หัวข้อ: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: indojeen@รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 01, 2008, 10:36:32 PM เป็นคำพูดของนักโทษชายที่หนีคดีอาญาแผ่นดินกับโฆษกรายการความเท็จไปวัน ๆ ::013::
ที่ทำทอร์คโชว์กลางกรุงเทพฯ วันนี้ :<< นายวีระ ได้พูดกับ พ.ต.ท.ทักษิณว่า ถ้าประชาชนเรียกร้องอย่างสันติและสงบ ให้คนมีฝีมือมาทำงานให้ชาติ ก็น่าจะเป็นไปได้ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวตอบว่า แน่นอนครับ ไม่มีใครเอาผมกลับมาได้ นอกจากพระบารมี พระเมตตา รวมทั้งพลังของพี่น้องประชาชน ที่จะเอาผมกลับ นายวีระ จึงพูดต่อว่า มีคำพูดที่กินใจ คือ การอาศัยพลังบารมีของพระองค์ท่านกับพลังของประชาชนรากหญ้า นั่นคือ ราชประชาสมาศรัย พ.ต.ท.ทำษิณ ได้กล่าวตอบว่า ผมฟังแล้วขนลุกครับ เรียกว่า เย็นศิระเพราะพระบริบาล นายวีระ จึงกล่าวย้ำว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นแน่ เราจะได้เห็นแน่ ราชประชาสมาศรัย มันบังอาจจริง ๆ ครับ จะเอายังงัยกับพวกนี้ดี ::012:: ::012:: ::012:: หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ที่ พฤศจิกายน 01, 2008, 11:15:40 PM ผู้พูดด้วยวัตถุประสงค์ใดคงพอทราบกันได้...........
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: meethai ที่ พฤศจิกายน 01, 2008, 11:21:29 PM โถทำเป็นอ้าง ชักใจอ่อนซะแล้วนะนี่
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: puip ที่ พฤศจิกายน 01, 2008, 11:21:40 PM ราชประชาสมาสัย
ชัยอนันต์ สมุทวณิช (สยามรัฐ วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๖) การที่ระบบการเมืองไทยขาดรัฐบาลที่มีความชอบธรรมมานานเป็นสาเหตุให้มีผู้พยายามเสนอวิธีการใหม่ๆหลายอย่างที่จะสร้างเสริมฐานะของรัฐบาล ให้รับผิดชอบต่อปวงชนโดยสมบูรณ์ เช่น การเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรงเป็นต้น ความระส่ำระสายในวงการเมือง ความไม่มั่นคงของพรรคการเมือง ความไม่รับผิดชอบของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การแผ่อำนาจเกินขอบเขตของผู้บริหารและระบบราชการ ล้วนแต่มีส่วนทำให้ประชาชนขาดศรัทธาในการเมืองเป็นส่วนรวม อาจกล่าวได้ว่า สถาบันทางการเมืองในปัจจุบันไม่อาจทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนของประชาชนที่จะเชื่อมโยงและสะท้อนถึงผลประโยชน์ของประชาชนได้ การเมืองนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงต่อชีวิตของประชาชนในชาติ แต่วงการเมืองไทยเท่าที่ผ่านมาได้ถูกจำกัดให้เป็นเวทีที่บุคคลและกลุ่มบุคคลเพียงจำนวนน้อยผลัดเปลี่ยนกันแย่งชิงอำนาจ และฉกผลประโยชน์ของประชาชนตลอดมา ประชาชนส่วนใหญ่ถูกกีดกันให้อยู่นอกวงการเมือง ๔๐ กว่าปี ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งไม่กี่ครั้ง แต่ละครั้ง จบลงด้วยการยึดอำนาจของทหารตามอำเภอใจ ผู้แทนราษฎรที่ประชาชนฝากชีวิตไว้ทำความผิดหวังให้ผู้เลือก พรรคการเมืองเป็นแต่เพียงการรวมกลุ่มกันตามแบบพิธีการของบุคคลผู้มีอำนาจเพียงไม่กี่คน ผลที่ตามมาจากสภาพการเหล่านี้ได้แก่ ความท้อแท้ สิ้นหวัง สิ้นศรัทธาในระบบการปกครองที่เรียกว่า ประชาธิปไตย ประชาชนเริ่มถามตัวเองว่าเราได้เปลี่ยนสภาพมาเป็นผู้มีศักดิ์ มีสิทธิ์ และเสรีภาพโดยสมบูรณ์จริงหรือไม่ ในขณะที่สถาบันการเมืองแบบใหม่เสื่อมลงเป็นลำดับ สถาบันดั้งเดิมที่ถูกล้มล้างอำนาจอันเด็ดขาดไปได้พยายามปรับปรุงบทบาทให้เหมาะสมกับสภาพการที่เปลี่ยนไปทีละน้อยๆ ในขณะที่ศรัทธาของประชาชนในรัฐสภา พรรคการเมือง รัฐบาล และระบบราชการลดน้อยถอยลง พลังของประชาชน ความหวังใหม่ได้มุ่งไปสู่สถาบันเก่าแก่ที่มีอยู่ในสังคมไทยมาเป็นเวลาช้านาน สถาบันกษัตริย์กลายเป็นทางเลือกของบุคคลจำนวนมาก ประชาชนทุกระดับเริ่มเรียกร้องให้พระมหากษัตริย์มีบทบาททางการเมืองยิ่งขึ้น ในเวลาที่รัฐบาลห่างเหินประชาชน พระมหากษัตริย์กับราษฎรมีความใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นทุกขณะ แม้ว่าเสียงเรียกร้องจะมีมากมายที่จะให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจเพิ่มขึ้นก็ตาม การเข้ารับเป็นฉนวนปกป้องราษฎรจากการขยายอำนาจเกินขอบเขตของรัฐบาล ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์สามารถเป็นพลังการเมืองที่มีอิทธิพลอย่างแท้จริง มาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๑๐ ปีที่ผ่านมา ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นจุดสุดยอดของการสั่งสมบารมีดังกล่าว และการเข้ารับภารกิจในการนำประเทศโดยตรง ด้วยการทรงเลือกและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีด้วยพระองค์เองเป็นครั้งแรก จึงเป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญจากประชาชนโดยทั่วไป โดยเหตุที่ประชาชนขาดศรัทธาในสถาบันทางการเมืองอื่นๆ ความหวังของประชาชนจึงมุ่งตรงมาที่สถาบันพระมหากษัตริย์แต่เพียงแห่งเดียว ด้วยความปรารถนาที่จะมอบพระราชอำนาจที่มีต่อระบบการเมืองมากขึ้น หลายคนมีความเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์จะช่วยให้การเมืองไทยในอนาคตดีกว่าที่เป็นอยู่ ประชาชนจำนวนมากแสดงความเห็นมายังคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญว่า รัฐธรรมนูญควรให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมดตามพระราชอัธยาศัย เพราะไม่ไว้วางใจรัฐบาล และพรรคการเมือง ถ้าจะให้สภาสูงเป็นกลางทางการเมือง เป็นสภาแห่งเหตุผลและช่วยประคับประคองสภาผู้แทนราษฎรอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ควรให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจเด็ดขาดในการเลือกและแต่งตั้งสมาชิกแห่งสภานั้น ในทำนองเดียวกัน ก็มีผู้แสดงความห่วงใยด้วยความจงรักภักดีอย่างแท้จริงที่ว่าความคิดดังกล่าว หากนำมาปฏิบัติแล้วอาจเป็นการนำพระมหากษัตริย์ลงมาเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งเป็นการไม่บังควรอย่างยิ่ง เนื่องจากพระองค์ท่านทรงอยู่เหนือการเมือง ความคิดทั้งสองประการนี้ ก่อให้เกิดแนวทางใหม่ซึ่งเป็นทางสายกลาง เราอาจเรียกวิธีการหรือระบบใหม่นี้ว่า ราชประชาสมาสัย กล่าวคือ พระมหากษัตริย์ และ ประชาชน ร่วมกันปกครองประเทศ โดยมีรากฐานแห่งความชอบธรรมจากปวงชนผ่านทางสภาผู้แทนราษฎร ระบบใหม่นี้ใช้เฉพาะวุฒิสภา โดยคณะองคมนตรีซึ่งมีความเป็นกลางทางการเมือง และเป็นผู้ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไว้วางพระราชหฤทัย จะเป็นผู้เลือกสรรบุคคลจากอาชีพต่างๆ ที่มีคุณธรรม ความสามารถจำนวนหนึ่ง และเสนอรายชื่อบุคคลเหล่านี้ให้สภาผู้แทนราษฎรเลือกอีกชั้นหนึ่ง จำนวนบุคคลที่องคมนตรีเสนอไปนี้จะมีมากกว่าที่จะต้องได้รับเลือก อาจเป็น ๓ เท่า (วุฒิสภามีจำนวน ๑๐๐ คน คณะองคมนตรีจะเสนอชื่อไป ๓๐๐ ชื่อ) เมื่อสภาผู้แทนฯเลือกแล้ว