เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 20, 2024, 07:43:18 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 6 7 8 [9] 10
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน ?  (อ่าน 18883 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #120 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 03:20:25 PM »

ออกตัวก่อนว่าไม่ได้เข้ามาเถียงหรือด่าใครอีกนะครับ, ความเห็นนายสมชาย Post ไปแล้วและยังยืนยันเหมือนเดิม...

แต่เข้ามาบอกว่า สมมติว่านายสมชายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางรูปคดี ในคดีตามกระทู้นี้, เอาเฉพาะกรณีแพ้ยาฯ นายสมชายจะหาวิธีรวบรวมสถิติครับ... เอาเคสแพ้ยาและเจียนตายทำนองนี้ ถึงแม้ไม่เหมือนเป๊ะๆ เช่นหาคำจำกัดความก่อนว่าแค่ไหนเทียบได้กับตามกระทู้นี้...

รวบรวมสถิติทั้งหมดมานั่งกางดูว่ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับประเด็นที่เอามาให้ความเห็นในกระทู้นี้... เช่น"คนจนหรือคนรวย" "โรงพยาบาลของรัฐหรือเอกชน" "โรงพยาบาลในกรุงหรือต่างจังหวัดเมืองเล็ก" "เป็นญาติของหมอหรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับหมอ" "ยาถูกหรือยาแพง" "หมอจบใหม่หรือหมอมีประสบการณเกินเท่านั้นเท่านี้ปี" "จำนวน Walk in ของคนไข้ต่อวันมีแยะหรือน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนหมอ" ฯลฯ...

แล้วดูว่ามีนัยสำคัญแตกต่างกันอย่างไรครับ... แต่ในวันนี้ในกระทู้นี้ เรื่องนี้ก็แค่สงสัยเท่านั้นเองครับ ยังหาข้อสรุปไม่ได้...
บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #121 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 03:22:46 PM »

หากผลการแพ้ยาฯ เป็นเส้นกราฟกระจายได้สม่ำเสมอได้ค่าเฉลี่ยเป็นเส้นราบเสมอกันตลอด(แตกต่างแบบไม่มีนัยสำคัญ)... เมื่อนั้นนายสมชายจึงเชื่อว่ามัน"เหมือนกัน"หมดครับ...
บันทึกการเข้า
srimalai_รักในหลวง
คนธรรมดา
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 183
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3381


« ตอบ #122 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 03:43:35 PM »

เลิกออกความเห็นครับ คงไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ถ้าตราบใดที่หลายท่านกำหนดมาตรฐานเอาเอง ขอแสดงความเคารพในทุกความเห็น ของทุกท่าน ไหว้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 27, 2011, 03:48:24 PM โดย srimalai_รักในหลวง » บันทึกการเข้า

อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก  แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย
แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนก็แคลนคลาย  เจ็บจนตายนั้นเหน็บให้เจ็บใจ
เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก  จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา  จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #123 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 04:11:17 PM »

เลิกเถียงกันแล้วมาทำประกัน กับผมดีกว่าครับรับรองมาตฐาน เอไอเอ หมดเหมือนกัน  ขำก๊าก
บันทึกการเข้า
plo-รักในหลวง
Sr. Member
****

คะแนน 51
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 782



« ตอบ #124 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 04:24:36 PM »

 Grin Grinผม อ่านกระทู้นี้แล้ว  พอเข้าใจแล้วครับ   คิก คิก คิก คิก

ว่าทำไม หมอ+แพทย์สภา ถึงค้านไม่เอา พรบ.คุ้มครองคนไข้........ก็อยู่กันไปครับประเทศสารขัณฑ์ บู่ บู่ บู่


 หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตารินว่าแล้วก็เก็บเงินไปทำประกันกับ  พี่ศักดา  น่าจะดี หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #125 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 04:36:24 PM »

เลิกเถียงกันแล้วมาทำประกัน กับผมดีกว่าครับรับรองมาตฐาน เอไอเอ หมดเหมือนกัน  ขำก๊าก

โห... จบได้สวยครับ... เย้...
บันทึกการเข้า
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #126 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 05:14:15 PM »

