เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 30, 2024, 11:25:27 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อย่าวัดคนแค่ภายนอก  (อ่าน 2983 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
คมขวาน รักในหลวง
"จากดินแดนที่ราบสูงแห่งใบขวาน ข้ามแม่น้ำ ข้ามทะเล(ถ้านั่งเครื่อง) ข้ามภูเขา สู่ดินแดนแห่งด้ามขวาน "
Hero Member
*****

คะแนน 1830
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 19896


ดนตรี คืออาภรณ์ของปราชญ์


เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: ธันวาคม 03, 2009, 11:03:27 AM »

        แม่ยายผม  ก็มักจะถูกมองอย่างนั้นเหมือนกัน
ท่านมักจะแต่งตัวแบบชาวสวนชาวไร่  ตามที่เคยชิน
หิ้วของฝากพะรุงพะรัง  เวลาขึ้นไปเยี่ยมลูกที่กทม.
เฮอะ ๆ แต่ท่านไม่ได้มีตังค์มากมาย  เหมือนรายที่พี่จอยเล่า ครับ
บันทึกการเข้า

คลิ๊ก ทริปจักรยาน   "บินเดี่ยว ทางไกล ตามใจฝัน"     ลูกอิสาน พลัดถิ่น  จากแดนดิน  "ไหปลาแดก"  เร่ร่อน รอนแรม เดินทางดั้นด้น  มาสู่  "โคนต้นสะตอ"
godsira รักในหลวง
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 46
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 459



« ตอบ #16 เมื่อ: ธันวาคม 03, 2009, 11:30:50 AM »

...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 03, 2009, 11:34:25 AM โดย sittapong » บันทึกการเข้า
JUNG KO
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 29
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 274



« ตอบ #17 เมื่อ: ธันวาคม 03, 2009, 11:31:41 AM »

คนไม่มีเวลา : ว่าน AF
เพลง                  : คนไม่มีเวลา
เนื้อร้อง               : ธนกฤต พานิชย์วิทย์
ทำนอง / เรียบเรียง : ชวิน จิตรสมบูรณ์

เพลง คนไม่มีเวลา จากเรื่องจริงที่กินใจ

ถ้าพูดว่า “คนไม่มีเวลา” หลายๆคนคงนึกภาพของคนที่ยุ่งจนไม่มีเวลาทำอะไร, คนที่ชีวิตวุ่นวายรีบเร่ง  แต่สำหรับว่าน ธนกฤต คนไม่มีเวลา มีความหมายต่างจากนั้นมากมายนัก

ข้อความต่อๆไป เกิดจากการพูดคุยสัมภาษณ์กับนักร้อง นักดนตรี รุ่นใหม่ ว่าน ธนกฤต

“ผมกับพี่จั๊ก (ชวิน จิตร์สมบูรณ์) ทำงานเพลงร่วมกัน ซึ่งพี่จั๊ก แต่งทำนองเสร็จนานแล้ว และให้ผมเขียนเนื้อ แต่ผมก็ยังเขียนไม่ได้ซักที
มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังจัดรายการ ก็มีแฟนรายการคนนึงมาขออัดเสียงผม โดยบอกว่าจะเอาไปให้เพื่อนที่กำลังป่วยฟัง และเพื่อนคนนั้นเค้าชอบผมมาก
ซึ่งผมก็บอกว่า อย่าอัดเสียงเลยครับ ผมไปเยี่ยมก็ได้ ซึ่งตอนแรกผมรู้เพียงว่า พี่คนนั้นเค้าป่วย ต้องผ่าตัดสมอง แต่ไม่รู้รายละเอียดว่า เค้าเป็นอะไรขนาดไหน
ซึ่งพอผมไปถึงที่โรงพยาบาล สิ่งแรกที่กระทบผมคือ เสียงเพลงจากอัลบั้มแรกของผมดังอยู่ในห้องนั้น ภาพที่ผมเห็นคือ
ห้องคนป่วยที่บนผนังห้องติดโปสเตอร์ของผม รูปของผม และตารางจัดรายการของผม ส่วนพี่ที่นอนอยู่ในสภาพไม่รู้สึกตัว มีผ้าพันหัวและอุปกรณ์ช่วยชีวิตระโยงระยางเต็มไปหมด
ผมได้พบกับครอบครัวของพี่เค้าด้วย ทุกคนในห้องเล่าให้ผมฟังว่า พี่ที่ป่วยชื่อพี่บี เป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตก ต้องผ่าตัดสมองถึง 5 ครั้ง และตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย
ทั้งแม่ และครอบครัว รวมถึงสามีของพี่บี ทุกคนเล่าให้ผมฟังว่า พี่บีดีขึ้น คือเริ่มขยับนิ้วได้บ้างแล้ว ทุกคนดูมีความหวังและกำลังใจ แต่สำหรับความรู้สึกของผม
ผมกลับรู้สึกว่า เวลาในห้องนั้นได้หยุดเดิน ทุกคนที่รอ รออย่างไร้จุดหมาย เหมือนเวลามันได้ผ่านเลยไปสำหรับคนที่รออยู่

วันนั้น เมื่อกลับถึงบ้าน ผมเขียนเพลงที่ดองไว้นานเสร็จในเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง  “เวลา” อาจไม่มีความหมาย...สำหรับคนบางคน”


