมีซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้

สิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ คือ .... "สิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้" ครับ ... ผมอ่านหนังสือ "ประวัติย่อของเกือบทุกสิ่ง ตั้งแต่จักรวาลถึงเซลล์" ทำให้คิดได้ว่า ยังมีอีกหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์ให้คำตอบไม่ได้เหมือนกัน บางอย่างใช้จินตนาการประกอบ แล้วก็เื่ชื่อกันมาอย่างนั้น (เช่นคุณย่าลูซี่ มนุษย์คนแรกของโลก)


คงเหลือเพียงแค่วิธีที่ผมต้องฝึกสมาธิจนถึงขั้นที่จะติดต่อและรับรู้ได้กับสิ่งเหล่านั้น
ซึ่งก็ไม่ทราบว่าผมจะมีบุญ , มีความสามารถถึงขั้นนั้นหรือเปล่า

ถ้าเอาถึงขั้นกายเนื้อไปไหนมาไหนได้ .... เหนื่อยแน่ครับ .... แต่ถ้าเข้าใจมโนมยิทธิ ก็ไม่ใช่เรื่องยากครับ  ;)

มนุษย์เราพยายามติดต่อและค้นหาสิ่งมีชีวิตต่างดาว พยายามค้นหาสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่น
แต่ผมไม่ทราบว่ามนุษย์เรามีการค้นคิดหาวิธีติดต่อกับจิตวิญญาณที่ละออกจากสังขารไปแล้วหรือไม่

อันที่จริงผมคิดว่าถ้ามนุษย์ทุกคนมีโอกาสตายแล้วฟื้นคนละหนึ่งครั้ง
มีโอกาสไปเห็นนรกเห็นสวรรค์ด้วยตัวเอง
ผมคิดว่าเกือบทุกคนต้องเลิกทำกรรมชั่วอย่างเด็ดขาด
หันมาสร้างแต่กรรมดี หยุดการเบียดเบียน , อาฆาต , จองเวร , มุ่งร้ายผู้อื่น
ไม่ว่ามนุษย์จะยิ่งใหญ่เพียงใด ประเสริฐเพียงใด ชั่วช้า ต่ำทรามเพียงใด
สุดท้ายก็ต้องละทิ้งสังขารร่างกายให้เน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลา
แต่ก่อนที่ร่างกายจะผุพังไปตามกาลเวลา หากมนุษย์ทุกคนทำแต่กรรมดี
สิ่งเลวร้ายต่างๆก็คงไม่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ไม่ใช่หรือ
ถ้าเป็นเช่นนั้นโลกมนุษย์ก็คงไม่ต่างจากโลกสวรรค์นัก


การไม่เกิด คือสิ่งที่ประเสริฐที่สุดครับ .... จะโลกมนุษย์ หรือโลกสวรรค์ ย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของผู้ปฏิบัติ

คนจนก็มีทุกข์แบบคนจน คนรวยก็มีทุกข์แบบคนรวย มนุษย์ก็มีทุกข์แบบมนุษย์ เทวดาก็มีทุกข์แบบเทวดา พรหมก็มีทุกข์แบบพรหม ....

ขึ้นชื่อว่าการเกิดล้วนเป็นทุกข์ครับ ... ชาติภพ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ว่ากันตามหลักของปฏิจสมุทบาท ... อย่ายึดมั่นถือมั่น ... คิดอะไรไม่ออก ก็ท่องว่า "มันเป็นเข่นนั้นแล" ....

เพื่อนมันจะว่าเราปลง ... ก็ตอบมันกลับว่า .... "เออ"  ;D ;D


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ตุลาคม 27, 2008, 04:47:39 PM

มีรุ่นพี่ผมท่านหนึ่งมาพูดให้กำลังใจผมและทิ้งประโยคน่าคิดไว้ว่า


“คนเราจะอายุยืนหรือสั้นไม่สำคัญ

บางคนถึงจะอายุยืนแต่เหมือนอยู่ใช้เวรใช้กรรม

บ้างก็เจ็บออดๆแอดๆ บ้างก็เป็นอัมพาต

บ้างก็ลูกหลานทิ้งไม่เหลียวแลน่าอนาถใจ

บ้างก็ทุรนทุรายก่อนสิ้นใจเป็นที่เวทนา

บางคนถึงจะอายุสั้น

แต่ในช่วงของชีวิตมีแต่ความสุข

ลูกหลานอยู่กันพร้อมหน้า

เมื่อถึงเวลาจากก็จากไปอย่างสงบ”


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ ตุลาคม 27, 2008, 06:47:55 PM

      ผมเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ...... ไม่เชื่อในเรื่องภูติผีและวิญญาณ (แต่ก็กลัวผีนะทั้งๆที่ไม่เคยพบเห็น)


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: -จ่าตะพาบน้ำ- * รักในหลวง* ที่ ตุลาคม 27, 2008, 09:42:20 PM
ผมขอแนะนำหนังสือ "ไอน์สไตน์พบ  พระพุทธเจ้าเห็น"   ของ ทพ.สม    ครับ
โยงวิทยาศาสตร์กะพุทธศาสนาได้ค่อนข้างดีครับ แต่ช่วงหลังเห็นมีข่าวว่าข้อมูล
ทางวิทยาศาสตร์คลาดเคลื่อนครับ แต่ผมว่าก็ยังคงเป็นหนังสือที่น่าอ่านอยู่ครับ
ทำให้เห็นได้ว่าศาสนาของเรา พิสูจน์ได้จริงๆ เห็นผลได้จริงครับ
เรื่องจิตวิญาณนี่  ผมว่าพุทธศาสนามีคำตอบให้ทุกเรื่องครับ ซึ่งในชั้นต้นนี้
ผมว่าเพียงใช้ปัญญาธรรมดาของมนุษย์เราก็ให้คำตอบได้หลายเรื่องแล้วครับ







หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ทิดเป้า ที่ ตุลาคม 27, 2008, 10:51:00 PM
ส่งมาทาง pm ให้ผมก็ได้ครับพี่เป้า  ;D

 ::005::เอาแบบเป็นเรื่อง หรือ เป็นรูปดีครับครู


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: o/uboy ที่ ตุลาคม 28, 2008, 01:09:43 AM

ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่านครับที่กรุณาแสดงความเสียใจในการจากไปของคุณแม่ผม

มาต่อครับ

จากการที่ผมสูญเสียคุณแม่ไปทำให้ผมเกิดฉุกคิดหันมามองเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องวิญญาณ

ผมพยายามจะหาคำตอบในข้อสงสัยหลายๆข้อ เช่น

1. ตายแล้วไปไหน

2. ตายแล้วสูญไหม

3. ถ้าไม่สูญ เราจะติดต่อคนที่ตายแล้วได้อย่างไร

4. ถ้าเกิดชาติหน้าจะจำกันได้ไหมหรือทำอย่างไรจะได้จำกันได้

5. ทำไมคนเราถึงไม่มีอายุขัยที่ตายตัว เช่น ทุกคนอายุขัยที่ 100 ปี เท่ากันหมด

6. การที่เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนทีล่วงลับไปแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาได้รับแล้ว

7. อีกหลายปีถัดมา เมื่อผมตายไป ผมจะได้พบคนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วหรือไม่

ที่กล่าวมาทั้ง 7 ข้อ เป็นเพียงตัวอย่างคำถามที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดตั้งแต่คุณแม่ผมเสียไป

ว่าทำอย่างไรถึงจะพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง

ลืมอีกข้อครับ ถ้าเราคิดว่าการตายเป็นสุขจริงๆ หมายถึงหมดทุกข์ หมดโศก หมดกรรม  ทำไมเราไม่จัดงานฉลองครับ

ทำไมจัดงานไว้อาลัยให้เศร้าศร้อย

ขอพักสัก 2 วัน เดี๋ยวต่อครับ

ผมว่าจะเข้ามาตอบหลายวันแล้วนะครับ แต่มัวหาข้อมูลในหนังสืออยู่ก็เลยช้าไปหน่อย ลองไปหาหนังสือพุทธธรรม ของท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ อ่านดูนะครับ เริ่มอ่านตั้งแต่หน้า187 หัวข้อ ปัญหาเกี่ยวกับการให้ผลของกรรมดี-กรรมชั่ว
ถ้าหาหนังสือไม่ได้ก็เข้าไปอ่านที่นี่ได้ครับ http://www.geocities.com/wisootwiseschinda/

*ผมขอยกตัวอย่างข้อความบางตอนที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์เขียนไว้มาให้อ่านนะครับ

-อย่างไรก็ดี ท่านยอมรับว่า กระบวนการให้ผลของกรรมนี้ เป็นเรื่องละเอียดซับซ้องยิ่ง พ้นวิสัยแห่งความคิด ไม่อาจคิดให้แจ่มแจ้ง บาลีจัดเป็นอจินไตย คือ สิ่งที่ไม่พึงคิดอย่างนึง ท่านว่าถ้าขืนครุ่นคิดก็มีส่วนที่จะอัดอั้นเป็นบ้า ที่ท่านว่าอย่างนี้ มิใช่หมายความว่าพระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้เราคิด เพียงแต่ทรงแสดงความจริงไปตามธรรมดาว่า เรื่องนี้คิดเอาไม่ได้หรือไม่อาจเข้าใจได้สำเร็จด้วยการคิดหาเหตุผล แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ด้วยการรู้

*ข้อความอีกตอนนึงท่านเจ้าคุณเขียนไว้ว่า

-ถ้าจะพิสูจน์ หลักมีอยู่ว่า สิ่งที่เห็น ต้องดูด้วยตา สิ่งที่ได้ยิน ต้องฟัวด้วยหู สิ่งที่ลิ้ม ต้องชิมด้วยลิ้น
-ในแง่ที่หนึ่ง การตายการเกิดเป็นประสบการณ์ของชีวิตโดยตรง หรือแคบลงมาเป็นปรากฏการณ์ของจิต ซึ่งต้องพิสูจน์ด้วยชีวิตหรือจิตเอง การพิสูจน์จึงควรเป็นไปดังนี้
ก.พิสูจน์ด้วยจิต ท่านให้ต้องใช้จิตที่เป็นสามธิ แน่วแน่ถึงที่ แต่ถ้าไม่ยอมทำตามวิธีนี้ หรือ กลัวว่าที่เห็นในสามธิ อาจเป็นการเอานิมิตหลอกตัวเอง ก็เลื่อนไปสู่วิธีต่อไป(ผมไม่ขอพิมพ์ต่อนะครับมันยาวไปหาอ่านในหนังสือเอาเองก็แล้วกันครับ)

-บาลีชั้นเดิม คือพระสูตรทั้งหลาย กล่าวบรรยายเรื่องชาติหน้า นรก สวรรค์ ไว้น้อยนัก โดยมากท่านเพียงเอ่ยถึงหรือกล่าวถึงเท่านั้น แสดงถึงอัตราส่วนของการให้ความสนใจแก่เรื่องนี้ว่ามีเพียงเล็กน้อย ในเมื่อเทียบกับคำสอนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในโลก หรือข้อปฎิบัตจำพวก ศีล สามธิ ปัญญา

*หนังสือพุทธธรรมเป็นหนังสือที่ดีมากสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าทางพุทธธรรมครับ ชาวพุทธเดี่ยวนี้หลงงมงายกันมาก เชื่อและบูชาสิ่งที่ไม่ควรทำ ท่านเจ้าคุณท่านเคยพูดไว้ว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงประกาศทางหลุดพ้น ไม่ให้เราไห้วผี เทพเจ้า บูชายันต์ มาเป็นเวลาเกือบจะครบ3000ปีมาแล้ว แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีให้เห็นกันอยู่ดี.


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Army - รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 28, 2008, 08:53:20 AM
ขอแสดงความเสียใจกับคุณ Nattapol ด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ ตุลาคม 28, 2008, 12:41:39 PM
 ::014:: ขอแสดงความเสียใจกับคุณณัฐอีกครั้งครับ ::014::

1. ตายแล้วไปไหน
2. ตายแล้วสูญไหม
3. ถ้าไม่สูญ เราจะติดต่อคนที่ตายแล้วได้อย่างไร
4. ถ้าเกิดชาติหน้าจะจำกันได้ไหมหรือทำอย่างไรจะได้จำกันได้
5. ทำไมคนเราถึงไม่มีอายุขัยที่ตายตัว เช่น ทุกคนอายุขัยที่ 100 ปี เท่ากันหมด
6. การที่เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนทีล่วงลับไปแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาได้รับแล้ว
7. อีกหลายปีถัดมา เมื่อผมตายไป ผมจะได้พบคนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วหรือไม่
8. ถ้าเราคิดว่าการตายเป็นสุขจริงๆ หมายถึงหมดทุกข์ หมดโศก หมดกรรม  ทำไมเราไม่จัดงานฉลองครับ ทำไมจัดงานไว้อาลัยให้เศร้าศร้อย

 ::014:: ส่วนตัวผมเอง ไม่ค่อยเชื่อเรื่องวิญญาณหรือผี แม้จะเจอมาหลายครั้ง คือผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของจิตของเราเองมากกว่าที่บางครั้งอ่อนไหวจึงทำให้เกิดจินตนาการเกิดเห็นผีหรือวิญญาณขึ้น แต่ผมเชื่อเรื่องกรรม และเชื่อว่ากรรมต่าง ๆ ที่เราทำไว้ มันก็จะส่งผลต่อเราตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่นี่แหละ คำถามที่คุณณัฐถามมา หลายข้อผมตอบไม่ได้ เพราะคำถามแบบนี้ ส่วนใหญ่มักจะมีคำตอบที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ผมมีเรื่องเล่าเรรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเพื่อนสนิทที่สุดของผม (สนิทกันมากจนหลายคนบอกเหมือนพี่น้องกัน) ซึ่งตายไปแล้ว เรื่องที่จะเล่านี้ผมเองก็พิสูจน์ไม่ได้และก็ไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร มันไม่น่าเชื่อ แต่ก็จำเป็นต้องเชื่อ ::014:
:
 ::014:: ต้องขออภัยล่วงหน้าที่ต้องใช้คำบางคำที่ไม่เหมาะสมครับ ::014::

 ::014:: เริ่มจากเรื่องลางบอกเหตุก่อนตาย วันนั้นไอ้ระ (ชื่อเพื่อนผมที่ผมเรียกประจำ) มาหาที่บ้าน ทั้ง ๆ ที่เป็นเวลาที่มันต้องเข้าเวร แต่มันซื้อเวรออกมาหา มาขอไปขับรถส่งของด้วยกับผม "ไม่รู้เป็นไงกูอยากอยู่กับมึงว่ะ" ระหว่างไปส่งของกันสองคน ก็แวะโน่นแวะนี่ไปเรื่อย เท่าที่ไอ้ระอยากแวะ ดูไอ้ระมันมีความสุขมาก และเล่นกันเหมือนตอนที่เรายังเป็นเด็ก ๆ ผมเองก็สนุกไปกับมัน ซึ่งหลังจากเรียนจบทำงานกันแล้วก็ไม่เคยเล่นสนุกแบบนี้กันมาก่อนเลย วันนั้น จากปกติส่งของครั้งนั้นจะใช้เวลาเพียงสองชั่วโมง แต่ผมสองคนเล่นสนุกกันจนหมดวันเลย (กลับถึงบ้านโดนแม่ด่ากระจาย :~)) ก่อนมันกลับไอ้ระมันก็บอกว่าจะไปราชการที่โคราช พอตอนกลับมากจากไปราชการที่โคราชแล้วไอ้ระก็แวะมาหาผมเป็นคนแรก มันจอดรถหน้าบ้านผม ผมเดินเข้าไปหา สังเกตุเห็นหน้าของไอ้ระ หน้ามันดำหมองมาก แรกผมเข้าใจว่าเป็นเพราะขับรถมาไกล เหนื่อย และเพลีย พอเดินถึงรถไอ้ระมันก็บอกว่า "เฮ้ยไอ้วิท (มันเรียกชื่อจริงผมแบบย่อ) กูอยากพาแม่กูไม่เที่ยวว่ะ แม่กูอยากเที่ยว แต่กูไม่เคยพาแม่กูไปเลย กูสงสารแม่ว่ะ กูไม่เคยดูแลแม่เลย" ผมก็บอกมันว่าทำไมไม่พาไปล่ะ แต่แทนที่มันจะตอบ มันกลับบอกว่า "ไอ้วิท กูฝากดูแม่กูด้วยนะ แม่กูอยู่คนเดียว (พ่อมันเสียไปนานแล้ว) กูเหนื่อย กูอยากให้แม่กูมีความสุข กูไม่เคยดูแลแม่เลย" ผมก็รับปากส่ง ๆ ไปอย่างนั้น เพราะไม่ได้คิดอะไร แล้วมันก็ขอกลับไปพักผ่อน ผมก็ไม่ได้คิดอะไร มันคงแค่เหนื่อยจากการเดินทาง หลังจากวันนั้นก็ไม่ได้คุยกันอีก แต่แค่เพียงอาทิตย์เดียว ตอนเช้าแม่ผมมาปลุก และบอกว่าแฟนของไอ้ระมาบอกว่าไอ้ระตายแล้ว รถชนตายเมื่อคืน ผมไม่เชื่อ ผมเลยโทรไปที่บ้านไอ้ระ และได้คำตอบจากแม่ไอ้ระว่าไอ้ระตายแล้วจริง ๆ ผมช๊อคมาก นั่งร้องไห้อยู่เป็นชั่วโมงกว่าจะสงบใจได้ ซึ่งระหว่างนั้นผมได้แต่นึกถึงคำพูดของมันตั้งแต่จู่ ๆ มาขอไปส่งของด้วยจนวันที่มันมาฝากดูแลแม่มัน :'(

 ::014:: เรื่องต่อมาเป็นเรื่องฝัน หลังจากที่ไอ้ระตายได้ประมาณปีนึง ผมไปงานแต่งญาติ ออกเดินทางตั้งแต่ตอนดึก ถึงบ้านงานเช้าพอดี ผมง่วงนอน เจ้าบ้านเลยให้ไปนอนพักที่ห้องนอนเดิมของเจ้าบ่าว (จัดห้องหอไว้อีกห้องหนึ่ง) ผมฝัน แต่ตอนนั้นผมจำไม่ได้ว่าฝันว่าอย่างไร รู้แต่ว่าฝันถึงไอ้ระ ตื่นมาก็ร่วมงานจนกลับบ้าน สองอาทิตย์ต่อมา ญาติโทรมาตอนดึก บอกว่าเจ้าบ่าววันนั้นถูกยิงเสียชีวิตแล้ว เท่านั้นเอง ภาพความฝันวันนั้นก็ปรากฏมา ซึ่งวันนั้นผมฝันว่า ไอ้ระมาหา และมาเตือนให้บอกเจ้าของที่นอน (ซึ่งก็คือเจ้าบ่าววันนั้น) "เฮ้ยไอ้วิท มึงบอกเจ้าของที่นอนด้วย ให้ระวังตัวไว้ กำลังจะมีคนมาเอาชีวิตไป" ผมช๊อคอีกครั้ง :'(
 ::014:: เรื่องฝันที่สอง หลังจากไอ้ระตายไปร่วมสามปี คืนนั้นผมฝัน ว่าไอ้ระมาหา ในฝัน ไอ้ระแต่งเครื่องแบบทหารเต็มยศ ยืนอยู่ปลายเตียงนอนผม ไอ้ระดูสง่ามากยศแค่จ่า แต่ดูเหมือนนายพลเลย หน้าตาผ่องใส มีความสุข หน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา ไอ้ระบอกว่า "ไอ้วิท กูขอบใจมึงว่ะ กูรักมึงนะเพื่อน กูฝากดูแม่ด้วยนะ กูจะไม่อยู่แล้ว ....(ผมจำได้ไม่หมด แต่ประมาณว่าจะไปอยู่ใกล้ ๆ แม่ โปรดติดตามเพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะเล่าต่อไป)" แล้วผมก็ตื่นมาด้วยเสียงโทรศัพท์บนหัวเตียง พอรับสาย ปรากฏว่าเป็นแฟนไอ้ระโทรมา เสียงละล่ำระลัก "พี่วิท ๆ หนูฝันถึงพี่ระ พี่ระมาหาหนู" ผมก็บอกใจเย็น ๆ ฝันยังไง "หนูฝันว่าพี่ระมาหาหนู ใส่เครื่องแบบเต็มยศเลย มาบอกฝากให้ดูแลแม่" เท่านั้นเอง ผมขนลุกทั้งตัว ผมก็บอกไปว่าผมก็ฝันถึงไอ้ระ และฝันเหมือนกันด้วย คือไปยืนอยู่ปลายเตียง แต่งเต็มยศ หน้าตาผ่องใส และฝากให้ดูแลแม่ :'(

