เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 19, 2024, 04:53:47 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 8 9 10 [11] 12 13 14 15
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ป ล้ น บ้ า น ปลัดกระทรวงคมนาคม ( แก้ไขหัวข้อกระทู้ )  (อ่าน 37617 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 20 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Daimyo
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 924
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9042



« ตอบ #150 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 12:02:32 PM »

ดูข่าวเมื่อคืน เห็นตำรวจบอกว่าโจรปล้นบ้านฯ เอาเงินไปได้ประมาณ 100 ล้าน... อย่างนี้พอสมเหตุผลหน่อย เพราะเงิน 100 ล้านหนัก 100 กิโลกรัม หรือประมาณข้าวสารหนึ่งกระสอบ, แสดงว่าในบ้านมีแยะกว่านี้ หากเอาไปหนักกว่านี้จะไม่คล่องตัวตามประสาโจรๆ...

หากเป็นโจรมีสมองหน่อย มีเวลาเตรียมการเป็นปี... จะได้เงินเกิน 100 ล้าน, ได้ปุ๊บใช้เวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงพ้นประเทศไทยแล้วครับ แล้วก็ไปอยู่ในบัญชีธนาคารในประเทศที่มีกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก...

หากโจรคนไหนอยากได้รายละเอียด ต้องไปค้นเรื่องของโจรใหญ่หนึ่งคน โยนหุ้นบริษัทตัวเองสลับไปสลับมาจนกระทั่งราคาหุ้นขึ้นไปสูงงงง... จากนั้นขนเงินกระดาษใส่กระเป๋าเดินทางขึ้นเครื่องบินไปให้บริษัทสิงคโปร์ซื้อหุ้นบริษัทตัวเอง ซื้อหุ้นปุ๊บเงินกระดาษในกระเป๋าเดินทางที่ขนไปก็ถูกฟอกฯ กลับมาเป็นตัวเลขในบัญชีตัวเองอีกนั่นแหละ...

แต่ตกม้าตายเอาอีตรงแก้กฎหมายให้บริษัทสิงคโปร์ซื้อหุ้น+เกิดเสียดายภาษี... ฮา...

โห...โจทย์ยากจัง เดาไม่ออกเลยว่าเจ้าของหน้าสี่เหลี่ยม
บันทึกการเข้า

ดังสายลมที่พัดผ่านลานป่า..พาใบไม้พลัดถิ่น..ดั่งสายน้ำที่ไหลรินพัดพา..นำดวงใจฉันมาใกล้เธอ..
"ความหวังดีที่เธอให้สังคม ฉันชื่นชมเธอเสมอ"
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #151 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 12:24:40 PM »

ดูข่าวเมื่อคืน เห็นตำรวจบอกว่าโจรปล้นบ้านฯ เอาเงินไปได้ประมาณ 100 ล้าน... อย่างนี้พอสมเหตุผลหน่อย เพราะเงิน 100 ล้านหนัก 100 กิโลกรัม หรือประมาณข้าวสารหนึ่งกระสอบ, แสดงว่าในบ้านมีแยะกว่านี้ หากเอาไปหนักกว่านี้จะไม่คล่องตัวตามประสาโจรๆ...

หากเป็นโจรมีสมองหน่อย มีเวลาเตรียมการเป็นปี... จะได้เงินเกิน 100 ล้าน, ได้ปุ๊บใช้เวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงพ้นประเทศไทยแล้วครับ แล้วก็ไปอยู่ในบัญชีธนาคารในประเทศที่มีกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก...

หากโจรคนไหนอยากได้รายละเอียด ต้องไปค้นเรื่องของโจรใหญ่หนึ่งคน โยนหุ้นบริษัทตัวเองสลับไปสลับมาจนกระทั่งราคาหุ้นขึ้นไปสูงงงง... จากนั้นขนเงินกระดาษใส่กระเป๋าเดินทางขึ้นเครื่องบินไปให้บริษัทสิงคโปร์ซื้อหุ้นบริษัทตัวเอง ซื้อหุ้นปุ๊บเงินกระดาษในกระเป๋าเดินทางที่ขนไปก็ถูกฟอกฯ กลับมาเป็นตัวเลขในบัญชีตัวเองอีกนั่นแหละ...

แต่ตกม้าตายเอาอีตรงแก้กฎหมายให้บริษัทสิงคโปร์ซื้อหุ้น+เกิดเสียดายภาษี... ฮา...

โห...โจทย์ยากจัง เดาไม่ออกเลยว่าเจ้าของหน้าสี่เหลี่ยม

เรื่องนี้มันซับซ้อนครับ เพราะอธิบายได้ไม่จบในสามบรรทัด คน"ส่วนใหญ่"เลยไม่เข้าใจ... ไปอ้างอยู่เรื่อยว่าสองมาตรฐาน... แฮ่ๆ...
บันทึกการเข้า
ค..ควาย...ใส่ชฎา
Hero Member
*****

คะแนน -15856
ออฟไลน์

กระทู้: 13569


No justice No peace


« ตอบ #152 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 12:33:22 PM »

ดูข่าวเมื่อคืน เห็นตำรวจบอกว่าโจรปล้นบ้านฯ เอาเงินไปได้ประมาณ 100 ล้าน... อย่างนี้พอสมเหตุผลหน่อย เพราะเงิน 100 ล้านหนัก 100 กิโลกรัม หรือประมาณข้าวสารหนึ่งกระสอบ, แสดงว่าในบ้านมีแยะกว่านี้ หากเอาไปหนักกว่านี้จะไม่คล่องตัวตามประสาโจรๆ...

