เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ตุลาคม 13, 2024, 03:23:25 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: อวป. มีจำหน่ายที่ สนามยิงปืนราชนาวี/สนามยิงปืนบางบัวทอง/สนามยิงปืนศรภ./
/สนามยิงปืนทอ./
สิงห์ทองไฟร์อาร์ม
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ดูแลสุขภาพกันบ้างครับ มีมาฝาก  (อ่าน 1218 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
flyingkob-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 361
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2396


"สุวิชาโน ภวัง โหติ" ผู้รู้ดี เป็นผู้เจริญ


« เมื่อ: มกราคม 28, 2009, 02:47:48 PM »

ผมได้รับจดหมายส่งต่อๆกันมา เห็นว่ามีประโยชน์เลยขอเอามาฝากเพื่อนๆสมาชิกได้อ่านกันครับ  หากเคยซ้ำต้องขออภัยด้วยครับ


อาการปวดที่ไม่ควรมองข้าม
   อาการปวดนั้นเกิดขึ้นกับเราได้หลายรูปแบบเมื่อวานนี้คุณไปยกของหนักก็ปวด นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์มากเกินไปก็ปวด เป็นหวัดก็ปวด หิวก็ปวด อิ่มก็ปวด แต่มีอาการปวดบางประเภทที่คุณไม่ควรมองข้ามและควรจะปรึกษาแพทย์โดยทันทีเพราะอาการปวดเหล่านั้น มันอาจจะบ่งบอกถึงสัญญาณ
อันตรายบางอย่างที่เราคิดไม่ถึง ดังต่อไปนี้

1. ปวดศีรษะ

อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง หรือปวดสุดๆเท่าที่เคยปวดมาเลยแบบนี้ ต้องพบแพทย์ครับ หากว่า
คุณเป็นหวัดแล้วปวดสุด ๆ มันอาจจะมีสาเหตุมาจากไซนัสก็ได้

หากไม่เป็นหวัด ก็อาจจะมีสาเหตุที่รุนแรง เช่นเลือดออกในสมอง เนื้องอกในสมองก็เป็นได้
ซึ่งบางครั้งต้องอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกายที่ละเอียด หรือ ต้องใช้เครื่องมือ เช่น CT Scan
เพื่อช่วยการวินิจฉัยโรค

 
  2. คือปวดหน้้าอก

อาการปวด หรือแน่น อึดอัด บริเวณหน้าอก คอ ขากรรไกร ไหล่ แขน หรือ ท้อง (Pain or Discomfort
in the Chest, Throat, Jaw, Shoulder, Arm,or Abdomen)

อาการปวดแถวนี้เป็นได้จากหลายสาเหตุ โดยอาการปวดบริเวณหน้าอกอาจจะเกี่ยวเนื่องกับโรคหัวใจได้
แต่ควรระวังว่า ภาวะที่เกิดจากหัวใจนั้น โดยทั่ว ๆไปจะแสดงออกมาในรูปของอาการแน่น อึดอัดไม่สบาย มากกว่าอาการปวดโดยผู้ป่วยโรคหัวใจจะอธิบายไว้ว่า เหมือนกับมีช้างมานั่งทับอยู่บนหน้าอกนั่นแหละ

ส่วนตำแหน่งที่รู้สึกไม่สบายนั้น มักจะเป็นส่วนบนของหน้าอก คอ ขากรรไกร ไหล่ซ้าย หรือแขนอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เหงื่อออกท่วมตัว จะเป็นลม หน้าดูซีด แบบนี้ต้องรีบไปรพ.โดยด่วนเลย

บางครั้งอาจมีอาการปวดท้องก็มักจะเกิดขึ้นร่วมกับอาการคลื่นไส้ ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดคิดว่า
มันเป็นอาการของโรคจากทางเดินอาหาร ( GI Distress)จริงๆแล้วเป็นอาการของกล้ามเนื้อหัวใจที่ผนังด้านล่างขาดเลือด

