เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ตุลาคม 06, 2024, 09:38:56 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เริ่มทำ 2nd จ๊อบ ตอนอายุเท่าไหร่ครับ(เลิกเป็นมนุษย์เงินเดือน...ตอนอายุเท่าไหร่)  (อ่าน 16593 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Zeus-รักในหลวง
อะฮู้.....ไฮยีน่าก็เป็นแมวนะคราบบบ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 817
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10983


I'm going to make him an offer that he can't refus


« ตอบ #30 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2011, 09:23:19 AM »

คะแนนสวยทำลายซะ...ไม่ใช่เหลืออีกสิบปีเองเหรอ...
แลบลิ้น จะมาอวยพรให้ถูกหวยแจ๊คพ๊อตตอน 45 หรือไงฟระ ยิ้มีเลศนัย
บันทึกการเข้า

“A fear of weapons is a sign of retarded sexual and
emotional maturity.”
- Sigmund Freud

“ความกลัวอาวุธคือสัญญาณของความถดถอยทางเพศและวุฒิภาวะทางอารมณ์”
- ซิกมุนด์ ฟรอยด์
คมขวาน รักในหลวง
"จากดินแดนที่ราบสูงแห่งใบขวาน ข้ามแม่น้ำ ข้ามทะเล(ถ้านั่งเครื่อง) ข้ามภูเขา สู่ดินแดนแห่งด้ามขวาน "
Hero Member
*****

คะแนน 1830
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 19896


ดนตรี คืออาภรณ์ของปราชญ์


เว็บไซต์
« ตอบ #31 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2011, 09:34:56 AM »

คะแนนสวยทำลายซะ...ไม่ใช่เหลืออีกสิบปีเองเหรอ...
แลบลิ้น จะมาอวยพรให้ถูกหวยแจ๊คพ๊อตตอน 45 หรือไงฟระ ยิ้มีเลศนัย
ขำก๊าก ขำก๊าก ขำก๊าก ขำก๊าก ขำก๊าก
        ผม ๓ ปี จะครบ ๒๕ ครับ คิก คิก คิก คิก คิก คิก
ถึงวันนั้นจะเออรี่ฯก็เกรงใจ สหกรณ์ออทรัพย์ฯครับ เศร้า
บันทึกการเข้า

คลิ๊ก ทริปจักรยาน   "บินเดี่ยว ทางไกล ตามใจฝัน"     ลูกอิสาน พลัดถิ่น  จากแดนดิน  "ไหปลาแดก"  เร่ร่อน รอนแรม เดินทางดั้นด้น  มาสู่  "โคนต้นสะตอ"
telekbook - รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1124
ออฟไลน์

กระทู้: 3629


« ตอบ #32 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2011, 09:36:02 AM »

เท่าไรก็เท่านั้นครับ.....คือพร้อมเมื่อไรก็เมื่อนั้นครับ  Grin
Grin Shocked Grin ตอบครอบคลุมดีครับพี่... ไม่แนะนำเลยเหรอครับว่ามีหลักการยังงัย ไหว้
ไม่กล้าแนะนำ เอาเป็นว่าเล่าสู่กันฟังละกันครับ ..... มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเคยบอกผมว่า คนเราถ้าอายุถึง 35 แล้ว ยังไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการ ชาตินี้อย่าหวังรวย ผมฟังแล้วก็ไม่อยากเชื่อทั้งหมด เพราะคนที่เป็นลูกจ้างและรวยกว่าเจ้าของกิจการก็มีเยอะแยะ ..... เอาเป็นว่าอย่างช้าอย่าให้เกินอายุ 40 ละกัน สำรวจตัวเองถ้าพร้อมทั้งด้านสถานที่/ทำเล กำลังคน และทุนทรัพย์ ก็ลุยเลยครับ ตามประสาคนไฟแรงที่ว่า "เริ่มช้าไปหนึ่งวันก็รวยช้าไปหนึ่งวัน"  Grin ..... เมคมันนี่ไปซัก 20 ปี ก็ผ่องถ่ายให้ลูกทำต่อ ถึงตอนนั้นอายุ 60 เราจะไม่อยากได้แล้วไอ้ความร่ำรวยน่ะ แต่เราจะอยากได้สุขภาพที่แข็งแรงแทน เราจะอยากอยู่กับลูกกับหลาน เราจะอยากอยู่บนโลกใบนี้นานๆแทนครับ  Grin โชคดีครับ  ไหว้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 28, 2011, 09:39:44 AM โดย telekbook - รักในหลวง » บันทึกการเข้า
นายกระจง
Cement For Life.....
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2938
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 31460


