เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนไทยเราสมัยนี้หันกลับมาบูชา ชูชก ทั้งๆที่ตามตำนาน ชูชกเป็นสัญลักษณ์ของความตะกละ เป็นสัญลักษณ์ของความโหดร้าย ใจร้าย  ความโลภ ความไม่รู้จักพอและยังมีลักษณะ บุรุษโทษ 18 ประการอีกด้วย งงจริงๆ

                               ใครนับถือเหรอครับ

 :) คงถึงยุค "กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม ผู้ดีจะเดินตรอก ขี้ครอกจะเดินถนน" แล้วละครับ คนไทยยุคนี้เปลี่ยนไปเยอะครับ

(http://image.ohozaa.com/ih/spd_20091112232852_b.jpg) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=cbd1b4c2c4fad6f7f9d8ce853b541cca)
ผู้ ใดมีไว้บูชาจะไม่มีคำว่าอดยาก อธิฐานขอสิ่งใดก็จะประสบความสำเร็จ ได้ดั่งใจปรารถนา และมีพุทธคุณโดดเด่นทางด้านโชคลาภเมตตาค้าขาย ผู้ใดที่ทำกิจการค้าขายไม่ประสบผลสำเร็จ ถ้ามีชูชกไว้ครอบครองบูชาจะทำให้กิจการหรือธุรกิจนั้น ๆ เจริญรุ่งเรือง

ชู ชกมีดวงเกิดที่ถือว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว ห่อทอง ดวงเสาร์ร่วมราหูกุมลักษณ์ เป็นดวงของเย็น เป็นผู้ที่มีกายเย็น วาจาเย็น (สุภาพ) จิตใจเย็น ผู้ที่มีลักษณะเช่นนี้จะเป็นผู้ที่มีเงินทอง ซึ่งเป็นของกายสิทธิ์ไหลเข้ามาแล้วไม่ไหลออก จึงร่ำรวยมั่นคง ไม่เหมือนกับ ผู้ที่ดวงชะตารุ่มร้อน เงินทองก็ไม่อยากจะอยู่ด้วย และในแผ่นดวงของชูชก ดวงดาวอาทิตย์ พุธ ศุกร์ เล็งลัคนากันถือว่าเป็นศุภ แม้ว่ารูปร่างหน้าตาหรืออายุมาก แต่มักจะได้อะไรสวย ๆ งาม ๆ เป็นคู่ครอง และคู่ครองจะซื่อสัตย์ไม่คิดนอกอกนอกใจ อย่างเช่นที่ได้นางอมิตตามีอายุคราวลูก แต่ก็ยังรักและรับใช้ชูชกอย่างไม่หน่ายแหนง
ฉะนั้น ถ้าใครอยากได้ภรรยาสวยจะต้องบูชาชูชก เพราะต้องอาศัยดวงของ ชูชกเข้ามาค้ำชู
ชูชกเพิ่มพูนทรัพย์ขนาด ห้อยคอ รุ่นนี้เป็นรุ่นที่โด่งดังมีประสบการณ์สูง บูชาไว้ติดตัวหรือไว้กับห้างร้านบ้านพักที่อยู่อาภัยเรียกเงินโชค โชคลาภ.


**คาถาบูชาชูชก เพิ่มพูนทรัพย์**
ตั้งนะโมฯ 3 จบ จุดธูป 5 ดอก
อิติ สุคะโต ชะนาสุโภ ชูชะโก สุคะโต อิติ (5 จบ)
อธิษฐานขอพรตามปรารถนา นำติดตัวเวลาเดินทาง ปฏิบัติงาน ค้าขาย
*************************************************

ผมได้ยินการบูชาชูชกมานานแล้ว ครับ   ที่เขาบูชากัน ในความคิดผมผมว่าเค้าบูชาที่คนปลุกเสกมากกว่า ครับ
ส่วนตัวผมไม่ ชอบ ครับ บูชาชูชก ผม บูชา ปลัดขิก  อาจารย์ยิก  ดีกว่า ครับ (วิ่งแข่งกับเรือหางยาวก็ได้ ด้วย ) ::014::

นี่ครับ  น้าปู  เดี๋ยวนี้วัดดัง ๆ ทำออกมาเพียบเลย   ผมไม่ทราบว่าพระท่านที่ทำออกมาคิดยังไงครับ .......   :OO

http://www.google.co.th/images?hl=th&q=%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%81&um=1&ie=UTF-8&source=og&sa=N&tab=wi&biw=1440&bih=775 (http://www.google.co.th/images?hl=th&q=%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%81&um=1&ie=UTF-8&source=og&sa=N&tab=wi&biw=1440&bih=775)

                       อ๋อ   วัดประเภทนั้นผมไม่เข้าอยู่แล้วครับ  .....  เรี่ยไรตั้งแต่ประตูเข้ายันประตูออก    แหวะ

ตามพระเวสสันดรชาดก ชูชกไม่มีอะไรดี คอยมาเบียดเบียน พระเวสสันดร ตลอด
 นึกขึ้นได้อีกอย่างที่มีดีคือ นางอมิตดา ผู้เลอโฉม (และอวบอั๋น) ผู้คอยมาปรนนิบัติ ชูชกอย่างพร้อมพรั่ง

อีกหน่อยอาจจะมี วัตถุมงคล นางอมิตดาออกมาก็ได้ ว่าแล้วก็ส่งเข้าประกวดเลย เซเลอร์มูนเนี่ยแหละครับ


(http://[url=http://images.fanpop.com/images/image_uploads/Sailor-Moon-sailor-moon-254563_300_327.jpg]http://images.fanpop.com/images/image_uploads/Sailor-Moon-sailor-moon-254563_300_327.jpg[/url])

(http://upic.me/i/xt/picture125sss.jpg) (http://upic.me/show/16737435)

                                                           วัดนี้สิครับน่าเข้า  ทั้งวัดมีตู้รับบริจาคอยู่ใบเดียว เขียนไว้ว่า

                           " ถ้าท่านยังมีภาระหนักเรื่องค่าใช้จ่ายในครอบครัว ไม่จำเป็นต้องบริจาค"

ประมาณว่าคนบูชาไปแล้วคงจะชั่วเหมือนชูชกกระมัง .........ฮา   ::005::

        เยี่ยม ครับลุงปู
วัดแบบนี้  พักหลังผมทำทาน
มากกว่าทำบุญ ให้เขากินเห็นเลยว่าอิ่ม
ให้เสื้อผ้าเห็นเลยว่าเขาได้ใส่ รู้สึกสบายใจ
ที่ได้ช่วยคนตกทุกข์ได้ยากครับ.................... ::014::

พ่อผม มักสอนผมเสมอ ครับ ว่า ถ้าคิดจะเล่นพระ หรือหัดเช่าพระ
ให้เล่น พระจำพวก 2505 ถอยกลับไป เพราะหลังจาก 2505 มักจะเป็น พุทธพานิชซะส่วนใหญ่
  เดี๋ยวนี้หาเงิน ล้วนๆครับ  พอหมดปั๊มใหม่  ไม่เหมือนเมื่อก่อน  สร้างเพื่อ แจก (เจตนาบริสุทธิ์)    
แต่ หลังจาก 2505 แล้วที่ชอบ ก็หลวงพ่อเงินปี 15 (รุ่นปืนแตก) ที่ยังชอบอยู่ครับ
 พูดไปพูดมานึกถึง อาจารย์ ยันตระสร้างหลวงพ่อทวด ที่วัดหลวงแห่งนึง ใน สุราษ ให้เช่า เนื่อง นวะองค์ละ  299 เงิน 499
 พ่อผมไปเช่ามา 20 องค์ อีก 1อาทิตย์ เนื้อเงินเพิ่มเป็น 2000 (ในสนาม) พ่อผม ปล่อยเกลี้ยงไม่เหลือซักองค์เดียว
ผมถามพ่อว่า "ทำไมไม่เก็บไว้บ้าง  ปล่อยทำไม กะว่าจะขึ้นคอซักองค์"
พ่อผม บอกผมว่า" มึงคอยดู กูว่า มันแปลกๆ ไอ้อาจารย์คนนี้"  ผมก็เชื่อ ครับ หลังจากนั้นไม่นาน ยันตระ กลายเป็น ยันดะ ซะ
เหลือ องค์ละ 200 ทันที พ่อผม เลี้ยงโต๊ะใหญ่ 1โต๊ะ ;D ;D
 สรุป   อยู่ที่เจตนา คนสร้าง ครับ ::014::

เห็นหลายคนเอามาห้อยกับพวงกุญแจครับ...

ผมคิดว่าเป็นความเชื่อถือส่วนบุคคล
นับถือแล้วสบายใจ  ไม่ทำให้ใครเดือนร้อน
ก็ตามสบายเถอะครับ  สำหรับผมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครับ ::014::

โอวว์.  เค้าไปกันขนาดนี้แล้วเหรอ...