ข้างล่าง  เป็นเรื่องราวของพี่มืดและพี่บี

    พี่มืดกับพี่บี  รู้จักกันเพราะทำงานที่เดียวกัน และก็เป็นแฟนกันนาน 8-9 ปี หลังจากนั้นก็แต่งงานกัน  พี่มืดทำงานเป็น ครีเอทีฟบริษัทโฆษณา  ส่วนพี่บีเป็นอาร์ต ไดเรคเตอร์
ทั้ง 2 คนเรียนจบเมืองนอก และบ้างานด้วยกันทั้งคู่ เมื่อแต่งงานกัน ทั้งคู่จึงมีแผนจะสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นมา และต้องใช้เงินอีกก้อนใหญ่ พี่บีซึ่งปกติทำงานเยอะอยู่แล้ว ก็รับจ๊อบเพิ่มขึ้น
เพื่อหาเงินสร้างบ้าน งานเยอะก็เครียดหนัก จนปวดหัวประจำ และมีไมเกรนเป็นโรคประจำตัว


    หลังจากแต่งงานกันมา 1 ปี 2 เดือน เช้าวันนั้น พี่มืดแต่งตัวเสร็จแล้ว เตรียมตัวไปทำงาน แต่พี่บียังไม่ลุกจากที่นอนและบ่นว่าปวดหัว พี่มืดเลยบอกให้นอนพักอยู่กับบ้าน ไม่ต้องไปทำงาน
แล้วพี่มืดก็ออกไปทำงาน

    นั่นเป็นเช้าวันสุดท้ายที่พี่มืดได้คุยกับพี่บี

    พี่มืดเล่าว่า พี่บีเส้นเลือดในสมองแตก  เพราะอาการปวดหัวอย่างหนัก  ช่วงบ่ายวันที่เกิดเรื่อง พี่บีปวดหัวจนสลบไป และพี่สาวต้องพาไปส่งโรงพยาบาล
หมอบอกว่า เส้นเลือดในสมองแตก และต้องเข้ารับการผ่าตัดถึง 5 ครั้ง ผ่าเส้นนี้อีกเส้นก็แตก ผ่าแล้วก็แตกถึง 5 รอบ จนสุดท้าย หมอก็บอกว่า คงไม่มีเส้นไหนให้แตกอีกแล้ว
พี่บีออกจากห้องผ่าตัดมาก็ยังไม่ฟื้นอีกเลย

    เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว  พี่มืดรับไม่ได้ ไม่ไปทำงาน ไม่กินไม่นอน ได้แต่นั่งเฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่เข้าใจว่าโชคชะตาเล่นตลกอะไรกับเค้า
เหมือนตกจมดิ่งไปในหลุมลึกที่ไม่มีทางขึ้น  ดิ้นรนทำทุกทางเพื่อคนรัก


    พี่บีอยู่โรงพยาบาล 3 เดือน แบบไม่รู้สึกตัว จนวันหนึ่ง อยู่ๆพี่บีก็ลืมตาขึ้นมา พี่มืดและครอบครัวดีใจกันมาก แต่พี่บีก็แค่ลืมตา กระพริบตา ไม่ได้รับรู้อะไร นิ้วก็เริ่มกระดิกได้
ความหวังของพี่มืดเริ่มเกิดอีกครั้ง พี่มืดเอาแหวนแต่งงานที่ต้องถอดออกมาใส่ให้ แต่นิ้วพี่บีบวมใสไม่ได้ พี่มืดพูดติดตลกทั้งน้ำตากับพี่บีว่า “อ้วนขึ้นนะเธอ ลุกขึ้นมาเดินได้แล้ว”

    หมอบอกว่า สำหรับคนเป็นโรคแบบนี้  รักษาอะไรไม่ได้ นอกจากรอ บางคนก็จะฟื้นตื่นขึ้นมาเอง บางคนตื่นก็หาย บางคนถึงตื่นมาก็ช่วยตัวเองไม่ได้
แต่บางคนก็อาจจะเป็นเจ้าหญิงนิทราตลอดไป ขอแค่มีความหวังและกำลังใจ อะไรก็เกิดขึ้นได้  หมอแนะนำให้พาพี่บีกลับไปดูแลที่บ้าน

    พี่มืดต้องพยายามทำให้ตัวเองอยู่ได้ ทั้งเพื่อตัวเอง และเพื่อพี่บี

    ชีวิตทุกวันนี้  พี่มืดตื่นขึ้นเพราะหมาที่พี่บีเคยเลี้ยงไว้ เข้ามาเลียหน้าปลุก พี่มืดต้องเปิดประตูบ้านให้มันออกไปข้างนอก ลงมาข้างล่างชงกาแฟ และแวะเข้าไปหาพี่บีที่ห้อง  
พี่มืดจะนั่งคุยเรื่องราวทั่วไป เปิดเพลง บางทีก็เอากาแฟเข้าไปใกล้ๆจมูกพี่บี เพราะพี่บีก็ติดกาแฟเหมือนกัน ถ้าอยากกินก็ตื่นขึ้นมากินนะ พี่มืดจะบอกพี่บีอย่างนี้  
หลังจากดูพี่บีเสร็จก็ออกไปทำงาน ไปทำงานแล้วก็กลับบ้าน มานั่งเป็นเพื่อนพี่บี เป็นกิจวัตรอย่างนี้ทุกวัน

