เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: R2D2 ที่ พฤศจิกายน 11, 2010, 07:28:18 PM



หัวข้อ: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ พฤศจิกายน 11, 2010, 07:28:18 PM
ผมส่งเบี้ยประกันปีละ 7,428.-บาท ทุนประกัน 1 แสน (ทุนประกันคือถ้าตายจะได้เงิน 100,000.-บาท) ส่ง 15 ปี  รวมเบี้ยประกันที่ส่งไป 7,428 X 15 ปี = 111,420.-บาท ครบ 15 ปีแล้ว
ผมไม่ตาย บริษัทส่งเช็คคืนมาให้ แค่ 110,400.-บาทเท่านั้นเอง ขาดทุนไป 1,020.-บาท  โทร.ไปถามว่าทำไมคืนน้อยกว่าเบี้ยประกัน เขาตอบว่าจ่ายตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ซึ่งระบุว่าจ่ายคืนเท่ากับทุนประกัน+ 10 % +เงินปันผลปีสุดท้าย = 110,400.-บาท  ก่อนหน้านี้หลายปีก็ได้รับเงินปันผลทุกปีนะครับ ปีละ 400.-บาท  แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าเอาเปรียบกันมากไป อย่างน้อยน่าจะคืนเงินให้เราเท่ากับเบี้ยประกัน 15 ปีที่ผมจ่ายไป ..อยากฟ้อง สคบ.จังเลย  แพ้คดีบ่อยยังไม่เข็ดอีก ..(โฮ)..ขอความเห็นด้วยครับ


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: koi ที่ พฤศจิกายน 11, 2010, 07:36:50 PM
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบในธุรกิจนี้เลย  แต่ผมชอบอ่านและศึกษา เห็นการฟ้องขอเบี้ยประกันเยอะ
ตอนทำง่าย ตอนเครมเหมือนขอทาน ต้องอ้อนวอน มากน้อยแล้วแต่เคส  ไม่ว่าประกันกัยรถยนต์
ประกันอัคคีภัย  ยิ่งประกันชีวิตแย่สุด  ศึกษารายละเอียดดีๆ จะรู้ว่าโดนเอาเปรียบ


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: ~ Sitthipong - รักในหลวง ~ ที่ พฤศจิกายน 11, 2010, 07:41:16 PM
เราเซ็นยอมรับสัญญาเองนี่ครับ  ฟ้องคงยาก ..... รอพี่สมชายมาอธิบายดีกว่าครับ  ;D


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: Wachira1973 ที่ พฤศจิกายน 11, 2010, 07:51:45 PM
ประกันภัยเป็นธุรกิจชนิดหนึ่งครับ..ในเมื่อเป็นธุรกิจก็ต้องหวังผลกำไรเป็นธรรมดา...แต่ต่างจากธุรกิจชนิดอื่นๆตรงที่...
บริษัทฯบริหารธุรกิจโดยการแบกรับความเสี่ยงแทนผู้เอาประกัน(โดยการเฉลี่ยความเสีี่ยง)...ยกตัวอย่างเช่น..
   ...บริษัทAมีผู้ทำประกัน 100 ราย เก็บเบี้ยประกันรายละ 10000 บาทต่อปี(ยอดเบี้ยประกันจะเท่ากับ 1 ล้านบาท)
   ทีนี้เกิดปีที่2มีผู้เอาประกันเสียชีวิต 2 ราย ทางบริษัทจ่ายค่าสินไหมให้แก่ทายาท 2 รายๆละ 100,000 บาท(ทั้งๆที่เพิ่งส่งเบี้ยไปแค่ 20,000บาท)..กำไรหรือเปล่าครับแบบนี้
   ..เคยมีคนบอกว่าการทำประกันชีวิตถ้าจะให้ได้กำไรจากบริษัทประกัน ก็ให้เสียชีวิตตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่2(ไม่ฮานะครับ)  :OO
ท่านจขกท.อย่าิคิดมากเลยครับ..ครบสัญญาแล้วได้เงินคืนเท่านี้ก็ถือว่าคุ้มแล้วล่ะครับ(เมื่อแลกกับความเสี่ยงใน 15 ปีที่ผ่านมา)
อีกนิดนึงครับ..เวลาเราทำประกันรถเราก็ไม่อยากจะเคลม(เพื่อเอาคุ้มแต่ไม่คุ้มเมื่อแลกกับการเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง)ถูกต้องมั้ยครับ และถ้าในปีนั้นเราไม่มีอุบัติเหตุเลย แบบนี้จะถือว่าค่า
เบี้ยประกันเราเสียเปล่าหรือไม่ครับ...อยากให้ลองพิจารณาดูครับ..ด้วยความเคารพ.. ::014::
   


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: ค..ควาย...ใส่ชฎา ที่ พฤศจิกายน 11, 2010, 07:54:04 PM
ผมส่งเบี้ยประกันปีละ 7,428.-บาท ทุนประกัน 1 แสน (ทุนประกันคือถ้าตายจะได้เงิน 100,000.-บาท) ส่ง 15 ปี  รวมเบี้ยประกันที่ส่งไป 7,428 X 15 ปี = 111,420.-บาท ครบ 15 ปีแล้ว
ผมไม่ตาย บริษัทส่งเช็คคืนมาให้ แค่ 110,400.-บาทเท่านั้นเอง ขาดทุนไป 1,020.-บาท  โทร.ไปถามว่าทำไมคืนน้อยกว่าเบี้ยประกัน เขาตอบว่าจ่ายตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ซึ่งระบุว่าจ่ายคืนเท่ากับทุนประกัน+ 10 % +เงินปันผลปีสุดท้าย = 110,400.-บาท  ก่อนหน้านี้หลายปีก็ได้รับเงินปันผลทุกปีนะครับ ปีละ 400.-บาท  แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าเอาเปรียบกันมากไป อย่างน้อยน่าจะคืนเงินให้เราเท่ากับเบี้ยประกัน 15 ปีที่ผมจ่ายไป ..อยากฟ้อง สคบ.จังเลย  แพ้คดีบ่อยยังไม่เข็ดอีก ..(โฮ)..ขอความเห็นด้วยครับ


