เมียผู้ป่วยแพ้ยาประกาศขายไต หาเงินค่าธรรมเนียมวางศาลอุทธรณ์คดีวันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2011 เวลา 21:43 น. เขียนโดย สุรชา บุญเปี่ยม หมวด เรื่องเด่น
นางบังอร แสงโชติ อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 315/2 หมู่ 4 ต.เกาะจันทร์ อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี ประกาศขายไตข้างหนึ่งผ่านสื่อมวลชน เพื่อหาเงินไปวางในศาลเป็นค่าธรรมเนียม 7 หมื่นบาท ในการสู้คดีขั้นอุทธรณ์ให้นายเสนะ แสงโชติ สามี ซึ่งเป็นผู้ป่วยแพ้ยาจากการสั่งจ่ายยาของแพทย์จนตาเกือบบอดและไตวายเรื้อรัง หลังจากยื่นฟ้องสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ข้อหาหรือฐานความผิดละเมิด,เรียกค่าเสียหาย,พ.ร.บ.ความรับผิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เป็นเงิน 3,742,000 เมื่อปี 2550 โดยศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำฟ้อง แต่นายเสนาะต้องการสู้คดีต่อในชั้นอุทธรณ์และฎีกาเพื่อเรียกร้องหาความเป็นธรรม
ฉันต้องการขอความช่วยเหลือ เอาเงินไปวางค่าธรรมเนียมในศาล ไม่มีเงินเลย ครอบครัวมีกันอยู่ 3 คนพ่อแม่ลูก สามีฉันก็ป่วยหนักทำงานไม่ได้ ฉันต้องไปรับจ้างตัดอ้อยวันละร้อยกว่าบาท หาเงินเลี้ยงครอบครัว หมดหนทางจริงๆ แต่ก็ต้องการสู้คดี เพราะสามีฉันไปหาหมอที่โรงพยาบาลแล้วเกิดแพ้ยา ตาเกือบบอด แล้วยังมีอาการเป็นโรคไตวายเรื้อรังอีก ไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว นางอังอร กล่าวทางโทรศัพท์กับผู้สื่อข่าว สำนักข่าวอิศรา
ความเป็นมาของการประกาศขายไตเพื่อช่วยสามีให้ได้รับความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรมให้ถึงที่สุดของนางบังอร เริ่มจาก เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2550 นายเสนาะไปรักษาอาการปวดตึงที่มือ ขาและไหล่ ที่โรงพยาบาลพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี แพทย์นิจฉัยว่านายเสนาะเป็นโรคข้ออักเสบ แล้วเจาะเลือด เอ็กซเรย์ ให้ยาแก้ปวดและแก้อักเสบไปทานต่อที่บ้าน 1 สัปดาห์ต่อมา แพทย์แจ้งว่าผลเลือดว่ามีกรดยูริกสูง นายเสนาะ เป็นโรคเก๊าท์ สั่งจ่ายยาไปทานต่อที่บ้าน วันที่ 3 พฤษภาคม 2550 แพทย์นัด ให้ยารักษาโรคเก๊าท์ไปทานต่อที่บ้าน นัดตรวจอีกครั้งในอีก 1 เดือนถัดไป
นายเสนาะกินยาตามแพทย์สั่งไปได้ 7 วัน ก็มีผื่นคันที่ผิวหนังและตามลำตัว ตาแฉะทั้งสองข้าง ปากเริ่มพองเป็นแผล และมีไข้หนาวสั่น จึงไปฉีดยาแก้แพ้ที่สถานีอนามัยแห่งหนึ่ง แล้วไปพบหมอที่โรงพยาบาลพนัสนิคมก่อนกำหนดวันนัด แพทย์วินิจฉัยว่าแพ้ยาธรรมดา สั่งให้ยาแก้แพ้ให้ไปทานต่อที่บ้าน ให้ยาหยอดตา แก้คัน 1 ขวด จากนั้นให้กลับบ้านโดยมิได้นัดให้กลับไปตรวจอีก ก่อนกลับแพทย์ได้ยึดยาที่เคยกินแล้วแพ้เอาไว้ นายเสนาะกลับบ้านกินยาแก้แพ้ แต่ผื่นยังลามไปเรื่อย ๆ มีอาการแสบตา และตามัว มีอาการเจ็บปากจนรับประทานอาหารไม่ได้ มีไข้หนาวต้องนอนคลุมโปง มองสิ่งของไม่เห็นชัด ถึงขั้นเดินชนสิ่งของในบ้าน