หาที่ยึดเหนี่ยวโดยไม่ยั้งคิด...วิปริตไปใหญ่.. ::010::

ส่วนใหญ่คนที่บูชาชูชกจะเชื่อเรื่องการขอ ชูชกเป็นขอทานจะขอเงินขอทองได้ทุกอย่าง คนเลยเชื่อว่าถ้าบูชาแล้วจะขอได้อย่างชูชก

ทำออกมาหลอกเอาเงินคนโง่งมงาย   :~)

...เพี้ยนแล้ว  ::009::

ส่วนตัวคิดว่า เราบูชาคนที่ควรเป็นแบบอย่าง ถามมีอะไรที่ชูชก เป็นแบบอย่างที่ควรบูชาบ้าง

เป็นคนขยันขันแข็งทำมาหากิน หรือก็เปล่า ขอเอาทรัพย์จากเขาทั้งนั้น เอาทรัพย์ไปฝากถูกโกงก็เอาหญิงสาวคราวลูกเค้ามาทำเมีย(ค้ามนุษย์)

ฉวยโอกาส เอาของผู้อื่น ขอพระกัลหากับชาลีมาเป็นคนรับใช้(ทาส) เพราะรู้ว่าพระเวสสัญดร บำเพ็ญทานบรามียังไงก็ต้องให้

คนอย่างชูชกผมมองเห็นเป็นคนอยากสบายแต่ไม่อยากออกแรง...คนเยี่ยงนี้สมควรนำมาบูชาหรือ

เมืองไทยเมืองพุทธแท้ ๆ แต่ไม่ค่อยได้แก่น บูชา นี่นั่นโน้น ก็เลยกลายเป็นงมงายไป

จิ้กจก 2 หาง ยังไหว้กันหัวคู้เลย ครับ  นับประสาอะไรกับชูชก
ยังมีต้นตะเคียน ที่ผมเยี่ยว ใส่ทุกวัน ผ่านไป 2 ปีผ้าแดง 7สี กราบกันเข้าไป   ::007:: ::007::

คนมากราบไม่เหม็นเยี่ยวบ้างเหรอครับ   ::005::

ถึงจะกินอิ่มแค่ไหน... ท้ายที่สุด... ชูชกก็ท้องแตกตายครับ...;D ;D ;D

...ผมว่าบูชาปลัดขิก... เข้าท่ากว่านะครับ... ::005:: ::005:: ::005::

::014::

 ::002::เห็นด้วยครับ

มงคล 38 ประการ
ข้อ ๓.  การบูชาบุคคลที่ควรบูชา

เดี๋ยวนี้ เค้าชอบทำอะไรแปลกๆ ครับ
พระที่ทำ ต้องมานั่งไหว้รูปชูชก เฮ้อ

ต้องถามคนที่ไป ยกมือไหว้ต้นตะเคียนดู ครับ อยู่ที่ วัดใหม่พัฒนาราม จ. สุราษฎร์ธานี ต้นข้างกุฎิอาจารย์จิต(รองเจ้าอาวาส)
ไอ้ต้น สูงๆ เข้าไปจะเห็นเอง ครับ  แต่อย่าแวะเข้าไปกุฎิ อาจารย์ชัย นะครับ เดี๋ยวจะได้ของขลัง กลับบ้านเต็มๆพร้อมกระเป๋าตังค์ที่
 แห้งสนิท    น่าจะเป็นพระ องค์เดียวในวัดครับที่ผม ไม่เคย เข้าไปกราบหรือทักทาย ไปอยู่ตั้งเกือบปี  ::005::
วัดนี้ผมแนะนำให้เข้าหา เจ้าอาวาส ครับ สุดยอดพระนักพัฒนา อยู่กับท่านอาจารย์ เหนื่อย สุดๆแต่ ผมชอบครับ ::014:: ::002::
ที่นั่น ผมสร้างอิทธิพลไว้ในครัว ครับ แม่ครัวใหญ่ กับผมซี้ปึ๊ก ทั้ง ป้าคุ้ม ยายเอียด  ::007:: ::007::
ไป สุราษทีไรไปหาข้าวกินฟรีทุกที ::005:: ::005:: ::007:: ::014::

ไอ้พวกหมอดูด้วยครับ....ดูแล้วให้บูชาโน้นนี้ ปีนี้ใครเกิดตรงปีเกิดให้บูชา  ชูชก เพี้ยนไปใหญ่ ::006:: ::006::

 อีกสักพักคงให้บูชา โดเรมอน เพราะในกระเป๋าหน้าท้อง มีของทุกอย่าง    ::003:: ::005::

เจลแป๊ะหน้าฝากลดใข้ยังใหว้มาแล้วเลย.... ;D

ดีใจมากที่เห็นกระทู้นี้ ผมเป็นอีกคนที่ไม่ชอบบูชาชูชก

โดยเฉพาะเมื่อมีรายการ TV. นำมาเสนอ ผู้หญิงคนนึงเรียกว่าพ่อ

โถ....อยากให้พี่เป๊กแฟนน้อง.......มาด่าซะให้

คิดว่าเธอคงภูมิใจที่มีพ่อเป็นชูชก

ส่วนเรื่องพระที่สร้างนั้นส่วนหนึ่ง ผมว่า เพราะลูกศิษย์ตัวดี

ที่ไม่ค่อยมีความคิดนั่นแหละครับ

ไม่ชอบ เกลียด ลบหลู่ ดูหมิ่น ชูชก
 >:( 

ขำที่สุดคือเมื่อไม่กี่ปีก่อน ที่มีน้ำจากบ่อส้วมแตกซึมขึ้นมาบนดินเป็นน้ำพุ ชาวบ้านกราบไหว้กันใหญ่ว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ เห็นภาพข่าวคนกราบไหว้ใส่เสื้ออะไรไม่รู้ มีตัวอักษรย่อว่า ทรท ด้วย  ::007::

จนท.กรมทรัพย์ฯไปสำรวจ บอกว่าอาจจะเป็นน้ำที่แตกออกมาจากส้วม ก็โกรธใหญ่โตหาว่าลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พอขุดเจอจริงๆว่าไหลมาจากบ่อส้วม วงแตกสิครับ

ไม่รู้มีใครเอาไปล้างหน้า ดื่มกินเพื่อความเป็นสิริมงคลไปแล้วมั่ง  ::007:: ::007::

::005:: ::005:: ::005:: ::005::

คนโง่ในประเทศไทยยังมีอยู่แยะครับ, คนพวกนี้บอกอะไรให้ฟังไม่ได้ หากขัดกับความคิดของพวกมัน มันก็โมโหใส่ เจ้าอารมณ์... เวลาคนมันโง่ มันโง่จริงๆ แบบที่ไม่คิดว่ามันจะโง่ได้แบบนี้ครับ, สิ่งที่ควรคิดไม่รู้จักคิด แต่ไปพยายามคิดแบบโง่ โดยหวังให้ได้รับผล(ที่คิดไปเอง)ว่าฉลาด...

บางท่านก็ว่าความเชื่อของคนอื่นไม่ทำอะไรให้เราเดือดร้อน มันก็ใช่ครับ, แต่ถ้าคิดให้ดีมันทำเราเดือดร้อนทางอ้อมครับ... ก็คือกลายเป็นส่งเสริมให้นิยม+บูชาสิ่งไร้เหตุผล เพื่อหวังผลในสิ่งที่เลื่อนลอย, ในสังคมก็จะมีแต่คนโง่เป็นส่วนใหญ่ ในที่สุดมันก็ลากกันลงเหว ลากกันไปเผาเมือง... เฮ้อ...