    จากคนที่เคยสนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้  ก็กลับเป็นคนเงียบสงบ รถติดก็จะหยิบหนังสือสวดมนต์มาอ่าน  จนทุกวันนี้ท่องจบได้เป็นหน้าๆ ทำบุญ เข้าวัด โดยหวังบุญกุศลจะส่งผลถึงคนรัก
ที่บ้านก็ต้องเปิดเพลงที่พี่บีชอบ ต้องนั่งพูดคุยเรื่องต่างๆให้ฟังทุกวัน พยายามหาอะไรที่เค้าชอบมาให้ได้รับรู้ อะไรก็ได้ ที่จะทำให้เธอกลับมาดังเดิม

    จนทุกวันนี้เวลาผ่านไปเกือบ 1 ปีแล้ว ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้าน พี่บีก็ยังเหมือนเดิม ตาที่ลืมขึ้นมา ก็มองอย่างเหม่อลอย โดยหาจุดโฟกัสไม่ได้ นิ้วมือทำได้แค่เพียงกระดิก  
แต่พี่มืดเชื่อว่า พี่บีรับรู้อยู่ข้างในแต่แสดงออกมาไม่ได้ พี่บีก็คงกำลังต่อสู้อย่างหนักเพื่อที่จะกลับมา พี่มืดก็จะต่อสู้เหมือนกัน เค้าจะไม่ทิ้งไปไหน และจะทำทุกอย่างเท่าที่ชีวิตนี้จะทำให้ได้
จะรอคอยอย่างมีความหวังต่อไป แม้เวลาจะนานต่อไปอีกแค่ไหน

    เมื่อถามว่า ถ้าพี่บีตื่นขึ้นมา พี่มืดอยากพูดอะไรกับพี่บีเป็นคำแรก

    พี่มืดตอบว่า  “ผมอยากจะขอบคุณเค้า เพราะ ที่เค้าเป็นแบบนี้ทำให้ผมรู้ว่าผมรักเค้ามากแค่ไหน และถ้าผมเป็นคนที่นอนอยู่ตรงนั้นแทนที่จะเป็นเค้า
ผมเชื่อว่าเค้าคงดูแลผมได้ดีกว่าที่ผมดูแลเค้า”

    หลายคนบอกว่า ไม่มีอะไรเอาชนะกาลเวลาได้ แต่เราเชื่อว่าความรักสามารถเอาชนะวันเวลาได้ ขอบคุณพี่มืด พี่บี และครอบครัว ที่ทำให้เรารู้จักคุณค่าของความรักที่ยิ่งใหญ่เหนือเวลา
บันทึกการเข้า


ลิงกัง...จังโก้
nick357 "รักในหลวง"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 197
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1843


no!!! conflict.let'sit and talk!!!!


« ตอบ #18 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2009, 06:28:24 AM »

เรื่องนี้เป็นแค่เรื่องเล่าครับ  Cheesy



ผ้าขี้ริ้วห่อทองของจริง



http://www.stanford.edu/about/history/
เรื่องผมเป็นเรื่องจริงครับ เมื่อประมาณ สิบกว่าปีที่แล้ว ผมได้ไปตรวจงานที่อำเภอหาดใหญ่ ตอนนั้นเดินเข้าธนาคารแห่งหนึ่งขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 8.30น. เห็นยายแก่คน

หนึ่ง นั่งอยู่หน้าประตูทางเข้าธนาคารพร้อมทั้งอุ้มกระสอบปุ๋ย หลังจากติดต่องานเสร็จประมาณ 9.30น. เดินออกมาก็ยังเห็นยายแกนั่งอยู่ที่เดิม  จึงเดินไปถามว่ายายมานั่งทำอะไร

ยายบอกว่าจะเข้าไปในธนาคารแต่ไม่กล้าเข้ากลัวรองเท้าแตะหาย(รองเท้าฟองน้ำเก่า)อีกทั้งยามหน้าประตูก็ไม่เปิดประตูให้ ผมจึงเดินไปบอกผู้จัดการ ฯ ทางผู้จัดการจึงออกมา

ถามว่ายายจะมาทำอะไร ยายแกบอกว่าจะมาฝากเงิน ตกลงกระสอบปุ๋ยที่ยายอุ้มมาในนั้นมีเงินทั้งนั้น งานนั้นทั้งยามทั้งพนักงานโดนผู้จัดการด่ายับ คิก คิก
บันทึกการเข้า
USP40
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #19 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2009, 07:32:47 AM »

ผมก็โดนบ่อยไป  ไปเมืองไทยเดินตามห้าง รปภ เดินตาม  ถามราคาของพนักงานขายทำเป็นไม่ได้ยิน  5555
ต่างกันที่ผมจนจริงๆ อิอิ
บันทึกการเข้า
เมียหลวงสั่งถอย เมียน้อยสั่งลุย
Sr. Member
****

คะแนน 53
ออฟไลน์

กระทู้: 900


« ตอบ #20 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2009, 08:23:58 AM »

+ 1 สำหรับบทความดีๆ
บันทึกการเข้า
deang
Sr. Member
****

คะแนน 71
ออฟไลน์

กระทู้: 858


....