ประธานสภาจะเป็นผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการในการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาต่อไป วิธีการเช่นนี้มีผลดีหลายประการ และจะทำให้วุฒิสภามีคุณสมบัติตามที่ประชาชนต้องการ คือ ๑. วุฒิสภาจะประกอบด้วยบุคคลจากอาชีพต่างๆที่มีคุณธรรม ความสามารถ และไม่ฝักใฝ่กับพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดโดยเฉพาะ ๒. เปิดโอกาสให้บุคคลจากกลุ่มอาชีพที่เสียเปรียบในสังคมแต่เป็นชนกลุ่มใหญ่ที่มีความสำคัญ เช่น ชาวนา ได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในรัฐสภา ๓. การที่คณะองคมนตรี เสนอรายชื่อให้สภาผู้แทนราษฎรเลือก เท่ากับทำให้วุฒิสภาได้รับอาณัติจากปวงชนโดยทางอ้อม และก่อให้เกิดความชอบธรรมในการปฏิบัติงาน ๔. การที่คณะองคมนตรีซึ่งเป็นผู้แทนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้เลือกวุฒิสมาชิก จะทำให้ผู้ได้รับเลือกระลึกอยู่เสมอว่า จะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ และมุ่งให้เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรมต่อประชาชนอย่างแท้จริง ราชประชาสมาสัยเป็นทางสายกลาง เป็นแนวทางใหม่สำหรับระบบการเมืองไทย ซึ่งเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการทางการเมืองและสังคมไทย สงสัยถ้า "ราชประชาสมาสัย" เกิดขึ้นจริง นายวีระ กับ นายทักษิณ จะอกแตกตายซะมากกว่า หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: C.J. - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 01, 2008, 11:29:34 PM การพูดครั้งนี้... เป็นการแอบอ้างสถาบัน .. อย่างแนบเนียน...
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: indojeen@รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 01, 2008, 11:35:38 PM ราชประชาสมาสัย ชัยอนันต์ สมุทวณิช (สยามรัฐ วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๖) การที่ระบบการเมืองไทยขาดรัฐบาลที่มีความชอบธรรมมานานเป็นสาเหตุให้มีผู้พยายามเสนอวิธีการใหม่ๆหลายอย่างที่จะสร้างเสริมฐานะของรัฐบาล ให้รับผิดชอบต่อปวงชนโดยสมบูรณ์ เช่น การเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรงเป็นต้น ความระส่ำระสายในวงการเมือง ความไม่มั่นคงของพรรคการเมือง ความไม่รับผิดชอบของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การแผ่อำนาจเกินขอบเขตของผู้บริหารและระบบราชการ ล้วนแต่มีส่วนทำให้ประชาชนขาดศรัทธาในการเมืองเป็นส่วนรวม อาจกล่าวได้ว่า สถาบันทางการเมืองในปัจจุบันไม่อาจทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนของประชาชนที่จะเชื่อมโยงและสะท้อนถึงผลประโยชน์ของประชาชนได้ การเมืองนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงต่อชีวิตของประชาชนในชาติ แต่วงการเมืองไทยเท่าที่ผ่านมาได้ถูกจำกัดให้เป็นเวทีที่บุคคลและกลุ่มบุคคลเพียงจำนวนน้อยผลัดเปลี่ยนกันแย่งชิงอำนาจ และฉกผลประโยชน์ของประชาชนตลอดมา ประชาชนส่วนใหญ่ถูกกีดกันให้อยู่นอกวงการเมือง ๔๐ กว่าปี ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งไม่กี่ครั้ง แต่ละครั้ง จบลงด้วยการยึดอำนาจของทหารตามอำเภอใจ ผู้แทนราษฎรที่ประชาชนฝากชีวิตไว้ทำความผิดหวังให้ผู้เลือก พรรคการเมืองเป็นแต่เพียงการรวมกลุ่มกันตามแบบพิธีการของบุคคลผู้มีอำนาจเพียงไม่กี่คน ผลที่ตามมาจากสภาพการเหล่านี้ได้แก่ ความท้อแท้ สิ้นหวัง