 ::014:: เรื่องสุดท้าย เรื่องกลับชาติมาเกิด เมื่อปีกว่า ๆ ที่แล้ว ผมไปเยี่ยมหาแม่ไอ้ระ แม่เล่าให้ฟังว่า ไอ้ระกลับชาติมาเกิด แม่เองไม่รู้เรื่องจนได้เจอเด็กครั้งแรก คือมีเด็กคนหนึ่ง บ้านอยู่เลยบ้านไอ้ระไป แม่ของเด็กรู้จักกับเพื่อนของแม่ไอ้ระ ได้คุยให้เพื่อนแม่ฟังว่า ลูกชายของเขาตั้งแต่เริ่มพูดได้ เวลาผ่านบ้านหลังนี้ (บ้านไอ้ระ) ซึ่งต้องผ่านทุกวัน จะชอบชี้ และบอกว่า "บ้านหนู ๆ" "เนี่ย บ้านหนู่" "บ้านหนูอยู่นี่" เป็นอยู่อย่างนั้นเป็นปี แม่ของเด็กก็สงสัย จนได้มีโอกาสเล่าให้เพื่อนของแม่ไอ้ระฟัง เพื่อนของแม่จึงมาเล่าให้แม่ฟังอีกทีหนึ่ง แม่ก็ไม่ได้สนใจ จนวันหนึ่งแม่ของเด็กไปธุระหาเพื่อนของแม่ไอ้ระที่ที่ทำงาน และพาเด็กคนนั้นไปด้วย ก็เลยได้คุยกัน และพาเด็กคนนั้นมาเจอ พอแม่ไอ้ระได้เห็นเด็ก แม่ตกใจ เพราะรูปร่างหน้าตาเหมือนไอ้ระตอนเด็ก ๆ มากไม่มีผิด (ผมดูรูปเปรียบเทียบกันแล้ว เหมือนมากจริง ๆ) และแม่เด็กพาเดินมาใกล้ ๆ พอเห็นหน้าแม่ไอ้ระ จู่ ๆ ก็วิ่งมาหา ยิ้มแล้วก็เรียก "แม่ขาว ๆ" (ไอ้ระชอบเรียกแม่แบบนั้น) แม่เข่าอ่อนเลย ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน และจะมีแค่เพียงญาติสนิทไม่กี่คนที่จะรู้ชื่อนี้ แม่ร้องไห้ แล้วกอดเด็กคนนั้น แม่จับมือซ้ายของเด็กเพื่อจะดูไฝบริเวณง่ามนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ ซึ่งไอ้ระจะมีไฝอยู่ตรงนั้น ก็ปรากฏว่าเด็กคนนั้นก็มีไฝตรงจุดนั้นเหมือนกัน แม่องไห้กอดเด็กแทบไม่ปล่อย และวันนั้นทั้งวันก็ไม่มีกะจิตกะใจสอนหนังสือเลย :'(
 ::014:: วันหยุดต่อมา แม่นัดกับแม่ของเด็กให้ไปที่บ้าน ซึ่งเด็กเองก็ร่ำร้องอยากมาหาแม่ไอ้ระด้วย เมื่อมาถึงบ้าน เด็กคนนั้นก็วิ่งเข้ามากอดและเรียกชื่อแม่ขาวเหมือนเดิม แล้วเด็กก็ขอขึ้นไปบนบ้าน แม่พาเดินขึ้นไป แล้วเด็กก็เดินไปห้องนอนของไอ้ระเองทันที แล้วพูดว่า "ห้องของหนู" (ไอ้ระเองก็เรียกตัวเองกับแม่ว่าหนูเหมือนกัน) ซึ่งห้องนอนของไอ้ระ แม่จะจัดห้องไว้เหมือนเดิมโดยไม่เปลี่ยนตั้งแต่ไอ้ระตาย พอเปิดประตูห้องเข้าไป ก็เดินไปหยิบของรักที่สุดของไอ้ระ แล้วก็บอก "ของหนู" แม่ร้องไห้อีกครั้ง แม่จึงเชื่อว่าเป็นไอ้ระกลับชาติมาเกิดจริง ๆ ซึ่งจากวันนั้นเด็กคนนั้นอายุประมาณ 5 ขวบ จนทุกวันนี้อายุประมาณ 10-11 ขวบ ก็จะขอมานอนกับแม่ขาวของไอ้ระบ่อย ๆ หรือแทบจะทุกวันหยุด ผมเสียดายที่ไม่ได้เจอกับเด็กคนนั้น อยากจะดูว่าถ้าเป็นอย่างที่แม่เชื่อว่าเป็นไอ้ระกลับชาติมาเกิดจริง ๆ มันจะจำผมได้หรือเปล่า และจะว่าบังเอิญหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ เมื่อผมนึกถึงวันที่ผมและแฟนไอ้ระฝันว่าไอ้ระมาหานั้น ระยะเวลาก็ประมาณเดียวกับอายุของเด็กคนนั้นพอดีเหมือนกัน :'(

 ::014:: ที่เล่ามา เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับตัวผมเอง จะว่าบังเอิญหรือเปล่า หรือเป็นเรื่องที่เชื่อกันว่าเป็นการเวียนว่ายตายเกิด กลับชาติมา ก็แล้วแต่พิจารณาครับ ซึ่งผมเองก็ไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไร แต่มันก็บังเอิญเป็นเรื่องราวพ้องกันจนน่าจะเชื่อได้ก็ตาม ::014::


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ ตุลาคม 28, 2008, 01:47:59 PM
แม่Iระเป็นครู ... ผมคิดเอาเองนะว่า ... ช่วงก่อนตาย เพื่อนนายใหม่คิดถึงแต่แม่ อยากให้แม่มีความสุข เมื่อตายไป ด้วยความที่จิตเป็นกุศล และยังมีบุญเหลืออยู่ และไม่ได้มีกรรมหนักมากนัก จึงยังวนเวียนอยู่แถวนี้ ได้จังหวะก็กลับมาเกิดใกล้ ๆ แม่เดิมอีกครั้ง ....

ผมเห็นว่า เมื่อมั่นใจว่าเคยเป็นแม่ลูกกันมาก่อน จะไปมาหาสู่ ช่วยกันเลี้ยงดูอีกแรง ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่อย่ายึด อย่าหลงว่า คนนี้เคยเป็นของชั้น ...



หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ตุลาคม 28, 2008, 02:59:38 PM


กายทิพย์ , วิญญาณ , ผี  สามอย่างนี้ต่างกันไหมครับ

ถ้าต่าง ต่างกันอย่างไร

ถ้าเหมือน เหมือนกันอย่างไร


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ฅนต้นน้ำ ที่ ตุลาคม 28, 2008, 04:28:08 PM
ขอแสดงความเสียใจกับคุณ ณัฐ ด้วยครับ  ::014::


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ..GlockGlack.. ที่ ตุลาคม 28, 2008, 04:35:33 PM


กายทิพย์ , วิญญาณ , ผี  สามอย่างนี้ต่างกันไหมครับ

ถ้าต่าง ต่างกันอย่างไร

ถ้าเหมือน เหมือนกันอย่างไร

คิดไปปวดหัวเปล่าครับ คุณณัฐฯ คิดมากๆ ก็จะฟุ้งซ่าน กลายเป็นความหมกมุ่น แล้วพาลจะลุ่มหลงงมงายได้ง่ายๆ

ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: -จ่าตะพาบน้ำ- * รักในหลวง* ที่ ตุลาคม 28, 2008, 04:47:38 PM

ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่านครับที่กรุณาแสดงความเสียใจในการจากไปของคุณแม่ผม

มาต่อครับ

จากการที่ผมสูญเสียคุณแม่ไปทำให้ผมเกิดฉุกคิดหันมามองเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องวิญญาณ

ผมพยายามจะหาคำตอบในข้อสงสัยหลายๆข้อ เช่น

1. ตายแล้วไปไหน

2. ตายแล้วสูญไหม

3. ถ้าไม่สูญ เราจะติดต่อคนที่ตายแล้วได้อย่างไร

4. ถ้าเกิดชาติหน้าจะจำกันได้ไหมหรือทำอย่างไรจะได้จำกันได้

5. ทำไมคนเราถึงไม่มีอายุขัยที่ตายตัว เช่น ทุกคนอายุขัยที่ 100 ปี เท่ากันหมด

6. การที่เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนทีล่วงลับไปแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาได้รับแล้ว

7. อีกหลายปีถัดมา เมื่อผมตายไป ผมจะได้พบคนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วหรือไม่

ที่กล่าวมาทั้ง 7 ข้อ เป็นเพียงตัวอย่างคำถามที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดตั้งแต่คุณแม่ผมเสียไป

ว่าทำอย่างไรถึงจะพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง

ลืมอีกข้อครับ ถ้าเราคิดว่าการตายเป็นสุขจริงๆ หมายถึงหมดทุกข์ หมดโศก หมดกรรม  ทำไมเราไม่จัดงานฉลองครับ

ทำไมจัดงานไว้อาลัยให้เศร้าศร้อย

ขอพักสัก 2 วัน เดี๋ยวต่อครับ

ผมว่าจะเข้ามาตอบหลายวันแล้วนะครับ แต่มัวหาข้อมูลในหนังสืออยู่ก็เลยช้าไปหน่อย ลองไปหาหนังสือพุทธธรรม ของท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ อ่านดูนะครับ เริ่มอ่านตั้งแต่หน้า187 หัวข้อ ปัญหาเกี่ยวกับการให้ผลของกรรมดี-กรรมชั่ว
ถ้าหาหนังสือไม่ได้ก็เข้าไปอ่านที่นี่ได้ครับ http://www.geocities.com/wisootwiseschinda/

*ผมขอยกตัวอย่างข้อความบางตอนที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์เขียนไว้มาให้อ่านนะครับ

-อย่างไรก็ดี ท่านยอมรับว่า กระบวนการให้ผลของกรรมนี้ เป็นเรื่องละเอียดซับซ้องยิ่ง พ้นวิสัยแห่งความคิด ไม่อาจคิดให้แจ่มแจ้ง บาลีจัดเป็นอจินไตย คือ สิ่งที่ไม่พึงคิดอย่างนึง ท่านว่าถ้าขืนครุ่นคิดก็มีส่วนที่จะอัดอั้นเป็นบ้า ที่ท่านว่าอย่างนี้ มิใช่หมายความว่าพระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้เราคิด เพียงแต่ทรงแสดงความจริงไปตามธรรมดาว่า เรื่องนี้คิดเอาไม่ได้หรือไม่อาจเข้าใจได้สำเร็จด้วยการคิดหาเหตุผล แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ด้วยการรู้

*ข้อความอีกตอนนึงท่านเจ้าคุณเขียนไว้ว่า

-ถ้าจะพิสูจน์ หลักมีอยู่ว่า สิ่งที่เห็น ต้องดูด้วยตา สิ่งที่ได้ยิน ต้องฟัวด้วยหู สิ่งที่ลิ้ม ต้องชิมด้วยลิ้น
-ในแง่ที่หนึ่ง การตายการเกิดเป็นประสบการณ์ของชีวิตโดยตรง หรือแคบลงมาเป็นปรากฏการณ์ของจิต ซึ่งต้องพิสูจน์ด้วยชีวิตหรือจิตเอง การพิสูจน์จึงควรเป็นไปดังนี้
ก.พิสูจน์ด้วยจิต ท่านให้ต้องใช้จิตที่เป็นสามธิ แน่วแน่ถึงที่ แต่ถ้าไม่ยอมทำตามวิธีนี้ หรือ กลัวว่าที่เห็นในสามธิ อาจเป็นการเอานิมิตหลอกตัวเอง ก็เลื่อนไปสู่วิธีต่อไป(ผมไม่ขอพิมพ์ต่อนะครับมันยาวไปหาอ่านในหนังสือเอาเองก็แล้วกันครับ)

-บาลีชั้นเดิม คือพระสูตรทั้งหลาย กล่าวบรรยายเรื่องชาติหน้า นรก สวรรค์ ไว้น้อยนัก โดยมากท่านเพียงเอ่ยถึงหรือกล่าวถึงเท่านั้น แสดงถึงอัตราส่วนของการให้ความสนใจแก่เรื่องนี้ว่ามีเพียงเล็กน้อย ในเมื่อเทียบกับคำสอนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในโลก หรือข้อปฎิบัตจำพวก ศีล สามธิ ปัญญา

*หนังสือพุทธธรรมเป็นหนังสือที่ดีมากสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าทางพุทธธรรมครับ ชาวพุทธเดี่ยวนี้หลงงมงายกันมาก เชื่อและบูชาสิ่งที่ไม่ควรทำ ท่านเจ้าคุณท่านเคยพูดไว้ว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงประกาศทางหลุดพ้น ไม่ให้เราไห้วผี เทพเจ้า บูชายันต์ มาเป็นเวลาเกือบจะครบ3000ปีมาแล้ว แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีให้เห็นกันอยู่ดี.


ต้องหามาอ่านให้ได้ครับ
ขอบคุณท่านพี่นาย C ที่แนะนำทางสว่างให้ครับผม
อ่อ  บวกให้ท่าน 1 คะแนนด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ทิดเป้า ที่ ตุลาคม 28, 2008, 05:10:15 PM
 ::014::


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: โป้ง*กันบอย - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 28, 2008, 07:00:17 PM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ

ด้วยความเคารพครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: MP7 ที่ ตุลาคม 29, 2008, 01:45:52 AM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ
ลองเวบนี้ดูครับ
http://www.dungtrin.com/


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ตุลาคม 29, 2008, 07:46:24 AM
คิดไปปวดหัวเปล่าครับ คุณณัฐฯ คิดมากๆ ก็จะฟุ้งซ่าน กลายเป็นความหมกมุ่น แล้วพาลจะลุ่มหลงงมงายได้ง่ายๆ

ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ

ขอบคุณครับพี่ ใหม่ๆผมก็ฟุ้งซ้านจริงๆครับ

แต่ตอนนี้ผมจะต้องรู้ให้ได้ พิสูจน์ ( เห็น ) ให้ได้ ( ด้วยการศึกษา , ด้วยการปฏิบัติ )

ผมตั้งใจไว้อย่างนั้น แต่อาจจะไม่สำเร็จก็ได้ครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ตุลาคม 29, 2008, 07:46:58 AM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ
ลองเวบนี้ดูครับ
http://www.dungtrin.com/


เข้าไปดูแล้วครับผม ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ ตุลาคม 29, 2008, 09:02:42 AM
คิดไปปวดหัวเปล่าครับ คุณณัฐฯ คิดมากๆ ก็จะฟุ้งซ่าน กลายเป็นความหมกมุ่น แล้วพาลจะลุ่มหลงงมงายได้ง่ายๆ

ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ

ขอบคุณครับพี่ ใหม่ๆผมก็ฟุ้งซ้านจริงๆครับ

แต่ตอนนี้ผมจะต้องรู้ให้ได้ พิสูจน์ ( เห็น ) ให้ได้ ( ด้วยการศึกษา , ด้วยการปฏิบัติ )

ผมตั้งใจไว้อย่างนั้น แต่อาจจะไม่สำเร็จก็ได้ครับ

คุณณัฐจับลมหายใจเข้า-ออกได้หรือยังครับ ....

ผมไม่ได้เป็นผู้มีความรู้พิเศษ ทราบมาแต่ว่า เบื้องต้นก็ฝึกจับลมหายใจก่อน ...ลมเข้าก็รู้ ลมออกก็รู้ สั้นก็รู้ ยาวก็รู้ ... ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม เมื่อรู้สึกตัวก็ให้นำจิตมาจับลมหายใจทันที .... คำภาวนายังไม่ต้องก็ได้ ...

แค่นี้ก่อนครับ ;D


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ..GlockGlack.. ที่ ตุลาคม 29, 2008, 10:30:21 AM
คิดไปปวดหัวเปล่าครับ คุณณัฐฯ คิดมากๆ ก็จะฟุ้งซ่าน กลายเป็นความหมกมุ่น แล้วพาลจะลุ่มหลงงมงายได้ง่ายๆ

ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ

ขอบคุณครับพี่ ใหม่ๆผมก็ฟุ้งซ้านจริงๆครับ

แต่ตอนนี้ผมจะต้องรู้ให้ได้ พิสูจน์ ( เห็น ) ให้ได้ ( ด้วยการศึกษา , ด้วยการปฏิบัติ )

ผมตั้งใจไว้อย่างนั้น แต่อาจจะไม่สำเร็จก็ได้ครับ
ถ้ามีคำว่า "ให้ได้" ก็ไม่ได้หรอกครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ ตุลาคม 29, 2008, 11:30:17 AM
คิดไปปวดหัวเปล่าครับ คุณณัฐฯ คิดมากๆ ก็จะฟุ้งซ่าน กลายเป็นความหมกมุ่น แล้วพาลจะลุ่มหลงงมงายได้ง่ายๆ

ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ

ขอบคุณครับพี่ ใหม่ๆผมก็ฟุ้งซ้านจริงๆครับ

แต่ตอนนี้ผมจะต้องรู้ให้ได้ พิสูจน์ ( เห็น ) ให้ได้ ( ด้วยการศึกษา , ด้วยการปฏิบัติ )

ผมตั้งใจไว้อย่างนั้น แต่อาจจะไม่สำเร็จก็ได้ครับ
ถ้ามีคำว่า "ให้ได้" ก็ไม่ได้หรอกครับ

 ;D อย่าไปคิดมากเลยตาณัฐ "ธรรม" คือธรรมชาติครับ ทำจิตใจและคิดให้เป็นธรรมชาติ หมั่นประกอบกรรมดีไว้ แล้วจะเข้าใจเอง ว่า "ธรรม" เป็นอย่างไร ;D


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: o/uboy ที่ ตุลาคม 29, 2008, 11:32:52 AM
คิดไปปวดหัวเปล่าครับ คุณณัฐฯ คิดมากๆ ก็จะฟุ้งซ่าน กลายเป็นความหมกมุ่น แล้วพาลจะลุ่มหลงงมงายได้ง่ายๆ

ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ

ขอบคุณครับพี่ ใหม่ๆผมก็ฟุ้งซ้านจริงๆครับ

แต่ตอนนี้ผมจะต้องรู้ให้ได้ พิสูจน์ ( เห็น ) ให้ได้ ( ด้วยการศึกษา , ด้วยการปฏิบัติ )

ผมตั้งใจไว้อย่างนั้น แต่อาจจะไม่สำเร็จก็ได้ครับ
                                                   ผมขอนำข้อความของท่านเจ้าคุณมาใหม่อีกทีนะครับ

*อย่างไรก็ดี ท่านยอมรับว่า กระบวนการให้ผลของกรรมนี้ เป็นเรื่องละเอียดซับซ้องยิ่ง พ้นวิสัยแห่งความคิด ไม่อาจคิดให้แจ่มแจ้ง บาลีจัดเป็นอจินไตย คือ สิ่งที่ไม่พึงคิดอย่างนึง ท่านว่าถ้าขืนครุ่นคิดก็มีส่วนที่จะอัดอั้นเป็นบ้า ที่ท่านว่าอย่างนี้ มิใช่หมายความว่าพระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้เราคิด เพียงแต่ทรงแสดงความจริงไปตามธรรมดาว่า เรื่องนี้คิดเอาไม่ได้หรือไม่อาจเข้าใจได้สำเร็จด้วยการคิดหาเหตุผล แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ด้วยการรู้*