วันที่ 12 พ.ค. 2550 นายเสนาะเปลี่ยนไปรักษาที่โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา แพทย์วินิจฉัยว่ามีอาการแพ้ยาอย่างรุนแรงที่ชื่อว่า สตีเว่นส์ จอห์นสัน ซินโดรม จึงรับตัวไว้รักษา
วันที่ 15 พ.ค. 2550 นายเสนาะย้ายออกจากโรงพยาบาลสมิติเวชไปพักรักษาตัวที่บ้านเนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง และไปรักษาต่อตามนัดในแผนกผู้ป่วยนอกที่โรงพยาบาลสมิติเวช ต่อเนื่องกันมา แต่นายเสนาะร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนแต่ก่อน ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ดังเดิม เพราะตามัวมองไม่ชัด เคืองตาและแสบตา ต้องหยอดน้ำตาเทียม และมีปัญหาไตวายจากการแพ้ยา ต้องรักษาต่อเนื่อง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
วันที่ 28 ธันวาคม 2550 นายเสนาะได้ยื่นฟ้องสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขต่อศาลจังหวัดนนทบุรี ต้นสังกัดโรงพยาบาลพนัสนิคม ซึ่งแพทย์ได้ตรวจรักษาโรคให้ แต่แพทย์ให้ยาผิดพลาด ทำให้นายเสนาะแพ้ยารุนแรงและทำให้สายตาพร่ามัวและเป็นโรคไตวายเรื้อรัง กลายเป็นคนทุพพลภาพ เป็นการฟ้องเป็นการฟ้องอย่างคนอนาถา ซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้สู้คดีอย่างคนอนาถา ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม ต่อมาศาลพิพากษายกคำฟ้องของนายเสนาะ แต่แม้จะแพ้คดีในศาลชั้นต้น นายเสนาะต้องการจะสู้คดีจนถึงที่สุด โดยดำเนินการยื่นอุทธรณ์ต่อ ซึ่งศาลมีคำสั่งให้นำเงินมาวางศาลกว่า 7 หมื่นบาท ในวันที่ 21 ธันวาคม นี้
มีการไกล่เกลี่ยกันในศาล ครั้งแรกทางหมอก็บอกจะให้แสนนึง แต่ทางฉันไม่รับเพราะต้องใช้รักษาดวงตามสามีไปตลอดชีวิต ครั้งที่ 2 ผอ.โรงพยาบาลก็บอกว่าจะให้เงิน 2 แสน รวบรวมจากหมอด้วยกันแต่ยังไม่ได้ ฉันเห็นว่าน้อยเกินไป ไม่พอค่ารักษาพยาบาลแล้วยังต้องนำเงินไปจ่ายค่าโน่นนี่ช่วงไม่ได้ทำงานอีก ขอ 3 แสน แต่ไม่ตกลงกัน จนศาลตัดสินให้นายเสนาะแพ้คดี
วันฟังคำพิพากษา พอตัดสินว่าให้ยกคำฟ้อง คดีไม่มีมูล พอผู้พิพากษาลงจากบัลลังก์ ฉันตระโกนร้องลั่นด้วยความเสียใจอย่างถึงที่สุด ชีวิตคนไม่มีค่า ตาจะบอดอยู่แล้วยังแพ้คดีอีก นางอังอรกล่าวกับผู้สื่อข่าว สำนักข่าวอิศรา
ประกาศขายไตผ่านสื่อ นางอังอร กล่าวว่า วันที่ 21 ธันวาคม เป็นวันที่จะต้องนำเงิน 7 หมื่นบาทไปวางเป็นค่าธรรมเนียมศาล แต่ไม่มีเงินจึงประกาศขายไตของตนเองข้างหนึ่งให้กับใครก็ได้ที่ต้องการ เพื่อแลกกับเงินไปวางค่าธรรมเนียมในศาล โดยนายเสนะ ได้ร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน ซึ่งหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ได้เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ที่ผ่านมาและต่อมาได้เผยแพร่ทางสื่ออินเตอร์เนท ดังนี้