แต่สำหรับอาการของผู้หญิงนั้น จะดูยากกว่าเพราะผู้ป่วยมักจะคิดว่าเป็นอาการเกี่ยวกับระบบทางเดิน
อาหารเช่น ท้องอืด แน่น หรือ ความรู้สึกปั่นป่วนในท้องมักไม่ค่อยคิดว่า ตนเองอาจมีโรคหัวใจ ส่วนใหญ่มักจะมีอาการเหนื่อยร่วมด้วย

อีกทั้งโอกาสในการเป็นโรคหัวใจจะเพิ่มขึ้นมากในผู้หญิงวัยทอง ดังนั้นคุณผู้หญิงทั้งหลายต้องระมัด
ระวังและอย่าไปนิ่งนอนใจเพราะคิดว่าอาการดังกล่าวเป็นเพียงแค่อาหารเป็นพิษเท่านั้น

หรือบางทีอาจเป็น...โรคกรดไหลย้อน มาดูอาการปวดกันว่าเป็นอย่างไรบ้าง โรคกรดไหลย้อนคืออะไร
คือภาวะที่กรดไหลย้อนจากกระเพาะอาหารไปยังหลอดอาหารทำให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก หรือแสบหน้าอก บางครั้งอาจจะรู้สึกรสเปรี้ยว อาการของกรดไหลย้อน อาการทางหลอดอาหาร อาการปวดเสบร้อนบริเวณหน้าอก และลิ้นปี่ที่เรียกว่าร้อนใน (heart burn) บางครั้งอาจจะร้าวไปที่คอได้ รู้สึกมีก้อนอยู่ในคอ กลืนลำบาก หรือกลืนแล้วเจ็บ เจ็บคอหรือแสบลิ้นเรื้อรัง โดยเฉพาะในตอนเช้า รู้สึกเหมือนมีรสขมของน้ำดี หรือมีรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือปาก มีเสมหะอยู่ในคอ หรือระคายคอตลอดเวลา เรอบ่อย คลื่นไส้
รู้สึกจุกแน่นอยู่ในหน้าอก คล้ายอาหารไม่ย่อย อาการทางกล่องเสียง และปอด เสียงแหบเรื้อรัง หรือแหบเฉพาะตอนเช้าหรือมีเสียงผิดปกติจากเดิม ไอเรื้อรัง ไอ หรือ รู้สึกสำลักในเวลากลางคืน กระแอมไอบ่อย อาการหอบหืดแย่ลง เจ็บหน้าอก เป็นโรคปอดอักเสบเป็น ๆ หาย ๆ

 


สาเหตุของกรดไหลย้อน
Hiatus hernia (คือโรคที่เกิดจากกระเพาะอาหารส่วนต้นเข้าไปในกระบังลม)
ดื่มสุรา อ้วน ตั้งครรภ์ สูบบุหรี่ อาหารรสเปรี้ยว เผ็ด ช้อกโกแลต อาหารมัน ของทอด หอมกระเทียม
มะเขือเทศ

