ต้นเหตุไม่ได้เกิดจากพ่อมัวแต่ทำมาหากินจนไม่มีเวลาให้ลูกหรอกครับ... แต่ต้นเหตุเกิดจากพ่อพูดจาไม่รู้เรื่อง มัวแต่เจ้าอารมณ์ คนแบบนี้ต่อให้อยู่ที่ทำงานก็สื่อสารกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง, เรื่องงานที่คนอื่นเขาคุยกันแค่สามสี่ประโยคก็รู้เรื่อง แต่ถ้าคุยกับคนที่เป็นพ่อเด็กตามกระทู้นี้ ก็จะคุยเสียครึ่งชั่วโมง อย่างนี้ยังไงก็ไม่มีเวลาเหลือพอหรอกครับ เพราะมีเวลาเพิ่มอีกเท่าไหร่ก็ไม่พอ เหมือนวิ่งไล่เงาตัวเอง...
ทุกคนมีเวลาเท่ากันหมดคือ 24 ชั่วโมง... แค่คุยกับลูกในช่วงเวลาระหว่างอาบน้ำให้ลูก กินข้าวกับลูก พาลูกไปส่งโรงเรียน/รับกลับจากโรงเรียน, หากคนคุยเป็นสรุปประเด็นเป็น เวลาแค่นั้นพ่อลูกคุยได้สารพัดเรื่องแล้วครับ พอกินข้าวเย็นเสร็จก็ปล่อยให้ลูกอ่านหนังสือ/ทำการบ้านไป พ่อก็เข้าห้องทำงานจนดึกก็ยังได้...
เวลามัน 24 ชั่วโมงเท่ากันหมดแหละ... หากใครสือสารไม่รู้เรื่อง ก็จะพบว่าตัวเองจะหมดเวลาไปกับการอธิบาย การเท้าความเรื่องเดิม การประชุม ฯลฯ ทั้งหมดคือการสื่อสารระหว่างบุคคลกินเวลาทำงานไปหมด จนเหลือเวลามีสมาธิทำงานที่ได้เนื้อๆจริงแค่ไม่กี่ชั่วโมงในเวลางาน...
หากใครเรียนเรื่องบริหารฯ จะมีพฤติกรรมในองค์กร กับเรื่องภาวะผู้นำอยู่ด้วย... ในนั้นจะระบุชัดเจนครับ ว่าเมื่อมีตำแหน่งสูงขึ้นจะทิ้งงานด้านเทคนิคลงไปเรื่อยๆ แต่เพิ่มงานประชุม/งานสื่อสารระหว่างบุคคลมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดจะเหลือแต่การประชุม"แจกงาน"เท่านั้นเองหากก้าวขึ้นถึง CEO ขององค์กร...
พ่อเด็กตามท้องเรื่องในกระทู้นี้จะไม่มีวันมีเวลาว่าง หากไม่มีวิธีจับประเด็นในการสื่อสาร โดยเฉพาะคุยกับลูกตัวเองยังเจ้าอารมณ์ได้ถึงเพียงนี้ครับ...
ซึ้งครับ อ่านกี่ครั้งก็ยังน้ำตาซึมทุกที ผมกำลังจะได้เห็นหน้าลูกอีกไม่กี่เดือนนี้ ตั้งใจจะไม่เป็นพ่อเหมือนในเรื่องนี้ครับ
ยินดีด้วยครับ