็Ha Ha  ฮา  จ่าย 7,428 ปี/ปันผล 400   ฮา เกือบ 6 %  ตอนนี้แบงค์มันรับฝาก  แบบยาวๆ ก็ 2-4% ฮา

เป็นความรู้สึกของเราเองอ่ะคร๊า  ว่าทำมัยมันจ่ายน้อย ฮา
ถ้ามีช่องทางอื่น  อย่าไปประกันมันเยอะ  เอาแค่นิด แค่หน่อย เผื่อตายได้เอามาจัดงานฮา
เอาเงินก้อนนี้ไปลงทุนอย่างอื่น  ฮา

ถ้าจะให้ดี  ทำประกันอุบัติเหตุ อย่างเดียว  เพราะ 400 มันจ่ายค่าดอก  ห้ามถอนต้น ฮา


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: uncle_oud-รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 11, 2010, 09:14:43 PM
ผมทำไว้ 4 กรมธรรม์จ่ายปีละหลายหมื่นเพราะต้องการหลักประกันว่าถ้าผมเป็นอะไรไป
ภรรยากับลูกจะไม่ลำบากแต่ถ้าผมไม่เป็นอะไรก็ถือว่าเป็นเงินออมในช่วงบั้นปลายของ
ชีวิต
ที่ทำจริงๆแล้วช่วยเพื่อนๆมาขอให้ช่วยซื้อก็พอดีกับผมกำลังวางแผนออมเงินเลยตกลง


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: bambie ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 02:33:48 AM
แต่เค้ามีค่าคุ้มครองคุณด้วยนะครับ


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 08:19:33 AM
                 ทำไว้เผื่อตายลูกหลานจะได้สรรเสริญครับว่าทิ้งมรดกไว้บ้าง ..... ไม่ตายก็ต้องบ่น ไม่อยากบ่นก็ต้องตาย   ::005::



หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: nine รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 08:31:38 AM
ประกันภัยเป็นธุรกิจชนิดหนึ่งครับ..ในเมื่อเป็นธุรกิจก็ต้องหวังผลกำไรเป็นธรรมดา...แต่ต่างจากธุรกิจชนิดอื่นๆตรงที่...
บริษัทฯบริหารธุรกิจโดยการแบกรับความเสี่ยงแทนผู้เอาประกัน(โดยการเฉลี่ยความเสีี่ยง)...ยกตัวอย่างเช่น..
   ...บริษัทAมีผู้ทำประกัน 100 ราย เก็บเบี้ยประกันรายละ 10000 บาทต่อปี(ยอดเบี้ยประกันจะเท่ากับ 1 ล้านบาท)
   ทีนี้เกิดปีที่2มีผู้เอาประกันเสียชีวิต 2 ราย ทางบริษัทจ่ายค่าสินไหมให้แก่ทายาท 2 รายๆละ 100,000 บาท(ทั้งๆที่เพิ่งส่งเบี้ยไปแค่ 20,000บาท)..กำไรหรือเปล่าครับแบบนี้
   ..เคยมีคนบอกว่าการทำประกันชีวิตถ้าจะให้ได้กำไรจากบริษัทประกัน ก็ให้เสียชีวิตตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่2(ไม่ฮานะครับ)  :OO
ท่านจขกท.อย่าิคิดมากเลยครับ..ครบสัญญาแล้วได้เงินคืนเท่านี้ก็ถือว่าคุ้มแล้วล่ะครับ(เมื่อแลกกับความเสี่ยงใน 15 ปีที่ผ่านมา)
อีกนิดนึงครับ..เวลาเราทำประกันรถเราก็ไม่อยากจะเคลม(เพื่อเอาคุ้มแต่ไม่คุ้มเมื่อแลกกับการเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง)ถูกต้องมั้ยครับ และถ้าในปีนั้นเราไม่มีอุบัติเหตุเลย แบบนี้จะถือว่าค่า
เบี้ยประกันเราเสียเปล่าหรือไม่ครับ...อยากให้ลองพิจารณาดูครับ..ด้วยความเคารพ.. ::014::
  

ผมชอบความคิดนี้มาก   ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: visith ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 08:33:41 AM
...ผมถูก ผบ.ทบ.บังคับให้ทำประกันชีวิต.. ::004::
...ที่พอจะได้ประโยชน์คือทำ PA จ่ายเบี้ยพันเศษ แต่เคลมทีเป็นหมื่น.. ::005::


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: ลุมพินี08 ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 08:35:37 AM
ถ้าเขาได้จ่ายคืนให้ตามเงื่อนไขครบถ้วนแล้วการฟ้องร้อยคงไม่มีโอกาสชนะครับ เพราะแบบประกันแต่ละชนิดอัตราเบี้ยประกันต่างๆต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานของราชการที่ควบคุมดูแลก่อนที่จะมาเสนอขายให้ผู้เอาประกัน


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: Steel90 ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 10:14:26 AM
ฟ้อง สคบ. ครับ


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: Steel90 ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 10:15:03 AM
http://www.ocpb.go.th/ (http://www.ocpb.go.th/)