ช่างมันเถอะ


« ตอบ #33 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2011, 09:51:11 AM »

...ยังมองไม่เห็นลู่ทาง...ก็ยังต้องอาศัยเงินเดือนไปก่อน....



ไหว้ส่งลูกเรียนจบ...ลูกมีหลักฐาน...จะกลับไปใช้ขีวิตอยู่ในป่าที่เคยอยู่...
 ไหว้เคยคิดไว้ อยากออกไปทำธุรกิจ มีกิจการส่วนตัว...แต่เมื่อคิดดูอีกที พบว่าตัวเองเป็นเพียงคนทำงานในหน้าที่"เป็น"เท่านั้น ไม่ใช่นักบริหารหรือนักการบัญชีที่คิดค้า มีกำไร  ...เหมาะที่จะเป็นลูกจ้าง มากกว่าเจ้าของกิจการครับ



ขออนุญาตคัดลอกครับ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นคนต้องอดทน ไม่อดทนก็อดตาย
 
Pong CB1300sf-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 342
ออฟไลน์

กระทู้: 2075


« ตอบ #34 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2011, 09:55:20 AM »

เคยแต่เป็น ลูกจ้างรายวันครับ  Smiley

ทำงานที่บ้าน แม่จ่ายเงินให้ทุกวัน Grin
บันทึกการเข้า
นาย ช้างยิ้ม
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 118
ออฟไลน์

กระทู้: 408



« ตอบ #35 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2011, 10:11:18 AM »

ในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แวดวงตลาดหุ้นแล้ว น้อยคนไม่มีใครไม่รู้จัก ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ เจ้าของบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตทฯ หรือที่รับรู้กันทั่วประเทศ เจ้าของโครงการบ้านจัดสรร ภายใต้แบรนด์ “บ้านพฤกษา” และเศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ที่ยังคงรวยหุ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 3 แม้ครั้งนี้ความรวยจากหุ้นจะหายไป 1,554.79 ล้านบาท แต่ก็ยังครองหุ้นมีมูลค่ารวมถึง 9,599.16 ล้านบาทนี้แค่ส่วนตัว หากนับรวมตระกูล "วิจิตรพงศ์พันธุ์" ก็ไม่น้อยเลย มูลค่า 11,409.66 ล้านบาท

....แต่ความมั่งคั่งนี้ มีที่มาที่ไป
....แม้ไม่ได้เกิดบนกองเงินกองทอง
....แล้วอะไร คือ แรงบันดาลใจ ที่ผลักดันให้ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าในวงการธุรกิจอสังหาฯ จนลูกค้าให้การยอมรับ

ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ กล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “คุณพ่อเป็นต้นแบบในชีวิตและธุรกิจของผม”

โดยพื้นเพแล้ว ผมเป็นคนจังหวัดชลบุรี ครอบครัวมีฐานะระดับล่างของสังคม คุณพ่อมีอาชีพขายกระเพาะปลา ส่วนคุณแม่ทำสวนผัก ตั้งแต่เด็กผมก็เห็นคุณพ่อหาบถังรูปทรงกลม (สูง 60 เซนติเมตร) ที่ใส่กระเพาะปลาไปขาย ขายตั้งแต่เที่ยงวันไปจนถึงเที่ยงคืน คุณพ่ออดทนและซื่อสัตย์ในอาชีพ กำไรก็ไม่มากประมาณ 20 บาท แต่เป็นความภาคภูมิใจที่มีอาชีพสุจริต หาเลี้ยงครอบครัวและลูกๆ ทั้ง 7 คน

