๑๑๑๑ ตกลงขับรถทางไกล เปิดหรือปิดแอร์จะประหยัดน้ำมันกว่ากัน ๑๑๑๑

[ดร.ธนาสิทธิ์]

เรื่องนี้ ฟังดูไม่น่าต้องคิดมาก แต่.....ขอฟังความเห็นสมาชิกก่อนนะครับ

[ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ]

ปิดแอร์เปิดกระจกขับ ผมว่าประหยัดกว่านะครับ

[-M-O-N-G-]

หากวิ่งไม่เร็วมาก  วิ่งประมาณ 90- 100 กม. ต่อชั่วโมง ผมว่า คงไม่สิ้นเปลืองกว่าเปิดกระจกวิ่งเท่าไรครับ  รถบางคันตั้งรอบไว้สูงเกินในช่วงที่คอมแอร์ทำงาน เพื่อชดเชยรอบเครื่อง ไม่ให้กำลังรถตก..ตรงนี้ก็อาจมีส่วนด้วยมั้งครับที่เปลืองน้ำมัน

[JUNGLE]

ถ้าขับรถไม่เปิดแอร์ ก็ไม่รู้จะติดแอร์ทำไมให้เสียเงินนะครับ

[indojeen@รักในหลวง]

เรื่องนี้ ฟังดูไม่น่าต้องคิดมาก แต่.....ขอฟังความเห็นสมาชิกก่อนนะครับ

น่าคิด  ครับ    

ท่านดอกเตอร์     

[lek]

ปิดกระจกปิดแอร์ประหยัดกว่า   เปิดกระจกปิดแอร์นะผมว่าเพราะมันต้านลม  ถ้าชอบเซฟเงินก็ติดแก๊สแต่เครื่องยนต์ก็สึกหรอเร็ว   คนเราพยายามคิดหาความได้เปรียบเชิงกล  มาจนไม่รู้จะคิดอะไรได้อีก

[Tืa์M๊ ┇รัnใuxaวJ]

ปิดกระจกปิดแอร์ประหยัดกว่า   เปิดกระจกปิดแอร์นะผมว่าเพราะมันต้านลม  ถ้าชอบเซฟเงินก็ติดแก๊สแต่เครื่องยนต์ก็สึกหรอเร็ว   คนเราพยายามคิดหาความได้เปรียบเชิงกล  มาจนไม่รู้จะคิดอะไรได้อีก

ถ้าปิดกระจกหมด เกรงว่าจะหายใจไม่ออกแน่เลยครับ 

[อนัตตา]

ไม่น่าจะมีผลสิ้นเปลืองอะไรมากมายครับ เปิดกระจกต้านลม ร้อน เครียด น่าเบื่อครับ

[STeelShoTS]

 มันสมองระดับ ดร. ไม่น่าขอความเห็นปัญหานี้หรอก.... ถ้าโง่เท่าพวกผมก็เปิดแอร์วิ่งเย็นสบายแน่นอน...

 ...ถ้าฉลาดกว่าก็ปิดแอร์วิ่ง ประหยัดพลังงานช่วยชาติ หรือจะให้ดูดีกว่านั้น ไม่ต้องติดแอร์เพราะต้องเติมน้ำยาแอร์ที่มีส่วนผสมของฟรีออนทำลายโอโซนโลก...นอกจากจะดูฉลาดล้ำแล้วยังดูดีฐานรักษาสิ่งแวดล้อมโลก......

[chatphisit]

  ผมขับทางไกลปิดแอร์ประจำครับ ชอบธรรมชาติ ช่วยลดโลกร้อนได้นิดหน่อย
      รถเล็ก ๆ อย่าง Jazz GE ได้ระยะเพิ่มราว 10% ครับ 

[Bird]

อยู่ที่อากาศพลศาสตร์ของตัวรถ ตำแหน่งกระจก และความเร็ว ณ.ขณะนั้นครับ

รถคันหนึ่งต่อให้เปิดกระจก ลมก็ไม่ค่อยเข้า ลมตีเข้าตัวรถน้อยก็มีแรงต้านน้อย  อัตราการกินน้ำมันก็จะไม่ต่างกันมาก .. รถอีกคันวิ่งความเร็วเท่ากัน ลมตีเข้าจนของปลิว ก็ต้านลมมาก ... เป็นผลมาจากการออกแบบรูปทรงของรถ

