ผมทิ้งเวลา อยู่ที่ อช.ดอยขุนตาน รวมเวลา ๓ วัน จนช่วงก่อนเที่ยง วันที่ ๑๓ มกรา '๕๐
ขาลง แวะไป ที่ สถานีรถไฟถ้ำขุนตาล ที่เงียบเหงา เหมือนเดิม .. ได้ไก่ย่าง แห้ง ๆ มา ๑ ไม้ กับข้าวเหนียว อีกนิดนึง
ไว้เป็นเพื่อนในรถ เผื่อหิวระหว่างทาง.. ขาลงถึงพื้นราบ ผมไม่ไปทางซ้ายเพื่อเข้าเส้น ๑๑ แต่เลี้ยวขวา
ไปตาม ป้ายบอกทาง อช.ห้วยไคร้ ซึ่งไม่ไกลนัก
ที่ห้วยไคร้ ปลูกต้นมะฮอกกานี่ อยู่หลายต้น ลำต้นเหมือนกระถินณรงค์ แต่สีที่ลำต้น เหมือนมีคนมาระบายสีให้ เขียว แดง น้ำตาล
และเปลือกเหมือนจะปริ ออก
ที่นี่ เป็น อ่างเก็บน้ำไม่ใหญ่นัก น้ำใสและกำลังล้นทำนบ มีนักตกปลากำลังขมักขเม้น อยู่หลายสิบคน ด้วยเบ็ด ชิงหลิว
เป็นไม้ไผ่ผูกเอ็น-เบ็ดเกี่ยวเหยื่อ ตกปลา ตัวเล็กๆ เหมือนปลากด แต่ถ้าคนกรุงเทพฯ อย่างผม
จะเรียกว่า ปลาแขยง ที่ชอบมาตอดแข้งขา เวลาเล่นน้ำในคลอง.
ออกจาก ห้วยไคร้ ผมขับลึกไปในเส้นทางที่ไม่เคยผ่านมาก่อน.. ๒ ข้างทาง มีบ้านคนไม่มากนัก มีแต่ ไม้ล้มลุก แผ่กิ่งล้ำผิวถนน..
ขับไปเรื่อยเปื่อย และนานมาก แล้วก็มาโผล่ ยัง.. อ.สันกำแพง บ้านเกิด ของ อดีต นายกทักษิณ .. นาย ๒๓
และตลอดการท่องเหนือมาหลายวัน Jeep ก็ออกอาการ ถึงตอนนี้ผมจำไม่ได้แล้ว ว่าป่วยด้วยโรคอะไร .. เพราะนับจากนี้ ผมอยู่ในเมืองเชียงใหม่
พักโรงแรมเดิม กิจวัตร ๐๖.๐๐ น. เศษ ก็วิ่งต้านลม แข่งกับแสงแดด ที่มาไล่ ในสนาม ๗๐๐ ปี.. ทุกวัน แต่มีบางวันที่ผิดจากที่แล้วมา
ขณะเดินทอดน่อง Cool Down อีกราว ๑๐๐ เมตร ก็จะถึงรถ แต่ใจสั่งให้ ๒ ขา พาลงทางซ้ายมือห่างจากถนนมาราว ๕ -๖ เมตร
เลาะอ่างเก็บน้ำ ในสนามฯ สายตา ก็ไปจับตรงท่อระบายน้ำ เกิดอยากจะดูว่าท่อมีน้ำหริอเปล่า จึงชะโงกหน้า และก้มลงไป..
เห็น งูปี่แก้ว คาตา และยังไม่ตายด้วยอีก เป็นงูน้ำกินปลาชนิดหนึ่ง คอติดข่ายเหล็ก ที่ใช้กันวัสดุไม่ให้ตกลงไปในอ่างน้ำ บิดตัวหมดแรง
เหล็กเส้นเล็ก ๆ ที่หัก ทิ่มตรงคอ..
พอเห็นผมก็ผละ รีบวิ่งไปที่รถเลยครับ.. ไม่ใช่อะไรหรอก .ก็ไปค้น Victorinox แบบติดรถ ๓๐ ชิ้น.. เล่มนี้ ผมซื้อมาจาก Swiss เมื่อปี '๓๘
งูพยายามรอดข่ายไปได้ แต่คงติดท้องจึงถอยกลับ จึงกลายเป็นการย้อนเกร็ด ถูกเส้นลวดที่ขาด เสียบเหลือคอสัก ๔ นิ้ว ห้อยอยู่อย่างนั้น
ผมค่อย ๆ ใช้คีมตัดขยายช่อง แต่ก็ต้องระวังไม่ให้มันกัดเอาได้ แต่ขณะที่จะจับหัว อีกมือก็จับมีด.. ผมเห็นหัวงู มันแว้ง เห็นฟันแหลมสีน้ำนมใส
แต่คมกริบ ประมาณมีดโกนเลย ครับ เพียงแค่สะกิด หัวนิ่้วโป้ง เลือดก็ฉีดพุ่งสวนทันที..