การรักษา
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ลดน้ำหนักสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน เพราะคนอ้วนจะมีความดันในช่องท้องสูงทำให้กรดไหลย้อนได้มาก งดบุหรี่เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้เกิดกรดมาก ใส่เสื้อหลวมๆ ไม่ควรจะนอน ออกกำลังกาย หรือยกของหนักหลังออกกำลังกาย งดอาหารก่อนนอน 3 ชั่วโมง งดอาหารมัน ๆ อาหารทอด อาหารที่ปรุงด้วยหัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ ช้อกโกแลต ถั่ว ลูกอม เนย ไข่ เผ็ด เปรี้ยว เค็มจัด รับประทานอาหารพออิ่ม หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ น้ำอักลม เบียร์ สุรา นอนหัวให้สูงประมาณ 6-10 นิ้ว โดยหนุนที่ขาเตียง ไม่ควรใช้หมอนหนุนที่ศีรษะเพราะทำให้ความดันในช่องท้องสูง
การรักษาด้วยยา
Antacids เป็นยาตัวแรกที่ใช้ สำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่มาก
ใช้ยา proton pump inhibitor ซึ่งเป็นยาที่ลดกรดได้เป็นอย่างดีอาจจะใช้เวลารักษา1-3 เดือน เทื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ก็อาจจะลดยาลงได้ยาที่นิยมใช้ได้แก่ omeprazole , lansoprazole , pantoprazole , rabeprazole, และ esomeprazole หลีกเลี่ยงยาบางชนิดที่ทำให้กระเพาะหลั่งกรดมาก หรือทำให้หูรูดหย่อน เช่น ยาแก้ปวด aspirin NSAID VITAMIN C หากให้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรจะต้องตรวจเพิ่มเติมได้แก่ การกลืนแป้งตรวจกระเพาะ การส่องกล้องตรวจกระเพาะ
การรักษาโดยการผ่าตัด จะผ่าตัดในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล โรคแทรกซ้อนหลอดอาหารที่อักเสบอาจจะทำให้เกิดแผล และมีเลือดออด หรือหลอดอาหารตีบทำให้กลืนอาหารลำบาก อาจจะทำให้โรคปอดแย่ลง เช่นโรคหอบหืดเป็นมากขึ้น ไอเรื้อรัง ปอดอักเสบ

3. ปวดหลัง

อาการปวดหลังส่วนล่างหรือ ระหว่าง สบัก ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะคิดว่าเป็นอาการของข้ออักเสบ (arthritis)
กล้ามเนื้ออักเสบ แต่ก็สามารถจะเป็นอย่างอื่นได้อีกรวมทั้งโรคหัวใจ หรือ ปัญหาเกี่ยวกับช่องท้อง(Abdominal problems) ที่เป็นอันตรายอีกอย่างหนึ่งก็คือ Aortic Dissection คือเส้นเลือดใหญ่ที่ออกจากหัวใจมีการแยกชั้น ซึ่งอาการปวดอาจจะเป็นไปในลักษณะค่อยๆ ปวดเพิ่มขึ้น หรือ ปวดทันทีทันใดก็ได้

ผู้ที่มีความเสี่ยงมาก ก็คือ ผู้ที่มีโรคความดันสูง ผู้ที่สูบบุหรี่ และเป็นโรคเบาหวานโรคนี้อันตรายมาก
เช่นเดียวกัน ต้องรีบไปรพ.โดยด่วน

 
 4.ปวดท้้อง

อาการปวดท้องอย่างรุนแรง (Severe Abdominal Pain)ถ้าหากไส้ติ่งของคุณยังอยู่ นั่นอาจะเป็นสาเหตุหนึ่ง
แต่สาเหตุของมันอาจจะเป็นอย่างอื่นอีกก็ได้เช่น ถุงน้ำดีอักเสบ ,ตับอ่อนอักเสบ ,กระเพาะทะลุ ,ลำไส้อุุดตัน โดยแต่่ละอย่างมีลักษณะที่พอแยกได้ดังนี้

