เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: วัฒน์ ที่ ธันวาคม 06, 2008, 05:06:01 PM



หัวข้อ: ทิปเล็กๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ ธันวาคม 06, 2008, 05:06:01 PM
 :) 10 วิธีรีเฟรชชีวิต
 
คร่ำเคร่งกับงานมาทั้งวันอย่าปล่อยให้ร่างกายหมดพลังไปเลยล่ะ เจียดเวลาสักเล็กน้อยลองทำตามวิธีเหล่านี้ดูจะช่วยชาร์จพลังให้ชีวิตคุณได้

• นวดใบหู
นวดบริเวณดังกล่าวประมาณ 5 วินาที สามารถคลายอาการปวดศีรษะและปวดบริเวณต้นคอได้

• ดื่มน้ำมากๆ
ควรจะดื่มน้ำบ่อยๆ แม้ว่าคุณจะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม เพราะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า การที่ร่างกายขาดน้ำจะทำให้คุณดูอิดโรย ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น

• หัวเราะดังๆ
การมีอารมณ์ขันและหัวเราะเสียงดังบ้างเป็นครั้งคราวช่วยกระตุ้นให้คุณได้ใช้พลังงานอย่างเต็มที่

• หายใจให้ลึก
โดยการหายใจลึกๆ ซึ่งจะช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้รับออกซิเจนทั่วถึง

• อาบน้ำร้อนสลับกับน้ำเย็น
อุณหภูมิของน้ำที่เปลี่ยนไป เป็นการกระตุ้นให้คุณรู้สึกตื่นตัว สดชื่น กระปรี้กระเปร่าไปได้ทั้งวัน

• ออกไปโดนแดด
แสงแดดที่ไม่แรงนัก เช่น ในเวลาเช้า ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามิน D และยังกระตุ้นให้มีการหลั่งสารสื่อประสาทบางประเภทในสมอง เช่น ซีโรโตนิน (Serotonin) และ โดพามีน (Dopamine) ซึ่งมีผลในการควบคุมอารมณ์

• ท้าทายสมอง
ลองทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมบ้าง เช่น ลองเปลี่ยนเส้นทางใหม่ระหว่างการไปทำงาน ช่วยฝึกให้สมองได้คิดและมีการพัฒนามากขึ้น

• แอบงีบบ้างไม่ผิด
ถ้ารู้สึกอ่อนล้ามากๆ ลองงีบพักสักครู่จะช่วยให้คุณสดชื่นขึ้น

• ฝึกทักษะให้สมอง
การเรียนรู้ภาษาใหม่ๆหรือการเล่นเกม เช่น หมากรุก จะช่วยพัฒนาสมองและช่วยให้สมองไม่ล้าจากการทำงาน

• สดชื่นเข้าไว้
ข้อนี้สำคัญมากครับ ยิ่งถ้าคุณรู้สึกเบื่อ อ่อนล้า เหนื่อยอ่อน มากเท่าไรก็จะเป็นการดูด พลังงานของคนรอบข้างให้รู้สึกเช่นนั้นไปด้วย อาจจะลองหาที่สงบอยู่กับตัวเองซักพัก เมื่อรู้สึกดีขึ้นโดยอาจจะลองปฎิบัติวิธีที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดแล้วค่อยกลับมาเริ่มงานด้วยความสดชื่นต่อไป


หัวข้อ: Re: ทิปเล็กๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ ธันวาคม 06, 2008, 05:08:31 PM
 ::002:: การฝึกสมองให้รู้จักจำ

 :) มีเรื่องให้จัดการเยอะบางทีก็มีเรื่องให้ลืมเป็นธรรมดา แต่...ถ้าเกิดไปลืมเรื่องสำคัญเข้าละก็แย่แน่ๆ วันนี้เรามีวิธีฝึกสมองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจำ รับรองว่าไม่ยาก

1.จดบันทึกช่วยจำ
การจดบันทึกลงในสมุดที่มีวันที่กำกับ จะช่วยให้คุณแพลนเรื่องเล็กๆน้อยๆในชีวิตได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ หรือที่ต้องทำในเดือนถัดไป จดเบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่เพื่อนฝูง วันเกิด ข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่คุณเป็นและการรักษา รวมไปถึงความรู้สึกนึกคิดของคุณในแต่ละวัน คำคมที่ชอบ ฯลฯ การจดจะช่วยย้ำให้สมองจำเรื่องราวเหล่านี้ได้ดีขึ้น หรือถ้าจำไม่ได้ พกสมุดบันทึกติดตัวไปเปิดดูยามที่นึกอะไรไม่ออก ก็ช่วยได้ดี

2. พูดกับตัวเองดังๆ
"เรากำลังจะเอาสูทไปซักแห้ง แล้วจะเลยเอารถไปเช็คที่ศูนย์ แล้วแวะไปฟิตเนสต่อ" การพูดก็เหมือนกับจดบันทึก ยามเช้าก่อนเริ่มออกจากบ้าน นึกถึงสิ่งที่คุณต้องทำในวันนั้น แล้วพูดออกมาดังๆ ซ้ำๆกันหลายๆหน ถ้าคิดว่ายังจำไม่ได้และเป็นกังวล ลองใช้เครื่องบันทึกเทปเล็กๆ อัดเสียงที่คุณพูด และนำเทปติดตัวไปเปิดยามที่นึกไม่ออกว่าจะทำอะไร