แต่ก็เป็นจังหวะให้ผมจับหัวได้ถนัดขึ้น นิ้วก็เปียกเลือดตัวเอง ลื่นด้วยอีก.. แต่ก็ตัดเส้นลวดเปิดทางจน ดึง ปี่แก้ว โชคดีตัวนี้ รอดข่ายไปได้ทั้งตัว..
จับโยนทิ้งไปใน อ่างเก็บน้ำ ขณะที่ตัวยังไม่จม คงเพราะกินอากาศไปเยอะ สัก เกือบ ๑๐ วิ ก็มุดน้ำ หายไป.
ผมได้แต่บีบเลือดให้ไหลเพื่อไล่สิ่งแปลกปลอมออกไป แล้วล้างน้ำสะอาด กดทับปากแผล ไม่นานเลือดก็แห้ง.. ไม่กังวลเรื่องบาดทะยัก
เพราะฉีดกระตุ้นทุกระยะ มาเกือบ ๒๐ ปีแล้วครับ แต่ดีใจที่ได้ช่วย ชีวิตงู เพื่อให้กลับสู่ธรรมชาติ ไปใช้ชีวิตตามครรลองของเขา.
งูเป็นสัตว์ที่มีชีวิตอาภัพ ทั้งที่ใช้ชีวิตอยู่ในวงจร เพื่อกำจัด สัตว์ที่อาจเป็นภัยแก่มนุษย์ พวกหนู แมลงสาป ฯลฯ ..
แต่เมื่อมาประสานสายตา กับมนุษย์ทีไร เป็นตายทุกที
ผมมีส่วนช่วยงู มาหลายตัวแล้ว ตกลงอ่างในห้องน้ำ ต้องใช้ไม้ หลอกล่อ เพื่อจับหาง แล้วช่วยให้รอด .. เคยขวาง สามล้อถีบ
ที่กำลังฟาดด้วยไม้ หมายหัวงูเขียวหางไม้ แต่ผิดหมด จนผมไปเห็นเข้า จึงใช้เท้าเขี่ย ให้หนีลงท่อระบายน้ำไป
......................... ............... .
มหานครเชียงใหม่.. ช่วงบ่าย ถ้าไม่ติดนัด ก็จะไปแขวนเปล นอนอ่านหนังสือ ณ.ห้วยตึงเฒ่า กลางคืน ก็ไป นั่ง Drink กับเพื่อน ๒ คน
และแยกย้ายกันตอน ๕ ทุ่ม เป็นอย่างนี้ ตลอดช่วงที่เหลือเวลาอยู่.. ช่วงบ่ายวันหนึ่ง ยังได้โทรคุย กับคุณโทน ๗๓ . เพราะไม่ได้เข้าเว็บ หลายวัน
ส่วน Jeep ได้นำเข้าศูนย์ซ่อม ในกลุ่มของ Jeep เชียงใหม่ ใกล้กับวัดพระสิงห์ แก้ไขอาการป่วย และเพิ่มชุดรีเลย์ไฟหน้า ให้สว่างขึ้น
และตอนนี้ก็ล่วงเข้า ๑๙ มกรา'๕๐ ผมเหลือเงินติดตัวอยู่ไม่ถึง หมื่นบาท.. จะซ่าร์ ซื้อเวลาเที่ยวต่ออีก ไม่ไหวแล้ว ครับ.
เช้าวันที่ ๒๐ มกรา'๕๐ จึงถึงเวลาผละจาก มหานครเชียงใหม่ ล่องใต้ กลับสู่ที่เดิม.. กรุงเทพมหานคร
โดยมีเพื่อนสาว ผัดข้าวผัดกุ้งให้ ๑ กล่องใหญ่ และ โทรมาเป็นเพื่อน ส่งเป็นช่วง ๆ . ถึงไหนแล้ว ขับรถดี ๆ นะ ..
๒๓ วัน ก็หมดไปตามใจกับ "วิถี ๑ คัน ๑ กระบอก กับ ๑ ชีวิตที่อิสระ" ผมได้เปิดเทป "เล่าสู่กันฟัง" 'เบิร์ด ธงชัย. ฟังเป็นเพื่อนระหว่างล่องใต้ อินดี ครับ