เว็บไซต์
« ตอบ #21 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2009, 10:04:25 AM »

Ummmmm

Standford  ............

 จาก   http://www.expert2you.com/view_article.php?art_id=2552
 .....
......
 
 
       คุยกับ 2 เจ้าของเหรียญเงินฟิสิกส์โอลิมปิกว่าที่นักวิทย์ "วุฒิวัฒน์ - รณชัย" คนแรกเตรียมจะบินลัดฟ้าไปเรียนฟิสิกส์ที่อังกฤษพฤหัสนี้ ลั่นวาจาหากได้เป็นนายกฯ จะทำให้การศึกษาดีขึ้น พร้อมเปรยสังคมไม่สร้างแรงจูงใจให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ ส่วนอีกคนแม้พ่อปูทางให้รักวิทย์ด้วยการพันสายไฟตอนเด็กแต่ใฝ่ฝันที่จะเป็นวิศวกรมากกว่า
       
       ระหว่างเดือน ก.ค.-ส.ค.นี้ กำลังมีการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการระดับนานาชาติใน 5 สาขาคือ ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ชีววิทยา เคมีและคอมพิวเตอร์ หลายสาขาได้แข่งขันเสร็จสิ้นไปแล้ว ซึ่งนักเรียนไทยก็สามารถคว้าเหรียญรางวัลกลับมาให้คนไทยได้ชื่นชม และไม่ว่าตัวแทนนักเรียนไทยจะต้องการหรือไม่ พวกเขาก็ได้รับโอกาสให้เป็น “นักวิทยาศาสตร์” ด้วยทุนของโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.)
       
       อนาคตนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ผู้จัดการวิทยาศาสตร์จะแนะนำให้รู้จักคือนายวุฒิวัฒน์ งามพฤฒิกร ผู้คว้าเหรียญเงินจากการแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกที่ประเทศสเปน ซึ่งก่อนเดินทางไปแข่งขันเขาเคยพูดไว้ว่าหากมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีเขาจะปฏิรูปการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ แต่วันพฤหัสบดีนี้ (28 ก.ค.) เขาต้องเดินทางไปศึกษาฟิสิกส์ ณ ประเทศอังกฤษก่อน โดยจะเดินทางไปพร้อมกับนายภัคพงษ์ จิระรัตนานนท์และนายเพชระ ภัทรกิจวานิช เพื่อนร่วมทีมฟิสิกส์โอลิมปิก
       
       อธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้คือความท้าทาย
       
       วุฒิวัฒน์กล่าวถึงปัญหาการศึกษาของไทยว่ามาจาก 2 สาเหตุคือนิสัยรักการเรียนรู้ของนักเรียนที่ไม่ค่อยมีนัก ในขณะเดียวกันก็ไม่มีอาจารย์มากพอที่จะสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียน ทั้งนี้เนื่องมาจากสังคมไม่ได้ปลูกฝังให้เด็กรักการเรียนรู้นัก ส่วนอาจารย์ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนที่ดีพอ และแม้ว่าจะได้รับทุนสนับสนุนให้เป็นนักวิทยาศาสตร์แต่วุฒิวัฒน์ก็ปรารถนาจะเป็นอาจารย์มากกว่า
       
       “ผมว่ามันเป็นความท้าทาย ไม่ใช่แค่มีความรู้พอที่จะเข้าใจเอง แต่ว่าต้องมีความรู้มากพอที่จะถ่ายทอดออกไปให้คนอื่นสามารถที่จะเข้าใจอะไรตรงนี้ได้ด้วย ผมว่ามันเป็นสิ่งที่ท้าทาย ผมคิดอย่างนั้น แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ บางที เอ๊ะ เราว่าเราเข้าใจแล้วแต่ทำไมเวลาที่เราไปอธิบายคนอื่นเรายังไม่สามารถที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจได้ ไม่ได้หมายความว่าอะไร แต่หมายความว่าเรายังเข้าใจไม่ได้ดีพอ”

 
   
รณชัย อนาคตนักวิทย์ที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจ
 
 
       ว่าที่นักฟิสิกส์รับไม่มีแรงจูงใจให้เป็นนักวิทย์
       
       วุฒิวัฒน์ยอมรับว่าเขาไม่มีแรงจูงใจให้เป็นนักวิทยาศาสตร์เลย แม้เขาจะศรัทธาในวิทยาศาสตร์เหมือนเป็นศาสนาก็ตาม และนักวิทยาศาสตร์ในเมืองไทยที่เขารู้จักก็มีเพียงไม่กี่คน ซึ่งส่วนใหญ่คืออาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ติวเข้มเขาและเพื่อนๆ ก่อนเดินทางไปแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกนั่นเอง
       