 ถ้าเราเชื่อมั่นในคำสองของพระพุทธเจ้า และยึดมั่นที่จะเดินตาม(เพื่อให้หลุดพ้น) ขอบอกเลยว่าสิ่งที่ท่านสนใจอยู่มันแทบจะไม่มีความสำคัญเลย การพูถึงกรรมดี-กรรมชั่วนั้นก็เพื่อให้คนเลิก-ลดการทำปาป เท่านั้นเอง ก็เปรียบได้ด้วยการให้เรามี ศีล พูดง่ายๆศีลก็คือเกราะป้องกันความชั่ว เมื่อตัวเราสะอาดและมีความพร้อม ต่อมาอีกชั้นนึงเราก็ต้องมีสามธิ สามธิ เมื่อเราเกิดสามธิ เรื่องนี้ก็ยังมีสามธิอีกหลายชั้น แตกแยกย่อย(ควรไปหาอ่านเองในพุทธธรรม) เมื่อเกิดสามธิปัญญาถึงตามมา พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คล้ายๆกับท่านฝึกวิชาในหนังจีน เช่นวิชามี9ขั้น ท่านได้ขั้นแรกท่านทำไอ้นี้ได้ ได้ขั้นสองท่านก็ทำได้เพิ่มมาอีกอย่าง สิ่งที่ท่านอยากพิสูจน์ กว่าท่านจะพิสูจน์ได้ ท่านก็ต้องมีศีลครบสมบูรณ์ก่อน หลังจากได้ศีลแล้ว ท่านต้องไปทำให้เกิดสามธิแก่กล้าอีก พอมีสมาธิปัญญาก็เริ่มเกิด พอเกิดปัญญาแก่กล้าขึ้น สิ่งที่ท่านอยากรู้ท่านก็อาจจะไม่อยากรู้แล้วก็ได้ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ท่านเกิดปัญญาในขั้นต่อๆไป งงมั้ย ผมพิมพ์เองยังงงเอง ;D ::008::ก็ท่านบอกอยู่แล้วว่ามันเป็น อจินไตย คือสิ่งไม่พึงคิดแล้วท่านจะไปคิดมันทำไม
 


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ ตุลาคม 29, 2008, 12:29:44 PM
ถ้ามีคำว่า "ให้ได้" ก็ไม่ได้หรอกครับ
::014:: ::014::

 ::008::


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ ตุลาคม 29, 2008, 12:36:18 PM
ถ้าเราเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า และยึดมั่นที่จะเดินตาม(เพื่อให้หลุดพ้น) ขอบอกเลยว่าสิ่งที่ท่านสนใจอยู่มันแทบจะไม่มีความสำคัญเลย การพูดถึงกรรมดี-กรรมชั่วนั้นก็เพื่อให้คนเลิก-ลดการทำปาป เท่านั้นเอง ก็เปรียบได้ด้วยการให้เรามี ศีล พูดง่ายๆศีลก็คือเกราะป้องกันความชั่ว เมื่อตัวเราสะอาดและมีความพร้อม ต่อมาอีกชั้นนึงเราก็ต้องมีสามธิ สามธิ เมื่อเราเกิดสามธิ เรื่องนี้ก็ยังมีสามธิอีกหลายชั้น แตกแยกย่อย(ควรไปหาอ่านเองในพุทธธรรม) เมื่อเกิดสมาธิปัญญาถึงตามมา  

คุณณัฐ ... ผมลืม กฏข้อที่ 0 ไปเลย .... ศีลครับ ... ศีล ๕ เอาให้ครบก่อนครับ ... ทำให้ได้มั่นคง ไม่โลเล ไม่มีไขว้นิ้วยกเว้นเป็นบางเวลา ...

มีอะไรบ้างแล้ว
๐. ศีล
๑. ลมหายใจ

แค่นี้ก่อน  ;D


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ตุลาคม 29, 2008, 12:45:34 PM

ผมฝึกอยู่ครับคุณjakrit

แต่เป็นแบบที่พี่ GlockGlack พูดไว้เป๊ะเลยครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ ตุลาคม 29, 2008, 02:07:04 PM
การนั่งสมาธิ ไม่ทำให้เห็นอะไรนะครับ .... อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ....

ความตั้งใจเป็นสิ่งที่ดี แต่ความ "อยาก" ฆ่าคนมามากแล้ว .... ประเภทไม่สำเร็จวันนี้ จะไม่ลุกไปไหนนั่นล่ะครับ ผมเห็นนั่งตายอยู่ตรงนั้นก็มี ...

ผมไม่ใช่ผู้มีความรู้พิเศษ จึงไม่อาจช่วยตอบคำถามของคุณณัฐได้ ... แต่ผมก็เคย "ต้องให้ได้" เหมือนกัน ก็เริ่มแบบนี้ก่อน .... เมื่อถึงเวลาเรียน ก็ช่วยให้เป็นผลได้ง่าย .... ผ่านวันนั้นมาแล้ว เหลือเอามาใช้ในชีวิตไม่กี่อย่างครับ ....



หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ตุลาคม 30, 2008, 10:21:05 AM
หามาให้อ่านวันละเรื่องสองเรื่องนะครับ


เรื่องที่ ๑

ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน
     

     ....ความจริง  “ตายแล้วไม่สูญ”  และ “ตายแล้วไปไหน”  นี้ไม่น่าจะเป็นที่ข้องใจของท่านเลย 

เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วอย่างละเอียดว่า  เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ทางที่ไปก็มี ๕ สายคือ

      ๑) อบายภูมิ ได้แก่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน

      ๒) เกิดเป็นมนุษย์

      ๓) เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์

      ๔) เกิดเป็นพรหม

      ๕) ไปพระนิพพาน

      ท่านที่ตายแล้วจะไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกเหตุที่จะไปเกิดไว้ครบถ้วนตามกฎของกรรมคือการกระทำ

ได้แก่ความประพฤติดีหรือชั่วในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เอง กฎของกรรมหรือความประพฤติดีหรือชั่วที่จะพาไปเกิดในที่ใดที่หนึ่ง

ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ๕ ทางนั้น ท่านว่าไว้อย่างนี้


แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ

      แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรกเป็นต้นนั้น เป็นผลจากความประพฤติชั่ว

คือก่อกรรมทำเข็ญในสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ท่านจัดกฎใหญ่ๆ ไว้ ๕ ประการคือ

      ๑) เป็นคนมีใจโหดร้าย ชอบข่มเหงรังแก เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อนโดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความดี

หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๑

      ๒) มือไว ชอบลักขโมยของที่เจ้าของยังไม่อนุญาต หรือฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของคนอื่นด้วยเล่ห์กลโกง

หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๒

      ๓) ใจเร็ว ได้แก่มีจิตใจไม่เคารพในความรักของคนอื่น ชอบลอบทำชู้ บุตร ภรรยาและธิดา สามี

ของคนอื่นด้วยความมัวเมาในกามคุณ หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๓

      ๔) พูดปด ได้แก่พูดไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อหวังทำลายประโยชน์ของผู้อื่นโดยเจตนา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๔

      ๕) ชอบทำตนให้เป็นคนหมดสติ ด้วยการย้อมใจให้หมดความรู้สึกในการรับผิดชอบด้วยนํ้าเมา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๕

      กรรม คือความประพฤติในกฎ ๕ ประการนี้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้วไปสู่อบายภูมิมีตกนรกเป็นต้น

แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์

      แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์ ท่านว่าคนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องมีกรรมบถ ๑๐ หรือที่รู้กันง่ายๆ ก็คือ เป็นคนมีศีล ๕ ประจำได้แก่

      ๑) เป็นคนมีเมตตาปรานี ไม่รังแกข่มเหง ทำร้ายใครไม่ว่าคนหรือสัตว์ มีความรัก เมตตาปรานีคนและสัตว์เสมอด้วยรักตนเอง

      ๒) ไม่มือไว คือเคารพสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอื่น ไม่ยอมถือเอาทรัพย์สินของใครมาเป็นของตน

ในเมื่อเจ้าของไม่อนุญาตด้วยความเต็มใจ

      ๓) ไม่ใจเร็ว ละเมิดความรักในบุตร ธิดา ภรรยา สามีของบุคคลอื่น

      ๔) ไม่เป็นคนไร้สัจจะ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระตรงต่อความเป็นจริง

      ๕) ทำตนให้เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือเป็นคนมีอารมณ์รับรู้ความดีความชั่วตามกฎของกรรม

ไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยด้วยน้ำเมาต่างๆ

      ท่านที่ทรงความดี ๕ อย่างนี้ได้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้ว มีสิทธิ์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ได้

แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์

      แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์ อาการที่ทำให้คนเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์ ท่านบรรยายไว้มาก

แต่เมื่อสรุปกล่าวโดยย่อมี ๒ อย่างคือ

      ๑) เป็นคนมีความละอายต่อความชั่ว ไม่ยอมทำชั่วในที่ทุกสถาน

      ๒) เกรงผลของชั่ว จะทำให้เกิดความเดือดร้อน

      เหตุ ๒ ประการนี้ เป็นผลทำให้ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้า

แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก

      แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก พรหมกับเทวดามีดินแดนที่เกิดเป็นคนละแดนกัน

พรหมท่านว่าศักดิ์ศรีดีกว่าเทวดาและมีชั้นภูมิสูงกว่า มีอำนาจมากกว่า มีความสุขดีกว่า ความสวยสดงดงามก็ดีกว่าเทวดา

แต่พรหมไม่มีเพศคือไม่มีเพศหญิงเพศชาย ทั้งนี้เพราะพรหมไม่มีการครองคู่ อยู่โดดเดี่ยวอย่างพระสงฆ์ตามวัดคือไม่มีภรรยาสามี

ท่านว่ามีความสุขสงบสงัด ท่านที่จะเป็นพรหมได้ท่านว่าต้องเป็นนักกรรมฐานและมีอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตาย

อารมณ์จิตเป็นฌานที่เรียกว่า เข้าฌานตาย

แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน

      แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่า “นิพพานสูญ”

กันเป็นประเพณีไปแล้ว ขอบอกไว้ย่อๆ ว่า คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่างคือ

      ๑) ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่างๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของตน รู้สึกเสมอว่าจะต้องตายและพลัดพราก

จากของรักของชอบใจแน่นอน ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามความตายและความพลัดพรากได้ ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อ

ความตายมาถึงหรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก

      ๒) ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าสิ่งที่มีชีวิตต้อง

ทำลายตนเองลงในเมื่อกาลเวลามาถึง ไม่มีอะไรทรงสภาพเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีก็คุ้มครองให้มีความสุขใจ

ใครทำชั่ว ความชั่วจะบันดาลความเดือดร้อนให้ แม้ผู้อื่นยังไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ

      ๓) รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ

      ๔) ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ ด้วยอำนาจความรู้ถึงความจริง รู้ว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์

ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตนเพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ

      ๕) มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี ไม่โกรธไม่จองล้างจองผลาญคิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร

จิตก็ไม่คลายจากความเมตตา

      ๖) ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนทรงรูปฌานได้นี้ เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้

      ๗) ไม่มัวเมาในอรูปฌาน โดยคิดว่าความดีเพียงเท่านี้ ยังไม่เป็นทางสิ้นทุกข์

      ๘) มีอารมณ์เป็นปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่

      ๙) ไม่ถือตน ทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร มีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของธรรมดา

ที่จะต้องตายจะต้องสลายไป และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวเมื่อเข้าสังคมสมาคมใดๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมนั้น สมาคมนั้นๆ

เป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด ทำตนพอเหมาะพอสมควรแก่สมาคมนั้นๆ เรื่องของเขา

เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา เราช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้ ไม่สนใจที่จะไปเบ่งบารมีทับใคร

      ๑๐) ตัดความรักความพอใจในโลกีย์วิสัยให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระพุทธในพระอุโบสถ

พระพุทธท่านยิ้มเสมอ ท่านที่จะถึงพระนิพพานต้องยิ้มได้อย่างพระพุทธ ใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะเห็นเป็นของธรรมดา

มันหนีไม่ได้ไล่ไม่พ้น เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็ต้องพบอาการอย่างนี้อยู่ ก็สบายใจ ความตายจะมาถึงก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัว

เพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย มีอารมณ์ใจปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สินหรือสัตว์หรือบุคคลอื่น เท่านี้ก็ไปพระนิพพานได้

      เมื่อพูดกันมาถึงทางหรือแดนเป็นที่ไป เมื่อตายแล้วว่ามี ๕ ทาง ท่านอาจจะสงสัยว่าเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น

จะมีทางใดพิสูจน์ความจริงได้บ้างว่า คำสอนนั้นตรงต่อความเป็นจริง เคยมีใครบ้างไหมที่ฟังแล้วและเรียนข้อวัตรปฏิบัติตาม

ไม่ใช่เรียนแล้วเอามาคุยอวดกัน ต้องเรียนแบบฝรั่งไม่ใช่เรียนแบบไทย ฝรั่งเขาสงสัยอะไรเขาค้นคว้าหาความจริงว่ามีหรือไม่เพียงใด

สมัยนี้แม้แต่ดวงจันทร์ที่ทุกท่านคิดว่าเป็นของเกินวิสัย แต่ฝรั่งเขาไปดูจนได้เพราะเขาเรียนแล้วปฏิบัติด้วย ที่ว่าเรียนแบบไทยก็เพราะคน

ไทยเป็นคนมีบุญ ทุกอย่างไม่ต้องลงทุนคอยดูฝรั่งแสดงก็พอใจได้เปรียบกว่าฝรั่งมาก แต่ทว่าเนื้อแท้แล้ว เราก็รู้เพียงเขาว่าไม่ใช่เราเห็นเอง



      เรื่องของ “การตายแล้วไม่สูญ” และ “ตายแล้วไปไหน” ก็เหมือนกัน ถ้าเรียนกันแบบอ่านหนังสือแล้วก็ตั้งแง่สงสัยหรือเอาความรู้จาก

หนังสือที่อ่านจำได้แล้วเอาไปเบ่งบารมีกัน ก็ไม่ต่างอะไรกับคนนอนฝันหาความจริงไม่ใคร่ได้ ถ้าจะพบความจริงบ้างก็ต้องบังเอิญจริงๆ

หลักเกณฑ์การปฏิบัติเพื่อรู้ว่าตายแล้วไปไหน ท่านสอนไว้ในหลักสูตรของวิชชาสาม ท่านให้เจริญสมาธิคือ เจริญกสิณกองใดกองหนึ่ง

หรือเอากสิณเฉพาะเพื่อทิพจักขุญาณ ท่านให้ใช้เตโชกสิณเพ่งไฟ หรืออาโลกสิณเพ่งแสงสว่าง หรือโอทาตกสิณเพ่งสีขาว

จนมีสมาธิถึงขั้นอารมณ์เริ่มเป็นทิพย์คือถึงอุปจารฌาน แล้วถือนิมิตกสิณเป็นสำคัญฝึกดูสวรรค์ นรก และพรหมโลก
 
ถ้าทรงวิปัสสนาญาณด้วย ก็พิสูจน์พระนิพพานด้วยได้ การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องฟังแล้วปฏิบัติตาม

ท่านจึงจะหมดข้อสงสัยเพราะท่านรู้เองเห็นเอง แต่ถ้าฟังกันแล้วแต่ไม่ทำตาม ความหวังที่ตั้งใจต้องล้มเหลวแน่เพราะ

เป็นเพียงเสือกระดาษจะกัดใครตายได้ เวลานี้มีผู้ฝึก มโนมยิทธิเพื่อพิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสว่า
 
“ตายแล้วไม่สูญ” แดนอบายภูมิ แดนสวรรค์ แดนพรหม และแดนพระนิพพาน นั้นมีจริง เขาฝึกกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก

ต่อไปก็จะขอนำเรื่องราวของท่านผู้ที่ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ และได้ไปพบไปเห็นในแดนต่างๆ ว่ามีอะไรบ้าง เ

พื่อเป็นตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายได้ทราบตามความเป็นจริงว่า ตายแล้วไม่สูญ..”



หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ ตุลาคม 30, 2008, 04:45:18 PM
เข้ามาตามอ่านครับ ;D

อ้างถึง
แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน
อ่านแล้วขัดใจ ... เพราะอาจารย์ผมสอนว่า "ขึ้นชื่อว่าการเกิดล้วนเป็นทุกข์" ...

แต่คนเขียนบทความไม่ได้บอกว่าเกิด .... ต้องสังเกต
อ้างถึง
แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน

      แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่า “นิพพานสูญ”

กันเป็นประเพณีไปแล้ว ขอบอกไว้ย่อๆ ว่า คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่างคือ

 ::008::

อ้างถึง
การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องฟังแล้วปฏิบัติตาม ท่านจึงจะหมดข้อสงสัยเพราะท่านรู้เองเห็นเอง

 ::014:: ::014:: ::014::



หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ตุลาคม 30, 2008, 05:16:57 PM

 ยากจังน้อ ลุงjakrit น้อ........ ( หมายถึงตัวผมนะ )


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: o/uboy ที่ ตุลาคม 30, 2008, 09:05:46 PM
 การอ่านหนังสือธรรมมะ บางทีก็ต้องเลือกผู้เขียนด้วยนะครับ ผมเจอบ่อยครับที่แจกกันตามงานศพหรืองานต่างๆ แบบว่าพอเปิดอ่านได้ไม่กี่หน้าผมต้องปิดและไม่อ่านต่อ ก็มีที่ไหน มีบอกเช่นว่าตายแล้วกี่วันไปไหน จะนั้นอีกกี่วันต้องไปทำอะไร อีกกี่วันต้องไปรับประเมินโทษ(อะไรประมาณนี้) หนังสือสมัยนี้มีเยอะมากที่ดูเหมือนหนังสือธรรมมะ แต่เปิดอ่านแล้วมันไม่ใช่ กลายเป็นอ่านแล้วได้ความงมงายมาแทน
 ท่านถึงได้บอกไว้ว่าคนเราสมัยนี้มีความศรัทธากันอยู่มาก แต่ขาดผู้รู้จริงมาสอน และส่วนมาเดินกันผิดทาง.