ซึ่งในบางครั้ง ตน (ในช่วงที่ยังเป็นเด็กอยู่) ก็ไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพ่อทำ ทั้งๆ ที่น่าจะดีในเรื่องของรายได้ อย่างภาพที่เห็น ตามงานวัดในช่วงที่มีงาน ก็จะมีการขายกระเพาะปลาที่ธรรมดาทั่วไป แต่คุณพ่อต้องไปซื้อกระเพาะปลาที่ย่านเยาวราชมาทำ ทั้งที่จริงแล้วเอาหนังหมูมาแทนก็ได้ แต่ไม่ทำ เวลาขาย ก็ขายในราคาชาม 50 สตางค์ แต่คุณอาของผมขายชามละ 1 บาท

“สิ่งที่เราเห็นตั้งแต่เด็ก คุณพ่อกำลังสอนเรา สอนด้วยการกระทำ อย่าเอาเปรียบผู้ซื้อ ราคาขายก็ควรให้เหมาะกับคนซื้อ เพราะลูกค้าที่กินของเรา ก็อยู่ในซอย คนเหล่านี้มีรายได้ไม่มาก หรือแม้แต่เรื่องทำบุญ คุณพ่อมีเงินก็เข้าไปทำบุญที่โรงเจ ซึ่งตรงกันข้ามกับความคิดของเรา (ที่คิดแย้งอยู่ในใจเหมือนกัน) เพราะครอบครัวเราก็มีเงินน้อย แต่รู้หรือไม่ บุญเหล่านี้ เป็นการทำให้เรากลายเป็นเศรษฐีทางอ้อม” ทองมากล่าวถึงวิธีคิดที่ถูกสั่งสมมาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่

ในด้านการศึกษาแล้ว แม้จะเรียนจบแค่ป.4 อันเนื่องมาจากฐานะทางครอบครัว แต่นั้น กลับไม่ใช่อุปสรรค ตรงกันข้าม เป็นประสบการณ์ “ชีวิต” นอกตำราเรียน

“หลังจากจบ ป.4 ก็เริ่มมองหางานทำ ซึ่งก็ทำอยู่หลายที่ เป็นลูกจ้างร้านขายยาแถวบางรัก ขายน้ำเก๊กฮวย น้ำจับเลี้ยง ต่อมาเปลี่ยนก็เริ่มมาทำร้านทองแถวประตูน้ำ ก็ทำอยู่ประมาณ 6 ปี ในช่วงนี้ ก็คิดว่าควรมองหาโอกาสที่ดีๆ ประกอบกับพี่สาวคนโต ก็อยากให้เรียนต่อ ก็ไปเรียนกวดวิชา จนสามารถสอบได้ ป.5-7 และในช่วงนี้ ก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ก่อน 6 โมงเย็นก็ทำงาน หลังจากนั้นก็ไปเรียนถึง 3 ทุ่ม เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ก่อนที่จะสอบเทียบชั้นเรื่อยๆ จนจบมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 และเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ศึกษาอยู่ 2 ปี แล้วสอบเอ็นทรานซ์ติดที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาการโยธา และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ เมื่อปี 2524”

แต่เบื้องลึกจริงๆแล้ว ที่เลือกเรียนวิศวกรรม ก็ด้วย “ค่าใช้จ่าย” ทั้งนั้น สมัยที่เรียนอยู่โรงเรียนเตรียมอุดมฯ เพื่อนๆ ก็เลือกเรียนแพทย์ แต่เรามาคำนวณแล้ว ค่าใช้จ่ายแพงมากๆ เรียนแพทย์ 2 แสนบาท เรียนวิศวะ ช่วง 4 ปี ค่าใช้จ่าย 30,000 บาท ซึ่งระหว่างเรียนเราก็ได้ทุนการศึกษา บวกกับเงินเก็บบางส่วนและเงินจากทางบ้านมาช่วย สุดท้ายก็เรียนจบ 4 ปี สมกับความตั้งใจ

