เรื่องของความคิด-จากความไม่เข้าใจ-ที่นำไปสู่ความขัดแย้ง
"ทิโมธีเอ๋ยสิ่งที่เราบอกท่านแล้วนั้นจงรักษาให้ดี จงละเว้นการพูดที่ไร้สาระและการขัดแย้งในความเห็นซึ่งสำคัญผิดว่าเป็นความรู้" 1 ทิโมธี 6:20
จริงๆ ผมจะเอาเรื่องของจุดเริ่มต้นของหนังสือพิมพ์ในอเมริกา (อาณานิคม) หรือไม่ก็เรื่องผังรายการใหม่ของช่อง 9 อ.ส.ม.ท. และยังมีเรื่องที่ผมอยากจะเม้าท์คุณดู๋ สัญญาอีก แต่ผมขอยกยอดไว้ก่อน เพราะผมมีเรื่องหนึ่งในหัวครับ
ตลอดวันทำงานวันนี้ มีเรื่องของสิ่งๆหนึ่งที่ไม่พึงประสงค์อยู่ในหัวผมนั่นก็คือความขัดแย้ง แต่ไม่ได้หมายความว่าผมไปขัดแย้งกับใครนะครับ แต่ผมกำลังนึกถึงจุดเริ่มต้นของสิ่งนี้
ในชั้นเรียนการเขียนบทละครหลายสัปดาห์ก่อน ดร.ปริดา มโนมัยพิบูลย์ หรืออาจารย์บัว เป็นอาจารย์ผู้สอนวิชานี้ประจำ Section ของผม อาจารย์เล่าให้ฟังถึงละครเรื่องหนึ่งที่อาจารย์เขียนเป็นละครทีวีที่ยากที่สุด และต้องศึกษามากที่สุดเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเรื่อง น้ำพุ
หากใครมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์เรื่องน้ำพุ (อายุคงต้องพอควร) ที่นำแสดงโดย อำพล ลำพูน จะทราบว่า ทั้ง 2 เวอร์ชั่นนั้น แตกต่างกันมาก หรือเรียกง่ายๆก็คือไม่เหมือนกันเลย ซึ่งเป็นรูปแบบที่คนในยุคนั้นจะทราบดีว่าการติดยาเสพติด จะเป็นลำดับ และต้นเหตุก็คิอครอบครัวไม่อบอุ่น เพื่อนชวน ฯลฯ
อาจารย์บัวเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ไปสัมภาษณ์ครอบครัวและคนรู้จักของน้ำพุตัวจริงแล้ว ปรากฏว่าไม่ใช่อย่างที่ในภาพยนตร์เสนอ ครอบครัวของน้ำพุอบอุ่น แม้จะมีแม่เพียงคนเดียว แต่ก็รักกันดี แล้วทั้งหมดนี่เกิดอะไรขึ้น?
สิ่งที่เกิดขึ้นสำหรับน้ำพุก็คือ อารมณ์ติ๊ด (อารมณ์อ่อนไหวง่ายแบบศิลปิน) ของน้ำพุเอง แม้ว่าทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างพร้อม แต่ก็นำไปสู่ความขัดแย้งจากการไม่เข้าใจก็เป็นได้
ไม่ว่าคุณจะเรียกว่า EQต่ำ อารมณ์ติ๊ด เด็กใจแตก หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่คงต้องยอมรับกันว่า ความไม่รู้และความไม่เข้าใจ ยังมีอยู่มากในสังคมนี้
ก่อนที่จะขัดแย้งกัน ผมขอเสนอวิธีหนึ่งที่พอจะลดเรื่องของความขัดแย้งได้บ้าง (ไม่มากก็น้อย) นั่นก็คือ การรับฟังและยอมรับ เพราะรับฟังเฉยๆ เป็นได้แค่การรับทราบเท่านั้น
หากถอดความเข้าใจของตนออกก่อน โดยที่ลองรับฟังความเข้าใจของผู้อื่น คงจะทำให้เกิดการยอมรับได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าเราจะเข้าใจผิดหรือถูก แล้วสิ่งที่ถูกจะเป็นที่ยอมรับของคนทุกคน แต่สิ่งสำคัญที่คุณต้องทำก่อนคือ "หยุด"
หากอารมณ์ยังร้อนอยู่ ก็ขอให้ใช้เวลาให้เย็นลง ก่อนจะทุกอย่างจะพัง
คำว่า "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" หลายท่านเองก็ทราบหรือเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว แต่ผมอยากให้ลองลืมเรื่องความเข้าใจของตนเองทิ้งก่อน
แล้วเปลี่ยนเป็น "เอาความคิดเขามาใส่ความคิดเรา"
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=63808