หากเป็นโจรมีสมองหน่อย มีเวลาเตรียมการเป็นปี... จะได้เงินเกิน 100 ล้าน, ได้ปุ๊บใช้เวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงพ้นประเทศไทยแล้วครับ แล้วก็ไปอยู่ในบัญชีธนาคารในประเทศที่มีกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก...

หากโจรคนไหนอยากได้รายละเอียด ต้องไปค้นเรื่องของโจรใหญ่หนึ่งคน โยนหุ้นบริษัทตัวเองสลับไปสลับมาจนกระทั่งราคาหุ้นขึ้นไปสูงงงง... จากนั้นขนเงินกระดาษใส่กระเป๋าเดินทางขึ้นเครื่องบินไปให้บริษัทสิงคโปร์ซื้อหุ้นบริษัทตัวเอง ซื้อหุ้นปุ๊บเงินกระดาษในกระเป๋าเดินทางที่ขนไปก็ถูกฟอกฯ กลับมาเป็นตัวเลขในบัญชีตัวเองอีกนั่นแหละ...

แต่ตกม้าตายเอาอีตรงแก้กฎหมายให้บริษัทสิงคโปร์ซื้อหุ้น+เกิดเสียดายภาษี... ฮา...

โห...โจทย์ยากจัง เดาไม่ออกเลยว่าเจ้าของหน้าสี่เหลี่ยม

เรื่องนี้มันซับซ้อนครับ เพราะอธิบายได้ไม่จบในสามบรรทัด คน"ส่วนใหญ่"เลยไม่เข้าใจ... ไปอ้างอยู่เรื่อยว่าสองมาตรฐาน... แฮ่ๆ...


Ha Ha Ha ฮา "ฮั่นแน่"   นี่ถ้าไม่ใช่  "สุวรรณ วลัยเสถียร" ก็ฟังไ่ม่รู้เรื่อง อ่ะคร๊า  ฮา
บันทึกการเข้า

หัว...ฆรวย

หัวโขนมิวางออก              เจ้าหลงครอบไปทุกที่
อ่าองค์ว่าโสภี                  นฤดีปริ่มเปรมใจ
ลืมไปว่าที่ครอบ                ต้องวางออกนหทัย
สวมครอบตัวตนไว้             ก็แค่ควายใส่ชฎา
Daimyo
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 924
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9042



« ตอบ #153 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 12:34:18 PM »

ดูข่าวเมื่อคืน เห็นตำรวจบอกว่าโจรปล้นบ้านฯ เอาเงินไปได้ประมาณ 100 ล้าน... อย่างนี้พอสมเหตุผลหน่อย เพราะเงิน 100 ล้านหนัก 100 กิโลกรัม หรือประมาณข้าวสารหนึ่งกระสอบ, แสดงว่าในบ้านมีแยะกว่านี้ หากเอาไปหนักกว่านี้จะไม่คล่องตัวตามประสาโจรๆ...

หากเป็นโจรมีสมองหน่อย มีเวลาเตรียมการเป็นปี... จะได้เงินเกิน 100 ล้าน, ได้ปุ๊บใช้เวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงพ้นประเทศไทยแล้วครับ แล้วก็ไปอยู่ในบัญชีธนาคารในประเทศที่มีกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก...

หากโจรคนไหนอยากได้รายละเอียด ต้องไปค้นเรื่องของโจรใหญ่หนึ่งคน โยนหุ้นบริษัทตัวเองสลับไปสลับมาจนกระทั่งราคาหุ้นขึ้นไปสูงงงง... จากนั้นขนเงินกระดาษใส่กระเป๋าเดินทางขึ้นเครื่องบินไปให้บริษัทสิงคโปร์ซื้อหุ้นบริษัทตัวเอง ซื้อหุ้นปุ๊บเงินกระดาษในกระเป๋าเดินทางที่ขนไปก็ถูกฟอกฯ กลับมาเป็นตัวเลขในบัญชีตัวเองอีกนั่นแหละ...

แต่ตกม้าตายเอาอีตรงแก้กฎหมายให้บริษัทสิงคโปร์ซื้อหุ้น+เกิดเสียดายภาษี... ฮา...

โห...โจทย์ยากจัง เดาไม่ออกเลยว่าเจ้าของหน้าสี่เหลี่ยม

เรื่องนี้มันซับซ้อนครับ เพราะอธิบายได้ไม่จบในสามบรรทัด คน"ส่วนใหญ่"เลยไม่เข้าใจ... ไปอ้างอยู่เรื่อยว่าสองมาตรฐาน... แฮ่ๆ...

ตอนนี้4บรรทัด.....ย่ออีกนิดถ้าไม่เกิน 3...น่าจะ"เข้าใจ"กันบ้าง.....

แต่ก็นั่นแหละครับ...สติและปัญญาคนมันไม่เท่ากัน.....
บันทึกการเข้า

ดังสายลมที่พัดผ่านลานป่า..พาใบไม้พลัดถิ่น..ดั่งสายน้ำที่ไหลรินพัดพา..นำดวงใจฉันมาใกล้เธอ..
"ความหวังดีที่เธอให้สังคม ฉันชื่นชมเธอเสมอ"
~ Sitthipong - รักในหลวง ~
"วาจาย่อมมีน้ำหนัก หากหนุนด้วยสรรพอาวุธ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2953
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23210



« ตอบ #154 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 01:15:19 PM »

ดูข่าวเมื่อคืน เห็นตำรวจบอกว่าโจรปล้นบ้านฯ เอาเงินไปได้ประมาณ 100 ล้าน... อย่างนี้พอสมเหตุผลหน่อย เพราะเงิน 100 ล้านหนัก 100 กิโลกรัม หรือประมาณข้าวสารหนึ่งกระสอบ, แสดงว่าในบ้านมีแยะกว่านี้ หากเอาไปหนักกว่านี้จะไม่คล่องตัวตามประสาโจรๆ...

