เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 28, 2024, 05:52:18 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: [180110] IBM เผย 5 นวัตกรรมที่จะเปลี่ยนแปลงเมืองทั่วโลกใน 5 ปีข้างหน้า  (อ่าน 1480 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
วัฒน์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4114
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17223


เนรเทศยกโคตรดีกว่านิรโทษยกเข่ง


เว็บไซต์
« เมื่อ: มกราคม 18, 2010, 12:34:38 PM »




ทุกวันนี้ ด้วยแนวโน้มในการย้ายถิ่นฐานของประชากรในแต่ละปีทั่วโลก มีประชากรราว 60 ล้านคน หรือกว่า 1 ล้านคนในแต่ละสัปดาห์ที่ย้ายถิ่นฐานจากชนบทเข้าสู่เมืองใหญ่ จากรายงานประจำปี “Next 5 in 5” ล่าสุด ซึ่งเป็นฉบับที่ 4 ของไอบีเอ็ม ได้ให้ความสนใจกับประเด็นดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแนวโน้มการย้ายถิ่นฐานของประชากรเข้าสู่เมืองใหญ่ (Urbanization) มีมากอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีปี 2552 ที่ผ่านมานี้เอง มีการประเมินกันว่าประชากรส่วนใหญ่ของโลกในปัจจุบันอาศัยอยู่ในเขตเมืองมากกว่าชนบท ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก


นอกจากนั้นแล้ว ในรายงานดังกล่าว ยังให้ความสำคัญกับแนวโน้มของเทคโนโลยีที่มีผลกระทบและเกี่ยวโยงกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาและความท้าทายที่เมืองต่าง ๆ ต้องรับมือในอนาคตอันใกล้ เช่น ปัญหาการบริหารจัดการเมืองเพื่อรับมือกับจำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น หรือการจัดการกับปัญหาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เสื่อมลง เป็นต้น

ที่ผ่านมา ไอบีเอ็มได้มีโอกาสทำงานร่วมกับหน่วยงานของรัฐบาลในหลาย ๆ เมืองทั่วโลกในการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยให้ระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ในเมืองเหล่านั้น ‘ฉลาดขึ้น’ หรือมีประสิทธิภาพในการทำงานดียิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อช่วยส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเมืองนั้น ๆ นั่นเอง

ในช่วง 5 ปีข้างหน้านี้ ไอบีเอ็มคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่สำคัญ 5 ประการดังต่อไปนี้

· เทคโนโลยีจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในเมืองต่าง ๆ แข็งแรงยิ่งขึ้น

ด้วยประชากรจำนวนมากที่ย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองใหญ่ มีผลทำให้เมืองเหล่านี้กลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคไปพร้อม ๆ กัน อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอันใกล้ เทคโนโลยีจะมีบทบาทมากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสามารถพยากรณ์ได้ว่าจะเกิดโรคระบาดขึ้นเมื่อใด ที่ใด อย่างไร และมีพื้นที่ใดบ้างที่จะได้รับผลกระทบหลังจากเกิดโรคระบาดนั้น ๆ ขึ้น นอกจากนั้นแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะสามารถพัฒนาเครื่องมือที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐฯ หรือโรงพยาบาล สถานศึกษา และหน่วยงานต่าง ๆ สามารถปรับปรุงการตรวจสอบ ติดตาม หรือเพิ่มมาตรการในการเตรียมพร้อมรับมือ และป้องกันโรคติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็น ไวรัส H1N1 หรือโรคระบาดอื่น ๆ เป็นต้น

ยิ่งไปกว่านั้น ในอนาคตอันใกล้ เราจะได้เห็น “อินเทอร์เน็ตเพื่อสุขภาพ” เกิดขึ้น ซึ่งระบบดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้ข้อมูลทางการแพทย์ที่อยู่ในเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ นำไปถูกใช้งานร่วมกันอย่างปลอดภัย เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาด และเอื้อประโยชน์ให้ประชาชนมีสุขภาพแข็งแรงยิ่งขึ้น  ที่ผ่านมา ไอบีเอ็มได้ทำงานร่วมกับองค์กรต่าง ๆ หลายแห่งทั่วโลก เช่น โครงการริเริ่มด้านสุขภาพและความปลอดภัยของโลก (Global Health and Security Initiative) ของ Nuclear Threat Initiative (NTI) และกลุ่มความร่วมมือแห่งตะวันออกกลางเพื่อการเฝ้าระวังโรคติดต่อ (Middle East Consortium on Infectious Disease Surveillance – MECIDS) โดยไอบีเอ็มช่วยพัฒนาเทคโนโลยีซึ่งจะเป็นมาตรฐานเพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพและการวิเคราะห์การระบาดของโรคติดต่อ เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชนในอนาคต

