เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

ผมกลับมาบ้านได้2-3วัน เรื่องร้ายๆในแคริฟอเนียเริ่มเกิด เมื่ออาทิตย์ก่อนแม่บ้านเล่าว่า บ้านเพื่อนโดยยกเค้าไป3หลังติดๆ
วันนี้ตำรวจมาที่ซอยบ้านผม ซึ่งเป็นซอยตัน มีบ้านอยู่10กว่าหลัง บ้านเลยผมไป4หลังโดนปล้น เจ้าของบ้านเป็นผู้หญิงแก่ๆอยู่คนเดียว
สองวันก่อนโดนยกเค้า เมื่อเช้านี้โดนพังประตู่เข้าไปปล้น กวาดทรัพย์สินได้ไปพอสมควร ปัญหาเศรษฐกิจยำแย่ของบุช เริ่มแสดงผลแล้ว
ต่อไปคงหนักกว่านี้

 ::012::ตกงาน...ขาดรายได้...ก่ออาชญากรรม...เป็นสูตรสำเร็จ...น่ากลัวครับพี่...แถวบ้านผม จากที่เคยมีอยู่แล้ว คงมีเพิ่มขึ้นอีก ในเร็วๆนี้

แย่จัง บ้านเราก็คงเร็วๆนี้ละครับ
(http://image.ohozaa.com/ib/p72615270.jpg) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=32526bdb1465e26e30b61227e1f9aef2)

 ::014::

เมื่อก่อนอยากให้ขโมยเข้าบ้าน จะได้ใช้ปืนยิงมันให้สิ้นชื่อ
ถึงเวลานี้ไม่อยากให้เข้าบ้านเลย กลัวที่จะต้องใช้ปืน 
วันเวลาเปลี่ยน ความรู้สึกของคนก็เปลี่ยนไปด้วย ไม่ได้กลัว แต่ไม่อยากทำร้ายเขา

ปัญหาเศรษฐกิจ US คราวนี้ คนไทยเขาเรียกว่า Hamburger Crisis ให้เข้ากับ Tom yum kung crisis ของไทยในปี 2540

   รายละเอียดตามนี้ครับ
 ความเชื่อผิด ๆ อย่างหนึ่งที่ถูกปลูกฝังในสมองคนไทยหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 คือความเชื่อที่ว่าฝรั่งขนานนามวิกฤติการณ์ครั้งนั้นว่า tom yum kung crisis = วิกฤติการณ์ต้มยำกุ้ง ตามชื่ออาหารอันเลื่องลือของไทย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติการณ์
 
ความจริงแล้ว ถ้าคุณไปถามแม้แต่ฝรั่งที่อยู่ในวงการการเงินหรือเศรษฐศาสตร์ ก็จะพบว่าเขา draw a blank (ดรอหวะแบล้งคฺ) = ไม่รู้เลย ว่า tom yum kung crisis หมายถึงอะไร รู้จักแต่ Asian financial crisis (เอเชียน ไฝ่แน้นฉั่ล ไขร่สิส) = วิกฤติการณ์การเงินเอเชีย
 
การระบาดของวิกฤติการณ์ subprime จากสหรัฐ ไปยังประเทศ  อื่น ๆ ฝรั่งก็ไม่ได้เรียกว่า hamburger crisis มีแต่คนไทยกระมังที่เรียก โดยคงถือหลักว่าวิกฤติการณ์การเงินที่ระบาดไปยังประเทศอื่นต้องตั้งชื่อตามอาหารที่โด่งดังของประเทศต้นตอ
 
ที่มาของแฟชั่นตั้งชื่อวิกฤติการณ์การเงินตามชื่ออาหารนี้คงเริ่มมาจากกรณีของเม็กซิโกเมื่อปี 2537 ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า Mexican peso crisis (เม็กสิขั่น เพ้โส่ ไขร่สิส)
 
ในเดือนธันวาคมปีนั้น ประธานาธิบดี Ernesto Zedillo เพิ่งเข้ารับตำแหน่งต่อจาก Carlos Salinas de Gortari เข้าไปก็เจอวิกฤติที่กำลังคุกรุ่นจากการใช้จ่ายภาครัฐสูงติดต่อกันหลายปี ขาดดุลงบประมาณจนต้องออกพันธบัตรซึ่งผูกดรรชนีติดดอลลาร์สหรัฐ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด แถมยังมีขบวนการกบฏในชนบทอีก
 