บ้านผมเรียก ว่า "โง่ได้ถ้วย" ครับ

ในวัฎจักรแห่งอารยธรรม
หากเมื่อใด มีความอุดมสมบูรณ์ การค้าขายเจริญรุ่งเรือง พระธรรมย่อมเจริญตาม
หากเมื่อใด เกิดข้าวยากหมากแพง การค้าขายตกต่ำ  มารและภูติผีจะครองเมือง

ไม่รู้ว่าคนบูชาขอทานชูชก คงอยากจะมีจุดจบเหมือน ชูชก บ้างรึปล่าว 555

                             ชอบครับ

ชูชกยังเลวน้อยกว่าเวสสันดรครับ  ::009::

อาหารจากโรงครัววัดใหม่อร่อยมากครับ อร่อยกว่าตามร้านอาหารดีๆหลายแห่งเลย คนไม่ใจดีปรุงออกมาแบบนี้ไม่ได้ครับ  ::002::

  ถูกใจครับน้าสมชาย + ให้ครับ  

  คนพวกนี้อ่อนแอทางด้านจิตใจมากครับ ไม่รู้จะพึ่งอะไร งานที่ทำก็ไม่ดี ส.ส.ก็พึ่งไม่ได้ ญาติพี่น้องก็ไม่ช่วย เลยหาตัวช่วยแบบนี้

  ฝรั่งที่มันมาบ้านเราเมืองเราไม่เห็นมันห้อยอะไรเลย บ้านเมืองมันก็เจริญ ญี่ปุ่นก็ไม่เห็นต้องห้อยพระส่งออกแต่อุตสาหกรรมนำเราไปไหนๆ
 
  

 

ใช่ครับ ทั้งอร่อยทั้งอิ่ม แถมตังค์อยู่ครบ  ::005:: ::005::
แต่ทำบุญ ครั้งละ 100 -200 ครับ  อิ่มด้วยได้บุญด้วย   ::002::

wow..... :OO อุเหม่ๆๆๆ

เอามาแจม
Criss Angel Walks on Water (http://www.youtube.com/watch?v=sBQLq2VmZcA#)

ผมเข้าใจในความหมายที่ต้องการสื่อครับว่าหมายถึงสิ่งใด  แต่พุทธเป็นปรัชญาครับ สิ่งที่เห็น สิ่งที่อ่านต้องนำมาคิดนำมากลั่นกรองครับ  ::014:: ::014::

สนใจแลกเปลี่ยน PM มาได้ครับพี่  ;D ;D

เรื่องเครื่องรางชูชก ไม่ได้เพิ่งมีครับ  เท่าที่ผมจำได้ มาโด่งดังสุดๆ ช่วงปี 38-39 พร้อมๆ กับแฟชั่นใส่เสื้อลายขาวดำกันทั้งเมือง  ตอนนั้นผมเคยคุยกับคนในครอบครัวว่า การใส่เสื้อขาวดำ-ดำขาวทั้งเมือง แล้วก็การเช่าหาชูชก แสดงว่าเมืองไทยจะต้องเกิดเหตุอะไรบางอย่างแน่ๆ

ชูชก เป็นหนึ่งในเครื่องรางที่ผมไม่เคยสนใจใคร่บูชาเลยตั้งแต่ไหนแต่ไรมา แม้ว่าจะเป็นรุ่นที่พระอาจารย์ที่ผมนับถือเป็นผู้ปลุกเสกก็ตาม  เพราะเคยอ่านพบมาตั้งแต่สมัยที่สวดท่องพระคาถาต่างๆ ว่า คนที่บูชาหรือสวดคาถาบูชาชูชกเป็นประจำนั้น ราศีขอทานเข้าตัวครับ

ส่วนเรื่องพระเวสสันดร ประเด็นมันละเอียดอ่อน ผู้ที่ไม่ได้บำเพ็ญโพธิญาณธรรมเพื่อการตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่พึงเอาวิสัยของปุถุชนไปตัดสินครับ  เพราะเป็นสิ่งเกินวิสัยและขัดกับวิสัยของผู้ที่ยังข้องอยู่กับโลกย์จะเข้าถึงได้

พระพุทธศาสนาในเมืองไทยมีแยกย่อยตั้งแต่กระพี้ถึงแก่น  ใครเข้าถึงแก่นก็พบอมตธรรม ใครเข้าถึงกระพี้ก็ตัวใครตัวมันแหละครับ ;D

งั้น.....

ทำไมกระทรวงศึกษา,สถาบันสงฆ์ถึงเอาเรื่องที่สุ่มเสี่ยงต่อความเป็นคน"เห็นแก่ตัวอย่างต่ำช้า"มาให้เยาวชนต้องร่ำเรียนโดยไร้คำอธิบายในเชิงลึกเยี่ยงนี้ละครับเฮีย ?

เพราะไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน ไม่เคยมีการอธิบายที่ช่วยให้แยกแยะออก.........คนเอาสมบัติคู่บ้านคู่เมืองไปยกให้คนอื่นจนเดือดร้อนลำเค็ญไปทั้งแผ่นดิน , คนที่ลากลูกเมียมาตกระกำรับใช้อยู่กลางป่า,คนที่ยกลูกยกเมียให้เป็นทาสคนต่ำช้า.....ลูกถูกทำทารุณต่อหน้าต่อตาก็มัวแต่ห่วงความหลุดพ้นส่วนตน ไม่มีสำนึกในความเป็นพ่อมากพอที่จะเข้าปกป้องฯลฯ

เป็นตัวอย่างเจ้าแผ่นดินที่เลว เป็นตัวอย่างพ่อ/สามีที่โคตรสารเลว........คนแบบนี้ผมยกย่องนับถือไม่ลงครับ

.....ประเด็นนี้ทำให้ผมติดร.วิชาภาษาไทย แก้ร.เทอมนี้2ครั้ง ด้วยความที่อ.ผู้สอนไม่สามารถแก้ปมความคิด(ข้อขัดแย้ง)อันนี้ได้ก็เลยดึงดันความเห็นจนไม่ผ่านทั้ง2ครั้ง.........ลงเรียนซ้ำ อ.ให้ไปสอนบทนี้ก็ยังยืนยันความคิดจน"ไม่ผ่าน" กระทั่งเอ็นท์ติดไปลงเรียนซ้ำอีกทีอ.ถึงบอกว่า"ครูให้เธอจบไปเรียนต่อเลยละกัน ครูไม่ทะเลาะกับเธอแล้ว"

อ.คนเดียวกันนี้ มาตื๊อให้ผมเข้าอ่าน"ลิลิตตะเลงพ่าย"ประกวดระดับม.ปลายด้วยนะเออ  ;D

คุณตะพุ่นหญ้าช้าง ศึกษาอะไรก็ศึกษาให้ครบให้ลึก ( สักหน่อย )แล้วจะรู้เอง

แม้กระทั้งศึกษาแล้ว คุณก็คงไม่ยอมรับอยู่ดีในกรณีพระเวสสันดอน

เห็นด้วยครับ... เพราะไม่มีคำอธิบาย ครั้นจะพึ่งครูให้อธิบายเล่า ครูก็มีหลากหลายระดับสติปัญญาครับ...

วัตถุนิยม
คนที่บูชาชูชกก็คือคนที่อยากได้ อยากมี แต่ไม่อยากทำอะไรให้มีขึ้นมา
ต้องการแต่จะสบาย ต้องการให้มีคนหยิบยื่นให้ แบมือขออย่างเดียว

ป่วยการที่จะแก้ไขคนแบบนี้ครับ

คนที่ไม่ทำอะไร แต่อยากจะสบาย อยากจะได้ อยากจะมี
ไม่เคยเห็นใครเจริญสักคน

Ha ha ยายมาฮา  ไอ้ฤษีหน้าโง่  อยู่ในป่ามานาน  ฮา

บรรยากาศรมรื่นครับ  ห่างจากบ้านผม 15 กิโล

เดาว่าท่านคงไม่ใช่นับถือศาสนาพุทธ

 ::002::เห็นด้วยครับ

นายสมชายว่าเรื่องชาดกฯ ไม่ใช่แกนของพระพุทธศาสนาครับ... แกนของพระพุทธศาสนาคือละวาง ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว จะได้มีสติคิดหาเหตุผลด้วยตนเองได้ครับ, วิธีการโดยสรุปคือศีล(มีวินัยกำกับตนเองเพื่อตัดความยุ่งยากในอนาคต) สมาธิ(มีสติไม่ฟุ้งซ่าน) แล้วเกิดปัญญาครับ...

ส่วนเรื่องชาดกฯ สร้างขึ้นมาเพื่อให้คนเข้าวัด แล้วเกิดความสงสัยใคร่รู้ พระสงฆ์จะได้ถือโอกาสสั่งสอนครับ... ทีนี้ปัญหามันเกิดอีตรงตั้งคำถามไว้ในชาดกฯ แต่ไม่ได้ใส่คำเฉลยเอาไว้, คนปัญญาทึบเลยนึกไม่ออกครับ...

พุทธครับ เคยถวายพระประธาน เคยบูรณะอุโบสถ สมาชิกในครอบครัวเข้ากรรมฐานทุกปี

แต่ผมไม่ชอบถูกเอานิทานชุ่ยๆที่มีความเห่ยแบบชัดๆมายัดเยียดให้เชื่อ ตัวละครในชาดกเกือบทุกเรื่องมองได้2แง่ ถ้าเชื่อทันทีที่เค้าสอนแล้วเอาไปสอบอย่างเดียวก็แล้วไป

แต่ถ้าใครสะดุดซักนิด แวะคิดในแง่พฤติกรรม"ความเป็นคน"ที่เห็นได้ทันทีซักหน่อย จะเจอว่าหลายเรื่องไม่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างเลย....