-ไส้ติ่งอักเสบ จะปวดท้องด้านขวา ล่าง ต่ำกว่าระดับของสะดือ อาจมีหนาว หรือมีไข้ เบื่ออาหาร กินข้าวไม่ลง
-ตับอ่อนอักเสบ จะปวดใต้ลิ่นปี่ ร้าวไปหลัง ปวดมากๆ บางคนมีประวัติ ทานเหล้า เบียร์มาเยอะ แต่บางคน
ก็เกิดจากนิ่วจากถุงน้ำดีหล่นมาอุด พวกนี้จะไม่มีประวัติกินเครื่องดื่ม Alcohol
-กระเพาะอาหาร พวกนี้ก็จะปวดใต้ลิ่นปี่ ร้าวไปหลังได้คล้ายๆ ตับอ่อนอักเสบ แต่ถ้าแค่กระเพาะ
อักเสบ อาการจะไม่รุนแรงมาก ปวดเฉพาะลิ้นปี่ด้านล่างๆจะไม่ปวด คนไข้จะพอเดินได้ แต่ถ้ากระเพาะอาหารทะลุ พวกนี้จะปวดลิ้นปี่รุนแรงมักปวดด้านล่างร่วมด้วย ส่วนใหญ่มักล่างขวาแต่บางทีก็ปวดทั่วท้องเลย มักต้องหามมา เดินไม่ไหว
-ลำไส้อุดตัน ส่วนใหญ่มักปวดเป็นพักๆ บีบๆ เหมือนอะไรวิ่งเป็นลูกๆในท้อง มีอาการ ไม่ถ่าย ไม่ผายลม มักมีประวัติเคยผ่าตัดช่องท้อง ดังนั้นถ้าปวดท้องรุนแรง ต้องรีบพบแพทย์เลย

 
   
5.ปวดขา

อาการปวดบริเวณน่อง (calf)ที่จัดว่าอาการปวดบริเวณนี้เป็นอันตรายก็เพราะสาเหตุของมันอาจจะมาจากเส้นเลือดดำอุดตัน (deep vein thrombosis)หรือDVT ก็ได้โดยเส้นเลือดที่อุดตันนั้น สามารถเกิดขึ้นที่ deep veins ของขาได้ และโรคนี้เกิดขึ้นกับคนอเมริกันมากถึงปีละ 2 ล้านคนแล้ว ซึ่งที่เราอาจเคยได้ยินว่าคนที่นั่งเครื่องบินชั้นEconomy Class แล้วเกิดเส้นเลือดดำอุดตัน ก็คือโรคนี้แหละ และเมื่อมันเกิดขึ้น มันก็รบกวน
การดำเนินชีวิตมากเสียด้วยและสิ่งที่เป็นอันตรายก็คือ ก้อนเลือดเล็ก ๆ ที่อุดตันนั้น สามารถที่จะหลุดออกและไปอุดที่อื่นแทนซึ่งหากเป็นจุดสำคัญ เช่นไปอุดเส้นเลือดในปอดก็เป็นอันตรายถึงชีวิต

กลุ่มเสี่ยงของโรคนี้ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคมะเร็งโรคอ้วน คนท้อง รวมทั้ง ผู้ที่ต้องเดินทางนั่งอยู่ท่าเดียวนานๆ หรือพวกที่หลังผ่าตัด นอนนานๆไม่ค่อยได้ขยับตัว ขยับเขยื่อนร่างกาย บางครั้งอาการจะปรากฏออกมาให้เป็นในรูปของการบวม ตึงที่น่องแต่ไม่ปวด หรือทั้งปวดทั้งบวมบริเวณกล้ามเนื้อน่องก็ได้

ไม่เพียงแต่เส้นเลือดดำอุดตันที่อุดตันได้ เส้นเลือดแดงก็สามารถอุดตันได้เช่นเดียวกัน โดยจะมีอาการปวดที่ขา ปวดมาก จะมีอาการขาเย็นร่วมด้วย เย็นแบบรู้สึกได้เลย ขาจะดูซีด
แบบนี้ก็ต้องรีบไปรพ.ด่วนเลย ไม่งั้นกล้ามเนื้อจะตาย

 
6.ปวดเท้้า

อาการปวดร้อนที่เท้าและขา (Burning Feet or Legs) มีคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจำนวนมากไม่ได้รับการรักษาเพราะบางคนไม่ทราบว่าตนเองป่วยเป็นโรคดังกล่าว อาการนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งบ่งชี้ในเริ่มแรก
โดยจะรู้สึก burning or pins-and-needles sensationที่เท้าและขา นั่นเป็นการบ่งบอกว่า เกิดความเสียหายขึ้นกับเส้นประสาทเข้าแล้ว