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: เอ.เค. ที่ ตุลาคม 30, 2008, 10:52:48 PM
นิพพานไม่ใช่การเกิดนะครับ แต่เป็นการดับไม่มีเหลือ เปรียบได้กับแสงไฟที่ปลายเทียน เมื่อดับไปแล้ว ใครบอกได้บ้างว่าดับไปอยู่ที่ไหน?
นิพพานไม่ใช่เมืองหรือดินแดนใดๆที่ต้องไปให้ถึง นิพพานจะว่าเป็นภาวะก็ใช่ ไม่ใช่ภาวะก็ใช่ เพราะละเอียดกว่าจะบัญญัติให้เป็นภาวะใดภาวะหนึ่งได้ (แน่นอน การดับไม่มีเหลือย่อมไม่สามารถนิยามอะไรมาเปรียบได้)
เคยมีหลวงตาท่านหนึ่ง(ผมไม่ทราบว่ากล่าวไว้ถูกหรือผิด)ท่านว่านิพพานไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อนัตตา นิพพานคือนิพพาน


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: o/uboy ที่ ตุลาคม 31, 2008, 10:36:06 AM
นิพพานไม่ใช่การเกิดนะครับ แต่เป็นการดับไม่มีเหลือ เปรียบได้กับแสงไฟที่ปลายเทียน เมื่อดับไปแล้ว ใครบอกได้บ้างว่าดับไปอยู่ที่ไหน?
นิพพานไม่ใช่เมืองหรือดินแดนใดๆที่ต้องไปให้ถึง นิพพานจะว่าเป็นภาวะก็ใช่ ไม่ใช่ภาวะก็ใช่ เพราะละเอียดกว่าจะบัญญัติให้เป็นภาวะใดภาวะหนึ่งได้ (แน่นอน การดับไม่มีเหลือย่อมไม่สามารถนิยามอะไรมาเปรียบได้)
เคยมีหลวงตาท่านหนึ่ง(ผมไม่ทราบว่ากล่าวไว้ถูกหรือผิด)ท่านว่านิพพานไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อนัตตา นิพพานคือนิพพาน
ก่อนอื่นต้องเรียนก่อนว่าเรื่องที่ท่านอยากรู้และสงสัยนั้นมีคำตอบแน่นอนอยู่ในหนังสือพุทธธรรม ผมเองไม่อยากอธิบายตามคำเข้าใจของผมเพราะเกรงว่าผมอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ เรื่องนี้ซับซ้อนละเอียดอ่อนมาก ฉนั้นท่านควรไปหาพุทธธรรมอ่านเอาเองจะดีกว่า ผมขอยกข้อความบางตอนของท่านเจ้าคุณอาจารย์มาให้อ่านเล็กน้อย

-ภาวะแห่งนิพาน(หน้า229)
 เมื่อสังสารวัฏฏ์ หายไป ก็กลายเป็นวิวัฏฏ์ขึ้นเองทันที เป็นของเสร็จพร้อมอยู่ในตัว ไม่ต้องเดินทางออกจากสังสารวัฏฏ์ที่แห่งหนึ่ง ไปสู่วิวัฏฏ์อีกแห่งหนึ่ง เว้นแต่จะเป็นการพูดในเชิงภาพพจน์หรืออุปมา เมื่ออวิชชา ตัณหา อุปทานดับไป นิพานก็ปรากฎแทนที่พร้อมกัน จะพูดให้มั่นเข้าอีกก็ว่า การดับอวิชชา ตัณหา อุปทานนั่นแหละคือนิพาน

-นิพพาน อันผู้บรรลุเห็นได้เอง ไม่ขึ้นกับกาล เรียกให้มาดูได้ ควรน้อมเอาเข้ามาไว้ อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

ในหนังสือพุทธธรมมีพูดถึง
-นิพพาน
-ประเภทและระดับแห่งนิพพานและผู้บรรลุนิพพาน
-สมถะ วิปัสสนา เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ
-บทสรุป ข้อควรทราบเกี่ยวกันนิพพาน
ลองหาอ่านดูนะครับ

ส่วนเรื่องนิพพานไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อนัตตา ก็หาอ่านได้ในเล่มเดียวกันที่หน้า381 หัวข้อ ..ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับนิพพาน อ่านบทนี้แล้วท่านจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนมากครับ. 


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ ตุลาคม 31, 2008, 10:50:10 AM
ผมก็เคยได้ยินครับ "นิพพานคือนิพพาน" .... ส่วนเรื่อง "ดับ" มันดูขัดกับกฏการอนุรักษ์พลังงาน (กฏทางฟิสิกส์)  ::008:: ::008::

ยากจังน้อ ลุงjakrit น้อ........ ( หมายถึงตัวผมนะ )

คุณณัฐเพิ่มอายุให้ผมเสียแล้ว ...  :~) :~)

อ้างถึง
คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่างคือ
อ่านแล้วหนักนัก ... เปรียบเหมือนอยากเอารถไปดริฟ อ่านตำราเสร็จ รถก็ต้องเปลี่ยน ช่วงล่างก็ต้องทำ ยางก็ต้องสั่ง เวลาวิ่งต้องเท่านี้ หักพวงมาลัยอย่างนี้ ดึงเบรคแค่นี้ ... ยุ่งยากจริง ๆ

บางคนวิ่งลงจากสะพานกลับรถ มันก็หมุนลงมาได้เอง ไม่เห็นต้องทำอะไร  ;D ;D ;D

ช่วงนี้คุณณัฐก็ขับรถวิ่งสบาย ๆ ไปก่อน ไม่ต้องรีบดริฟ .... แต่ถ้าเจอคนดริฟเป็น (ผู้มีความรู้พิเศษ) ก็ถามเขาได้เลยนะ  ::005:: ::005:: วิธีนี้แม่ผมทำประจำ  ::007:: ::007::



หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 31, 2008, 11:07:03 AM
ผมขอแสดงความเสียใจด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Major ที่ ตุลาคม 31, 2008, 01:36:31 PM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ ท่าน Nattapol

ด้วยความเคารพครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ตุลาคม 31, 2008, 05:06:24 PM

ขอขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆทุกท่านอีกครั้งหนึ่งครับผมที่กรุณาแสดงความเสียใจกับการจากไปของคุณแม่ผม


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ พฤศจิกายน 19, 2008, 12:46:41 PM
   ขออนุญาตดึงกระทู้ครับ


วันที่ 17 / พ.ย. / 2551 เวลาประมาณ 1 ทุ่ม 40 นาที

ผมกับภรรยาได้ยินเสียงของคุณแม่ผมชัดเจนที่ในครัว

ภรรยาผมถามคนในบ้าน ( อยู่ในห้องครัวกันหมด ) ว่าแคบหมูอร่อยไหม

แต่ไม่มีใครตอบ

นอกจากเสียงของคุณแม่ผมท่านตอบคำถามแทนทุกคนว่า " อร่อย "

มีคนได้ยินเสียงคุณแม่ผม 2 คน คือผมกับภรรยา ( 2 คน ในห้องครัวเงียบๆ คงไม่หูฝาด )

ผมรู้สึกดีใจ ปลื้มใจ และมีกำลังใจอย่างบอกไม่ถูก


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ พฤศจิกายน 19, 2008, 01:38:54 PM
ตอนได้ยิน สมาธิของคุณณัฐเป็นอย่างไร หรือกำลังคิดอะไรอยู่ ...

ภรรยาผมชอบฝัน ฝันว่าพบหลวงพ่อฤาษีลิงดำบ้าง ฝันว่าเข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพฯบ้าง แม้แต่ฝันว่ามีคนมาเชือดคอลูกก็เคย .... ผมฟังแล้วมักจะบอกว่า ... ก่อนนอนกินมากไป ฝันเชื่อไม่ได้ (เอาไปทำนายฝันก็ไม่ได้)

แต่ก็ขอร่วมยินดีด้วยครับ ;D


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ทิดเป้า ที่ พฤศจิกายน 19, 2008, 01:53:41 PM
 ::014::ทำบุญ ตักบาตร ถวายจังหัน ถวายเพล อุทิศส่วยกุศลให้ท่านครับ...ที่เห็นผลทันตาจากการไปวัด ทำบุญ คือ สบายใจ สุขใจ อิ่มบุญขึ้นมาทันที...แถมได้รู้จักสังคมที่เงียบสงบอีกสังคมหนึ่งครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: BIGFISH ที่ พฤศจิกายน 19, 2008, 02:09:01 PM
แนะนำหนังสือดัง

Only Love Is Real หรือ ชื่อไทย เราจะข้ามเวลามาพบกัน

คติทางพุทธศาสนาที่ถูกถ่ายทอดด้วยวิธีสากลจากอีกซีกวัฒนธรรมร่วมสมัย
และความรักความผูกพันข้ามภพข้ามชาติ ที่เกินประทับใจ  จริงหรือไม่แล้วแต่วิจารณญาณ

น่าอ่านจบ สารจริงๆที่ผู้เขียนอยากจะบอก น่าจะเป็น รักเท่านั้นที่เที่ยงแท้ ตามชื่อหนังสือ
หมายถึง ความรักมนุษย์ชาติควรจะมีต่อกัน

พุทธศาสนา สอนเรื่องคุณอันไม่มีประมาณของความเมตตา กรุณา ไว้มากเช่นกัน

ปลาใหญ่ท่องไปในทะเลสงสาร


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ พฤศจิกายน 19, 2008, 02:18:53 PM
แนะนำหนังสือดัง

Only Love Is Real หรือ ชื่อไทย เราจะข้ามเวลามาพบกัน

เล่มนี้ผมเคยอ่าน ..... แต่ไม่ได้ซาบซึ้งเท่าคนแปลหรอกครับ .....  ::008:: ::008:: ... จุดมุ่งหมายมันต่างกัน  ;D ;D


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ทิดเป้า ที่ พฤศจิกายน 19, 2008, 02:23:05 PM
 ::014::" กฏแห่งกรรม " ของ ท.เลียงพิบูลย์ครับ...แต่คงหายากหน่อย เพราะเก่ามากแล้ว


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Southlander ที่ พฤศจิกายน 19, 2008, 02:46:44 PM
ได้รับ Forward mail เห็นว่าไปกันได้กับหัวข้อกระทู้ยาวหน่อยลองอ่านและไช้วิจารณญาญดูครับ
=============================================================
กฎแห่งกรรม
พิมพวดี สื่อวิญญาณ

1

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ได้เกิดกับตัวผม....
ไม่ว่าจะพูดที่ไหนกี่สิบกี่ร้อยครั้งก็อย่างนี้ ผมจะเริ่มเล่าเรื่องว่า....
 
ผม (นายแพทย์อาจินต์ บุณยเกตุ)ได้ป่วยด้วยโรคปวดประสาทสมองเส้นที่ห้า (ประสาทสมองมี 12 คู่) เริ่มเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่นอายุราว ๆ 16-17 ปี ตอนนั้นพอดีเกิดสงครามอินโดจีนและก็เป็นเรื่อยมาระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นๆ หายๆ โดยมีอาการปวดประสาทด้านขวาตั้งแต่เบ้าตาขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม ปวดอยู่ซีกเดียว ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มแน่นอายุยังน้อย อาการก็ไม่ค่อยทรมานรุนแรงมากนัก กินยาแก้ปวดแรงๆ ก็พอบรรเทาไปได้ เคยขอให้อาจารย์ที่ศิริราชตรวจ ท่านก็บอกว่า สายตามีส่วนช่วยทำให้ปวดได้ เพราะสายตาไม่ดี ผมก็เลยสวมแว่นตามาตั้งแต่อายุ 20 ปี จนถึงบัดนี้ สรุปว่า ผมป่วยด้วยโรคนี้มานานเป็นสิบๆ ปี....


ตอนที่เป็นนายแพทย์ ผู้อำนวยการที่จังหวัดภูเก็ต ก็ยังเป็น ตอนไปศึกษาต่อที่อเมริกาก็เป็นทั้งสามปี แพทย์ที่อเมริกาชวนผ่าตัด ผมก็ยอม แต่พอจะผ่ามันก็เกิดหายปวด เพราะมันเป็นๆ หายๆ หมอที่นั่นก็เลยไม่กล้าผ่า พอศึกษาจนจบก็กลับมารับราชการต่อตามโรงพยาบาลอีกหลายแห่ง ตอนปี พ.ศ. 2504 ผมเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ ฝ่ายวิชาการ เกิดปวดมากจนทนไม่ไหว ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ตอนนี้เอง

โรคนี้ไม่รู้สาเหตุ แต่เดี๋ยวนี้ (พ.ศ.2508) คุณหมอสิริ บุณยะรัตเวช หัวหน้าศัลยกรรม ร.พ.รามาธิบดี ผู้เชี่ยวชาญทางศัลยกรรมสมองและประสาท ท่านผู้นี้เอง ที่รักษาผมหายขาด ด้วยการฉีดยาเข้าในสมอง ไปทำลายต้นตอของประสาทเส้นนี้ ให้หมดสภาพไปเลย ท่านบอกว่า หนึ่งในสาเหตุของโรคนี้ คือเส้นโลหิตในสมองเส้นหนึ่งไปเบียดสมองเส้นที่ห้านี้ เมื่อเส้นโลหิตขยายตัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจ มันก็จะเบียดกระตุ้นเส้นประสาทนี้ทุกทีคนโบราณเรียกว่า “ลมตะกัง” หมอปัจจุบันเรียกว่า “ไมเกรน” หรือ 'ติ๊ดเตอลารูไทรเจมินัลนิวราลเจีย' เป็นชื่อเดียวกัน การรักษา ยากมาก

ตอนปี พ.ศ. 2504 นั้น คุณหมอสิระยังไม่กลับจากการเดินทางต่อจากอังกฤษ ท่านเรียนจนสำเร็จเป็นราชบัณฑิตในวิชาศัลยศาสตร์ แห่งประเทศอังกฤษ ท่านกลับมาตอน พ.ศ. 2507 หรือราวๆ นั้น ท่านศาสตราจารย์ น.พ.อุดม โปษกฤษณะ เป็นผู้รักษาผม มีศาสตราจารย์ น.พ.วิชัย บำรุงผล แห่งภาควิชา ศัลยกรรม และ ศาสตราจารย์ น.พ.สมบัติ สุคนธพันธ์ ฝ่ายโรคทางยามาร่วมด้วย ทั้งสองท่านเหล่านี้ เป็นเพื่อนกัน ก็เลยตั้งใจมากเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่หาย....

ผมได้ถูกรับตัวไว้เพื่อตรวจละเอียด และรักษาที่ตึกวิบูลลักษณ์ ชั้นล่าง ห้องที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เสียแล้วได้รับการดูแลเยียวยารักษาอย่างดีจากครูบาอาจารย์ และเพื่อนฝูง แต่อาการปวดประสาทก็รุนแรงมาก แทบจะผูกคอตายไปหลายหน....

คืนหนึ่งเวลาประมาณสองทุ่มเศษ ๆ โรคปวดประสาทมาเอาผมอีก ทีนี้ปวดดิ้นเลย พยาบาลจะให้กินยาฉีดยาตามแพทย์สั่งไว้ ก็ไม่สงบ เมื่อเป็นเช่นนั้นผมก็นอนหลับตาเอามือกุมขมับข้างที่ปวด แล้วก็ภาวนาบริกรรม พุทโธๆ ๆ ๆ ทำอาปานุสสติ ไปเรื่อยๆ ที่ผมทำแบบนี้ได้เพราะเมื่อปี พ.ศ. 2500 ผมบวชพระที่วัดราชาธิวาส หนึ่งพรรษา วัดนี้เป็นวัดวิปัสสนากรรมฐาน ผมก็ได้รับการอบรมเรื่องนี้มาด้วย พอทำสมาธิวิปัสสนาสักครู่อาการปวดก็สงบลง มันก็เป็นเช่นนี้ คือ ปวดสักพัก แล้วก็บรรเทาพอสงบ ผมก็สงบจิตทำสมาธิต่อไป....

ประมาณสามทุ่มเศษๆ ผมก็หลับตาเห็น....เด็กหญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง....ก็ลืมตาถามภรรยาและพยาบาลพิเศษที่เฝ้าอยู่สองคนนี้ว่า.... 'ใครมา?' ได้รับคำตอบว่า “ดึกแล้ว....ไม่มีใครมาหรอก....” ผมก็หลับตาเข้าสมาธิต่อ พอสักครู่ ก็เห็นชัดว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างอ้วนเหลือกำลัง อ้วนยังกับเป็นโรคชนิดหนึ่ง แต่หน้าตายังเด็ก มายืนอยู่ข้างเตียง เธอแต่งตัวด้วยชุดของโรงพยาบาล เมื่อเห็นเช่นนั้น ผมก็เอ่ยปากออกถามว่า....“หนูเป็นใครมาทำไมที่นี่....”ผมพูดออกมาดังๆ เพื่อให้สองคนนั้นได้ยิน รวมทั้ง คุณใบ กล้าหาญ ซึ่งรับราชการอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์จนทุกวันนี้ และไปเฝ้าผมอยู่ด้วย.... ภรรยาผม มาเขย่าแขนแล้วพูดว่า “เธอ นี่อยู่นี่ๆ” ก็คงคิดว่าผมป่วยมากจนเพ้อ....ผมก็บอกว่า “ไม่ได้เพ้อ หรือเสียสติอะไรหรอก....” แต่ว่า....มีใครเห็นไหม? หนูอ้วนมานั่งอยู่ข้างเตียงนี่.... สองคนนั้นตอบว่า.... 'ไม่มีใครอีกแล้ว....' ผมสังเกตเห็นว่าทั้งสองคนนั้นขยับตัวเข้ามาชิดกัน ภรรยาทำท่าจะสวดมนต์หรือพนมมือไหว้พระปลกๆ แต่ผมก็ยังข้องใจ.... เพราะหนูคนนั้นยังนั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยม! ผมก็เลยพูดออกมาดัง ๆ กับภรรยา และพยาบาลในห้องว่า....
“จะคุยกับหนูคนนี้นะ ช่วยจดๆ จำๆ ไว้ด้วย” แล้วผมก็ถามด้วยเสียงดังๆ ว่า
“หนูเป็นใคร....มาทำไมในห้องนี้?”
แม่หนูตอบว่า “หนูเคยป่วยในห้องนี้ และตายในห้องนี้เมื่อประมาณสองปีมาแล้ว”
โดยผมจะคอยทวนคำตอบ ดัง ๆ ....ภรรยาผมคอยฟังและคอยจด....
“เอ้อ! หนูเคยมาป่วยที่ห้องนี้....หนูเป็นอะไรตาย?”
“ป่วยด้วยโรคอ้วนตายค่ะ”
ภรรยา และพยาบาลช่วยกันจดใหญ่.... “หนูเป็นลูกหลานใครกันจ๊ะ?”
“ตาหนูเป็นพระยาค่ะ” ชื่อของท่านขึ้นต้นด้วยตัว.. “อ”.. ลงท้ายด้วย ..“สิริ”

ผมทวนคำพูดของเธอดังๆ ให้ได้ยินกันทุกคน....
“งั้นหนูก็เป็นหลาน....” ผมพยายามนึก สักครู่ก็นึกออก แล้วพูดออกมาว่า....
“หลานเจ้าคุณอัชราชทรงสิริ ใช่ไหมล่ะ?”
หนูคนนั้นก็ตอบว่า “ใช่ค่ะ! คุณอาเก่งมาก”
“แล้วพ่อของหนูล่ะ?”
“คุณอาไม่รู้จักหรอกค่ะ”
ผมถามต่อไปว่า “หนูมีพี่น้องกี่คน?”
“มีสามคนค่ะ หนูเป็นผู้หญิงคนเดียว”
ผมทบทวนคำพูดดังๆ ทุกคำ เพื่อให้ผู้ที่กำลังฟังได้ยินด้วย....

“หนูมานี่มีความประสงค์อะไรจ๊ะ”
“หนูมีเพื่อนคนหนึ่ง เขาเสียชีวิตเมื่อปีกลายที่ตึกเด็ก.... เขาบอกว่าเขาเป็นลูกคุณอาเมื่อชาติที่แล้ว เขาอยากจะมาหา .... และมาช่วยคุณอาให้หายป่วยจากโรคนี้ เขาให้หนูมาบอกคุณอาก่อนค่ะ”

จากนั้น คุณแม่หนูอ้วนก็หายไป.... หายวับไปเลย....ผมก็ลุกขึ้นนั่ง เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ภรรยา กับพยาบาลฟัง....พยาบาลคนนั้น ตื่นเต้นมาก พลางบอกกับผมว่า....ที่ตึกนี้และห้องนี้ เมื่อประมาณปี 2502 มีเด็กผู้หญิงถึงแก่กรรมที่ตึกนี้ ....ห้องนี้หรือเปล่า? เพราะเธอแปลกใจและสนใจมาก ที่ผมพูดกับแม่หนูคนนั้นเป็นเรื่องเป็นราวตั้งนาน....

จากนั้นผมก็เข้านอน โดยไม่ลืมภาวนาบริกรรม พุทโธๆ ๆ ไปด้วย ประมาณห้าทุ่มคืนเดียวกันนั้นเอง ด้วยอาการปวดประสาทอย่างรุนแรง....ทำให้ผมตื่นขึ้นมาอีก.... แต่สองคนที่อยู่ในห้องหลับไปแล้ว.... ตอนนี้ เงียบสงัด แต่ผมนอนกุมขมับ กุมศีรษะด้านขวาอยู่คนเดียว ด้วยความปวดที่ออกจะรุนแรงเอาการอยู่ ผมก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ที่หู ว่า....

“เธอ! พ่อเธอนอนอยู่นี่ยังไง....เข้ามาซิ” ผมลืมตาขึ้นมองก็ไม่เห็นมีอะไร....แต่พอหลับตาก็ได้ยินเสียงขึ้นมาอีกว่า.... “เข้ามาซิ เข้ามาเถอะ!”

