เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 28, 2024, 12:31:59 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 12 13 14 [15] 16 17 18 ... 68
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ซึ่งวิถี " ๑ คัน ๑ กระบอก กับ ๑ ชีวิตที่อิสระ "  (อ่าน 263344 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 13 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
toonbook
ชาว อวป.
Jr. Member
****

คะแนน 6
ออฟไลน์

กระทู้: 97


« ตอบ #210 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2011, 01:51:05 PM »

รอติดตามผลงาน พี่โรดครับ อ่านแล้วนึกถึงอดีตครับ คนพร้อมเพื่อนพร้อมไปกัน
บันทึกการเข้า
soveat ชุมไพร
มือสังหารคันคากหมุ่น พรานปลาวัด พราน28k สมช. เลขที่ 1475
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3429
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 30132


เลือดกรุ๊ป โอละนออออออออออออ


เว็บไซต์
« ตอบ #211 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2011, 05:06:28 PM »

อิจฉาคนได้ 870  8 นัดฟรีๆจังเล้ย   น้ำลายหก น้ำลายหก
บันทึกการเข้า

จะปิดทอง หลังองค์ พระปฏิมา
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #212 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2011, 11:13:51 PM »

วันที่ ๑๒ ไปถวายเพลพระ ที่ดำเนินสะดวก ราชบุรี .. รุ่งขึ้น เดินทางไป ร่วมงานสังสรร พี่น้อง ชาวมานีกันส์  ที่ พิษณุโลก  

"หนึ่งคัน หนึ่งกระบอก กับหนึ่งชีวิตที่อิสระ"..  ขาขึ้นเหมือนเดิม  แต่ขาล่อง ได้เพื่อนเป็น  Remington ๘๗๐  Express Tactical  ๑๘.๕ นิ้ว ๘ นัด
ที่พี่ตา-พี่แต๋ว เจ้า่ของร้่าน ปืนมานี พิษณุโลก นำมาเป็นของรางวัลการจับฉลาก สำหรับลูกค้าร้าน  อีก ๑  ครับ . Cheesy
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 14, 2011, 11:15:25 PM โดย Ro@d - รักในหลวง » บันทึกการเข้า

vichy
Full Member
***

คะแนน 35
ออฟไลน์

กระทู้: 389



« ตอบ #213 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2011, 07:16:42 PM »

วันที่ ๑๒ ไปถวายเพลพระ ที่ดำเนินสะดวก ราชบุรี .. รุ่งขึ้น เดินทางไป ร่วมงานสังสรร พี่น้อง ชาวมานีกันส์  ที่ พิษณุโลก 

"หนึ่งคัน หนึ่งกระบอก กับหนึ่งชีวิตที่อิสระ"..  ขาขึ้นเหมือนเดิม  แต่ขาล่อง ได้เพื่อนเป็น  Remington ๘๗๐  Express Tactical  ๑๘.๕ นิ้ว ๘ นัด
ที่พี่ตา-พี่แต๋ว เจ้า่ของร้่าน ปืนมานี พิษณุโลก นำมาเป็นของรางวัลการจับฉลาก สำหรับลูกค้าร้าน  อีก ๑  ครับ . Cheesy

สวัสดีครับพี่ ต่อไปก็มี 870 เป็นเพื่อนติดรถอีกลำแล้วครับ ไหว้
บันทึกการเข้า
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #214 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2011, 09:06:49 PM »

                   การระเบิดยางที่นิยมในบ้านเราเท่าที่เห็นต้องถอดล้อออกมาแล้วทำความสะอาดขอบยางในส่วนไกล้กระทะล้อก่อน

                   แล้วราดน้ำมันเบนซินไปรอบยางส่วนที่ว่าแล้วจุดไฟ ...... มันก็จะเบิร์น (ไหม้) ตัวเองแล้วเกิดแรงดันลมยางพอใช้งานได้ชั่วคราว (แรงดันในลมยางไม่มากนัก)


                   สำหรับแบบคลิปที่น้านิกส์357 กรุณานำมาให้ชมถือเป็นแนวทางและหลักการใหม่ที่ยังไม่เคยพบ  ขอเก็บไว้เป็นความรู้เผื่อมีโอกาสได้ใช้ต่อไป  ขอบคุณครับ   ไหว้

บันทึกการเข้า

                
นายรัก-รักในหลวง-
เลือด สี น้ำ เงิน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 203
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1646


จงภูมิใจในความเป็นตัวของตัวเอง


« ตอบ #215 เมื่อ: สิงหาคม 18, 2011, 02:03:49 PM »

                   การระเบิดยางที่นิยมในบ้านเราเท่าที่เห็นต้องถอดล้อออกมาแล้วทำความสะอาดขอบยางในส่วนไกล้กระทะล้อก่อน

                   แล้วราดน้ำมันเบนซินไปรอบยางส่วนที่ว่าแล้วจุดไฟ ...... มันก็จะเบิร์น (ไหม้) ตัวเองแล้วเกิดแรงดันลมยางพอใช้งานได้ชั่วคราว (แรงดันในลมยางไม่มากนัก)


                   สำหรับแบบคลิปที่น้านิกส์357 กรุณานำมาให้ชมถือเป็นแนวทางและหลักการใหม่ที่ยังไม่เคยพบ  ขอเก็บไว้เป็นความรู้เผื่อมีโอกาสได้ใช้ต่อไป  ขอบคุณครับ   ไหว้


ได้ความรู้อีกแล้ว  ไหว้
บันทึกการเข้า

"สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนพาไป"
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #216 เมื่อ: สิงหาคม 18, 2011, 06:17:59 PM »

ปากช่อง - เขาใหญ่ - ภูกระดึง - ปากช่อง - อุดร - หนองบัวลำภู-ภูกระดึง
๔. บน ภูกระดึง   

ราว ๖ โมงเช้า  ผมออกจากบ้านพัก ของ อช.  เดินอ้อมไปด้านหลัง  ก็มองเห็น เต็นท์สีเขียวหม่น ๆ  ๓ – ๔ หลัง
มีเพื่อนบางคน ตื่นมาก่อกองไฟเล็ก ๆ .. ไม่นานนัก เมื่อหลายคนในเต็นท์ได้ยืนเสียงพูดคุย ก็โผล่ มาทีละคน

ก่อนที่ ไอ้เพื่อนบางคนจะด่าผม .. ก็ถูกตัดบทด้วย ไปล้างหน้าอาบน้ำ ในบ้าน กันก่อน แล้ว ค่อยคุยกัน
อากาศตอนนั้น หนาว แต่ตอนนี้ จำความรู้สึกไม่ได้แล้ว ว่าขนาดไหน..

ครั้งนั้นการท่องเที่ยว ไกลๆ   จะถูกกำหนดด้วย อาหารการกิน ที่ต้องตระเตรียม ไปทำกินกันเอง 
แต่ตอนนั้นยังถือว่าโชคดีมากที่มีโรงงครัวของ อช.  เปิดโล่ง  ที่พวกเราพอไปอาศัย ซื้อของกิน ที่พอเหลือส่วนหนึ่ง
จากการจัดให้กับ นักศึกษาอาชีวะ ฯ.. 

เช้าวันนั้น ผมกับหยี และเพื่อน ๆ มาทำความรู้จักเช็คแฮนด์ กับฝรั่ง ๒ คนและ solong ลาจากกันชั่วนิรันตร์ ผมก็ไม่ทราบว่าสัญชาติใด  และแยกย้ายกัน
แต่ กำหนด มาโนช ,หยี ฯลฯ ปากก็คาบบุหรี่ ฟรี มาคนละมวน.

หลังมื้อเช้า เราตกลงเดินไปตามทาง จากศูนย์พิทักษ์ป่าวังกวาง ที่เขียนบอก ด้านทิศตะวันตก.. น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกโผนพบ  น้ำตกเพ็ญพบใหม่
พวกเราเดินไปตามทางด่าน ตัดเข้าไปในดงไผ่..  เป็นทางยาว ลัดเลาะไป 
จนพบน้ำตกเพ็ญพบ -น้ำตกโผนพบ  แต่น้ำน้อย ยังไม่เห็นความสวยเลยครับ  จึงต่อไปในเส้นทางที่บอก น้ำตกเพ็ญพบใหม่ . 