หากเป็นโจรมีสมองหน่อย มีเวลาเตรียมการเป็นปี... จะได้เงินเกิน 100 ล้าน, ได้ปุ๊บใช้เวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงพ้นประเทศไทยแล้วครับ แล้วก็ไปอยู่ในบัญชีธนาคารในประเทศที่มีกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก...

หากโจรคนไหนอยากได้รายละเอียด ต้องไปค้นเรื่องของโจรใหญ่หนึ่งคน โยนหุ้นบริษัทตัวเองสลับไปสลับมาจนกระทั่งราคาหุ้นขึ้นไปสูงงงง... จากนั้นขนเงินกระดาษใส่กระเป๋าเดินทางขึ้นเครื่องบินไปให้บริษัทสิงคโปร์ซื้อหุ้นบริษัทตัวเอง ซื้อหุ้นปุ๊บเงินกระดาษในกระเป๋าเดินทางที่ขนไปก็ถูกฟอกฯ กลับมาเป็นตัวเลขในบัญชีตัวเองอีกนั่นแหละ...

แต่ตกม้าตายเอาอีตรงแก้กฎหมายให้บริษัทสิงคโปร์ซื้อหุ้น+เกิดเสียดายภาษี... ฮา...

ตอนนี้โจรใหญ่คนนั้นกำลังใช้น้องสาวแก้กฎหมายให้ตัวเองพ้นผิดอยู่แน่ ๆ เลยครับ......แฮ่ๆๆ   คิก คิก
บันทึกการเข้า



...ไม่มีใครทำขาวให้เป็นดำ  หรือทำผิดให้เป็นถูกได้ตลอด...
ค..ควาย...ใส่ชฎา
Hero Member
*****

คะแนน -15856
ออฟไลน์

กระทู้: 13569


No justice No peace


« ตอบ #155 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 01:29:14 PM »

ดูข่าวเมื่อคืน เห็นตำรวจบอกว่าโจรปล้นบ้านฯ เอาเงินไปได้ประมาณ 100 ล้าน... อย่างนี้พอสมเหตุผลหน่อย เพราะเงิน 100 ล้านหนัก 100 กิโลกรัม หรือประมาณข้าวสารหนึ่งกระสอบ, แสดงว่าในบ้านมีแยะกว่านี้ หากเอาไปหนักกว่านี้จะไม่คล่องตัวตามประสาโจรๆ...

หากเป็นโจรมีสมองหน่อย มีเวลาเตรียมการเป็นปี... จะได้เงินเกิน 100 ล้าน, ได้ปุ๊บใช้เวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงพ้นประเทศไทยแล้วครับ แล้วก็ไปอยู่ในบัญชีธนาคารในประเทศที่มีกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก...

หากโจรคนไหนอยากได้รายละเอียด ต้องไปค้นเรื่องของโจรใหญ่หนึ่งคน โยนหุ้นบริษัทตัวเองสลับไปสลับมาจนกระทั่งราคาหุ้นขึ้นไปสูงงงง... จากนั้นขนเงินกระดาษใส่กระเป๋าเดินทางขึ้นเครื่องบินไปให้บริษัทสิงคโปร์ซื้อหุ้นบริษัทตัวเอง ซื้อหุ้นปุ๊บเงินกระดาษในกระเป๋าเดินทางที่ขนไปก็ถูกฟอกฯ กลับมาเป็นตัวเลขในบัญชีตัวเองอีกนั่นแหละ...

แต่ตกม้าตายเอาอีตรงแก้กฎหมายให้บริษัทสิงคโปร์ซื้อหุ้น+เกิดเสียดายภาษี... ฮา...

โห...โจทย์ยากจัง เดาไม่ออกเลยว่าเจ้าของหน้าสี่เหลี่ยม

เรื่องนี้มันซับซ้อนครับ เพราะอธิบายได้ไม่จบในสามบรรทัด คน"ส่วนใหญ่"เลยไม่เข้าใจ... ไปอ้างอยู่เรื่อยว่าสองมาตรฐาน... แฮ่ๆ...



Ha Ha Ha  ฮา "ฮั่นแน่"  แล้ว  "เขาสอยดาว  กะ  เขาตอนเที่ยง"   อ่ะ  ฮา

เป็นอะไรดี  อ่ะ 

"Double or Triple Standard"  อ่ะคร๊า  ฮา 

ก๊าาบ บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
บันทึกการเข้า

หัว...ฆรวย

หัวโขนมิวางออก              เจ้าหลงครอบไปทุกที่
อ่าองค์ว่าโสภี                  นฤดีปริ่มเปรมใจ
ลืมไปว่าที่ครอบ                ต้องวางออกนหทัย
สวมครอบตัวตนไว้             ก็แค่ควายใส่ชฎา
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #156 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 01:56:30 PM »

Ha Ha Ha  ฮา "ฮั่นแน่"  แล้ว  "เขาสอยดาว  กะ  เขาตอนเที่ยง"   อ่ะ  ฮา

เป็นอะไรดี  อ่ะ  

"Double or Triple Standard"  อ่ะคร๊า  ฮา  

ก๊าาบ บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

ทั้ง 2 แห่งก็น่าจะจัดการให้ถูกต้องเสียด้วย... ที่เขาสอยดาวเป็นสนามกอล์ฟ ก็ต้องดูในรายละเอียดตั้งแต่เริ่มกู้เงินธนาคารนั่นแหละ กวาดมาให้หมดทั้งพวง...