       “แรงจูงมีอะไรบ้างละครับ เงินก็น้อย รัฐบาลก็ไม่สนับสนุน ผมพูดความจริงไม่ต้องกลัวใคร รัฐบาลไม่สนับสนุน เป็นมาแล้วก็เหมือนกับว่าชาวบ้านก็ไม่เข้าใจว่า เออนี่ เราจะส่งมันไปเรียนสูงๆ ทำไม กลับมาก็ไม่ได้ช่วยประเทศเลย แต่จริงๆ แล้วต้องส่งไปเรียนครับ แม้ว่าตอนนี้เราอาจช่วยอะไรไม่ได้เพราะว่าเรายังห่างเขาอีกหลายขุม คือเราต้องตามเขาทันก่อน เรื่องอย่างนี้ต้องตามทันสักวันจนได้ล่ะครับ อยู่ที่ว่าเมื่อไหร่เท่านั้นเอง”
       
       ฟิสิกส์เหมือนเรื่องไกลตัวแต่คนทั่วไปเข้าใจได้
       
       วุฒิวัฒน์กล่าวว่าหลายคนอาจจะคิดว่าฟิสิกส์เป็นเรื่องไกลตัว หากจริงๆ แล้วคนทั่วไปก็สามารถเข้าใจได้ในหลักการของฟิสิกส์ที่เขามองว่าความสวยงาม มีเหตุผล และจบในตัวเอง โดยเขาได้ยกตัวอย่างการนำฟิสิกส์ไปอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวให้ฟังว่า
       
       “อย่างเอนโทรปีที่อธิบายว่าความยุ่งเหยิงในจักรวาลไม่หายไปไหน มีแต่จะเพิ่มขึ้น เช่น เราจะแก้ปัญหาจราจรที่มันยุ่งเหยิง ทำไง ก็ต้องย้ายความยุ่งเหยิงออกไปจากการจราจร แล้วเราจะเอาไปไว้ที่ไหนก็ในเมื่อเมื่อมันไม่หายไป ก็อาจจะตั้งหน่วยงานขึ้นมาจัดการ ก็เหมือนกับว่าเราย้ายความยุ่งเหยิงจากถนนไปไว้ในหน่วยงานนี้ หน่วยงานนั้นก็จะมีความยุ่งเหยิง เช่น มีเอกสาร มีการจัดการจับ ความยุ่งเหยิงจากตรงนั้นไปยัดใส่ตรงนี้ ตามทฤษฎี อะไรอย่างนี้ครับ” วุฒิวัฒน์กล่าว
       
       นอกจากนี้วุฒิวัฒน์มองว่าความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องจักรวาลของนักวิทยาศาสตร์นั้นเหมือนการตั้งคำถาม "ตายแล้วไปไหน" ที่คนเราอยากรู้อดีตเพื่อจะทำนายอนาคต และหาหนทางที่จะมีชีวิตต่อไปได้นานที่สุด พยายามที่ฝืนธรรมชาติแม้จะรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วก็ฝืนไม่ได้อยู่ดี แต่ก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยหรือสวดมนต์อ้อนวอนขออย่างเดียว พร้อมกันนั้นเขายังมองว่าพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องเดียวกันที่สุดท้ายต้องกลับมารวมกันอยู่ดี
       
       "เราไม่ได้กลัวว่าเราฝืนธรรมชาติไม่ได้ แต่เรากลัวว่าเราไม่ได้พยายามที่จะฝืนธรรมชาติ สิ่งนี้ทำให้เราได้คิด เป็นจิตวิทยา คนเราอยากเอาชนะ อยากทำอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ใช่เพื่อเราก็เพื่อรุ่นต่อๆ ไป เราก็ทำทุกอย่างเพื่อให้เราไม่สูญพันธุ์ คือเป็นเหตุผลทางชีววิทยาเลยครับ เกิดมาเพื่อสร้างรุ่นใหม่ เป็นการพัฒนาอารยธรรมให้คนรุ่นใหม่ โอกาสที่จะพัฒนาก็มีขึ้นเรื่อยๆ" วุฒิวัฒน์กล่าว
       
       สำหรับนักเรียนอีกคนที่ได้รับโอกาสให้เป็นนักวิทยาศาสตร์จากความสามารถที่ได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันโอลิมปิกวิชาการในระดับนานาชาติและเป็นเจ้าของเหรีญยเงินจากการแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกครั้งล่าสุด คือนายรณชัย เจริญศรี นักเรียนชั้น ม.5 ของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ซึ่งเขายังมีเวลาอีกหลายปีสำหรับตัดสินใจว่าจะรับทุน พสวท.หรือไม่
       
       พ่อทำให้สนใจวิทย์หลังสอนพันสายไฟ
       
       รณชัยได้รับเหรียญเงินจากการแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกนานาชาติครั้งนี้ และก่อนหน้านั้นไม่นานนักเขาก็ได้รับเหรียญเงินจากการแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระดับทวีปเอเชีย ที่ประเทศอินโดนีเซีย ทั้งนี้เขาได้รับการสนับสนุนให้มาสนใจวิทยาศาสตร์จากพ่อซึ่งเป็นวิศวกรไฟฟ้า

 
 