พอจบมาก็เริ่มต้นชีวิตอาชีพวิศวกรที่เรียนมาแห่งแรกคือ บริษัท พี.ซี.เอ็ม ทำธุรกิจผลิตแผ่นพื้นสำเร็จรูป ซึ่งเราก็ทำงานให้เต็ม หลังจากอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน ก็ไปเริ่มงานบริษัทในเครือญาติของบริษัท นพวงศ์ ก่อสร้าง และ หจก.วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง อยู่ประมาณ 2 ปี ซึ่งหน้าที่หลัก คือ เวลามีงาน เราก็ไปประมูลงานเข้ามา เรื่องนี้ต้องอาศัยความรับผิดชอบสูง เราต้องทำให้หัวหน้างานไว้วางใจ เพื่อจะได้ไม่เกิดความกังวลไม่พะวง

“ช่วงชีวิตทำงาน ก็สนุกดี เงินเดือนก็พอใช้ ตอนนั้น 6,000-10,000 บาท แต่ก็มีบางเดือนไม่พอใช้ หมดไปกับการดูแลเพื่อนฝูง บางวันถึงขั้นต้องไปหยิบยืมเพื่อนฝูง ทั้งๆ ที่เงินเดือนน้อยกว่าเราอีก ทุกวันนี้ ก็ไม่ได้พบเจอกันอีก” เสี้ยวหนึ่งของเศรษฐีหุ้น

หลังจากที่วนเวียนอยู่ในอาชีพมนุษย์เงินเดือนแล้ว ก็ตัดสินใจที่จะทำธุรกิจส่วนตัว โดยออกมาทำงานรับเหมาเอง ก็เริ่มประมาณปี 2527 งานแรกก็ก่อสร้างสะพาน โดยเป็นรับเหมาช่วง ทำอยู่ 1 ปีกว่าจะเสร็จ ก็เป็นอะไรที่ยากและลำบาก ซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะเครดิตที่เราทำงานมาตั้งแต่อดีต แม้เราจะไม่มีทุนเราก็ได้งาน ซึ่งก็ต้องลงทุนเอง แต่สุดท้ายก็ทำจนเสร็จ ถึงจะไม่มีกำไรก็ตาม ต่อจากนั้น ก็ได้รับงานทำครัวการบินไทย ซึ่งทาง ช.การช่างโตคิว เห็นเรามีความตั้งใจและทำงานได้ดีจากผลงานที่ผ่านมา ก็ทำอยู่ 1 ปีจึงแล้วเสร็จ

“เรามองแล้วว่าการเป็นผู้รับเหมาช่วง โอกาสที่จะได้กำไรมากๆ คงต่ำ สู้ไปทำเองโดยตรงจะดีกว่า โดยงานที่เข้าไปจะมีหลากหลาย ทั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ทำไซโลโรงปูนของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง รวมถึงดิโอสยามพลาซ่า ของบริษัทสยามสินธร มูลค่า 250 ล้านบาท และเป็นงานสุดท้ายที่เข้าไปรับเหมาก่อสร้าง ”

ในส่วนของการเข้าสู่ธุรกิจบ้านจัดสรรนั้น เริ่มจากเพื่อนจากประเทศญี่ปุ่นชักชวนไปดูบ้าน ทำให้มีโอกาสได้เห็นโครงการจัดสรรต่างๆ และคิดว่า หากเราสามารถทำได้ราคาถูกลง 10-20% ก็จะเป็นเรื่องที่ดี จึงตัดสินใจทำโครงการบ้านจัดสรรขายในปี 2535 ภายใต้บริษัทสยามเอ็นจิเนียริ่ง โครงการแรกบ้านเดี่ยวในซอยอาภาภิรม ถนนรัชดาภิเษก ราคา 5 ล้านบาท และทำโครงการทาวน์เฮาส์ ในซอยสุขุมวิท 101 อีกจำนวน 13 หลัง ราคาขายตอนนั้น 1.3-1.5 ล้านบาท ซึ่งแรกๆ ก็มีปัญหาเหมือนกัน ขายไม่ค่อยได้ แต่สุดท้ายก็หมด