เดินจนเมื่อย มาก ๆ และไกลพอสมควร   เมื่อไปถึงอยู่ข้างบนน้ำตก  ต้องไต่ลงไปข้างใต้   
น้ำมีไม่มาก  น้ำที่ฐานน้ำตก เป็นสีชา และไหลลงที่ต่ำ  .. เรานั่งพักแช่น้ำ ทั้งรองเท้า ..   ได้ไม่นานเท่าไร

พวกเราจำได้  หรือจะประมาณคาดเดากันเองว่า  น้ำจะต้องไหลผ่านไปจน ตกต่อที่น้ำตกโผนพบ. 
ขากลับ เราจึงไม่ย้อนทางเดิม  แต่เดินตามธารสีน้ำชา  บางตอนก็เป็นช่องแสง สะท้อน เป็นเงา กับแสงแดด
ธารน้ำ ไม่ได้ ล่องลงที่ต่ำ เป็นเส้นตรง ซะเมื่อไหร่..  การวก-วน จึงชักชวน ให้พวกเรา ที่ไม่รู้อะไรเลย หวังแต่จะเดิน
ก็ได้เดินลุยน้ำ สมใจ  เมื่อลงไปแล้วตลิ่ง มันอยู่สูง  จึงถูกบังคับ ให้กระโดด ไปตามโขดหิน และลุยน้ำชา ไปเรื่อย ๆ  ๆ   ๆ 

บ่ายวันนั้น เราถึงเต็นท์  และย้ายเต็นท์ไปในที่ร่ม ที่พอกันแดด ได้บ้าง  ตกลงว่า พรุ่งนี้ ตี ๕ เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่
ผานกแอ่น (ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แต่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ที่ดี ที่สุด )  แล้วก็ หมดแรง  เต็นท์ใครเต็นท์มัน

ราว ตี ๕ ครึ่ง เราใช้เวลาเดินมาราว ๔๕ นาที  มีนักท่องเที่ยวอยู่ที่นั่นก่อนเราไปถึง ๑๐ กว่าคน พอช่วง พระอาทิตย์กำลังขึ้น
จุดที่พวกเราเลือกว่าเหมาะที่สุด กลายเป็น มีคนมาตีตั๋วยืน บังเราไปซะฉิบ..

ขากลับเราไม่ตรงกลับ เต็นท์ แต่เลาะไปทางทิศใต้  ทางเดินเป็นทราย เป็นหินตะปุ่มตะป่ำ 
มีกุหลาบหินแซมมากับตะไคร่เขียว ..  และที่นี่เราพบ ต้นหม้อข้าว หม้อแกงลิง กับตา เป็นครั้งแรก  ก่อนหน้ามีแต่ในหนังสือเรียน

เราพบรอย เท้ากีบ ใหญ่ ๆ หลายรอย บน พื้นทรายแห้ง  แต่ไม่พบเจ้าของรอย  แต่มาทราบจากที่ไหน และจากใครก็จำไม่ได้แล้วว่า
เป็นวัว หรือควายของชาวบ้าน ที่นำขึ้นไปเลี้ยง  คงเป็นทางที่เป็นป่าปิด  ที่ใดสักแห่ง ที่สัตว์ป่าใช้อาศัยขึ้นลงจากภู

นักศึกษาอาชีวะ รุ่นพี่ ลงไปเมื่อตอนสาย  ครัวปิดแล้วละ นักเรียนทั้งหลาย  นี่คือคำบอกจาก พี่แม่ครัว.
กับ มื้อสุดท้าย ที่พี่แม่ครัว จะรับรองพวกเรา ก็จำต้องเป็นมื้อสุดท้าย บนภูฯ ของพวกเรา เหมือนกัน 
ถอนเต็นท์ ราว บ่ายโมง  สะพายเป้หลัง  เดินเล่นอ้อยสร้อย  ตรงไปหลังแป ที่อยู่สุดทิศตะวันออกของภูฯ
 
ภูกระดึง เป็นที่ที่สูงที่สุดสำหรับพวกเรา ที่มาประทับรอยเท้า แบบขาขวิดขา ร่วมกันเอาไว้ ..
เราทำลายสถิติ ในพื้นที่สูงของตัวเอง ๒ ครั้ง ในการออก Trip ในครั้งนี้

การลงจากภูกระดึง แม้เป็นทางลง แต่ทรมานแข้งขา - เท้า มาก  ๆ   ขาขึ้นอาจจะเหนื่อยเพราะปีน และแบกของ แต่ขาลง 
กึ่งเดินกึ่งวิ่ง เหมือนเดิม จึงมีแรงส่งไปเพิ่มน้ำหนักที่เท้า จะเจ็บที่ นิ้วเท้าอย่างมาก .. 
มาโนช สะดุดรากไม้ ร่างเขาพุ่งไปข้างหน้า ราว  ๗ -๘ เมตร  ยังดีที่ เป็นพื้นดินต่างระดับ ไม่ใช่ทางหิน  และเป้หลัง รับร่างเอาไว้

การลงจากที่สูง สวนกับเวลา เราจึงเดินเข้าหาความมืด ที่ต้องเร่งเวลา ไม่ให้มืดลงกลางทาง.. ซะก่อน
และเมื่อ ๑๘.๐๐ น. เศษ   เรามาอยู่พร้อมกัน ณ.ตีนภูฯ  ในอาคารหลังคาคลุม พื้นคอนกรีต แต่เปิดโล่งรับลมทุกด้าน ..
ถึงตอนนั้น ทุกคนทำได้เพียง พัก ทอดน่อง ให้หายปวดเมื่อย  และหาที่นอนก็บนพื้นคอนกรีต   ไม่มีไฟที่จะอาศัยแสง
เพื่อช่วยกางเต็นท์ และก็ไม่มีใครอยากจะกางเต็นท์   ก็เพราะ ฝนตกหนัก ไม่นานนักหลังจาก ที่มาถึง

ไม่มีอะไรจะตกถึงกระเพาะ นอกจากน้ำฝนที่รองได้จากหลังคา   ที่มืด ๆ ตรงนั้น  ต้องหมดแรงข้ามต้ม กันอีกครั้ง ..
และเป็นคืนที่หนาวที่สุด มากกว่าอยู่บนภูกระดึงซะอีก .. ยิ่งต้องมาห่มด้วยผ้าเต็นท์ที่เคยเป็นหลังคา เปื้อนฝุ่นดิน
เมือเจอ ละอองฝน + ลม    เราทำได้เพียงต้องทนห่ม เพื่ออาศัยบังลม-ละอองฝน และรอให้ถึงตอนเช้า  เร็ว ๆ เท่านั้น เอง ละครับ  Grin


บันทึกการเข้า

สหายอ๋อง เซียนปลาซิว
จริงใจ บริสุทธ์ใจ แล้วจะแคล้วคลาด จากภัยทั้งปวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 657
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9377


คบหมาเป็นเพื่อน ดีกว่าคบเพื่อนหมาๆ


« ตอบ #217 เมื่อ: สิงหาคม 18, 2011, 06:30:04 PM »

ตอนนี้ได้แต่นอนฝันว่า  ทำโครงการฯให้เด็กๆในหมู่บ้านเสร็จ  ก็จะไปตามฝันตัวเอง ซัก  2-3  เดือน  แบบไม่แวะรบกวน  สมช.

หรืออาจจะไปเร่ขายเกิบ  ตามงานประจำปีจังหวัด  แล้วค่อยแว๊บไปเยี่ยมเยียน  ที่ที่เคยไปผูกเปลนอน   ฝันอันสูงสุด

โน๊ตบุ๊ค 1 เครื่อง  เป้หนึ่งใบ  +  เปล สนามอีกหนึ่ง  ทุก  อย่างพร้อมแล้ว
บันทึกการเข้า
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #218 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2011, 06:57:55 PM »

ปากช่อง - เขาใหญ่ - ภูกระดึง - ปากช่อง - อุดร - หนองบัวลำภู-ภูกระดึง
๑. ปากช่อง - เขาใหญ่

เมื่อก่อนปิดเทอมแรก มศ.๕ เรามีบทเรียน  ที่เที่ยวแล้วนอนตากลมห่มฟ้า.  ครั้งนี้ ผมแก้ไข ด้วยการทำหนังสือจากเด็กนักเรียน วัดประดู่ในทรงธรรม
ขอยืม เป้สนาม เต้นท์สนาม พร้อมสมอบก ( แบบเดียวกับลูกเสือใช้ คือเต้นท์ ทหารนั้นละครับ)  จากโรงเรียนวัดนวลนรดิศ