3. ติดโน้ต
เวลาที่มีการนัดหมายหรือนึกขึ้นมาได้ว่าต้องทำอะไรในวันที่ยังมาไม่ถึง ให้เขียนสิ่งที่จะทำลงบนกระดาษโน้ต แปะไว้ในที่ๆ คุณต้องเห็นเป็นประจำ เช่น ที่ประตูตู้เย็นในครัว,บอร์ดช่วยจำที่ติดไว้ตรงทางเดินก่อนออกจากบ้าน หรือในรถ ทุกครั้งที่เห็นโน้ตที่ติดไว้ คือการเตือนสมองให้จดจำเรื่องเหล่านั้นได้แม่นยำขึ้น

4. เก็บข้าวของให้เป็นที่
เก็บของให้เป็นที่ในที่ที่ควรจะเป็น เช่น เก็บยาที่ต้องกินก่อนนอนไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ข้างขวดน้ำดื่ม,เก็บกุญแจไว้บนโต๊ะเล็กๆ ข้างประตูทางออก ช่วยให้ไม่ต้องมานั่งเสียเวลานึกทุกครั้งที่จะใช้ข้าวของที่ว่า

5. อย่าจับปลาหลายมือ
ไม่ได้หมายถึงการมีแฟนทีเดียวหลายๆ คนนะ แต่หมายถึงคนที่ชอบทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น ดูทีวี ในขณะที่หูก็ฟังเสียงเพื่อนในโทรศัพท์ ทำให้ไม่มีสมาธิในการจำ ควรจะเลือกทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง

6.ปฎิบัติตัวเป็นกิจวัตร
การทำซ้ำๆ เหมือนๆกัน ช่วยให้สมองจำได้เองโดยไม่ต้องพยายาม เช่น ถ้าทุกครั้งที่อ่านหนังสือยังไม่จบแต่ต้องไปทำอย่างอื่น คุณวางมันไว้ที่ใดที่หนึ่งเป็นประจำ เมื่อเสร็จธุระจะกลับมาอ่านต่อ สมองจะสั่งการโดยอัตโนมัติว่าจะต้องไปหยิบหนังสือที่ไหน

7. ใช้ทริคช่วยจำ
ทริคประเภทท่องจำ,คำย่อ,คำคล้องจอง อย่างสมัยที่เราทำตอนเด็กๆ ประเภท "ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ ให้สะใภ้ใช้คล้องคอ..." ยังใช้ได้ดีในกรณีนี้ ยิ่งถ้าต้องทำอะไรหลายๆ อย่างในวันเดียว เอามาผูกเป็นเรื่องอย่างข้างต้น หรือจะใช้ตัวย่อ เช่น ฟ-ส-น-ม (ทำฟัน-เอาหนังสือไปคืนเพื่อน-เติมน้ำมันรถ-จ่ายค่ามือถือ) ก็ได้

8. ช้าๆได้พร้าเล่มงาม
ทำอะไรให้ช้าลงหน่อย เพราะสมองเราจะจำอะไรได้ช้าลงเมื่ออายุมากขึ้น การพูดเร็ว ทำเร็ว จนเกินไปก็มีส่วนทำให้สมองเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้ไม่ทัน

9. ร่างกายแข็งแรง
ความจำก็แข็งแรง ดูแลตัวเองให้ดี กินอาหารให้ครบหมู่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะเมื่อร่างกายแข็งแรง ความจำก็จะดีไปด้วย

10. บริหารสมอง
ทำกิจกรรมที่แตกต่าง เช่น เล่นเกมส์,อ่านหนังสือ,เล่นดนตรี ฯลฯ กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้สมองได้ออกกำลัง ก็เหมือนกับร่างกาย เมื่อได้ออกกำลังก็จะแอคทีฟขึ้น คิดอะไรได้ฉับไว และที่แน่ๆ ช่วยให้ความจำดี

11. เข้าใจความถนัดของตัวเอง
คนเราแต่ละคนที่ความถนัดไม่เหมือนกัน บางคนจำได้ดีเมื่อได้มองเห็น (จดบันทึก) บางคนจำได้ดีกว่าเมื่อได้ยินเสียง (พูดดังๆ/อัดเทป) แต่ก็มีบางคนจะจำได้ก็ต่อเมื่อได้ลงมือปฎิบัติหรือมีประสบการณ์ร่วม (เขียน/ทำ) 




หัวข้อ: Re: ทิปเล็กๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ ธันวาคม 06, 2008, 05:09:37 PM
 :) นิสัยแบบไหนที่ดีกับสมอง
 
- รู้หรือไม่ว่านิสัยการใช้ชีวิตประจำวันของคุณบางอย่างนั้นมีส่วนในการลดประสิทธิภาพการทำงานของสมองของโดยไม่รู้ตัว ถ้าจะให้ดีลองปรับเปรียนนิสัยตามคำแนะนำด้านล่างนี้ดูรับรองว่าสมองจะยังกระชุ่มกระชวยไปได้อีกนาน