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: van-เรารักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 10:36:28 AM
ผมส่งเบี้ยประกันปีละ 7,428.-บาท ทุนประกัน 1 แสน (ทุนประกันคือถ้าตายจะได้เงิน 100,000.-บาท) ส่ง 15 ปี  รวมเบี้ยประกันที่ส่งไป 7,428 X 15 ปี = 111,420.-บาท ครบ 15 ปีแล้ว
ผมไม่ตาย บริษัทส่งเช็คคืนมาให้ แค่ 110,400.-บาทเท่านั้นเอง ขาดทุนไป 1,020.-บาท  โทร.ไปถามว่าทำไมคืนน้อยกว่าเบี้ยประกัน เขาตอบว่าจ่ายตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ซึ่งระบุว่าจ่ายคืนเท่ากับทุนประกัน+ 10 % +เงินปันผลปีสุดท้าย = 110,400.-บาท  ก่อนหน้านี้หลายปีก็ได้รับเงินปันผลทุกปีนะครับ ปีละ 400.-บาท  แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าเอาเปรียบกันมากไป อย่างน้อยน่าจะคืนเงินให้เราเท่ากับเบี้ยประกัน 15 ปีที่ผมจ่ายไป ..อยากฟ้อง สคบ.จังเลย  แพ้คดีบ่อยยังไม่เข็ดอีก ..(โฮ)..ขอความเห็นด้วยครับ


ได้เงินคืนแต่ความคุ้มครองยังอยู่ใช่หรือเปล่าครับ    ถ้าเป็นอย่างที่ผมคิด  ผมว่าคุ้มน่ะ

ผมไม่ใช่คนขายประกันน่ะครับ     ::005:: ::005:: ::005::


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 11:27:35 AM
ผมส่งเบี้ยประกันปีละ 7,428.-บาท ทุนประกัน 1 แสน (ทุนประกันคือถ้าตายจะได้เงิน 100,000.-บาท) ส่ง 15 ปี  รวมเบี้ยประกันที่ส่งไป 7,428 X 15 ปี = 111,420.-บาท ครบ 15 ปีแล้ว
ผมไม่ตาย บริษัทส่งเช็คคืนมาให้ แค่ 110,400.-บาทเท่านั้นเอง ขาดทุนไป 1,020.-บาท  โทร.ไปถามว่าทำไมคืนน้อยกว่าเบี้ยประกัน เขาตอบว่าจ่ายตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ซึ่งระบุว่าจ่ายคืนเท่ากับทุนประกัน+ 10 % +เงินปันผลปีสุดท้าย = 110,400.-บาท  ก่อนหน้านี้หลายปีก็ได้รับเงินปันผลทุกปีนะครับ ปีละ 400.-บาท  แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าเอาเปรียบกันมากไป อย่างน้อยน่าจะคืนเงินให้เราเท่ากับเบี้ยประกัน 15 ปีที่ผมจ่ายไป ..อยากฟ้อง สคบ.จังเลย  แพ้คดีบ่อยยังไม่เข็ดอีก ..(โฮ)..ขอความเห็นด้วยครับ

ได้เงินคืนแต่ความคุ้มครองยังอยู่ใช่หรือเปล่าครับ    ถ้าเป็นอย่างที่ผมคิด  ผมว่าคุ้มน่ะ ผมไม่ใช่คนขายประกันน่ะครับ     ::005:: ::005:: ::005::
ตอนได้เงินคืนน่ะ ความคุ้มครองหมดไปแล้วครับ (เงื่อนไขการคุ้มครองเป็นแบบ 15/15 ไม่ใช่ 15/20 ครับ) บ. ก็ไม่ได้เสนอให้ซื้อกรมธรรม์ฉบับใหม่ ซึ่งผมก็เข็ดหลาบไม่คิดที่จะซื้อใหม่เหมือนกัน ต่อไปนี้ผมจะบอกเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องว่าเลิกทำเถอะประกันชีวิตน่ะ คิดดูแล้ว บ.เอาเปรียบเกินไป ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ทำประกันน่ะไม่ตาย ถ้าตายปีท้าย ๆ บ.ก็เอาเบี้ยประกันที่เราส่งไปนั่นแหละมาจ่าย แต่ถ้าส่งเบี้ยประกันได้ ปี 2 ปี ตาย..แบบนี้ผู้ทำประกันได้ประโยชน์จริง คิดดูแล้วโอกาสที่ลูกค้าจะตายปีแรก ๆ มีน้อย เพราะทุกคนก็รักษาชีวิตของตนเองกันเต็มที่ทั้งนั้น ถ้าไปตายปีท้าย ๆ  บ.แทบไม่เสียอะไรเลย ถ้าไม่ตายเลยแบบผมบริษัทยิ่งได้ประโยชน์ใหญ่ เอาเงินเราไปหมุนฟรี ๆ ไม่มีดอกเบี้ย จ่ายคืนให้นิดเดียว บ.ยังได้ประโยชน์จากเงินกินฟรีที่ลูกค้าผิดสัญญาอีกต่างหาก เช่น กรมธรรม์ 10/10 ปี ลูกค้าส่งเบี้ยประกันได้ 2 ปีก็ทิ้ง ความคุ้มครองหมดลง บ.ไม่ได้จ่ายเงินคืน  ผมว่าเราสามารถคุ้มครองตัวเองได้สบาย ๆ (ต้องวางแผนเล็กน้อย)ไม่ต้องให้ บ.ประกันชีวิตมาดูแลหรอกครับ ไม่คุ้มกันเลย     


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: แสนสุข ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 11:46:14 AM
ของผมโดนบังคับทำไฟลท์บังคับเพราะมีผลประโยชน์ต่างตอบแทน :~)


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: ลุมพินี08 ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 11:55:13 AM
ในชีวิตประจำวันทุกคนมีความเสี่ยง การประกันชีวิตเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการบริหารความเสี่ยงเท่านั้น ใครที่รู้สึกเหมือน จขกท ว่าประกันอาเปรียบเราแต่เรายังมีความจำเป็นต้องประกันก็เลี่ยงไปทำแบบประกันที่ไม่เน้นออมทรัพย์ดูครับ เบี้ยประกันต่างกันเยอะแต่ครบสัญญาไม่ได้คืน หรือไม่ก็ทำประเภท PA ปีต่อปีก็ได้