ส่วนเขายายเที่ยงในที่สุดก็ต้องคืนให้หลวงไป แต่มันก็ไม่ถูกต้อง(อ้างไม่มีเจตนา), เหมือนขโมยของในห้างแล้วคืนเมื่อโดนยามจับได้ ซึ่งยังไงก็ไม่ถูกต้อง(ถ้าถูกต้อง ก็ไม่ต้องคืน)... จะว่าไปแล้วที่รัฐบาลนั้นไม่กล้าดำเนินการอะไรรุนแรงก็คงเป็นเพราะไก่เห็นตีนงู, แต่ในที่สุดก็รู้ว่าถูกหลอก เพราะเมื่อลงจากอำนาจแล้วก็รักษาเขายายเที่ยงไว้ไม่ได้อยู่ดี...

บางคนบางกลุ่มใช้"ต้นทุน"ของสิ่งที่อยู่เหนือกว่าหัวของตนเอง... ใช้ต้นทุนไปเรื่อย ในที่สุดต้นทุนก็จะหมดไป ซึ่ง"ต้นทุน"นั้นเกิดจากความศรัทธาของมหาชน, ตรงนี้ไม่ค่อยมีคนตระหนัก กว่าจะรู้ตัวก็มักจะเอาตัวไม่รอดเสียแล้ว...

รัฐบาลที่ใช้ต้นทุนเปลืองที่สุดคือรัฐบาลมาร์ค, ใช้จนหมดจนแผ่นดินแตกแยก... แม้แต่ผลประโยชน์ของประเทศนั้น ต่างชาติก็ไม่รู้ว่าจะคุยกับใครแล้วจบเรื่องได้, หากนึกไม่ออกให้ดู Toyota ส่งกรรมการผู้จัดการที่เป็นเบอร์หนึ่งในมหาอาณาจักรโตโยต้าทั้งโลกนี้ มาบอกกับประเทศไทยว่า"ฉันยังเหมือนเดิม", แต่บริษัทน้ำมันฯ บอกว่าข้าจะคุยกับใครก็ได้ที่ใหญ่(โอบาม่าบอกกับงูโป้ที่ประชุมผู้นำครั้งล่าสุด)... ไม่ฮา...
บันทึกการเข้า
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #157 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 02:15:47 PM »

อึ้ง!ผู้ประกาศข่าวรัสเซียชูนิ้วกลางใส่โอบามา
24 พฤศจิกายน 2554 เวลา 10:18 น. | เปิดอ่าน 3,248 |  ความคิดเห็น 10
 ผู้ประกาศข่าวรัสเซีย ชูนิ้วกลางขณะพูfชื่อโอบามา เจ้าตัวอ้างไม่ทราบว่าออกอากาศอยู่


ทาเทียนา ลิมาโนวา
ทาเทียนา ลิมาโนวา นักข่าวชื่อดังของสถานีโทรทัศน์ REN TV ของรัสเซีย สร้างความฮือฮาไม่น้อยเมื่อเจ้าตัวชูนิ้วกลางขณะกำลังอ่านชื่อประธานาธิบดีบารัก โอบามา กลางอากาศ

ลิมาโนวา ซึ่งเป็นนักข่าวผู้ที่ได้รับรางวัลมากมาย กำลังรายงานข่าวการประชุมเอเปค พอต้องเอ่ยชื่อโอบามา เจ้าตัวก็ได้ชูนิ้วกลางเพื่อแสดงความไม่พอใจผู้นำสหรัฐ
ภายหลังเกิดเหตุ ลิมาโนวา เผยว่า ตนนั้นนึกว่าทางสถานีได้ตัดภาพไปยังที่ประชุมเอเปค และไม่ได้ตั้งใจแสดงพฤติกรรม
ที่ไม่เหมาะสมออกอากาศ โดยสถานี REN TV นั้นมีผู้ชมมากถึง 120 ล้านคน

ทั้งนี้ คาดว่า ทางสถานีจะไม่ลงโทษลิมาโนวาแต่อย่างใด
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #158 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 02:18:58 PM »

coppy vdo หามาชมกันได้นะครับ


บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
PISTOL CLUB
Jr. Member
**

คะแนน 2
ออฟไลน์

กระทู้: 63



« ตอบ #159 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 03:47:02 PM »

พี่เหลิม บอกจะจัดหนัก โยงไปรถไฟฟ้าแล้ว
บันทึกการเข้า

Shooting and Outdoor
สหายอ๋อง เซียนปลาซิว
จริงใจ บริสุทธ์ใจ แล้วจะแคล้วคลาด จากภัยทั้งปวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 657
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9377


คบหมาเป็นเพื่อน ดีกว่าคบเพื่อนหมาๆ


« ตอบ #160 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2011, 03:49:35 PM »

ได้ข่าวแว่วๆ  มาว่า  30  เปอร์เซ็น  ไม่ลงตัว

เอ่อ................................  แหลงไปเรา  ........งง ตัวเอง

 คิก คิก คิก คิก คิก คิก คิก คิก คิก คิก คิก คิก คิก คิก
บันทึกการเข้า
พญาจงอาง +รักในหลวง+
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1870
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10363



« ตอบ #161 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2011, 01:32:13 PM »

ขออนุญาตขุดกระทู้ Grin
บันทึกการเข้า

..The only thing neccessary for the triump of evil is for the good man to do nothing..
"สิ่งเดียวที่ทำให้คนชั่วได้รับชัยชนะ คือการที่คนดีๆนิ่งดูดาย "
submachine -รักในหลวง-
คนกินเหล้า อย่าให้เหล้ากินคน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6127
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 55373


Let us go..!