Zedillo เข้าไปไม่กี่วันก็ต้องหาทางลดค่าเงินบาท เอ๊ย เงิน เปโซ โดยขยาย band = ช่วงอัตราแลกเปลี่ยน ที่จะให้มันขยับตัวขึ้นลงได้ แต่ก็ไม่เป็นผล จำต้องปล่อยให้มันลอยตัวในที่สุด
 
ทีนี้พอลอยตัวในสถานการณ์แบบนี้ก็แหงสิครับ เปโซจมดิ่งจาก 4 เปโซต่อดอลลาร์เป็น 7.2 เปโซต่อดอลลาร์ในชั่วเวลาสัปดาห์เดียว มิหนำซ้ำเชื้อโรคนี้ยังแพร่ระบาดไปยังประเทศในอเมริกาใต้อีก ทำให้ปรากฏการณ์นี้ได้  รับการขนานนามว่า tequila effect (เถ่คี้หล่า เอ็ฟเฝ็คทฺ) = ปรากฏการณ์เทคีล่า ตามชื่อสุราประจำชาติของเม็กซิโก (ซึ่งมักมีคนเรียกเพี้ยนเป็น tequila crisis)
 
ในครั้งนั้น สหรัฐ เป็นตัวตั้งตัวตีระดมความช่วยเหลือมาได้ในรูปการค้ำประกันเงินกู้มูลค่าห้าหมื่นล้านเหรียญ อัดฉีดเข้าไปช่วยกู้เศรษฐกิจเม็กซิโกสำเร็จ (ต่างจากวิกฤติการณ์ของไทย ซึ่งสหรัฐ เพิกเฉยในระยะแรกเพราะคิดว่าจะไม่กระทบตัวเอง)
 
แต่คราวนี้พอสหรัฐ และตะวันตกโดนวิกฤติ subprime ซะเอง ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าใครจะเข้าไปช่วยกอบกู้ได้.

บ๊อบ บุญหด
http://boonhod.50megs.com
 

 ;D ขอให้พี่บุญและครอบครัวปลอดภัยไม่ต้องเจอเรื่องเลวร้ายครับ ;D

ระวังมากๆ นะครับ

ขอเอาใจช่วยครับพีบุญ ไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับบ้านพี่ ;D ;D ;D
แฮ่ๆๆๆๆ แต่ผมไม่รู้ว่าจะเดินทางได้เมื่อไหร่ครับพี่บุญ  ??? ??? ???

น่าเป็นห่วงครับ  หากเป็นญี่ปุ่น มักจะเรื่องวิธีฆ่าตัวตายครับ

เก็บปืนให้ดีๆนะครับ...

ผมเป็นห่วงปืนพี่เอามากๆเลยครับ...::005::

ยังไงก็ตามเตรียมพร้อมเสมอนะคะพี่ ขอให้พี่และครอบครัวปลอดภัยค่ะ ::014::

ผมก็นึกถึงตรงนี้มากเลยครับ แต่คิดว่าพี่บุญคงเก็บไว้ดีมากๆครับ ไม่งั้นคงไม่กล้าทิ้งบ้านมาเมืองไทยเป็นเดือน ๆ ::005::

ปัญหา Subprime หรือ หนี้ด้อยคุณภาพ เป็นปัญหาที่เกิดจาก การสะสมปัญหาใว้นาน จนปัญหา ระเบิดขึ้นมา หากวิเคราะห์ ให้ดีจะเห็นว่า ปัญหานี้เกิดจาก การปล่อยกู้เพื่อ ซื้อบ้านตามปกติ แต่ การปล่อยกู้ เพื่อ ซื้อบ้าน กลับสร้างปัญหาให้กับ ระบบเศรษฐกิจ ยักใหญ่ อย่าง สหรัฐ อเมริกได้อย่าไร?