จะแต่งนิทานเชิดชูอริยบุคคลมาให้เด็กเรียน น่าจะทำให้ดีกว่านี้ครับไม่อย่างนั้นก็จะได้ความศรัทธาจากคน2กลุ่มบน-ล่าง

กลุ่มแรกคือคนที่สั่งให้เชื่อปุ๊บก็เชื่อเลย ไม่เคยเอะใจมาพิจารณาอะไร....กลุ่มนี้จะเป็นตลาดล่างสุด พวกเดียวกับที่บูชาชูชก ไหว้ปลัดขิก/เสมียนจิ๋ม

อีกกลุ่มก็เป็นพวกบนสุดๆไปเลย คือสามารถตีความ/เข้าใจนัยยะที่แฝงมา(โคตรลึก และไม่มีความสมเหตุสมผล)ได้........สารภาพว่าภูมิปัญญาของผมยังไปไม่ถึงระดับนี้



.....กลุ่มที่จะมีปัญหาคือพวกที่อยู่ตรงกลาง พวกที่หยุดคิด ตรองด้วยเหตุผลทางโลก"ธรรมดาๆ"ใช้ความเป็นปุถุชน ใช้มาตรฐานคุณธรรมทั่วไปมาตัดสินพฤติกรรมของตัวละคร

กลุ่มนี้จะแคลงใจในความ"ไม่เนียน,ไม่น่านับถือ"ของตัวละครหลายตัวในนิทานศาสนาหลายๆเรื่องครับ

ผมยังติดอยู่ในกลุ่มนี้  ::012::

ในความเป็นวิมุติของพระอรหันตเจ้านั้นโลกธาตุทั้งสามถือว่าเป็นสิ่งสมมติ...เป็นกิเลส ตัณหา ราคะ

พระพุทธเจ้าทรงสอนโลกว่า..ผู้ที่บรรลุแล้วซึ่งกิเลสทั้งหลายจะเห็นความว่างเปล่า..ไม่มีภูเขา..ไม่มีต้นไม้

ไม่มีผู้คน..นั่นหมายถึงการปล่อยวางจากทุกสรรพสิ่ง

                     อย่างเราๆท่านๆทั้งหลายซึ่งได้เกิดมาในหนึ่งชาติภพและเราได้คิดดี ทำดีในโลกธาตุใบนี้

ก็ถือว่าได้สั่งสมบุญบารมีไว้ในหนึ่งชาติแล้ว..ส่วนพระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นก่อนจะถึงซึ่งพระนิพพาน

รู้แจ้งเห็นจริงนั้นได้ผ่านการบำเพ็ญทานบารมีมา 500 ชาติภพ 4 อสงขัย..หากลองเทียบบัญญัติไตรยางค์

ตามแบบของโลกหยาบๆใบนี้ของเราดูก็คงจะพอรู้ได้ว่าตัวเราเปรียบเหมือนฝุ่นผงของจักรวาล..

เรียนท่านสมชาย.........ผมก็กำลังสงสัยเรื่องชาดกอยู่พอดี

ว่า  หลังจากพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ผ่านพ้นไปนานแล้ว     ชาดกนี้เพิ่งเกิดมาตามหลังใช่ไหมครับ

ผมสงสัยว่าชาดกเป็นพุทธแท้ ๆ   หรือมีความเชื่ออย่างอื่นเจือปนอยู่

หรือชาดกนี้มาจากพระโอษของพระพุทธองค์  ด้วยครับ

หรือท่านอื่นมีความเห็นอย่างไร    ขอร่วมเสวนาครับ

          ชาดก (สันสกฤต และ บาลี: जातक) คือ เรื่องราวหรือชีวประวัติในชาติก่อนของพระพุทธเจ้า คือ สมัยที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้อยู่
พระองค์ทรงนำมาเล่าให้พระสงฆ์ฟังในโอกาสต่าง ๆ เรียกเรื่องในอดีตของพระองค์นี้ว่า ชาดก

          ชาดกเป็นเรื่องเล่าคล้ายนิทาน บางครั้งจึงเรียกว่า นิทานชาดก แต่มีความหมายแตกต่างจากนิทานที่เล่ากันทั่วไป คือ ชาดกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แต่นิทานเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น
ชาดกที่ทรงเล่านั้นมีนับพันเรื่อง หมายถึง พระองค์ได้เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์นับพันชาติ โดยทรงเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์บ้าง แต่ที่รู้จักกันโดยทั่วไป
คือ 10 ชาติสุดท้ายที่เรียกว่า ทศชาติชาดก และชาติสุดท้ายที่สุดที่ทรงเกิดเป็นพระเวสสันดร จึงเรียกเรื่องพระเวสสันดรนี้ว่า เวสสันดรชาดก

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81 (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81)

นิทานชาดกเป็นนิทานที่ต้องใช้สิติปัญาคิดวิเคราะห์มากซักนิดครับ   ไม่เหมือนกับนิทานอิสปอ่านเสร็จทราบทันที่ว่าผู้แต่งต้องการอะไร 

ถ้าพูดถึงเรื่องพระเวสสันดรชาดก  เราต้องคิดว่าทำไมพระเวสสันดรถึงบริจากทานต่าง ๆ  พระองค์มีเหตุผลแค่ต้องการบริจากทานแค่นั้นจริง ๆ

หรือมีนัยยะอะไรแอบแฝงอยู่ครับ    ที่สำคัญเราต้องอ่านเรื่องพระเวสสันดรชาดกอย่างละเอียดด้วย  ในหนังสือบทเรีบยบางครั้งยกมาแต่บางช่วง  บางตอน 

หรือเป็นเรื่องย่อ ๆ มาทำให้เรารับรู้เรื่องราวไม่ทั้งหมด ........  ::014::

 ::002:: ::002:: ::002::

ผมว่าเราไม่ได้ตามหลังประเทศทางตะวันตกแค่ 50 ปี อย่างที่เข้าใจแล้วล่ะครับ
เพราะยุคมืดของยุโรปเขาผ่านมาร่วม 400 ปีแล้วนะครับ  :~) :~) :~)
เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคมืดจริงๆ เหรอครับนี่

เข้าใจสิ่งที่ท่านกำลังจะสื่อครับ  แต่เกรงว่าถ้อยคำจะรุนแรงไปหรือไม่ครับ
เดี๋ยวพวกที่บูชาชูชกมาอ่านเข้ามันจะไปกันใหญ่น่ะครับ   ;D
อ่อ..  นิดหนึ่งครับ บางเรื่องผมเห็นว่าถ้าเราก็คิดว่าเรายังสงสัยอยู่ หรือยังไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
หากเราจะไปด่วนตัดสินว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด ทั้งที่เราก้รู้อยู่แล้วว่าเราไม่เข้าใจนั้น
ผมว่าก็สุ่มเสี่ยงอยู่เหมือนกันนะครับ
ด้วยความเคารพครับ  ::014::

เรื่องใครตามหลังใครนี่นายสมชายไม่แน่ใจครับ แต่เรื่องที่ว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศยังโง่อยู่นี่นายสมชายแน่ใจครับ... มันเริ่มโง่กันตั้งแต่มีประโยค"อมตะ"(แห่งความเลว)ว่า"โกงมั่งไม่เป็นไร แต่ขอให้ทำงาน"...
ตรงนี้มันแปลว่าเรายอมรับคนขี้โกงออก"นอกหน้า"ครับ และทำให้รู้สึกกันไปว่า"ไม่มีคนที่ทำงานและไม่โกงอีกแล้วในประเทศไทย"... ผลลัพธ์คือผู้คนทุกระดับจะพยายามสร้างสมดุลย์ระหว่าง"ความโกงกับผลงาน"...

จุดนี้วิธีคิดของผู้คนในสังคมจะเปลี่ยนไป แทนที่จะคิดหาวิธีดำเนินชีวิตแบบ"ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน"จะกลายเป็น"ให้คนอื่นเดือดร้อนแต่ไม่เกิดเรื่อง"... แต่ปัญหาคือเส้นแบ่งระหว่างเดือดร้อนหรือไม่เดือดร้อนของแต่ละคนไม่เท่ากัน, ผลลัพธ์คือคนในสังคมจะทะเลาะกันเป็นจุดๆ หย่อมๆ เพราะคนไม่เกรงใจกัน...

แล้วมันก็จะหมดเวลาไปกับความเคียดแค้น เจ้าอารมณ์ น้อยเนื้อต่ำใจ โทษสิ่งโน้นสิ่งนี้รอบข้าง โทษโชคชะตา โทษว่าจน โทษว่าเรียนน้อย ฯลฯ... แทนที่จะมีจิตใจสงบ มีสติแล้วเกิดปัญญาฯ, แล้วเมื่อไหร่มันจะได้อะไรดีขึ้นมากับชีวิตเล่าครับ...

คนที่นิยมชูชกนี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคน"ขี้ขอ"ไงครับ... เหมือนชูชกชอบขอ ไม่ชอบทำงาน...

