วันพรุ่งนี้...วันวานนี้...วันนี้
--------------------------------------------------------------------------------
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
วันพรุ่งนี้ อยู่ไกล ยังไม่เกิด
ช่างมันเถิด อย่าร้อน ไปก่อนไข้
วันวานนี้ ตายแล้ว ให้ตายไป
อย่าเอาใจ ไปข้อง ทั้งสองวัน
ถ้าวันนี้ สดชื่น ระรื่นจิต
อย่าไปคิด หน้า-หลัง มาคลั่งฝัน
สิ่งที่แล้ว แล้วไป ให้แล้วกัน
สิ่งที่ฝัน ไม่มา อย่าอาวรณ์ ฯลฯ
...อย่าจม!! อยู่กับอดีต... หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
เรื่องเวลานี้มันมีสามกาละคือว่า ปัจจุบัน อดีต อนาคต
สามกาลนี้มันนิดเดียวเท่านั้นเอง ตัวปัจจุบันนี่ก็นิดเดียว แล้วมันก็กลายเป็นอดีตไป
แล้วอนาคตก็ย่างเข้ามา กลายเป็นตัวปัจจุบัน แล้วก็เป็นอดีตต่อไป ถ้าหากว่าเราถือหลักว่าเวลานี้มันไม่คงที่
มันมาถึงเราแล้วก็ผ่านพ้นไปๆ วินาทีนั้นผ่านพ้นไป วินาทีใหม่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านพ้นไป คล้ายๆกับภาพยนตร์ เวลาเราดูหนัง
ภาพต่างๆมันผ่านสายตาเราไปในรูปต่างๆกัน นั่นคือความเปลี่ยนแปลงของภาพอยู่ตลอดเวลา
ภาพมันถี่ยิบเพราะความหมุนของเครื่องแล้วฟิล์มมันก็หมุนไป เราก็เห็นว่าเป็นภาพวิ่งแสดงอย่างนั้นแสดงอย่างนี้
ปรากฏแก่สายตายของเรา ทำให้เราเห็นว่ามันเป็นจริงๆจังๆ เป็นเรื่องเป็นราว บางทีดูด้วยความเพลิด เพลิน
บางทีดูแล้วก็เศร้าโศกเสียใจ เวลาจบเรื่องลงไปก็พลอยเศร้าไปกับพระเอก หรือว่านางเอกที่ต้องพบชะตากรรมที่ไม่นึกฝัน
ว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ที่จริงภาพเหล่านั้นมันเป็นมายา ที่มาหลอกตาเราชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง
แต่ว่าภาพมันติดต่อกัน เลยเห็นเป็นเรื่อง เดียวกันตลอดเวลา อย่างนี้มันก็ผ่านๆไปเท่านั้นเอง
อะไรๆ มันก็ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้หยุดอยู่ แต่ว่าเรานั้นเป็นผู้ทำผิด ทำผิดในเรื่องอย่างไร
ทำผิดคือไปเก็บเอาสิ่งนั้นไว้มาใส่ในใจ ใส่ไว้ในห้วงนึกในความคิดของเรา เก็บเรื่อยไปไม่รู้ว่าอะไรต่ออะไร
เรียกว่าเป็น คนชอบเก็บ ชอบสะสม ลักษณะของจิตมันก็อย่างนั้นอยู่ด้วยเหมือนกัน
คือว่า ชอบสะสมอารมณ์ประเภทต่างๆที่ผ่านมาเข้ามา
แล้วมันก็เก็บไว้ แล้วเอามานั่งคิด นั่งนึกให้เกิดความทุกข์ความเศร้าใจ ไม่มีเรื่องอะไรจะคิดก็ไปเอาเรื่องที่มันเศร้าใจ
ไม่สบายใจมาคิด บางทีไปคิดในเวลาใกล้จะนอน เลยกระทบอารมณ์ นอนไม่หลับ หรือบางทีไปคิดเวลารับประทานอาหาร
เลยเกิดเบื่ออาหารขึ้นมา ไม่อยากจะรับประทานแล้ว ใจมันไม่สบาย
ใจมันไปคิดในเรื่องครั้งกระโน้น เก่าไม่รู้สักกี่สิบปี แล้ว
ถ้าเป็นวัตถุก็เรียกว่าบูดแล้ว เน่าแล้ว เปื่อยแล้ว เราอุตส่าห์เอามาสร้างเป็นโครงร่างขึ้นมาใหม่ ไปเก็บ
เอาขี้เถ้ามันมาเสกสรรปั้นแต่งให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว นั่งดูด้วยความเศร้าโศกใจ นี่เรียกว่า
ความเขลาหรือความฉลาด ขอให้เราคิดดูสักเล็กน้อย
สิ่งใดที่มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยไป ช่างมันเถอะผ่านพ้นไปแล้ว เราจะไปคิดถึงสิ่งนั้นทำไมให้มันเป็นอดีตไป
อดีตมันก็ผ่านพ้นไปแล้วปัจจุบันมันก็ผ่านพ้นไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง
แต่ถ้ามาถึงเข้า เราก็พิจารณาต่อไปด้วยปัญญาว่าสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นแก่เรา แต่ว่าสิ่งนี้มันไม่เที่ยงมันมีความเปลี่ยนแปลง
คอยดูว่ามันจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรต่อไป ให้เราทำตนเป็นคนดูด้วยปัญญา อย่าดูด้วยความยึดมั่นถือมั่น
อย่าดูด้วยความหลงผิดในเรื่องนั้นๆ จิตใจเราก็จะสบายขึ้นไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนใจ
นี้เป็นประการหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหา คือความไม่ สบายใจ หรือว่าความเหน็ดเหนื่อยใจที่เกิดขึ้น ให้พอคลายไปได้
จากการคิดนึกในรูปอย่างนี้
ที่มา : ้http://www.jarun.org
(เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรมวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๒๐)
(จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 77 เม.ย. 50
โดย พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี) คัดลอกจาก ...ผู้จัดการออนไลน์