ขออนุญาตให้ความเห็นแย้ง นะครับ
1.รับทราบจากข้อเท็จจริง ทางสาธารณะได้มาโดยผลของกฏหมายไม่ใช่การโต้แย้งหรือเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ "[รอบสวนจึงเป็นหมู่บ้านอยู่รอบๆสวน ถนนหนทางชาวบ้านจึงใช้กันอย่างเสรี คล้ายทางสาธารณะ " ผมจึงตีความว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์ มิได้แสดงเจตนาหวงกั้น,ทักท้วงหรือยินยอม ไม่ให้ประชาชนเข้าใช้ทาง หากเกินกว่า 10ปี จึงเป็นกันได้มาตามผลของกฏหมาย กรณีนี้กรรมสิทธิ์ยังคงเดิมครับ แต่เพิ่มภาระติดพันที่ดินที่เรียกว่าทางสาธารณะเข้าไป ไม่ต้องจดทะเบียนก็เกิดสิทธิครับ หากเจ้าของโต้แย้งหรือปิดกั้นทาง สามารถฟ้องเปิดทางโดยถือคำพิพากษาของศาลแทนการ เพื่อจดทะเบียนฯอันนี้กรรมสิทธิยังคงเดิมนะครับ
2. กรณีที่ว่า "ภายในสวนแบ่งเป็นแปลงย่อยๆมีถนนมากมายภายในสวน" หากจัดแบ่งเกินกว่า10 แปลงถือเป็นที่ดินจัดสรรฯตามกฏหมายแล้วครับ ดังนั้นหากถนนพวกนี้ไม่ได้ทักท้วงหวงกั้น ก็กลายเป็นทางสาธารณะจากเหตุและผลข้างต้น
จึงเชื่อว่าเป็นทางสาธารณะและเป็นการตรวจค้นจับกุมโดยชอบครับ
ขออนุญาตแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนะครับ ด้วยความเคารพ
ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นครับจะได้ถือโอกาสเคาะสนิมกฎหมายแพ่งไปในตัว อาจจะหน้าแตกเสียผู้เสียคนคราวนี้ก็เป็นได้
ก่อนอื่นขออ้างอิงหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนนะครับ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๓๘๒ บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบ
ครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร์ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์
มาตรา ๑๓๘๗ อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน
หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้น เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น
มาตรา ๑๔๐๑ ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ ๓ แห่งบรรพนี้
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๑. ผมอ่านแล้วเข้าใจว่าภาระติดพันที่คุณ purit หมายถึงในทีนี้คือภาระจำยอมใช่ไหมครับ ก่อนอื่นขออธิบายให้ สมช.ท่านอื่นที่ไม่ได้
เรียนกฎหมายมาเข้าใจก่อนนะครับว่าในกรณีที่เราครอบครองที่ดินของคนอื่นเป็นไปตามเงื่อนไขตามมาตรา ๑๓๘๒ ข้างต้น จะทำให้ผู้ครอบครอง
ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ซึ่งภาษากฎหมายเรียกว่าครอบครองปรปักษ์ อันเป็นการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยผลของกฎหมาย
ส่วนภาระจำยอมตามกฎหมายนิยามก็เป็นไปตามมาตรา ๑๓๘๗ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นมีที่ดินอยู่สองแปลง เจ้าของที่ดินแปลงแรกเดินผ่าน