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: winthai ยาวแค่ไหน ก็ต้องมีปลายสุดเสมอ ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 12:12:45 PM
ประกันภัยเป็นธุรกิจชนิดหนึ่งครับ..ในเมื่อเป็นธุรกิจก็ต้องหวังผลกำไรเป็นธรรมดา...แต่ต่างจากธุรกิจชนิดอื่นๆตรงที่...
บริษัทฯบริหารธุรกิจโดยการแบกรับความเสี่ยงแทนผู้เอาประกัน(โดยการเฉลี่ยความเสีี่ยง)...ยกตัวอย่างเช่น..
   ...บริษัทAมีผู้ทำประกัน 100 ราย เก็บเบี้ยประกันรายละ 10000 บาทต่อปี(ยอดเบี้ยประกันจะเท่ากับ 1 ล้านบาท)
   ทีนี้เกิดปีที่2มีผู้เอาประกันเสียชีวิต 2 ราย ทางบริษัทจ่ายค่าสินไหมให้แก่ทายาท 2 รายๆละ 100,000 บาท(ทั้งๆที่เพิ่งส่งเบี้ยไปแค่ 20,000บาท)..กำไรหรือเปล่าครับแบบนี้
   ..เคยมีคนบอกว่าการทำประกันชีวิตถ้าจะให้ได้กำไรจากบริษัทประกัน ก็ให้เสียชีวิตตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่2(ไม่ฮานะครับ)  :OO
ท่านจขกท.อย่าิคิดมากเลยครับ..ครบสัญญาแล้วได้เงินคืนเท่านี้ก็ถือว่าคุ้มแล้วล่ะครับ(เมื่อแลกกับความเสี่ยงใน 15 ปีที่ผ่านมา)
อีกนิดนึงครับ..เวลาเราทำประกันรถเราก็ไม่อยากจะเคลม(เพื่อเอาคุ้มแต่ไม่คุ้มเมื่อแลกกับการเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง)ถูกต้องมั้ยครับ และถ้าในปีนั้นเราไม่มีอุบัติเหตุเลย แบบนี้จะถือว่าค่า
เบี้ยประกันเราเสียเปล่าหรือไม่ครับ...อยากให้ลองพิจารณาดูครับ..ด้วยความเคารพ.. ::014::
  

ผมชอบความคิดนี้มาก   ขอบคุณครับ

เห็นด้วยครับ คิดในเชิงบวก  ไม่ได้พาดพิงเจ้าของกระทู้ว่าคิดในเชิงลบนะครับ เพียงแค่เห็นด้วยเฉยๆ


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: Udomkd ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 01:54:25 PM
หุๆ "ประกัน" ชื่อก็บ่งบอกครับ

ส่วนจะทำหรือไม่ทำ....สิทธิ์ของเราเต็มๆ(บางรายการ ต้องโดนบังคับให้ทำ เช่นซื้อบ้าน สร้างบ้านกับธนาคารเป็นต้น)

ส่วนประกันอื่นๆ ก็แล้วแต่ว่า เราจะทำหรือไม่ทำ เพราะมันคือประกัน.....


เช่นรถกรณีเกิดอุบัติเหตุ.....เล็กน้อยหรือมาก แล้วแต่กรณี หากเรามีประกัน ก็พอที่จะช่วยเราได้ หลายๆเรื่อง หากไม่มี หรือว่าประกันชั้นตัวเลขมากๆ ก็คิดดูเอาเองว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ?

ส่วนตัวผม แม้นมีประกัน(รถ)ก็จะระวังมากๆ ที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้นมา เพราะมันยุ่งยาก เสียเวลาหลายเรื่อง หลายอย่าง หุๆ

ประกันชีวิต....ก็คิดดูอีกเช่นกัน ว่าหากพอมีเงินเก็บ สมควรที่จะทำหรือไม่ อย่างไร ก็เป็นสิทธิ์ของเราอีกนั่นแหละ....

หากแต่มันไม่เกิดอะไรขึ้น ก็ถือว่าเป็นบุญแล้วครับ ชีวิตหนึ่งๆ

ในประกันชีวิต มันยังมีแยกย่อยไปอีกเยอะนี่ครับ แต่รายละเอียดผมไม่ทราบหรอก...มันยังมีแยกเป็นอุบัติเหตุ ค่ายา ค่ารักษา (อันนี้ผมรู้ไม่จริงน๊ะครับ เพราะมิใช่ตัวแทนประกัน)


สรุปง่ายๆ ส่วนตัวผมว่า"มี" ดีกว่าไม่มีครับ แม้นว่าค่าตอบแทนจะน้อย แต่มันมีคำว่าประกัน ให้กับเรา

แล้วอย่าไปคิดว่า เวลาจะเอาเงินจากประกัน แสนยากเย็น เช่นที่ใครว่า ประกันก็คือการทำธุรกิจอย่างหนึ่ง หากเขาจ่ายง่ายเกินไป เขาก็เจ้ง และมีหลายๆคน ที่คิดจะโกงประกัน ยากครับ เพราะกว่าที่เขาจะจ่าย เขาต้องสืบหารายละเอียดที่ชัดเจนแน่นอน โดนมาหลายรายแล้ว ที่ทำ....เพื่อหวังเงินประกัน หุๆๆ


ด้วยความเคารพ...อ้างอิงไม่ได้ น๊ะครับเป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ขออภัย จขกท.