· อาคาร ‘อัจฉริยะ’ จะสามารถรับรู้และตอบสนองมนุษย์ได้เหมือนสิ่งมีชีวิต

ในอนาคตอันใกล้ ด้วยแนวโน้มที่ผู้คนจะเข้าไปอาศัยและทำงานตามอาคารต่าง ๆ ในเมืองใหญ่มากขึ้น ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีและระบบอัจฉริยะก็จะช่วยทำให้ระบบต่าง ๆ ในตึกและอาคารสมัยใหม่ ‘ฉลาดขึ้น’ ไปพร้อม ๆ กัน โดยเทคโนโลยีจะถูกพัฒนาให้ทำหน้าที่จัดการดูแลอาคารสถานที่ต่าง ๆ ให้ทำงานได้ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถรับรู้และตอบสนองมนุษย์ได้อย่างฉับไว เช่น อาคารสมัยใหม่ในอนาคต จะมีอุปกรณ์ตรวจจับหรือเซ็นเซอร์หลายพันตัวที่ติดตั้งตามจุดต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบสิ่งแวดล้อมภายในอาคาร ไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวและอุณหภูมิ ไปจนถึงความชื้น การเข้าใช้พื้นที่ แสงสว่าง เป็นต้น

นอกจากนั้นแล้ว ในอาคารหลายแห่ง ซึ่งปัจจุบันมักประกอบไปด้วยระบบต่างๆ ที่ถูกบริหารจัดการแบบแยกส่วนและไม่ทำงานเชื่อมโยงประสานกัน เช่น ระบบปรับอากาศ ประปา ท่อระบายน้ำ ไฟฟ้า ฯลฯ เป็นต้น ในอนาคต ระบบต่าง ๆ เหล่านี้จะถูกบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ เพื่อทำให้การบริหารจัดการการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพสูงสุด

ยิ่งไปกว่านั้น ระบบอัจฉริยะต่าง ๆ จะมีบทบาทมากขึ้นในหลาย ๆ ด้าน เช่น ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อยู่อาศัยหรือใช้บริการในอาคารนั้น ๆ ช่วยอาคารประหยัดการใช้ทรัพยากร หรือช่วยลดปัญหาโลกร้อน เช่น ช่วยตรวจสอบระดับการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ในแบบเรียลไทม์ หรือในกรณีที่มีปัญหาอุปกรณ์บางชิ้นอาจไม่ทำงานหรือชำรุดเสียหาย ระบบอัจฉริยะนี้จะช่วยจัดการซ่อมแซมอุปกรณ์ต่างๆ ก่อนที่อุปกรณ์นั้นจะหยุดทำงาน เป็นต้น

ที่ผ่านมา มีอาคารหลายแห่งในปัจจุบัน ที่ติดตั้งระบบอัจฉริยะเพื่อช่วยบริหารจัดการระบบงานหลายประเภทแล้ว เช่น ช่วยลดการใช้พลังงาน ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ หรือเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้พื้นที่ภายในอาคาร ตัวอย่างเช่น โรงแรมไชน่า หังโจว ดราก้อน (China Hangzhou Dragon Hotel) ในประเทศจีน ที่เปิดโอกาสให้ไอบีเอ็มช่วยพัฒนาระบบบริหารจัดการโรงแรมที่ทำให้อุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ สามารถทำงานเชื่อมโยงถึงกันได้แบบอัจฉริยะ ซึ่งโครงการดังกล่าวนี้เอง ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับปรุงของโรงแรมสู่การเป็น“โรงแรมอัจฉริยะ” เป็นต้น

