ถ้ารู้ว่าน้ำมีโอกาสท่วม ย้ายรถหนีก่อนดีกว่าครับ เพราะไม่ต้องมาเสียเงินเสียเวลาซ่อม
หลังน้ำลดจะได้มีรถใช้เลย เพราะรถจมน้ำซ่อมหลายตังค์ แล้วไม่ค่อยเหมือนเดิมครับ เสียเวลานานด้วย
ถ้าย้ายทันเอาไปฝากไว้บ้านคนรู้จักที่น้ำท่วมไม่ถึงดีกว่าครับ
ครับ อันนี้กรณีที่หนีทัน ครับ แต่มีบางที่หนีไม่ทันเพราะโดนล้อมกรอบ
ถ้าหนีไม่ทันถอดแบตออก (ยกขึ้นไปใช้เป็นไฟสำรองได้ แล้วซื้อหลอดแบบใช้กับแบตมาเตรียมไว้ด้วย)
ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์ออโต้ออก เอาถุงพลาสติกหนาๆ ปิดแล้วรัดด้วยหนังยางแน่นๆ ท่อร่วมไอดีก็ท่อที่เป็นท่อยางออก
แล้วรัดให้แน่นเช่นกัน เมื่อน้ำลด อย่าเพิ่งทำให้เครื่องหมุน
เช็คน้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์ว่ามีน้ำเข้าไปปนหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็โชคดีไป แล้วถอดหัวเทียน หรือหัวฉีด (ในเครื่องยนต์ดีเซล)
แล้วใช้ประแจหมุนที่พูเล่หน้าเครื่อง ดูว่าน้ำเข้าเครื่องหรือไม่ อย่าติดเครื่องเด็ดขาด ถ้าไม่เข้าก็ดีไปเป็นสัญญาณว่าซ่อมน้อย
จากนั้นลากหรือยกอย่างเดียวไปที่อู่หรือศูนย์ เพื่อรื้อทำความสะอาดครั้งยิ่งใหญ่ครับ กรณีที่ถอดแบตเตอรี่ออก
จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการลัดวงจร ซึ่งระบบไฟฟ้าโดยเฉพาะ ECU ซ่อมแพง ระบบไฟฟ้า, คอลโซล ต้องรื้อทำความสะอาดทั้งหมด
พวกแผงวงจรไฟฟ้า, ขั้วต่อ ฯลฯ ต้องล้างทำความสะอาด ภายในต้องรื้อล้างพรม, เบาะ ของเหลวต่างๆ ต้องถ่ายทิ้ง ค่าทำความสะอาดทั้งคัน
รวมเปลี่ยนถ่ายของเหลวก็น่าจะอยู่ราวสองถึงสามหมื่นบาท ถ้าถอดแบตไม่ทันระบบไฟฟ้าลัดวงจร มีความเสียหายเยอะก็แล้วแต่ราคาอะไหล่
รวมๆ แล้วก็หลักหมื่นปลายๆ ถึงหลักแสนครับ ไม่นับรวมทำสี
ตอนปากช่องท่วมคนรู้จักไปเหมาะรถแอคคอร์ดกับคัมรี่อายุปีถึงสองปีมาหลายคัน เฉลี่ยคันละ 7 แสน
ลงทุนฟอกย้อมอย่างดี เปลี่ยนอะไหล่ใหม่ที่จำเป็น ตกคันละประมาณ 1.5-2.5 แสนครับ ทำคันนึงสองอาทิตย์ได้กำไรคันละ 1-2 แสน
แต่คนซื้อรถมือสองก็เศร้าไปเพราะดูยากมากถ้าทำเนียนๆ ครับ
ถ้าประเมินสถานะการณ์ได้ว่าเสี่ยงหรือไม่แน่ใจ ย้ายรถก่อนสัก 2-3 วัน ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นก็โชคดีไม่เสียเงินครับ