สิ้นศรัทธาในระบบการปกครองที่เรียกว่า ประชาธิปไตย ประชาชนเริ่มถามตัวเองว่าเราได้เปลี่ยนสภาพมาเป็นผู้มีศักดิ์ มีสิทธิ์ และเสรีภาพโดยสมบูรณ์จริงหรือไม่ ในขณะที่สถาบันการเมืองแบบใหม่เสื่อมลงเป็นลำดับ สถาบันดั้งเดิมที่ถูกล้มล้างอำนาจอันเด็ดขาดไปได้พยายามปรับปรุงบทบาทให้เหมาะสมกับสภาพการที่เปลี่ยนไปทีละน้อยๆ ในขณะที่ศรัทธาของประชาชนในรัฐสภา พรรคการเมือง รัฐบาล และระบบราชการลดน้อยถอยลง พลังของประชาชน ความหวังใหม่ได้มุ่งไปสู่สถาบันเก่าแก่ที่มีอยู่ในสังคมไทยมาเป็นเวลาช้านาน สถาบันกษัตริย์กลายเป็นทางเลือกของบุคคลจำนวนมาก ประชาชนทุกระดับเริ่มเรียกร้องให้พระมหากษัตริย์มีบทบาททางการเมืองยิ่งขึ้น ในเวลาที่รัฐบาลห่างเหินประชาชน พระมหากษัตริย์กับราษฎรมีความใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นทุกขณะ แม้ว่าเสียงเรียกร้องจะมีมากมายที่จะให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจเพิ่มขึ้นก็ตาม การเข้ารับเป็นฉนวนปกป้องราษฎรจากการขยายอำนาจเกินขอบเขตของรัฐบาล ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์สามารถเป็นพลังการเมืองที่มีอิทธิพลอย่างแท้จริง มาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๑๐ ปีที่ผ่านมา ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นจุดสุดยอดของการสั่งสมบารมีดังกล่าว และการเข้ารับภารกิจในการนำประเทศโดยตรง ด้วยการทรงเลือกและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีด้วยพระองค์เองเป็นครั้งแรก จึงเป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญจากประชาชนโดยทั่วไป โดยเหตุที่ประชาชนขาดศรัทธาในสถาบันทางการเมืองอื่นๆ ความหวังของประชาชนจึงมุ่งตรงมาที่สถาบันพระมหากษัตริย์แต่เพียงแห่งเดียว ด้วยความปรารถนาที่จะมอบพระราชอำนาจที่มีต่อระบบการเมืองมากขึ้น หลายคนมีความเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์จะช่วยให้การเมืองไทยในอนาคตดีกว่าที่เป็นอยู่ ประชาชนจำนวนมากแสดงความเห็นมายังคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญว่า รัฐธรรมนูญควรให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมดตามพระราชอัธยาศัย เพราะไม่ไว้วางใจรัฐบาล และพรรคการเมือง ถ้าจะให้สภาสูงเป็นกลางทางการเมือง เป็นสภาแห่งเหตุผลและช่วยประคับประคองสภาผู้แทนราษฎรอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ควรให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจเด็ดขาดในการเลือกและแต่งตั้งสมาชิกแห่งสภานั้น ในทำนองเดียวกัน ก็มีผู้แสดงความห่วงใยด้วยความจงรักภักดีอย่างแท้จริงที่ว่าความคิดดังกล่าว หากนำมาปฏิบัติแล้วอาจเป็นการนำพระมหากษัตริย์ลงมาเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งเป็นการไม่บังควรอย่างยิ่ง เนื่องจากพระองค์ท่านทรงอยู่เหนือการเมือง ความคิดทั้งสองประการนี้ ก่อให้เกิดแนวทางใหม่ซึ่งเป็นทางสายกลาง เราอาจเรียกวิธีการหรือระบบใหม่นี้ว่า ราชประชาสมาสัย กล่าวคือ พระมหากษัตริย์ และ ประชาชน ร่วมกันปกครองประเทศ โดยมีรากฐานแห่งความชอบธรรมจากปวงชนผ่านทางสภาผู้แทนราษฎร ระบบใหม่นี้ใช้เฉพาะวุฒิสภา โดยคณะองคมนตรีซึ่งมีความเป็นกลางทางการเมือง และเป็นผู้ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไว้วางพระราชหฤทัย จะเป็นผู้เลือกสรรบุคคลจากอาชีพต่างๆ ที่มีคุณธรรม ความสามารถจำนวนหนึ่ง