เอาเฉพาะตรงบูชาชูชกนะครับ... ส่วนเรื่องพระเวสสันดรนั่นนายสมชายมีความเห็นไปแล้วว่าเกิดเรื่องเนื่องจากตำราสอนเด็กนักเรียนไม่มีคำอธิบายเอาไว้...
คนที่บูชาชูชกไม่เหมือนคนที่บูชาพระครับ... เส้นแบ่งคือคนที่บูชาพระ จะระลึกถึงศีล สมาธิ ปัญญา, แต่คนที่บูชาชูชกมุ่งสู่อำนาจเหนือธรรมชาติให้ใครโดนชูชกขอ แล้วต้องยกให้ชูชกหมด...

คนที่บูชาชูชกจะเป็นเช่นนั้นแหละครับ ขี้โมโห เจ้าอารมณ์ น้อยเนื้อต่ำใจ โทษว่าจน โทษว่าเรียนน้อย... เรื่องเรียนน้อยนี่นายสมชายเองเรียนมาทางหนึ่งแต่ทำมาหากินอีกทางหนึ่ง ไม่เห็นได้ใช้อะไรในห้องเรียนทำมาหากินเป็นชิ้นเป็นอันเลย, สิ่งที่ได้จากในห้องเรียนมีแค่ความอึด ความสู้ไม่ยอมแพ้ และตรรกะสำหรับคิดหาทางสู้(ซึ่งมันก็คือศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง)...

จงทำกับเพื่อนมนุษย์โดยคิดว่า...
เขาเป็นเพื่อน เกิด แก่เจ็บ ตาย ของเรา.
เขาเป็นเพื่อน เวียนว่ายอยู่ในวัฎฎสงสารด้วยกันกะเรา.
เขาก็ตกอยู่ใต้ อำนาจกิเลส เหมือนเรา ย่อมพลั้งเผลอไปบ้าง.
เขาก็มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่น้อยไปกว่าเรา.
เขาย่อมพลั้งเผลอบางคราว เหมือนเรา.
เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เหมือนเรา ไม่รู้จักนิพพานเหมือนเรา.
เขาโง่ในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยโง่.
เขาก็ตามใจ ตัวเองในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยกระทำ.
เขาก็อยากดี เหมือนเรา ที่อยาก ดี-เด่น-ดัง.
เขาก็มักจะกอบโกย และ เอาเปรียบ เมื่อมีโอกาสเหมือนเรา.
เขามีสิทธิที่จะบ้า ดี-เมาดี-หลงดี-จมดี เหมือนเรา.
เขาเป็น คนธรรมดา ที่ยึดมั่น ถือมั่น อะไรต่างๆ เหมือนเรา.
เขาไม่มี หน้าที่ ที่จะเป็นทุกข์ หรือตายแทนเรา.
เขาเป็น เพื่อน ร่วมชาติ ร่วมศาสนา กะเรา.
เขาก็ ทำอะไร ด้วย ความคิดชั่วแล่น และ ผลุนผลัน เหมือนเรา.
เขามี หน้าที่ รับผิดชอบ ต่อครอบครัวของเขา มิใช่ของเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะมีรสนิยม ตามพอใจของเขา.
เขามีสิทธิ ที่จะเลือก ( แม้ศาสนา ) ตามพอใจของเขา.
เขามีสิทธิ ที่จะใช้ สมบัติ สาธารณะ เท่ากันกับเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นโรคประสาท หรือเป็นบ้า เท่ากับเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะขอความช่วย เหลือ เห็นอกเห็นใจ จากเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะได้รับอภัย จากเรา ตามควรแก่กรณี.
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นสังคมนิยม หรือ เสรีนิยม ตามใจเขา.
เขามีสิทธิ ที่จะเห็นแก่ตัว ก่อนเห็นแก่ผู้อื่น.
เขามีสิทธิ แห่งมนุษย์ชน เท่ากัน กับเรา , สำหรับจะอยู่ในใลก.
....ถ้าเราคิดกันอย่างนี้ จะไม่มีการ ขัดแย้งใดๆเกิดขึ้น.

   พุทธทาส อินทปัญโญ
  สวนโมกขพลาราม ไชยา
   22 เมษายน 2531

ชอบครับ  ;D ;D
+1 ด้วยครับ

จตุคาม  ครับ ::002::
(http://www.picza.net/uppic/pic/2010_10_16/a89/a89ebb405e7fd5a16f15a119cb518240.jpg) (http://www.picza.net/show.php?id=a89ebb405e7fd5a16f15a119cb518240)
 (http://www.rag-ro.com/)   (http://www.picza.net)

 ::014::สวสดีครับ ท่าน สมช.ทุกท่านผมขอร่วมออกความเห็นด้วยคนครับ เพราะผมเป็นคนหนึ่งที่มีฃูฃกใว้ในครอบครอง หรือมีใว้บูชานั่นหล่ะครับและผมยังมี รูปปั้นขุนช้าง  จตุคาม  นกสาริกาแกะสลักจากเครือเขาหลง   นกคุ้มทำจากไม้คูณ  รวมถึงตระกรุดและพระเครื่องพระบูชาปางค่างอีกมาก  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะงมงายหรือโง่หรือหล้าสมัยหรอกนะครับผมเป็นชาวพุทธครับที่กราบใหว้บูชาก็หาใช่รูปลักษณ์ของสิ่งนั้นไม่ แต่บูชาพุทธคุณที่ยรรจุอยู่ภายในต่างหากหล่ะครับ เพราะผมคิดว่าสิ่งที่อยู่ข้างในล้วนแล้วแต่เป็นพุทธคุณทิ้งสิ้น  แล้วแต่ว่าผู้สร้างต้องการจะให้มีคุณไปทางด้านไหนเท่านั้นเอง   ด้วยความเคารพครับผมไม่ได้ว่าใครนะครับ แต่เป็นความเชื่อส่วนบุคคลครับ ::014::

เรื่องความเชื่อเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เชื่อไม่เชื่อ ชอบไม่ชอบ มิกล้าออกความเห็น ขออ่านอย่างเดียวครับ ;D

คนเราต่างความคิดนะครับ คนหนึ่งคิดอย่าง อีกคนคิดอย่าง การเีลี้ยงดู และปลูกฝังต่างกัน สภาพแวดล้อมก็ต่างกัน บางคนมีศรัทธา บางคนไม่มีศรัทธา  ต่างมุมมอง ต่างแง่คิด ต่างความเข้าใจ เขาถึงได้มีคำนี้ขึ้นมา "คนเหมือนคน แต่คนไม่เหมือนกัน"

อย่างปลัดขิกนี่ทีแรกผมเข้าใจว่ามาจากความเชื่อในในการบูชาศิวลึงค์ แต่ว่าพอมาเจอปลัดขิกบางอันทำให้ดูเหมือนออกมาจากหว่างขาของสัตว์มิหนำซํ้าบางอันฝังมุกผมเลยชักไม่แน่ใจว่าตกลงที่หลายๆท่านบูชาเป็นศิวลึงค์หรือไอ้นั่นของสัตว์กันแน่ ::007:: ::007:: ::007::

ขออภัย ครับ หากผม ล่วงเกิน ครับ  ::014::  ::004::

วัดไหนเค้าสร้างกันล่ะครับท่าน
ของบางอาจารย์ ใช้ ไม้พญางิ้วดำ ใช้ ไม้มงคล หรือของ อาจารย์เล็กใช้กะลาปังหา 
บางอาจารย์ก็หล่อมาจากโลหะ   ท่านพูดแบบนี้ผมว่าไม่ค่อยเหมาะนะครับ. :)

ในบรรดาเครื่องรางของขลัง ที่โบราณาจารย์นิยมจัดสร้างขึ้น มีเครื่องรางประเภทหนึ่ง มีลักษณะรูปร่างแปลกตาไปจากวัตถุมงคลประเภทอื่น กล่าวคือ จะมีสัณฐานเป็นรูป "ลึงค์" หรืออวัยวะเพศชาย โดยจัดสร้างขึ้นมามากมาย หลายขนาด ตั้งแต่เล็กจิ๋วกว่าปลายนิ้วก้อย ไปจนถึงขนาดเท่าของจริง และขนาดใหญ่โตมโหฬาร สูงท่วมหัว

เครื่องรางชนิดนี้ได้รับความนิยมพกติดตัว ตลอดจนเคารพบูชากันเป็นที่เอิกเกริก ซึ่งเรารู้จักกันในชื่อของ "ปลัดขิก"

ด้วยความนิยมใช้ปลัดขิก ถึงขนาดที่ว่ามีการท่องไล่เลียง "ของดี" หรือของสุดยอดของเครื่องราง ที่คู่ควรสะสมไว้ว่า

"ปลัดขิก หลวงพ่อเหลือ เสือหลวงพ่อป่าน หนุมานหลวงพ่อสุ่น วัวปั้นหุ่นวัดศรีษะทอง เบี้ยแก้กันวัดนายโรง ตะกรุดหลวงปู่เอี่ยมวัดสะพานสูง"