หลังจากนั้นในปี 2536 ก็เริ่มมาทำโครงการบ้านราคาถูก ซึ่งที่มาที่ไปเกิดได้แนวคิดมาจากการไปฟังปาฐกถาของอดีตนายกรัฐมนตรี นายชวน หลีกภัย ที่มองว่า บ้านราคาต่ำกว่า 6 แสนบาทขายได้ จึงเริ่มมาศึกษาและหาข้อมูล ไปดูว่าโครงการของคู่แข่งทาวน์เฮาส์ไหนขายดีไม่ดี ทำเลเป็นอย่างไร เราก็มานำมาเลียนแบบ โดยปรับปรุงเรื่องทำเล ราคา ให้สอดคล้องกับสินค้าที่จะทำ เราอาจจะโชคดีตรงที่มีพื้นทางด้านการก่อสร้าง ก็น่าจะพัฒนาบ้านให้มีต้นทุนต่ำได้ และในที่สุดจึงก่อตั้ง บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด ขึ้นมา โดยเริ่มพัฒนาโครงการแรกภายใต้แบรนด์ “บ้านพฤกษา 1” ย่านรังสิต คลอง 8 ภายในเดือนเศษสามารถขายหมดเกลี้ยง

“ชื่อของบริษัทพฤกษาฯ เป็นชื่อที่หมายถึงต้นไม้ ร่มรื่น ฟังแล้วดูดี ไม่ต้องไปหาหลวงพ่อเพื่อตั้งชื่อ” ทองมากล่าวติดตลก

จากจุดเริ่มต้นของบ้านพฤกษา 1 จนถึงปัจจุบันแล้ว บริษัทพฤกษาฯ มีวิวัฒนาการและเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง รวมแล้วอยู่ในวงการอสังหาฯ มากว่า 15 ปี (2536-2551) มีโครงการออกสู่ตลาดไม่ต่ำกว่า 124 โครงการ จำนวน 57,000 หน่วย (หรืออีกความหมาย คือ ทำให้คนมีความมั่นคงในชีวิตเพิ่มมากขึ้น) ต่างจากความคิดแรกๆ ที่ทำโครงการ “เราก็ไม่เคยคิดว่า “พฤกษา” จะเติบโตมาถึงปัจจุบันได้”

ความสำเร็จที่ทำให้องค์กรนี้ยิ่งใหญ่ขึ้นมา ก็เนื่องมาจากเวลาทำงาน เรา (ทองมา) ต้องมุ่งมั่นและคำนึงถึงประโยชน์ของลูกค้า รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยต้องทำทุกอย่างให้สอดคล้อง อย่างเช่น บริหารเงินเดือนให้พนักงานทุกคน บริหารเงินให้คนงาน การจ่ายเงินให้ผู้ผลิต (ซัปพลายเออร์) ตรงเวลา ถ้าเรามุ่งมั่น ซื่อตรง และทำงานอย่างเชื่อมั่น “เครดิต” ติดตัวเราไปตลอด

“วิถีความคิดและความตั้งใจทำงานให้เต็มที่ และดีที่สุด คือ ตัวเราจะไปโกงเค้าคงไม่มี เพราะเราได้แนวคิดมาจากคุณพ่อ ทำไมต้องเอากระเพาะปลาจากเยาวราชมาทำขายให้ลูกค้า แทนที่จะเป็นหนังหมูก็ได้ ตอนนี้ ผมมาคิดได้ว่า สิ่งที่คุณพ่อทำมีเหตุผล ทั้งเรื่องขายของ หรือแม้แต่ทำบุญที่โรงเจ คุณพ่อคิดว่าบุญจะช่วยปกป้องลูกหลาน แต่ผมมองว่า บุญกุศลที่ผ่านมาได้ถูกถ่ายทอดมาถึงลูกหลาน เรื่องปรัชญาความคิดที่สอนให้เราไม่เอาเปรียบคนอื่น นี้คือพื้นฐานของการมีศีล ศีลที่คุณพ่อได้กระทำให้เห็น ตรงนี้เป็นโครงสร้างพื้นฐานโดยอัตโนมัติ”