1. ห้ามพลาดมื้อเช้า
การละเลยไม่กินอาหารเช้า ทำให้ขาดสารอาหารไปเลี้ยงสมองเป็นสาเหตุของสมองเสื่อม (ช่วงเวลาที่นอนหลายชั่วโมงร่างกายขาดน้ำและอาหารอย่างน้อย 5 ชั่วโมง รวมเวลาตื่นเช้า อาบน้ำแต่งตัว ไปทำงาน ถ้าจะรอไปกินมื้อเที่ยง รวมๆ แล้วเป็นเวลาอย่างน้อยก็ 10 ชั่วโมง ที่สมองขาดอาหาร) ลองสังเกตช่วงที่กินอาหารเช้าเป็นประจำจะรู้สึกสดใสมากขึ้น แถมยังช่วยให้เริ่มงานตอนเช้าอย่างอารมณ์ดี และมีประสิทธิภาพ

2. อิ่มพอดีๆ
สังเกตปริมาณอาหารที่กินในแต่ละมื้อให้อิ่มกำลังดี อย่าตามใจปาก กินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัวเป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น

3. เลิกบุหรี่
เพื่อตัดต้นเหตุของโรคสมองฝ่อ และอัลไซเมอร์ รวมถึงอันตรายที่จะเกิดแก่อวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกายอีกมากมาย

4.หวานน้อยๆ ดีกว่า
เลือกกินขนมที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบแต่น้อย พอให้มีรสชาติและรู้สึกสดใส อย่าลืมว่าของหวานนั้นหากกินมากเกินไป จะขัดขวางการดูดซึมโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารและขัดขวางพัฒนาการของสมองอีกด้วย

5.หลีกเลี่ยงมลพิษ
หลีกไม่ได้ก็ต้องพยายามเลี่ยงให้ได้ เพราะการสูดอากาศที่เป็นมลพิษเข้าไปในร่างกาย ส่งผลให้ออกซิเจนในสมองลดลง ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองถดถอย

6.นอนให้พอ
การพักผ่อนอย่างเพียงพอช่วยให้สมองส่วนความจำทำงานได้ดี สามารถรวบรวมข้อมูลในเช้าวันใหม่ได้เต็มที่เรียกว่าพร้อมรับกับสิ่งใหม่ในวันใหม่นั่นเอง ในทางตรงข้ามอันตรายจากการอดนอนเป็นเวลานาน จะทำให้เซลล์สมองตายได้

7.ไม่นอนคลุมโปง
เวลานอนคลุมโปง อากาศที่เราหายใจจะมีจำกัด และไม่ถ่ายเทเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

8. อย่าฝืนใช้สมองเมื่อป่วย
ป่วยก็ต้องพัก การใช้สมองขณะที่กำลังป่วยเป็นการเร่งให้สมองทำงานหนักขึ้น แถมสมองที่ไม่แข็งแรงก็ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพยิ่งฝืนก็ยิ่งทำร้ายสมองของตัวเอง

9.ใช้หัวบ่อยๆ
การคิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์และสร้างสรรค์ เป็นการเพิ่มรอยหยักให้สมอง ป้องกันอาการสมองฝ่อไปในตัว

10.พูดคุยเข้าไว้
ทักษะการพูดเป็นมาตรวัดประสิทธิภาพอีกอย่างหนึ่งของการทำงานของสมองอีกทั้งการพูดยังเป็นการแบ่งปันความคิด หรืออารมณ์ความรู้สึก โดยเฉพาะเวลาเครียดคิดอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียว พูดคุยปรึกษากับคนข้างๆ บ้าง จะช่วยผ่อนคลายสมองแถมช่วยสร้างความสัมพันธ์ให้ปรองดองแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิมเสียด้วย.


หัวข้อ: Re: ทิปเล็กๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ ธันวาคม 06, 2008, 05:12:36 PM
 :) รู้จักฝึกสมองให้ไหลนอกทาง

- การทำงานของสมองเปรียบได้กับฝน เมื่อฝนแรกตกลงมายังพื้นดิน ฝนแต่ละเม็ดต่างไหลลงมาที่ลาด ต่างคนต่างไหล แต่นานๆไปเม็ดฝน 4-5 เม็ด จะไหลมารวมตัวกันเป็นสายเดียวกัน พอฝนใหม่ตกลงมาบนพื้นดินนี้ เม็ดฝนใหม่ก็จะไหลไปตามสายน้ำที่มีอยู่ เป็นอย่างนี้เรื่อยๆไป จนสายน้ำลึกขึ้น กว้างขึ้น เป็นคลองเป็นแม่น้ำ การรวมตัวกันเอง จัดการตัวเองของฝนเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นระบบข้อมูลที่จัดการด้วยตัวเอง (Self organizing Information System) ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับการทำงานของสมองของคนเรา

- ตัวอย่างเช่น วันแรกที่เราเริ่มไปทำงาน เราเดินทางจากบ้านไปที่สำนักงาน จิตใจอาจตื่นเต้นหรือกังวลกับเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยไปมาก่อน ในที่สุดเราก็ไปถึงสำนักงาน ณ จุดนี้เองสมองเราเริ่มทำหน้าที่เปิดกล่องข้อมูลใหม่ไว้อย่างดี พอรุ่งขึ้นเราจะออกเดินทางจากบ้านไปสำนักงานอีก คราวนี้สมองจะช่วยเราอย่างมาก เพราะสมองได้จำไว้แล้วในกล่องข้อมูล สมองจะส่งข้อมูลให้เราทันทีว่า “ฉันรู้ว่าต้องไปอย่างไร ฉันจะบอกให้” เราไม่ต้องออกแรงคิด เพราะสมองช่วยเราได้อย่างดี ด้วยระบบการจัดข้อมูลด้วยตัวเอง หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆว่า “ฝนตกลงมา น้ำไหลเป็นทาง”