เราไปขนกัน ในวันเสาร์ ตอนไปเรียน รด.  รวมกันทีโรงเรียนวัดนวลนรดิศ.. อดีต สว. เสรี สุวรรณภานนท์  เด็กวัดนวล ฯ
เพื่อนคนหนึ่ง.. เห็นหน้า ยังจำกันได้  และมาจบนิติรามฯ รุ่นเดียวกัน

พอปิดเทอมวันแรก  เราเดินทางไปเริ่มต้น ที่ บ้าน ศุภชัย(ช่อง) ที่ อ.ปากช่อง . ผมติดธุระจึงโบกรถตามไปในช่วงบ่าย.. นั่งรถเมลย์ ลงที่รังสิต
เดินเลาะ ตามจุดที่ ๑๐ ล้อ มาจอดทำธุระ จนได้ขึ้นหลังท้ายรถบรรทุก ๑๐ ล้อของพี่ชายใจดีท่านหนึ่ง ตียาว มาลง ที่ อ.ปากช่อง ราว ๑๖.๐๐ น.กว่า ๆ

เพื่อนผมที่ไปก่อนกำลังเตะบอล กับเด็กในพื้นที่ ในสนาม รร.ปากช่อง กันสนุก .. ศุภชัย บอก มีจนท.อุทยานเขาใหญ่ มาจีบ พี่สาว และ
ใ้ห้พักที่บ้านพัก จนท. ของ อุทยาน

เช้ารุ่งขึ้น เรามีกัน  ๑๐  คน ศุภชัย ธรรมศักดิ์ กำหนด  หยี มาโนช ฯลฯ  เดินข้ามฝั่งสะพายเป้หลัง มีเต้นท์คนละครึ่งซีก สมอบก  หลังแดะนิด ๆ ..
อาศัยรถคนแถวนั้น ที่ ศุภชัย รู้จัก ขับมาส่งที่ ต้นถนนธนะรัชต์  และเริ่มโบกรถ  กันตรงนั้น เป็นรถชาวบ้านที่ทำไร่แถวนั้น อีกเหมือนเคย ๒ - ๓ ทอด ก็ถึงด่านทางเข้า..  

ตรงนั้น รถไม่มีให้โบกแล้ว เพราะ ไม่ใช่เส้นทางที่ชาวบ้านจะผ่านกัน จึงได้อาศัย รถ ๖ ล้อ จนท. ที่กลับจากลงมาขนเสบียง ไปลงที่ทำการ..  
แฟนพี่สาวศุภชัย บอกให้เดินป่าไปเที่ยว ผากล้วยไม้.  แล้วให้เดินต่อทะลุ ต่อไปออกที่...   ๕ โมงเย็น เขาจะนำรถไปรับกลับบ้านพัก.

พวกเราเอา ข้าวเหนียวไกย่างเหมือนเดิม ติดไปด้วย  อย่างอื่นก็มี ผ้าขะม้า หมวก  ซิบโป้ อย่างเคย ของอื่นอยู่ในเป้ ไม่เอาไปด้วย..  
ระยะแรกที่เดินไป น้ำตกผากล้วยไม้ เลาะไปตามสายน้ำเหมือนเดิม  และนี่เป็นจุดหมาย การเดินทางทุกครั้งที่พวกเราเดินทางในป่า และเมื่อเกิดหลงป่า ..

ตอนที่พวกผมเที่ยวกัน นั้น เป็นช่วงก่อน ที่ไอ้ลายอาละวาด และตะปบ จนท. เสียชีวิต และถูกตามล่า เอาซากมา สตร็าฟ โชว์ตรงที่ทำการ นะครับ

พวกผมมุดป่ารก ข้ามต้นไม้หักขวาง ราว ๑ ชม.จนมาโผล่ที่น้ำตกผากล้วยไม้  มีกล้วยไม้ป่า เกาะตามซอกหิน ตามคบไม้ กระจายไปทั่ว สมชื่อน้ำตกผากล้วยไม้
เลยละครับ..  เล่นน้ำ นอนเล่น จนกะเวลา เผื่อเดินทางอีกสัก ๑ ชม. ให้ไปถึงก่อน เวลานัด
สัก ๑๕.๐๐ น. ก็ออกลัดเลาะไปในป่าในเส้นทางที่พอทราบว่า ต้องไปออกตรงจุดนัด .. ทางรกมาก ระหว่างทางพบฝูงกะบุต  คือลิงไม่มีหาง เป็นฝูงใหญ่
กระโดด ตามต้น ไม้ และเขย่า หลอกไล่ มนุษย์ที่หลงเข้ามา

มุดไม้รก โดยอาศัยทางด่าน ที่มีคนเดินมาก่อนหน้า จนคิดว่าจะผิดทางหรือไม่ จะเจองูใหญ่  จะเจอไอ้ลายเหลือง มาดักงาบไหม. แต่ก็ไม่มีใคร กล้าบ่น  
ตลอดการเดินมุดไม้ มุ่งไปข้างหน้า ดีอย่างหนึ่ง ไม่มีพวกเราคนใด ขอพัก  ชวนกลับหลังหัน.. สาเหตุเพราะ ทุกคนถูกคัดตัว
และเรียน รด. ขึ้น ปี ๒ มาด้วยมาแล้ว ละครับ และอีกหลายเหตุผล คือกลัวเสือ  กลัวจงอาง  แต่พวกเราก็ลุยไปในป่ารก ทึบ  มีมาตั้ง ๗  -  ๘  คน มีตัวเลือกตั้งเยอะ

ระยะทางพอทราบล่วงหน้าแล้วว่า ราว ๓.๕ กม  ที่รกมาก ๆ ๆ  แล้วเราก็มาโผล่ ยังจุดนัดเป็นสุดถนน ให้รถวนกลับ.. พวกเรา มาถึง ราว ๑๖.๓๐ น. และก็นอนรอ
๕ โมงเย็นผ่านไป ๕ โมงครึ่งก็แล้ว พวกเราไม่รอแล้วเพราะถ้ามืด ยุ่งแน่..  ถนนให้รถวิ่ง แต่พวกเราน่องโป่งกันแล้ว จะเป็นไรไป ถ้าพบรถระหว่างทางก็ดีไป

ถ้าไม่พบรถ  อย่างไร ถนน ก็ต้องพาเรากลับที่พัก ตรงที่ทำการอุทยาน ได้เหมือนกัน..
กึ่งเดิน กึ่งวิ่งกันอีกแล้ว  แต่ไม่นานก็พบ รถ จนท. ผ่านมา ไม่ต้องโบก  พี่เค้าก็จอด  และ อู้ พวกน้อง ทำไมมาเดินเล่นในเวลาจะมืด อย่างนี้  มา ๆ  ขึ้นรถกันเร็ว  
ไม่นานนักก็ถึงที่พัก  ระยะทางราว  ๒ กม.เศษ แต่เพราะเรา ไม่เคยทางมาก่อน  จึงออกอาการง่าว และงง อย่างที่ควรจะเป็นกัน

พวกเรา กลับเข้าที่พัก และผ่านห้องหนึ่ง ได้ยินเสียง เฮ โดน น็อค มืด..อีกแล้ว  ..  ก็พี่ชาย คนนั้น ติดเล่นรัมมี่ กลัวขาดขา และอีกอย่างอาจคิดว่า
 อย่างไร มันก็หาทางกลับ กันมาจนได้
และคืนนั้น เราได้กินแกงป่า กระจง   ที่ถูกรถชน   เนื้อนุ่ม อร่อยมาก   เป็นครั้งแรกที่พวกเรา  พบเจออะไร หลาย ๆ อย่างในครั้งแรกของชีวิต อีกครั้ง

อช.เขาใหญ่ เป็นที่ผมไปบ่อยที่สุด แต่ครั้งสุดท้ายก็ทิ้งช่วง มา๑๐ กว่าปีแล้ว   ละครับ
บ้านพัก ของ จนท.  ที่ยกพื้นสูง ข้างใต้ เป็นตะลิ่ง พื้นแฉะ  ตอนเช้า มองเห็นรอยกีบ ประเภท เก้ง กวาง  เปรอะไปหมด    Grin    

อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่  http://www.moohin.com/043/043a001.shtml

ปากช่อง - เขาใหญ่ - ภูกระดึง - ปากช่อง - อุดร - หนองบัวลำภู-ภูกระดึง[/color]
๒. ปากช่อง - ตีนภูกระดึง

การได้ขึ้นไป อุทยานแห่งชาติ เขาใหญ่  รับรู้ครั้งแรกตอนที่อบรมลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่  รร.สันติราษฎร์บำรุง ริมถนนศรีอยุธยา  ครั้ง มศ.๑
๔ ปี มาแล้ว ฝังใจกับความยิ่งใหญ่.. ได้ผ่านความฝัน กับตัวเองไปแล้ว  

รุ่งขึ้น ได้เวลาที่ รถ ๖ ล้อ จะต้องลงมาบรรทุกเสบียง ที่ตัวอำเภอ   พวกเรา มีหรือจะไปไม่ทันรถคันนี้ .
วันนั้น  ช่วงบ่ายขณะอยู่ที่บ้าน ศุภชัย พวกเราร้อนลน อยู่ไม่สุข กันเลย เวลามีเหลือ อีกตั้ง ๒ สัปดาห์  แล้วพวกเราคนหนึ่งก็เหลือบ ไปเห็นเนินเขาหลังตลาด ..