« ตอบ #162 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2011, 01:38:31 PM »

ดูข่าวเมื่อคืน เห็นตำรวจบอกว่าโจรปล้นบ้านฯ เอาเงินไปได้ประมาณ 100 ล้าน... อย่างนี้พอสมเหตุผลหน่อย เพราะเงิน 100 ล้านหนัก 100 กิโลกรัม หรือประมาณข้าวสารหนึ่งกระสอบ, แสดงว่าในบ้านมีแยะกว่านี้ หากเอาไปหนักกว่านี้จะไม่คล่องตัวตามประสาโจรๆ...

หากเป็นโจรมีสมองหน่อย มีเวลาเตรียมการเป็นปี... จะได้เงินเกิน 100 ล้าน, ได้ปุ๊บใช้เวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงพ้นประเทศไทยแล้วครับ แล้วก็ไปอยู่ในบัญชีธนาคารในประเทศที่มีกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก...

หากโจรคนไหนอยากได้รายละเอียด ต้องไปค้นเรื่องของโจรใหญ่หนึ่งคน โยนหุ้นบริษัทตัวเองสลับไปสลับมาจนกระทั่งราคาหุ้นขึ้นไปสูงงงง... จากนั้นขนเงินกระดาษใส่กระเป๋าเดินทางขึ้นเครื่องบินไปให้บริษัทสิงคโปร์ซื้อหุ้นบริษัทตัวเอง ซื้อหุ้นปุ๊บเงินกระดาษในกระเป๋าเดินทางที่ขนไปก็ถูกฟอกฯ กลับมาเป็นตัวเลขในบัญชีตัวเองอีกนั่นแหละ...

แต่ตกม้าตายเอาอีตรงแก้กฎหมายให้บริษัทสิงคโปร์ซื้อหุ้น+เกิดเสียดายภาษี... ฮา...

คนชั่ว ยังไงก็หางโผล่
บันทึกการเข้า

อย่าเห็นเป็น ความดี เล็กน้อย แล้วไม่กระทำ
อย่าเห็นเป็น ความชั่ว เล็กน้อย แล้วจึงกระทำ

Thanut Wansuk

สหายอ๋อง เซียนปลาซิว
จริงใจ บริสุทธ์ใจ แล้วจะแคล้วคลาด จากภัยทั้งปวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 657
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9377


คบหมาเป็นเพื่อน ดีกว่าคบเพื่อนหมาๆ


« ตอบ #163 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2011, 02:08:47 PM »

ได้ข่าวว่าที่บ้านท่านปลัดฯ  มีลานจอด ฮ.  ด้วย
บันทึกการเข้า
prawin -รักในหลวง-
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 273
ออฟไลน์

กระทู้: 1218



« ตอบ #164 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2011, 02:12:13 PM »

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000151894

เปิดปมปริศนาเบื้องลึก สายรัดคาดก้อนเงิน “22 พฤศจิกายน 2552” จากธนาคารทหารไทย !?
 
 โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 29 พฤศจิกายน 2554 10:49 น.

เป็นข่าวอื้อฉาวและคลาสสิคที่สุด เมื่อเกิดเหตุการณ์โจรปล้นบ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ตั้งแต่คืนวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
      
        ตามที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น มีข้อพิรุธชวนน่าสงสัยว่า ในวันเกิดเหตุ ภรรยาของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม (ไม่เปิดเผยชื่อในข่าว) เข้ามาพูดคุยกับผู้สื่อข่าวในลักษณะไม่อยากให้เรื่องนี้เผยแพร่เป็นข่าว พร้อมกับบอกว่าไม่มีอะไร เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น
      
        ลำพังที่เจ้าทุกข์ซึ่งเป็นผู้เสียหายถูกปล้นแสดงท่าที่ไม้ต้องการให้เป็นข่าวก็นับว่าแปลกประหลาดอยู่แล้ว แต่ที่น่าสงสัยไปมากกว่านั้นก็คือ “จำนวนเงิน”ของคดีนี้ฝ่ายโจรให้การสารภาพมากกว่าจำนวนเงินที่เจ้าของบ้านให้ปากคำ?
      
        นายสิงห์ทอง ใจชมชื่น หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมที่เข้าร่วมในการปล้นครั้งนี้ให้การรับสารภาพว่า:
      
        “ได้ปล้นเงินในบ้านทั้งหมดกว่า 200 ล้านบาท โดยโจรได้แบ่งกันไปใช้ 15 ล้านบาท ส่วนเงินสดที่เหลือหัวหน้าแก๊ง คือนายวีระศักดิ์ เชื่อลี (นายโก้) เป็นผู้เก็บเงินเอาไว้ก่อนและจะมาแบ่งกันภายหลัง โดยมีข้อตกลงกันว่าเงินทั้งหมด 50% จะแบ่งให้ลูกพี่ของนายวีระศักดิ์ ซึ่งเป็น“ข้าราชการ” และเงินอีก 30% จะเป็นของนายวีระศักดิ์เอง และ อีก 20%จะแบ่งส่วนที่เหลือให้กลุ่มโจรที่ปฏิบัติงานลงมือปล้น ส่วนภายในบ้านที่เกิดเหตุพบเงินสดซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าต่างๆ รวมประมาณ 700-1,000 ล้านบาท ส่วนเหตุที่ได้เข้าปล้นครั้งที่ทราบมาว่าเป็นเงินที่โกงมาจากทางราชการ”
      