ความสำคัญของโปรตีนต่อสมอง
 
ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าสมองนั้นต้องอาศัยสารสื่อนำประสาทในการส่งผ่านข้อมูล เพื่อเชื่อมเซลล์ประสาททั้งหมดให้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสารอาหารที่นำมาใช้สร้างสารสื่อนำประสาทในสมองก็คือ โปรตีนนั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าในหนึ่งวันเราได้รับโปรตีนไม่เพียงพอก็ย่อมส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองอย่างแน่นอน ซึ่งในหนึ่งวันเราควรได้รับโปรตีนวันละ 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. เช่น คนหนัก 65 ก.ก. โปรตีนที่ต้องการในหนึ่งวันคือ 65 กรัม เป็นต้น โดยร่างกายจะย่อยโปรตีนเป็นกรดอะมิโนเดี่ยวๆ และแบบเรียงตัวต่อกันเรียกว่า “เปปไทด์” ซึ่งรูปแบบของโปรตีนที่ดีที่สุดก็คือ “เปปไทด์” นี่เอง เพราะร่างกายดูดซึมได้เร็วกว่ากรดอะมิโนเดี่ยวๆ เมื่อดูดซึมได้เร็วร่างกายก็นำไปสร้างสารสื่อนำประสาทในสมองได้รวดเร็วเช่นกัน โปรตีน “เปปไทด์” จึงนับได้ว่าเป็นสารอาหารเพียงหนึ่งเดียว ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้อย่างรวดเร็ว เป็นแหล่งโปรตีนของสมองที่เหมาะกับชีวิตอันเร่งรีบในปัจจุบันอย่างมาก 

 ;) ทำความรู้จักสมองทั้งสองซีก
 
สมอง เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมนุษย์ ทำให้เราสามารถดำรงชีวิตและคิดสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่าง สมองจึงเป็นเครื่องมือในการทำงานที่เราจำเป็นต้องดูแลอย่างดีที่สุด สมองเกี่ยวข้องกับความสามารถในด้านต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงานของมนุษย์ โดยสมองของคนเรานั้นแบ่งเป็น 2 ซีก คือ ซีกซ้าย และซีกขวา ซึ่งมีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง ทั้งควบคุมความรู้สึก การรับรู้ ควบคุมระบบความคิด ความจำ การแสดงพฤติกรรม และการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย โดยสมองซีกซ้ายนั้นทำหน้าที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ การแยกแยะ เหตุผลส่วนสมองซีกขวาทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์ ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ โดยจำแนกได้ดังนี้

สมองซีกขวา
- การมองอะไรที่เป็นมิติ และช่องว่างบนพื้นผิว (Spatial)
- การเข้าใจภาษาง่ายๆ ที่ไม่ซับซ้อน
- การรับรู้ลวดลายทางด้านศิลปะ การแสดงละคร
- ความคิดสร้างสรรค์
- การมีอารมณ์ขัน
- การรับรู้เกี่ยวกับการสัมผัส
- ความคิดเชิงนามธรรม
- การใช้ภาษาท่าทางหรือภาษากาย
- การทำกิจกรรมหลายอย่างในเวลาเดียวกัน

สมองซีกซ้าย
- การแสดงออกทางด้านการพูด
- การรับรู้ด้านภาษา
- การใช้กล้ามเนื้อแขนขาและมือ
- ความระมัดระวัง
- การเรียนรู้โดยการจัดหมวดหมู่
- การค้นหาความเหมือนกัน
- การมีสติควบคุมตัวเอง
- การสร้างแนวคิดใหม่ๆ หรือความคิดรวบยอดที่เราเรียกว่าการวาง Concept
- การวิเคราะห์เกี่ยวกับเวลา
- การเรียนคณิตศาสตร์คำนวณ การเข้าใจจำนวน
- การเขียน
- การจำแนกซ้ายขวา
- การจัดลำดับสิ่งของ

 :) การทำงานของสมองนั้นจะเกิดขึ้นได้ด้วยสารสื่อนำประสาท ภายในสมองเรานั้นมีเส้นใยประสาทมากมายเชื่อมต่อกัน และส่งข้อมูลโดยอาศัยสารสื่อนำประสาทที่สร้างมาจากโปรตีนเป็นตัวเชื่อมเซลล์ประสาททั้งหมด สมองประกอบด้วยคลื่นหลายชนิดตามภาวะของร่างกาย โดยคลื่นสมองที่ดีที่สุดในการทำงานก็คือ High Band Alpha ที่มีความถี่ 10-13 Hz ซึ่งจะเกิดภาวะผ่อนคลายแต่ตื่นตัว มีสมาธิ และมีประสิทธิภาพสูงในการทำงาน เรียนรู้และจดจำ การเปลี่ยนแปลงของภาวะต่างๆ ในสมองนั้นเกิดจากสารสื่อนำประสาทซึ่งใช้แล้วหมดไป เมื่อหมดสมองก็เกิดอาการล้า คิดไม่ออก ทำให้ต้องมีการผลิตสารสื่อนำประสาทขึ้นมาใหม่จากโปรตีน


หัวข้อ: Re: ทริปเล็กๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: yod - รักในหลวง ครับ ที่ ธันวาคม 06, 2008, 05:13:41 PM
ขอบคุณครับ  พี่วัฒน์