เราก็มีแต่กระติกน้ำทหาร  ย่ำเท้า เกือบ ๑๐ คู่  ไปปีนเนินเตี้ยลูกนั้น ซึ่งมีแต่หญ้าขน กับแดดจัด ๆ  พอไปถึงยอด ก็นั่งหันหลังให้พระอาทิตย์  ได้ แค่ประเดี๋ยวเดียว  
ต้องรีบลงไปหาเงาไม้ ที่ตีนเนินหลบแดดกัน ณ.ตอนนั้น  มีลมโชย นำความเย็นมาด้วย  เลยเอาหลังแนบดินไปอีก ๑ ตื่น

เมื่อก่อนจะย้ายที่กัน  ก็เริ่มจากตัวผมเอง.. พรุ่งนี้ เราโบกรถไป ภูกระดึงกันดีกว่า   ก็เป็นอันว่า ทุกคนคิดตรงกัน .. เป็นวัยรุ่น ชอบเที่ยวจะคิดอะไรกันมากมาย
แค่ขอให้มีที่ได้ไป ก็เท่านั้น ละ

เช้าวันพรุ่ง  ทุกอย่างที่แบกเป้ มาจาก พระนคร  ก็ห้อยติดหลังต่อ ไปยืนริมถนน เลือกทำเล ที่ออกห่างจากตลาด พอให้รถที่วิ่งมายังไม่ออกตัวดีทำความเร็วได้ ไม่มาก..  
ช่วยกันยกมือกันอีกรอบ  

เป็นเส้นทางสายยาวจาก ปากช่อง ถึงสี่แยกขอนแก่น เรา พวกเราได้นั่งรถ ๖ ล้อ หรือ ๑๐ ล้อ.. ๑ หรือ ๒ คันเท่านั้น ซึ่งทำเวลาได้ดีมาก   แต่จาก ขอนแก่น ไป ชุมแพ ..
ก็หลายทอดอยู่ เหมือนกัน  สักบ่าย ๓  เราก็มาถึงตีนภู พบและรับฟัง จนท.อุทยาน . อย่างดุษฏี ว่า ภูกระดึงยังไม่เปิด  ต้องวันที่ ๖ ตุลาไปแล้ว นะน้อง.. แต่ตอนนั้นมัน
วันที่  ๑ หรือ ๒ ตุลาคม นี่นา ..   สีหน้าผิดหวังแต่ละคน หันมองมาที่ผม ก็มึง นั่นแหละ ..   อ้าว กูผิดหรืองานนี้  คิก คิก

เรากลับ ไปตั้งหลักที่ ปากช่อง บ้านของช่อง  ด้วยรถโดยสาร  เลย  - พระนคร . ต่างควักสตางค์ จ่ายเอง ส่วนใครจะโบกรถกลับก็ตามใจ มัน  แต่กูเหนื่อยแล้ว

อยู่กันที่ ปากช่อง ก็หาที่ยึดแข้ง ยืดขา กางแขน  ไปเล่นน้ำที่ห้วยลำตะคอ ฝั่งตะวันออกของถนนมิตรภาพ เป็นห้วยที่ไหล จาก เขาใหญ่ แล้วลงไปสมทบ ที่เขื่อนตะคอง  
ที่ผันน้ำไปใช้ในตัวเมืองโคราช  (ตรงไหนคลาดเคลื่อนขออภัยด้วย นะครับ)

ทุกวัน..   ๒ - ๓ วันเราไปอยู่กันที่นั่น เล่นน้ำนอนเล่น จนถึงวันที่ ๔  ตุลาคม .. แต่ครั้งนี้ เริ่มมีเสียงบ่น จากไอ้เพื่อนบางคน จะไปปีน ภูกระดึง หรือจะไปเที่ยวพระนคร  
อ้าว  มีแบบนี้ ด้วย นะมึง . ยิ้มีเลศนัย


"ภูกระดึง"
http://www.moohin.com/049/049e002.shtml

Tape 49 ภูกระดึง 03_MPEG1_VCD_PAL.mpg



๓. ปากช่อง – ลำตะคอง –สี่แยกขอนแก่น - ภูกระดึง

การโบกรถเที่ยว ๒ ไม่ต่างจากเที่ยวแรก ๑ หรือ ๒ คัน แต่ พวกเรา โอ้เอ้ และรถก็ไม่ค่อยจอดรับ  มาถึงสี่แยกขอนแก่นก็ เริ่มมืดซะแล้ว  ณ.ที่ตรงนั้นเป็นหุบ
 มีต้นหญ้า  แต่เป็นที่แห้งไม่มีน้ำ เราปักเต้นท์ นอนกันกลางสี่แยกขอนแก่น  โดยอยู่ในที่ลุ่มต่ำจากถนน และมองแทบไม่เห็น ไฟสี่แยกก็ไม่มี ..

ผมมี หยี เป็นบัดดี้ นอนเต้นท์เดียวกัน ก่อนหลับ เราปรึกษากัน คราวนี้มากัน๑๐ กว่าคน บางคนเริ่มมีปัญหา จะชวนไปหาพี่ชายกึกก้อง ที่ผมนับถือและเป็นคนเดียว
ที่รู้จักกันมาก่อนที่อุดร คงไม่สะดวก นัก  และไม่อยากจุกจิก หยุมหยิม  ในแบบที่เพื่อน ๆ กำลัง ออกอาการอยู่  

ตกลงกันว่าพรุ่งนี้ ไปหา พี่ชายกึกก้อง ที่อุดร เป็นร้านอาหาร ไปกินสุกี้ เช้าที่นั่นดีกว่า ..  อยู่กับพวกนี้ชอบมีปัญหานัก ปล่อยให้จัดการไปตามพอใจไปเอง เราเผ่นดีกว่า

เช้าวันที่ ๖ ตุลา ผมกับหยี ตื่นแต่เช้าและเก็บ เต้นท์  เสร็จแล้ว เพื่อน บางคนเริ่มตื่นกันแล้ว ยังงง ว่าเราทำอะไรกัน
ผมได้บอกกับบางคนว่า ผมจะขอไปเยี่ยมพี่ชายกึกก้องที่อุดรฯ ก่อน ไปกันหมดไม่สะดวก   แล้วพบกันบนภูกระดึง  ตอนค่ำ แล้วกัน

จากจุดตรงนั้น  ผมโบกรถคันแรก เป็นเก๋งสีขาว ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็น เฟียต   พี่เขาจอดเลยไปนิดและถามจะไปไหนกัน   อ๋อ อุดร เหรอ  งั้นขึ้นมาเป็นเพื่อนพี่เลย  จ้า..    
พี่สาว ๒ คนนั่งมาด้วยกันข้างหน้า  คุนกัน เพลิน  และ หันมาสอบถามคุยกับเราบ้าง   พี่ทั้ง ๒ ใจดีมาก ครับ  แวะมาส่งถึงในตลอดสดอุดร ฯ หน้าร้าน เฮียเกี๋ยง พี่ชายของกึกก้อง  

เราได้ช่วยเสริฟอาหาร คือสุกี้-ยากี้ ซึ่งเป็นอาหาร ขึ้นชื่อของร้าน  และช่วยกันล้างชาม  พอกินอาหารเช้าเสร็จ ก็ลาเฮียเกี๋ยง  ตอนนั้น ใกล้เที่ยงแล้ว เราต้องเดินทางกันต่อ
ระยะทางก็ไกลมาก เวลาก็เหลือน้อย แล้ว

เรานั่งรถโดยสาร มาลง ที่นอก อำเภอ หนองบัวลำภู ซึ่งตอนนั้นยังไม่แยกเป็นจังหวัด  และเริ่มต้น โบกรถ แต่รถที่จะผ่านทางมีน้อยมาก ขนาด รถโดยสาร นาน ๆ
จะมีมาสักคัน..  อยู่ตรงนั้นสัก ๑ ชม. เกือบ บ่าย ๒   ก็มีผู้ชายคนหนึ่งมาบอก..  เสมียนให้มาเรียก  และเราเริ่มรู้สึกว่า เรามายืนอยู่ หน้าโรงงานรับซื้อปอ..  