       ส่วนนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม กลับให้สัมภาษณ์ว่า:
      
        “เป็นขบวนการทำลายความน่าเชื่อถือ เนื่องจากเงินที่หายไปนั้นเป็นเงินรับไหว้จากสินสอดเพียง 6 ล้านบาทเท่านั้น”
      
        นับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักที่เจ้าบ้านซึ่งถูกปล้นระบุจำนวนเงินที่ถูกปล้นน้อยกว่าคำสารภาพของโจร เพราะหากจำนวนเงินที่เหล่าโจรให้การสารภาพตามที่คณะโจรได้ให้การสารภาพเป็นความจริง ทรัพย์สินเหล่านั้นนอกจากจะต้องถูกยึดทรัพย์ฐานร่ำรวยผิดปกติแล้วยังจะต้องถูกดำเนินคดีอาญาตามมาอีกด้วย
      
        ผลที่ตามมานั้นก็ได้ทำให้กองเงินจำนวน 18 ล้านบาทที่ตำรวจยึดได้มาจากโจรในช่วงแรกนั้น ฝ่ายโจรบอกว่าเป็นเงินของเจ้าของบ้านทั้งหมด แต่ฝ่ายเจ้าของบ้านบอกเงินของตัวเองแค่ 6 ล้านบาทที่ได้มาจากค่าสินสอดของลูกสาว !!!?
      
        ไหนๆ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ก็ได้แจ้งว่าตัวเองถูกทำลายความน่าเชื่อถือ เพราะมีเงินสดอยู่น้อยนิด นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม น่าจะได้ลองอ่านนิทานเรื่องหนึ่งย้อมใจเล่น เผื่อจะได้สบายใจขึ้นว่านิทานเรื่องดังต่อไปนี้ ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นกับนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อมได้โดยเด็ดขาด
      
        กาลครั้งหนึ่ง ณ ประเทศสารขัณฑ์ (ขอย้ำว่าไม่ใช่ประเทศไทยและไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีการปล้นบ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม โดยเด็ดขาด) อธิบดีไร้ฝุ่นคนหนึ่งซึ่งปลุกปั้นโครงการถนนสะอาดผลักดันจนเหล่าเสนาบดีและนักการเมืองยอมให้โครงการผ่านสำเร็จ จนโครงการเดินหน้าไปแล้วแต่ยังไม่ได้เงินที่แบ่งผลประโยชน์ตามที่ตกลงกัน จึงเดินทางไปทวงปลัดทบวงหนึ่งในเมืองสารขัณฑ์ ท่านปลัดบอกว่า “ผู้ใหญ่”เอาไปหมดแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร วันดีคืนดีอธิบดีไร้ฝุ่นใจกล้าเดินหน้าไปพบ “ผู้ใหญ่” ซึ่ง “ผู้ใหญ่”บอกว่าตัวเองได้เงินสัดส่วนเท่าไหร่ ความจึงได้แตก อธิบดีไร้ฝุ่นแค้นใจคิดจะหาทางในการทวงเอาคืนจากปลัดได้สักวันหนึ่ง
      
        แต่ช่างประจวบเหมาะในความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงระหว่าง “อดีตหน้าห้องท่านปลัดทบวง” ชื่อ “ตุ๋ง” (นามสมมุติ)ซึ่งได้ดิบได้ดียกฐานะเป็น “คุณนาย”ไปแล้ว กับ “หน้าห้องปัจจุบันของท่านปลัด” ชื่อ “ติ๋ง” (นามสมมุติ) เดิมที “ตุ๋ง” กับ “ติ๋ง” เดิมเป็นเพื่อนสนิทกันดี ต่อมาขัดแย้งกันเพราะความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน “ติ๋ง” จึงถูกเนรเทศไปอยู่หน้าห้องคนอื่น แต่ก็ยังถูกตามราวีอีกเป็นที่ชอกช้ำระกำใจอย่างยิ่ง
      
        ในที่สุด “ติ๋ง” ก็ได้มาเจอและปรับทุกข์กับ “อธิบดีไร้ฝุ่น” ซึ่งต่างก็อกหักมาทั้งคู่ ฝ่ายติ๋งรู้ที่ซ่อนเงินของปลัดเพราะใกล้ชิดสนิทแนบแน่นกับปลัดไม่แพ้ “ตุ๋ง” ฝ่ายอธิบดีไร้ฝุ่นแค้นใจต้องการทวงเงินคืน จึงเกิดการปล้นเงินบ้านท่านปลัดขึ้นโดยการจ้างวานมือปล้นเป็นมาเฟียสีเขียวได้เงินมาแล้วแล้วแบ่งกัน โดยฝ่ายอธิบดีไร้ฝุ่นเอาไปครึ่งหนึ่ง (ตามจำนวนที่เงินที่เชื่อว่าท่านปลัดอมไป) ส่วนที่เหลือก็แบ่งกันไปตามผลงาน”
      
        และขอย้ำอีกทีว่านิทานเรื่องดังกล่าวข้างต้นไม่มีทางจะเกิดขึ้นกับกรณีของ สุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคมของประเทศไทยโดยเด็ดขาด !!!
      