หัวข้อ: Re: ทริปเล็กๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: @สิบฤทัย@ ที่ ธันวาคม 06, 2008, 05:15:50 PM
ขอบคุณครับ พี่วัฒน์ ผมจะลองทำดูครับ


หัวข้อ: Re: ทริปเล็กๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: คมขวาน รักในหลวง ที่ ธันวาคม 06, 2008, 05:18:48 PM
        ขอบคุณครับ
สำหรับเกร็ดความรู้ดี ๆ
ที่ขยันหามาให้สมาชิกได้ทราบ


หัวข้อ: Re: ทริปเล็กๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: Sig228-kolok ที่ ธันวาคม 06, 2008, 05:39:59 PM
ขอบคุณครับลุงวัฒน์ ...  ::014::


หัวข้อ: Re: ทริปเล็กๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: deore XT ที่ ธันวาคม 06, 2008, 06:09:45 PM
ขอบคุณครับ

แต่ไม่น่าจะเป็น ทริป นะครับ อาจจะเป็น ทิป หรือ ทริก ? ครับ


หัวข้อ: Re: ทิปเล็กๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ ธันวาคม 06, 2008, 06:24:37 PM
ขอบคุณครับ

แต่ไม่น่าจะเป็น ทริป นะครับ อาจจะเป็น ทิป หรือ ทริก ? ครับ

 ::014:: ขอบคุณ คุณ.deore XT ครับ ถูกต้องตามที่กล่าวครับ
(http://img367.imageshack.us/img367/7533/14995338zh7.jpg) (http://imageshack.us)
 


หัวข้อ: Re: ทิปเล็กๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: Step&Time-รักในหลวง ที่ ธันวาคม 06, 2008, 07:10:51 PM
ขอบพระคุณครับ  ::014::


หัวข้อ: Re: ทิปเล็กๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: M 60 - 7 รักในหลวง ที่ ธันวาคม 06, 2008, 07:50:40 PM
ขอบคุณมากครับ


หัวข้อ: Re: ทิปเล็กๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: คนบ้านเดียวกัน ที่ ธันวาคม 07, 2008, 06:47:00 PM
ขอบคุณครับประโยชน์ดีดี...+1 อีกครั้งครับ ::014::


หัวข้อ: Re: ทิปเล็กๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ ธันวาคม 07, 2008, 06:55:36 PM

     ขอบคุณครับอาวัฒน์ ..... นานครั้งจะได้อ่านบทความยาวๆจบกับเขาบ้าง



หัวข้อ: Re: ทิปเล็กๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: ~ Sitthipong - รักในหลวง ~ ที่ ธันวาคม 07, 2008, 09:03:31 PM
 ::002::


หัวข้อ: Re: ทิปเล็กๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: deang ที่ ธันวาคม 08, 2008, 11:49:50 AM
ทิป เล็ก ๆ ...

เจอมา ครับ .....

ข้อดีของการมีเมียเด็ก

เวลาเดินตามห้าง มักเห็นคนที่มาเป็นครอบครัว ประมาณว่าผู้ชายจะเดินนำหน้าเร็วมาก
จากนั้นจะเห็นเมียแก่ๆเดินตามมาข้างหลัง อาจจะมีลูกเต้าสะพายหรือกระเตงมาก หรือไม่ก็เดินตามกันมา 2-3 คน
ภาพแบบนี้ เวลามองให้ละเอียดขึ้น จะเห็นว่าหน้าตาของผัวกับเมียมัจะแก่โทรมพอๆกัน
หรือบางทีผัวดูหน้าเด็กกว่า แบบนี้อนุมาณได้ว่าผัวกับเมียอายุน่าจะไล่เรี่ยกัน

ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวมีเมียแต่อายุน้อยก็รู้สึกมีความสุขดี แต่พอมีลูก มีหลาน เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า
10 บ้าง 20 บ้าง 30ปีบ้าง สังขารก็ล่วงเลยกันไปตามวัย ถ้าไม่ผ่านปัญหาชีวิตมาอย่างเหน็ดเหนื่อยมากนัก
ผู้ชายมักจะดูแก่น้อยกว่าผู้หญิง อันนี้เป็นเรื่องพิสูจน์ได้

และอีกอย่างที่คนมักไม่ค่อยพูดกันคือ อารมณ์ทางเพศของผู้ชายยังสูงอยู่ เมื่อเทียบกับผู้หญิงแก่ในวัยเดียวกัน
นี่จึงเป็นเหตุให้ผัวมีเมียน้อย เพราะเมียบ่อลักแล้ว ตัวผัวยังเซ็กส์จัดอยู่ เป็นความจริงที่สังคมต้องเอามาตีแผ่
เมื่อสังคมไทยไม่ค่อยพูดความจริงกัน ปัญหาจึงเกิด

ถ้าชายแก่มีครอบครัวคนไหนออกมายอมรับตรงๆว่า "ผมยังเซ็กส์จัดอยู่" คงโดนตราหน้าว่าเป็นอ้ายแก่ตัณหากลับ
อ้ายเฒ่าหัวงู อ้ายแก่ไม่รู้จักปลง" คำด่า ตำหนิและค่อนแคะนี้ไม่เกิดประโยชน์อะไร รังแต่ทำให้ผู้ชาย
ไม่อยากพูดสิ่งที่มีอยู่ในใจ และจบลงด้วยการแอบมีเมียน้อย