ในเรื่องของการใฝ่หาความสงบ (จิตใจ) นั้น แรกเริ่มเดิมที หลังจากเรียนจบ เพื่อนๆ มีหนังสือธรรมะ เราก็อ่านบ้างไม่อ่านบ้าง แต่พอมาทำธุรกิจอย่างจริงจัง เรื่องเครียดก็มี ไม่รู้จะปรับตัวอย่างไร การเอาเรื่องธรรมะมาช่วย ทำให้ใจสงบ มีเหตุและต้องมีผล ศีล ทำให้เราคิดดี ทำดี มุ่งประโยชน์ส่วนรวม สมาธิ การมีสติชอบ เหมือนเวลาเราตีลูกเทนนิส สายตาดูบอลก็คือสมาธิ และการมีสติคือ การตีลูกเทนนิสให้ถูกทิศ

“หากคนเรามีศีล มีสติ มีปัญหา ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาได้ ปัญหาที่ว่า คือ การดำริออกจากกาม กามที่หมายถึง เอาประโยชน์เข้าตัวเอง ตรงนี้ต้องถอดออกมา แต่ถ้าในหลักศาสนาแล้ว ดำริออกจากกามคือ การปล่อยวาง แต่ถ้าหากคนเราไม่มีศีลแล้ว ก็เปรียบกับเหมือน:)ป่า ฉกฉวยเอาของคนอื่น ดังนั้น เราต้องสลัดความเป็น:)ป่าออกจากกาย ใครที่คิดจะโกงก็โกงได้ แต่โกงได้ครั้งเดียว ต่างจากหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า คนเรารวยได้ เป็นสุขได้ อยู่ที่เราคิด” บางแง่มุมที่สะท้อนถึงปัญหาทางสังคม!

สำหรับกิจกรรมในชีวิตที่ทำอยู่ ก็สบายๆ กับครอบครัว ช่วงเช้าก็ออกกำลังกายโดยตีเทนนิสกับภรรยา วิ่งออกกำลังกายรอบบ้านที่อยู่แถวซอยนวลฉวี เนื้อที่ 40 ไร่ หรือไม่ก็จะเดินดู:)เลี้ยง เช่น เป็ด, หงส์ ซึ่งก็มีทั้งหงส์ดำอยู่ 7 ตัว หงส์ขาว 23 ตัว รวมถึงไก่แจ้ ปลูกต้นไม้บ้าง ทั้งต้นกล้วย จัดสวน เพลินดี

เริ่มออกจากมนุษย์เงินเดือน ตอนอายุประมาณ 26-27  เยี่ยม
บันทึกการเข้า
Pexpert
Jr. Member
**

คะแนน 4
ออฟไลน์

กระทู้: 87



« ตอบ #36 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2011, 10:33:40 AM »

เรียนจบ วศ.บ.มา ไม่เคยไปสมัครงานที่ใดๆ เพราะตอนฝึกงานทำให้ได้รู้ว่า ไม่ชอบเป็นมนุษย์เงินเดือน และสังคมแบบนั้น

ชอบอาวุธทุกชนิดตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ มีด ยันเรือรบ

เลยเริ่มขายไส้กรอก น้ำดื่มที่ตลาดนัด ตอนนี้อายุ 30 ในปีหน้า และเป็นเจ้าของกิจการด้านอาวุธ(จำลอง)ทั้งกองทัพบก เรือ อากาศ นาวิกโยธิน ครับ   ไหว้

เชื่อว่าบางท่านในเว็บนี้คงเคยเป็นลูกค้าผม เพราะกลุ่มลูกค้าผมเล่นปืนและมีดกันเยอะมากๆ  หลงรัก
บันทึกการเข้า
ธำรง
Hero Member
*****

คะแนน 1727
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8568


.....รักในหลวง.....