       และถือว่าเป็น “แจ๊กพ็อต” อย่างยิ่ง สมมุติหากมีเงินก้อนเยอะแยะเป็นพันล้านบาทในบ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม แต่เหล่าโจรกลับเลือกปล้นเงินซึ่งถูกจับของกลางได้มีสายรัดมัดก้อนเงินประทับตราธนาคารทหารไทย ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2552 และเงินบางส่วนมาจากสาขาอุดรธานี ที่พอจะบอกเบาะแสได้พอสมควร ว่าเงินก้อนนี้เบิกมาจากธนาคารทหารไทย สาขาอะไร และใครเป็นผู้เบิกเงินสดออกมามากมายขนาดนี้
      
       ช่างบังเอิญอย่างร้ายกาจเช่นกัน ที่ธนาคารทหารไทย มีผู้รับเหมางานใหญ่รายหนึ่งซึ่งรับงานเกี่ยวกับรถไฟฟ้าเป็นลูกค้าที่ยาวนานกับธนาคารทหารไทยตั้งแต่ในอดีต และช่างบังเอิญอีกเช่นกันผู้รับเหมารายนี้มีโครงการและสายสัมพันธ์ใกล้ชิดอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน จึงใช้บริการธนาคารในจังหวัดที่อยู่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นประจำ ซึ่งยังต้องลุ้นต่อไปว่าเงินก้อนนี้ใครเบิกมา (หากไม่สมคบกันเป่าคดีนี้เสียก่อน)
      
       แต่ที่แน่ๆก็คือ เงินสดมีสายรัดมัดเอาไว้ ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2552 นั้นคงย่อมเป็นไปไม่ได้ว่าจะเป็นเงินสินสอดที่ถอนเป็นเงินสดออกมาโดยเตรียมการล่วงหน้าเอาไว้ถึง 2 ปี ซึ่งเดาได้ว่านายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ก็คงจะให้การปฏิเสธอีกว่าเงินสดก้อนมัดเหล่านี้ไม่ใช่มาจากของบ้านตัวเองอีก ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แปลว่าเงินทั้งหมดที่ยึดได้จากโจรในเวลานี้ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อมไม่อยากได้คืนจากเงินโจรเหล่านี้แม้แต่บาทเดียวกันแล้วใช่ไหม?
      
       ถ้าเป็นเช่นนั้น สุดท้ายคดีนี้ โจรอาจหลุดพ้นความผิด ถ้าของกลางที่ยึดได้ทั้งหมดเจ้าทุกข์ไม่ยอมแสดงความเป็นเจ้าของ!!!?
      
       อย่างไรก็ตาม หากสายรัดมัดเงินที่ปล้นมาจากกระทรวงคมนาคม คือวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2552 จริง ก็เท่ากับว่าเป็นเงินสดที่เบิกออกมาในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยมีนายโสภณ ซารัมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
      
       สิ่งที่นายโสภณ ซารัมย์ จะทำได้ในฐานะผู้กำกับดูแลกระทรวงคมนาคม ก็คือออกโรงค้ำประกันความบริสุทธิ์ของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อมในทางสาธารณะตามคำสัมภาษณ์ที่ให้ไว้เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ความว่า:
      
       “ผมเชื่อว่าท่านปลัดจะหนักแน่นพอ ซึ่งรับราชการมานานจะชี้แจงข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นได้เพราะตลอดชีวิตการรับราชการของท่านสุพจน์ ไม่เคยมีประวัติมัวหมองแม้กระทั่งสมัยที่ผมทำงานในช่วงที่รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมมาตลอด 2 ปี ก็ไม่มีเรื่องมัวหมอง”
      
       แต่คำพูดและภาพลักษณ์ของนายโสภณ ซารัมย์ ก็คงไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นในทางสาธารณะเท่าไหร่ เพราะทำให้สังคมส่วนหนึ่งเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่านายโสภณให้สัมภาษณ์เช่นนี้เพียงเพื่อต้องการส่งสัญญาณไปยังนายสุพจน์ให้ “หนักแน่นเข้าไว้ อย่าเอานายโสภณไปเกี่ยวข้องด้วย” ใช่หรือไม่?
      
       แต่สิ่งที่ฝ่ายรัฐบาลซึ่งนำโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้นำมาแถลงข่าวเปิดประเด็นนั้นระบุพุ่งเป้าไปที่โครงการสร้างรถไฟฟ้าของ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ซึ่งส่วนใหญ่เกิดข่าวอื้อฉาวอย่างมากในปี 2552
      
       เริ่มต้นจากรถไฟฟ้าสายสีม่วง ที่มีการเปิดซองประมูลในเดือน มกราคม 2552 และมีการปรับราคาสูงเพิ่มขึ้นเอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับเหมาในกรอบวงเงิน 36,055 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยประกอบไปด้วยค่าเนื้องานในโครงการ 29,724 ล้านบาท เป็นเงินสำรองจ่ายเผื่อสำหรับรื้อย้ายสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ให้ออกจาพื้นที่ก่อสร้าง ซึ่งจะเบิกจ่ายตามสภาพการใช้งานจริงหน้างานประมาณ 3,972 ล้านบาท และเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม 2,359 ล้านบาท ทั้งนี้กระทรวงคมนาคมในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ใช้วิธีหัวใสเพิ่มงบประมาณให้กับผู้รับเหมาก่อสร้างซึ่งได้ประมูลไปแล้วดังต่อไปนี้
      
       1. มีการอ้างอิงประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 28) ลงวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2535 ว่าหากเป็นโครงการเงินกู้ต่างประเทศให้ใช้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 0 ทำให้ผู้รับเหมาไม่ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (ทั้งๆที่ตอนตั้งงบประมาณและตอนยื่นซองประกวดกลับกำหนดกรอบงบประมาณที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย)
      
        ผลจากการดำเนินการดังกล่าวทำให้ราคาที่ผู้รับเหมาประกวดราคาและต่อรองราคาไปแล้วทั้ง 3 สัญญา และสัญญาระบบราง (สัญญาที่ 6) ที่เพิ่งเปิดซองประมูลไปที่ไม่ต้องมีภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมเป็นเงิน 35,620 ล้านบาท ในขณะที่กรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2551 นั้น ตั้งเอาไว้เฉพาะค่างานที่ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่เพียงแค่ 29,724 ล้านบาท
      
        ผลการประกวดราคาและราคาที่ปรับปรุงแล้ว เทียบกับงบประมาณที่ตั้งไว้แบบไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2551 มีส่วนต่างกันถึง 5,896 ล้านบาท!!!
      