อย่างว่านะ ถ้าไม่ให้แอบแล้วจะบอกให้เมียยอมรับรึ ว่าผัวยังเซ็กส์ ขอมีเมียอีกคน อย่างนี้คงไม่มีใครยอม
ผมจึงคิดของผมคนเดียว เรื่องของผม ว่าปัญหาทั้งหลายทั้งปวง สามารถแก้ได้ทั้งปัญหาสังคม
ปัญหาความต้องการทางเพศและอะไรอีกหลายเรื่อง โดยการให้ผู้ชายมีเมียที่อายุห่างกันหลายๆปี

คำถามคือหลายๆปีนี่จะเอาสักกี่ปี ต้องยอมรับความจริงว่าตอนเราเด็กๆเรียนหนังสืออยู่
เห็นรุ่นพี่อายุห่างจากเราแค่ปีสองปีก็รู้สึกว่าเขาเหนื่อกว่าเราหลายอย่าง ทั้งวัยวุฒิ
คุณวุฒิและขนาดร่างกาย

พอโตขึ้นหน่อย ถ้าเราอายุ 20 เจอคนอายุ 25 ก็รู้สึกได้ว่าเขาแก่กว่า
แต่ถึงตรงนี้ก็มีผู้ชายหลายคนเริ่มจีบคนอายุมากกว่าได้ ถ้าสวยเซ็กส์ขาดบาดใจ
(และมารู้ตัวว่าคิดผิดตอนมันอายุผ่านวัย 30)

แต่พอเราอายุ 30 ปี เริ่มรู้สึกว่าคนอายุ 35 ไม่ต่างจากเราเท่าไหร่ (ยกเว้นผู้ชายที่มีเมียอายุเท่ากันหรือมากกว่า
ย่อมรู้สึกว่าเมียดูแก่กว่าตัวเอง) แต่พอเราอายุ 40 เราจะไม่รู้สึกเลยว่าคนอายุ 45 จะต่างจากเรามากน้อยแค่ไหน
และถ้าเราอายุ 50 หรือ 60 คนอายุมากกว่าเรา 10 ปีหรือน้อยกว่าเรา 10 ปีก็จะดูหง่อมๆพอๆกันหมด
ไม่มีใครต่างกันเลย แต่ถ้ามีเมียอายุเท่ากัน เวลาเดินไปไหนคนอาจคิดว่าผู้ชายเดินมากับแม่

วันก่อนเห็นนิตยสารฉบับหนึ่งมีภาพถ่ายคู่สมรสสามีภรรยาคนใหญ่โตไฮโซเมืองไทยที่ออกมา
รับพระราชทานเครื่องอิสริยาภรณ์ ยังนินทาขำๆกับคนข้างๆเวลามองรูปถ่ายบางคู่ว่า
นี่เขาถ่ายรูปคู่กับแม่หรือเมีย คือเมียจะดูแก่มากจนเป็นแม่ได้

บางคู่ผัวเป็นนายทหารนายตำรวจใหญ่โต ยังกระฉับกระเฉงหนุ่มฟ้อ แต่ที่ยืนข้างๆที่ใส่ชุดผ้าทอโบราณนี่
ดูไม่ออกว่าอันไหนเก่ากว่ากัน เหมือนมีชุดเชี่ยนหมากประดับอยู่ข้างๆนายตำรวจ

บางคนคงนึกด่าผม ว่ามองแต่รูป ความรักมันอยู่ที่ใจ คนเขารักกันอยู่ด้วยกันมา 30-40 ปี
มีแต่ใจให้กัน มีแต่อคติจิตใจเป็นกุศล ชั่วช้าสารเลวที่คิดอย่างนี้ คือถ้าคิดอย่างนี้ก็จบกันอีก
ไม่พูดความจริงกัน

ความรักก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องความต้องการตามธรรมชาติก็เรื่องหนึ่ง
ไม่ยอมคุยกันให้เข้าใจปิดหูปิดตาหลอกตัวเองกันอยู่นั่นไง ผัวถึงได้ไปมีเมียน้อย
ยิ่งใหญ่ยิ่งโตมากอาจไม่ใช่มีแค่หนึ่ง

โดยธรรมชาติแล้วผู้ชายคนไหน ต่อให้มันแก่หงำเหงือกยังไง เห็นสาวสวยหุ่นดีตรงเสปค
ถ้ามันบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลย มันไม่น่าจะเป็นผู้ชาย หรือไม่ก็เหล่านั้งเคียวห่วย
ตะบันน้ำกินอย่างแท้จริง (ยกวันพระ)

ถ้าเริ่มคล้อยตามให้อ่านต่อมาอีก ว่าผู้ชายกับผู้หญิงอายุห่างกันกี่ปีถึงจะถือว่ามีเมียเด็ก
อันนี้ไม่บอกให้คิดกันเอาเอง แต่ผมวิเคราะห์ว่า

มาตรฐานความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผู้ชายมักเป็นอย่างนี้