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: ลุมพินี08 ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 03:07:45 PM
ธุรกิจนี้ถึงจำเป็นต้องมีตัวแทนอธิบายให้ผู้สนใจเข้าใจในรายละเอียดไงครับ มีไม่น้อยครับที่ซื้อประกันโดยไม่เข้าใจรายละเอียด เพื่อนผมคนนึงละซื้อแต่แบบออมทรัพย์ไม่ได้ซื้อประกันสุขภาพ เวลาป่วยนอนโรงพยาบาลมาแล้วโวยวายว่าเบิกค่ารักษาไม่ได้ เพื่อนผมที่ว่านี้จบ ป. ตรีด้วยนะ ผมรำคาญเลยถามไปว่าเองกินข้าวหรือกินหญ้ากันแน่ สมองถึงทึบขนาดนี้ ที่เจอมาตัวแทนก็มั่วๆเยอะหมือนกัน


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 03:47:31 PM
ประกันภัยเป็นธุรกิจชนิดหนึ่งครับ..ในเมื่อเป็นธุรกิจก็ต้องหวังผลกำไรเป็นธรรมดา...แต่ต่างจากธุรกิจชนิดอื่นๆตรงที่...
บริษัทฯบริหารธุรกิจโดยการแบกรับความเสี่ยงแทนผู้เอาประกัน(โดยการเฉลี่ยความเสีี่ยง)...ยกตัวอย่างเช่น..
   ...บริษัทAมีผู้ทำประกัน 100 ราย เก็บเบี้ยประกันรายละ 10000 บาทต่อปี(ยอดเบี้ยประกันจะเท่ากับ 1 ล้านบาท)
   ทีนี้เกิดปีที่2มีผู้เอาประกันเสียชีวิต 2 ราย ทางบริษัทจ่ายค่าสินไหมให้แก่ทายาท 2 รายๆละ 100,000 บาท(ทั้งๆที่เพิ่งส่งเบี้ยไปแค่ 20,000บาท)..กำไรหรือเปล่าครับแบบนี้
   ..เคยมีคนบอกว่าการทำประกันชีวิตถ้าจะให้ได้กำไรจากบริษัทประกัน ก็ให้เสียชีวิตตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่2(ไม่ฮานะครับ)  :OO
ท่านจขกท.อย่าิคิดมากเลยครับ..ครบสัญญาแล้วได้เงินคืนเท่านี้ก็ถือว่าคุ้มแล้วล่ะครับ(เมื่อแลกกับความเสี่ยงใน 15 ปีที่ผ่านมา)
อีกนิดนึงครับ..เวลาเราทำประกันรถเราก็ไม่อยากจะเคลม(เพื่อเอาคุ้มแต่ไม่คุ้มเมื่อแลกกับการเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง)ถูกต้องมั้ยครับ และถ้าในปีนั้นเราไม่มีอุบัติเหตุเลย แบบนี้จะถือว่าค่า
เบี้ยประกันเราเสียเปล่าหรือไม่ครับ...อยากให้ลองพิจารณาดูครับ..ด้วยความเคารพ.. ::014::
ผมชอบความคิดนี้มาก   ขอบคุณครับ
เห็นด้วยครับ คิดในเชิงบวก  ไม่ได้พาดพิงเจ้าของกระทู้ว่าคิดในเชิงลบนะครับ เพียงแค่เห็นด้วยเฉยๆ
-เรื่องคิดเชิงบวก-เชิงลบนี่ ผมมีอุธาหรณ์ครับ เรื่องมีอยู่ว่าผมสนใจผู้หญิงคนหนึ่ง เวียนไปคุยครั้ง 2 ครั้ง พอสืบดูถึงรู้ว่าเธอเคยแต่งงานมีผัวมาแล้ว และตอนที่ผมสนใจก็มีทอมบอยมาคบหากะเธออยู่ พ่อบุญธรรมของเธอบอกผมว่าแกเห็นแล้วว่ามีทอมบอยมาติดพันแต่ท่านคิดเชิงบวก ไม่คิดอกุศล ผมเลยได้ข้อสรุปทันทีว่าเราต้องมองปัญหาตามข้อเท็จจริง ชั่วก็ต้องว่าชั่ว ดีก็ว่าดี ไม่ใช่ว่าเอะอะอะไรก็คิดเชิงบวกอยู่เรื่อย
-กรณีของ บ.ประกันชีวิต และประกันภัย หน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์วิเคราะห์ออกมาว่า สัดส่วนระหว่างสินไหมทดแทน : เบี้ยประกันภัย ของทั้งระบบในแต่ละปี มีนิ้ดเดียว แตกต่างจากธุรกิจประกันภัยของต่างประเทศอย่างเทียบกันไม่ได้ หมายความว่าธุรกิจนี้ในบ้านเรากำไรมาก จ่ายน้อย ไม่แฟร์เมื่อเทียบกับในต่างประเทศ พอมาเจอะกับตัวเองถึงได้เข้าใจยิ่งขึ้น เลยไม่สงสัยที่(ในภาพยนต์โฆษณา)คนทั่วไปจะมอง บ.พวกนี้เหมือนแมลงสาบ


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: แสนสุข ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 05:40:30 PM
นอกเรื่องนิดนึงครับ  ผมว่าเดี๋ยวนี้บริษัทประกันภัยรถยนต์บางบริษัททำตัวเหมือนเจ้ามือฉลากกินรวบ ::014::


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: เบิ้ม ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 06:45:21 PM
ทำมา8ปี ก็ไม่เคยใช้เช่นกันครับ  ยังไม่รู้เลยจะได้เงินคืนเท่าไหร่บ้าง  ;D



ส่วนนี่เป็นอุธาหรคนขายประกันนะครับ น่าสงสาร ดันเจอคนร้าย  :-\

รวบหนุ่มฆ่าทุบหัวสาวAIAหมกป่า
   
 12 พย. 2553 12:46 น.  สนับสนุนโดย NECTEC


จากกรณีเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่พบรถเก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า ซิตี้ สีเทา จอดทิ้งไว้ข้างทางลูกรังในป่าละเมาะทางขึ้นไปวัดเขาถ้ำพระ ม.7 ต.วังคัน อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี เมื่อตรวจสอบพบว่าเป็นรถของนางสุจิตตา ชนปทาธิป อายุ 34 ปี ตัวแทนประกันชีวิตปริษัท เอไอเอ จนกระทั่งวันที่ 5 พ.ย.ได้มีชาวบ้านพบศพนางสุจิตตา ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ทิ้งศพในป่าละเมาะทางขึ้นถ้ำเขาพระ ห่างจากจุดที่พบรถประมาณ 100 เมตร