กราบเรียน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
เรื่องราวความยุติธรรมที่หาได้ยากลำบากสำหรับคนจน แม้จะเป็นการใช้สิทธิ์ทางศาล ศาลยุติธรรมซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน ก็ยังเป็นเรื่องไม่มีสิทธิ์หรือไม่มีพื้นที่สำหรับคนจน นายเสนาะ แสงโชติ ชายสายตาขุ่นมัว แทบจะเรียกได้ว่าเกือบตาบอด ปี 2550 นายเสนาะไปรักษาอาการปวดตึงที่มือ ขาและไหล่ ที่โรงพยาบาลพนัสนิคม หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคข้ออักเสบ เจาะเลือดและเอกซเรย์ ให้ยาแก้ปวดและแก้อักเสบไปกินต่อที่บ้าน
นายเสนาะทานยาได้ 7 วัน มีผื่นคันตามผิวหนัง ตามลำตัว เริ่มตาแฉะทั้งสองข้าง ปากเริ่มพองเป็นแผล และมีไข้หนาวสั่นต้องนอนคลุมโปง จึงไปฉีดยาแก้แพ้ที่สถานีอนามัยปรกฟ้า แล้วไปพบหมอที่โรงพยาบาลพนัสนิคมเดิม หมอวินิจฉัยว่าแพ้ยาธรรมดา สั่งให้ยาแก้แพ้ให้ไปทานต่อที่บ้านอีก ให้ยาหยอดตา แก้คัน 1 ขวด แล้วให้กลับบ้านเหมือนเดิม โดยมิได้นัดให้กลับไปตรวจอีก ซึ่งนายเสนาะกลับบ้านกินยาแก้แพ้ แต่ผื่นยังลามไปเรื่อยๆ แสบตาและตามัวลง เจ็บปากกินอาหารไม่ได้ มีไข้หนาวสั่นต้องนอนคลุมโปง มองสิ่งของเห็นไม่ชัด นางบังอรภริยาของนายเสนาะได้พาไปรักษาที่ รพ.สมิติเวชศรีราชา หมดเงินไป 70,000 กว่าบาท ต้องกู้เงินมาใช้เขา
หมอวินิจฉัยว่ามีอาการแพ้ยาอย่างรุนแรงที่ชื่อว่า สตีเวนส์ จอห์นสัน ซินโดรม จึงรับตัวไว้รักษาช่วยจนรอดชีวิต แต่ก็ต้องเสียดวงตาไม่สามารถมองเห็นได้ชัด ไม่สามารถรักษาได้อย่างเดิม ซึ่งปัจจุบันนายเสนาะมีร่างกายไม่แข็งแรง ไม่สามารถประกอบอาชีพทำไร่เลี้ยงลูกเมียได้ดังเดิม ตามัวมองไม่ชัด เคืองตา แสบตาต้องหยอดน้ำตาเทียม และมีปัญหาไตวายจากการแพ้ยา มีโรคภัยจากสภาวะไตวายอีกมากมายต้องรักษาต่อเนื่อง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
ต่อมา นายเสนาะได้ยื่นฟ้องกระทรวงสาธารณสุขต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม อย่างคนอนาถา ซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้สู้คดีอย่างคนอนาถา ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม แต่ต่อมาศาลพิพากษายกคำฟ้องนายเสนาะ ซึ่งนายเสนาะต้องการจะสู้คดีจนถึงที่สุด โดยดำเนินการยื่นอุทธรณ์ต่อ แต่ครั้งนี้ศาลมีสั่งให้เอาเงินมาวางศาล 7 หมื่นกว่าบาท เนื่องจากศาลว่าแม้จะจนจริง แต่คดีไม่มีมูลจะชนะ ซึ่งนายเสนาะต้องการสู้คดีให้ถึงที่สุดจนชั้นฎีกา
แต่นายเสนาะและภริยานางบังอรตกงาน เนื่องจากไม่แข็งแรง ไปรับจ้างทำงานตัดอ้อยวันละ 100 กว่าบาทเลี้ยงสามีและลูก จะหาเงินที่ไหนเกือบแสนไปต่อสู้คดี เรียกร้องสิทธิ์ของตัวเองได้ เรามันยากจนจริงๆ การสู้คดีจึงเป็นเรื่องลำบากเพราะขาดทุนทรัพย์