1. อายุ 20 ปี ยังสดใสอยู่ในวัยเรียนรู้ มีแรง มีความรู้ แต่ไร้เงินและประสบการณ์
2. อายุ 30 ปี ยังมีแรง มีความรู้ มีประสบการณ์และพอมีเงินบ้าง
3. อายุ 40 ปี พอมีแรง มีความรู้มาก ประสบการณ์แน่น เงินเต็มกระเป๋า
4. อายุ 50 ปี แรงน้อย หลงๆลืมๆ ประสบการณ์เยอะ เข้าข่ายมั่งคั่ง
5. อายุ 60 ปี หมดแรง ความจำลด ประสบการณ์ไม่มีประโยชน์ ใช้เงินไม่เป็น
6. อายุ 70 ปี ใกล้ตาย ลูกหลานแช่ง ไม่มีใครฟัง

ของผู้หญิง
1. อายุ 20 ปี ดอกไม้ผลิบานเต็มที่ ร่าเริงเบิกบาน รู้น้อย ประสบการณ์ไม่มี
2. อายุ 30 ปี ดอกไม้ใกล้โรย เครียดกับงาน หมดเงินกับการแต่งตัว
3. อายุ 40 ปี มีแต่รอยเหี่ยวช้ำ ผลาญเงินกับเครื่องสำอางค์
4. อายุ 50 ปี วัยแห่งความระแวง นอนตาไม่หลับ กินไม่อร่อย เป็นสารพัดโรค
5. อายุ 60 ปี วัยผัวแช่ง
6. อายุ 70 ปี วัยที่ทั้งผัวและลูกสะไภ้ร่วมกันแช่ง

วิธีวิเคราะห์นั้น ง่ายๆว่าถ้าเอาเลขตรงกันมาจับคู่กันหมดเลย ก็คือชายหญิงคู่ผัวเมียอายุเท่ากัน
เห็นๆเลยว่ามีแต่ความทุกข์ เป็นวัยที่ทั้งคู่ต่างมีเหมือนกัน และไม่มีเหมือนกัน
ไม่มีใครเป็นอะไรของใครได้ และไม่มีใครทดแทนให้แก่ใครได้ คู่แบบนี้เหมือนที่เราเห็นกันจนชาชิน
คือพอแก่ตัวลงผัวเมียก็เลิกคุยกัน เพราะไม่รู้จะคุยอะไรกัน ต่างคนต่างเบื่อซึ่งกันและกัน
อยู่กันไปอย่างนั้นๆ และถ้าใครทนเฉาได้น้อยที่สุด ก็เป็นฝ่ายตายก่อน

แต่ถ้าเอาเลข 1 ของชายมาคู่กับ 2 ของหญิงเป็นต้นไป
จะเห็นว่าฝ่ายชายจะมีแต่ทุกข์ทรมาน ฉะนั้นการมีเมียอายุมากกว่า
จึงไม่ถูกต้องและเหมาะสมด้วยประการทั้งหลายทั้งตัว

แต่ถ้าเอา 2 ของชายมาคู่กับ 1 ของหญิง จะเห็นว่า

ใน 10 ปีแรกเป็นปีที่มีความสุข
ของทั้งสองฝ่ายต่างเติมเต็มให้กันและกันได้ และทดแทนในสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งขาดได้

ใน 10 ปีที่สองเห็นว่าทั้งสองฝ่ายน่าจะยังรักกันอยู่ แต่ฝ่ายชายจะเริ่มเห็นว่า
ผู้หญิงมีหน้าที่ผลาญทรัพยากรแต่เพียงอย่างเดียว ฉะนั้นเมื่อ

เข้าสู่ 10 ปีที่สามผู้ชายจะเริ่มเห็นเมียชาวบ้านสวยกว่า วัยนี้เองที่ผู้ชายเริ่มออกหากิ๊ก
การหย่าร้างจึงเกิดขึ้นในวัยนี้มากมาย จึงไม่ต้องดูต่อไปใน 10 ปีที่สี่ เพราะจะเหลือ
ไม่กี่คู่ที่ยังรักกันในช่วงนี้ แต่ที่ทนๆกันอยู่เพราะผู้ชายมันหมดแรงแล้ว ไม่มีปัญญาจะไปไหน
แต่ผู้หญิงก็จะได้แต่ร่างที่ไร้กำลังทั้งกายและใจ คุณค่ามันน้อยกว่าท่อนไม้หรือหมอนข้าง

ถ้าเอา 3 ของชายมาคู่กับ 1 ของหญิงจะเห็นว่าชายก็สุข หญิงก็สรวลสรรค์ตลอด 10 ปีแรก
มาดู 10 ปีที่ 2 ชายแรงเริ่มน้อยแต่ใช้ว่าจะไม่มีแรง ก็ออกแรงกันเต็มที่ตลอด 10 ปีแรกไปแล้ว
จึงมีแต่หวานชื่น เพราะผู้หญิงนี่บานแฉ่ง ผู้ชายก็ตังค์เยอะ เงินทองใช้กันเพลิน
ไม่ต้องทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต หรืออาบเหงื่อต่างน้ำเลือดตาแทบกระเด็นทั้งคู่
เหมือนคู่ผัวตัวเมียอื่นๆ มาเข้า 10 ปีที่สอง ด้วยความหลงๆลืมๆเมียจึงฉกเงินไปได้ง่าย
ก็สบายเมียอีก เพราะวัยนี้ของเมีย ต้องมีเงินไว้ให้แต่งตัวมากมาย เมื่อมีเงินใช้ไม่ขาดมือ
ความเครียดเรื่องงานก็ไม่เกิด เมียจึงไม่บ่น เมื่อไม่บ่นผัวเมียก็ยังรักกันเต็มที่
ความรักและอารมณ์ที่แจ่มใส่จะทำให้ผัวดูหนุ่มและเมียดูสาวต่อไปอีก ความรักจึงดึ๋งดั๋ง
กระเด้งหน้ากระเด้งหลังกันได้อีกพักใหญ่