· รถยนต์และรถประจำทางจะไม่ใช้น้ำมันและก๊าซอีกต่อไป

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ตัวอักษร “E” บนมาตรวัดน้ำมันในรถยนต์ จะหมายถึง “Enough” หรือ “เพียงพอ” เพราะในอนาคตอันใกล้ รถยนต์และรถประจำทางจะไม่ต้องพึ่งพาพลังงานฟอสซิล เช่น น้ำมันและก๊าซ อีกต่อไป นั่นหมายถึง ในอนาคต รถยนต์จะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ชนิดใหม่ซึ่งรองรับการใช้งานได้นานหลายวันหรือหลายเดือนก่อนที่จะมีการชาร์จไฟอีกครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้ใช้งานรถคันนั้นบ่อยแค่ไหน  ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ของไอบีเอ็มและองค์กรพันธมิตรหลายแห่ง ได้ร่วมมือกันพัฒนาแบตเตอรี่ชนิดใหม่ที่ทำให้รถยนต์วิ่งได้ไกลถึง 300 ถึง 500 ไมล์ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่วิ่งได้เพียง 50 ถึง 100 ไมล์ นอกจากนี้ โครงข่ายระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ตามเมืองใหญ่หลายแห่งจะเปิดโอกาสให้รถยนต์สามารถชาร์จไฟในที่สาธารณะได้ อีกทั้งช่วยให้บุคคลทั่วไปสามารถใช้พลังงานที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Renewable Energy) เช่น พลังงานลม เป็นต้น เพื่อช่วยชาร์จแบตเตอรี่ โดยไม่ต้องพึ่งพาโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากถ่านหินอีกต่อไป  ด้วยวิธีการเหล่านี้เอง จะช่วยให้เมืองต่าง ๆ หลายแห่งสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศควบคู่ไปกับการช่วยลดมลภาวะทางเสียงไปในเวลาเดียวกัน

หนึ่งในตัวอย่างของพันธมิตรที่ร่วมมือกับไอบีเอ็มในโครงการดังกล่าว ได้แก่ กลุ่มความร่วมมือด้านการวิจัย ‘เอดิสัน’ ของประเทศเดนมาร์ก (EDISON Research Consortium) ซึ่งทำงานร่วมกับไอบีเอ็มในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ เพื่อรองรับการใช้รถไฟฟ้าจำนวนมากที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานทางเลือกอย่างยั่งยืน (sustainable energy)

· ระบบอัจฉริยะจะทำหน้าที่บริหารจัดการน้ำและการประหยัดพลังงานในเมืองใหญ่

ปัจจุบัน ปัญหาเรื่องการบริหารจัดการน้ำถือเป็นปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่งของโลก เนื่องจาก ทุกวันนี้ ประชากร 1 ใน 5 ของโลกไม่สามารถเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาดปลอดภัยได้ ในขณะเดียวกัน หน่วยงานของรัฐฯ ในหลาย ๆ เมืองทั่วโลกมีปัญหาการสูญเสียน้ำอย่างไม่จำเป็น โดยราว 50 เปอร์เซ็นต์ของปัญหาดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการใช้อุปกรณ์จัดเก็บน้ำที่ไม่ได้มาตรฐานหรือชำรุด ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการคาดการณ์กันว่าความต้องการน้ำของมนุษย์จะเพิ่มขึ้น 6 เท่าในอีก 50 ปีข้างหน้าซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญที่โลกต้องรับมือในอนาคตอันใกล้ ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมกับปัญหาดังกล่าว ปัจจุบันเมืองต่างๆ ได้มีการติดตั้งระบบประปา ‘อัจฉริยะ’ ซึ่งทำหน้าที่ช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์  นอกจากนั้น ที่ผ่านมาในหลาย ๆ เมืองทั่วโลก ได้มีการใช้ระบบท่อระบายน้ำ ‘อัจฉริยะ’ ที่นอกจากจะช่วยป้องกันการปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำลำคลองแล้ว ยังช่วยกรองน้ำให้สะอาดจนสามารถดื่มได้อีกด้วย  เทคโนโลยี ‘อัจฉริยะ’ สำหรับการกรองน้ำดังกล่าวนี้ช่วยให้เมืองต่างๆ สามารถนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ภายในชุมชน ซึ่งจะช่วยลดพลังงานที่ใช้ในการขนส่งน้ำลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์

ยิ่งไปกว่านั้น ในอนาคตอันใกล้จะมีความพยายามผนวกรวมเครื่องตรวจวัดแบบ ‘อัจฉริยะ’ หรือมิเตอร์แบบอินเทอร์แอคทีฟและเซนเซอร์เข้ากับระบบประปาและไฟฟ้า ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวทำขึ้นเพื่อวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลอย่างแม่นยำแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับการใช้น้ำและไฟฟ้าของผู้ใช้ตามบ้าน เพื่อทำให้ผู้ใช้เองสามารถบริหารจัดการการใช้น้ำและไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านปริมาณหรือเวลา