และเสนอรายชื่อบุคคลเหล่านี้ให้สภาผู้แทนราษฎรเลือกอีกชั้นหนึ่ง จำนวนบุคคลที่องคมนตรีเสนอไปนี้จะมีมากกว่าที่จะต้องได้รับเลือก อาจเป็น ๓ เท่า (วุฒิสภามีจำนวน ๑๐๐ คน คณะองคมนตรีจะเสนอชื่อไป ๓๐๐ ชื่อ) เมื่อสภาผู้แทนฯเลือกแล้ว ประธานสภาจะเป็นผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการในการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาต่อไป วิธีการเช่นนี้มีผลดีหลายประการ และจะทำให้วุฒิสภามีคุณสมบัติตามที่ประชาชนต้องการ คือ ๑. วุฒิสภาจะประกอบด้วยบุคคลจากอาชีพต่างๆที่มีคุณธรรม ความสามารถ และไม่ฝักใฝ่กับพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดโดยเฉพาะ ๒. เปิดโอกาสให้บุคคลจากกลุ่มอาชีพที่เสียเปรียบในสังคมแต่เป็นชนกลุ่มใหญ่ที่มีความสำคัญ เช่น ชาวนา ได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในรัฐสภา ๓. การที่คณะองคมนตรี เสนอรายชื่อให้สภาผู้แทนราษฎรเลือก เท่ากับทำให้วุฒิสภาได้รับอาณัติจากปวงชนโดยทางอ้อม และก่อให้เกิดความชอบธรรมในการปฏิบัติงาน ๔. การที่คณะองคมนตรีซึ่งเป็นผู้แทนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้เลือกวุฒิสมาชิก จะทำให้ผู้ได้รับเลือกระลึกอยู่เสมอว่า จะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ และมุ่งให้เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรมต่อประชาชนอย่างแท้จริง ราชประชาสมาสัยเป็นทางสายกลาง เป็นแนวทางใหม่สำหรับระบบการเมืองไทย ซึ่งเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการทางการเมืองและสังคมไทย สงสัยถ้า "ราชประชาสมาสัย" เกิดขึ้นจริง นายวีระ กับ นายทักษิณ จะอกแตกตายซะมากกว่า นี่แหละครับของจริง สมาชิกผ่านไปมา โปรดแจกจ่าย และส่ง mail ต่อ ๆ กันไปด้วย ผมละเอือมละอากับพฤติกรรมที่เหิมเกริมนี้จริง ๆ หลายครั้ง หลายคราแล้ว คงไม่ต้องหวังพึ่งสีเขียวสีกากีแล้วครับ เหนื่อยใจจริง ๆ หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: C.J. - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 02, 2008, 12:19:42 AM ข่าว นปช. จะยื่น ฏีกา นาย สมัคร..
นช. ทักษิณ.. ก็คงเช่นกัน... หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: puip ที่ พฤศจิกายน 02, 2008, 12:45:23 AM ยื่นฏีกาเพื่อนายทักษิณไม่ได้ครับ เพราะยังไม่ได้ร้บโทษ (ถูกจองจำ) ยังถือว่าหนีคดีอยู่ไม่เข้าระเบียบในการขอพระราชทานอภัยโทษแต่อย่างใดครับ
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: บาร์ท รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 02, 2008, 07:04:42 AM อยากให้นายเหลี่ยมกลับไทยเร็วๆครับ
แต่ถ้ากลับแล้ว ติดคุกตลอดชีวิต ไม่มีข้อยกเว้นนะ แล้วก็ดึงเบื้องสูงมาเกี่ยวข้องจนได้ ไอ้เลว >:( หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: น้าพงษ์...รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 02, 2008, 07:22:23 AM ..ดิ้นรน.สุดชีวิต.... ;D...... :D
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: Thanapong รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 02, 2008, 07:39:44 AM เขาเรียกว่าใช้คำพูดไม่เป็นครับ ไม่รู้ความหมายของคำ ๆ นี้ แล้วเอามาพูด
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: Sticker ที่ พฤศจิกายน 02, 2008, 08:37:02 AM ดึงสถาบันเบื้องสูง ให้เข้ามาเกี่ยวข้องจนได้ .