พี่ผู้หญิง ที่ทำหน้าที่เสมียน พูดกับเราสองคนด้วยความเห็นใจ ว่า น้อง ๆ จะไปไหนกันเหรอ แถวนี้รถหายาก ไม่ค่อยจะมีใครยอมหยุดรับคนข้างทางกันหรอก  
เราก็บอกไปตรง ๆ ว่า หวังโบกรถ ไปให้ถึงภูกระดึง.      พี่ผู้หญิงท่านนั้น  หยิบเงินจากเก๊ะ  ส่งมาให้  ๒๐ บาท  เป็นค่ารถไปให้ถึง ภูกระดึง ..
เป็นครั้งแรกสำหรับผม ที่พบผู้ใหญ่ใจดี  มีเมตตา .. ขอบพระคุณ มากครับ พี่สาวใจดี   ไหว้    ไหว้    ไหว้

และบอกกับเราว่า รถโดยสารที่ผ่านหน้าโรงงาน จะไปตัวจังหวัดเลย  ต้องลงที่ อ.วังสะพุง แล้ว ต่อรถ  จากวังสะพุง ไปทางชุมแพ และ ก่อนถึง บ้านผานกเค้า
จะมีป้ายบอก ภูกระดึง หรือให้สังเกตุ ยอดภูซึ่งจะเห็นแต่ไกล..

ผมกับหยี เดินทางด้วย ความเมตตา และตามคำบอก ด้วยรถโดยสาร  แต่มาต่อ อีกที ที่ แยกวังสะพุง .. คนแน่นมาก เรา ต้องนั่งเบียด กับฝรั่ง ๒ คน  
เราคุยกันเองจนไม่รู้จะคุยอะไร  และนี่มัน บ่าย ๓ โมงกว่าแล้วน้า  .. จึงหันมาสนใจ ฝรั่งแปกเป้เหมือนกับเรา  

หยี หันไป ยิ้ม และพูดออกมาว่า Have you a Cigarette, gave me some. แล้วเราก็ได้มาคาบคนละหนึ่งมวน แต่ยังไม่จุดสูบ.  ต่อจากนั้น
ก็ทั้งพูดภาษาอังกิด (ไม่ใช่อังกฤษ) และภาษามือ..  และก็ชวน เขาทั้ง ๒ ให้ ตามไปปีนภูกระดึงกับเรา

Two men ลงรถ สะพายเป้หลัง ตามเรา และยังจุดบุหรี่ให้เราอีก.. ต่อ ๒ แถว ไปตีนภู.  ณ.จุดตรงนั้น ๑๖.๓๐ น. แล้วละครับ  ขณะนั้น ยังไม่เริ่มมีบริการลูกหาบ
เรา ๔ คน จึงเริ่มต้น สะพายเป้ ไต่ภูกระดึง และเป็นครั้งแรกสำหรับผม และกับอีก ๓ คน ณ.เวลา ๑๖.๓๐ น.  

เรากึ่งเดิน กึ่งวิ่ง กันอีกแล้ว แถมด้วยกึ่งไต่ขึ้นที่สูง แบบไม่หยุดพัก และด้วยแรงฮึด เพราะหากยิ่งมืดจะลำบากมาก.. และที่สุดก็ขึ้นถึงหลังแป เมื่อมืดแล้ว
และไปสุดทาง ที่จุด ลงทะเบียนขอเข้าพักบ้าน ของ อช.  เมื่อเวลา ๑๙.๓๐ น.   เราใช้เวลาหมดเปลืองไปแบบ คอแห้งผาก ๓ ชม. เศษเป็นนาที อีกเล็กน้อย   อ๋อย
อย่างน้อย ในสายตาของ หนุ่มฝรั่ง  . ก็เห็นวัยรุ่นไทย ที่อึดพอกันละว้า  คิก คิก

พอได้ที่พัก ก็ได้ยินเสียงปืน ๑ นัด.  และหลังจากนั้น ๑๐ กว่านาที  จนท. เรียก กลุ่มคนที่มาพัก ราว ๒๐๐ คน เข้าแถว  ถามหน้าแถว ว่าใครยิงปืน ..  
ทุกคนเงียบหมด  ถ้าได้ยินอีก  จะต้องมีผู้รับผิดชอบ หรือรับผิดชอบกันทั้งหมด   ..

มาทราบภายหลังว่า ๒๐๐ คน นั้น เป็นกลุ่มนักศึกษาอาชีวะ ที่ทางวิทยาลัย จัดเป็นกิจกรรมให้

ไม่นานนัก จนท. อช. แวะมาคุยด้วยเพราะเห็นเรามากับ ฝรั่งต่างชาติ ..  คุยอะไรจำไม่ได้แล้ว แต่เท่าที่จำได้ คือผม ถาม และได้คำตอบว่า
“รอยตีน เสือโครง จนท. เคยพบบนภูกระดึงเหมือนกัน แต่รอยสุดท้าย เมื่อ สัก ๔  ปีมาแล้ว และไม่พบอีกเลย”  ณ .  ตอนนั้น ตุลาคม ๒๕๑๗    Cheesy


ปากช่อง - เขาใหญ่ - ภูกระดึง - ปากช่อง - อุดร - หนองบัวลำภู-ภูกระดึง
๔. บน ภูกระดึง  

ราว ๖ โมงเช้า  ผมออกจากบ้านพัก ของ อช.  เดินอ้อมไปด้านหลัง  ก็มองเห็น เต็นท์สีเขียวหม่น ๆ  ๓ – ๔ หลัง
มีเพื่อนบางคน ตื่นมาก่อกองไฟเล็ก ๆ .. ไม่นานนัก เมื่อหลายคนในเต็นท์ได้ยืนเสียงพูดคุย ก็โผล่ มาทีละคน

ก่อนที่ ไอ้เพื่อนบางคนจะด่าผม .. ก็ถูกตัดบทด้วย ไปล้างหน้าอาบน้ำ ในบ้าน กันก่อน แล้ว ค่อยคุยกัน
อากาศตอนนั้น หนาว แต่ตอนนี้ จำความรู้สึกไม่ได้แล้ว ว่าขนาดไหน..

ครั้งนั้นการท่องเที่ยว ไกลๆ   จะถูกกำหนดด้วย อาหารการกิน ที่ต้องตระเตรียม ไปทำกินกันเอง  
แต่ตอนนั้นยังถือว่าโชคดีมากที่มีโรงงครัวของ อช.  เปิดโล่ง  ที่พวกเราพอไปอาศัย ซื้อของกิน ที่พอเหลือส่วนหนึ่ง
จากการจัดให้กับ นักศึกษาอาชีวะ ฯ..  

เช้าวันนั้น ผมกับหยี และเพื่อน ๆ มาทำความรู้จักเช็คแฮนด์ กับฝรั่ง ๒ คนและ solong ลาจากกันชั่วนิรันตร์ ผมก็ไม่ทราบว่าสัญชาติใด  และแยกย้ายกัน
แต่ กำหนด มาโนช ,หยี ฯลฯ ปากก็คาบบุหรี่ ฟรี มาคนละมวน.

หลังมื้อเช้า เราตกลงเดินไปตามทาง จากศูนย์พิทักษ์ป่าวังกวาง ที่เขียนบอก ด้านทิศตะวันตก.. น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกโผนพบ  น้ำตกเพ็ญพบใหม่
พวกเราเดินไปตามทางด่าน ตัดเข้าไปในดงไผ่..  เป็นทางยาว ลัดเลาะไป  
จนพบน้ำตกเพ็ญพบ -น้ำตกโผนพบ  แต่น้ำน้อย ยังไม่เห็นความสวยเลยครับ  จึงต่อไปในเส้นทางที่บอก น้ำตกเพ็ญพบใหม่ .  