ปัญหา Subprime เกิดขึ้นจาก ความโลภของคน อเมริกัน เอง โดยที่ ปล่อยกู้ใน อสังหาริมทรัพย์ โดยไม่มีการควบคุม

 เหตุการณ์นี้เกิดมาหลังการล่มสลายของ ธุรกิจ .COM หลังเหตุการณ์ 911 ธุรกิจ เก็งกำไรในที่ดิน กลับขยายตัวอย่างรวดเร็ว สวนทางกับ การขาดดุลการค้า ที่ อเมริกา ไม่สามารถ ผลิตสินค้า แข่งกับ ใครเค้าได้แล้ว โดยเฉพาะ จีน ทำให้ต้องสั่งซื้อสินค้า จากต่างประเทศ โดยเฉพาะ จาก จีน เข้ามาเป็นจำนวนมาก เพราะ มีการขยายตัวใน อุตสาหกรรมก่อสร้าง และ ตกแต่งอาคาร ทำให้ อเมริกา ยิ่งขาดดุลการค้าหนักขึ้นไปอีก

การขยายตัว ของการให้สินเชื่อ ได้ขยายตัวจนถึงขนาด กู้ได้เต็มจำนวนของ สินทรัพย์ เพราะ ผู้ให้กู้ต่างคิดว่า มูลค่าเพิ่มของ ทรัพสิน มีมากพอคุ้มค่าความเสี่ยง แต่เมื่อขยายตัวมาก ๆ ทำให้เงินหมุนเวียนใน สภาบันการเงินของ อเมริกา มีไม่พอ ทำให้เกิดการตัดขาย หนี้เสี่ยง ( Subprime) ให้แก่กองทุนต่าง ๆ ทั้งยังออกพันธบัตร เพื่อค้ำประกัน หนี้เหล่านั้นอีกด้วย แล้ว ผู้ซื้อ ก็ทำการ รีไฟแนนซ์ กับทางสถาบันการเงิน เพื่อทำกำไรส่วนต่างของ มูลค่าทรัพย์สิน โดยบางราย มีการกู้หนี้สิน เกินตัวไปมาก อย่างชนิดที่เรียกได้ว่า "ใช้หนี้อีก 10 ชาติ ก็ไม่หมด" โดยบางราย มีรายได้ไม่พอ ค่าผ่อนในแต่ละงวดเสียด้วยซ้ำ แต่ก็กู้หนี้มาเพื่อหวังทำกำไร โดยยอมเสีย ดอกเบี้ย ในอัตตราที่สูงกว่า การกู้ยืมทั่วไป หลายเท่า โดยถือว่า คนเหล่านี้เป็น หนี้ ด้อยคุณภาพ โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เกินกว่า 10%

จากการขยายตัวของ มูลค่า อสังหาริมทรัพย์ ใน อเมริกา ทำให้ ธนาคารในยุโรป ต่างนำเงินเข้าไปลงทุนใน อเมริกา เป็นจำนวนมาก โดย ซื้อ พันธบัตร ของ สถาบันการเงิน หรือ ซื้อ หนี้ความเสี่ยงสูงมาบริหารเอง เพราะ ได้ผลตอบแทนมากกว่า นำเงินสดเหล่านั้นมาลงทุนใน ยุโรป

ต่อมา เมื่อถึงจุดอิ่มตัว โดยราคา บ้าน และ ที่ดิน ขึ้นสูงกว่าความเป็นจริง หลายเท่า ทำให้ ยอดที่ ผู้ที่ซื้อ อสังหาริมทรัพย์ จะต้องกู้ยืม เพิ่มขึ้นตามไปด้วย และเมื่อ ผู้ซื้อ ไม่มีกำลังพอที่จะจ่ายค่างวด ทำให้จำเป็นต้อง โดนยึด ทรัพย์ที่เป็นสินทรัพย์ ค้ำประกัน เมื่อมีจำนวน อสังหาริมทรัพย์ ที่ถูกยึดเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดมีภาวะ ล้นตลาด เกิดขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ อุตสาหกรรม ก่อสร้าง และ ธุรกิจต่อเนื่อง ส่งผลให้ ราคาทรัพย์สิน ใน อเมริกา มี มูลค่าลดลง เมื่อ ทรัพย์สินมีมูลค่าลดลง ผู้ซื้อ ที่กู้หนี้มาซื้อบ้าน ต่างพากันระงับการจ่ายค่างวด ปล่อย อสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ ถูกยึดไป ส่งผลให้ สภาพคล่องของ สถาบันการเงิน ที่เกี่ยวข้อง โดยตรง และ โดยอ้อม ต่างพากันขาดสภาพคล่องกันโดยทั่วหน้า