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: coffee cup ที่ พฤศจิกายน 02, 2008, 09:08:43 AM มันกล้ามาก >:(
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: Choro - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 02, 2008, 11:03:37 AM ทำแบบนี้ คนยิ่งเกลียดมันเพิ่มขึ้นอีกเยอะ
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: ๏แก้วเดียวจุก๏รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 02, 2008, 11:04:25 AM การพูดครั้งนี้... เป็นการแอบอ้างสถาบัน .. อย่างแนบเนียน... เห็นด้วยครับ มันพูดให้คิดได้สองด้านเสมอ ชั่วไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ เมื่อไหร่มันจะตายๆกันไปซะให้หมด หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: ฮิวโก้ ที่ พฤศจิกายน 02, 2008, 12:06:48 PM เหลี่ยมจัด ::008::
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: ตึก ที่ พฤศจิกายน 02, 2008, 12:12:18 PM ไม่มีความเหมาะสมที่จะดึงพระบารมีของในหลวงมาเกี่ยวข้องกับความชั่วที่ตัวเองทำเลย
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: planet ที่ พฤศจิกายน 02, 2008, 01:09:35 PM มันยังไม่สำนีก..........อีก........สงสัยต้องตายก่อน
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: xiehua dun ที่ พฤศจิกายน 02, 2008, 01:25:05 PM น่าจะถูกธรณีสูบถึงจะสำนึก
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: birdwhistle...รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 02, 2008, 03:01:15 PM ไอ้นักโทษชายคนนี้มัน "เห้...บริสุทธิ์ ไม่มีตะกวดปนจริง ๆ "
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: SSG 69 รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 02, 2008, 07:11:53 PM ผมว่าน่าจะใช้คำนำหน้าว่า...นช.ทักษิณ..นะ :DD :DD :DD
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: จานบิน รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 02, 2008, 09:46:00 PM ::013::
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ พฤศจิกายน 03, 2008, 09:31:39 AM น่าจะเอาเทปป้าเพ็ญ กับไอ้ดา ไปเปิดให้ฟังพร้อม ๆ กัน ....
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: สราโท ที่ พฤศจิกายน 03, 2008, 12:44:53 PM "ประชาชนรากหญ้า"แค่คำพูดก็แบ่งชั้นวรรณะเสียแล้ว
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: กระบี่เดียวดาย+รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 03, 2008, 12:52:26 PM ปากกล้า...หน้าด้าน....ต้องยกให้.....นช.ทักษิณ.... ::009::
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 03, 2008, 01:10:33 PM การพูดครั้งนี้... เป็นการแอบอ้างสถาบัน .. อย่างแนบเนียน... เห็นด้วยครับ มันพูดให้คิดได้สองด้านเสมอ ชั่วไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ เมื่อไหร่มันจะตายๆกันไปซะให้หมด อ่านเกมส์ไม่ออกหรือครับ คุณทักษิณ ไม่เคยลงทุนอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทน ค่าใช้จ่ายที่หัวหมาก เฉพาะค่าของที่ยังไม่รวมค่าหัวคนที่มาร่วม อยู่ในราวสองร้อยล้านบาท นี่เป็นก้าวแรกของการเริ่มใช้พลังฝูงชนมากดดันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้พระราชทานอภัยโทษ หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: Pandanus ที่ พฤศจิกายน 03, 2008, 01:26:55 PM อ่านเกมส์ไม่ออกหรือครับ คุณทักษิณ ไม่เคยลงทุนอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทน ค่าใช้จ่ายที่หัวหมาก เฉพาะค่าของที่ยังไม่รวมค่าหัวคนที่มาร่วม อยู่ในราวสองร้อยล้านบาท นี่เป็นก้าวแรกของการเริ่มใช้พลังฝูงชนมากดดันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้พระราชทานอภัยโทษ ชั้นเชิงของนักธุรกิจชั้นปรมาจารย์ ที่คนส่วนใหญ่ของสังคมนี้ ไม่มีวันหยั่งถึง อย่าว่าแต่จะก้าวสกัดเลย แค่คิดตามให้ทันก็เป็นไปได้ยากแล้ว นั่นคือคำตอบ ว่า ทำไมคนในสังคม จึงยังดิ้นรนหาเลี้ยงชีพกันหลายสิบปี โดยไม่ได้รวยขึ้นจากตอนเริ่มต้นเลย แต่คุณทักษิณ ตอนเริ่มต้นมีมาเท่าไหร่ นาทีที่ถึงจุดสูงสุดเท่าไหร่ ใช้เวลาเท่าไหร่ กลับไปอ่านหัวข้อกระทู้แล้ว....... รู้สึกจะอ่อน ๆ ไป น่าจะหนักหน่วง รุนแรงกว่านี้อีก ::004:: หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: ...