นางบังอรและนายเสนาะจึงอยากจะขอความเห็นใจ และขอรับความช่วยเหลือจากผู้ใจบุญ และยินดีประกาศขายไตข้างหนึ่งเพื่อขอต่อสู้คดีต่อไป นายเสนาะและนางบังอร แสงโชติ โทร.085-1836528 315/2 หมู่ 4 ตำบลเกาะจันทร์ อำเภอเกาะจันทร์ จังหวัดชลบุรี นายเสนาะ
( บังอรเป็นผู้ประกาศขายไตหนึ่งข้าง เพราะนายเสนาะ สามีทำไม่ได้ เป็นผลพวงจากการแพ้ยาทำลายไตไปด้วย ปัจจุบันเสนาะเป็นโรคไตที่อาการไม่ดี ตัวบวม ขาบวมมากจนบางครั้งลุกไม่ขึ้น)
แฉพฤติกรรมเจ้าหน้าที่ สธ. นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ซึ่งเป็นผู้ที่ช่วยเหลือทางฟ้องร้องให้นายเสนาะ เปิดเผยว่า ระหว่างการพิจารณาคดีครั้งหนึ่งในห้องไกล่เกลี่ยที่ศาลนนทบุรี นิติกรของกระทรวงสาธารณสุขดูหมิ่น ต่อหน้าผู้พิพากษาผู้ประนอมว่า "อ๋อคุณอุ้ยนะหรือผมรู้จักดี คนคนนี้กับสามีไม่ทำมาหากินอะไรนอกจากหากินกับคนไข้"
นางปรียนันท์จึงขออนุญาตผู้ประนอมว่า "ขออนุญาตนะคะท่าน" แล้วก็พูดกับนิติกรคนนั้นว่า "พี่คะทำไมพี่พูดพล่อย ๆ อย่างนี้ พี่ไปได้ข้อมูลมาจากไหน ใครเป็นคนป้อนข้อมูลให้พี่...ฯลฯ "
หลังจากนั้น นางปรียนันท์ได้ทำหนังสือถึงนายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในเวลานั้น ให้สอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมสำเนาหนังสือถึงหัวหน้ากลุ่มกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุขด้วย เพราะเชื่อว่ามีคนในกลุ่มนักกฎหมายของกระทรวงฯที่ต่อสู้คดีกันมา ทำให้ถูกมองว่าเป็นศัตรู ถูกให้ร้ายป้ายสี อย่างสกปรก รายละเอียดในหนังสือร้องเรียนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีรายละเอียดดังนี้
2 กันยายน 2552
เรื่อง พฤติกรรมของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
เรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
สำเนาส่ง ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
อ้างถึง คดีหมายเลขดำที่ 1786/2550
สืบเนื่องจากคดีที่อ้างถึง เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2552 ศาลจังหวัดนนทบุรีได้นัดสืบพยานโจทก์ เวลา 9.00 น. เมื่อไปถึง ศาลประสงค์ให้คู่ความไกล่เกลี่ยกัน ภายในห้องไกล่เกลี่ยประกอบด้วย
1. ( ผู้พิพากษา )ทำหน้าที่ประธาน
2. เจ้าหน้าที่ศาล
3. นายเสนาะ แสงโชติ-โจทก์, นางบังอร แสงโชติ-ภรรยาโจทก์
4. อัยการจำเลย
5. นาย ส. แนะนำตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านกฎหมาย ประจำสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
6. นายธำรงค์ หลักแดน ทนายโจทก์
7. นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์
ดิฉันทราบดีว่าผู้เสียหายทุกครอบครัวมีความเดือดร้อนไม่ว่าจะเรื่องความเป็นอยู่ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการรักษาต่อเนื่องระยะยาว ดังนั้นเมื่อศาลจังหวัดนนทบุรีมีนโยบายที่จะดำเนินการไกล่เกลี่ย ทางเครือข่ายฯ จึงรู้สึกยินดีและเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง และหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าต่อไปผู้เสียหายและครอบครัว จะได้รับการเยียวยาตามสมควรแก่เหตุในระยะเวลาอันรวดเร็ว