ในคนไข้ที่เป็นมากๆ โรคเบาหวานจะทำให้เส้นประสาทเสีย เกิดอาการชาที่เท้าแทน ทำให้คนไข้
สามารถเดินเหยียบบุหรี่ได้โดยไม่รู้สึก บางครั้งเกิดเป็นแผลจนเน่าถึงรู้ตัวว่ามีแผลเพราะได้กลิ่นก็มี

 7.ปวดแปลกๆ

อาการปวดแบบแปลก ๆ ที่อธิบายไม่ได้ (Vague,Combined, or Medically Unexplained Pains) จริง ๆ แล้วอาการปวดมีหลายแบบ

บางคนอาจจะบอกว่า ปวดศีรษะแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ปวดท้องหรือปวดแขน แปลก ๆ อธิบายไม่ถูกหรืออาจจะมีอาการปวดหลายแบบผสมกัน

อาการปวด อาจะเป็นอาการเรื้อรัง และ ไม่ได้รุนแรงการอธิบายออกมาไม่ชัดเจนอาจทำให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าใจอาการผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีความเครียดดังนั้น ยิ่งถ้าคุณมีความเครียด หรือวิตกกังวลมากเท่าไหร่
ก็ให้พยายามอธิบายความรู้สึกให้มากเข้าไว้ อย่างไรก็ตาม อาจจะมีอาการในลักษณะอื่น ๆ ที่แสดงออกมาอีก และเมื่อไหร่ที่ควรจะมาพบแพทย์ ตัวคุณเองต้องลองสังเกตดูว่า อาการที่เกิดกับตัวคุณนั้นส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันหรือไม่

มันทำให้คุณไม่สามารถทำงานให้ลุล่วงได้หรือเปล่าหรือมันทำให้คุณอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้
ก็ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็ค เช็คให้รู้ว่าไม่มีอะไรผิดปกติก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย

ดังนั้น จงอย่านิ่งเงียบและทนปวดอยู่คนเดียวนา.....

มะเร็ง
AFTER YEARS OF TELLING PEOPLE CHEMOTHERAPY IS THE ONLY WAY TO TRY  AND ELIMINATE CANCER, JOHNS HOPKINS IS FINALLY STARTING TO TELL YOU THERE IS AN ALTERNATIVE WAY .       
หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก

Cancer Update from Johns Hopkins
ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์

1. Every person has cancer cells in the body. These cancer cells do not show up in the standard tests until they have multiplied to a few billion. When doctors tell cancer patients that there are no more cancer cells in their bodies after treatment, it just means the tests are unable to detect the cancer cells because they have not reached the detectable size. < BR>   
ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น
 
2. Cancer cells occur between 6 to more than 10 times in a person's lifetime.
เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง

3. When the person's immune system is strong the cancer cells will be destroyed and prevented from multiplying and forming tumours.
เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก

4. When a person has cancer it indicates the person has multiple nutritional deficiencies. These could be due to genetic, environmental, food and lifestyle factors.
เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต

5. To overcome the multiple nutritional deficiencies, changing diet and including supplements will strengthen the immune system.
เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

6. Chemotherapy involves poisoning the rapidly-growing cancer cells and also destroys rapidly-growing healthy cells in the bone marrow, gastro-intestinal tract etc, and can cause organ damage, like liver, kidneys, heart, lungs etc.
การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ

7. Radiation while destroying cancer cells also burns, scars and ! damages healthy cells, tissues and organs.
การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ

8.. Initial treatment with chemotherapy and radiation will often reduce tumor size. However prolonged use of chemotherapy and radiation do not result in more tumor destruction.
การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

9. When the body has too much toxic burden from chemotherapy and radiation the immune system is either compromised or destroyed, hence the person can succumb to various kinds of infections and complications.
เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

10. Chemotherapy and radiation can cause cancer cells to mutate and become resistant and difficult to destroy. Surgery can also cause cancer cells to spread to other sites.
การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย

11. An effective way to battle cancer is to starve the cancer cells by not feeding it with the foods it needs to multiply.
วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว

WHAT CANCER CELLS FEED ON:   
อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง

a.  Sugar is a cancer-feeder. By cutting off sugar it cuts off one important food supply to the cancer cells .   Sugar substitutes like NutraSweet, Equal,Spoonful, etc are made with Aspartame and it is harmful.   A better natural substitute would be Manuka honey or mol. but only in very small amounts.   Table salt has a chemical added to make it white in colour.   Better alternative is Bragg's aminos or sea salt.
น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น ' นิวตร้าสวีต ' ' อีควล ' ' สปูนฟูล ' ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ ' แบรก อมิโน ' หรือเกลือทะเลแทน

b.  Milk causes the body to produce mucus, especially in the gastro-intestinal tract. Cancer feeds on mucus.  By cutting off milk and substituting with unsweetened soy milk, cancer cells are being starved .
นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม   จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร   

c.  Cancer cells thrive in an acid environment.   A meat-based diet is acidic and it is best to eat fish, and a little chicken rather than beef or pork.   Meat also contains livestock antibiotics, growth hormones and parasites, which are all harmful, especially to people with cancer.
เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแงดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง

d.  A diet made of 80% fresh vegetables and juice, whole grains, seeds, nuts and a little fruits help put the body into an alkaline environment.   About 20% can be from cooked food including beans.   Fresh vegetable juices provide live enzymes that are easily absorbed and reach down to cellular levels within 15 minutes to nourish and enhance growth of healthy cells.   To obtain live enzymes for building healthy cells try and drink fresh vegetable juice (most vegetables including bean sprouts) and eat some raw vegetables 2 or 3 times a day.     Enzymes are destroyed at temperatures of 104 degrees F (40 degrees C).   
อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)

e.  Avoid coffee, tea, and chocolate, which have high caffeine.    Green tea is a better alternative and has cancer-fighting properties.   Water-best to drink purified water, or filtered, to avoid known toxins and heavy metals in tap water.  Distilled wate! r is acidic, avoid it.
ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง

12.  Meat protein is difficult to digest and requires a lot of digestive enzymes.   Undigested meat remaining in the intestines become putrified and leads to more toxic buildup.
โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น

13.  Cancer cell walls have a tough protein covering.   By refraining from or eating less meat it frees more enzymes to attack the protein walls of cancer cells and allows the body's killer cells to destroy the cancer cells.
ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น

14.  Some supplements build up the immune system   (IP6, Flor-essence, Essiac, anti-oxidants, vitamins, minerals, EFAs etc.)  to enable the body's own killer cells to destroy cancer cells.    Other supplements like vitamin E are known to cause apoptosis, or programmed cell death, the body's normal method of disposing of damaged, unwanted, or unneeded cells.
สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป

15.   Cancer is a disease of the mind, body, and spirit.   A proactive and positive spirit will help the cancer warrior be a survivor..   Anger, unforgiveness and bitterness put the body into a stressful and acidic environment.   Learn to have a loving and forgiving spirit.   Learn to relax and enjoy life.
มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต

16.  Cancer cells cannot thrive in an oxygenated environment.   Exercising da ily , and deep breathing help to get more oxygen down to the cellular level. Oxygen therapy is another means employed to destroy cancer cells.
เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆจะช่วยให้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง

(PLEASE FORWARD IT TO PEOPLE YOU CARE ABOUT)   
( กรุณาช่วย Forward ไปยังบุคคลที่คุณรักและห่วงใย)
This is an article that should be sent to anyone important in your life.
นี่คือเรื่องที่คุณควรส่งออกไปให้คนที่มีความสำคัญกับชีวิตคุณได้รับรู้รับทราบ
 
   
บันทึกการเข้า

ตึกยาวหลังนี้ สอนให้เรารู้สำนึกถึงบุญคุณของแผ่นดิน
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.131 วินาที กับ 22 คำสั่ง