อภิสิทธิ์ ... ที่ พฤศจิกายน 03, 2008, 01:35:52 PM เห็นด้วยครับท่านผู้การ ประกอบกับช่วงนี้ทางสภาโดยวิปรัฐบาลนายวิทยาและนายอะไร โง่นคำ ก็กำลังเร่งกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ คงอีกวันสองวันนี้มีเฮอีกรอบครับ พวกเสื้อแดงคงกลัวคนออกมาคัดค้านกันเยอะก็เลยรวมตัวเบ่งกล้ามขู่ครับ
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: a lone wolf ที่ พฤศจิกายน 03, 2008, 01:36:06 PM การพูดครั้งนี้... เป็นการแอบอ้างสถาบัน .. อย่างแนบเนียน... เห็นด้วยครับ มันพูดให้คิดได้สองด้านเสมอ ชั่วไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ เมื่อไหร่มันจะตายๆกันไปซะให้หมด อ่านเกมส์ไม่ออกหรือครับ คุณทักษิณ ไม่เคยลงทุนอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทน ค่าใช้จ่ายที่หัวหมาก เฉพาะค่าของที่ยังไม่รวมค่าหัวคนที่มาร่วม อยู่ในราวสองร้อยล้านบาท นี่เป็นก้าวแรกของการเริ่มใช้พลังฝูงชนมากดดันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้พระราชทานอภัยโทษ ผมเสนอให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ไม่ต้องมีปฏิกิริยาตอบสนอง ขั้นต่อไปเดาว่ามันจะตั้งโต๊ะล่าลายชื่อประชาชน ทั่วทุกจังหวัด (อาจจะยกเว้นภาคใต้บางจังหวัด) แล้วตีข่าวว่ามหาชนร่วมลงชื่อเพื่อถวายฏีกาต่อในหลวง ซึ่งก็คงห้ามไม่ได้เพราะประชาชนไทยทุกคนมีสิทธิลงลายชื่อขอพระราชทานสิ่งใดจากพระมหากษัตริย์ก็ได้ เดาเช่นกันว่า ข่าวเรื่องชื่อต้องออกมาว่านับล้านรายชื่อ น่าจะมีตัวแทนส่งเข้ามาที่ราชเลขาธิการฯ เหมือนกับที่นักโทษประหารมักจะถวายฏีกาครั้งสุดท้ายเพื่อขอพระราชทานชีวิต (แต่นั่นทำเป็นรายๆไป การมีคนลงชื่อร่วมอาจจะมีน้อยกรณี) ทั้งสิ้นทั้งปวงขึ้นอยู่กับพระราชวินิจฉัย เป็นที่สุด ::014:: คนไทยส่วนใหญ่คงไม่ยอมให้ใครมากดดันในหลวงได้แน่ ขอทำนายไว้ตรงนี้ ถึงตอนนี้ผมก็มิอาจก้าวล่วงต่อไปได้แล้วครับ ด้วยอาจจะเข้าข่ายละเมิดพระราชอำนาจ แต่ขอแสดงความเห็นว่า "ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดูแล ต้องใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว" หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: a lone wolf ที่ พฤศจิกายน 03, 2008, 01:45:01 PM เสริมนิดนึง
ถ้าการตอบรับต่อการล่ารายชื่อมีแค่ความเงียบ ทายกันไหมครับ ไอ้พวกนั้นจะดิ้นต่ออย่างไร หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: คมขวาน รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 03, 2008, 01:50:02 PM น่ากลัวจริง ๆ ครับ อำนาจเงิน
มันบดบังตาทั้งเจ้าของเงิน รวมทั้งผู้รับเงิน รอดูก้าวต่อไปจะเป็นยังไง หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: กระบี่เดียวดาย+รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 03, 2008, 10:41:14 PM มันคงใช้เงินล่อให้คนไปร่วมลงชื่อ......เหมือนที่มันเคยซื้อเสียงในการเข้าสู่สภาฯ ::009::
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: สราโท ที่ พฤศจิกายน 04, 2008, 11:09:51 AM หลอกเอาเงินมันให้หมดแล้วคอยเช็คบิล
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: indojeen@รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 06, 2008, 10:28:36 AM ตำรวจสันติบาลสอบแล้วว่าวันที่ 1 ที่ผ่านมา การ phone in ดังกล่าว "ไม่หมิ่น" :OO :OO :OO
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: Chayanin-We love the king ที่ พฤศจิกายน 06, 2008, 10:38:52 AM ทักษิณ มีข้อดีอยู่อย่างคือ
เป็นคนเลวได้ดีมาก ๆ มีความอดทน ขยัน พากเพียร ฉลาด ในการทำความเลว หายากนะครับ คนแบบนี้ หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: C.J. - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 06, 2008, 01:28:57 PM กม.นิรโทษกรรม...