เมื่อการไกล่เกลี่ยเริ่มขึ้น นาย ส.แนะนำตนว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเทียบเท่าข้าราชการซี 8 ระดับผู้ตรวจการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมโชว์นามบัตรผู้มีชื่อเสียงหลายคนบนโต๊ะ แสดงตนว่ามีความรู้ความสามารถเรื่องการแพทย์จนจะรักษาคนได้แล้ว และกล่าวดูหมิ่นดิฉันซึ่งหน้าว่า ดิฉันกับสามีไม่ได้ทำมาหากินอะไร นอกจากทำเรื่องเครือข่ายฯ เพียงอย่างเดียว และรับเงินรับทองจากการทำการนี้ และฯลฯ
สามีดิฉันทำงานเป็นวิศวกร มีเงินเดือนพอเลี้ยงครอบครัว ดิฉันเองทำงานเพื่อสังคมด้วยความเสียสละมาโดยตลอดไม่เคยมีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่เคยเรียกเงินทองจากผู้เสียหายแม้สลึงเดียว ไม่เคยรับเงินจากหน่วยงานใด ๆ มีแต่จะนำเงินของครอบครัวมาใช้จ่ายในกิจกรรมเพื่อสังคมเช่นการไปร่วมพิจารณา กฎหมาย พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานานถึง 11 เดือน ดังนั้นการดูหมิ่นดิฉันซึ่งหน้าครั้งนี้ สามีดิฉันและดิฉันต้องการให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนนาย ส. โดยเร็วที่สุดว่าใครเป็นผู้ให้ข้อมูลนาย ส. และทางกระทรวงสาธารณสุขต้องมีส่วนรับผิดชอบในการกระทำครั้งนี้ของนาย ส.
ดิฉันเห็นว่า ปัญหาความขัดแย้งระหว่างผู้ป่วยและญาติกับบุคลากรทางการแพทย์นั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แม้จะมีความขัดแย้งกัน แต่ทุกฝ่ายก็กำลังหาทางออกร่วมกันและใกล้จะบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ดิฉันเห็นว่าทางกระทรวงสาธารณสุข สมควรจะพิจารณาให้ผู้ที่มาทำหน้าที่ใด ๆ ที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ ควรเป็นผู้มีวุฒิภาวะสูงเป็นหน้าเป็นตาของกระทรวง มีความยืดหยุ่น และเข้าใจปัญหาทั้งสองด้าน และควรทำให้การเผชิญหน้ากันทุกครั้งมีทางออกที่เหมาะสมด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพราะในสายตาประชาชนแล้ว ข้าราชการควรจะทำหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชน หาทางออกให้ชาวบ้าน มากกว่าการทำตัวเป็นปฏิปักษ์อวดอ้างตน ยกตนข่มท่าน เห็นเครือข่ายฯ เป็นศัตรูและให้ร้ายในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการ และแจ้งให้ดิฉันทราบความคืบหน้าจักกราบขอบพระคุณยิ่ง
ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
(นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา)
ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์
สุดท้ายคนคนนั้นก็ถูกให้ออกจากงานไป แต่กระบวนการไกล่เกลี่ยแบบนี้ยังคงอยู่ นางปรียนันท์ กล่าว