ผมลืมตาขึ้นอีกที ทีนี้เห็นเด็กสองคนเข้ามายืนข้างเตียงผม คนหนึ่งอ้วน ก็คนเก่า อีกคนหนึ่งอยู่ในวัย 12 ขวบ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เธอเดินมาข้างเตียงผม....แล้วพูดว่า ....“พ่อ! หนูมาช่วยพ่อ”

ผมจึงเรียกภรรยาและนางพยาบาลให้ตื่น แล้วถามว่า ....
'เห็นเด็กผู้หญิงสองคนตรงนี้ไหม?....เด็ก ๆ มายืนอยู่ที่นี่แนะ!'
พยาบาลเปิดไฟในห้องสว่างพรึ่บ แล้วบอกว่า.... 'ไม่เห็นมีใครมาซักคนนี่คะ?'
“มีซิ มีแม่หนูสองคนมาเยี่ยม แล้วก็ยืนอยู่ตรงนี้ นี่ไงล่ะ....”
พลางผมก็ยื่นมือออกชี้ไปที่ตัวเด็ก....
คุณใบยกเก้าอี้มาสองตัว ให้แขกที่มองไม่เห็นตัวนั่งข้างเตียงทันที....
ภรรยาผม กับพยาบาลตื่นขึ้นนั่ง ขยับตัวเข้ามาชิดกัน.... แล้วทั้งสองก็พนมมือทำท่าสวดมนต์อีกรอบ....

หนูอ้วนยืนอยู่สักครู่แล้วก็ลาไป “คุณอาคะ หนูไปก่อนนะคะ” ว่าแล้วก็หายวับไปทันทีเหลือแต่แม่หนูตัวเล็กคนเดียว....

ตอนนี้เธอนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงนอนผม ข้อศอกสองข้างเท้าที่นอนยันคางไว้....แล้วถามว่า....
'คุณพ่อปวดศรีษะมากหรือคะ?' ผมตอบว่า.... 'ตอนนี้ปวดมากจ้ะ! 'เธอยื่นมือข้างหนึ่งมากุมหรือกดศีรษะ ด้านที่ปวดของผมไว้แล้วบอกว่า “สักครู่จะทุเลา” ต่อจากนั้นสักพัก อาการปวดก็สงบ....ผมจึงถามเธอว่า.... 'หนูเป็นใคร? แล้วทำไม มาเรียกว่า พ่อ?'ตอนนี้สองคนนั้นเริ่มจดอีก.... “ชาติที่แล้วหนูเป็นลูกของพ่อ....”ผมก็ทวนคำพูดของแม่หนูว่า.... “อ้อ ชาติที่แล้วเป็นลูกของพ่อ” ต่อไปนี้ เป็นคำสนทนาของผมกับเด็กผู้หญิงคนนั้น....
โดยผมถามดังๆ และทวนคำตอบดังๆ เช่นเคย....

“ชาติก่อนนี้ หนูเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง”
“เป็นผู้หญิงค่ะ”
“หนูเป็นอะไรตายในชาติก่อน?”
“หนูไปเล่นน้ำแล้วไถลลื่น และตกน้ำตาย”
“หนูตายที่ไหน?”
“ตกน้ำตายที่โรงโม่”

ผมไม่รู้จักท่าโรงโม่ จึงถามเธอว่า “โรงโม่อยู่ที่ไหน?”
“ก็แถวๆ ท่าเตียนนี่แหละ ไม่ไกลเท่าไหร่”
“ตอนที่ตกน้ำตายหนูอายุเท่าไหร่?”
“ก็สิบกว่าขวบค่ะ”





หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Southlander ที่ พฤศจิกายน 19, 2008, 02:48:32 PM
กฎแห่งกรรม
พิมพวดี สื่อวิญญาณ

2

===============================================
“ชาติก่อนนี้ พ่อเป็นอะไร”
“ชาติก่อนนี้พ่อรับราชการในรัชกาลที่ 3 เป็นผู้คุมนักโทษและราชมัล”
“....ราชมัล เป็นอย่างไร พ่อไม่รู้จัก?”
“ราชมัล เป็นผู้คุม เป็นคนลงโทษนักโทษ ทรมานนักโทษ รวมทั้งประหารชีวิตนักโทษด้วย”

ผมได้ฟังแล้วตกใจมาก เพราะชาตินี้ผมไม่เคยเบียดเบียนใคร ไม่ชอบการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอย่างใดทั้งสิ้น
แล้วจึงถามแม่หนูนั้นว่า “ที่พ่อป่วยนี้ ป่วยมานานเป็นเพราะอะไร แล้วเมื่อไหร่จะหาย?”
เธอตอบว่า “ป่วยเพราะกรรมเก่าที่ทำไว้แต่ชาติก่อน พ่อมีหน้าที่เกี่ยวกับนักโทษ ควบคุมลงโทษ ทรมาน
เขา กรรมก็ตามมาสนองในชาตินี้”

ผมแย้งว่า “ก็ทำตามหน้าที่…หน้าที่ คือ ควบคุมทรมานเขา เราไม่ทำ เราก็ผิด....”
แม่หนูก็ตอบว่า....“ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งรูปร่างอ้วนใหญ่ สูงดำ ถูกคดีฆ่าชาวบ้านตาย ทำทารุณต่างๆแก่ราษฎร....ความจริงนั้น เขาไม่ได้ทำ แต่ชาวบ้านมารวมหัวกันใส่ความเขา พระอัยการก็คุมตัวมาลงโทษ สอบถามเขา เขาไม่ได้ทำ ก็ไม่รับ ราชมัลก็คือ พ่อ ได้ลงโทษเขา จับเขาเข้าขื่อเข้าคาตอกเล็บ แล้วเอาเครื่องมือมาบีบขมับเขา บีบขมับจนเขาสลบ เพราะความเจ็บปวด เขาก็ไม่รับว่าเป็นผู้ร้าย พ่อก็ลงโทษบีบขมับเขาอีก เพื่อให้เขารับสัตย์ว่าเป็น เขาก็ไม่รับ ในที่สุดก็ทนทรมานไม่ไหว ก็ขาดใจตาย! ก่อนตาย... เขาผูกใจอาฆาตพยาบาทไว้ว่า จะจองเวรไปทุกชาติจนกว่าจะหมดเวร....ตอนนี้กรรมมาตามทันอย่างเต็มที่แล้ว.... จึงได้ป่วยเช่นนี้” ผมทวนทำพูดของแม่หนูน้อยทุกอย่าง ภรรยาผมและพยาบาลนั่งจำและจดไว้ทุกคำพูด ผมจึงถามต่อไปว่า 'เมื่อไหร่จะชดใช้กรรมนี้หมดเสียที?' แม่หนูตอบว่า “พ่อทำไว้มาก ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว กรรมก็สลับกันไป กรรมดีทำให้พ่อเกิดมาอย่างนี้ กรรมชั่วก็ตามมาสนองอย่างนี้ '

ภรรยาผมนั่งฟังอยู่ตลอด ก็ขอให้ผมถามว่าเมื่อชาติก่อนเธอเป็นอะไร? แม่หนูตอบว่า “คุณแม่ เมื่อชาติก่อนนี้เป็นแม่ชี บวชเป็นแม่ชีถือศีลกินเพล อยู่วัดใต้” ผมก็ไม่ทราบว่า วัดใต้ ไหน แม่หนูบอกว่า “เวลาผมปวดประสาทมากๆ ให้นึกถึงเธอ เธอจะมาช่วยให้บรรเทาเบาบางลง” แล้วก็เอามือมากุมศีรษะข้างที่ปวด พลางก็พูดว่า....“พรุ่งนี้แปดนาฬิกา หมอจะเอาพ่อไปผ่ากระโหลกศีรษะ”

ผมย้ำว่า 'พรุ่งนี้เช้าหรือ จะผ่ากระโหลกศีรษะพ่อหรือ?'

เธอก็พยักหน้ารับคำ แล้วก็บอกว่า ....“หนูจะไปก่อนล่ะ”

ภรรยาผมนั่งสงบอย่างบอกไม่ถูก แล้วก็ม่อยหลับกันไปทั้งหมด...

รุ่งขึ้นเวลา 8 นาฬิกา....

อาจารย์หมออุดม มาตรวจเยี่ยม ได้รับรายงานว่า เมื่อคืนนี้ปวดประสาทมาก ปวดจน ดิ้นถึงสองครั้ง
ท่านยืนคิดสักครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า....
“แปดโมงเช้านี้ จะเอาตัวไปผ่าตัด ผ่าเอาปมประสาทที่ปวดออก”
แล้วหันมาสั่งพยาบาลให้ไปบอกหัวหน้าตึกให้เตรียมนำคนไข้รายนี้ไปผ่าตัด....

ภรรยาและพยาบาลมองหน้ากันด้วยความงุนงงเต็มที่....
เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะนำผมไปผ่าตัด ที่งงเพราะเมื่อคืนนี้ได้ยินผมพูดคนเดียว คือทวนคำพูดของแม่หนู
ว่า พรุ่งนี้ 8 นาฬิกา หมอจะเอาไปผ่าตัด

ตอนนั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง....

มาตอนนี้เชื่อแล้ว เชื่อไม่มีความสงสัย !

สักครู่พยาบาลก็เข้ามาในห้องผม จัดแจงโกนหัวโกนคิ้วด้านขวา ขึ้นไปถึงกลางศีรษะ แล้วทำความสะอาด

ต่อจากนั้นก็ฉีดยาให้สะลืมสะลือก็ประเภทมอร์ฟีน จวนๆ 8 นาฬิกา รถเข็นคนไข้ ก็เข้ามาเทียบเอาตัวผม
นอนเปลเข็นไปในห้องผ่าตัด โดยมีภรรยาผมตามไปดูด้วย ผมเองตอนนั้นเปลเข็นไปในห้องผ่าตัด โดยมี
ภรรยาผมตามไปดูด้วย ผมเองตอนนั้นก็จะหลับมิหลับแหล่อยู่แล้ว และแล้วผมก็สิ้นสติไปเมื่อได้รับยาสลบที่ห้องผ่าตัด….

ผมมาทราบตอนหลังว่า ในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ผมได้รับการผ่าตัดนั้น....

พยาบาลในห้องได้ไปคุยกับหัวหน้าตึกแล้วคุยกันต่อๆ กันไป ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้น ทุกคนก็อาการ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็แปลกใจทุกคน ที่ประหลาดใจมากก็คือ ในเมื่อผมเรียนจบจากศิริราชไปตั้งกว่าสิบปี จบแล้วออกไปเลยไม่ทำงานอยู่ในนั้น เหตุไฉนจึงทราบเรื่องเด็กผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วน และเด็กผู้นั้น ก็ถึงแก่กรรมที่เตียงผมป่วยในตึกวิบูล ลักษณ์นั้น และเธอตายในปีนั้น
 

ด้วยความสนใจพยาบาลหัวหน้าตึกได้ไปค้นประวัติ และสืบประวัติของผู้ป่วยในตึกนี้ ในปี พ.ศ. 2502 –2503 ค้นอยู่นาน เพราะไม่ทราบชื่อผู้ป่วย และในที่สุดก็ค้นพบว่า....ได้มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งป่วย และถึงแก่กรรมด้วยโรคอ้วนในห้องนี้จริง! ความประหลาดใจในหมู่คนที่รู้เรื่อง ก็ชักจะกลายเป็นความเชื่อขึ้นมาทีละน้อย ๆ แต่พอพยาบาลที่เฝ้าเธอบอกว่า เด็กที่มาหาคุณหมอที่บอกว่าเป็นลูกในชาติก่อน เมื่อคืนนี้มาบอกว่าจะถูกผ่าตัดเช้าวันนี้ พอรุ่งขึ้นเช้าอาจารย์อุดมก็มาเอาตัวไปจริงๆ ....แปลกนะเธอ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ.... พยาบาลสาวพึมพำกันทั้งตึก และจากตึกนี้ไปตึกโน้น ไปจนทั่ว โรงพยาบาลภายในไม่กี่วัน....

อาจารย์หมออุดม ท่านเคยรักษาโรคนี้ผมมาสองสามครั้งแล้ว.... โดยฉีดยาเข้าไปในกะโหลกศีรษะ หมายจะให้ยาไปทำลายประสาทส่วนที่ปวด แต่ไม่ได้ผล มันเหมือนกับตีงูให้หลังหัก โรคก็อาละวาดใหญ่ ที่ฉีดยาเข้าไปในศีรษะนี้ประมาณ 4 ครั้งในสองปี เมื่อฉีดยาไม่ได้ผล ท่านก็เลยผ่าลงไปในสมองตัดปมประสาทเสียเลย

โดยเจาะกระโหลกศีรษะด้านขวาเหนือหูขึ้นมาหน่อย.... คงจะเหมือนกับชาติก่อนที่ไปบีบขมับเขา ตามที่แม่หนูเธอบอก.... เจาะแล้วเอากระดูกกะโหลกออกมา ขนาดราวๆ เหรียญสองสลึง ทำให้มีรูเกิดขึ้น จากนั้นก็เอามีดเอากรรไกรเข้าไปตัดเส้นประสาทที่ห้า แต่อาจารย์ท่านว่าการผ่าตัดทำได้ด้วยความยากลำบาก เพราะรื้อรังมานาน.... ประกอบกับได้รับการฉีดแอลกอฮอล์เข้าไปหลายหน มันก็เกิดพังผืดขึ้น .... ผลการผ่าตัดไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่ แต่เชื่อว่าคงได้ผลไม่น้อย....


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Southlander ที่ พฤศจิกายน 19, 2008, 02:50:09 PM
กฎแห่งกรรม
พิมพวดี สื่อวิญญาณ

3

===============================================
การผ่าตัดประสาทสมองนี้กินเวลาราวๆ สี่ชั่วโมง เพราะความยากลำบากดังกล่าว

พอราวๆ เที่ยงเขาก็เข็นรถกลับมาที่เดิม ที่ในห้องมีแม่ผม ภรรยา พ่อตา แม่ยาย ซึ่งทั้งสองท่านนี้มีศักดิ์ เป็นลุง เป็นป้าผมด้วย ทุกคนคิดว่าผมคงตายไปแล้ว เพราะนานเหลือเกิน ระหว่างที่คอยรอรับผมในห้องภรรยา และพยาบาลได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกท่านฟัง ต่างก็รับฟังโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ

ค่ำวันนั้นก็เกิดอาการปวดขึ้นมาอีก.... ทีนี้ปวดสองอย่างคือ ปวดเจ็บในสมองที่ผ่า ปวดแผล มิหนำซ้ำโรคปวดเดิมก็ไม่ทุเลา ทำให้เกิดทุกข์ทรมานมากกว่าเก่า มือทั้งสองก็กุมที่แผล กุมศีรษะ ร้องปวดดิ้นไป และแล้วก็นึกขึ้นได้...

“หนู! ช่วยพ่อด้วย” ผมตะโกนออกมาดัง ๆ ในห้องนั้นมีญาติพี่น้องมาเยี่ยมกันมากมาย ต่างก็ได้รับฟังเรื่องราวโดยละเอียด.... ต่างก็สงบ มีแต่ผมผู้เดียว ทุรนทุรายอยู่บนเตียง....

ชั่วอึดใจเดียว....
ก็ปรากฏร่างของเด็กหญิงที่เคยบอกว่าเคยเป็นลูกผมเมื่อชาติก่อนมานั่งอยู่ข้างเตียง ผมจึงถามว่า.... “มาแล้วหรือลูก ช่วยพ่อที ตอนนี้ปวดเหลือจะทนแล้ว!”

แม่หนูก็เอามือมาวางที่ศีรษะ แล้วพูดว่า “เดี๋ยวจะทุเลา” ก็เป็นจริงดังว่า อาการปวดก็ทุเลา พยาบาลซึ่งถือเข็มฉีดยามาก็เลยไม่ต้องฉีด

คุณใบ ก็ช่วยยกเก้าอี้มาให้แขกที่แลไม่เห็นตัวนั่งอย่างเคย.... แม่หนูก็นั่งข้างเตียง เอามือเท้าคางตามเดิม ผมก็ถามว่า.... “หนูอ้วนไปไหนล่ะ!”
เธอตอบว่า.... “วันนี้ไม่ได้มา”
ทุกคนในห้องฟังผมคุยกับแม่หนู ผมถามต่อไปว่า.... “หนูชื่ออะไรจ๊ะ?”
เธอตอบว่า “ก่อนที่จะตายนี้หนูชื่อ.... พิมพวดี”
“หนูเป็นอะไรตาย?”
“หนูเป็นไข้เลือดออกตายค่ะ”
'ตายที่นี่หรือ?'
“ตายที่ตึกเด็กค่ะ”
“ตายเมื่อไหร่จ๊ะ?”
“เมื่อปี 2502 ค่ะ”
“หนูมีพี่น้องกี่คนจ๊ะ”
“มีสามคนค่ะ”
“ผู้หญิง ผู้ชาย กี่คน”
“หนูเป็นผู้หญิงคนเดียว”
“พ่อแม่คงจะเสียใจมากที่หนูตายไป”

“พ่อแม่เสียใจมาก เพราะหนูเป็นลูกผู้หญิงคนเดียว พ่อสร้างศาลาอุทิศส่วนกุศลให้หนูที่วัดมกุฎฯ เอาชื่อหนู
ไปตั้งศาลานี้ มีรูปหนูและมีคำจารึก มีกระดูกที่เผาแล้วของหนู ฝังอยู่ในนี้ด้วยค่ะ....…พ่อดีขึ้นแล้ว หนูลา
ไปก่อน แล้ว จะมาหาพ่ออีกค่ะ”

คำพูดทุกคำระหว่างแม่หนูพิมพวดีกับผม ทุกคนในห้องได้ยินได้ฟัง และฟังอย่างตั้งอกตั้งใจจริงๆ พยาบาล
ฉีดยาให้ผมอีก แล้วผมก็หลับไปจนเช้า โดยไม่มีอาการปวดรุนแรง มารบกวนอีกเลยในคืนนั้น.... เหมือนกับยังไม่สิ้นเวรกรรม อาการของโรคที่สงบไปคืนหนึ่งนั้น....

พอรุ่งขึ้นเช้ามันก็เอาอีก ปวดอีก ทุรนทุรายร้องครวญครางอีก อาจารย์ท่านมาดูอาการทุกเช้า ทุกวัน สั่ง
การรักษาทุกวัน เช้าสบาย สายปวด กลางวันสบาย บ่ายปวดดิ้น หรือพอตอนเย็นสบายชื่นฉ่ำ พอค่ำก็ร้อง
ครวญคราง เป็นอยู่อย่างนี้ อีกสามหรือสี่วัน

ทุกครั้งที่ปวดผมก็จะนึกถึงหนูพิมพวดีทันที ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ถ้าเป็นกลางวัน ก็จะได้ยินเสียงพูด
ว่า “พ่อ หนูมาแล้ว....” แล้วเธอก็เอามือมาช่วยกุมที่ปวดจนผมทุเลา คำพูดที่ผมพูดก็คือ.... “มาแล้ว
หรือลูก…”
ทุก ๆ คนที่มาเยี่ยมผม หรือมาอยู่ในห้องจะเงียบสงบ.... คอยฟังคำพูดของผมที่พูดกับวิญญาณในเรือนร่างของหนูพิมพ์ อย่างใจจดใจจ่อ เหมือนนัดกันไว้....