รณชัยขณะปรึกษาการทำกิจกรรมสัปดาห์วิทย์ซึ่งจะมีขึ้นวันที่ 9-10 ส.ค.นี้
 
 
       “สนใจวิทยาศาสตร์ตอนประถมครับ คุณพ่อให้พันขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้า ทำไฟฉายเล่นตั้งแต่เด็ก คือคุณพ่อจบทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้า” รณชัยเล่าซึ่งการส่งเสริมของพ่อก็ทำให้เขาได้ความคิดในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ร่วมกับเพื่อนๆ ในชั้นเรียนสำหรับส่งอาจารย์ โดยเขาจะนำน้ำทิ้งมาผลิตกระแสไฟฟ้าจากปฏิกิริยาเคมี
       
       อยากใช้ฉี่ทดลองแต่ใจไม่กล้า
       
       “เห็นคุณพ่อทดลองให้น้องดู เอาน้ำประปามาทดลองแล้วเกิดไฟฟ้า เลยคิดว่าพวกนี้น่าจะเกิดไฟฟ้าได้” ทั้งนี้เขาจะใช้น้ำจากห้องครัว นำฝนและน้ำล้างห้องมาทำการทดลองโดยก่อนหน้านี้เขาก็คิดจะเอาน้ำปัสสาวะมาใช้ทดลองด้วยแต่หาตัวอย่างไม่ได้
       
       “ตอนแรกจะเอาน้ำฉี่แต่ไม่มีใครยอมฉี่ เลยต้องเอาน้ำล้างห้องน้ำ ไม่มีใครกล้าฉี่ผมก็ไม่กล้าฉี่ เดี๋ยวจะโดนแซวต่อไปอีกยาวนาน” รณชัยเล่าว่าหากโครงงานของเขาและเพื่อนๆ สำเร็จก็อาจเป็นแหล่งพลังงานทางเลือกหนึ่ง โดยคาดว่าอาจจะไปใช้สำหรับประจุกระแสไฟฟ้าให้กับถ่านขนาด AA ที่ชาร์จได้
       
       รณชัยเล่าว่าพ่อของเขายังช่วยปูพื้นฐานเกี่ยวกับไฟฟ้าเบื้องต้นให้กับเขาตั้งแต่ช่วง ป.6-ม.1 จึงทำให้เขามีความตั้งใจที่จะเป็นวิศวกรมากกว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ อีกทั้งเขาก็เปรยๆ ว่าไม่ถนัดในเรื่องการทำวิจัยนัก แต่หากได้เป็นนักวิทยาศาสตร์เขาก็คิดว่าจะทำงานวิจัยทางด้านนาโนเทคโนโลยี
       
       อยากสร้างเทคโนโลยีนาโนให้เมืองไทย


       
       “ถ้าเป็นนักวิจัยคิดว่าจะเรียนเกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยี เพราะว่าตอนนี้สินค้าทางบ้านเราผลิตไม่ค่อยได้ เป็นนักวิจัยทางด้านนี้น่าจะวิจัยสร้างเทคโนโลยีให้เมืองไทยได้” รณชัยเล่าว่าตอนเข้าค่ายโอลิมปิกวิชาการนั้น อาจารย์ที่ดูแลค่ายได้นำเครื่อง “เอเอฟเอ็ม” (AFM) มาให้ดู และทำตัวอย่างการทดลองให้ดูภาพพื้นผิวของทอง โดยเครื่องดังกล่าวจะสามารถถ่ายภาพพื้นผิวของวัสดุที่เป็นโลหะได้เท่านั้น
       
       หลังจากกลับมาจากการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการแล้วรณชัยเล่าว่าเขามีงานและการบ้านที่ต้องส่งอาจารย์ตามหลังเพื่อนๆ อีกเยอะมาก ซึ่งก็หนักพอสมควรแต่เขายังพอมีเวลาที่จะทำงานเนื่องจากเขาไม่ได้เสียเวลาไปการเรียนพิเศษเหมือนเพื่อนคนอื่น
       
       นอกจากนี้รณชัยยังเป็นสมาชิกชมรมวิทยาศาสตร์ เขาเล่าว่ากิจกรรมในชมรมส่วนใหญ่จะเน้นด้านวิชาการ เช่น การติวหนังสือให้กับรุ่นน้อง การจัดสอบวิทยาศาสตร์ให้กับนักเรียนระดับ ม.ต้น โดยได้รับความช่วยเหลือจากอาจารย์ในการอำนวยความสะดวกด้านสถานที่และการอนุมัติโครงการต่างๆ ซึ่งในวันที่ 9-10 ส.ค.นี้จะมีกิจกรรมสัปดาห์วิทยาศาสตร์ภายในโรงเรียน ส่วนเวลาว่างนั้นเขาจะใช้ไปกับการท่องอินเทอร์เน็ตและอ่านหนังสือ
       
       ครูเก่งแม้อยู่ที่กันดารก็สอนได้
       
       สำหรับมุมองต่อวงการศึกษาของไทยนั้นรณชัยกล่าวว่าเขาได้รับการบอกเล่าจากเพื่อนต่างจังหวัดซึ่งอาจจะไม่มากพอที่จะสรุปถึงภาพรวมทั้งหมดแต่ก็ทำให้เขาเห็นความไม่พร้อมของการเรียนการสอนทางด้านวิทยาศาสตร์ที่ขาดแคลนอุปกรณ์สำหรับทำการทดลอง อย่างไรก็ดีเขามองครูมีสอนสำคัญต่อการแก้ปัญหาดังกล่าว
       