เดินจนเมื่อย มาก ๆ และไกลพอสมควร   เมื่อไปถึงอยู่ข้างบนน้ำตก  ต้องไต่ลงไปข้างใต้    
น้ำมีไม่มาก  น้ำที่ฐานน้ำตก เป็นสีชา และไหลลงที่ต่ำ  .. เรานั่งพักแช่น้ำ ทั้งรองเท้า ..   ได้ไม่นานเท่าไร

พวกเราจำได้  หรือจะประมาณคาดเดากันเองว่า  น้ำจะต้องไหลผ่านไปจน ตกต่อที่น้ำตกโผนพบ.  
ขากลับ เราจึงไม่ย้อนทางเดิม  แต่เดินตามธารสีน้ำชา  บางตอนก็เป็นช่องแสง สะท้อน เป็นเงา กับแสงแดด
ธารน้ำ ไม่ได้ ล่องลงที่ต่ำ เป็นเส้นตรง ซะเมื่อไหร่..  การวก-วน จึงชักชวน ให้พวกเรา ที่ไม่รู้อะไรเลย หวังแต่จะเดิน
ก็ได้เดินลุยน้ำ สมใจ  เมื่อลงไปแล้วตลิ่ง มันอยู่สูง  จึงถูกบังคับ ให้กระโดด ไปตามโขดหิน และลุยน้ำชา ไปเรื่อย ๆ  ๆ   ๆ  

บ่ายวันนั้น เราถึงเต็นท์  และย้ายเต็นท์ไปในที่ร่ม ที่พอกันแดด ได้บ้าง  ตกลงว่า พรุ่งนี้ ตี ๕ เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่
ผานกแอ่น (ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แต่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ที่ดี ที่สุด )  แล้วก็ หมดแรง  เต็นท์ใครเต็นท์มัน

ราว ตี ๕ ครึ่ง เราใช้เวลาเดินมาราว ๔๕ นาที  มีนักท่องเที่ยวอยู่ที่นั่นก่อนเราไปถึง ๑๐ กว่าคน พอช่วง พระอาทิตย์กำลังขึ้น
จุดที่พวกเราเลือกว่าเหมาะที่สุด กลายเป็น มีคนมาตีตั๋วยืน บังเราไปซะฉิบ..

ขากลับเราไม่ตรงกลับ เต็นท์ แต่เลาะไปทางทิศใต้  ทางเดินเป็นทราย เป็นหินตะปุ่มตะป่ำ  
มีกุหลาบหินแซมมากับตะไคร่เขียว ..  และที่นี่เราพบ ต้นหม้อข้าว หม้อแกงลิง กับตา เป็นครั้งแรก  ก่อนหน้ามีแต่ในหนังสือเรียน

เราพบรอย เท้ากีบ ใหญ่ ๆ หลายรอย บน พื้นทรายแห้ง  แต่ไม่พบเจ้าของรอย  แต่มาทราบจากที่ไหน และจากใครก็จำไม่ได้แล้วว่า
เป็นวัว หรือควายของชาวบ้าน ที่นำขึ้นไปเลี้ยง  คงเป็นทางที่เป็นป่าปิด  ที่ใดสักแห่ง ที่สัตว์ป่าใช้อาศัยขึ้นลงจากภู

นักศึกษาอาชีวะ รุ่นพี่ ลงไปเมื่อตอนสาย  ครัวปิดแล้วละ นักเรียนทั้งหลาย  นี่คือคำบอกจาก พี่แม่ครัว.
กับ มื้อสุดท้าย ที่พี่แม่ครัว จะรับรองพวกเรา ก็จำต้องเป็นมื้อสุดท้าย บนภูฯ ของพวกเรา เหมือนกัน  
ถอนเต็นท์ ราว บ่ายโมง  สะพายเป้หลัง  เดินเล่นอ้อยสร้อย  ตรงไปหลังแป ที่อยู่สุดทิศตะวันออกของภูฯ
 
ภูกระดึง เป็นที่ที่สูงที่สุดสำหรับพวกเรา ที่มาประทับรอยเท้า แบบขาขวิดขา ร่วมกันเอาไว้ ..
เราทำลายสถิติ ในพื้นที่สูงของตัวเอง ๒ ครั้ง ในการออก Trip ในครั้งนี้

การลงจากภูกระดึง แม้เป็นทางลง แต่ทรมานแข้งขา - เท้า มาก  ๆ   ขาขึ้นอาจจะเหนื่อยเพราะปีน และแบกของ แต่ขาลง  
กึ่งเดินกึ่งวิ่ง เหมือนเดิม จึงมีแรงส่งไปเพิ่มน้ำหนักที่เท้า จะเจ็บที่ นิ้วเท้าอย่างมาก ..  
มาโนช สะดุดรากไม้ ร่างเขาพุ่งไปข้างหน้า ราว  ๗ -๘ เมตร  ยังดีที่ เป็นพื้นดินต่างระดับ ไม่ใช่ทางหิน  และเป้หลัง รับร่างเอาไว้

การลงจากที่สูง สวนกับเวลา เราจึงเดินเข้าหาความมืด ที่ต้องเร่งเวลา ไม่ให้มืดลงกลางทาง.. ซะก่อน
และเมื่อ ๑๘.๐๐ น. เศษ   เรามาอยู่พร้อมกัน ณ.ตีนภูฯ  ในอาคารหลังคาคลุม พื้นคอนกรีต แต่เปิดโล่งรับลมทุกด้าน ..
ถึงตอนนั้น ทุกคนทำได้เพียง พัก ทอดน่อง ให้หายปวดเมื่อย  และหาที่นอนก็บนพื้นคอนกรีต   ไม่มีไฟที่จะอาศัยแสง
เพื่อช่วยกางเต็นท์ และก็ไม่มีใครอยากจะกางเต็นท์   ก็เพราะ ฝนตกหนัก ไม่นานนักหลังจาก ที่มาถึง

ไม่มีอะไรจะตกถึงกระเพาะ นอกจากน้ำฝนที่รองได้จากหลังคา   ที่มืด ๆ ตรงนั้น  ต้องหมดแรงข้ามต้ม กันอีกครั้ง ..
และเป็นคืนที่หนาวที่สุด มากกว่าอยู่บนภูกระดึงซะอีก .. ยิ่งต้องมาห่มด้วยผ้าเต็นท์ที่เคยเป็นหลังคา เปื้อนฝุ่นดิน
เมือเจอ ละอองฝน + ลม    เราทำได้เพียงต้องทนห่ม เพื่ออาศัยบังลม-ละอองฝน และรอให้ถึงตอนเช้า  เร็ว ๆ เท่านั้น เอง ละครับ  Grin



http://www.youtube.com/watch?v=PM0ET04K5Fg&feature=related

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2011, 03:50:38 PM โดย Ro@d - รักในหลวง » บันทึกการเข้า

Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #219 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2011, 07:16:34 PM »


พระนคร - กุมภวาปี - ประตูชัย กำแพงนครเวียงจันทน์ - กุมภวาปี
การบอกเล่านี้ อาจมีเพื่อนในชั้นเรียนสักคน ผ่านมาพบ ก็ได้ครับ . Cheesy

ในชั้นเรียน มัธยมศึกษาปีที่ ๕ ห้อง ๕๐๑ สายวิทย์ และเป็นห้อง King  เป็นห้องเบอร์หนึ่ง ของ โรงเรียนวัด ประดู่ในทรงธรรม เมื่อ ๓๖ ปีก่อน  
พวกเรากำลังโต..  เลือกการท่องเที่ยว แทนการเที่ยวเล่น

ความรับผิดชอบ ในสังคมรอบตัว  กึกก้อง สมฯ ถูกกำหนดให้ลงเลือกตั้ง และได้รับเสียงโหวตให้เป็นประธานนักเรียน  
ธรรมศักดิ์ นาฯ  เป็นประธานชมรมสันทนาการ จัดพานักเรียนในโรงเรียน     ไปท่องเที่ยว ทัศนะศึกษา ในต่างจังหวัด    และหาเงินไว้ให้รุ่นน้อง ทำกิจกรรมต่อ
ส่วนตัวผม ได้รับการโหวตอย่างเอกฉันท์ ให้เป็นหัวหน้าห้อง ๕๐๑

สมัยเป็นเด็กวัยรุ่นกำลังโต  วันเวลาช่างผ่านไปอย่างชักช้า และเราก็ใช้เวลาที่ผ่านทำกิจกรรมร่วมกันได้อย่างคุ้มที่สุด นั่นคือการท่องเที่ยวไปตามใจ  กิจกรรมส่วนรวม
จะขึ้นกับ วันหยุดยาวตามเทศกาล