ในเย็นวันนั้น เย็นมากแล้ว....ฯพณฯ ทวี บุณยเกตุ ซึ่งเป็นพี่ชายของผม ท่านได้ไปเยี่ยมพร้อมบุตรของท่านชื่อ คุณวีระวัฒน์ บุณยเกตุ หรือที่ญาติเรียกชื่อเล่นว่า “บู๊” เป็นคนขับรถพี่ชายผมไปที่ศิริราช และ(ตอนนี้)พี่ชายผมท่านถึงแก่อนิจจกรรมไปแล้ว จะเหลือก็คุณวีระวัฒน์ ซึ่งเดี๋ยวนี้ดำรงตำแหน่งเป็นรองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม คุณทวีฯเป็นประจักษ์พยานอีกท่านหนึ่ง

โดยในขณะนั้นอาการปวดของผมกำเริบปวดขึ้นมาก ๆ ผมนอนร้องเรียกหนูพิมพ์ให้มาช่วย คุณทวี ก็ทราบ
เรื่องอยู่บ้างแล้วจากคำบอกเล่าของญาติ ๆ ท่านก็เลยนั่งอยู่ ซึ่งปกติท่านไปเยี่ยมบ่อยมาก แต่ไปนั่งไม่นาน เพราะท่านทนความสงสารในความทุกข์ทรมานของผมไม่ไหว เย็นนั้นท่านนั่งอยู่นานหน่อย พอดีผมปวดมาก และร้องเรียกหนูพิมพ์ ว่า “ลูก…มาช่วยพ่อที”

คุณทวีทราบเรื่องนั้นจากญาติพี่น้องหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ ท่านมาเห็นพอดี คือ พอผมเรียก หนูพิมพ์ หนูพิมพ์
ก็มา ผมก็ถามว่า.... “ผ่าตัดแล้วทำไมยังไม่หายอีก”
หนูพิมพ์ตอบว่า.... “ยังไม่หาย ยังไม่หมดเวรหมดกรรมที่ทำไว้....”
“แล้วเมื่อไหร่จะหาย?”
เธอตอบว่า.... “ก็ราว ๆ อีกสี่ปี พ.ศ. 2508 นั่นแหละ”
ผมก็ถามดังๆ ต่อไปว่า “แล้วจะทำอย่างไรต่อไป”

เธอตอบว่า “พรุ่งนี้แปดโมงเช้า หมอจะเอาตัวไปผ่าตัดอีก จะต้องผ่าอีกสองครั้ง รวมเป็นสี่ครั้งในคราวนี้....”
ผมก็ทวนคำพูดของเธอแล้วร้องว่า.... 'ต้องผ่าถึงสี่ครั้งเชียวหรือ?'
คุณทวีนั่งฟังอย่างสงบ ทุกคนเงียบคอยฟังครู่ใหญ่ๆ อาการปวดก็บรรเทา....

หนูพิมพ์จึงบอกกับผมว่า “หนูจะลาไปก่อน วันนี้รีบหน่อย เพราะจะไปรับส่วนกุศลที่เขาอุทิศให้ที่ศาลาพิมพวดี....”
ทุกคนได้ยินคำพูดที่ผมทวนคำพูดของหนูพิมพ์.... ผมจึงถามเธอว่า ....'เขาอุทิศกุศลให้เรื่องอะไร?'

เธอตอบว่า “เขาบำเพ็ญกุศลศพใครก็ไม่รู้ที่ศาลา คนตายมีเหรียญตรา มีสายสะพาย..” ผมก็ทวนคำพูด ออกมาดัง ๆ

คุณทวีก็อยากจะพิสูจน์ จึงให้คุณวีระวัฒน์บุตรชายขับรถยนต์ออกไปเดี๋ยวนั้น ไปดูซิว่าที่ศาลาพิมพวดี วัด
มกุฎฯ มีการบำเพ็ญกุศลศพใคร ศพมีเหรียญตรา น่าจะรับพระราชทานเพลิงศพ ที่สุสานหลวงวัดเทพศิรินทร์ฯ เพราะหนูพิมพ์บอกว่ามีสายสะพาย....

คุณวีระวัฒน์ บุณยเกตุ จึงรีบขับรถออกจากศิริราชไปที่วัดมกุฎฯ ทันที.... ปรากฏว่าเป็นความจริง....

คืนนั้น มีการนำศพออกมาจากสุสาน นำมาบำเพ็ญกุศล.... พรุ่งนี้จะรับพระราชทานเพลิงศพ .... เป็นศพของรองอธิบดีกรมเจ้าท่า ผมได้ลืมชื่อของท่านไปเสียแล้ว.... รูปถ่ายหน้าโกศเป็นรูปเต็มยศ .... มีเหรียญตรา มีสายสะพายจริงๆ คุณวีระวัฒน์ฯ จึงรีบขับรถมาเรียนคุณทวีฯ ว่า.... เป็นจริงอย่างที่ผมทวนคำพูดทุกประการ

ผมต้องเล่าย้อนไปนิดหน่อย.... คือตอนที่หนูพิมพ์นั่งอยู่ข้างเตียงผม เอามือเท้าคางยันขอบเตียงอย่างเคย....
เธอพูดว่า “เสียดาย”

ผมถามว่า 'เสียดายอะไร?'
เธอตอบว่า “แก้วระย้าที่โคมไฟในศาลา คนที่ยกขาหยั่งวางพวงหรีดทำขาหยั่งไปโดนแก้วช่อระย้าตกลงมาแตกหลายช่อ ทำให้ไม่สวย พ่อแม่ก็ไม่ทราบ อีกสองสามวัน คุณพ่อหนูชาตินี้ จะมาเยี่ยมพ่อ พ่อช่วยบอกคุณพ่อหนูให้ช่วยเปลี่ยนช่อระย้าที่ตกลงมา แตกให้ที หนูไม่สบายใจ....”
 

ผมทวนคำพูดนี้ให้ทุกคนได้ยิน รวมทั้งคุณทวีฯด้วย ก่อนที่คุณวีระวัฒน์ฯจะกลับมาจากวัดฯมารายงานเรื่อง
ศาลา นั้น.... คุณทวี และบุตรชาย กลับไป ด้วยความประหลาดใจว่า....

ผมนอนเจ็บอยู่ตั้งสิบกว่าวันแล้ว ทำไมรู้เรื่องที่จะเผาศพรองอธิบดีกรมเจ้าท่า.... และศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่ศาลาพิมพวดี....

วิญญาณคงมาบอกจริง ๆ วิญญาณมีจริงหรือ? คนตายแล้วยังวนเวียนอยู่หรือ.... ....อะไรที่มาพูดกับน้องชายผมว่า ท่านคงนอนคิดไปนาน....

คืนนั้น ผมปวดอีกครั้งหนึ่ง.... พอเช้า อาจารย์อุดมฯก็มาเยี่ยมอย่างเช่นเคย พอทราบว่ายังปวดอีก ท่านก็ยืนครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ แล้วหันมาสั่งพยาบาลว่าไปบอกหัวหน้าตึกให้เตรียมคนไข้นี้ไปห้องผ่าตัดอีกที เช้าวันนี้ก่อนแปดนาฬิกา....
 

ผมตะลึง ภรรยา และพยาบาล งง ทุกคนในตึกนั้น เมื่อได้ทราบคำสั่งก็ประหลาดใจ เพราะพยาบาลที่เฝ้าเธอเล่าให้เพื่อน ๆ เธอฟังตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่า เช้านี้ผมจะต้องถูกผ่าตัดอีก เพราะหนูพิมพ์ บอกไว้....

แล้วผมก็ถูกนำไปห้องผ่าตัด ผ่าตัดดึงเอารากประสาทเส้นนี้ออกมา โดยพยายามดึงเอาออกมาให้มากที่สุด
เท่าที่จะมากได้ ราวๆ ตอนเที่ยงก็กลับมาห้องนอนที่ตึกพัก โดยสลบมาบนรถเปลตามเคย....

พอฟื้นขึ้นมา อาการปวดเจ็บแผลก็มาแทน แต่อันนี้ระงับได้ด้วยการฉีดยา พยาบาลฉีดยาระงับปวดให้เป็นระยะๆ พอค่ำลงก็สงบ ญาติพี่น้องเพื่อนๆ เข้ามาเยี่ยมกันมากมายตามเคย ที่มาเยี่ยมจริงๆ ก็มีที่อยากจะรู้เรื่อง
วิญญาณของเด็กที่มาช่วยผมก็มี....

พอสักสามทุ่มคืนนั้น หนูพิมพ์ก็มาอีกตามเคย.... เธอเอามือมาวางที่ขมับข้างที่ผมปวดทั้งแผลผ่าตัด และที่ปวดอยู่เดิม.... ทำอย่างไรก็ไม่หาย ผมนอนทนเอา ภาวนาบริกรรมจนหลับไปในที่สุด.... แล้วเธอก็จากไป....

ข่าวลือ ข่าวจากปากต่อปาก ไปไกลกว่าประชาสัมพันธ์ทางสื่อมวลชน และก็แน่นอน ข่าวนั้นก็ต้องการ
มากกว่าความจริง 

จนวันหนึ่ง....คุณชิต สุวรรณปัทม์ เคยเป็นพยาบาลอาวุโส ที่สายนัดดาคลินิก ของ นายแพทย์ ม.ล.เต่อ สนิทวงศ์ ซึ่งผมเคยทำงานกับท่าน เมื่อ พ.ศ. 2493-2495 ก็สามสิบแปดปีมาแล้ว เป็นคนที่ชอบพอกันในสมัยที่ทำงานอยู่ด้วยกัน เธอมาเพื่อมาเยี่ยมแล้วมาบอกกับผมว่าจะมีคนมาพบมาหา และคุยเรื่องหนูพิมพวดี ผมก็บอกเธอว่า ก็มีอย่างที่พยาบาล และภรรายาผมได้ยินได้ฟังเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น (คุณชิต นี่ ถึงแก่กรรมไป เมื่ออายุราวๆ 70 ปี)



หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Southlander ที่ พฤศจิกายน 19, 2008, 02:52:10 PM
กฎแห่งกรรม
พิมพวดี สื่อวิญญาณ

4

===============================================
ถัดต่อมา อีกวันหรือสองวัน เย็นๆ ก็มีชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งผมไม่รู้จักมาก่อนมาขอเยี่ยม ดูเหมือนจะเป็นเวลา 18-19 น. ขณะนั้นอาการผมดีขึ้นนิดหน่อย ไม่ปวดประสาท สองท่านนี้เอาพวงมาลัยพวงใหญ่มาแขวนให้ผมที่หัวเตียงนอน ในห้องเผอิญจุดธูปหอมบูชาพระ กลิ่นผสมกันหอมพิกล ทำท่าจะเหมือนศาลเจ้าไหหลำไปโน่น....
 
สักครู่ใหญ่ คุณผู้ชายที่มาด้วยก็ขออนุญาตเอารูปถ่ายเด็กผู้หญิงราวๆ สามสิบใบคงได้ มาวางเรียงบนที่นอน
ผม ผมชักสงสัยว่าท่านจะมาทำพิธีปัดรังควาน หรือทำพิธีแขก ที่เรียกว่า “อิศวระกุมารี” คือเอาเด็กพรหมจรรย์ มาบุชาพระอิศวร บนบานศาลกล่าวให้ผมหายป่วยไข้ หรืออย่างไร

แต่ไม่ใช่…. พอท่านค่อยๆ เอารูปถ่ายมีขนาดสักสองนิ้วบ้าง สามนิ้วบ้าง มาวางเรียงเต็มหน้าเตียง ที่ผมนอนอยู่เรียบร้อยแล้ว ท่านก็ถามว่า “คุณหมอ ช่วยชี้ซิครับว่า คนที่มาหาคุณหมอ มาคุยกับคุณหมอ แล้วบอกว่าชาติก่อนเป็นลูกสาวคุณหมอ และชาตินี้เกิดมาเป็นลูกสาวผมน่ะ …คนไหนในรูปถ่ายที่นำมาเรียงอยู่นี่…?

ผมลุกขึ้นนั่ง แล้วหยิบแว่นตามาสวมดูไปที่ละรูป ดูไม่นานนัก โดยวิธีหยิบรูปที่ไม่ใช่รูปหนูพิมพ์ออกมากอง ทีละใบๆ จนเหลือใบสุดท้ายทิ้งไว้บนเตียงหนึ่งใบ และก็หยิบรูปนี้ขึ้นมาชูพลางบอกว่า “หนูคนนี้แหละครับ ที่มาหาผมทุกวัน”
 

ทั้งสองท่านที่มาเยี่ยม หุบรอยยิ้มที่มุมปาก คุณผู้หญิงร้องไห้โฮใหญ่ คุณผู้ชายก็เช็ดน้ำตา แล้วกล่าวว่า....
“ใช่แล้วครับ รูปนี้คือรูปถ่ายหนูพิมพวดีลูกสาวผม ถ่ายในเครื่องแบบนักเรียน ส่วนนอกนั้นเป็นรูปเพื่อนๆ
ของหนูพิมพ์”
 
ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้น เงียบหมด แทบไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ ต่างคนต่างขยับเข้ามา ดูรูปหนูพิมพพ์ที่
อยู่ในมือผม.... พอบรรยากาศค่อยคลี่คลายไปในทางปกติขึ้นแล้ว....

ท่านที่มาเยี่ยมก็บอกว่า “ผมทราบดีจากคุณชิต ก็เลยถือโอกาสมาเยี่ยม และสอบถามถึงลูกสาวผม เพราะทุกวันนี้ ก็ยังระลึกถึงหนูพิมพ์อยู่เสมอ แกเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูมาก ท่านั่งประจำของแก ก็คือ ท่านั่งเท้าคาง เอาข้อศอกยันพื้นไว้ อย่างที่คุณหมอพูดจริงๆ ผมชื่อ เสียง โหสกุล ครับ ผมมีกิจการส่วนตัว ค้าขายเครื่องอะไหล่รถยนต์ทุกชนิด ที่เป็นตึกสามชั้นอยู่ตรงสามแยกสะพานนนพวงค์ ทิศใต้ของโรงเรียนวันเทพศิรินทร์ฯ นี่เองครับ”

ผมก็ถามคุณเสียงว่า “คุณเสียงมีบุตรธิดากี่คน”

“คุณเสียง ก็ตอบมาผมจำได้ไม่ชัดเจนว่า 3 หรือ 4 คน แต่ที่แน่ๆ มีธิดาคนเดียวคือ หนูพิมพ์ เธอป่วย
ด้วยไข้เลือดออก เสียชีวิตที่ตึกเด็กโรงพยาบาลศิริราช ประมาณปี พ.ศ. 2502 จริง .... ส่วนเรื่องเด็กอ้วนๆ ที่ตายด้วยโรงอ้วนนั้น ไม่ทราบเรื่อง....”

ผมก็ถามคุณเสียง ว่า มีอะไรเกี่ยวกับหนูพิมพ์อีกไหม ผมอยากทราบ....

คุณเสียง ก็พูดว่า “เช้าวันหนึ่ง มีพระภิกษุห้ารูปจากวัดเทพศิรินทร์นี้เอง ได้เดินไปที่ร้านเสรียนต์ มี
ตาลปัตรทุกอง ค์และมีลูกศิษย์ตามไปด้วยสองสามคน พอพระมาถึงก็ก้าวเข้าไปในร้าน ลูกศิษย์ก็ร้อง
บอกว่า....'พระมาแล้วครับ'
คุณเสียงจึงถามว่า.... 'มาเรื่องอะไร?'

พระรูปหนึ่งท่านก็พูดว่า “ที่เมื่อวานนี้ ให้เด็กผู้หญิงไปนิมนต์พระมารับสังฆทานห้ารูป นิมนต์ให้มาที่นี้”
คุณเสียง ก็พูดว่า ไม่เคยให้เด็กคนไหนไปนิมนต์.... พอดีพระเหลือบไปเห็นรูปถ่ายของหนูพิมพวดีที่ติดไว้ข้างฝา ท่านก็ชี้ว่า “หนูคนนี้แหละที่ไปนิมนต์ อาตมานั่งอยู่ด้วยกันสามองค์ได้ยินชัดทั้งสามองค์ ส่วนอีกสององค์นั้น อาตมานิมนต์มาให้ครบห้าองค์ ตามที่แม่หนูบอก”

คุณเสียง ตกตะลึง และงงเป็นที่สุด จะไม่เชื่อ ก็ไม่ได้ และวันนี้เป็นวันที่ถึงแก่กรรมของหนูพิมพ์ด้วย....

พ่อแม่จะทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้อยู่แล้ว.... ฉะนั้นก็เลยเปลี่ยนเป็นถวายสังฆทาน ตามที่หนูพิมพ์ปรากฏร่าง .... ไปนิมนต์พระมา ให้เสียเลย....

ก็แปลก....วิญญาณในร่างของหนูพิมพ์ไปนิมนต์พระมาทำสังฆทานให้กับตน.... ในวันตายของตน.... คุณเสียง ถามต่อไปว่า ตอนนี้หนูพิมพ์อยู่ที่ไหน ผมก็บอกว่า “หนูพิมพ์ยังอยู่แถวๆ นี้ และมาเยี่ยมผมเกือบทุกคืน โดยมากก็ไม่เว้น แต่บางที่ก็มาตอนกลางวัน หนูพิมพ์บ่นว่าคนถือขาหยั่งที่วางพวงหรีด เอาขาหยั่งไปเกี่ยวกับระย้าโคมไฟกลางศาลาพิมพวดี ตกลงมาแตกหลายอัน พ่อเธอไม่รู้เลยไม่มีใครไปทำให้ดีเหมือนเก่า เธอเสียตายมาก”
 
ผมก็นอนอยู่ที่เตียงนี้มากว่าสิบวันแล้วไม่เคยไปนั่งในศาลาที่ว่านี้ หากจะไปงานศพที่วัดใด ผมก็มักจะนั่งข้างนอกศาลา เพราะข้างนอกเย็นดี แล้วผมจะรู้ว่าที่กลางศาลาพิมพวดี มีโคมไฟระย้าห้อยอยู่ ได้อย่างไร แล้วเดี๋ยวนี้ตกลงมาแตกหลายอัน....

คุณเสียง จึงไห้คนขับรถบึ่งไปดูโคมไฟ ว่า เป็นจริงตามที่ผมพูด หรือไม่ คนขับรถกลับมา ตอนหลังก็มาเรียนว่า “ระย้าที่ห้อยโคมไฟขาดไปหลายอัน สงสัยว่าจะตกลงมาแตก” ท่านจึงสั่งว่า “พรุ่งนี้ให้ช่างไฟไปดู แล้วไปจัดการเปลี่ยนใหม่ให้เรียบร้อย”

คุณเสียง และภรรยา นั่งอยู่อีกสักพักก็กลับ
ก่อนกลับได้ถามผมว่า หนูพิมพ์พูดหรือเปล่าว่า วิญญาณของเธอจะไปไหนต่อ....

ผมก็ตอบว่า “อีกไม่ช้าหนูพิมพ์จะไปเกิด และทีนี้จะไปเกิดเป็นผู้ชาย.... เธอคุยกับผมว่าอย่างนั้น”

พอได้ยินคำนี้ ภรรยาคุณเสียงก็ยกมือไหว้พึมพำว่า “เกิดชาติใดฉันใดขอให้มาเป็นแม่ลูกกันอีก”

ก่อนจากกัน ทั้งสองท่านได้ออกปากเชิญผมว่า ถ้าผมหายป่วยเมื่อไหร่จะเชิญผมและภรรยาไปรับประทาน
อาหารที่บ้านสักครั้ง บ้านท่านอยู่ถนนสุขุมวิท จะเป็นซอยนานาใต้ หรือไร ผมก็จำไม่ได้เสียแล้ว และเมื่อ
ผมหายป่วยในคราวนั้นกลับบ้านแล้ว ผมก็ได้ไปตามคำเชิญ โดยมีญาติมิตรท่านมาฟัง และดูหน้าตาผม....

เมื่อตอนที่จะจากกันที่ศิริราชในคืนนั้น ผมออกปากขอรูปถ่ายของหนูพิมพ์ไว้.... เพื่อจะได้ดู และอุทิศกุศลให้เธอ เวลาสวดมนต์และทำบุญกุศล.... ซึ่งผมได้ปฏิบัติดังนี้มากว่า 27 ปีแล้ว.... ซึ่งท่านก็กรุณามอบในใหญ่ขนาดโปสการ์ดให้ผมมาหนึ่งใบ.... เห็นจะเป็นเพราะว่าวันนั้นไม่ได้พักผ่อน และสนทนาพาทีกันมาก....