« ตอบ #37 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2011, 11:06:23 AM »

ท่านจขกท.รศ.ดร. ช้างยิ้ม เป็นวิศวกรโยธา    เยี่ยม
ใบ สย วย ก็น่าจะพอมีพอกินไปทั้งชีวิต   Wink

ชีวิตการทำงานของวิศวกรโยธาแต่ละคน มีความโลดโผนแตกต่างกัน
การเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นก็เสมือนทำเงินมาจ่ายให้ตัวเองเพียงอาศัยทรัพยากรขององค์กร ต้องทำเกินคืนประโยชน์ให้เขาด้วย
ความเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องของวิศวกรโยธาด้วยกัน เป็นการซ่อนดาบในรอยยิ้ม ...... หากเป็นเส้นทางต้องสู้ช่วงชิง
ปลายทางของช่วงชีวิตมีความแตกต่างกันมาก ขึ้นกับว่าจะวัดด้วยสิ่งใด และเห็นว่าสิ่งใดเป็นสุขที่แท้

ถ้าพร้อมจะล้มแล้วลุกใหม่ ไม่รู้เจ็บรู้เหนื่อย ก็มาเป็นนายตัวเองได้เลย
ไม่มีความล้มเหลวถาวร และไม่มีความสำเร็จตลอดกาล

เพียงต้องหยุดได้ เมื่อใจอยากหยุด
และเมื่อหยุด ก็ต้องมีพอให้หยุดได้
ขาดก็ไม่ดี.....มีมากนัก...ก็เป็นทุกข์....อิ อิ  หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า
รัชต์
Full Member
***

คะแนน 77
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 176



« ตอบ #38 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2011, 11:13:39 AM »

ผมเริ่มเตรียมการออกจากระบบตั้งแต่อายุ 23 ครับ เริ่มหาความรู้ด้านการตลาด การบริหารงานบุคคล การบัญชี การบริหารเงินสด
จนกระทั่งคิดว่ารู้มากพอแล้วเมื่อ 27 ช่วง 23-27 ก็ทำงานส่วนตัวควบคู่ไปกับงานประจำ พอมีทุนบ้าง คิดว่าพอมีลูกค้าในมือบ้าง ก็โดดออกมาทำเอง
อาศัยวิกฤติต้มยำกุ้งเป็นโอกาส เราทำงานหนัก กินน้อย ใช้น้อย ก็อยู่รอดมาได้ครับ ผมว่าทุกวันนี้การเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง ยากกว่าเมื่อก่อน
ถ้าตั้งใจว่าจะทำ อายุ 30+- เป็นโอกาสครับ ถ้าช้ากว่านี้ ต้นทุนก็จะสูงเกินไป ความอึดในการทำงานก็จะน้อยลงไป เพราะว่า 2-3 ปีแรกของการออกมา
เหนื่อยมากนะครับ ปีที่ 4-5 ก็จะเริ่มเบาลง ขอให้โชคดีครับ
บันทึกการเข้า
carrera
กินลูกเดียวเที่ยวสองลูก
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2329
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 84478


« ตอบ #39 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2011, 11:21:06 AM »

ถ้าพร้อมจะล้มแล้วลุกใหม่ ไม่รู้เจ็บรู้เหนื่อย ก็มาเป็นนายตัวเองได้เลย
ไม่มีความล้มเหลวถาวร และไม่มีความสำเร็จตลอดกาล

ชัดเจน Grin Grin Grin  ใครอยากลอง ไม่มีใครว่า ตัดสินใจกันเอง แต่เชื่อ 99% ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลายที่หอมหวาน สบายๆ
บันทึกการเข้า

เนื้อร้ายตัดทิ้ง
www.ipscthailand.com
นาย ช้างยิ้ม
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 118
ออฟไลน์

กระทู้: 408



« ตอบ #40 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2011, 11:34:44 AM »

ท่านจขกท.รศ.ดร. ช้างยิ้ม เป็นวิศวกรโยธา    เยี่ยม
ใบ สย วย ก็น่าจะพอมีพอกินไปทั้งชีวิต   Wink