อย่างที่เราได้รับข่าว เกี่ยวกับ สถาบับการเงิน ใน ยุโรป และ ญี่ปุ่น ต่างก็ ทุ่มเงินเข้าไปเสริม สภาพคล่อง ในสถาบันการเงินของ ตน เป็นเพราะ ประเทศ เหล่านั้น ต่างรู้ดีว่า ปัญหาที่เกิดขึนใน อเมริกา ไม่ไช่ปัญหา เล็ก ๆ แต่ เป็นปัญหาระดับโลก ที่จะส่งผลกระทบมายังประเทศต่าง ๆ ที่มี ธุรกิจเกี่ยวข้อง กับ อเมริกา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดูให้ดีๆก่อนจะยิงนะครับพี่  เพราะที่ California มีกฏหมาย duty to retreat ใช้บังคับอยู่นะครับ

กฎหมายที่ว่านี้มีประเด็นสำคัญว่าอย่างไรครับ อยากทราบจัง ขอบคุณครับ

ง่าย ๆ คือ เอามาเทียบกับ กฎหมายไทย เรื่อง การปกป้อง ชีวิต และ ทรัพย์สิน สมควรแก่เหตุ ครับ

อย่าง หากคนร้ายเข้ามาคุกคาม แต่เดินออกไป โดยไม่ได้ทำร้าย คุณ จะเอาปืน ยิงคนร้ายไม่ได้ หรือ วางสายไฟฟ้า ดักโขมย หาก ขโมย มาโดน ตาย คุณ ผิด เหมือนเมืองไทยเลยครับ

ซึ่งต่างกับ รัฐแถว ๆ มิดเวส เพราะ ที่นั่น หาก คนบุกรุกเข้ามาในบ้าน คุณ มี สิทธิ์ ยิงโดยไม่ต้องถาม

มีอยู่เคส ที่ เท็กซัส มีคนทวงหนี้ มายึดรถ โดยเอากุญแจที่มีสำรอง ของบริษัท ไฟแนนซ์ แล้วมาขับรถที่ขาดผ่อน ที่จอดใว้หน้าบ้าน ในเวลากลางคืน เจ้าของบ้าน เอาปืนออกมายิง คนขับตาย แต่ เจ้าของ ไม่โดนดำเนินคดี เพราะ กฎหมาย คนละตัวกับ ของ แคลิฟลอเนีย หากเป็น แคลิฟลอเนีย คนยิง ติดคุกไปแล้ว

เก็บความรู้ครับ ...  ::014::

คุณ 686 อธิบายให้แล้วนะครับ
ที่ผมอยู่จะเป็นแบบ no duty to retreat  คือถ้าคนร้ายเข้ามาในบ้าน   และเรารู้สึกกลัวว่าครอบครัวเราและเรา  ชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย  สามารถยิงได้ถ้าคนร้ายมีอาวุธ
แต่รัฐที่ผมอยู่ได้ออกกฏหมายมาใหม่เมื่อ 2-3 ปีก่อนเรียกว่า  Castle doctrine  คือ ถ้าคนร้ายเข้ามาในบ้าน  ยิงได้เลย  ซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้งแล้วในเมืองที่ผมอยู่
คนร้ายตายทุกครั้ง  เจ้าของบ้านไม่ผิด   กฏหมายใหม่นี้ออกมาไว้แก้ใช้กับพวกที่เรียกว่า Home invasion ครับ

รัฐที่คุณเจษอยู่ ใช้กระสุนโหลดเองยิงคนร้ายจะผิดกฎหมายหรือเปล่าครับ 

ไม่มีความหมายครับ 

ขออธิบาย duty to retreat /  no duty to retreat อีกครั้ง
duty to retreat ถ้าคนร้ายเข้ามาในบ้าน   ถึงแม้ว่าเราคิดว่าชีวิตเราและคนในครอบครัวตกอยู่ในอันตราย   แต่ดูแล้วถ้าเรามีทางหนีได้ได้  และถ้าหนีออกมาแล้วจะชีวิตจะปลอดภัย   เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องหนีออกมา
No duty to retreat  ไม่ต้องหนีออกจากบ้านของตัวเอง  no duty to retreat ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า stand your ground.( ปักหลักสู้)

ขอบคุณมากครับ