พ่อผม อยู่ดีๆก็เกิดอาการหายใจไม่ออก ส่งโรงพยาบาลเอกชน(ทักษิณ) สุราษ  
วันแรกต้องบอกว่า ผมเองแทบช๊อค แต่สิ่งที่ทั้งหมอและพยาบาล ปฎิบัติก็คือ ทุกคน ช่วยชีวิตพ่อผมไว้
ผมจำวันนั้นได้ดีที่สุด เพราะผมคนเดียวที่อยู่ในเหตุการณ์  ปั๊มหัวใจ ใส่เครื่องช่วยหายใจสารพัด  นอนห้องไอซียู
3วัน 3คือค่าใช้จ่าย 3หมื่นกว่า ยังจำได้ดี
 ผมถามหมอ ว่า"หมอครับพ่อผมเป็นอะไร " หมอบอกผมว่า "พ่อของน้องเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ"
คำถามต่อไปผมถามหมอว่า" หมอครับทำไงถึงจะรักษษพ่อของผมหาย" หมอตอบว่า "ต้องบายพาสหัวใจ สองเส้น "
ผมถามต่อว่า " เท่าไหร่ครับหมอ " หมอถอนหายใจแล้วตอบว่า "สองล้าน" ครับ
 สิ่งที่ผมคิดก็คือ ผมไม่โทษหมอ ที่หมอบอกราคานั้นมา แต่สิ่งที่ผมโทษก็คือ  ผมโทษตัวเอง ที่เกิดมาชาตินี้ พ่อให้กำเนิดชีวิตเรา
เลี้ยงดูเรา ซึ่งมองว่า มีมูลค่ามากกว่า สองล้านแน่  แต่วันนี้เราไม่สามารถ หาเงินสองล้านมาได้  ความคิดนึงที่ผุดขึ้นมาก็คือ
"ถ้ามีใครซักคนมาบอกว่า "รับซื้อชีวิตของเรามูลค่า สองล้าน" ผมยอมขายชีวิตผมทันที แต่ก็ได้แต่คิด
หลังจากนั้นไม่นาน " พ่อผมก็ย้ายไปที่โรงพยาบาล สุราษ(ประจำจังหวัด) และเสียชีวิต หลังจากนั้น อีกประมาณ
ผมยังจำสภาพแวดล้อมในโรงพยาบาลได้ีดี ว่ามันรันทดแค่ไหน  หลายๆเหตุการณ์ในนั้น ที่ทำให้ผมต้อง ท้อใจกับชีวิต

ย้อนกลับมาที่โรงพยาบาลเอกชนอีกครั้ง ตอนที่พ่อผมนอนอยู่นั้น เ้ค้าบริการดีมาก ผมแทบไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่ พ่อผมจะถ่ายหนัก
เค้าจัดการให้หมด ผมกลับ บ้านเปิดร้านกลางวัน มาเฝ้าพ่อกลางคืน
แต่พ่อมาอยู่ ที่โรงพยาบาลของรัฐ ผมต้องทำแทบทุกอย่าง นั้นคือการกลับไปสู่ เหวของการเสพ ยาบ้าอีกครั้ง ผมไม่ได้ขายครับ แต่ผมต้องการเสพ ผมไม่ได้ต้องการรสชาิด ของยาแต่ผมต้องการ ฤทธิ์ของมัน เพื่อไม่ให้ ตัวเองหลับ ผมไม่ได้นอน 3วัน3คืน จนครั้งสุดท้าย เมื่อ ลูกเลี้ยงของพ่อ อาสาที่จะเฝ้าไข้ต่อ ผมจึงหยุด ยา  

ผมหลับไป 20 ชั่วโมงเต็มๆ เหตุผลที่ผมทำเช่นนั้น เพราะว่า "งานที่ค้างอยู่ (ร้านศักดาโฟน) กลางวัน กลางคืนผม ต้องทำหน้าที่ลูก
พ่อผมเองยังแปลกใจว่า "มึงไม่นอนเลยหรือ " ผมตอบพ่อว่า"พ่อครับผมไม่ง่วง "  

ตอนที่พ่อผมเสีย ผมคิด อย่างเดียวว่า" ถ้าวันนี้เราอยู่ในสภาวะเช่นนี้ เราจะทำอย่างไร ถ้าลูกหลานของเรา เป็นแบบผม มีอยู่สิ่งเดียวที่ผม คิดก็คือ  วันนี้ผมต้องทำงานให้ตัวเองมีเงิน ผมไม่มีเวลาที่จะเกษีณอายุ  ผมต้องทำงานของผมจนผมตาย  ลูกต้องได้เรียนสูงๆเท่าที่เค้าทำได้  เราต้องทำประกันชีวิตเพื่อไม่ให้เป็นภาระลูกของเรา ถ้าเราทำประกันแล้ว หากเราเป็นอะไร ไป มันคือหน้าที่ของ บริษัทประกัน  ที่ต้องรับผิดชอบ  