ล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 พ.ย. พ.ต.อ.สุทธิ พวงพิกุล ผกก.สส.ภ.จว.สุพรรณบุรี และ พ.ต.ท.นภดลฎ์ อรัญศรี รอง ผกก.สส.สภ.ด่านช้าง ได้นำกำลังจับกุมตัวนายสมศักดิ์ หรือเก่ง สุขศรี อายุ 42 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ 544/2553 ลงวันที่ 11 พ.ย.53 ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ได้พร้อมของกลาง ซิมการ์ดโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 ซิม เสื้อยืดคอกลมสีเหลือง เปื้อนคราบเลือด 1 ตัว ที่แคมป์คนงานก่อสร้างย่านนทบุรี

ผู้ต้องหาสารภาพว่า มีอาชีพคนงานก่อสร้าง ได้รู้จักกับผู้ตายเมื่อประมาณเดือนต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ขณะไปหาหมอที่ รพ.ปทุมธานี และผู้ตายได้เข้ามาพูดคุยและให้ทำประกันชีวิต แต่ตนยังไม่พร้อม จึงให้ผู้ตายช่วยตามหาภรรยาและลูก จนกระทั่งวันที่ 1 พ.ย.ผู้ตายได้พาไปหาหมอไสยศาสตร์ที่วัดเขาถ้ำพระ เพื่อจะดูว่าลูกเมียอยู่ที่ไหน ระหว่างจอดรถไว้ที่ทางขึ้นวัด และเดินเท้าขึ้นไปผู้ตายได้หยอกล้อโดยใช้ก้อนหินปาที่เท้า ทำให้ตนรู้สึกเจ็บและโมโห จึงบันดาลโทสะ ใช้ท่อนไม้ฟาดผู้ตายแต่ไม่โดน เมื่อผู้ตายวิ่งหนี จึงตามไปใช้ก้อนหินทุบที่ศรีษะและใบหน้าจนถึงแก่ความตาย จากนั้นได้ค้นหาทรัพย์สินในรถ ได้เงินสดจำนวน 20 บาท โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง แล้วหลบหนีไปซ่อนตัวจนกระทั่งถูกจับได้ดังกล่าว

“ผู้ต้องหาเคยถูกจับดำเนินคดีและติดคุก จึงมีประสบการณ์ในด้านการกระทำผิดและการต่อสู้คดี พยายามเบี่ยงเบนข้อเท็จจริงและปกปิดพยานหลักฐาน แต่ตำรวจมีความเชื่อมั่นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะนำไปพิสูจน์ในชั้นศาล เพื่อพิจารณาพิพากษาลงโทษผู้ต้องหาตามความผิดได้" พ.ต.อ.ชัยรัตน์ กล่าว

วันเดียวกันตัวแทนประกันชีวิต เอไอเอ ได้นำเงินสินไหมสดแทนจำนวน 1.5 ล้านบาท มอบให้กับสามีผู้ตายด้วย  
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ที่ พฤศจิกายน 13, 2010, 03:06:58 PM
เนื้อความของกรมธรรม์ครอบคลุมอะไรบ้างครับ จ่ายชดเชยในกรณีไหนบ้าง..

ถ้าเกิดแล้ว ค่าชดเชยเกินกว่าวงเงินที่จ่ายหรือไม่ อย่างไร..

เบี้ยประกันมีหลายแบบ พวกที่จ่ายทุกปี เป็นเบี้ยทิ้งก็มี จ่ายแล้วสะสมก็มี

อยู่ที่ว่าจะเลือกแบบใด..


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: birdwhistle...รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 13, 2010, 04:08:04 PM
เท่าที่ศึกษามา ในกรมธรรม์ประกันชีวิต 1 ฉบับมักจะประกอบด้วยส่วนที่สำคัญที่สุดคือ "สัญญาชีวิต"

    สัญญาชีวิต แล้วแต่รูปแบบแห่งกรมธรรม์ เช่น ความคุ้มครอง+เน้นการออมทรัพย์(ผลตอบแทนสูงอาจมีปันผลมากหรือเงินเอาประกันเพิ่มขึ้นตามอายุกรมธรรม์) เบี้ยประกันก็สูงด้วย หรือเน้นเอา เฉพาะความคุ้มครองพวกนี้เบี้ยจะต่ำกว่า
    สัญญาชีวิตโดยทั่วไป หากดูที่เวลา จะมีประเภท จ่ายเบี้ยประกันเท่ากับอายุกรมธรรม์ เช่น 10/10  15/15 หรือ 21/21  และประเภทจ่ายเบี้ยกรมธรรม์ในเวลาที่กำหนดแต่คุ้มครองนานกว่าเช่น 7/10  10/15 หรือ 20/(จนอายุ99ปี) หรือ จ่ายเบี้ยจนอายุ 60/คุ้มครองถึงอายุ 99
    กรมธรรม์ประกันชีวิตทั่วไปจะเป็นแบบมีมูลค่า นั่นคือเมื่อถึงเวลาหนึ่งอาจจะเป็น 2 หรือ 3 ปีแล้วแต่แบบแห่งกรมธรรม์ นับจากวันเริ่มทำกรมธรรม์ หากมีการจ่ายเบี้ยประกันจามปกติและกรมธรรม์ยังมีผลใช้บังคับอยู่  ตัวกรมธรรม์จะเริ่มมีมูลค่า

อะไรคือมูลค่า.........นั่นคือเงินเบี้ยประกันที่จ่ายไปเมื่อบริษัทใช้ "คณิตศาสตร์ประกันภัย" คำนวณค่าความเสี่ยงในช่วงแรกซึ่งบริษัทต้องจ่ายค่าคอมฯให้ตัวแทน(ปีแรก % สูงบางแบบ 40% บางแบบอาจสูงถึง 50 %) และในปีที่ 2 หรืออาจเป็นปีที่ 3 แล้วมีเงินเหลือ มูลค่านั้นจะเป็นเงินสะสมของกรมธรรม์แบบนั้น ๆ