พอค่ำอาการปวดก็มาเยือน คราวนี้ปวดบริเวณเหนือคิ้วข้างขวามากที่สุด แล้วเลยลามไปปวดตั้งแต่ขมับไป
กึ่งกลางกระหม่อม มันทั้งแสบทั้งปวดเหมือนเอาไฟมาอัง ปวดอยู่นาน ผมนึกไปถึงหนูพิมพ์พยายามเข้าสมาธิไปมันก็ไม่ทุเลา หนูพิมพ์มาเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ พอรู้ว่าเธอมาผมก็พูดว่า “มาแล้วหรือลูก”

สองคนนั่งเฝ้าฟังอย่างเคย แต่คราวนี้พยาบาลที่ตึกมาฟังด้วย
ผมถามว่า “เมื่อไหร่จะหาย หรือหมดเวรกรรมเสียทีมันทรมานจริงๆ…”
หนูพิมพ์ก็ตอบว่า “อีกสี่ปีถึงจะพบหมอที่จะรักษาให้หายขาดได้ เมื่อนั้นก็หมดเวร แล้วก็จะมีความสุขตลอด
ไป”
ผมก็ถามต่อไปว่า “แล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ไนตอนนี้ เพราะตอนนี้ปวดมาก”
เธอตอบว่า “พรุ่งนี้ พ่อจะต้องถูกผ่าตัดอีก คราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับงวดนี้ และจะเป็นการผ่าตัดที่
ทารุณที่สุดในชีวิตพ่อ!'

ผมก็ทวนคำพูดของเธออีกว่า “พรุ่งนี้พ่อจะต้องถูกผ่าตัดอีกหรือ แล้วจะทารุณที่สุดด้วยหรือ”

ทุกคนในห้องเงียบ มีแต่ความเวทนาและสงสาร ภรรยาผมเชื่อสนิท จนถึงกับน้ำตาไหล ด้วยความรันทด ผมนั่งเอาศีรษะกดไว้ที่ขอบเตียง บางทีก็อยากจะเอากระแทกลงในที่เหล็กหัวเตียง เพราะความเจ็บปวดจิตใจตอนนี้แทบจะอดทนไม่ได้.... พยาบาลฉีดยาให้หลับตามที่หมอเวรสั่งก็หลับไป พอตื่นขึ้นก็ปวดอีกแทบตลอดคืน ผมนึกเบื่อตัวเอง แทนอาจารย์ที่ท่านตั้งใจรักษา อยากจะตายๆ เสียให้มันรู้แล้วรู้รอดไป จะได้ไม่ทรมาน แต่มันยังไม่หมดกรรมก็ต้องทนอยู่ต่อไป....



หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Southlander ที่ พฤศจิกายน 19, 2008, 03:00:36 PM
กฎแห่งกรรม
พิมพวดี สื่อวิญญาณ

5 จบ

===============================================
รุ่งเข้า 7 นาฬิกา อาจารย์ท่านก็มาเยี่ยมตามเคย พอได้รับรายงานจากพยาบาล ท่านก็ยืนนิ่งครู่หนึ่ง แล้วก็หันมาพูดกับผมว่า....

“เดี๋ยวแปดโมงเช้าเอาไปผ่าอีกที ทีนี้จะเลาะประสาทฝอยออกหมดทั้งแถบ มันคงจะไม่มีอะไรมาปวดอีก
แล้ว”

ทุกคนนิ่ง นิ่งด้วยความเวทนา นิ่งด้วยความประหลาดใจ.... และเชื่อว่าทุกครั้งที่หนูพิมพวดีมาบอกเป็นต้องไม่ผิด จะไม่เชื่อก็ไม่ได้....

ข่าวก็ออกจากปากนี้ไปปากโน้น ไปปากนั้น ว่าวิญญาณของหนูพิมพ์มาบอกล่วงหน้า ทุกที ที่จะมีการผ่าตัด
แล้วก็จริงทุกทีไป....
 

พอราว ๆ 8 นาฬิกา รถเข็นคันนั้นก็มาอีก คราวนี้พยาบาลไม่ฉีดยาให้ก่อนผ่าตัด.... ผมจึงถามพยาบาลว่าทำไมไม่ฉีดยาสลบ.... ก็ได้รับคำตอบว่า คราวนี้อาจารย์จะผ่าสดๆ ไม่ใช้ยาฉีด ไม่ใช้ยาชาใดๆ ทั้งสิ้น ผมก็ขึ้นนอนเปลไปกับเขา ....

พอถึงห้องผ่าตัด อาจารย์ท่านก็บอกว่า “ไม่รู้ประสาทฝอยเส้นไหนมันเสีย มันถึงปวด ถ้าให้ยาสลบยาชาแล้วมันก็เหมือนถอนฟันเลยไม่รู้ว่าซี่ไหนปวด.... ....เพราะฉะนั้นคราวนาจึงจะผ่าตัดโดยไม่ต้องใช้ยาชาเลย ขอให้ทนเอาหน่อย”

ผมก็นึกว่ากรรม กรรมแน่แท้ เพราะแม้แต่สัตวแพทย์เขาจะทำการผ่าตัด เขายังใช้ยาระงับความรู้สึก ระงับความปวด นี่ผมเป็นคนแท้ๆ ยังโดนแบบนี้ ว่าแล้วท่านก็เอามีดกรีดลงบนคิ้วขวาเรื่อยไป ผมสะดุ้งสุดตัวด้วยความเจ็บปวด ร้อนครวญครางออกมา....

ท่านอาจารย์ก็บอกว่า “เจ็บก็ร้องไป ตำรวจไม่จับหรอก” แล้วท่านก็ผ่าไป.... เอาคีมจับเส้นประสาททีละเส้น พอเส้นประสาทถูกคีมคีบมันก็ปวดถึงหัวใจ ผมร้องออกมาดังกว่าวัว กว่าควาย ที่กำลังถูกเชือด.... เพราะการผ่าตัดแบบนี้ เวลาดึงเส้นประสาททีไรก็สะดุ้งจนตัวลอย พยาบาลห้องผ่าตัดก็กดหัวไว้ ทั้งๆ ที่พันธนาการไว้อย่างเหนียวแน่น ....
 
ผมถูกผ่าไป ดึงประสาทไป ร้องจนสุดเสียง เพราะความเจ็บ และความปวด ทนทุกข์ทรมาน อยู่อย่างนั้น
กว่าชั่วโมง อาจารย์ท่านพยายามดึงประสาทออกให้มากที่สุด แต่ทำได้ยากเพราะมันติดกันนุงนัง เหมือนกับวุ้นเส้นที่เราเอามายำกิน ผมร้องโอดโอย ดังที่สุดในชีวิต เจ็บที่สุดในชีวิตปวดที่สุดในชีวิต และทารุณที่สุดในชีวิต เหมือนกับที่หนูพิมพ์บอกไว้ไม่มีผิด และสุดท้ายผกก็สลบไปเอง เพราะความเจ็บปวด มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อพบว่าตัวเองมาอยู่ในห้องนอนที่สายน้ำเกลือรุงรัง มีสายยางอยู่ที่จมูกที่ปาก ความปวดนั้น ยังไม่หายแม้จะหยุดผ่าตัดแล้ว แต่ความเจ็บปวดก็ยังมีอยู่ มันสุดที่จะทนทานจนต้องร้องและครางออกมาดัง ๆ….
 

ค่ำนั้น ก็ยิ่งปวดแผล ปวดระบบประสาท ปวดระบบสมอง เมื่อยไปทั้งตัวอย่างที่ไม่เคยได้เป็นมาก่อน ผมถูกฉีดยาระงับปวด ยานอนหลับ และหลับไปทั้งสายยางต่างๆ จนมาตื่นอีกทีก็ดึกโข เห็นจะราว ๆ สองยาม หรือกว่า จำได้ว่า วันที่ถูกผ่าตัดชดใช้วิบากกรรมนั้นเป็นวันพุธ ที่จำได้เพราะท่านอาจารย์ได้บอกว่า วันพฤหัสพรุ่งนี้ ไม่ว่าง ท่านติดประชุมเช้า ผ่าเสียวันพุธนี้แหละ….
 

พอตื่นขึ้นมาดังกล่าว ก็พบภรรยา และพยาบาลที่นั่งเฝ้าอยู่ ผมถามทั้งสองคนว่า “ผมยังไม่ตายอีกหรือ มันทารุณที่สุดแล้ว.…”
สองคนนั้น น้ำตาไหลเพราะความสงสาร แล้วผมก็หลับตาภาวนา พุทโธ ๆ ระงับเวทนา

พอหลับตาสักครู่ หนูพิมพ์ก็เอามือมากุมตรงที่แผลผ่าตัด และที่ปวดอยู่ ผมก็ถามเธอว่า “พ่อหมดเวร หรือยัง”
เธอตอบว่า “พ่อชดใช้กรรมตามที่เขาอาฆาตไว้มากแล้ว ต่อไปนี้จะดีขึ้น ๆ”
ผมถามต่ออีกว่า “พ่อจะถูกผ่าตัดอีกไหม”
เธอตอบว่า “ไม่มีอีกแล้ว”
“แล้วจะปวดโรคประสาทนี้อีกไหม”
เธอตอบว่า “ยังมี แต่ไม่ทารุณมากนัก จะมีอีกสี่ปี”
“แล้วจะให้พ่อทำอย่างไรต่อไป”
“ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปเรื่อยๆ ขออโหสิเขาเสียภาวนา แล้วส่งในไปแผ่ส่วนกุศลให้เขาเสมอๆ นะพ่อนะ” หนูพิมพ์ตอบ
“พ่อจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่”
“วันอาทิตย์นี้แหละจ้ะ…พ่อ”
ผมก็ถามอีกว่า “ถ้ามันยังไม่หาย จะกลับไปได้อย่างไร…”
เธอตอบว่า “ก็ยังมีกรรมเบา ๆ หลงเหลืออยู่อีก ถึงจะเป็นก็ไม่รุนแรงเท่าคราวนี้จ้ะ”
“เวลาพ่อกลับบ้านแล้ว พ่อจะเรียกให้ลูกไปหาจะได้ไหม”

“หนูจำต้องลาไปเกิดแล้ว และเป็นผู้ชายจ้ะ..แล้วลูกเข้าบ้านพ่อไม่ได้ เจ้าที่ เจ้าทาง เขาห้ามจ้ะ”

เธอตอบ ภรรยาผม และนางพยาบาลนั่งฟัง และจด ตามอย่างเคย
“หนูลาพ่อเลยนะ และทีนี้จะไม่มาอีกแล้วจ้ะพ่อ พ่ออย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขา และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย นะพ่อนะ” เสียงหนูพิมพ์แว่วๆ แต่ชัดเจนติดมาจนบัดนี้….

ก่อนที่หนูพิมพ์จะจากไปนั้น ผมได้ถามแกว่ามีอะไรขาดเหลือบ้างไหม ผมจะทำบุญอุทิศไปให้....

หนูพิมพ์บอกว่า แกไม่มีอะไรขาดเหลือ พร้อมบริบูรณ์หมด....

แต่เสียดายอยู่อย่างหนึ่งคือ แกยังทำการฝีมือไม่เสร็จ ขอให้ผมนำผ้าขาว กว้างศอกเศษ ยาวศอกเศษ ด้ายมันสีน้ำเงิน กับเข็มโครเชต์ ไปวางไว้หน้ารูปแกที่ศาลาพิมพวดี ด้วย เพราะคุณพ่อของแกเอาไปทิ้งเสียแล้ว ทั้งๆ ที่แกยังปักรูปดอกไม้ไม่เสร็จ ก็มาตายเสียก่อน….
 
ผมก็ให้ภรรยาผมจัดการนำผ้าขาว ด้ายมันสีน้ำเงินกับ เข็มโครเชต์ไปวางไว้ที่หน้ารูปแก….
 
ต่อมาไม่กี่วัน คุณเสียง โหสกุล คุณพ่อของหนูพิมพ์ ก็มาเล่าให้ผมฟังว่า มีใครก็ไม่ทราบ เอาผ้าข้าว ด้ายมัน กับเข็มโครเชต์ไปวางไว้ที่หน้ารูปหนูพิมพ์ ผมก็บอกความจริงให้ฟัง….

คุณพ่อของหนูพิมพ์ ก็ยอมรับว่า ได้เอาผ้าขาวที่หนูพิมพ์ทำการฝีมือค้างอยู่ไปทิ้งจริงๆ เพราะเห็นว่าไม่มี
ประโยชน์อะไรแล้ว
 
แล้วก็เป็นจริงอย่างที่ว่า …หนูพิมพ์ไม่ปรากฏกายให้เห็นอีกเลยอาการปวดผมก็บรรเทาเบาบางลงๆ

แม้จะไม่หายขาด ก็ยังดีกว่าเก่า… ผมนอนอยู่อีกสามวัน พอถึงวันเสาร์ตอนเช้า อาจารย์อุดมมาเยี่ยม ท่านไม่เคยหยุดงานเลย แม้วันหยุดราชการ ผมรายงานว่า “อาการปวดเบาไปแยะ แต่ก็ยังมีอยู่อีกไม่หายขาด”

ท่านก็บอกว่า “พรุ่งนี้วันอาทิตย์ จะกลับบ้านก่อนก็ได้พักฟื้นต่อไป เผื่อมีอะไรค่อยว่ากันใหม่” ผมลุกขึ้นนั่งกราบในความกรุณา แล้วท่านก็ไป ผมดีในที่จะได้กลับบ้านในวันพรุ่งนี้เช้า ทั้งๆ ที่แผลผ่าตัดต่างๆ ยังไม่หาย

ท่านบอกว่า “ทำแผลเอง เอาไหมออกเองก็แล้วกัน เป็นหมอนี่…”

คืนนั้น ผมนอนหลับได้ดีมาก อาการปวดประสาทมีรบกวนนิดหน่อย ตอนที่หลับก็หลับสนิท ไม่มีอะไรมาแผ้วพานในใจ ผมก็เข้าสมาธิต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อรู้สึกตัว….

เช้าวันอาทิตย์ ผมถวายบังคมลาสมเด็จพระราชบิดา ลาพยาบาล ลาแพทย์ที่ช่วยเหลือ…
.
ก่อนกลับบ้านผมถือรูปหนูพิมพวดีไว้ในมือ แล้วสั่งให้รถแวะไปที่วัดมกุฏกษัตริยารามก่อน เพื่อไปดูศาลา
พิมพวดี ไปดูรูปหนูพิมพ์ผู้มีพระคุณ….
 

ผมยกมือขึ้นอุทิศส่วนกุศลให้เธอ และบอกเธอว่า จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เมื่อสวดมนต์ก็จะอุทิศส่วน
กุศลให้เธอทุกวัน จนกว่าผมจะตายไป และขอให้ได้พบกันเป็นพ่อลูกทุก ๆ ชาติ….

ผมขอจบเรื่องนี้ ด้วยความเชื่อว่า ....

จิต และวิญญาณ นั้น มีจริง เพราะผมได้ประสบกับตัวเองมาแล้ว ดังที่เล่าให้ท่านฟังนี้…
ขอฝากบุญไว้ ณ ที่นี้....

ท่านที่อ่านจบแล้ว อย่าเก็บความรู้นี้ไว้ โดยเปล่าประโยชน์....
พึงเผยแพร่ ให้ผู้อื่นได้อ่าน ได้รับทราบ ต่อ ๆ กันไป....
อันจะเป็นประโยชน์แก่ท่านเอง ด้วยเป็นธรรมทาน.....
ดัง พุทธดำรัส คำตรัสสอนของสมเด็จพระประทีปแก้ว ที่ว่า....
สัพพะทานัง ธัมมะ ทานัง ชินาติ....การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง....

อันจะเป็นเหตุให้ ความสำนึกในคุณธรรม ของสังคมส่วนรวม ก็จะดีขึ้น สูงขึ้น….

ขอโมทนา คุณ ความดี กับทุก ๆ ท่านที่ตั้งใจเผยแพร่ธรรม....


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: pscn ที่ พฤศจิกายน 19, 2008, 03:34:47 PM
อ่านแล้วคนมีลูกน้ำตาแทบร่วง  ขอบคุณครับ ::014::


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ป๊อกแมน ที่ พฤศจิกายน 19, 2008, 05:07:34 PM
ขอบคุณมากๆครับ ประทับใจมากครับ ซึ้งมาก


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: RroamD ที่ พฤศจิกายน 19, 2008, 06:42:46 PM
ขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของคุณแม่พี่  Nattapol ครับ
ขออนุญาตเล่าเรื่องคุณแม่ของผมไว้ที่กระทู้ของพี่ด้วยครับ

คุณแม่ผมป่วยด้วยโรคมะเร็งตรวจพบครั้งแรกที่กระเพาะปัสสาวะ ต้องทำการรักษาด้วยการตัดออกและปัสสาวะทางหน้าท้อง คุณแม่ไม่อยากทำตามที่แพทย์แนะนำแต่ขอให้ตัดส่วนที่เป็นมะเร็งออกและเก็บกระเพาะปัสสาวะไว้ หลังจากผ่าตัดพักฟื้นจนหายเป็นปกติประมาณปีเศษก็มีอาการคลื่นไส้หลังกินอาหารมีอาการปวดหลัง ตรวจอีกครั้งพบว่าเป็นมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดลำไส้ส่วนที่เป็นมะเร็งออก คุณแม่บอกว่าไม่ไหวแล้ว แพทย์จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองด้วยเคมีบำบัดแต่ให้เพียงครั้งแรกครั้งเดียวอาการของท่านทรุดลงอย่างรวดเร็วเพราะอายุของท่าน 72 ปีแล้ว ฟื้นขึ้นจากการแพ้เคมีบำบัดท่านบอกกับแพทย์ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนแพทย์รุ่นเดียวกับพี่ชายคนที่สองของผมว่าขอยาแก้ปวดอย่างเดียว พอแล้วสำหรับคีโมไม่เอาอีกแล้วให้แกตายอย่างไม่ทรมานดีกว่า

ก่อนที่อาการไม่รู้สึกตัวจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับยาแก้ปวดและมอร์ฟีนที่ฉีดให้เพื่อแก้อาการปวดท้องปวดลำไส้อย่างรุนแรง คุณแม่ผมท่านได้สั่งเสียทุกอย่างรวมทั้งการเรียกเจ้าของร้านขายโลงศพมาให้รับปากการจัดงานศพแบบจีน โลงศพที่ท่านเลือกและจองไว้ตั้งแต่ท่านรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งครั้งแรกต่อหน้าลูกๆ ทุกคนที่ท่านเลี้ยงจนโตมีครอบครัวกันหมดแล้ว หลังจากนั้นท่านก็นอนอยู่บนเตียงของ รพ. โดยที่พยาบาลต้องคอยพลิกตัวเปลี่ยนท่านอนให้เพื่อไม่ให้เกิดอาการแผลกดทับ เช็ดตัวให้ท่าน ผมไปเยี่ยมท่านทุกวันได้เห็นทุกวันว่าท่านนอนนิ่งแต่ตาท่านไม่หลับ หายใจด้วยตัวเองได้แต่สวมหน้ากากให้อ๊อกซิเจนตลอด ผมจะเรียกท่านแบบชิดหูทุกครั้งเมื่อไปถึงห้องพิเศษและยืนข้างเตียง ท่านตอบท่านพูดไม่ได้แล้วแต่ดวงตาทั้งสองข้างของท่านยังกลอกไปมาเสมือนท่านยังได้ยินและน้ำตาจะไหลทุกครั้ง

ระหว่างที่คุณแม่พักรักษาตัวที่ รพ. ผมจะซื้อพวงมาลัยดอกมะลิ 2 พวงกลับเข้ามา พวงหนึ่งนำไปถวายสักการะที่อนุสาวรีย์ สมเด็จพระบรมราชชนก ภายใน รพ. อีกพวงหนึ่งนำไปไว้ที่หัวเตียงที่คุณแม่นอน ทำเช่นนี้ตลอดสองเดือนกว่าที่คุณแม่ใช้ขีวิตช่วงสุดท้าย