 ไม่ต้องมาตีอกชกตัวว่าเรา "จน" สองมาตฐาน อะไร ที่กล่าวกันมา  ไม่ต้องเรียกร้องสิทธิ์ ที่คิดว่า "คนไทยจะต้องมี คนไทยจะต้องได้ "

  บางวันมีตังค์แค่หลักร้อย ผมบอกตัวเองเสมอ"กูไม่ได้จน"  บางวันมีในกระเป๋าเป็นหมื่น ก็บอกกับตัวเองว่า"กูยังไม่รวย"

 ขอโทษนะครับ คนจน มักมีแนวคิดว่า "ก็กูมันจน" พอมีโอกาสอะไรดีๆมา"ก็กูไม่สามารถ" ที่กูจนเพราะ โชคชะตา

สุดท้ายก็เอามือลูบท้อง แล้วนอนรอความตาย "โทษไปทั่ว ไม่โทษตัวเองซักคน "

 คำถามที่อยากจะถามก็คือ 1. งานที่คุณทำคุณทำเต็มที่หรือไม่  
                                      2. งานที่คุณทำ มันยกฐานะได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ เหตุผลใดถึงไม่เปลี่ยน งาน
    คนจนที่ผมเห็น อีกอย่างและส่วนใหญ่ก็คือ 1 ใจไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
                                                                2 ใจไม่กล้าที่จะเริ่มกับสิ่งใหม่
                                                                3 ขี้เกียจ ตัวเป็นขน

ขอโทษทีเด้อ ผมไม่เคยจน แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวย อะไรมากมาย แค่ พอมีพอกิน อยากกินอะไรได้กิน อยากซื้ออะไรได้ซื้อตามงบ ที่มีอยู่ บนความ

เหมาะสมและพอเพียง
                                    
  
 
บันทึกการเข้า
m620- รักในหลวง
Sr. Member
****

คะแนน 67
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 668



« ตอบ #127 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 06:39:31 PM »

พ่อผม อยู่ดีๆก็เกิดอาการหายใจไม่ออก ส่งโรงพยาบาลเอกชน(ทักษิณ) สุราษ  
วันแรกต้องบอกว่า ผมเองแทบช๊อค แต่สิ่งที่ทั้งหมอและพยาบาล ปฎิบัติก็คือ ทุกคน ช่วยชีวิตพ่อผมไว้
ผมจำวันนั้นได้ดีที่สุด เพราะผมคนเดียวที่อยู่ในเหตุการณ์  ปั๊มหัวใจ ใส่เครื่องช่วยหายใจสารพัด  นอนห้องไอซียู
3วัน 3คือค่าใช้จ่าย 3หมื่นกว่า ยังจำได้ดี
 ผมถามหมอ ว่า"หมอครับพ่อผมเป็นอะไร " หมอบอกผมว่า "พ่อของน้องเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ"
คำถามต่อไปผมถามหมอว่า" หมอครับทำไงถึงจะรักษษพ่อของผมหาย" หมอตอบว่า "ต้องบายพาสหัวใจ สองเส้น "
ผมถามต่อว่า " เท่าไหร่ครับหมอ " หมอถอนหายใจแล้วตอบว่า "สองล้าน" ครับ
 สิ่งที่ผมคิดก็คือ ผมไม่โทษหมอ ที่หมอบอกราคานั้นมา แต่สิ่งที่ผมโทษก็คือ  ผมโทษตัวเอง ที่เกิดมาชาตินี้ พ่อให้กำเนิดชีวิตเรา
เลี้ยงดูเรา ซึ่งมองว่า มีมูลค่ามากกว่า สองล้านแน่  แต่วันนี้เราไม่สามารถ หาเงินสองล้านมาได้  ความคิดนึงที่ผุดขึ้นมาก็คือ
"ถ้ามีใครซักคนมาบอกว่า "รับซื้อชีวิตของเรามูลค่า สองล้าน" ผมยอมขายชีวิตผมทันที แต่ก็ได้แต่คิด
หลังจากนั้นไม่นาน " พ่อผมก็ย้ายไปที่โรงพยาบาล สุราษ(ประจำจังหวัด) และเสียชีวิต หลังจากนั้น อีกประมาณ
ผมยังจำสภาพแวดล้อมในโรงพยาบาลได้ีดี ว่ามันรันทดแค่ไหน  หลายๆเหตุการณ์ในนั้น ที่ทำให้ผมต้อง ท้อใจกับชีวิต