หลังจากกรมธรรม์มีมูลค่าแล้ว ผู้ถือกรมธรรม์ต้องการยุติกรมธรรม์ฉบับนี้ก็สามารถทำได้โดย

ก. เวณคืนกรมธรรม์ จะได้เงินในส่วนมูลค่าของกรมธรรม์คืนตามตารางเงินเวณคืนในแต่ละแบบที่แนบในกรมธรรม์ทุกฉบับ

ข. ขอเปลี่ยนเป็นกรมธรรม์แบบใช้เงินสำเร็จ โดยไม่ต้องจ่ายเบี้ยอีก  โดยมูลค่าเงินที่มีอยู่เปลี่ยนเป็นความคุ้มครองตามจำนวนเงินเอาประกันที่ทำไว้ แต่เวลาที่เหลือจะลดลงเท่าที่มูลค่าเงินที่มีอยู่ซึ่งก็สามารถดูในตารางแนบท้ายกรมธรรม์ได้เช่นกัน

เช่น กรมธรรม์แบบ 21/21 เงินเอาประกัน 100000 บาทต้องการหยุดส่งเบี้ยในสิ้นปีที่ 5 ให้นำกรมธรรม์ไปที่บริษัทแจ้งความประสงค์เปลี่ยนเป็น "ใช้เงินสำเร็จ" ท่านไม่ต้องส่งเบี้ยอีก ความคุ้มครองยังอยู่ 100000 บาท แต่ระยะเวลาอาจเหลืออีกเพียง 2-3 ปี มูลค่านั้นก็จะแปลงเป็นความคุ้มครองแล้วหมดไป

ค. ขอเปลี่ยนเป็นกรมธรรม์ "แบบขยายเวลา" แบบนี้ท่านไม่ต้องจ่ายเบี้ยอีกเช่นกัน ระยะเวลาความคุ้มครองจะเท่าเดิม เช่น 21 ปีนับจากวันเริ่มอายุกรมธรรม์ แต่เงินเอาประกันจะลดลงตามที่มูลค่ากรมธรรม์มีอยู่ 

เช่น กรมธรรม์แบบ 21/21 เงินเอาประกัน 100000 บาท ต้องการหยุดส่งเบี้ยในสิ้นปีที่ 5 บริษัทยังคงคุ้มครองต่อไปจนครบ 21 ปี แต่เงินเอาประกันอาจเหลือเพียง 9พันกว่าบาทหรือหมื่นเศษ ๆ  ก็ได้ แต่หากเราหยุดส่งและขอเปลี่ยนในปีหลัง ๆ แล้ว จำนวนเงินเอาประกันจะมากขึ้น จนถึงปีที่ 21 ก็คือส่งครบ จำนวนเงินเอาประกันเต็ม

การเลิกกรมธรรม์ทั้ง 3 แบบมีตารางแนบท้ายกรมธรรม์เสมอ แต่ไม่เคยมีตัวแทนคนใดพูดถึงเลย


   
   


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: Guu-mumm-รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 13, 2010, 04:27:11 PM
  ของผมเมื่อ2เดือนที่แล้ว  บ.ส่งยอดที่ต้องชำระ มาผิดปลายทางเลยไม่ถึง(ปกติส่งมาถูกนะครับ)  คราวนี้ผมไม่รู้ว่าเลยเวลารึยัง จึงโทรไปสอบถามทางตัวแทนที่ทำ  ทางตัวแทนแจ้งมาว่า "เลยเวลาแล้ว แต่ไม่เป็นไรทางบ.ทำเรื่องกู้ให้อัตโนมัติ"  ผมงงเลย จึงสอบถามทางตัวแทนว่า "ใครสั่ง" ตัวแทนแจ้งมาว่า "มันเป็นระเบียบ ของบ. ดอกเบี้ยไม่กี่ตังส์หรอก"  พอได้ยินแบบนี้ผมฟิวส์ขาดเลย เลยพูดไปว่า  "ทางตัวแทนรึบ. เป็นฝ่ายที่ผิด ที่อยู่ส่งเคยส่งมาถูกแต่ตอนนี้ที่อยู่กลับจ่าหน้าผิด ทั้งที่ผมไม่เคยเปลี่ยนประวัติ แล้วจะให้ผมเสียค่าโง่แทนพวกคุณ ทำยั้งนี้แฟร์กับลูกค้ารึเปล่า อีกอย่างคุณมาหาผมนะไม่ใช่ผมไปหาคุณ ลองไปคุยกับคุณบXXXดู(เจ้าของตัวแทนที่ทำ)"

  ตอนจบทางตัวแทนรับผิดชอบด้วยการเสียดอกเบี้ยแทนและเช็คที่อยู่ใหม่และขอโทษ(ซึ่งสำคัญที่สุด) ::012:: ::012::

  จริงอยู่ที่ดอกเบี้ยไม่เท่าไหร่ แต่ความรู้สึกสิครับ ผิดพลาดแต่จะให้ลูกค้ารับผิดชอบ ของขึ้นเลย   ::013:: ::013:: ::013::


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: birdwhistle...รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 13, 2010, 04:30:22 PM
มาเรื่องสัญญาแนบท้าย สัญญาเหล่านี้เป้นส่วนหนึ่งของกรมธรรม์แต่ผลบังคับใช้แยกออกจากสัญญาชีวิต