· เมืองต่างๆ จะตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่จะได้รับโทรศัพท์แจ้งเหตุ

ในอนาคตอันใกล้ เมืองต่าง ๆ จะมีความสามารถในการลดและป้องกันเหตุฉุกเฉิน เช่น อาชญากรรมและภัยพิบัติ ได้ดีกว่าในปัจจุบันด้วยการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและระบบอัจฉริยะ

ที่ผ่านมา ไอบีเอ็มได้ทำงานร่วมมือกับหน่วยงานปราบปรามอาชญากรรมในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างฉับไว เพื่อให้การดำเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องปรามอาชญากรรมทำได้อย่างมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น  ยกตัวอย่างเช่น ล่าสุด ไอบีเอ็มได้ร่วมงานกับหน่วยดับเพลิงแห่งนครนิวยอร์ก (Fire Department of the City of New York) ที่ได้ให้ความไว้วางใจไอบีเอ็มในการพัฒนาระบบที่ทันสมัย เพื่อช่วยเก็บรวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพในแบบเรียลไทม์ เพื่อป้องกันเหตุเพลิงไหม้ที่อาจเกิดขึ้น และช่วยคุ้มครองเจ้าหน้าที่ดับเพลิงไปในเวลาเดียวกัน


 ไหว้
บันทึกการเข้า

ฟ้าและดินไม่เห็นไม่เป็นไร ไม่ได้หวังให้ใครจดจำ
แม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นสักคำ ไม่มีใครจดจำ แต่เราก็ยังภูมิใจ

จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา จะยอมรับโชคชะตาไม่ว่าดีร้าย
ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องไป เหลือไว้แต่คุณงามความดี
~ Sitthipong - รักในหลวง ~
"วาจาย่อมมีน้ำหนัก หากหนุนด้วยสรรพอาวุธ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2953
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23210



« ตอบ #1 เมื่อ: มกราคม 18, 2010, 02:28:28 PM »

· รถยนต์และรถประจำทางจะไม่ใช้น้ำมันและก๊าซอีกต่อไป

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ตัวอักษร “E” บนมาตรวัดน้ำมันในรถยนต์ จะหมายถึง “Enough” หรือ “เพียงพอ” เพราะในอนาคตอันใกล้ รถยนต์และรถประจำทางจะไม่ต้องพึ่งพาพลังงานฟอสซิล เช่น น้ำมันและก๊าซ อีกต่อไป นั่นหมายถึง ในอนาคต รถยนต์จะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ชนิดใหม่ซึ่งรองรับการใช้งานได้นานหลายวันหรือหลายเดือนก่อนที่จะมีการชาร์จไฟอีกครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้ใช้งานรถคันนั้นบ่อยแค่ไหน  ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ของไอบีเอ็มและองค์กรพันธมิตรหลายแห่ง ได้ร่วมมือกันพัฒนาแบตเตอรี่ชนิดใหม่ที่ทำให้รถยนต์วิ่งได้ไกลถึง 300 ถึง 500 ไมล์ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่วิ่งได้เพียง 50 ถึง 100 ไมล์ นอกจากนี้ โครงข่ายระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ตามเมืองใหญ่หลายแห่งจะเปิดโอกาสให้รถยนต์สามารถชาร์จไฟในที่สาธารณะได้ อีกทั้งช่วยให้บุคคลทั่วไปสามารถใช้พลังงานที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Renewable Energy) เช่น พลังงานลม เป็นต้น เพื่อช่วยชาร์จแบตเตอรี่ โดยไม่ต้องพึ่งพาโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากถ่านหินอีกต่อไป  ด้วยวิธีการเหล่านี้เอง จะช่วยให้เมืองต่าง ๆ หลายแห่งสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศควบคู่ไปกับการช่วยลดมลภาวะทางเสียงไปในเวลาเดียวกัน