เข้าสู่ 10 ปีที่ 3 ที่บอกว่าชายจะหมดแรง ก็ไม่น่าจะหมด เพราะแรงหมดเนื่องจาก
ความเครียดและทำงานหนัก แต่ผู้ชายไม่เครียดเลย จึงยังพอมีแรงต่อไปเรื่อยๆ
ส่วนเรื่องจำอะไรไม่ค่อยได้กลับจะเป็นข้อดี เพราะเรื่องร้ายๆหรือข้อเสียของเมีย
ก็จะไม่เก็บเอามาคิดเอามาบ่น และวัยนี้เริ่มใช้เงินไม่เป็นแล้ว มีเท่าไหร่ก็ยกให้เมียหมด
 มีหรือเมียที่ไหนจะหน้างอ

มาดูที่ฝ่ายหญิงบ้าง พอเข้าสู่วัยที่ต้องพอกเครื่องสำอางค์ ก็มีเงินจากผัวคอย
เกื้อหนุมแบบไม่บ่นอีกต่างหาก อีกอย่างแม้ตัวจะเริ่มเหี่ยวเฉาแต่เนื่องจากผัวเริ่มจำอะไรไม่ค่อยได้
เลยจะสังเกตไม่ออกว่าเมื่อก่อนเราตึงและกรอบร่วนขนาดไหน สีหน้าแววตาและ
ท่าทีรังเกียจของผัวก็จะไม่เกิด โอ ชีวิตมันช่างมีความสุขนี่กระไร
บวกกับเงินทุกบาททุกสตางค์ตกเป็นของเราโดยสมบูรณ์ ยังงี้ชีวิตก็มีแต่ความหฤหรรษ์

เขาสู่ 10 ปีที่ 4 น้อยรายนักที่จะอยู่เลยช่วงนี้ ผัวมีแต่วันรอความตาย ส่วนเมียนั่งนับเงินอย่างเดียว
อย่างอื่นไม่ต้องสนแล้ว เพราะตัวเองก็เหี่ยวได้ที่ จะไปมีความรู้สึกเซ็กส์กับใครอีกก็น้อยเต็มทน
แต่ที่แน่ๆคือ ไร้ซึ่งความระแวงว่าผัวจะไปมีกิ๊กมีเก็บ เพราะวัยของผัวไม่มีทางเอื้ออำนวย
และตลอด 30 ปีมานี้ ด้วยความสาวของเมีย ผัวคงนอนเฉาะทุกคืนไม่มีว่างเว้น
ไม่ทันมีเวลาว่างไปหากิ๊กแน่นอน รับรองว่าวันตายของผัว คงไม่มีสาววัยรุ่นที่ไหน
จูงลูกมาแล้วขอแบ่งสมบัติแน่นอน

ด้วยเงื่อนไขที่ครบถ้วนสมบูรณ์อย่างนี้ จึงนอนตาหลับ กินอร่อยและไม่ป่วยง่ายๆ
เนื้อตัวเต่งตึงคอยปรนนิบัติรับใช้ผัววัยไม้ใกล้ฝั่งอย่างมีความสุข ผัวที่รอวันตายก็ไม่มีความเครียด
กลับจะทำให้มีเรี่ยวมีแรงกรฉับกระเฉง ตายช้าอีกต่างหาก

โดยเฉพาะผู้ชาย ไม่ใช่พวกแก่ง่ายตายช้า ตราบใดที่ยังมีชีวิต ตราบนั้นยังอยากมีเซ็กส์อยู่ตลอด
 เหลือแต่เครียดและเหนื่อยกับงานหนักมาตลอดชีวิต จู๋มันจึงปลุกไม่ค่อยขึ้น
แต่ถ้าสุขภาพใจและกายแข็งแรงดีตลอด บวกกับเมียของตัวเนื้อหนังยังไม่เหี่ยวย่นเหมือนผ้าขึ้ริ้ว
รับรองมีแรงกระดึงกระดั๋งเผลอๆจนเลย 70 ก็ยังมีอยู่ นะจะบอกให้


จาก.....
http://www.thaihypno.com/doc/articles.php?topicid=452

อ่าน เข้าจริง ๆ กลายเป็น ข้อ ด้อย ของการมีเมีย รุ่น ไล่เรี่ยกัน หรือ แก่กว่า ... ต่างหาก   



หัวข้อ: Re: ทิปเล็กๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: แจ็ค ที่ ธันวาคม 08, 2008, 10:11:43 PM

..... อาจารย์วัฒน์  ออกมาแต่ละที .... ความรู้ทั้งนั้นครับผม .... ขอบคุณครับอาจารย์ .....

(http://www.pixnice.com/upload/files/jdljztukz1orfnogigyl.jpg) (http://www.pixnice.com/upload/)


หัวข้อ: Re: ทิปเล็กๆ ที่ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น
เริ่มหัวข้อโดย: Ramsjai ที่ ธันวาคม 10, 2008, 10:54:55 PM
ชอบบทความเกี่ยวกับนิสัยที่ดีกับสมอง แต่ไม่เคยทำได้ครบซักที  :~)