แต่เมื่อใด ที่เพื่อน คนใด มีแหล่งที่ให้ไปเที่ยว จะต้องมาสะกิด บอกกัน..  และงานนี้ เพื่อนที่ชื่อกำหนด บอก รถจะออก หน้าตลาดสำเหร่ วันศุกร์ ๔ ทุ่ม
ไปทอดผ้าป่า หรือกฐิน ที่อุดรราชธานี กลับวันอาทิตย์ มืด ๆ

รถไปถึงวัด ใน อำเภอกุมภวาปี ลึกเข้าไปราว ๗ กม  และผมจำป้ายงานวัด ปากทางเข้า  ไว้อย่างแม่นยำ ... หลังกินข้าวเที่ยง  รถบัส พาคณะผู้ใจบุญ ไปเที่ยวริมโขง
ที่ หนองคาย .. ตรงด่านท่าเสด็จ กึกก้อง เดชา และผม ๓ คน พอเสียตังค์ ก็รีบลงเรือข้าม ไปฝั่ง สปป.ลาว  ซึ่งเพิ่งจะสงบจากสงครามกลางเมื่อง สัก ๑ ปีมาแล้ว ..
และยังจำว่า คนขับบอกรถจะกลับวัด ๑๗.๓๐ น.

เรา ๓ คน ข้ามโขง และผ่านเข้าเหยียบพื้นดิน ของ กำแพงนครเวียงจันทน์ ราว ๑๖.๐๐ น...  เสื้อนักเรียนสีขาว  ปักหน้าอกซ้าย      ปท. (วัดประดู่ในทรงธรรม)  
และได้ใช้นอกประเทศ ที่ ชาวลาวมอง ว่า อ้อ เด็กพวกนี้ มาจาก ประเทศไทย .. ขึ้นจากเรื่อ ก็ต้องทำบันทึก และชำระค่าธรรมเนียมผ่านเข้าประเทศ..
และพวกเรา เลือกเลี้ยวขวา เดินตาม  คนข้างหน้าเราไปเรื่อย ๆ  

ผ่าน สถานทูตจีนประจำ นครเวียงจันทน์  ก็แวะก่อน เพื่อน  ถูกห้ามไม่ให้ถ่ายรูป เป็นอาคารไม้  เงียบ ๆ   แต่ในความรู้สึกสมัยนั้น ยิ่งใหญ่มาก เพราะถูกกล่าวขวัญถึง
การมีส่วนช่วยในการปฎิวัติ ในลาว เขมร และญวน ..สำหรับเรา ๓ คน จึงแค่การผ่านทางไปพบเท่านั้น แล้วก็เดินต่อไป ยังวัดพระแก้ว ที่ พระแก้วมรกต
เคยมาประดิษฐาน อยู่ด้านขวามือติดแม่น้ำโขง ตลอดทางเราผ่านแม่หญิงลาว ที่นุ่งผ้าถุง-เกล้าผม แต่งตัวสะอาด หน้าตาสะสวย แทบจะทุกคนที่หันมามอง แล้วยิ้มให้เรา  

ถนนที่ผ่านไป คือถนนที่รถใช้วิ่ง แต่ตอนนั้น ไม่เหมือนถนนลาดยางหรือ คอนกรีต  แต่เป็นถนนที่เสื่อมสภาพ เป็นหินกรวดลอย .. เราเดิน ผ่านต่อไป พอเลี้ยวซ้าย
เป็นถนนกว้าง ตรงไปข้างหน้าราว ๒-๓๐๐ เมตร คือ ประตูชัย อยู่ตรงกลางถนน เป็นเหมือนวงเวียนให้รถวิ่งวน  เหมือนประตูชัยที่ ปารีส แต่ย่อมกว่า และข้างบน
ทำเหมือนซุ้มหลังคาวัด เป็นช่อ ๆ . .   เรา ๓ คน ได้ถ่ายรูป มีประตูชัย เป็นพื้นหลังไว้ด้วย   ภาพนี้ กึกก้องเก็บไว้ ผมได้เห็นอีกเมื่อ ราว ๕ ปี มาแล้ว

ตรงหัวถนน เราผ่านตลาดแลง  .. มีผัก ปลา ขาย แบบตลาดในชนบท  แต่วายแล้ว    ..  ทางที่เราเดิน คือริมถนน ส่วนมากจะเป็นจักรยานถีบ ส่วนรถยนต์ มีไม่มากนัก

๑ ชั่วโมง ริมโขง ฝั่งนครเวียงจันทน์ ผ่านไปเร็วมาก  ได้ระยะเดิน เท่าที่เล่ามาครับ จำกัดด้วยเวลา จึงรีบต้องย้อนกลับ  ก็ต้องกึ่งเดิน กึ่งวิ่งกันอีกแล้ว

๑๗.๐๐ น.นิด ๆ  แต่คนที่รอผ่านด่าน ไม่นิดตามไปด้วย เสียเวลามาก + ความกระวนกระวายใจ   และเราก็ข้ามมาอีกฝั่ง ก่อนเวลานัด ๑๗.๓๐ น.  
แต่รถบัสที่เรานั่งมาอันตรธานไปแล้ว และรถบัสหลายคัน ที่จอดกำลังทยอยออกไป

ช่วงนั้นเป็นช่วง งานบุญทอดผ้าป่า หรือกฐิน (จำไม่ได้) โชคจึงเป็นของเราบ้าง ได้มายืนบนรถบัสคันหนึ่ง  และบอกพี่โชเฟอร์ จะอาศัยลง เมื่อ ถึงกุมภาวาปี
โดยเรา ๓ คนช่วยกันดูป้ายบอกทาง  และจะบอกขอให้รถจอดกันตรงนั้น เมื่อบอก คงจอดเลยมาก็คงไม่ไกลนัก

ตรงนี้ ถือเป็นการตัดสินใจ และต้องเชื่อมั่นตัวเอง จะผิดพลาดไม่ได้..รถบัส วิ่งไปในถนนที่มืดอาศัยแสงไฟหน้ารถ ส่องไปข้างหน้า เพื่อมองป้ายไฟ
และปั้มน้ำมันที่อยู่ใกล้กันเป็นจุดสังเกต  และเราก็ทำได้..

จากปากทางที่มืด มาก ๆ ๆ ระยะทาง ๗ กม. เมื่อเจอทางแยกเราต้องเดาทาง และทบทวนความจำ กันอย่างมืด ๆ  จะอาศัยดูรอยล้อรถ ก็มองไม่เห็น
ตลอดทาง เราเดินตัวเปล่า แบบ ตัวปลิว และไม่มีรถวิ่งผ่านเลยสักคัน จนจะถึงทางเข้าวัดนั่นละ จึงเห็นแสงไฟ รถวิ่งตามหลัง    คิก คิก

พ่อแก่ แม่แก่ ที่มาร่วมงานบุญ สำเนียงฟังยาก ยากกว่าพูดคุย กับแม่หญิงลาว ซึ่งคุยและฟังได้ง่ายกว่า  แม่แก่ ทำหมอนหนุน สี่เหลี่ยม และสามเหลี่ยม
ยัดนุ่น มาฝาก คนใจบุญ ที่มาจาก พระนคร  แต่ เรา ๓ คน ก็ไม่มีโชค เพราะของทำมาน้อย และก็เหมาะกับคนรุ่นป้า ๆ  ที่มาด้วย     Grin


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 19, 2011, 11:10:42 PM โดย Ro@d - รักในหลวง » บันทึกการเข้า

Yoshiki_Silencer - รักในหลวง
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 278
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 597


ลูกศิษย์ครูหมู (ด้วยอีกคน)


« ตอบ #220 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2011, 11:19:25 PM »

          + ให้เรียบร้อยแล้วครับ  มาปูเสื่อรอฟังด้วยอีกคน  Cheesy

           ฟังพี่ Ro@d เล่าแล้วเหมือนได้นั่งฟังเรื่องเล่าประสบการณ์ชีวิตจากคุณลุง  คิก คิก หรือคุณ

อาซึ่งย่นย่อประสบการณ์ชีวิตของตนเองหลายสิบปีให้น้อง ๆ ได้ศึกษาผ่านตัวหนังสือโดยไม่ต้อง

ไปหัวหกก้นขวิดหกคะเมนตีลังกาด้วยตัวเอง  

          ตัวผมเองปกติก็เป็นคนที่ชอบเดินป่าแต่ติดตรงที่คนข้าง ๆ ไม่ชอบด้วย  ได้อ่านเรื่องของพี่