       2. งบประมาณตามเงินกู้ในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งเตรียมเอาไว้ 2,359 ล้านบาท ได้โยกให้มาสมทบเป็นงบประมาณค่างานให้กับผู้รับเหมาก่อสร้างทั้งหมด
      
       3. มีการปรับเนื้องานสัญญาที่ 6 (ระบบราง) ซึ่งยังไม่ได้ประมูลนั้น ให้ลดงบประมาณจาก 4,076 ล้านบาท ลงเหลือเพียง 3,638 ล้านบาท (ลดไป 438 ล้านบาท) ซึ่งสัญญาดังกล่าวมีวัสดุหลักคือ เหล็ก ซึ่งการปรับลดเช่นนี้ย่อมสวนทางในการขึ้นราคาสัญญาอื่นๆที่ได้ประกวดไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
      
       ในเวลานั้นน่าเคลือบแคลงสงสัยว่าเป็นวิธีการเพื่อหาความชอบธรรมในการปั่นและตกแต่งตัวเลขลดมูลค่าในสัญญาที่ยังไม่ประมูลมาสมทบเพิ่มให้กับสัญญาที่ได้ประมูลไปแล้วเสียก่อน เพราะเป็นผลประโยชน์เฉพาะหน้าในรัฐบาลตนเอง ใช่หรือไม่?
      
       4. มีการปรับลดเงินสำรองเผื่อจ่ายสำหรับการรื้อย้ายสาธารณูปโภค เช่น สายไฟฟ้า ท่อประปา และสายโทรศัพท์ ให้ออกจากพื้นที่ก่อสร้าง ซึ่งจะเบิกจ่ายตามการใช้จริงหน้างานจาก 3,972 ล้านบาท ให้ลดลงเหลือ 435 ล้านบาท ไปสมทบราคาในสัญญาที่สูงเกินจริงซึ่งได้ประกวดราคาไปแล้ว ใช่หรือไม่ และไม่มีหลักประกันว่างบประมาณสำรองสำหรับรื้อย้ายสาธารณูปโภคดังกล่าวจะเพียงพอต่อการรื้อย้ายสาธารณูปโภคดังกล่าวจะเพียงพอต่อการรื้อย้ายสาธารณูปโภคจริง และอาจมีการเพิ่มงบประมาณในภายหลังได้อีก ใช่หรือไม่?
      
        6 สิงหาคม พ.ศ. 2552 นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ทำหนังสือเสนอให้คณะรัฐมนตรี “พิจารณาให้ความเห็นชอบ” ทั้งๆที่ได้มีการร้องเรียนและปรากฏเป็นข่าวถึงความผิดปกติอย่างมาก ต่อมาคณะรัฐมนตรีในสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงมีการประชุมวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552 และลงมติเลี่ยงคำเป็น “รับทราบ” แทน และปล่อยให้โครงการเดินหน้าต่อไป
      
        26 สิงหาคม 2552 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ลงนามสัญญาก่อสร้างสัญญาที่ 1 จาก เตาปูน-สะพานพระนั่งเกล้า ระยะทาง 12 กิโลเมตร กับกลุ่มกิจการร่วมค้า CKTC (ช.การช่าง-โตคิว) วงเงิน 14,292 ล้านบาท
      
        ซึ่งนับจากวันลงนามไปอีกประมาณ 60 วัน ก็ตกประมาณปลายเดือนตุลาคม ถึง ต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ซึ่งจะเป็นเงินงวดแรกที่ผู้รับเหมาจะได้เงินล่วงหน้า 10% หรือประมาณ 1,429 ล้านบาท ซึ่งถ้าหากสมมุติมีการวิ่งเต้นกัน เงินก้อนนี้ก็จะถูกทวงถามจากเหล่าข้าราชการและนักการเมืองพอดิบดีในประมาณเดือน พฤศจิกายน 2552
      
        ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2552 ดูเหมือนว่าจะมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในเรื่องงบประมาณรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เป็นเสมือนการต่อยอดจากรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งช่างบังเอิญอย่างร้ายกาจที่เหตุการณ์นี้เกิดพอดิบพอดีใกล้เคียงกับช่วงเวลาของ สายรัดมัดก้อนเงินวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2552 พอดีอีกด้วย

 
บันทึกการเข้า

คนดีไม่มีคำว่าเป็นกลาง เพราะคนดีแยกแยะความผิด ความชั่ว และความดีออกจากกันได้
เมื่อเราเป็นคนดี และเราเห็นอยู่แล้วว่าอะไรดี อะไรชั่ว  แล้วเราจะยืนอยู่เป็นกลางได้อย่างไร
การเป็นกลางในสภาวะที่แข่งกันระหว่างความดีและความชั่ว เรียกว่าความกลัวแห่งคนขี้ขลาด
หยุดกลัว หยุดขี้ขลาด

อ.เสรี วงษ์มณฑา 18/11/5
หน้า: 1 ... 8 9 10 [11] 12 13 14 15
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.131 วินาที กับ 22 คำสั่ง