เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 17, 2024, 04:47:24 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ของเก่า เอามาอ่านใหม่  (อ่าน 847 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Nat_usp
เวลาเหลือน้อยแล้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 708
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3010


กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง


« เมื่อ: ตุลาคม 11, 2008, 02:44:49 PM »

“พระโหรา กล่าวโศลกบูชาฤกษ์และพระมหาราชครู

อ่านกระแสพระราชโองการตั้งพระมหานคร ขุนโหรเริ่มประกอบพิธีกล่าวอุทิศเทพสังหรณ์

อัญเชิญก้อนดินซึ่งพลีมาแต่ทิศทั้ง 4 แห่งพระนคร กระทำให้เป็นก้อนกลมดุจลูกนิมิต

ลงสู่ก้นหลุมเป็นลำดับกันไปเริ่มแต่ทิศบูรพา ทักษิณ ปัจฉิมและอุดร จากนั้นนำแผ่นศิลา

เลขยันต์สำหรับรับรองหลักวางลงบนก้อนดินทั้ง 4 ก้อนนั้น ส่วนภายในก้นหลุมนั้นเล่า

ก็ได้ตกแต่งไว้เรียบร้อย กรุด้วยผ้าขาวสะอาดบริสุทธิ์ ดาษไปด้วยใบไม้อันเป็นมงคล

 9 ประการ โปรยปรายแก้วนพรัตน์ไว้เรียงรายโดยรอบขอบปริมณฑลภายในก้นหลุมนั้น”

    ขณะที่ได้พระฤกษ์ พระโหราย่ำฆ้องบอกกำหนดพระฤกษ์ ชีพราหมณ์เป่ามหาสังข์

แกว่งบัณเฑาะว์ เจ้าพนักงานประโคมดุริยางค์แตรสังข์และพิณพาทย์ เจ้าหน้าที่ประจำ

ยิงปืนใหญ่เป็นมหาพิชัยฤกษ์ เริ่มพระราชพิธีอัญเชิญเสาหลักเมืองลงสู่หลุม

โดยวางไว้บนแผ่นศิลายันต์

    ทันทีนั่นเอง ก็เกิดปรากฏการณ์เป็นมหัศจรรย์ขึ้น โดยปรากฏว่ามีงูตัวเล็กๆ 4 ตัว

 ปาฏิหาริย์ลงไปอยู่ในหลุมนั้น และก็บังเอิญบันดาลให้ทุกคนที่ไปร่วมชุมนุมประกอบพิธี

อยู่ ณ ที่นั่น ได้เห็นงูในขณะที่เคลื่อนเสาหลักเมืองนั้นลงไปในหลุมเสียแล้ว ซึ่งเมื่อก่อน

ที่จะยกเสาลงสู่หลุมนั้น หาปรากฏว่ามีงู 4 ตัวดังกล่าวนั้นไม่ และก็หมดโอกาสที่จะแก้ไข

ประการใดๆ ได้ทั้งสิ้น เพราะเมื่อตอนที่เห็นงูนั้น เป็นขณะที่เสาได้เคลื่อนลงหลุมแล้ว

จึงจำเป็นจะต้องปล่อยให้เลยตามเลยไป โดยปล่อยให้เสาลงไปในหลุมและกลบดินให้แน่น

ทำให้งูทั้ 4 ตัวนั้น ต้องตายอยู่ภายในก้มหลุมนั่นเอง

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่ฝังเสาหลักเมืองนี้ ได้ยังพระวิตกให้แก่

สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เป็นอันมาก ทรงเรียกประชุมเหล่าเสวกามาตย์ราชบัณฑิต

ปุโรหิตาจารย์ พระราชาคณะและบรรดาผู้รู้ทั้งปวงมาร่วมประชุมวิจารณ์ถึงเหตุการณ์

ที่บังเกิดขึ้นครั้งนี้ว่า จะเป็นมงคลนิมิตหรืออวมงคลนิมิต บรรดาผู้รู้ทั้งปวงต่างก็ให้

ความเห็นสอดคล้องต้องกันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จัดว่าอยู่ในจำพวกอวมงคลนิมิต

แต่ก็ไม่สามารถจะชี้ลงไปได้ว่า ผลจะปรากฏออกมาในทำนองใด นอกจาก

จะลงความเห็นว่างูเล็กทั้ง 4 นั่นแหละ จะเป็นมูลเหตุนำความอวมงคลให้แก่บ้านเมือง

    แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นการบอกกล่าวของเทพยดาฟ้าดินขึ้นมาในระยะนั้น

