เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: flyingkob-รักในหลวง ที่ เมษายน 19, 2009, 08:44:56 PM



หัวข้อ: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: flyingkob-รักในหลวง ที่ เมษายน 19, 2009, 08:44:56 PM
ได้รับจดหมาย..........เปิดอ่านเลยเอามาฝากครับ...

"คน 3 คน"


ณ วัดบ้านไร่แห่งหนึ่ง

>หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาตเห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นจึงเข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไร
> ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า 'ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระ แต่ผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใครเชื่อผมเลย ฮือ ฮือ '

> หลวงตานั่งลงข้าง ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า
'เจ้ารู้ไหม ในตัวเรามีคนอยู่สามคน คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น
คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ'
ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา

> 'คนเราล้วนมีความฝัน ความทะยานอยาก ตามประสาปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน เช่น บางคนอยากเป็นนักร้อง เป็นนักมวย เป็นดารา ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประดับตน เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ '

> 'มาถึงไอ้ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย เพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้ '

> 'อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนี ทั้งที่ศพนั้น ถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร'

> 'สมัยที่หลวงตายังไม่ได้บวชเคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีผัว แล้ว เพราะเห็นว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง ชาวบ้านซุบซิบนินทา หาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาณ ใจแคบ มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบ นั่นแหละวิถีของนักปราชญ์ ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล '

> 'แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อย ๆ' ลูกศิษย์หยุดร้องไห้แล้วเริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา

> 'เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์ เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้ เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ใจเราควรสงบนิ่ง ยังไม่ต้องชำระ ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่ เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารมีเวลามองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม'

> 'เข้าใจครับหลวงตา' เด็กน้อยยิ้มมีความสุขอีกครั้ง


หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ เมษายน 19, 2009, 09:38:20 PM
 ::014:: ขอบคุณครับ +1 ให้สำหรับข้อความดีๆ เช่นนี้ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: E_mail ที่ เมษายน 19, 2009, 11:44:51 PM
> 'เข้าใจครับหลวงตา' เด็กน้อยยิ้มมีความสุขอีกครั้ง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หลวงตายิ้มพลางลูบหัวเด็กน้อยอย่างเมตตา..."แล้วก็รีบเอาเงินมาคืนซะนะ"







ฟิ้ว......... ;D


หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: flyingkob-รักในหลวง ที่ เมษายน 20, 2009, 12:57:13 PM
ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น  มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง
เรามีบ้านใหญ่ขึ้น  แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง
เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง 
เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น 
เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า 
แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น........... 
เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง 
เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง
เรามีอาหารดี ๆ  มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง
ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน  แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น……จากนี้ไป……ขอให้พวกเรา  อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ 
เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ ……โอกาสที่พิเศษสุด……แล้ว 
จงแสวงหา การหยั่งรู้ 
จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่  โดยไม่ใส่ใจกับความ…..อยาก…   
จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น…….   
กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป 
ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด 
เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย
น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ  จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้ 
เอาคำพูดที่ว่า…….สักวันหนึ่ง……..ออกไปเสียจากพจนานุกรม 
บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน 
อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น 
ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย 
เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง   


หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ เมษายน 20, 2009, 01:01:04 PM
ขอบคุณมากครับ บวก 1 ครับพี่กบ


หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: flyingkob-รักในหลวง ที่ เมษายน 20, 2009, 02:11:50 PM
::014:: ขอบคุณครับ +1 ให้สำหรับข้อความดีๆ เช่นนี้ครับ

ขอบคุณครับ


ขอบคุณมากครับ บวก 1 ครับพี่กบ

ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: ปลายฟ้า+รักในหลวง ที่ เมษายน 20, 2009, 03:47:56 PM
 :D :D :Dขอบคุณนะคะ...สำหรับธรรมะและข้อคิดดีๆ ;) ;) ;) ;)

    ::014:: ::014::มีแถมให้ด้วยค่ะ ::014:: ::014::

(http://www.dhammadelivery.com/images/story/story-343-big.jpg)

ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า

''น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด''

คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ
ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก
เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร
หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่ง
ที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ
เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่า
ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ
นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า
เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง

คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง
ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา
จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้

เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่น
ก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า
บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น
เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย
เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย
วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย

ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า

คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก
เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม

อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง
ความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย
มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า

วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า ''การกลับมาอยู่กับตัวเอง''
กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก
แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด
ก็ควรหันกลับเข้ามา ''มองด้านใน''
แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น
เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห
ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด
สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น

วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ
การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะ
หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจาก สภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุด
อย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์

ปราชญ์จีนบอกว่า ...............
''ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขา แต่จงย้ายตัวเอง''

ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างในหรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก

วิสัชนา โดย ว.วชิรเมธี

ขอบคุณบทความจากพลังจิตดอทคอม

http://www.dhammadelivery.com/story-detail.php?sto_id=343



หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: Sticker ที่ เมษายน 20, 2009, 04:13:11 PM
:D :D :Dขอบคุณนะคะ...สำหรับธรรมะและข้อคิดดีๆ ;) ;) ;) ;)

    ::014:: ::014::มีแถมให้ด้วยค่ะ ::014:: ::014::

(http://www.dhammadelivery.com/images/story/story-343-big.jpg)

ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า

''น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด''

คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ
ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก
เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร
หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่ง
ที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ
เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่า
ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ
นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า
เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง

คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง
ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา
จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้

เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่น
ก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า
บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น
เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย
เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย
วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย

ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า

คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก
เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม

อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง
ความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย
มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า

วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า ''การกลับมาอยู่กับตัวเอง''
กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก
แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด
ก็ควรหันกลับเข้ามา ''มองด้านใน''
แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น
เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห
ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด
สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น

วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ
การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะ
หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจาก สภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุด
อย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์

ปราชญ์จีนบอกว่า ...............
''ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขา แต่จงย้ายตัวเอง''

ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างในหรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก

วิสัชนา โดย ว.วชิรเมธี

ขอบคุณบทความจากพลังจิตดอทคอม

http://www.dhammadelivery.com/story-detail.php?sto_id=343



สาธุ  ::014::   ;D  ;D  ;D  ::008::


หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ เมษายน 20, 2009, 06:24:56 PM

                                 (http://www.4x4.in.th/vision11/image/icono29.gif)                            (http://www.4x4.in.th/vision11/image/icono29.gif)



หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: flyingkob-รักในหลวง ที่ เมษายน 20, 2009, 07:30:27 PM
1.อย่าขับรถเร็วเกินที่ เทวดาประจำตัวของคุณบินทันเป็นอันขาด


2.การแก้แค้นไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเหมือนกับดื่มน้ำทะเลเวลาหิวน้ำนั่นแหละ


3.ความหมายของความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น


4."อย่ากลัวความฝันของคุณ: มันง่ายกว่าที่คิด"


5.นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทุกๆ4คนจะมีคนหนึ่งที่สติเพี้ยนๆลองเช็คเพื่อนคุณสัก3คนสิถ้าทุกคนปกติดีก็คุณน่ะแหละ


6.แบ่งปันรอยยิ้มของคุณให้กับทุกคน แต่ให้เก็บจุมพิตให้กับคนเพียงคนเดียว


7.น้ำตาจะให้คุณก็แค่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เหงื่อจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ


8.สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่วัตถุ


9.การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจคือการก้มลงแล้วช่วยคนอื่นให้ลุกขึ้น


10.คนๆหนึ่งอาจทำอะไรผิดพลาดได้ หลายอย่างแต่มันจะกลายเป็ นความพ่ายแพ้ไปจริงๆเมื่อ เขาเริ่มโยนความผิดไปให้คนอื่น


11.เรารู้สึกดีที่มีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นคนดี


12.มีแต่ปลาตายที่ลอยตามน้ำ


13.คุณค่าของคนๆหนี่งบอกได้ จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่ เขาไม่ต้องการ