ไอ่พวกนี้.. มันเลวได้ใจ จริงๆ หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: C.J. - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 06, 2008, 01:41:50 PM เปิดร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ช่วย "แม้ว-บิ๊ก ทรท." คืนการเมือง
หมายเหตุ : รายละเอียดร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมซึ่ง ส.ส.พรรคพลังประชาชน กลุ่ม "เพื่อนเนวิน" ร่วมกันยกร่างขึ้นมาก่อนนำไปล่าชื่อประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวน 10,000 ชื่อ ยื่นเสนอสภาผู้แทนราษฎรในเร็วๆ นี้ สาระสำคัญคือช่วยเหลือให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งเคยเป็นข้าราชการการเมือง พ้นจากการถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเมื่อปี 2550 เป็นเวลา 5 ปี บันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตามคำวินิจฉัย ที่ 3-5/2550 วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 เฉพาะผู้ที่เคยเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองและข้าราชการการเมือง พ.ศ. .... หลักการ ให้มีกฎหมายว่าด้วยนิรโทษกรรมแก่ผู้ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตามคำวินิจฉัย ที่ 3-5/2550 วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 เฉพาะผู้ที่เคยเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองและข้าราชการการเมือง เหตุผล โดยที่การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นมาตรการการลงโทษทางการเมือง เพื่อป้องกันมิให้ผู้ถูกลงโทษเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แม้จะเป็นมาตรการที่เหมาะสมกับสภาวการณ์ทางการเมืองปัจจุบัน แต่กรณีการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคการเมืองเป็นหมู่คณะ เนื่องจากกฎหมายให้ถือว่าเป็นผู้ร่วมดำเนินกิจการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เพราะมีข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อได้ว่ามีส่วนร่วมหรือรู้หรือกับการกระทำฝ่าฝืนต่อกฎหมายตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3-5/2550 อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเมืองและส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคการเมืองที่เคยเป็นข้าราชการการเมืองที่มีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์ ทำให้ประเทศชาติขาดแคลนบุคลากรทางการเมืองที่จะช่วยให้การบริหารประเทศเป็นไปโดยมีประสิทธิภาพ ประกอบกับการที่ต้องรับผลของกฎหมายซึ่งให้ถือว่าเป็นผู้ร่วมดำเนินกิจการอันฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ทั้งๆ ที่ตนเองอาจไม่รู้เห็นหรือไม่มีความเกี่ยวข้องในขณะที่มีการกระทำความผิดอันเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองซึ่งนำไปสู่การเพิกถอนสิทธเลือกตั้งและตัดสิทธิทางการเมืองห้าปี จึงเป็นการสมควรนิรโทษกรรมแก่ผู้ถูกเพิกถอนสิทธเลือกตั้งดังกล่าวเพื่อให้โอกาสกลับมาทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติตามการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต่อไป จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ สาระ โดยที่เป็นการสมควรนิรโทษกรรมแก่ผู้ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตามคำวินิจฉัย ที่ 3-5/2550 วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 เฉพาะผู้ที่เคยเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองและข้าราชการการเมือง มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตามคำวินิจฉัย ที่ 3-5/2550 วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 เฉพาะผู้ที่เคยเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองและข้าราชการการเมือง พ.ศ. ..." มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา 3 บรรดาการกระทำใดๆ ของกรรมการบริหารพรรคการเมืองอันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ซึ่งถือเสมือนว่าเป็นการดำเนินกิจการในนามของกรรมการบริหารพรรคการเมืองทั้งคณะที่มีผลผูกพันต่อพรรคการเมืองซึ่งตนสังกัด อันเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคการเมืองทั้งคณะตามคำวินิจฉัยที่ 3-5/2550 วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตามวรรคหนึ่งไม่ว่าจะเป็นเพราะการกระทำใดๆ เฉพาะผู้ที่เคยเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองและข้าราชการการเมืองให้เป็นผู้ที่ไม่เคยกระทำหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง โดยให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง มาตรา 4 การนิรโทษกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ได้รับนิรโทษกรรมในอันที่จะเรียกร้องสิทธิหรือประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น มาตรา 5 ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01p0103051151§ionid=0101&selday=2008-11-05 หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: โป้ง*กันบอย - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 06, 2008, 02:05:41 PM เวร.....
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ พฤศจิกายน 06, 2008, 02:09:45 PM ทักษิณ มีข้อดีข้อเดียว เงิน หนาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มันจะซื้อ กม. ด้วย เศร้าจริงๆๆ
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: ...อภิสิทธิ์ ... ที่ พฤศจิกายน 06, 2008, 02:23:37 PM อิอิอิ เอาแสนชื่อไปเลยแค่ห้าสิบล้านบาทเอง ชิวๆ
หัวข้อ: Re: บังอาจจริง ๆ เริ่มหัวข้อโดย: DON27 รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 07, 2008, 01:11:37 PM คนอะไรเลวบริสุทธิ์ จริงๆ
|