ย้อนกลับมาที่โรงพยาบาลเอกชนอีกครั้ง ตอนที่พ่อผมนอนอยู่นั้น เ้ค้าบริการดีมาก ผมแทบไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่ พ่อผมจะถ่ายหนัก
เค้าจัดการให้หมด ผมกลับ บ้านเปิดร้านกลางวัน มาเฝ้าพ่อกลางคืน
แต่พ่อมาอยู่ ที่โรงพยาบาลของรัฐ ผมต้องทำแทบทุกอย่าง นั้นคือการกลับไปสู่ เหวของการเสพ ยาบ้าอีกครั้ง ผมไม่ได้ขายครับ แต่ผมต้องการเสพ ผมไม่ได้ต้องการรสชาิด ของยาแต่ผมต้องการ ฤทธิ์ของมัน เพื่อไม่ให้ ตัวเองหลับ ผมไม่ได้นอน 3วัน3คืน จนครั้งสุดท้าย เมื่อ ลูกเลี้ยงของพ่อ อาสาที่จะเฝ้าไข้ต่อ ผมจึงหยุด ยา  

ผมหลับไป 20 ชั่วโมงเต็มๆ เหตุผลที่ผมทำเช่นนั้น เพราะว่า "งานที่ค้างอยู่ (ร้านศักดาโฟน) กลางวัน กลางคืนผม ต้องทำหน้าที่ลูก
พ่อผมเองยังแปลกใจว่า "มึงไม่นอนเลยหรือ " ผมตอบพ่อว่า"พ่อครับผมไม่ง่วง "  

ตอนที่พ่อผมเสีย ผมคิด อย่างเดียวว่า" ถ้าวันนี้เราอยู่ในสภาวะเช่นนี้ เราจะทำอย่างไร ถ้าลูกหลานของเรา เป็นแบบผม มีอยู่สิ่งเดียวที่ผม คิดก็คือ  วันนี้ผมต้องทำงานให้ตัวเองมีเงิน ผมไม่มีเวลาที่จะเกษีณอายุ  ผมต้องทำงานของผมจนผมตาย  ลูกต้องได้เรียนสูงๆเท่าที่เค้าทำได้  เราต้องทำประกันชีวิตเพื่อไม่ให้เป็นภาระลูกของเรา ถ้าเราทำประกันแล้ว หากเราเป็นอะไร ไป มันคือหน้าที่ของ บริษัทประกัน  ที่ต้องรับผิดชอบ  

 ไม่ต้องมาตีอกชกตัวว่าเรา "จน" สองมาตฐาน อะไร ที่กล่าวกันมา  ไม่ต้องเรียกร้องสิทธิ์ ที่คิดว่า "คนไทยจะต้องมี คนไทยจะต้องได้ "

  บางวันมีตังค์แค่หลักร้อย ผมบอกตัวเองเสมอ"กูไม่ได้จน"  บางวันมีในกระเป๋าเป็นหมื่น ก็บอกกับตัวเองว่า"กูยังไม่รวย"

 ขอโทษนะครับ คนจน มักมีแนวคิดว่า "ก็กูมันจน" พอมีโอกาสอะไรดีๆมา"ก็กูไม่สามารถ" ที่กูจนเพราะ โชคชะตา

สุดท้ายก็เอามือลูบท้อง แล้วนอนรอความตาย "โทษไปทั่ว ไม่โทษตัวเองซักคน "

 คำถามที่อยากจะถามก็คือ 1. งานที่คุณทำคุณทำเต็มที่หรือไม่  
                                      2. งานที่คุณทำ มันยกฐานะได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ เหตุผลใดถึงไม่เปลี่ยน งาน
    คนจนที่ผมเห็น อีกอย่างและส่วนใหญ่ก็คือ 1 ใจไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
                                                                2 ใจไม่กล้าที่จะเริ่มกับสิ่งใหม่
                                                                3 ขี้เกียจ ตัวเป็นขน

ขอโทษทีเด้อ ผมไม่เคยจน แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวย อะไรมากมาย แค่ พอมีพอกิน อยากกินอะไรได้กิน อยากซื้ออะไรได้ซื้อตามงบ ที่มีอยู่ บนความ

เหมาะสมและพอเพียง
                                    
  
 

+1 ครับ
ปัญหาในภาพรวมอยู่ที่ระบบครับ รพ.ของรัฐ มีแพทย์ เครื่องมือ ห้องผ่าตัด ที่จำกัด แต่ต้องรับคนไข้ " ไม่จำกัด " โดยผู้ป่วยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามนโยบายรัฐ
ยกตัวอย่างว่า ผ่าตัดหัวใจได้วันละ 3 เคส( งบประมาณและศักยภาพสูงสุดเท่านี้ ในทรัพยากรที่จำกัด ) มีคนมารอคิวผ่าตัด 200  คน โรคหลอดเลือดหัวใจทั้งหมด ก็ต้องรอตามคิว กว่าคนที่ 200 จะได้ผ่า เวลาอาจผ่านไปแล้วสามเดือน ( ซึ่งในบางรายอาจสายไป )