ชีวิตการทำงานของวิศวกรโยธาแต่ละคน มีความโลดโผนแตกต่างกัน
การเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นก็เสมือนทำเงินมาจ่ายให้ตัวเองเพียงอาศัยทรัพยากรขององค์กร ต้องทำเกินคืนประโยชน์ให้เขาด้วย
ความเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องของวิศวกรโยธาด้วยกัน เป็นการซ่อนดาบในรอยยิ้ม ...... หากเป็นเส้นทางต้องสู้ช่วงชิง
ปลายทางของช่วงชีวิตมีความแตกต่างกันมาก ขึ้นกับว่าจะวัดด้วยสิ่งใด และเห็นว่าสิ่งใดเป็นสุขที่แท้

ถ้าพร้อมจะล้มแล้วลุกใหม่ ไม่รู้เจ็บรู้เหนื่อย ก็มาเป็นนายตัวเองได้เลย
ไม่มีความล้มเหลวถาวร และไม่มีความสำเร็จตลอดกาล

เพียงต้องหยุดได้ เมื่อใจอยากหยุด
และเมื่อหยุด ก็ต้องมีพอให้หยุดได้
ขาดก็ไม่ดี.....มีมากนัก...ก็เป็นทุกข์....อิ อิ  หัวเราะร่าน้ำตาริน

 ไหว้ ไหว้ ไหว้
บันทึกการเข้า
นาย ช้างยิ้ม
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 118
ออฟไลน์

กระทู้: 408



« ตอบ #41 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2011, 11:36:28 AM »

ใบ สย. กว่าจะได้มาเลืดดตาแทบกระเด็น.. หัวเราะร่าน้ำตารินคงใช้ตรงนี้เป็นใบเบิกทางครับ Cheesy
บันทึกการเข้า
Southlander
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 5711
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 48212



« ตอบ #42 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2011, 11:38:21 AM »

ใบ สย. กว่าจะได้มาเลืดดตาแทบกระเด็น.. หัวเราะร่าน้ำตารินคงใช้ตรงนี้เป็นใบเบิกทางครับ Cheesy

แบบ กว. หรือเปล่าครับหรือยากกว่า มีสามัญ มีภาคีอะไรแบบนั้น

ผมมี กว. แต่ปล่อยหมดอายุ ไม่ต่อนานแล้ว ไม่ใด้ใช้ประโยชน์อันใดเลยด้วย
บันทึกการเข้า

๏ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง  แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง   จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง
                      
                             โดย:นภาลัย สุวรรณธาดา พศ.๒๕๑๐
นาย ช้างยิ้ม
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 118
ออฟไลน์

กระทู้: 408



« ตอบ #43 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2011, 01:39:27 PM »

ใบ สย. กว่าจะได้มาเลืดดตาแทบกระเด็น.. หัวเราะร่าน้ำตารินคงใช้ตรงนี้เป็นใบเบิกทางครับ Cheesy

แบบ กว. หรือเปล่าครับหรือยากกว่า มีสามัญ มีภาคีอะไรแบบนั้น

ผมมี กว. แต่ปล่อยหมดอายุ ไม่ต่อนานแล้ว ไม่ใด้ใช้ประโยชน์อันใดเลยด้วย

น่าจะต่อทิ้งๆไว้บ้างก้อดีนะครับ เผื่อมีโอกาสได้ใช้  ผมเคยทำเรื่องไปที่สภาวิศวกรเพื่อจะขอซื้อปืนสวัสดิการแบบทนาย  เรื่องเงียบเป็นปีแล้วครับ
บันทึกการเข้า
Jedth
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 858
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4607



« ตอบ #44 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2011, 01:50:19 PM »

ยังไม่เลิกครับ เหตุผลเดียวกับลุงปูครับ   Grin
ปล. ขออนุญาตพาดพิงครับ คิก คิก
               งั้นต้องกอดคอกันไปดริ๊งแก้กลุุ้มหน่อยละครับน้าเจตถ์   น้ำลายหก         ขำก๊าก

ด้วยความยินดีครับลุงปู  Grin  ยิ้มีเลศนัย  ไหว้
บันทึกการเข้า

Pragmatism
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.118 วินาที กับ 21 คำสั่ง