โดยเกิดฟ้าผ่าไฟไหม้พระที่นั่งอมรินทร์มหาปราสาท ทำให้ทรงพระราชวินิจฉัยออกมาว่า

เป็นการสะเดาะเคราะห์เมือง โดยที่เทพยดาบันดาลให้เกิดฟ้าผ่าจนไฟไหม้พระมหาปราสาท

 ตามธรรมดาต้องเสียเมืองก่อนจึงจะเสียพระมหาปราสาท คราวนี้ได้เสียพระมหาประสาท

ไปแล้วเท่ากับเสียเมืองไป เพราะเหตุที่ชะตากรุงเทพมหานครในระยะเริ่มตั้งแต่ฝัง

เสาหลักเมืองมานั้น ชะตาเมืองอยู่ในเกณฑ์ร้ายถึง 7 ปี 7 เดือน เป็นอันเสร็จสิ้นพระเคราะห์

เมืองไป และจะถาวรลำดับกษัตริย์ไป 150 ปี (เทพย์ สาริกบุตร “โหราศาสตร์ในวรรณคดี”)

    คนไทยทุกคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ หรือเคยเดินทางมากรุงเทพฯ ก็คงจะได้พบได้เห็น

ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นประธานในการทำพิธี

ฝังตามคัมภีร์ของคนไทยที่ชื่อว่า คัมภีร์พระนครฐาน แต่สำหรับคนธรรมดาสามัญทั่วไป

 หรือเฉพาะคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ นับจำนวนล้านๆ คน อาจจะไม่เคยทราบว่าการทำพิธี

ฝังเสาหลักเมืองในวันนั้น เป็นเรื่องไม่ธรรมดา

    พิลึกพิลั่นและมีเหตุการณ์อันประหลาดมหัศจรรย์มากมายเพียงใด หรือคนโบราณ

เขาได้ทำกันอย่างไร และมีอะไรประกอบขึ้นมาบ้างก่อนที่จะมาเป็นศาลเจ้าพ่อหลักเมือง

ที่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ จึงสามารถทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรง

ทำนายทายทักออกมาได้ว่า นับตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2325 เป็นต้นไป ระบอบการปกครอง

ของไทยจะต้องเปลี่ยนจากระบอบราชาธิปไตยไปเป็นประชาธิปไตยอย่างที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้

    และยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงในวันทำเสาหลักเมืองนั้น ทุกคนที่ร่วมชุมนุมทำพิธี

เหล่านั้น ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ และบรรดาชีบานาสงฆ์ฐานันดรสูงสุด

ของประเทศ ได้เห็นเป็นประจักษ์พยานว่า มันมีสิ่งบอกเหตุว่าจะต้องเกิดขึ้น เพราะในหลุม

ลึกที่ฝังเสาหลักเมืองที่กรองก้นหลุมไว้ด้วยผ้าขาวและสรรพคาถาอาคมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์

มากมายนั้น เมื่อเวลานำเสาลงหลุมเสร็จและกำลังจะกลบด้วยดินตามปกตินั้น ทุกคนก็ได้

เห็นว่ามีงูเล็ก 4 ตัวลงไปนอนเล่นอยู่ในหลุม โดยที่ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้ นอกจากถมให้

ตายลงไป และงูตัวนั้น โบราณหรือกษัตริย์ของกรุงรัตนโกสินทร์ทรงทราบว่า

มันบอกถึงการสิ้นสุดของระบอบราชาธิปไตยของคนไทย ว่าการสิ้นสุดของระบอบนั้น

จะเกิดจากการถือกำเนิดของเชื้อพระวงศ์ 4 พระองค์ของกรุงรัตนโกสินทร์ และเหตุการณ์

ก็เป็นจริงเพราะว่าจากวันนั้นมาถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นวันที่ครบ 150 ปี จากวันที่

ฝังเสาหลักเมืองและการตายของงูทั้ง 4 ตัวนั้นเหมือนกับนัด

    ในระยะนั้น เจ้านาย 4 พระองค์เป็นผู้รับผิดชอบกิจการของบ้านเมือง ทั้งฝ่ายนอกฝ่ายในคือ

(1) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

(2) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิจ

(3) กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน

(4) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินทร


ซึ่งทุกพระองค์ทรงมีพระราชสมภพในปีเดียวกันทั้ง 4 พระองค์คือ

ปีมะเส็งซึ่งหมายถึง งูเล็กหรืองูทั้ง 4 ตัวที่ตายอยู่ในหลุมฝังเสาหลักเมืองวันนั้น

    ดวงชะตาเมืองที่จัดทำขึ้นวันนั้น มันมีอาถรรพ์และมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของ

คนไทยโบราณ และมันแสดงให้เห็นเป็นประการแรกที่พิสูจน์ได้

    สมัยเจ้าฟ้าทั้ง 4 พระองค์ หรือคนโบราณรู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิด

หรือจะสิ้นอายุ 150 อายุพระนครตามที่พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงให้คำทำนายไว้นั้น

ตามประเพณีไทยก็ต้องไปทำบุญแก้เคล็ดหรือสะเดาะเคราะห์ไว้ก่อน เพราะฉะนั้นเจ้าฟ้า

ทั้ง 4 พระองค์นี้ก็ได้ร่วมกันสร้างตึกขึ้นหลังหนึ่งที่เรียกว่า ตึกสี่มะเส็ง ที่บริเวณ

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์หรือที่สถานเสาวภาทุกวันนี้

    การที่จะคาดหมายว่าอะไรจะเกิดขึ้นอย่างไรของคนโบราณอย่างที่พระบาทสมเด็จ

พระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงทำนายไว้นั้น ความจริงไม่เพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นเท่านั้น

แต่ตามประเพณีก็จะดูกันจากดวงชะตาเมือง ซึ่งโหรไทยหรือนักศึกษาโหราศาสตร์ไทย

ทุกคนก็จะรู้กันดีว่าเอาอะไรมาทำนายทายทักกันอย่างไร

    อย่างไรก็ตาม เรื่องของขนบประเพณีในการสร้างบ้านสร้างเมืองหรือหลักการสร้างบ้าน

สร้างเมืองตามพิธีนครฐานนั้น เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ร้อยแปดที่จะต้องการสองประการคือ

 (1) จะต้องมีอาถรรพ์หรือคำสาปแช่งนานาประการที่จะป้องกันเสนียดจัญไรหรืออันตราย

ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นแก่บ้านเมือง ผู้ใดที่ไม่หวังดีหรือได้กระทำความชั่วให้เกิดเหตุร้ายแก่

บ้านเมืองจะต้องวินาศฉิบหายไป อริราชศัตรูหรือผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเมืองที่กระทำการอัน

เป็นโทษต่อบ้านเมืองนั้น จงแพ้ภัยแก่ตัวเองและจะประสบความวินาศฉิบหายไป

(2) ให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ไม่ให้ผู้คนอดอยากและได้รับเวรภัยใดๆ ให้ประสบแต่ความ

สมบูรณ์พูนสุขทั้งบ้านเมือง ทั้ง 4 มุมเมืองของกรุงเทพมหานครนั้น คนโบราณเล่ากันต่อไป

ว่าได้มีการฝังอาถรรพ์ไว้ทั้งทิศเหนือ ทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตก เพื่อป้องกันคนชั่วและ

คนที่มีความประสงค์ร้ายต่อบ้านเมืองอย่าได้มีโอกาสเข้ามาพ้นจากมุมที่ท่านฝังอาถรรพ์

เหล่านั้นไว้เป็นอันขาด

    ว่ากันว่าคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางคาถาอาคมหรือเครื่องรางของขลังแน่นขนาดไหนก็ตาม

 เพียงแต่เดินผ่านมุมเมืองทั้งสี่มุมใดมุมหนึ่งเข้ามา ท่านก็ว่าวิชาอาคมทั้งปวงก็จะเสื่อมหมด

ไม่ว่าจะชื่อเณรแอหรืออาจารย์กู้และหลวงตาจันทร์ก็เถอะ ดีไม่ดีติดคุกเอาง่ายๆ ในชีวิตจะ

หมดสิริมงคลทำมาหากินไม่ขึ้นเอาทีเดียว

    ที่มีการบอกกล่าวกันว่า ได้มีการฝังอาถรรพ์ไว้ทั้ง 4 มุมเมืองในวันนั้น ก็เป็นเพียงรับรู้

และบอกเล่ากันมา แต่ความจริงที่ทำอย่างแน่นอนก็คือ การอัญเชิญท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4

เข้ามาประกอบพิธีด้วย ท่านว่า

“และให้ปลูกโรงศาลโรงพิธีขึ้นใกล้ๆ กับหลุมที่จะขุด เพื่อจะปักเสาหลักเมืองนั้น ตั้งศาลจตุโลกบาลทั้ง 4 ทิศขึ้น 4 ศาล”