ถ้าจะทำให้ผ่าตัดมากขึ้น ก็ต้องเพิ่มห้องผ่าตัด เพิ่มเครื่องมือ ซึ่งราคาไม่ถูกเลย ( รัฐมีงบให้จำกัด ) เพิ่มเจ้าหน้าที่ เพิ่มแพทย์ ขยายอัตราเพิ่ม ฯลฯ ( ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีงบ )

ถ้าไป รพ. เอกชน ทุกอย่างจะสะท้อนต้นทุนบวกกำไร ( ก็ รพ. ไม่ได้รับเงินจากรัฐ ค่าใช้จ่ายเก็บจากผู้ป่วยล้วนๆ ) ราคาที่ออกมา จึงแพงมาก ( แต่ได้ผ่าเลย ไม่ต้องรอคิว )

สรุปสองมาตรฐานมีจริงครับ และจะยังมีตลอดไป หากประเทศยังไม่ร่ำรวยพอจนเป็นรัฐสวัสดิการเต็มรูปแบบ และช่องว่างระหว่างคนจนคนรวยมีมากครับ
บันทึกการเข้า
dignitua-รักในหลวง
เราจะสู้เพื่อในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1414
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8341


จะมีพรุ่งนี้ ได้อีกกี่วัน...


« ตอบ #128 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 08:08:26 PM »

ที่ผมมองว่าระบบมันเพี้ยน เพราะผู้มีอำนาจพยายามทำให้บริการสาธารณะมีคุณภาพที่ "ต่ำ" กว่ามาตราฐานที่ควรจะเป็น เพื่อผลักดันปัจจัยพื้นฐาน "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" ที่ทุกขั้นตอนพึ่งหมอหมด เข้ามา "จ่าย" ให้กับเครือข่ายของผู้ธุรกิจของผู้มีอำนาจ...

ผมมองเหมือน "พลังงาน" แพงเท่าไหร่ก็ต้องจ่าย ผูกขาดไปแล้วแต่คนไม่รู้มันเยอะ ผู้มีอำนาจเลยทำมาหากินกับคนทั้งประเทศได้อย่างสบาย...

ทีนี้ดูด้าน "วิชาชีพ" ถ้าซ่อมรถยนต์ กุญแจปากตายเบอร์ 10 ไม่มี ยังเอาประแจเลื่อนใช้แทนได้ แค่หัวน็อตเยิน...

แต่ถ้าเป็นช่าง "ซ่อมมนุษย์" เครื่องมือหรือองค์ประกอบไม่พร้อมท่านต้องโวยวายครับ...

นิ้วผมโดนระเบิดจากแก๊สน้ำตา ล้างแผลทุกวันโดยพยาบาล ซักพักหมอมาดูนิ้วผมแล้วเห็นเนื้อที่นิ้วผมฟู หมอเรียกพยาบาลมาดูว่าเป็นการล้างแผลที่ผิดต้องทำอย่างนี้...

หมอเอามีดคว้านเนื้อที่ฟูของผมออก และเอาผ้าก็อตจุ่มเพื่อดึงหนองที่อยู่ข้างในออก "ไม่ต้องกลัวคนไข้เจ็บ ไม่งั้นแผลไม่หาย...."

ผมต้องสะกิด... "คุณหมอ...ยังไม่ได้ฉีดยาชาให้ผมเลยครับ..." หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า

dignitua-รักในหลวง
เราจะสู้เพื่อในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1414
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8341


จะมีพรุ่งนี้ ได้อีกกี่วัน...


« ตอบ #129 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 08:27:43 PM »

ส่วนเรื่องประกัน... มันคือธุรกิจที่แชร์ความเสี่ยง มีแต่ได้กับได้... แต่พอคุณอับจนไม่มีเงินจ่ายเบี้ย(กินเปล่า) ให้มันดูสิ...

แค่วันเดียวหมดความคุ้มครองทันที....

เดี๋ยวนี้ไม่รู้เอาเบอร์มาจากไหน โทรมาได้ทั้งวัน ลองจ่ายไปปุ๊ปเงียบปั๊บ ตัดขาดกันทันที ที่เหลือคือภาระ...
บันทึกการเข้า

RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #130 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 08:55:12 PM »

ส่วนเรื่องประกัน... มันคือธุรกิจที่แชร์ความเสี่ยง มีแต่ได้กับได้... แต่พอคุณอับจนไม่มีเงินจ่ายเบี้ย(กินเปล่า) ให้มันดูสิ...