เย็นของวันที่ 16 มีนาคม 2542 เกิดอาการเลือดเป็นกรดแพทย์ให้เลือดและอาการน้ำท่วมปอดแพทย์ก็ให้ยาโดยที่ไม่ได้เจาะปอด พี่สะใภ้ผมซึ่งเคยทำงานเป็นพยาบาลหัวหน้าตึกใน รพ.เอกชนแห่งหนี่งบอกผมว่าอาการไม่ดีแล้ว ผมออกไปซื้อพวงมาลัยเหมือนเดิมแต่ .... ครั้งนี้ผมอธิษฐานกับพระบรมราชชนก ด้วยข้อความที่ว่า คุณแม่ผมรักษาตัวที่ รพ.ของท่านแห่งนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว วันนี้อาการทรุดลงมาก ข้าพระพุทธเจ้าได้ขอบารมีและพระพรจากพระองค์คุ้ครองช่วยเหลือมาตลอด บัดนี้ถ้าคุณแม่ของข้าฯ จะต้องจากโลกนี้ไปเพราะหมดอายุขัย ข้าฯ ขอให้พวงมาลัยที่จะนำขึ้นไปไว้ที่เตียงในห้องพักของคุณแม่จงเป็นหนทางให้คุณแม่ของจข้าฯ หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่ เสร็จแล้วนำพวงมาลัยขี้นไปไว้ที่หัวเตียงนอน พี่สะใภ้คนที่สองที่นอนเฝ้าคุณแม่ผมอาทิตย์ละสี่วันบอกให้ผมกลับบ้านไปพักผ่อนแล้ววันรุ่งขึ้นให้มาถึง รพ. เร็วกว่าทุกวันที่ผมมาถึงตอนบ่านสองโมงครับ

เที่ยงวันที่ 17 มีนาคม 2542 อาการของคุณแม่ทรุดลงเรื่อยๆ แพทย์และพยาบาลได้ดูแลอย่างใกล้ชิดกว่าปกติโดยมียาฉีดกระตุ้นบางอย่าง จนถึงเวลาประมาณ 15.09 น. เครื่องวัดความดันโลหิตและชีพจรซี่งติดตั้งไว้เพื่อวัดตลอดเวลามีเสียงเตือนดังขึ้น ความดันโลหิตตัวล่างลดลงอย่างรวดเร็วจาก 80 กว่าลงมาที่ 0 พยาบาลที่เฝ้าอยู่กดสัญญานฉุกเฉินเครื่องปั้มหัวใจถูกนำมาพร้อมกับพยาบาลอีกสองคนเพื่อเตรียมกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า พี่สะใภ้ผมพูดว่า น้องไม่ต้องแล้วเพราะความดันโลหิตตัวล่างของแม่ 0 แล้ว ปั้มไม่ขึ้นอยางแน่นอน ให้คุณแม่พักผ่อนและหลับสบายนะ หัวหน้าวอร์ดเข้ามาคุยกับพี่สะใภ้ผมสักครู่แล้สั่งให้นั่งอุปกรณ์ออกจากห้อง ผมยืนจับมือคุณแม่อยู่ตลอดเวลาที่ความดันเริ่มตกพร้อมกันพูดอยู่ข้างหูท่านเป็นภาษาจีนแต้จิ๋วมีความว่า แม่ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว แม่ไปไหว้พระยูไล ไหว้พระแม่กวนอิม ได้ไปพบคุณพ่อแล้ว พร้อมสวดมนต์บทสั้นนี้ นัมมอกวงสี่อิมผ่อสัก นัมมออ่อนีถ่อฮุ๊ด สามจบ คุณแม่ค่อยๆ หลับตาลงจนสนิทหลังจากที่ท่านไม่เคยหลับตาเลยเป็นเวลา 2 เดือนกว่า


2542 ถึง 2550 เป็นเวลา 8 ปีที่คุณแม่ผมจากไป ผมก็มาพบโรคเดียวและเป็นที่อวัยวะเดียวกับที่คุณแม่เป็น มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ แต่ผมตัดสินใจผ่าตัดด้วยวิธีการ กำจัดต้นตอแบบสิ้นเชิง แล้วก็มาพบการลุกลามทั้งที่กระดูกเชิงกราน+ต้นขน ที่ปอดอีก ผมเป็นพ่อที่มีลูกสาวคนเดียวอายุเพียง 9 ขวบกับแฟน เคยคิดไว้ว่าจะได้ดูวันที่ลูกสาวเรียนสำเร็จปริญญาตรี มาถึงบัดนี้ต้องต่อสู้แบบถอยไม่ได้แต่ก็เอาแน่อะไรไม่ได้เหมือนกันกับโรคที่เป็นอยู่ ไม่รู้ว่าจะได้อยู่อีก 9 ถึง 10 ปี เพื่อไปงานรับปริญญาลูกสาวหรือไม่สิครับ

ขอบคุณข้อความทุกข้อความของพี่ๆ
ผมได้อ่านและเก็บไว้เป็นข้อคิด
ด้วยความเคารพครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ พฤศจิกายน 19, 2008, 07:09:21 PM

     ขอบคุณครับพี่อารมณ์ดี ...... พี่สาวผมก็เพิ่งจากไปเมื่อเดือนพฤษภาคมนี้ด้วยโรคมะเร็งเช่นกัน


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: RroamD ที่ พฤศจิกายน 20, 2008, 12:41:55 AM

     ขอบคุณครับพี่อารมณ์ดี ...... พี่สาวผมก็เพิ่งจากไปเมื่อเดือนพฤษภาคมนี้ด้วยโรคมะเร็งเช่นกัน


เสียใจกับการสูญเสียพี่สาวครับ

ปีที่ผ่านมาก่อนเข้ารับการผ่าตัด ผมไปสองงานครับ
งานแรกเพื่อนคุณแม่ถึงแก่กรรมด้วยโรคตับวายเฉียบพลัน
งานที่สองหลานสาวผม (ลูกพี่สาวต่างแม่) อายุเท่าพี่ชายคนที่สองผมอายุ 57 ปี มะเร็งลำไส้ใหญ่หมดเงินเฉพาะค่ายาคีโมไป 3 ล้านบาทกับ รพ.เอกชนแห่งหนึ่งใน กทม. หลังผ่าต้ด ก็ยื้อชีวิตไว้ได้แค่ 2 ปีครับ :(

สำหรับผมเริ่มเรียนรู้สามคำนี้ครับพี่ปู

เกิด เจ็บ ตาย


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ พฤศจิกายน 20, 2008, 03:39:54 AM

     เรื่องการตายถือเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องประสบเมื่อถึงเวลา ..... สำหรับผมเริ่มนับอายุตัวเองถอยหลัง

     เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2540 คำนวณอายุตัวเองเหลือไม่เกิน 20,000 วัน ..... บัดนี้ผ่านไปเกือบ 12 ปีแล้ว

     ไม่มั่นใจตัวเองว่าจะอยู่ครบวันที่กำหนดไว้หรือเปล่า 


      ในส่วนของ จขกท. และ ภรรยา ผมว่าทั้งคู่มีจิตสัมผัสไม่เหมือนคนทั่วไป อาจเป็น ญาณ พิเศษเฉพาะตัว

      นับเป็นเรื่องแปลก ที่ยากจะอธิบาย  ....... ผมเชื่อเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย  เมื่อตายแล้วก็ถือว่าจบสิ้นกันไป

      วิญญาณ เป็นเรื่องเล่าที่ผมสัมผัสเองไม่ได้ จึงทำให้ไม่เชื่อ  .... เคยอ่านบทความหรือข้อเขียนต่างๆมากมาย

      แต่ก็เป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้  มีคำแนะนำให้นั่งสมาธิเมื่อถึงขั้นจะรับรู้ได้ อันนั้นคงเป็นเรื่องของแต่ละคน

      บางคนมากไปจนถึงขั้นเพี้ยนสติฟั่นเฟือน หลงตัวเองเป็นผู้วิเศษ ....... หยั่งรู้ดินฟ้า ฯลฯ ผมไม่เชื่อ แต่กลัวผี 555


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ พฤศจิกายน 20, 2008, 09:05:27 AM
ขอแสดงความเสียใจกับทุกท่านที่สูญเสียญาติไปด้วยโรคมะเร็งครับ ... พ่อผมโชคดีมาก เพราะเป็นมะเร็งที่ลำใส้ใหญ่ หมอ รพ.พระมงกุฏท่านช่วยผ่าออกไปให้ แถมยังต่อทวารได้ที่เดิมอีก นับจากวันนั้นมาก็สิบกว่าปีแล้ว ... พ่อผมถึงจะไม่แข็งแรงมาก แต่ก็กินอยู่สบาย ขับถ่ายดี แถมเถียงแม่เก่งอีกต่างหาก ....

 :)


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ พฤศจิกายน 20, 2008, 10:11:53 AM
ตอนได้ยิน สมาธิของคุณณัฐเป็นอย่างไร หรือกำลังคิดอะไรอยู่ ...

ภรรยาผมชอบฝัน ฝันว่าพบหลวงพ่อฤาษีลิงดำบ้าง ฝันว่าเข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพฯบ้าง แม้แต่ฝันว่ามีคนมาเชือดคอลูกก็เคย .... ผมฟังแล้วมักจะบอกว่า ... ก่อนนอนกินมากไป ฝันเชื่อไม่ได้ (เอาไปทำนายฝันก็ไม่ได้)

แต่ก็ขอร่วมยินดีด้วยครับ ;D

ผมกับภรรยาได้ยินตอนอยู่นครัวครับ ไม่ได้อยู่ในสมาธิแต่อย่างใด


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ พฤศจิกายน 20, 2008, 02:34:48 PM
ตอนได้ยิน สมาธิของคุณณัฐเป็นอย่างไร หรือกำลังคิดอะไรอยู่ ...

ภรรยาผมชอบฝัน ฝันว่าพบหลวงพ่อฤาษีลิงดำบ้าง ฝันว่าเข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพฯบ้าง แม้แต่ฝันว่ามีคนมาเชือดคอลูกก็เคย .... ผมฟังแล้วมักจะบอกว่า ... ก่อนนอนกินมากไป ฝันเชื่อไม่ได้ (เอาไปทำนายฝันก็ไม่ได้)

แต่ก็ขอร่วมยินดีด้วยครับ ;D

ผมกับภรรยาได้ยินตอนอยู่นครัวครับ ไม่ได้อยู่ในสมาธิแต่อย่างใด

อืม ... ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เพราะความรู้น้อย ... แต่ผมไม่ได้หมายถึงกำลังภาวนา หรือจับลมหายใจอยู่ ...

คนเรา เมื่อไม่ได้คิดอะไร จิตมักจะฟุ้ง .. คือคิดไปในเรื่องต่าง ๆ ไม่หยุดนิ่ง ... การฝึกภาวนา หรือการกำหนดลมหายใจ เป็นการฝึกตนเองให้จิตไม่ฟุ้งไป ... บางทีนั่งสมาธิอยู่ก็จริง ภาวนาไปสักพัก มันกลับมีเรื่องอื่นเข้ามาในหัว .... ....

จิตว่าง ไม่ได้ว่างจากความคิด แต่ต้องว่างจากกิเลส ..... เมื่อจิตว่างจากกิเลส จิตก็จะมีความเป็นทิพย์ ... การรับรู้ของจิตที่เป็นทิพย์นั้น .... ถูกต้อง

      แต่ก็เป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้  มีคำแนะนำให้นั่งสมาธิเมื่อถึงขั้นจะรับรู้ได้ อันนั้นคงเป็นเรื่องของแต่ละคน

      บางคนมากไปจนถึงขั้นเพี้ยนสติฟั่นเฟือน หลงตัวเองเป็นผู้วิเศษ ....... หยั่งรู้ดินฟ้า ฯลฯ ผมไม่เชื่อ แต่กลัวผี 555

 ::002::

พี่ปูบอกไว้ถูกต้องครับ บางคน "หลง" คิดว่าเป็นคุณวิเศษของตัว .... ก็เข้ารกเข้าพงไป


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ พฤศจิกายน 21, 2008, 12:33:00 PM

 อ๋อ ปกติครับคุณ jakrit ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร คุยแต่เรื่องทอดแคบหมู ครับ



หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ พฤศจิกายน 21, 2008, 12:50:22 PM
                      เมื่อนำหลักคำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ามาใช้ในการดำเนินชีวิต


* ศีล5 *
หรือ เบญจศีล เป็นศีลในลำดับเบื้องต้นในพุทธศาสนา ที่ศาสนิกชนพึงถือ ไม่เฉพาะแต่เหล่าสงฆ์เท่านั้น
ศีลห้าจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า 'นิจศีล' นั่นคือ ศีลที่ยึดถือป็นนิจ (นิตย์) ด้วยเหตุนี้
ในพิธีกรรมทั้งปวงในพุทธศาสนา หลังจากกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัยแล้ว พุทธศาสนิกพึงอาราธนาศีล และรับศีลห้าก่อนเสมอ

1. ปาณาติปาตา เวรมณี
 เว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งปวง ,
การทำร้ายสิ่งมีชีวิตด้วยกัน แม้แต่คิดหรือวางแผน ก็ถือว่าผิด

2. อทินฺนาทานา เวรมณี
เว้นจากการลักทรัพย์ เอาสิ่งที่เจ้าของไม่ให้ ,
การเบียดบัง , ฉ้อราษฎร์บังหลวง , เอาเปรียบคนอื่น แม้แต่คิดก็ถือว่าผิด

3. กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี
 เว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย เพียงแค่คิดก็ถือว่าผิด

4. มุสาวาทา เวรมณี
เว้นจากการพูดเท็จ คำหยาบ หรือ
พูดส่อเสียด รวมถึงการพูดให้คนแตกสามัคคีกันด้วย

5. สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี
เว้นจากการดื่มน้ำเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท


* พรหมวิหาร4 *
เป็นหลักธรรมประจำใจเพื่อให้ตนดำรงชีวิตได้อย่างประเสริฐและ บริสุทธิ์เฉกเช่นพรหม ประกอบด้วย

1. เมตตา
 คือความปรารถนาอยากให้ผู้อื่นมีความสุข

2. กรุณา
คือความปรารถนาอยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

3. มุทิตา
 คือความยินดีที่ผู้อื่นมีความสุขในทางที่เป็นกุศล

4. อุเบกขา
คือการวางจิตเป็นกลาง การมีเมตตา กรุณา มุทิตา เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าตนไม่สามารถช่วยเหลือผู้นั้นได้
จิตของตนจะเป็นทุกข์ ดังนั้น ตนจึงควรวางอุเบกขาทำวางใจให้เป็นกลาง และพิจารณาว่า
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมที่ได้เคยกระทำไว้ จะดีหรือชั่วก็ตาม
กรรมนั้นย่อมส่งผลอย่างยุติธรรมตามที่เขาผู้นั้นได้เคยกระทำไว้อย่างแน่นอน


* อิทธิบาท4 *
เป็นศัพท์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฐานหรือหนทางสู่ความสำเร็จ หรือ คุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ
คุณเครื่องสำเร็จสมประสงค์ ทางแห่งความสำเร็จ คุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จแห่งผลที่มุ่งหมาย มี ๔ ประการ คือ

1. ฉันทะ ( ความพอใจ )
คือ ความต้องการที่จะทำ ใฝ่ใจรักจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ และปรารถนาจะทำให้ ได้ผลดียิ่งๆขึ้นไป

2. วิริยะ ( ความเพียร )
 คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระไม่ท้อถอย

3. จิตตะ ( ความคิด )
 คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำ และทำสิ่งนั้นด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป

4. วิมังสา ( ความไตร่ตรอง หรือ ทดลอง )
 คือ หมั่นใช้ปัญญา พิจารณาใคร่ครวญ ตรวจหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น
มีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น


* อริยสัจ4 *
เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ
หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่สี่ประการ คือ

1. ทุกข์
 คือ สภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่
ชาติ (การเกิด)  , ชรา (การแก่ การเก่า) , มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น)
 การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก
การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น กล่าวโดยย่อ ทุกข์ก็คืออุปาทานขันธ์ หรือขันธ์ 5

2. สมุทัย
คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 คือ
1.กามตัณหา-ความทะยานอยากในกาม ความอยากได้ทางกามารมณ์
2.ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ
3.วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ

3. นิโรธ
คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ ดับตัณหาทั้ง 3 ได้อย่างสิ้นเชิง

4. มรรค
คือ แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มรรคอันมีองค์ประกอบอยู่แปดประการ คือ
1. สัมมาทิฏฐิ     - ความเห็นชอบ           
2. สัมมาสังกัปปะ    -  ความดำริชอบ
3. สัมมาวาจา    - เจรจาชอบ                 
4. สัมมากัมมันตะ   -  ทำการงานชอบ
5. สัมมาอาชีวะ  - เลี้ยงชีพชอบ             
6. สัมมาวายามะ      -  พยายามชอบ
7. สัมมาสติ       - ระลึกชอบ                   
8. สัมมาสมาธิ         -  ตั้งใจชอบ
ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง




* มรรค8 *
คือ หนทางถึงความดับทุกข์ เป็นส่วนหนึ่งของอริยสัจ (เรียกว่า มัคคสัจจ์ หรือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ)
และนับเป็นหลักธรรมสำคัญอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยหนทาง 8 ประการด้วยกัน
เรียกว่า "มรรคมีองค์แปด" หรือ "มรรคแปด" (อัฏฐังคิกมรรค) โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. สัมมาทิฏฐิ
คือ ปัญญาเห็นชอบ หมายถึงเห็นถูกตามความเป็นจริงด้วยปัญญา

2. สัมมาสังกัปปะ
 คือ ดำริชอบ หมายถึง การใช้สมองความคิดพิจารณาแต่ในทางกุศลหรือความดีงาม

3. สัมมาวาจา
คือ เจรจาชอบ หมายถึงการพูดสนทนา แต่ในสิ่งที่สร้างสรรค์ดีงาม

4. สัมมากัมมันตะ
 คือ การประพฤติดีงาม ทางกายหรือกิจกรรมทางกายทั้งปวง

5. สัมมาอาชีวะ
คือ การทำมาหากินอย่างสุจริตชน

6. สัมมาวายามะ
คือ ความอุตสาหะ พยายาม ประกอบความเพียรในการกุศลกรรม

7. สัมมาสติ
 คือ การไม่ปล่อยให้เกิดความพลั้งเผลอ จิตเลื่อนลอย ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวอยู่เป็นปกติ

8. สัมมาสมาธิ
คือ การฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ สงัด จากกิเลศ นิวรณ์อยู่เป็นปกติ

อริยมรรคมีองค์แปด เป็นปฏิปทาทางสายกลาง คือทางที่นำไปสู่การพ้นทุกข์ ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว
ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

* นิวรณ์5 *
แปลว่า เครื่องกั้น ใช้หมายถึงธรรมที่เป็นเครื่องปิดกั้นหรือขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี ไม่เปิดโอกาสให้ทำความดี
และเป็นเครื่องกั้นความดีไว้ไม่ให้เข้าถึงจิต เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุธรรมไม่ได้
หรือทำให้เลิกล้มความตั้งใจปฏิบัติไป

1. กามฉันท์
คือความพอใจ ติดใจ หลงใหลใฝ่ฝัน ในโลกียะสมบัติทั้งปวง ดุจคนหลับอยู่

2. พยาบาท
 คือความไม่พอใจ จากความไม่ได้สมดังปราถณาในโลกียะสมบัติทั้งปวง ดุจคนถูกทัณท์ทรมานอยู่

3. ถีนมิทธะ
คือความขี้เกียจ ท้อแท้ อ่อนแอ หมดอาลัย ไร้กำลังทั้งกายใจ ไม่ฮึกเหิม

4. อุทธัจจะกุกกุจจะ
คือความคิดซัดส่าย ตลอดเวลา ไม่สงบนิ่งอยู่ในความคิดใดๆ

5. วิจิกิจฉา
คือความไม่แน่ใจ ลังเลใจ สงสัย กังวล กล้าๆกลัว ไม่เต็มร้อย ไม่มั่นใจ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: PEE_PoL - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 21, 2008, 06:56:16 PM
ขอเเสดงความเสียใจด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: Tiger wut ที่ พฤศจิกายน 22, 2008, 12:46:49 PM
   ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ.......ไม่ค่อยได้เข้ามาในหลังแนวยิงจึงเพิ่งทราบ


  เรื่องเวียน ว่าย ตาย เกิด ลองดูอันนี้ครับ  ดีเหมือนกัน

http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=65037.0 (http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=65037.0)