ที่ดินแปลงที่สองเป็นเวลานานเกินกว่าสิบปีแล้ว อย่างนี้เมื่อครบสิบปีแล้วเจ้าของที่ดินแปลงแรกก็มีสิทธิเดินผ่านที่ดินแปลงที่สองได้โดยเจ้าของที่
ดินแปลงที่สองไม่มีสิทธิหวงห้ามอีกต่อไป อันเป็นการได้ภาระจำยอมโดยอายุความตามมาตรา ๑๔๐๑ ประกอบมาตรา ๑๓๘๒ แต่กรรมสิทธิ์ยังคง
เป็นของเจ้าของที่ดินแปลงที่สองอยู่ ซึ่งการได้ภาระจำยอมโดยอายุความนั้นกฎหมายให้เอาเรื่องครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา ๑๓๘๒ มาใช้บังคับ
โดยอนุโลม
ทีนี้ก็ขอลงรายละเอียดในมาตรา ๑๓๘๒ ซึ่งนำมาใช้ในเรื่องภาระจำยอมด้วยโดยอนุโลมนะครับ ซึ่งเงื่อนไขหนึ่งที่สำคัญก็คือต้องครอบครอง
ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ คำว่าเป็นเจตนาเป็นเจ้าของในทีนี้ก็คือการครอบครองในลักษณะที่เข้ายึดเอาเพื่อตนเองโดยไม่สนใจในกรรมสิทธิ์ของเจ้าของ
ที่ดิน แต่ตามข้อเท็จจริงตามกระทู้ผมมองว่าเป็นการที่บริษัทเจ้าของสวนเปิดให้ใช้ทางเพื่อประโยชน์ของประชาชนมากกว่า และประชาชนก็ใช้ในทาง
โดยรับรู้ว่าบริษัทเป็นเจ้าของทางดังกล่าวอันเป็นการรับรู้สิทธิของบริษัท จึงขาดองค์ประกอบในข้อที่ว่าครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นกรณี
เช่นนี้แม้ใช้ทางนานเท่าใดก็ไม่ได้ภาระจำยอม ซึ่งเคยมีตัวอย่างจากคำพิพากษาฎีกาที่คล้าย ๆ กันก็คือที่ดินที่อยู่ด้านในเดินผ่านที่ดินแปลงด้านนอก
เป็นเวลานานกว่าสิบปี โดยเจ้าของที่ดินแปลงด้านนอกก็รับรู้ตลอดแต่ไม่ได้หวงห้ามอะไร ซึ่งในชนบทก็มักถือปฏิบัติกันเช่นนี้เนื่องจากมีที่ดินติดต่อกัน
โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าในกรณีนี้เจ้าของที่ดินแปลงด้านในเดินผ่านที่ดินโดยรับรู้ในสิทธิความเป็นเจ้าของของที่ดินแปลงด้านนอก จึงขาดเจตนาเป็น
เจ้าของจึงไม่ได้ภาระจำยอมโดยอายุความครับ
ข้อ ๒. ผมเห็นว่าการที่ตัดถนนเป็นสายย่อย ๆ มากมายภายในสวนก็เพื่อความสะดวกของเจ้าของสวนเอง โดยที่โฉนดก็ยังเป็นแปลงเดียวกัน
เจ้าของก็ยังเป็นคนเดียวกัน และไม่ได้เป็นการแบ่งเพื่อจัดสรรให้แก่บุคคลอื่น จึงไม่เป็นการจัดสรรที่ดินตามกฎหมายครับ ทางที่แบ่งจึงไม่ใช่ทาง
สาธารณะ ผมขอย้อนถามด้วยคำถามง่ายสมมุติท่านปลูกสวนยางพาราสักร้อยไร่ ท่านจึงตัดถนนเพื่อสะดวกในการบำรุงรักษา หรือขนย้ายยางพารา
เช่นนี้ผมถามว่าถนนที่ท่านตัดเพื่อใช้เพื่อประโยชน์ของท่านเอง หากมีคนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันใช้ถนนดังกล่าวด้วยก็เป็นเรื่องผลพลอยได้และ
เป็นเรื่องน้ำใจของบ้านใกล้เรือนเคียงมากกว่า ท่านว่าที่ดินที่ท่านอุตส่าห์เก็บหอมรอบริบซื้อมาอย่างยากลำบากหากต้องกลายเป็นทางสาธารณะ
เพราะความมีน้ำใจของท่านเองมันสมควรหรือไม่ครับ