Ro@d แล้วเลือดนักเดินป่าในตัวมันเริ่มอุ่น ๆ ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง  คิก คิก  

          ปีหน้ามีโครงการว่าจะถอยฮอนด้า CR-V  สงสัยคงต้องเปลี่ยนมาเป็นโตโยต้า Pre Runner  

แล้วมั้งครับ  ขำก๊าก  
บันทึกการเข้า

ไม่ว่าจะเกลียดขี้หน้าใครขนาดไหน... แต่ตราบใดที่เขายังถูกต้องตามหลักการ ก็จะต้องปกป้องเขา เพราะสิ่งที่ปกป้องมันมากกว่า บุคคล แต่มันคือหลักการที่จะทำให้ระบบดำเนินต่อไปได้
สหายอ๋อง เซียนปลาซิว
จริงใจ บริสุทธ์ใจ แล้วจะแคล้วคลาด จากภัยทั้งปวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 657
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9377


คบหมาเป็นเพื่อน ดีกว่าคบเพื่อนหมาๆ


« ตอบ #221 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2011, 09:40:29 AM »

ปกติ  ชีวิตเด็กวัดสระเกศ  แม้จะออกจากวัดมาอยู่ข้างนอกแล้วก็ตาม  แต่ต้องหาโอกาศไปเยี่ยมเยียนพี่น้อง  และหลวงพี่ที่วัด  อย่างน้อยเดือนละครั้ง  ผมอยู่วัดสระเกศ (ภูเขาทอง)  คณะ 3
ปลายปี  42  วันนั้นคิดถึงเพื่อนที่วัดก็เข้าไปหา  ไปนั่งแอบแดร๊กเหล้าหลังคณะ  มีท่านมหาอยู่รูปนึง  ผมเรียกท่านว่า  มหาอ้วน ชวนไปธุระที่  วัดคลองฟันปลา  อ.ประจันตคาม  จ.ปราจีณบุรี  เอาไปก็ไป  รถไม่มีไปรถไฟ  ลงจากรถไฟ  ไปต่อสองแถว  ไปลงปากทางเข้าวัด  เดินเท้าต่อกันกับท่านมหา  อีก  เกือบ  สอง  กิโล  ไปถึงวัดเกือบ  4  โมงเย็น  ท่านมหาคุยธุระกะเจ้าอาวาส  ส่วนผมนั่งคุยกะผู้ใหญ่บ้าน  จน 5 โมงกว่า  สำรวจเสบียง  บุหรี่หมด  เลยต้องเดินย้อนกลับมาปากทาง  กะ  หลานผู้ใหญ่บ้าน  ได้หงส์มา 3  กลม  บุหรี่มา 3  ซอง  ถั่วเจดีย์    1  โหล  ข้าวสาร  สองกิโล  ฯลฯ  ชนิดแทบจะเหมาร้านเลย  ขากลับ  โชคดี  มีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านท่านขับรถผ่านมา  เลยอาศัยรถแกกกลับวัด   
เอาของเก็บ แล้วหุงข้าว  ผูใหญ่บอก  ไม่ต้องทำกับข้าว  เดี๋ยวไปปักเบ็ดกัน  เดินข้ามฝายน้ำล้นไปปักกันตรงข้ามวัดนั่นแหละ    ระหว่างนั่งรอ  ก็โจ้น้องหงส์  กันไปเรื่อย  หมดไปกลมครึ่ง  ได้ทั้งไอ้ช่อน  ทั้งชะโด  เยอะโขอยู่  กลับมาถึงวัด  2  ทุ่ม  ผมแกงส้มปักษ์ไต้ให้ผู้ใหญ่กับพักพวกแกลองกิน  ไอ้จักรกลายเป็นเชป  ใหญ่เลย  ขมิ้นก็ขุดเอาของที่ท่านเจ้าอาวาส  ท่านปลูกไว้เป็นสมุนไพร  ส่วนชะโด  ผู่ใหญ่แก  ย่างแล้วทำน้ำจิ้มสูตรของแก  อร่อยมากๆ
ตกลงคืนนั้น  หมดหงษ์  ต่อเหล้าต้ม  นอนตีหนึ่ง  อ้อเกิอบลืมปูเสื่อ  นั่งโจ้กันริมคลอง  ข้างวัด  บรรยากาศ  สุดยอดเลย
ตอนเช้า  ไปกู้ข่ายดักปลากัน  ได้เยอะ  9  โมงเดินทางกลับโดยผู้ช่วยฯท่านขับรถมาส่งที่ สถานีรถไฟ  ผู้ใหญ่ฯแกให้  ปลาแดดเดียวมาเกือบ  10  กิโล   
ความประทับใจคือเพิ่งรู้จักกันครั้งแรก  แต่การต้อนรับ  เยี่ยมมากๆ  กะว่ามีโอกาสจะไปหาแกอีกสักครั้ง
บันทึกการเข้า
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #222 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2011, 11:43:18 AM »

+ แต้มที่ ๒๔๐ ครับ คุณ Yoshiki_Silencer - รักในหลวง  Cheesy

+ แต้มที่ ๒๐๐ ให้แล้วครับ สหายอ๋อง พรานปลาซิว  Cheesy
บันทึกการเข้า

สหายอ๋อง เซียนปลาซิว
จริงใจ บริสุทธ์ใจ แล้วจะแคล้วคลาด จากภัยทั้งปวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 657
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9377


คบหมาเป็นเพื่อน ดีกว่าคบเพื่อนหมาๆ


« ตอบ #223 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2011, 11:53:36 AM »

ทอนคืนแล้วครับ   ไหว้ ไหว้ ไหว้ ไหว้

ช่วงที่ไป  หนาวมากครับ  ขนาดมีสุรา  ช่วย  ยังไม่หายหนาว  และ  ไม่รู้สึกเมา  กลับมาถึงวัด  ไปเหมารถ  ไปขายรองเท้าที่งานฤดูหนาวลพบุรี  เสร็จงาน  กลับถึงบางกอก  ไปเชียงราย  ไปหาแม่ไอ้เจี๊ยบที่ตอนนั้นเป็นครูอาสาที่  สลองใน  ได้กินน้องหมาที่นั่นเป็นครั้งแรก  และ  ครั้งสุดท้าย  ((  ไม่กินอีกแล้วตรู  โดนเขาหลอกให้กิน  ))   หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2011, 12:02:31 PM โดย สหายอ๋อง พรานปลาซิว » บันทึกการเข้า
kensiro
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #224 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2011, 07:26:29 PM »

ตอนนี้ได้แต่นอนฝันว่า  ทำโครงการฯให้เด็กๆในหมู่บ้านเสร็จ  ก็จะไปตามฝันตัวเอง ซัก  2-3  เดือน  แบบไม่แวะรบกวน  สมช.

หรืออาจจะไปเร่ขายเกิบ  ตามงานประจำปีจังหวัด  แล้วค่อยแว๊บไปเยี่ยมเยียน  ที่ที่เคยไปผูกเปลนอน   ฝันอันสูงสุด

โน๊ตบุ๊ค 1 เครื่อง  เป้หนึ่งใบ  +  เปล สนามอีกหนึ่ง  ทุก  อย่างพร้อมแล้ว

ผม ก็เหมือนกันพี่ หมดนี่เมื่อไร ขอเวลา เป็นส่วนตัว สักเดือน ทำลายสถิติ การ เดือนเขา ตัวเอง ห่างเหิน มา เกือบ 10 ปี ตั้งแต่ แต่งงาน

แม่คุณ ไม่ให้ผมไปใหนชวนไปก็ไม่ แม้แต่ออกกำลัง เขา ยังไม่ออก เลย มะเหมือนผม บ้า กีฬา ออกกำลังกาย ผมว่ามันป่วยยากนะ เมื่อวาน

รู้สึกว่าตัวเอง จะเป็นไข้  จับไข้เลย ก็ว่า พอฝันตก มอเตอร์ ออกไปตากฝนสะ 30 กว่า เสื้อกล้ามตัวเดียว แทนที่ไข้จะหนัก มันกับหายไข้

55555 เมื่อเราออกกำลังกาย ให้ร่้างกาย อยู่ตัว หรือเกิน ขีดความสามารถของร่างกายปกติ มันดีอย่างนี้นี่เอง
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 12 13 14 [15] 16 17 18 ... 68
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.127 วินาที กับ 18 คำสั่ง