       “ผมมีโอกาสคุยกับเด็กนักเรียนต่างจังหวัด เห็นว่าอุปกรณ์ไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ แต่เห็นแค่ไม่กี่ตัวอย่าง ก็ยังสรุปไม่ได้ คิดว่าน่าจะปรับปรุงที่อาจารย์ เพราะถ้าอาจารย์เก่งแล้วไม่ว่าจะกันดารแค่ไหนก็น่าจะนำทรัพยากรในธรรมชาติมาประยุกต์ให้นักเรียนเห็นได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับค่านิยมของสังคมด้วย ที่คนเก่งมักจะไม่เรียนครู ก็ต้องหาทางให้นักเรียนเก่งๆ หันมาเรียนครูเยอะๆ” รณชัยสรุปทิ้งท้าย
 
 

ตอนนี่   รณชัย ... หรือ I เทียม   .... ได้ทุน พสวท  เรียนอยู่ ที่ Standford ปี 2 ครับ 



บันทึกการเข้า

FBook   prasop tongtawat
submachine -รักในหลวง-
คนกินเหล้า อย่าให้เหล้ากินคน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6127
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 55373


Let us go..!


« ตอบ #22 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2009, 10:12:36 AM »

        แม่ยายผม  ก็มักจะถูกมองอย่างนั้นเหมือนกัน
ท่านมักจะแต่งตัวแบบชาวสวนชาวไร่  ตามที่เคยชิน
หิ้วของฝากพะรุงพะรัง  เวลาขึ้นไปเยี่ยมลูกที่กทม.
เฮอะ ๆ แต่ท่านไม่ได้มีตังค์มากมาย  เหมือนรายที่พี่จอยเล่า ครับ

ปกติธรรมดาของคนต่างจังหวัดครับ
เถ้าแก่เสือ คารู้จักกัน ใส่เสื้อกล้ามห่านคู่ กับกางเกงขาสั้นตาสก๊อต ขับโตโยต้า ไฮลักซ์ ฮีโร่
(ไม่ทราบว่าเปลี่ยนรถหรือยัง 2ปีที่แล้วยังใช้คันนี้อยู่ )  ไปไหนมาไหนก็แต่งแบบนี้ แต่มีสวนยางราวๆ2,000ไร่กระมัง
บันทึกการเข้า

อย่าเห็นเป็น ความดี เล็กน้อย แล้วไม่กระทำ
อย่าเห็นเป็น ความชั่ว เล็กน้อย แล้วจึงกระทำ

Thanut Wansuk

Don Quixote
Only God delivers the judgement, we only deliver the suspects.
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16169


,=,"--- X Santiago... !!


เว็บไซต์
« ตอบ #23 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2009, 10:16:47 AM »

ผมก็โดนบ่อยไป  ไปเมืองไทยเดินตามห้าง รปภ เดินตาม  ถามราคาของพนักงานขายทำเป็นไม่ได้ยิน  5555
ต่างกันที่ผมจนจริงๆ อิอิ

..แถมจะพักโรงแรมสองห้อง ได้ห้องเดียว เตียงเดียว น่ากลุ้มจริงครับ
บันทึกการเข้า

Thou shalt have guns.
Thou shalt have tons of ammo.
Thou shalt shoot well.
Thou shalt not rely on help from the stranger.
USP40
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #24 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2009, 10:45:31 AM »

ผมก็โดนบ่อยไป  ไปเมืองไทยเดินตามห้าง รปภ เดินตาม  ถามราคาของพนักงานขายทำเป็นไม่ได้ยิน  5555
ต่างกันที่ผมจนจริงๆ อิอิ

..แถมจะพักโรงแรมสองห้อง ได้ห้องเดียว เตียงเดียว น่ากลุ้มจริงครับ
จำแม่นแฮะ  อิอิอิ
บันทึกการเข้า
supreme
Hero Member
*****

คะแนน 127
ออฟไลน์

กระทู้: 1187



« ตอบ #25 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2009, 08:51:22 PM »

เพื่อนผมได้เมียเป็นคนใต้  เลยลาออกจากงานแล้วย้ายไปอยู่กับเมีย  ได้งานใหม่เป็นเซลขายรถ เลยมีเรื่องเล่านิดหน่อย  คือเขาเจอบ่อยที่คนที่เข้ามา จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ เขาคิดเล่นๆว่าเสื้อผ้านั้นอาจจะอายุมากกว่าเขาก็ได้   คิก คิก แต่ก็มีบ่อยที่คนเหล่านั้นซื้อรถกับเขาด้วยเงินสด  ตกใจ บางคนก็สดแบบขอเมียเลยครับ  นั่งนับกันหลายรอบ  Grin
บันทึกการเข้า

การศึกษาโดยไม่คิด ไร้ประโยชน์    การคิดโดยไม่ศึกษา เป็นอันตราย
JUNG KO
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 29
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 274



« ตอบ #26 เมื่อ: ธันวาคม 11, 2009, 04:18:42 PM »