แค่วันเดียวหมดความคุ้มครองทันที....

เดี๋ยวนี้ไม่รู้เอาเบอร์มาจากไหน โทรมาได้ทั้งวัน ลองจ่ายไปปุ๊ปเงียบปั๊บ ตัดขาดกันทันที ที่เหลือคือภาระ...

เรื่องประกันนั้น ถ้ามองมองได้ สองมุมครับ

มุมที่ 1 ที่บอกว่าได้กับได้ ในกรณีที่ เรา ไม่เป็นอะไร ไม่ได้รับการรักษา  หรือขาดส่งตาม ข้อตกลง ของเค้า ถ้ารับไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ถ้ารับได้ ต้องเคารพกฎกติกาของเค้า   แต่ถ้าอยู่ในกติกาของเค้า จ่ายครบ  พี่ก็สามารถได้เงินคืน
มุมที่ 2 ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า /วันพรุ่งนี้  เราอาจจะขับรถออกไป โดนรถมอเตอร์ไซค์เฉี่ยว ชนแขนขาหัก
หรือเดินเข้าห้องน้ำพื้นลื่น หัวไปฟาดกับ ขอบโถส้วม  อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

มันขึ้นที่มุมมองน่ะครับพี่ ถ้าคิดว่า พี่มีเงินมากพอ ที่รับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน ก็ยินดีด้วยครับ พี่ไม่ต้องสนใจเรื่องประกันพวกนี้
 สมมุติว่า..เกิดมีอันเป็นไป ขึ้นมา(ขออภัยนะครับผมสมมุติ ไม่มีเจตนาแช่ง)  อย่างน้อย สำหรับคนที่หาเช้ากินค่ำ ลูกเมีย(ผู้รับผลประโยชน์)  ก็ได้เงิน จากประกัน อาจจะแสนห้า หรือ เท่าไหร่ ก็ว่ากันไป  เงินจำนวนนี้สามารถต่อชีวิตให้คนข้างหลังได้ ไม่มากก็น้อย ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย เว้นซะแต่ พี่มั่นใจว่ามีเงินมากพอ จะให้ให้เค้าดูแลชีวิต เค้าด้วยตัวเค้าเองได้

 ผมขอสรุปด้วยคำถาม " ในฐานะที่เป็น หนึ่งใน สมาชิกเวป อวป
 
 อยากถามว่า "พวกท่าน ซื้อปืนมาทำไม "  เคยคิดถึงค่าน้ำมันล้างปืน  ค่ากระสุนที่เอาไปยิงเป้า  ค่าโน้นค่านี้  ทั้งๆที่ เป็นสิ่งที่ อยู่นอกเหนือ
ปัจจัยทั้ง 5 (คนส่วนใหญ่ คิดว่าไม่มีความจำเป็น)   
แล้วถ้าท่านตอบว่า " เพื่อป้องกันทรัพท์สินและชีวิต " อีก หนึ่งคำถาม  แล้วท่านจะป้องกันเมื่อไหร่ และตอนไหน ล่ะครับ

ป.ล ที่บอกว่า "ผมขายประกัน ผมล้อเล่นครับ ผมไม่ได้ขายประกัน "
บันทึกการเข้า
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #131 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 09:03:38 PM »

ส่วนเรื่องประกัน... มันคือธุรกิจที่แชร์ความเสี่ยง มีแต่ได้กับได้... แต่พอคุณอับจนไม่มีเงินจ่ายเบี้ย(กินเปล่า) ให้มันดูสิ...

แค่วันเดียวหมดความคุ้มครองทันที....

เดี๋ยวนี้ไม่รู้เอาเบอร์มาจากไหน โทรมาได้ทั้งวัน ลองจ่ายไปปุ๊ปเงียบปั๊บ ตัดขาดกันทันที ที่เหลือคือภาระ...

เรื่องประกันนั้น ถ้ามองมองได้ สองมุมครับ

มุมที่ 1 ที่บอกว่าได้กับได้ ในกรณีที่ เรา ไม่เป็นอะไร ไม่ได้รับการรักษา  หรือขาดส่งตาม ข้อตกลง ของเค้า ถ้ารับไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ถ้ารับได้ ต้องเคารพกฎกติกาของเค้า   แต่ถ้าอยู่ในกติกาของเค้า จ่ายครบ  พี่ก็สามารถได้เงินคืน
มุมที่ 2 ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า /วันพรุ่งนี้  เราอาจจะขับรถออกไป โดนรถมอเตอร์ไซค์เฉี่ยว ชนแขนขาหัก
หรือเดินเข้าห้องน้ำพื้นลื่น หัวไปฟาดกับ ขอบโถส้วม  อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