1. อุบัติเหตุ  ท่านอาจซื้อสัญญาชีวิต 100000 บาท ซื้อสัญญาอุบัติเหตุ 100000 หรือ 200000 ก็ได้ตามข้อกำหนดของแต่ละบริษัท เมื่อท่านเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุผู้รับผลประโยชน์ของท่านจะได้ เงินสัญญาชีวิต 100000 บาท และเงินจากสัญญาอุบัติเหตุอีก 100000 หรือ 200000 บาทตามที่ชื้อเอาไว้  สัญญาอุบัติเหตุเป็นสัญญาแบบไม่มีมูลค่าเมื่อหมด 1 ปี จำนวนเงินที่จ่ายสำหรับสัญญานี้ก็หมดไป เหมือนประกันรถ

2. สุขภาพ ทั้งรักษาแบบผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน และค่ารักษาต่าง ๆ เป็นแบบปีต่อปีไม่มีมูลค่าเช่นกัน สิ้นปีก็หมดสิ้นมูลค่า

3. บางบริษัทอาจสัญญามี ฆาตกรรม จราจล เพิ่มขึ้นอีกโดยคุ้มครองการเสียชีวิตหรือบาดเจ็บอันเนื่องจาก ฆาตกรรมและจราจลโดยตนเองมิได้เป็นผู้มีส่วนร่วม สัญญานี้ก็จะมีลักษณะเช่นเดียวกับสัญญาอุบัติเหตุนั่นคือไม่มีมูลค่าเมื่อสิ้นปี

ในกรมธรรม์ 1 ฉบับจะมีหลายสัญญา

หากซื้อสัญญาชีวิตเพียงอย่างเดียว เวลาเจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุ จะเคลมอะไรไม่ได้เลย เพราะสัญญาชีวิตจะได้เมื่อ "ตาย" หลังจาก 1 ปีแรก และเมื่อกรมกำหนดเวลาในกรมธรรม์เท่านั้น แต้หากแบบใดมีเงินปันผลก็จะได้เงินปันผล และหรือ เงินเอาประกันเพิ่มในปีต่อ ๆ ไปแล้วแต่แบบแห่งกรมธรรม์

โดยปกติหากซื้อครบทุกตัวแล้ว เงินที่จ่ายทั้งหมดมักจะมากกว่าเงินที่ได้กลับมาเสมอ เพราะสัญญาแนบท้ายตัวอื่น ๆ นอกจากสัญญาชีวิต ล้วนไม่มีมูลค่าทั้งสิ้น

 
 


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: birdwhistle...รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 13, 2010, 04:41:00 PM
ถูกต้องแล้วครับ

เมื่อกรมธรรม์มีมูลค่า  สิ้นปีใดที่เราลืมส่งเบี้ย  บริษัทจะเอามูลค่าของกรมธรรม์ของเรามาให้เรากู้เพื่อชำระเบี้ยไปพลางก่อน ทั้งนี้เพื่อผลของความคุ้มครองที่ต่อเนื่องครับ เช่นท่านชำระช้าไป 2 เดือน เวลาชำระต้องจ่ายดอกเบี้ยที่คิดจากเวลา 2 เดือนนั้นด้วย

หากบริษัทไม่ทำ สมมุติวันครบกำหนดในแต่ละปีของกรมธรรม์เป็นวันที่ 31 ต.ค.  แล้วยังไม่ได้จ่ายเบี้ย แต่ดันโชคร้ายประสบอุบัติเหตุร้ายแรงในวันที่ 13 พ.ย. แบบนี้ท่านจะไม่ได้อะไรเลยนอกจากมูลค่าของกรมธรรม์ แต่เมื่อบริษัทนำมูลค่ากรมธรรม์ของท่าน สมมุติว่ามีอยู่ 5000 บาท แต่ท่านต้องจ่ายเบี้ย 28000 บาท มูลค่า 5000 บาทจะถูกกู้มาต่ออายุความคุ้มครองซึ่งอาจจะได้ 35-40 วัน ดังนั้นความคุ้มครองเลยวันที่ 31 ต.ค. ไปอีก 35-40 วัน

แต่หากกรมธรรม์ของท่านมีมูลค่ามากกว่านั้น เช่นในปีหลัง ๆ อาจมีค่าหลายหมื่นบาท ก็จะกู้คุ้มครองต่อได้นานขึ้นตามเงื่อนไขของแต่ละบริษัท   

กรณีนี้เป็นกรณีที่ผู้เอาประกันลืม หรือไม่ได้ส่งเบี้ยตามกำหนด

แต่เรื่องส่งที่อยู่ผิด เป็นเรื่องของตัวแทนกับบริษัท เป็นความบกพร่องครับ ลองไล่เบี้ยดูเดี๋ยวก็เจอ "บ่อ"

แต่โดยปกติบริษัทจะส่งตามที่อยู่ในกรมธรรม์ ปัญหาจะเกิดได้ก็จากการย้ายบ้านแล้วไม่แจ้งที่อยู่ใหม่ให้ทางบริษัท หรืออาจแจ้งตัวแทนแล้ว ตัวแทนดันทะลึ่งลืมส่งเรื่อง


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ พฤศจิกายน 13, 2010, 04:56:37 PM
ผมประกันอุบัติเหตุปีละประมาน30000บาท  เสียทิ้งเลยเมื่อวานถ้าเบรคไม่ทันแถวโคกกรวดนี่แย่เลย  กำลังง่วงๆแซงซ้ายเจอ10ล้อไฟมัวๆ   ทำไว้เถอะเผื่อคนอื่นจะได้ไม่มาบ่นทีหลัง  ว่าตายไปแล้วมีแต่หนี้เหลือให้ ;D


หัวข้อ: Re: พอกันที..ประกันชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: noomrider ที่ พฤศจิกายน 14, 2010, 05:39:33 AM
ส่วนตัวมีความคิดเชิงบวกเกี่ยวกับประกันทุกชนิด   ผมชอบเเบบสะสมทรัพย์บีบตัวเองยังมีเงินเก็บ  ไม่งั้นค่าปืนค่ากระสุนดึงไปหมดครับ