ที่สองดีกว่าที่หนึ่ง

หลายเดือนก่อนน้องคนหนึ่งส่งเทปมาให้ผม 2 ม้วน
เป็นเทปที่อัดจากการพูดคุยของศุ บุญเลี้ยงกับแฟนๆของเขาในงานสัมมนางานหนึ่ง
ผมเปิดฟังทันทีด้วยความเพลิดเพลินในมุมมอง
และความคิดของชายหนุ่มที่ไฟความฝันไม่เคยมอดคนนี้
ผมรู้ว่ากิจกรรมอย่างหนึ่งในชีวิตที่ศุ บุญเลี้ยง
ชอบมากและเต็มใจที่จะทำอยู่เสมอ นั่นก็คือการทำค่าย
ไม่ว่าจะเป็นค่ายเด็กหรือค่ายคนพิการ(หรือค่ายเด็กพิการ)
ในเทปมีคำพูดของเขาอยู่ตอนหนึ่งที่ผมฟังแล้วชอบมาก

ศุ เล่าว่าครั้งหนึ่งเขาพาเด็กไปเข้าค่าย
แล้วเขาให้เด็กวิ่งแข่งกัน
แต่กติกาคือ ใครเข้าเส้นชัยเป็นที่สอง-ชนะ
ชายหนุ่มเล่าว่าผลที่เกิดขึ้นก็คือ
แทนที่จะเอาชนะกันด้วยการเป็นคนที่เร็วที่สุดที่เข้าเส้นชัย
เด็กๆ กลับวิ่งแข่งกันอย่างสนุกสนาน
มีเสียงหัวเราะเฮฮาดังขึ้นอย่างร่าเริง
ในหมู่ผู้แข่งขันที่ไม่ต้องการเป็นที่หนึ่ง

ในชีวิตที่ผ่านมาบ่อยครั้งผมคิดว่า
เราถูกปลูกฝังให้เอาชนะ
คะคานเพื่อขึ้นสู่การเป็นเลิศกันมาตลอด

เราอยากเรียนให้ได้คะแนนดีที่สุด
เราอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด
เราอยากเป็นคนทำงานที่เก่งที่สุด
เพื่อให้เจ้า นายเห็นว่าเราเยี่ยมที่สุดในบริษัท
เราอยากเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ฯลฯ

และเมื่อตั้งเป้าอย่างนี้แล้ว
เราจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุจุดหมาย
โดยบ่อยครั้งที่เราหลงลืม
หรือจงใจมองข้ามมันไปว่าเราได้ทำร้ายใครบ้างหรือเปล่า

ผมไม่ได้ว่า การแข่งขันเป็นสิ่งที่เลวร้าย
มีความดีอยู่บ้างในตัวของมันครับ
อย่างน้อยก็ทำให้เราไม่เป็นคนเอื่อยเฉื่อย
เดินหายใจไปวันๆ

ผมเพียงอยากให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคน
ได้หยุดคิดสักนิดว่า

เราสามารถที่จะแข่งขันกันโดยไม่ต้องขัดขา ผลักหลัง
หรือแอบเหยียบเท้าฝ่ายตรงข้ามได้หรือไม่
ซึ่งคำตอบสำหรับคำถามนี้ ผมคิดว่าได้ครับ

เราสามารถช่วยกันสร้างให้เกิดการแข่งขันอันเปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรีได้
แต่เรื่องสวยๆ อย่างนี้จะเกิดขึ้นได้ก็เมื่อเราทุกคนคิดว่าใครเข้าที่สอง-ชนะ

แล้วคุณล่ะคิดอย่างไร??


** ถึงเพื่อนๆของกอบัว
ขอต่อท้ายประโยคที่เป็น FW Mail ตัวนี้
พอดีในค่ายที่เล่ามานี้ บัวเคยเป็นส่วนหนึ่งของค่ายเด็ก
เคยพาลูกชายตัวน้อยไปแข่งวิ่งเข้าที่สอง ที่สาม และแข่งกันที่โหล่
เด็กๆหลายๆคน คลานบ้าง บางคนคลานถอยหลัง บางคนคลานอยู่กับที่
ทุกคนคิดทุกวิถีทางที่จะให้ตนแพ้!!!! แปลกไหม การแข่งขันครั้งนี้ไม่มีใครอยากเป็นที่หนึ่ง
สนุกมากๆ พ่อกับแม่ถ่ายวีดีโอไป หัวเราะไป ทุกวันนี้ในชีวิต ใครหลายๆคนบอกว่าบ้านเราสันโดษ
เรามีรถคันเล็กๆ มีบ้านหลังเล็กๆ มีพ่อตัวเล็ก มีความสุขเล็กๆ ถึงเราจะกลุ้มอกกลุ้มใจบ้างกับปัญหาหนี้
แต่เรามีความสุขกับวันนี้ วินาทีนี้ มีรักรายล้อมข้างกาย มีกำลังใจให้กับคนรอบข้าง
ลุงศุ(หรือลุงจุ้ยของลูกชาย) สอนอะไรให้มากมาย วันไหนที่เราหนี้เบาบาง
เราพาลูกๆของเราไปออกค่ายของลุงจุ้ยกัน ไปเที่ยวสมุยบ้านคุณจุ้ยกัน บัวจะพาไป
กอบัว
บันทึกการเข้า


ลิงกัง...จังโก้
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.143 วินาที กับ 22 คำสั่ง