และรถแต่ละรูปทรง(ขณะเปิดกระจก) ก็ได้รับอิทธิพลจากลมต้านต่างกัน ที่ความเร็วต่างกัน ..
บางคันออกแบบอากาศพลศาสตร์มาดีอากาศลื่นไหลเลียดตัวถังได้มาก พอเปิดกระจกลมเลยเลี้ยวตีเข้าตัวรถเยอะ ก็ต้านลมมาก .. แต่บางทีถ้าความเร็วสูงถึงจุดหนึ่ง ลมจะตีเข้าในตัวรถไม่ทัน กลับมีแรงต้านภายในลดลง
บางคันมีรูปทรงต้านลมอยู่แล้ว พอขับเร็ว ลมถูกตีกระเจิงออกข้างตัวรถไปหมด เลยเข้ารถน้อย กลายเป็นมีแรงต้านภายในน้อย แต่แรงต้านภายนอกมหาศาล

[รักปืน-รักในหลวง]

ประหยัดขึ้นครับ  แต่น้อยมากๆ แทบจะไม่เห็นความแตกต่าง  เช่นขับไป กทม เชียงใหม่  วิ่งความเร็วที่  100  กม  คงที่ ค่าน้ำมัน 2,000  บาท
ปิดแอร์ วิ่ง  ก็น่าจะราวๆ  1,930  บาท  ต่างกันนิดเดียว  แต่คนนั่งไปด้วยอึดอัด  เสียตังค์ค่าน้ำ ค่างุดงิด มากกว่านี้อีกครับ  เปิดไปเถอะครับ

อย่างว่าบ้านเราส่วนใหญ่คนบ้านเรารวยพอกระเทินกันเยอะนะครับ  เวลาน้ำมันขึ้น  50 สตางค์ มีผลตีห้า รถเบนส์ มาเข้าคิวเติมน้ำมัน
มันน่าไหมล่ะครับ  เติมเติมถังมันจะประหยัดกี่ตังกันเชียว   แล้วรถเบนส์ติดแก๊สอีก  คิดได้ยังไง  มีตังซื้อรถคนนึงหลายล้านบาท

แต่มากลัวน้ำมันไม่กี่บาท 

[Bird]

อยู่ที่อากาศพลศาสตร์ของตัวรถ ตำแหน่งกระจก และความเร็ว ณ.ขณะนั้นครับ

รถคันหนึ่งต่อให้เปิดกระจก ลมก็ไม่ค่อยเข้า ลมตีเข้าตัวรถน้อยก็มีแรงต้านน้อย  อัตราการกินน้ำมันก็จะไม่ต่างกันมาก .. รถอีกคันวิ่งความเร็วเท่ากัน ลมตีเข้าจนของปลิว ก็ต้านลมมาก ... เป็นผลมาจากการออกแบบรูปทรงของรถ

และรถแต่ละรูปทรง(ขณะเปิดกระจก) ก็ได้รับอิทธิพลจากลมต้านต่างกัน ที่ความเร็วต่างกัน ..
บางคันออกแบบอากาศพลศาสตร์มาดีอากาศลื่นไหลเลียดตัวถังได้มาก พอเปิดกระจกลมเลยเลี้ยวตีเข้าตัวรถเยอะ ก็ต้านลมมาก .. แต่บางทีถ้าความเร็วสูงถึงจุดหนึ่ง ลมจะตีเข้าในตัวรถไม่ทัน กลับมีแรงต้านภายในลดลง
บางคันมีรูปทรงต้านลมอยู่แล้ว พอขับเร็ว ลมถูกตีกระเจิงออกข้างตัวรถไปหมด เลยเข้ารถน้อย กลายเป็นมีแรงต้านภายในน้อย แต่แรงต้านภายนอกมหาศาล