14.เงยหน้าขึ้นรับแสงตะวัน แล้วคุณจะไม่มีวันพบกับเงามืด


15.คนอ่อนแอเท่านั้นที่ให้อภัยใครไม่เป็นการให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง


16.ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรา มีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้ พบเท่านั้น


17.เมื่อคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำอะไรทั้งนั้น


18.เด็กๆต้องการความรักมากที่สุดเมื่อพวกเขาทำตัวไม่น่ารัก


19.คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent (เงียบ)


หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ เมษายน 21, 2009, 02:10:31 PM
โอ้ ดีมากเลยครับพี่ ที่ผมชอบเป็นพิเศษ:

1.อย่าขับรถเร็วเกินที่ เทวดาประจำตัวของคุณบินทันเป็นอันขาด

13.คุณค่าของคนๆหนี่งบอกได้ จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่ เขาไม่ต้องการ

17.เมื่อคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำอะไรทั้งนั้น

18.เด็กๆต้องการความรักมากที่สุดเมื่อพวกเขาทำตัวไม่น่ารัก

19.คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent (เงียบ)


หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ เมษายน 21, 2009, 02:15:56 PM
ผมชอบเล่มนี้ครับ ได้ข่าวว่าตอนนี้พิมพ์เกือบ 150,000 เล่มแล้ว ;D

"ชวนม่วนชื่น"
ธรรมะบรรเิทิงหลายเรื่องเล่า โดย พระอาจารย์พรหม
จาก Opening the Door of Your Heart
แปลโดย ศรีวรา อิสสระ
พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน
พิมพ์ครั้งที่ ๑ : สิงหาคม ๒๕๔๙ จำนวน ๖,๕๐๐ เล่ม
แบบปก : ชัย ราชวัตร
จัดพิมพ์โดย โรงเรียนทอสี

http://www.thawsischool.com/dhamma-book/download/chuanmuanchaen.pdf


หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: flyingkob-รักในหลวง ที่ เมษายน 21, 2009, 02:21:42 PM
ผมชอบเล่มนี้ครับ ได้ข่าวว่าตอนนี้พิมพ์เกือบ 150,000 เล่มแล้ว ;D

"ชวนม่วนชื่น"
ธรรมะบรรเิทิงหลายเรื่องเล่า โดย พระอาจารย์พรหม
จาก Opening the Door of Your Heart
แปลโดย ศรีวรา อิสสระ
พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน
พิมพ์ครั้งที่ ๑ : สิงหาคม ๒๕๔๙ จำนวน ๖,๕๐๐ เล่ม
แบบปก : ชัย ราชวัตร
จัดพิมพ์โดย โรงเรียนทอสี

http://www.thawsischool.com/dhamma-book/download/chuanmuanchaen.pdf

มีรึยังครับ...ถ้าไม่มีจะเอาไปให้


หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ เมษายน 21, 2009, 02:25:27 PM
ผมมีแล้วครับพี่ ขอบคุณมากครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: flyingkob-รักในหลวง ที่ เมษายน 23, 2009, 09:06:33 PM
รู้ไหม...?  ทำไมน้ำตกถึงสวย...

พ่อ : รู้มั้ยลูก...ทำไมน้ำตกถึงสวย... 
ลูก : ก็เพราะมันเป็นน้ำตกไงคะพ่อ...
 พ่อ : ไม่ใช่หรอกลูก...   
 …ที่น้ำตกสวยน่ะ...   …เพราะน้ำตกไม่ยอมเก็บน้ำไว้ในชั้นของตัวเองต่างหาก... 
ลูก : หมายความว่าไงคะพ่อ... 
พ่อ : ลูกสังเกตไหมล่ะว่า... 
…เวลาน้ำตกตกลงมาจากชั้นหนึ่งแล้ว...   
 …น้ำนั้นก็จะถูกส่งต่อลงไปอีกชั้นหนึ่งทันที.. 
  …เพราะวิธีนี้ที่น้ำตก...ไม่เห็นแก่ตัว... 
  …แต่ยอมส่งน้ำที่ตกมาจากชั้นอื่น..แล้วส่งต่อกันไปเรื่อย ๆ อย่างนี้.. 
  …น้ำตก..ถึงสวย...   
…และน้ำตก..จึงยังคงเป็นน้ำตก...ที่มีเสน่ห์..ไงละ

