สรุปว่า กฎหมายก็ยังให้วามคุ้มครองต่อวิชาชีพโจรมากกว่าชีวิตและทรัพย์สินของเรา ที่หามาด้วยวามยากลำบาก
ด้วยหยาดเหงื่อและแรงกาย เช่นรถยนต์หนึ่งคัน ไปดาวน์และผ่อนส่ง ใช้เวลาหลายปีกว่าจะผ่อนหมด แต่คุณโจรใช้
เวลาไม่กี่นาทีในการขโมย เราเข้ามาเห็นเหตุการณ์ ทั้งๆที่เราขอมีใช้อาวุธปืนเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน แต่กลับ
ไม่ได้สิทธิ์หรือมีสิทธิ์ที่จะใช้
งั้นพวกเราไปเป็นโจรผู้ร้ายกันดีกว่า กฎหมายให้ความคุ้มครองพวกโจรดีถึงขนาดนี้ ไม่แปลกใจแล้ว ทำไมโจรถึง
เต็มบ้านเต็มเมือง ถูกจับได้ก็รับโทษสถานเบา ไม่กี่เดือนก็ออกมาก่อกรรมทำเข็ญได้อีก
เคยคิดว่าชีวิตของพวกโจรผู้ร้ายมันไร้ค่า เข้ามาลักขโมยของเราก็ซัดมันไม่ต้องเลี้ยงไว้ ผมเปลี่ยนใจแล้วครับ มี
โอกาสขอเป็นผู้ร้ายเองดีกว่าแบบนี้ กฎหมายให้ความคุ้มครองและรับประกันความปลอดภัยให้
..................เห็นจะถูกต้องครับ.............ทำผิดติดคุกไม่กี่ปีก็ออกครับ..............แต่ชาวบ้านลำบากแทบตายกว่าจะหาเงินทองมาได้.................ทำใจครับ...ทำอะไรไม่ได้...............
ไม่ควรด่วนสรุปเช่นนั้นครับ
กฎหมายเป็นกติกาของสังคมที่เขียนเอาไว้ล่วงหน้า
กฎหมายเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของคนในสังคม
กรณีที่สมมุติที่ยกมาทั้งสองฝ่ายคือขโมยและเจ้าทรัพย์ต่างอยู่ภายใต้กติกาหรือกฎหมายเดียวกัน
จึงได้รับการคุ้มครอง และอาจถูกลงโทษตามกฎหมายได้ทั้งสองฝ่าย แต่อาจจะผิดคนละฐานความผิด คนละมาตรา
ขโมย ถูกกล่าวหาว่า ลักทรัพย์ หรือวิ่งราวทรัพย์ ถ้าพลาดถูกจับ กฎหมายยังให้โอกาสพิสูจน์
เจ้าทรัพย์ิยิง(ไปยัง)ขโมย อาจถูกกล่าวหาว่าเจตนาฆ่า แต่กฎหมายก็ให้โอกาสพิสูจน์
การพิสูจน์ความผิดความบริสุทธิ์ กติกาสังคม(คือกฎหมาย) กำหนดให้มีกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ตำรวจ อัยการ และศาลเป็นผู้วินิจฉัยตามบทบัญญัติของกฎหมายในท้ายที่สุด ไม่ใช่ปล่อยให้เราคิดเอง วินิจฉัยเองว่าฝ่ายตรงข้ามควร"โดน"อะไรแค่ไหน
อ่านถึงตรงนี้ถ้ายังตะหงิดๆ ในใจ ก็อยากให้ลองคิดอีกมุมหนึ่งว่า ถ้าลูกหลานเราบังเอิญไปลักเล็กขโมยน้อยจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แล้วพลาดพลั้งถูกไล่ยิงจนบาดเจ็บ ล้มตายบ้าง เราจะเข้าใจว่ากฎหมายมีเจตนารมณ์เพื่อเป็นหลักประกันหรือคุ้มครองให้แก่ทุกคนครับ