หนึ่งในตัวอย่างของพันธมิตรที่ร่วมมือกับไอบีเอ็มในโครงการดังกล่าว ได้แก่ กลุ่มความร่วมมือด้านการวิจัย ‘เอดิสัน’ ของประเทศเดนมาร์ก (EDISON Research Consortium) ซึ่งทำงานร่วมกับไอบีเอ็มในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ เพื่อรองรับการใช้รถไฟฟ้าจำนวนมากที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานทางเลือกอย่างยั่งยืน (sustainable energy)



ผมสงสัยข้อนี้ครับ  Grin  ไม่ใช้พลังงานฟอสซิล  แล้วมาใช้ไฟฟ้าแทน  แล้วพลังงานไฟฟ้าก็มาจากพลังงานฟอสซิลเป็นส่วนใหญ่ครับ

หากรถทุกคันมาใช้พลังงานไฟฟ้าหมด  ไม่รู้ว่าจะสร้างพลังงานไฟฟ้ามาจากอะไรให้เพียงพอต่อความต้องการครับ   Huh   หรือว่าจะดูดเอาน้ำทะเล   Cheesy

ที่บอกว่ากำลังจะท่วมโลกมาผลิตเป็นไฮโดรเจน  แล้วมาทำเป็นพลังงานไฟฟ้า  แต่ถ้าผลิตไฮโดรเจนจากน้ำทะเลได้แล้วเอามาใส่รถเลยก็น่าจะดีนะครับ  Wink
บันทึกการเข้า



...ไม่มีใครทำขาวให้เป็นดำ  หรือทำผิดให้เป็นถูกได้ตลอด...
vichai01++รักในหลวง++
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 110
ออฟไลน์

กระทู้: 2775



« ตอบ #2 เมื่อ: มกราคม 18, 2010, 04:21:33 PM »

 ไหว้ ไหว้ขอบพระคุณครับ
บันทึกการเข้า

คาถาป้องกันภัยพิบัติทั้งปวง
ปะโตเมตัง ปะระชิวินัง สุขะโต จุติ
จิตะเมตะ นิพพานัง สุขะโตจุติ
yod - รักในหลวง ครับ
ความรัก - เริ่ม - จากความรู้สึก หรือ ความคิด กันแน่นะ ..... ประวัติศาสตร์อาจจะย้อนรอยเดิม แต่คนไม่อาจย้อนอดีตได้
Hero Member
*****

คะแนน 1628
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 18173



« ตอบ #3 เมื่อ: มกราคม 18, 2010, 04:27:23 PM »



ขอบคุณครับ พี่ วัฒน์


พลังงานไฟฟ้า มาจากพลังงานแสงแดด และ พลังงานลม ครับ
บันทึกการเข้า

..สิ่งสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า...วันนี้เขาอยู่หรือจากไป
สำคัญที่ว่า...ช่วงที่เรามีเวลาอยู่ด้วยกัน
ขอให้มีความทรงจำที่ดี...ก็เพียงพอแล้ว
อย่างน้อย เราก็ยังมีอะไรดีดีให้นึกถึง
และยิ้มให้ความทรงจำนั้นได้ ...

..กรอบใดกักขังแค่กาย แต่ใจอย่าหมายกั้นได้
โซ่ตรวนรัดรึงตรึงไว้  แต่ใจนั้นใฝ่เสรี..
วัฒน์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4114
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17223


เนรเทศยกโคตรดีกว่านิรโทษยกเข่ง


เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: มกราคม 18, 2010, 06:18:50 PM »

 Smiley ช่วงแรกคงเป็นเครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน HYBRID ก่อนมั๊งครับ
บันทึกการเข้า

ฟ้าและดินไม่เห็นไม่เป็นไร ไม่ได้หวังให้ใครจดจำ
แม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นสักคำ ไม่มีใครจดจำ แต่เราก็ยังภูมิใจ

จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา จะยอมรับโชคชะตาไม่ว่าดีร้าย
ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องไป เหลือไว้แต่คุณงามความดี
เมียหลวงสั่งถอย เมียน้อยสั่งลุย
Sr. Member
****

คะแนน 53
ออฟไลน์

กระทู้: 900


« ตอบ #5 เมื่อ: มกราคม 18, 2010, 07:27:15 PM »

ขอบคุณครับ
ตอนนี้ไม่ค่อยสนใจเรื่องเทคโนโลยี
สนใจแต่ภาวะวิกฤตภัยธรรมชาติของโลก อีก 5 ปี จะรุนแรงขนาดไหน
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.113 วินาที กับ 22 คำสั่ง