  ข้อคิดจากเรื่องนี้... 
อย่าลืมน่ะลูก...   
ถ้าลูกอยากให้ตัวเองเป็นคนที่น่ารัก...   
ลูกควรจะเป็นอย่างน้ำตก..   
หากมีสิ่งดี ๆ ตกมาถึงตัวลูก...   
อย่าเก็บสิ่งดี ๆ นั้นไว้..คนเดียว..   
ลูกต้องเรียนรู้ที่จะ...แบ่งปัน...ออกไปให้มากที่สุด   
มีก็แต่คนที่ "ให้" ออกไปเท่านั้นแหละ...ลูก.. 
จึงจะเป็นคนที่ "ได้รับ" อย่างแท้จริง...   


หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ เมษายน 23, 2009, 09:08:39 PM


          ซ้าาาาา  ธุ ..... หลวงพ่อกบ  ....... 



หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: vvv_v ที่ เมษายน 23, 2009, 09:10:52 PM
 ::014:: ::014::


หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: flyingkob-รักในหลวง ที่ เมษายน 23, 2009, 09:49:55 PM


          ซ้าาาาา  ธุ ..... หลวงพ่อกบ  ....... 



ไอ๋หยา...........เป็นสมีครับพี่ปู


หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ เมษายน 23, 2009, 09:53:28 PM

                ::005::            ::005::



หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: flyingkob-รักในหลวง ที่ มิถุนายน 03, 2009, 11:53:35 AM
เรื่องราวคล้ายคลึงกันกับเรื่อง นมหนึ่งแก้ว ของฝรั่งครับ



' อย่าหนีนะ เจ้าเด็กขี้ขโมย '
      เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น
พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่าน
ฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น
แค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า

     ' อ้าวนั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ '

     ' ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ '
ป้าคนนั้นชื่อว่า ' ป้าหนอม ' เป็นแม่ค้าขายของชำ
สารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่มีฐานะ
จัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน
และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ
แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของ
มากเกินไปหรือถามราคาแล้วไม่ซื้อป้าแกจะโวยวาย
ชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว

เสียงเอะอะดังมากขึ้นฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือ
เด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบไล่เลี่ยกับฉัน
ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ
แม่จึงเดินเข้าไปถาม
 
 ' พี่หนอม มีไรหรอคะ '
 
 ' ก็คุณเด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ
พอฉันหยิบส่งให้ มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย '
 
พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที
และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้
 
 ' ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ '
 
แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่
 
 ' เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย
พ่อแม่ไม่สั่งสอนยังเด็กตัวแค่นี้ก็รึจะเป็นขโมยซะแล้ว
ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ '

ฉ ันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ
ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่าแม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า
 
 ' อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอมเด็กมันคงอยากซื้อยา
แต่ไม่มีเงินนะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะกี่บาทกันละ '

ในที่สุดเรื่องก็จบลงโดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายา
แก้ปวดกับยาธาตุแล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด
แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่
 
 ' ใจดีกับเด็กขี้ขโมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ '

แม่ไม่ได้ตอบอะไรแต่พอเดินห่างจากร้านพอสมควรแ ล้วก็ถามว่า

 ' ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ '
 
เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า
 
 ' แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอผมก็เลยต้อง... '

แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยืนผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็ก
คนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า
 
 ' ทีหลังอย่าขโมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ
น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆนี่เองถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้า
แทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไปฝากคุณแม่ซิคนป่วยนะต้อง
กินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย '

แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรับส้ม
พร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป

หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที

' ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนันด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ '

แม่ยิ้มแล้วตอบฉันว่า

 ' ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขาย
อยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอกแม่ซื้อขนม
แกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง '

 ' แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่ '

ฉันถามต่อ   แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า
 
 ' แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆกับลูก
จะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบรู้คุณค่าของเงินทุกบาท
ทุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหนและคนที่มี
ความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆ
เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น '

ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า
 
 ' แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า '
 
 ' ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร

 ' แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอบ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือน
บ้านป้าหนอมเขานะแม่ '

' ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนักแต่การที่ได้ช่วยเหลือคน
ที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุขแล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ
แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก '

แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า

 ' จำไว้นะลูก คนเรานะต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคน
อื่นแก้ตัวเสมออย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะ
รักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้ '

แล้วแม่ก็พูดต่อว่า

 ' ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งทีผิด ใช่...แม่ไม่เถียงแต่บางครั้ง
คนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆบ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ '

หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆกันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้
ี้อีกเลย จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีก
ครั้งทั้งน้ำตา ว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ


หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏ
แห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วฉันก็ได้งา นทำในโรงงานในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก
ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้าเพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้าง
หลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน แม่ยอมปิดร้าน
แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน
แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้อง
ยอมตามใจแม่
 
  ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายเริ่มจาก
ปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆไม่กี่วันก็หายหลังจากนั้นก็เริ่ม
เป็นนานขึ้นเรื่อยๆ ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอแล้วฉันก็พาแม่
ไปหาหมอในเมืองหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนัก
มากเกินไปหมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ
จะได้หายเร็วๆ
 
  หลังจากกินยาตามที่หมอสั่งอาการปวดหัวของแม่ก็หายไป
ฉันเริ่มสบายใจขึ้น แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน
แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีกคราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว
ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย

  ฉันกังวลใจมากพอถามหมอหมอก็บอกว่าต้องไปตรวจ
ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯเพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่า
โรงพยาบาลต่างจังหวัด
 
  หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯทันที
ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งหลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่า
มีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับ
เส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรง
ถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากของให้หมอผ่าตัดให้ทันทีแต่หมอบอกว่า
โรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอก
ในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า
 
  ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง
หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว
แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจ
อยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่และจากคำพูดของหมอ
ที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้
 
  หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก
โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัด
จะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมอง
ค่อนข้างสูง   เป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายาระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท
 
ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน
ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หายส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง
 
  หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลงเป็นโชคดีของแม่ทีการผ่าตัด
ประสบผลสำเร็จและไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆทางโรงพยาบาล
บอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้

  ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฏว่า
เป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาทเป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น
 
  ฉันแปลกใจมากจึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่า
คุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้ บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ
 
  ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัว
ไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ
ผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่
 
  โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉัน พร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้
 
  เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น
 
  เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน
 

 


เนื้อความในจดหมายมีดังนี้
 
      ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร   ภู่จันทร์
  ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้
         ค่าผ่าตัด                           0 บาท
          ค่ายาทั้งหมด                       0 บาท
          ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ                 0 บาท
          รวมเป็นเงินทั้งหมด                 0 บาท
  ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วย ยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง
  ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า
 
                                นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร



ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความ

และเพื่อนๆที่ FW Mail ดีๆมาให้

ที่ลืมไม่ได้ขอบคุณท่านที่อ่านจนจบ

และขอบคุณมากๆที่เผยแพร่ต่อไป

ขอบคุณจริงๆ


หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ มิถุนายน 03, 2009, 11:59:30 AM

      เคยได้รับเช่นกัน  อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆ อ่านอีกกีครั้งก็รู้สึกเช่นเดิม ...... ขอบคุณน้ากบครับ



หัวข้อ: Re: ธรรมะรายวัน
เริ่มหัวข้อโดย: cobra-รักในหลวง ที่ มิถุนายน 03, 2009, 04:01:58 PM
เด็กสมัยนี้ไม่ทราบว่าเคยสนใจที่จะอ่านกันบ้างหรือเปล่านะครับ +1ให้ครับ ขอบคุณมากครับ สำหรับสิ่งดีๆที่นำมาให้อ่านครับ