ครอบครัว แสงโชติสุดรันทดจากมือหมอ สำหรับครอบครัว แสงโชติ ไม่เพียงนายเสนาะเท่านั้นที่ประสบเหตุการณ์อันเกิดขึ้นจากรับบริการทางสาธารณสุข นางบังอร ภรรยาผู้ประกาศขายไตแลกเงิน 7 หมื่นบาท ก็ประสบกับเหตุการณ์มาด้วยตัวตนเองด้วยเหมือนกัน โดยเมื่อประมาณปี 2538 นางบังอรเล่าว่าได้เดินทางไปคลอดบุตรคนที่ 2 ที่โรงพยาบาล และผ่าตัดทำหมัน หลังจากนั้น ได้เกิดอาการผิดปกติรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงทุกครั้งมาตลอดในช่วงที่มีประจำเดือน
ปี 2542 นางบังอรไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง เมื่อเอ็กซเรย์ดูพบว่ามีก้อนเลือดลักษณะคล้ายสิ่งแปลกปลอมอยู่ที่บริเวณท้องน้อย และตุงออกมาจนเกือบทะลุท้อง ซึ่งวัตถุดังกล่าว คล้ายคีมผ่าตัด แพทย์จึงต้องคว้านผนังหน้าท้องทั้งหมดทิ้ง และจะใส่แผ่นใยสังเคราะห์กันไส้ไหลไว้ในท้องแทน แต่หมอไม่ยอมให้ดูว่าสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในท้องตนมานานเกือบ 5 ปี คืออะไร
หมอที่ผ่าตัดรักษาบอกเพียงว่า หมอคนเก่าชุ่ยมากๆ คุณทนมาได้ยังไงตั้ง 5 ปี นางบังอร กล่าวยืนยันกับผู้สื่อข่าว สำนักข่าวอิศรา
หลังจากการผ่าตัด นางบังอรต้องฉีดยาบังคับไม่ให้มีรอบเดือนตลอดชีวิต เพราะจะทำให้เสียเลือดมาก แต่กรณีของบังอรไม่ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหาย เนื่องจากเหตุเกิดปี 2538 หมดอายุความทางแพ่งไปแล้ว และถ้าจะแจ้งความเพื่อนำเอาอายุความทางอาญาที่ยาวกว่ามาใช้ก็ไม่ได้อีกเพราะเกินอายุความ 10 ปีแล้ว ไม่มีหลักเลยในการฟ้อง คีมที่แพทย์คนหลังผ่าเอาออกก็ทิ้งไปแล้วและไม่ให้บังอรดู ส่วนเวชระเบียนก็ทำลายหมดแล้วเพราะโรงพยาบาลเก็บไว้เพียง 5 ปี
นางบังอรเล่าว่า เธอมีบุตรชาย 2 คน คนโตเสียชีวิตแล้วเพราะถูกรถชน คนเล็กอายุ 16 ปี ยังเรียนหนังสือระดับ ปวช. เธอเคยทำงานโรงงานรองเท้า แลกกับเงินเดือนไม่กี่พันบาท กลิ่นกาวได้ทำลายกล่องเสียงจนพูดเสียงแหบแหบ เมื่อร่างกายไม่แข็งแรง ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ในที่สุดก็ต้องออกจากงาน ไปประกอบอาชีพเป็นแม่ค้าทำกับข้าวขายก็ประสบอุบัติเหตุไปตกมอเตอร์ไซค์ ปัจจุบันรับจ้างตัดอ้อย ส่วนนายเสนาะก่อนจะป่วยยังสามารถทำไร่ช่วยเหลือครอบครัวได้ เวลานี้ทำอะไรไม่ได้ ออกถูกแดดไม่ได้เลย เพราะผลพวงของการแพ้ยา
มีคนโอนเงินมาช่วยแล้วนิดหน่อย แต่คงไม่พอไปวางค่าธรรมเนียมศาลเพื่ออุทธรณ์ ก็ต้องขอความเมตตาศาลขอเลื่อนออกไปก่อน เพราะไม่มีเงินจริงๆ ไปหาหมอที่โรงพยาบาล กินยาจนตาเกือบจะบอด ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเลย เมื่อวันศุกร์ก็มีหมอมาหา ถามว่าจะให้ช่วยอะไรบ้าง ฉันบอกถ้าได้เงิน 5 แสนบาทเป็นค่ารักษาพยาบาลนายเสนาะไปตลอดชีวิตก็พอแล้ว แต่ไม่มีการติดต่อกลับมา ฉันก็ต้องไปสู้ต่อที่ศาล คนจนก็เป็นคนจน สู้ใครเขาไม่ได้ นางบังอร กล่าวปนเสียงสะอึกสะอื้น
ที่มา : สำนักข่าว อิศรา <<< กดลิงค์อ่านรายละเอียด