ความเป็นมา ของ "ปลัดขิก" ค่อนข้างเกี่ยวพันกับคติความเชื่อดั้งเดิมในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ โดยเชื่อว่า "ลึงค์" หรืออวัยวะเพศชาย เป็นบ่อเกิดแห่งสรรพสิ่งมีชีวิตในจักรวาล อันเป็นรากฐานมาจากคติการบูชา "ศิวลึงค์" หรือลึงค์ของพระศิวะ ในลัทธิไศวนิยาย ที่บูชาพระศิวะเป็นใหญ่ อันเป็นที่มาของการเรียก "ลึงค์" ว่า "เจ้าโลก"

ซึ่งแตกต่างจากอีก นิกายหนึ่งในศาสนาฮินดูที่เคารพบูชา "โยนี" หรือ อวัยวะเพศหญิง ในลัทธิศักติ ที่เชื่อว่าสรรพสิ่งต่างๆ จะเกิดขึ้นได้ต้องประกอบด้วยโยนี

การ บูชาลึงค์ค่อยๆ เผยแพร่ในสยามประเทศ เนื่องมาจากขอมเคยมีอิทธิพลอยู่ในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระยะเวลา หนึ่ง ซึ่งไทยเราก็รับคติดังกล่าวมาประยุกต์ดัดแปลงและกำหนดเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้น

มีบางคนตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดความเชื่อของฮินดูจึงเข้ามาผูกพันกับพุทธศาสนา โดยเฉพาะในกรณีของปลัดขิก สาเหตุก็คือพุทธศาสนานั้นได้ปรับเปลี่ยนและดัดแปลงเอาความเชื่อดั้งเดิมใน วิถีชีวิตมนุษย์ตลอดจนความศรัทธาอื่นๆ เข้ามาด้วยกัน เพื่อประโยชน์ในการเข้าถึงรากเหง้าดั้งเดิม ตลอดจนเป็นกุศโลบายในการเผยแพร่ศรัทธาที่ไม่ขัดแย้งกับความเชื่ออื่นๆ เช่น

ประเพณีบุญบั้งไฟของชาวอีสาน เพื่อเป็นการบูชาแถนขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล เหมือนกับการแห่นางแมวของคนภาคกลาง

สอง พิธีกรรมที่อยู่คนละภาคนี้ มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องของสัญลักษณ์ที่ใช้ส่อไปทางเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้ไม้มาแกะสลักเป็นอวัยวะเพศชาย เรียกว่า "บักแบ้น" หรือ "ปลัดขิก" ในอีสาน หรือ "ขุนเพ็ด"

ประเพณีแห่ผีตาโขน ของชาว อ.ด่านซ้าย จ.เลย ผีทุกตัวจะถืออาวุธในมือ ซึ่งทำด้วยทางมะพร้าว โดยทำด้ามเป็นลักษณะเหมือนปลัดขิก นอกจากนี้แล้ว ปลัดขิกยังถูกนำไปใช้เป็นเครื่องรางป้องกันอาถรรพณ์อีกหลายอย่าง เช่น ในช่วง ๔-๕ ปี ที่ผ่านมา ชาวบ้านร้อยเอ็ด กลัว ผีแม่ม่าย จะมาเอาชีวิต ผู้ชายในหมู่บ้านจึงแก้เคล็ดด้วยการ ทำปลัดขิกขนาดใหญ่ ติดหน้าบ้านของผู้ชายที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร "ส" และ "ย" อันเป็นเป้าหมายของผีแม่ม่าย

ส่วนการนำปลัดขิกมาใช้เป็นเครื่องราง สำหรับพกพาติดตัวนั้น จากหลักฐานที่ปรากฏ จะพบว่า ปลัดขิกยุคเริ่มแรก สร้างจากแก่นไม้ที่มีสรรพคุณทางรักษา และป้องกันโรค เช่น แก่นของต้นคูณ ซึ่งมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า "CASSIAFISTULA, LINN" ผู้คนพกพาติดตัวเดินทางไกล เมื่อจะกินน้ำตามห้วยหนองคลองบึงต่างๆ ก็จะใช้ปลัดขิกฝนผสมเข้าไป เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่สะสมอยู่ในน้ำ

ต่อ มาเมื่อกิตติศัพท์ทางแคล้วคลาดรอดพ้นจากโรคภัยและอันตรายต่างๆ ขจรขจายออกไป ก็เกิดความนิยมในการเสาะแสวงหา บรรดาพระเกจิอาจารย์ต่างๆ จึงพากันจัดสร้างปลัดขิกตามตำรับของตน จนเป็นที่แพร่หลายในเวลาต่อมา

เมื่อ พระเกจิอาจารย์เริ่มสร้างปลัดขิก ท่านก็รวบรวมเอาความรู้ต่างๆ ดำเนินการปลุกเสก และจัดสร้าง มีการเลือกไม้หรือวัสดุอันเป็นมงคลตลอด จนจดจารพระคาถา เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นใจให้ผู้คนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นอานุภาพของปลัดขิกจึงมิได้จำกัดอยู่เพียงการรักษาป้องกันโรคแต่เพียง อย่างเดียว หากแต่ได้กลายสภาพเป็นเครื่องรางของขลัง (Charm and Talismans) โดยมีความเชื่อว่ามีอานุภาพทางด้านป้องกันอันตราย มีเสน่ห์เมตตามหานิยม โชคลาภ การทำมาค้าขาย หรืออื่นๆ อีกด้วย

ในความเป็นจริงแล้ว ปลัดขิกถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของเพศชายมาแต่โบราณ ปลัดขิกดอกน้อยๆ จะถูกผูกไว้ที่สะเอวของเด็กเพศชาย ซึ่งนอกจากความเชื่อในด้านป้องกันอันตรายแล้ว ยังเป็นเครื่องมือที่บ่งชี้ในเรื่องเพศอย่างเด่นชัด

อย่างไรก็ตาม มีผู้คนสงสัยมากมาย ถึงชื่อและความหมายของ "ปลัดขิก" บางคนก็ถามแบบยั่วโทสะว่า ทำไมไม่เรียก "นายอำเภอขิก" หรือ "ผู้ว่าขิก" บางท่านสันนิษฐานว่า คนแขวนคนแรกคงเป็นปลัดขิก ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นการพ้องเสียงมาจากคำว่า "ปราศวะ" ในภาษาสันสกฤษ ซึ่งแปลว่า "เคียงข้าง" ในขณะที่ภาษาไทยเราจะเรียกผู้อยู่เคียงข้างนายอำเภอว่า "ปลัดอำเภอ" ผู้อยู่เคียงข้างผู้ว่าราชการจังหวัดว่า "ปลัดจังหวัด"

เหตุ ที่ให้ความหมายว่าเคียงข้าง หรือผู้อยู่เคียงข้าง เนื่องจากเวลาแขวนปลัดขิกนั้น ผู้ใช้ไม่ได้คล้องคอ หากแต่ผูกอยู่ที่สะเอว หรือบริเวณสีข้าง เรียกว่าไปไหนไปด้วยกัน และสมัยก่อนก็นิยมแขวนให้ห้อยออกมานอกร่มผ้า เมื่อสาวแก่แม่ม่ายเห็นรูปอวัยวะเพศชายห้อยออกมา ก็พากันหัวเราะหัวใคร่ "คิกคิกคักคัก" กันเป็นที่สนุกสนาน ผู้คนก็เลยเรียกกันว่า "ปลัดคิก" ก่อนจะเพี้ยนมาเป็น "ปลัดขิก" ในปัจจุบัน

โบราณาจารย์ในสยามประเทศ นิยมสร้างเครื่องรางชนิดนี้กันอย่างแพร่หลาย บ้างก็ลงอักขระเลขยันต์ เช่น อะ อุ มะ หรือ โอม อันเป็นการสรรเสริญ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ ในศาสนาฮินดู บ้างก็จารจารึกอักขระอื่นๆ พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทางด้านการสร้างปลัดขิกก็คือ หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก จ.ฉะเชิงเทรา หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี เป็นต้น

ปัจจุบัน แม้โลกจะเจริญก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ผู้คนก็ยังนิยมบูชาเครื่องรางที่เรียกว่า "ปลัดขิก" กันอย่างแพร่หลาย ตามกระเป๋าพ่อค้าแม่ขายจะใส่ปลัดขิกดอกน้อยไว้เพื่อให้ทำมาค้าขึ้น บางคนก็ตั้งไว้หน้าร้าน ปิดทองอย่างสวยงาม

นัยได้ว่า "ปลัดขิก" กลับแหวกกระแสของความเจริญเข้ามาอยู่ในความศรัทธาของสังคมไทย และก้าวไปพร้อมความเจริญ โดยมิได้ตกยุคตกสมัยแต่อย่างไร

http://www.maameu.ath.cx/forum/index.php?topic=7777.0 (http://www.maameu.ath.cx/forum/index.php?topic=7777.0)

ไม่ได้เหมารวมครับเคยเห็นครับแต่ผมไม่มีของพวกนี้ไว้บูชาหรอกครับก็เลยไม่รู้ว่าวัดไหนแต่เดี๋ยวจะหารูปมาลงครับลงไม่เป็นครับแต่ท่านลงพิมพ์คำว่าปลัดขิกในกูเกิลดูสิครับ

อยากเห็นเหมือนกัน ครับ

http://shopping.sanook.com/buy/buy_detail.php?nitemID=5228437#imgTitle (http://shopping.sanook.com/buy/buy_detail.php?nitemID=5228437#imgTitle) http://shopping.sanook.com/buy/buy_detail.php?nitemID=5817830 (http://shopping.sanook.com/buy/buy_detail.php?nitemID=5817830)

ผมอยากเห็น  ตรงข้อความ    สีแดง มากกว่า  ครับ ::014::

(http://image.ohozaa.com/ix/icz62.png) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=7ec1f5ceab67cfefd80e1d1886dd4112)

ดูตามรูปแล้วมันก็เหมือนนะ

สงสัยด้วยคนครับ... ว่าเขาไปตัดไอ้นั่นหมามาทำหรืออย่างไร... สงสัยครับ...