ซึ่งอาจจะเป็นการฝังอาถรรพ์ทั้ง 4 มุมเมืองที่บอกกล่าวกันมาก็ได้

    เช่นเดียวกับเจ้าขุนมูลนายหรือผู้ปกครองบ้านเมืองที่คิดว่าตัวเองคือพระเจ้าที่อยากจะทำ

อะไรตามใจตัวเองก็ทำได้นั้น ก็ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จ นอกจากความวิบัติฉิบหาย

น้อยมากตามกรรมตามเวรของแต่ละคน ก็ได้พิสูจน์กันมาแล้วเป็นลำดับ เฉพาะอย่างยิ่ง

ตั้งแต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา ดูเหมือนจะอยู่จะตายพร้อมกับเสียง

สาปแช่งของผู้คนไม่มากก็น้อยหรือเอากันว่าโอกาสที่จะตายดีกันอย่างสามัญชนกันนั้น

มีน้อยคนทีเดียว!

    ตัวอย่างคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งคนสำคัญๆ ล้วนแต่ดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา

กันมาแล้วทั้งนั้น และเมื่อปฏิวัติแล้วก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ แล้วทุกคนก็แตกกระสาน

ซ่านเซ็นกันไปเกือบทุกคน เท่านั้นยังไม่พอ ยังพยายามติดตามจองล้างจองผลาญกันอย่างไม่

ลืมหูลืมตาเอาด้วย ไม่ว่าเป็นพระยาทรงสุรเดช พระยาศรสิทธิสงครามและคนอื่นๆ

แม้แต่จอมพล ป. พิบูลสงครามเอง ทุกคนใช้ชีวิตสุดท้ายด้วยความทุกข์ยากและตายไม่ดี

กันทั้งนั้น

แม้แต่หลวงประดิษฐ์มนูธรรม แม้ว่าจะทำบุญกุศลและสร้างเกียรติยศให้แก่บ้านเมืองเพียงไร

ก็ไม่มีโอกาสได้ตายอย่างรัฐบุรุษของชาติ แต่ตายนอกประเทศที่ตนเองกอบกู้มันเอาไว้ และ

ที่ร้ายที่สุดก็คือ ความแตกแยกชนิดเอากาวอะไรทาก็ไม่ยอมติด นั่นคือความอาถรรพ์ของดวง

ชะตาเมือง และรัฐบาลชุดนี้ที่ถือเอาฤกษ์วันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมานั้นเป็นหลัก สิ่งที่จะเกิด

ก่อนอื่นที่ไม่สามารถจะแก้ไขก็คือ ความแตกแยกที่จะต้องแตกกันขนาดต้องพังไปข้างหนึ่ง

อย่างไม่ต้องสงสัยอะไร

    ถึงแม้ว่ามีโอกาสได้ตั้งกระทรวงต่างๆ มาถลุงเงินประชาชนกันอย่างสนุกมือก็ตาม

แต่ก็จะต้องระวังอาถรรพ์และคำสาปแช่งของโบราณนั้นไว้บ้างก็ดี เพราะเสาหลักเมืองยังอยู่

อาถรรพ์และเสียงสาปแช่งจะไม่ไปไหนเสีย ถ้าหากเกิดความสกปรกหรือผิดพลาดอะไรขึ้นมา

เจอพิษงูเล็กชุดนี้แน่

    ไม่เพียงแต่ตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเท่านั้น แต่คณะรัฐบาลทั้งชุด

ทั้งคณะควรจะรู้เรื่องราวของอาถรรพ์เหล่านี้ไว้บ้าง อาจจะมีประโยชน์บ้างก็ได้

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่เคยไว้หน้าใครหรอก ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออยู่ในตำแหน่งขนาดไหน!



ที่มา : น.ส.พ. ผู้จัดการ ลงวันศุกร์ที่ 4 ต.ค.2545


บันทึกการเข้า

รักในหลวงที่สุดที่ในโลก

เพียงดาวเบเกอรี่     http://forum.ayutthaya.go.th/index.php?topic=31931.0
๏แก้วเดียวจุก๏รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 381
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2086



« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2008, 02:59:30 PM »

มันผู้ใดคิดทรยศต่อบ้านเมือง มันผู้นั้นจงพินาศฉิบหาย อย่าได้ตายดี
บันทึกการเข้า



สิ้นสุดด้วยความเจ็บปวด ดีกว่าเจ็บปวดไม่สิ้นสุด
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.114 วินาที กับ 22 คำสั่ง