มันขึ้นที่มุมมองน่ะครับพี่ ถ้าคิดว่า พี่มีเงินมากพอ ที่รับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน ก็ยินดีด้วยครับ พี่ไม่ต้องสนใจเรื่องประกันพวกนี้
 สมมุติว่า..เกิดมีอันเป็นไป ขึ้นมา(ขออภัยนะครับผมสมมุติ ไม่มีเจตนาแช่ง)  อย่างน้อย สำหรับคนที่หาเช้ากินค่ำ ลูกเมีย(ผู้รับผลประโยชน์)  ก็ได้เงิน จากประกัน อาจจะแสนห้า หรือ เท่าไหร่ ก็ว่ากันไป  เงินจำนวนนี้สามารถต่อชีวิตให้คนข้างหลังได้ ไม่มากก็น้อย ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย เว้นซะแต่ พี่มั่นใจว่ามีเงินมากพอ จะให้ให้เค้าดูแลชีวิต เค้าด้วยตัวเค้าเองได้

 ผมขอสรุปด้วยคำถาม " ในฐานะที่เป็น หนึ่งใน สมาชิกเวป อวป
 
 อยากถามว่า "พวกท่าน ซื้อปืนมาทำไม "  เคยคิดถึงค่าน้ำมันล้างปืน  ค่ากระสุนที่เอาไปยิงเป้า  ค่าโน้นค่านี้  ทั้งๆที่ เป็นสิ่งที่ อยู่นอกเหนือ
ปัจจัยทั้ง 5 (คนส่วนใหญ่ คิดว่าไม่มีความจำเป็น)   
แล้วถ้าท่านตอบว่า " เพื่อป้องกันทรัพท์สินและชีวิต " อีก หนึ่งคำถาม  แล้วท่านจะป้องกันเมื่อไหร่ และตอนไหน ล่ะครับ

ป.ล ที่บอกว่า "ผมขายประกัน ผมล้อเล่นครับ ผมไม่ได้ขายประกัน "

เพิ่มเติมอีกนิดครับ   ถ้าสมมุติว่า "พี่ตกอยู่ในสถานนะเดียวกับพ่อผม


 ผมถามหมอ ว่า"หมอครับพ่อผมเป็นอะไร " หมอบอกผมว่า "พ่อของน้องเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ"
คำถามต่อไปผมถามหมอว่า" หมอครับทำไงถึงจะรักษษพ่อของผมหาย" หมอตอบว่า "ต้องบายพาสหัวใจ สองเส้น "
ผมถามต่อว่า " เท่าไหร่ครับหมอ " หมอถอนหายใจแล้วตอบว่า "สองล้าน" ครับ
 
   
 

 เหตุผลที่เอามาเปรียบเทียบ เพราะว่า พ่อผมกินเหล้า สูบบุหรี่  เหมือนกับพี่  พี่ตั้ว คิดว่า พี่ตั้ว เตรียมการณ์อะไร เอาไว้บ้างแล้วยังครับ
 
 โรคพวกนี้ เวลาเป็น ไม่ได้เป็นโรคเดียว นะครับ มันมักมีโปรโมชั่น โรคไต ความดัน แถมมาด้วยเสมอ   ถ้าพี่ตั้วเตรียมการณ์เอาไว้แล้ว

ก็ขออภัยนะครับ ที่ถาม  ไหว้
บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #132 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 09:13:16 PM »

เรื่องประกันฯ นี่ก็อีกเรื่องนึงครับ... เรื่องนี้ก็ยาวได้ไม่แพ้เรื่องตามท้องเรื่องในกระทู้นี้แหละครับ, หากพูดเรื่องคดีที่เกิดระหว่างคนเอาประกันกับ บ.ประกันฯ นี่ก็ยาวววว... แฮ่ๆ...
บันทึกการเข้า
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #133 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 09:41:44 PM »

เรื่องประกันฯ นี่ก็อีกเรื่องนึงครับ... เรื่องนี้ก็ยาวได้ไม่แพ้เรื่องตามท้องเรื่องในกระทู้นี้แหละครับ, หากพูดเรื่องคดีที่เกิดระหว่างคนเอาประกันกับ บ.ประกันฯ นี่ก็ยาวววว... แฮ่ๆ...