...ในรูป... ที่กำลังขี่ปลัดขิดอยู่นี่... ผมมองเป็นเสือครับ... พยายามมองให้เป็นหมายังไงก็ไม่เหมือนครับ... ;D ;D ;D

  คุยกันเรื่องชูชกพาวกเข้าเรื่องปลัดขิก  ถ้าคุยในวงเหล้าสงสัยโดนผมชก-ขิก ::007::

 ;D ;D ;Dก็แค่พูดถึงรูปร่างในสายตาของผม ไม่ได้ทะเเลาะหรือเถียงกันครับก็เหมือนมุมมองเรื่องชูชกกับพระเวสสัดรนั่แหละครับ

ท่าน ครับ ผมขออธิบาย อย่างนี้นะครับ
การเปรียบเทียบ ปะหลัดขิกว่าเป็น เหมือน ไอ้นั่นของหมา เป็นการเปรียบ ที่ไม่เหมาะสม ครับ
ยิ่ง เวปบรอด์ เป็น เวป สาธาราณะ ด้วยแล้ว ผู้ที่ นับถือ ปลัดขิก เค้าจะมองว่า เรา ไปเหยียดหยามเค้านะครับเหมือน
 ที่ท่านjula-รักในหลวง ได้เข้ามิติติง ไว้ ว่าท่าน จุฬา ก็นับถือ ชูชก เหมือนกัน
ทำไมการพูดถึงชูชก สมาชิกถึงได้คัดค้านเพราะว่า ตาม ประวัติ ชูชก เป็นคนอย่างไรก็คงรู้ดี(ไม่ต้องอธิบาย)
แต่ปลัดขิก ผมมองแบบเป็นกลาง นะครับ ถ้าวันนี้เราไม่มีปลัดขิกอันแรกเราก็ไม่มีสิทธิ์ได้เกิดหรอก ครับ
ไม่แปลก ที่ชาวพุทธ จะนับถือ  ปลัดขิก หลายอาจารย์ได้แสดงอภินิหาร มาแล้วมากมาย เช่นปลัดขิก หลวงพ่อยิก(วิ่งแข่งกับเรือหางยาว)
เป็นต้น   ::014::
  ยินดีที่ได้รู้จักท่านเป็นทางการครับ  ::014:: :D ผมมิได้มีเจตนาชวนทะเลาะครับ

ใครกัน... มาพาเข้าเรื่องปลัดขิก... ไหนดูซิ... ใครพาดพิงปลัดขิกเป็นคนแรก...

...อ้าว... ผมนี่นา... งั้นไม่เป็นไร... กระทู้มันออกทะเลกันได้... ::005:: ::005:: ::005::

::014::

อ๋อ ต้นตออยู่นี้เอง   ::006:: ::006::
 ::014::

ถ้าที่ประจวบฯมีแต่หลวงพ่อยิดครับหรือที่อื่น ;D

  -::- แค่เงาและผงธุลี -::-   คนนี้สงสัยต้องถล่มด้วย"ระเบิดปลาอินทรีย์เค็ม"  
        พรุ่งนี้ก็ดีเอง               ตาคนนี้จะปล่อยให้ตายเองก็ค้องทรมานน่าดู  อย่ากระนั้นเลยรีบๆไปต้มข้าวต้มมารอครูหมูกัน ::005::

::005:: ::005:: ::005::

::014::


ระเบิดปลาอินทรีย์เค็ม... ได้วัตถุดิบมาไว้ในครอบครองแล้วครับ... แต่ยังไม่ได้ลองเลย... ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน... ::005:: ::005:: ::005::


...แต่กล่าวถึงครูหมู... ทำให้นึกถึงเมนู "ข้าวต้ม-ปลาเค็ม" ขึ้นมาทันที...::005:: ::005:: ::005::

 ::014::

โดนจนได้  ::013::

เอาละ่เดี๋ยวผมจะไปแก้ไขนะครับแต่ขอยืนยันนะครับว่าผมพูดถึงรูปร่างของบางอันที่ดูแล้วไม่น่าจะเหมาะสมในความเห็นของผมซึ่งบางอันก็เกินไปมากกว่านี้ก็มีนะครับอย่างเช่นอันที่เป็นรูปผู้หญิงเปลือยกายอยู่หรือไม่ก็ที่เป็นรูปสัตว์ต่างๆคร่อมอยู่ซึ่งดูแล้วมันทำให้คิดไปถึงเรื่องตัณหาราคะมากกว่าเป็นการบูชา เพราะอย่างที่ผมบอกแต่ต้นแล้วไงครับว่าการบูชาปลัดขิกผมเข้าใจว่ามาจากความเชื่อในการบูชาศิวลึงค์ซึ่งเปรียบเหมือนการบูชาพระศิวะครับ

  เอาน่าก.ไก่ กับ ด.เด็กอยู่ใกล้กันคงจิ้มพลาดไม่ว่ากัน  แต่ด.เด็กกับด.ผู้ใหญ่เอาไว้ใกล้กันไม่ดีแน่ ;D

สงสัย ครับ   ก.ไก่คือ อะไร ::014::

ก็หลวงพ่อยิกกับหลวงพ่อยิดไง ;D

อุ้ยซํ้า..

อ๋อ ครับ  ;D

ผมพยายามนั่งคิดว่า ที่คุณ ူူ္สุดประจิมที่ริมเมย  กำลังบอกคืออะไร
ทำให้ถึงบางอ้อ ครับ 

(http://image.ohozaa.com/ib/0777777.png) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=6806032ce1bf016227d3312de25921e9)

ท่าน ူူ္สุดประจิมที่ริมเมย  กำลังบอกว่า ปลัดขิกจากในรูป เหมือนกับ เจ้าโลกของสัตว์ นั้น ตามรูป
เช่น ปลัดขิกอันนี้เปรียบเสมือน  เจ้าโลกของ เสือ ครับ
ต้องขอโทษจริงๆ ครับผมเข้าใจผิด ::014:: ::014:: ::014:: ::014:: ::014:: ::014::

(http://image.ohozaa.com/iq/a9yzi12782561841.jpg) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=0de36bcab5019ec1ced225de8515208a)

ปลัดขักตัว นี้เหมือนกัน ครับ ที่ดูไปแล้ว เหมือน เจ้าโลกของเสือ    ::014:: ::014:: ::014::

(http://image.ohozaa.com/is/2mj61.png) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=64eb176ed222142f11aea0dd9041e654)

ถ้าตามวงกลมสีแดง บอกว่า ลิงขี่ ปลัดขิก แต่ถ้ามองแบบผิวเผิน ละก็ จะกลายเป็น ....................

อืม....บางครั้งก็ให้ทุนการศึกษา...เห็นได้ชัดว่าน้องๆได้เรียน....... ::005::

อาจจะเป็นเพราะผมพิมพ์รวบรัดไปหน่อยเลยทำให้เข้าใจไปคนละอย่างครับต้องขอโทษเช่นกันครับ

ถ้าเปลี่ยนตรงกลางเป็น OZERO รุ่นนี้ขลังชัวครับ  รุ่นควงM1   ;D ;D ;D ;D ;D ร้านไหนมีแสดงว่าร้านนั้นอร่อยชัว

รู้ที่จะนับถือ แต่ไม่รู้จะนับถืออย่างไร
ก็เสื่อม..