เพิ่มเติมอีกหน่อย .. การขับทางไกลจะมีภาระของแอร์น้อยกว่าใช้รถในเมือง เพราะแรงลมจะช่วยลดความร้อนของตัวถังที่จะแผ่เข้าไปในตัวรถ ทำให้ห้องโดยสารคงอุณหภูมิได้ดีกว่า คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานน้อยกว่ามาก
ถ้ามองที่มุมนี้ การเปิดแอร์จะสิ้นเปลืองขึ้นไม่มากนัก

คงต้องมาตัดสินกันที่หลักอากาศพลศาสตร์ข้างต้นแล้วกระมังครับ ..

[เขรางค์-รักในหลวง]

มันสมองระดับ ดร. ไม่น่าขอความเห็นปัญหานี้หรอก.... ถ้าโง่เท่าพวกผมก็เปิดแอร์วิ่งเย็นสบายแน่นอน...

 ...ถ้าฉลาดกว่าก็ปิดแอร์วิ่ง ประหยัดพลังงานช่วยชาติ หรือจะให้ดูดีกว่านั้น ไม่ต้องติดแอร์เพราะต้องเติมน้ำยาแอร์ที่มีส่วนผสมของฟรีออนทำลายโอโซนโลก...นอกจากจะดูฉลาดล้ำแล้วยังดูดีฐานรักษาสิ่งแวดล้อมโลก......

โดนใจอย่างแรง 

+ ให้ครับ

[รักปืน-รักในหลวง]

อยู่ที่อากาศพลศาสตร์ของตัวรถ ตำแหน่งกระจก และความเร็ว ณ.ขณะนั้นครับ

รถคันหนึ่งต่อให้เปิดกระจก ลมก็ไม่ค่อยเข้า ลมตีเข้าตัวรถน้อยก็มีแรงต้านน้อย  อัตราการกินน้ำมันก็จะไม่ต่างกันมาก .. รถอีกคันวิ่งความเร็วเท่ากัน ลมตีเข้าจนของปลิว ก็ต้านลมมาก ... เป็นผลมาจากการออกแบบรูปทรงของรถ

และรถแต่ละรูปทรง(ขณะเปิดกระจก) ก็ได้รับอิทธิพลจากลมต้านต่างกัน ที่ความเร็วต่างกัน ..
บางคันออกแบบอากาศพลศาสตร์มาดีอากาศลื่นไหลเลียดตัวถังได้มาก พอเปิดกระจกลมเลยเลี้ยวตีเข้าตัวรถเยอะ ก็ต้านลมมาก .. แต่บางทีถ้าความเร็วสูงถึงจุดหนึ่ง ลมจะตีเข้าในตัวรถไม่ทัน กลับมีแรงต้านภายในลดลง
บางคันมีรูปทรงต้านลมอยู่แล้ว พอขับเร็ว ลมถูกตีกระเจิงออกข้างตัวรถไปหมด เลยเข้ารถน้อย กลายเป็นมีแรงต้านภายในน้อย แต่แรงต้านภายนอกมหาศาล

เพิ่มเติมอีกหน่อย .. การขับทางไกลจะมีภาระของแอร์น้อยกว่าใช้รถในเมือง เพราะแรงลมจะช่วยลดความร้อนของตัวถังที่จะแผ่เข้าไปในตัวรถ ทำให้ห้องโดยสารคงอุณหภูมิได้ดีกว่า คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานน้อยกว่ามาก
ถ้ามองที่มุมนี้ การเปิดแอร์จะสิ้นเปลืองขึ้นไม่มากนัก

คงต้องมาตัดสินกันที่หลักอากาศพลศาสตร์ข้างต้นแล้วกระมังครับ ..

ที่ท่านว่ามาก็มีส่วนถูกครับ
ผมว่านิสัยของคนขับ  การจราจรก็สำคัญครับ   สมมุติว่าคนรุ่นเดียวกัน แต่คันนึงปิดแอร์  คันนึงเปิดแอร์ วิ่งระยะทาง+ความเร็วเท่ากัน   พอก็ว่าพอๆกันครับ