ครับ เรื่องประกันนี้ยาวเหมือนกันครับ แต่สิ่งนึงที่ผมคิดก็คือ  เหตุผลที่เลือก เอไอเอ เพราะ เค้าอยู่มานาน กว่าบริษัทอื่นๆ

ผมมองว่า " ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นร้าน ก๋วยเตี๋ยว ร้าน ขายข้าวหมูแดง ข้าวมันไก่ ถ้าเค้าไม่เจ๋งไม่อร่อยจริง เค้าอยู่ได้ไม่นานหรอก

ครับ  แสดงว่าเค้าต้องมีอะไรดี ที่สามารถทำให้ลูกค้าติดใจได้  "

 งานขายประกันก็เหมือนกัน ถ้าไม่ดีจริง เค้าอยู่ไม่ได้เป็น สิบๆปีหรอกครับแถมลูกค้ายังหนาแน่น เหมือนเดิม แต่มันก็ขึ้นอยู่ที่ ผู้ขายประกัน

ให้เราด้วย
  สำหรับผม ที่ประทับใจ คือ เอไอเอ (เพชรตาปี)  สายงานอื่นผมไม่ทราบ แต่สายงานนี้ ไปยืนรอผมที่โรงพยบาลตั้งแต่

ผมกำลังนำส่งโรงพยาบาลด้วยซ้ำ  สายงานอื่นผมเองก็ไม่ทราบ  ตอนนั้นทำประกัน อุบัติเหตุ (บัตรทอง)ปีละ2500 บาท ครับ

 เรื่องประกันนี้ต้องบอกตามตรงว่า " ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องเลวๆของคนขายประกันคนอื่นแล้วเอามาเป็นตัวตัดสินว่า เราจะไม่ทำ แต่จะคิดถึง

 โรงพยาบาลที่ครอบคลุม ในพื้นที่มากกว่า  "

จะมีอีก 2 กรณี ที่ผมไม่คิดจะทำกับ ผู้ติดต่อเรื่องการทำประกัน 

1.  โจมตีบริษัทอื่นประมาณว่า "ของผมดีกว่าบริษัทนั้น ถูกกว่าบริษัทนี้" เพราะว่า ถ้าของคุณดีจริง ก็บอกมาซิ กูคิดเองได้ ว่าบริษัทไหนดี 

      ไม่ต้องมาด่าบริษัทอื่นให้กูฟังหรอก  อ๋อย  (เจอมาแล้ว ของไทยสมุท ) เค้าไม่ได้มาขายด้วยซ้ำผมเดินไปหาเองถึงที่ 

2. คนขายกับผมไม่รู้จักกันมาก่อน หรือไม่เคยเห็นผลงานของเค้า ยิ่งพวกโทรมาเลิกคุย  เพราะเมื่อถึงเวลา เ้ค้าไม่ได้มาดูแลเรา หรือประสาน

    งานให้เรา 

 1เหตุการณ์ที่จำได้ เกิดเหตุผมขับรถ ไปชนกับรถปิ๊กอัพ ที่อำเภอกาญจนดิษฐ์ ผมถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกาญจนดิษฐ์ (รัฐ) นายประกัน ทำ

เรื่องให้โรงพยาบาลส่งตัวผมเข้าโรงพยาบาลทักษิณ(เอกชน) ทันที จำได้ว่า โรงพยาบาลกาญจนดิษฐ์ได้แค่ ล้างแผล ให้ผมเท่านั้น

ส่วนขั้นตอนอื่น มาทำที่โรงพยาบาลเอกชน   และนี้คือสาเหตุ ที่ผมชอบเอไอเอ หน่วยเพชรตาปี 



 
บันทึกการเข้า
dignitua-รักในหลวง
เราจะสู้เพื่อในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1414
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8341


จะมีพรุ่งนี้ ได้อีกกี่วัน...


« ตอบ #134 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 10:04:21 PM »

ถ้าผมจะตอบว่าผมเตรียมอะไรไว้ให้ครอบครัว ก็คือ "ประกัน" บังฟีนจะฮามั๊ยครับ...

กู้ซื้อบ้าน ก็บังคับประกัน... ซื้อรถ ก็บังคับประกัน....

2 ปีก่อน กู้เงิน 3 ล้านทำธุรกิจ... ร่างกายผมก็ไม่ผ่านประกันค้ำการกู้ตั้งนานแล้ว กับกติกาหยุมหยิม...

และสาเหตุการตายของผม ก็คงไม่ใช่เพราะ "ถุงลมโป่งพอง" หรือ "ตับแข็ง" หรอก... เดินคุมงานอยู่ชั้น 4 บนคาน พลาดตกตึกก็ตายแล้ว เดินอยู่บนความกว้างแค่ 20 ซม.
บันทึกการเข้า

หน้า: 1 ... 6 7 8 [9] 10
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.101 วินาที กับ 22 คำสั่ง