จาก ความรู้ ที่ท่านอาจจะยังไม่รู้ ของ ว. วชิระเมธี
--------------------------------------------------------
บุรุษผู้ชั่วช้าอย่างชูชก ใครบ้านับถือ ก็เพี้ยนแล้ว 5555

รูปภาพ ที่ผมโพสไว้ ถ้าไม่เหมาะสม ท่าน RO  ลบได้ตาม ความความเหมาะสม ครับ ::014::
เกรงว่า จะ ดูแล้ว ไม่เหมาะ ครับ แล้วแต่ ท่าน RO จะพิจารณา ครับ ::014::
ุ

ถ้าจะพูดถึงชูชก  มีสาระดีๆหลายๆอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้นะครับ  อันนี้โดยส่วนตัวไม่เกี่ยวกับเครื่องลางของขลัง เป็นเรื่องวิชาการล้วนๆ   

โดยทั่วไปแล้วนั้น  ตามปกติชีวิตคนเราก็มีหลายๆเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องชูชกครับ หนึ่งในนั้นก็คือเรื่อง ฤกษ์ ทำการต่างๆและหลักวิชาต่างๆนานาในหลักวิชาโหราศาสตร์ไทยเรา   หลายๆครั้งหลายๆคนที่ไปขอฤกษ์ต่างๆนั้น การใช้ฤกษ์หรือช่วงเวลาทำการที่ดีที่สุดในเรื่องนั้นๆ โดยการใช้ฤกษ์ชูชกหรือทลิทโทฤกษ์ ซึ่งเป็นฤกษ์ที่เกี่ยวกับการขอโดยตรงเช่น  การไปสู่ขอลูกสาว สมัยก่อน เค้าจะต้องวางฤกษ์ถึงสามครั้งในการแต่งงาน โดยจะวางครั้งแรกใช้ ทลิทโทฤกษ์   ในการไปสู่ขอลูกสาวใครรวมทั้งการต่อรองสินสอดทองหมั่นด้วย   เพื่อให้เป็นการง่าย  (ขอให้คิดแบบคนสมัยก่อนนะครับไม่ใช่การแต่งงานของคนสมัยนี้  สมัยก่อนกว่าจะได้กันค่อนข้างยาก)   

กล่าวถึงตรงนี้หลายๆท่านคงพอมองเห็นภาพแล้วว่า  การใช้ฤกษ์ชูชกก็เป็นข้อดีข้อหนึ่ง อีกส่วนนั้น คนสมัยก่อนจะถือว่าฤกษ์ยามนั้นสำคัญในการทำการใดๆ   ถ้าหากเราจะไปขอยืมเงิน หรือไปขอกู้กับแบงค์ คนที่มองด้วยวิชาหลักโหราศาตร์ไทยนั้นพลายๆคนก็ใช้ยามชูชกครับ  โดยมีสองยามดังนี้
ตัวอย่าง

คืนวันศุกร์ยามที่ 5 ยามยายี
1 ยามใช้เวลา 1 ชม.30 นาที
(เวลามาตรฐาน ประเทศไทย)
ยามรวิ
ยามรวิ ชีชูชกไปทูลขอ   สองพระหน่อวรนารถดังมาตรหมาย
ได้แล้วพามาเมืองอันเรืองพราย ฝูงอำมาตย์ทั้งหลายก็จับพลัน
เป็นยามดี สู่ขอได้จะมีลาภ ต้นดีปลายร้าย


1 ยามใช้เวลา 1 ชม.30 นาที
(เวลามาตรฐาน ประเทศไทย)
ยามชีโว
ชีโว ชูชกขึ้นปราสาท   ไทยธิราชเลี้ยงอิ่มไม่เดียดฉันท์
ท้องแตกตายวายชีพชีวัน   ในยามนั้นว่าร้ายทำนายดู
เป็นยามก้ำกึ่ง ต้นดีปลายร้าย อาจจะถึงฆาตได้ หากหลงไปกับความสุขเฉพาะหน้า

#ข้อมูลจากโปรแกรมโหราศาสตร์ไทย
#ผู้รวบรวมวิชา ท่านอาจารย์เหลือง

เป็นความรู้เล็กๆน้อยๆมาแบ่งปันกันนะครับ ;) ;) ;) ;)

ไม่ว่าชูชกหรือเครื่องรางใด ๆ ต้องดูที่เจตนาการสร้างครับ ผมว่าเป็นเรื่องของปริศนาธรรมที่แฝงอยู่ในสิ่งนั้น ๆ มากกว่า อยู่ที่ว่าใครจะค้นหาได้ เช่นพระปิดตา ปิดทวารก็ไม่ได้สร้างมาเพื่อมหาอุดคงกระพันใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เพื่อสอนคนให้รู้จักระงับความอยาก (คือปิดกิเลส) แต่คนก็ตีความไปตามระดับความคิด การขอก็ไม่ใช่ไม่ดี ทุกคนต้องเคยขอกันทั้งนั้น หลักการขอก็ต้องมี พูดดีพูดเพราะ คนก็อยากจะให้ พระเครื่องต่าง ที่สร้างกันมาแต่เดิมก็เพื่อให้คนได้นึกถึงพระ เท่านั้นจริง ๆ  เราไม่เชื่อแต่เขาเชื่อแล้วเขาจะเอาปลัดขิกอันเท่าต้นมะพร้าวมาแขวนเอวก็ช่างเขาเถอะครับ ;D

ความเชื่อ ที่ผิดเรื่องพระปิดตา มหาอุต ผมได้ยินมาว่า
จะให้ เหล่าทหารหรือเจ้าหน้าที่สมัยก่อน ไว้ติดตัวเพื่อ ว่าใครมีแล้วจะฟันแทงไม่เข้า ว่าง่ายๆ "คงกระพัน"
ความเชื่อ นี้ ได้ถูกถ่ายทอดมา บางครั้ง ทำให้แม่ค้าพ่อค้า กลับไม่กล้าที่จะบูชา เพราะกลัวว่า จะมาอุดเงินอุดทอง ไม่ให้เข้า 
เลยพระปิดตาจึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมสำหรับ พ่อค้าแม่ค้าที่ไม่รู้ความจริง 
ผมเคยได้ พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัดเคลือวัลย์ จากแม่ค้า เค้าบอกว่า  "เอาไปเถอะ ป้าให้ ป้าไม่ชอบ พระปิดตา"
องค์นั้น  พ่อผม มีในสั่ง ได้มา 40000 บาท

อีกความเชื่อหนึ่งที่อยากแบ่งปันประสบการณ์ ครับ
เรื่อง   "พระ งั้ง"
บางคนบอกว่าเป็น พระที่เกี่ยวกับ พวก เสน่ห์ คล้ายๆกับการพกขุนแผนที่จะให้ สาวๆมาติด
แต่พระงั้ง ร้ายแรงกว่าก็คือ เค้าพูดกันมาบอกว่า  พระงั้ง ชอบอยู่ในที่ๆ สกปรก เช่นให้เก็บไว้ใต้บันได และใครมีพระงั้ง นั้น
ถ้าอยากให้ พระงั้ง ศักดิ์สิทธิ์ ให้เอาพระงั้ง ไป จุ่มในอวัยวะสงวน หรือประจำเดือนของผู้หญิง เพื่อจะเพิ่ม ความขลังของพระงั้ง
พระงั้งที่ขลังตาจะแดง ให้เอาพระงั้ง ใส่ไว้ในกระเป๋า กางเกง(ต่ำกว่าเอว)
  ความเชื่อเหล่านี้ ผิดหมด เน้น ครับ ว่า ผิด 
พระงั้ง เกิดจากการสร้างพระในสมัยก่อน ที่ทำกันเอง ภาษาชาวบ้าน ทำบร๊อคกันเอง เลยเป็นพระที่ไม่มีความสวยงาม
 ดวงตาอาจจะ ปูดออกมา(คล้ายกับตาถล่น) จากนอกเบ้า  หรือสภาพ พระ บูดเบี้ยว ไม่สวย แต่คนสมัยก่อนเน้าพุทธคุณไม่ค่อยเน้น
ความสวยงาม
ย้ำครับ พระงั้งคือ พระพุทธเจ้าไม่สมควรกระทำการเหมือนที่เล่าให้ฟัง  อย่างเด็ดขาด

ขอบคุณครับท่าน  ::014::

งั่ง จะIหรือEไม่ใช่พระครับ คนอุตริหล่อเล่นกันมาตั้งแต่สมัยมีกระดิ่งวัวควายโน่น แล้วก็เชื่อต่อๆ กันมาโดยไม่ได้มีการพิจารณา คือไม่ใช้โยนิโสมนสิการ คือการพิจารณาโดยแยบคาย เชื่อโดยเชื่อ ๆๆๆๆต่อกันมาไม่มีเหตุผลรองรับเลย หล่อหัวกระสุนได้คงดี ;D

ขอบคุณครับ  คนละที่มา ครับ
คนสร้างหลายอาจารย์ ครับ   ::014::

เดี๋ยวมา ครับ  ::008:: ::008::

http://board.dserver.org/p/prakruang01/00000098.html (http://board.dserver.org/p/prakruang01/00000098.html)

เอามาฝาก  ครับ  ::008:: ::008:: ::007:: ::007:: ::007::