องค์ประกอบชุดซุ่มยิงลาดตระเวน
ในหนึ่งชุดซุ่มยิงลาดตระเวนจะประกอบไปด้วยกำลังพล 2 นายคือ 1) พลซุ่มยิง (Sniper) เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ในการซุ่มยิง และ 2) พลชี้เป้า (Spotter) เป็นผู้ที่ทำหน้าที่วัดระยะจากที่วางตัวไปยังเป้าหมายแล้วแจ้งให้พลซุ่มยิงทราบ
โดยหลักการแล้วการการใช้ซุ่มยิงลาดตระเวนเข้าไปปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ปฏิบัติการจะมีการดำเนินการอยู่ 3 ขั้นตอนคือ
ขั้นที่ 1 แทรกซึม: การแทรกซึมเป็นการปฏิบัติที่มีความสำคัญต่อภารกิจเป็นอย่างมากเพราะว่า ถ้าชุดซุ่มยิงถูกตรวจพบ ก็ย่อมจะส่งผลให้ภารกิจที่ได้รับมอบมีโอกาสล้มเหลว การวางแผนในการแทรกซึมจะต้องวางอย่างรัดกุม และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ซึ่งการวางแผนจะต้องใช้ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ การข่าว การลวง ความเร็ว และความคล่องตัว การอำพราง การตรวจจับของข้าศึก และการระวังป้องกัน สำหรับการแทรกซึม ชุดซุ่มยิงสามารถแทรกซึมเข้าสู่พื้นที่ปฏิบัติการ ได้จากการแทรกซึมทางอากาศ แทรกซึมสะเทินน้ำทะเทินบก และแทรกซึมทางบก
การพรางตัว การแทรกซึม
ขั้นที่ 2 ปฏิบัติต่อเป้าหมาย: สามารถแบ่งการปฏิบัติย่อย ๆ ออกเป็น การเคลื่อนที่เข้าหาเป้าหมาย การเลือกจุดวางตัว การวางตัวและการตรวจการณ์ การรายงาน และ การถอนตัวออกจากจุดวางตัว
การเคลื่อนที่เข้าปฏิบัติต่อที่หมาย
ขั้นที่ 3 ถอนตัว: การถอนตัวเป็นการปฏิบัติที่ต้องมีการวางแผนเป็นอย่างดีเพราะว่า ถ้าขาดการวางแผนที่รัดกุมชุดซุ่มยิงอาจจะไม่สามารถออกจาก พื้นที่ที่เข้าไปปฏิบัติการได้ การถอนตัว สามารถกระทำได้โดยทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ หรือทางยานยนต์ นอกจากนี้ ชุดซุ่มยิงจะต้องเตรียมการในเรื่องของการ หลบหลีกและหลีกหนี (Evasion and Escape) ไว้ด้วย เมื่อถูกไล่ติดตามจากกำลังฝ่ายข้าศึก
ในการปฏิบัติการทางทหารนั้นการใช้การชุดซุ่มยิงลาดตระเวนจะมีมาตั้งแต่ในอดีตดังเช่น วีรกรรมของ Zaitsev นั้นเป็นที่กล่าวขานในกองทัพแดง (กองทัพรัสเซียในสงครามโลกครั้งที่ 2) และประชานชนในสตาลินกราด รวมถึงกองทัพเยอรมันเป็นอย่างมาก มีการกล่าวว่า Zaitsev นั้นมี body count ถึง 244 ศพ แต่มีการยืนยันจริง เพียง 144ศพ ส่วนคู่ต่อกรของ Zaitsev นั้นคือ พันตรี Thorwald (ในบางรายงานจะใช้ชื่อ Keonig) ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์จากโรงเรียนพลซุ่มยิง ใกล้กรุงเบอร์ลิน ที่ถูกส่งตัวมายังสตาลินกราดเพื่อทำการยุติบทบาทของ Zaitsev (แต่ไม่มีการยืนยันว่า Thorwald มีตัวตนจริง) เรื่องราวเหล่านี้เป็นหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ทหารที่มีการกล่าวถึงพลซุ่มยิง และได้มีการนำมาทำเป็นภาพยนตร์เรื่อง Enemy at the Gates
นอกจาก Zaitsev แล้วพลซุ่มยิงที่มีชื่อเสียงในอดีตอีกคนหนึ่งได้แก่ พันจ่าตรี Carlos N. Hathcock II แห่งนาวิกโยธิน สหรัฐฯ ในสงครามเวียตนาม ที่มี body count 93 ศพ (ไม่ยืนยัน 360 ศพ) ทำให้ฝ่ายเวียดนามเหนือตั้งค่าหัวถึง 30,000 เหรียญสหรัฐ หลังจากสงครามเวียดนาม Carlos ได้รับบาดเจ็บ และเกษียณราชการเมื่อปี ค.ศ. 1979 ไปเป็นครูสอนพลซุ่มยิงให้กับชุดซุ่มยิงของหน่วย SWAT ที่มลรัฐเวอร์จิเนีย ขีดความสามารถของ Carlos เป็นที่กล่าวขานกันเพราะยิงเป้าหมายจากระยะที่ประมาณ 700 หลา โดยจะแทรกซึมจาก ระยะ 1000 หลา โดยใช้เวลาประมาณ 4 วันในการแทรกซึมไปยังจุดวางตัวโดยค่อยๆ คลานเข้าไปที่ระยะ 700 หลา ซึ่งเป็นระยะที่ทำการยิงเป้าหมาย
จากที่กล่าวมาในข้างต้นนั้นจะพบว่าในอดีตการใช้ชุดซุ่มยิงลาดตระเวนจะมีประโยชน์เป็นอย่างมากในการจำกัดการเคลื่อนไหวหรือการปฏิบัติการของข้าศึก ชุดซุ่มยิงลาดตระเวน 1 ชุดสามารถที่จะหยุดการเคลื่อนที่ของทหารหนึ่งกองพลได้ถ้ามีการใช้งานที่เหมาะสม ดังนั้นในการปราบปรามกองโจรที่ก่อความไม่สงบนั้น ชุดซุ่มยิงลาดตระเวนจะเป็นเครื่องมือทางยุทธวิธีที่จะทำให้กองโจรขาดเสรีในการปฏิบัติ
อย่างไรก็ดีการใช้ชุดซุ่มยิงลาดตระเวนเป็นเรื่องที่ต้องมีการวางแผนอย่างรัดกุมทั้งนี้เพราะข้อจำกัดในการเลือกยิงเป้าหมายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความละเอียดอ่อนสามารถนำมาใช้เป็นเงื่อนไขได้ การปฏิบัติของชุดซุ่มยิงลาดตระเวน ควรจะนำมาใช้กับกองโจรที่อยู่ในป่าซึ่งเป็นพื้นที่ที่ความชัดเจนว่า ถ้าชาวบ้านปกติคงไม่ถืออาวุธและเข้าไปเดินในป่า ดังนั้นชุดซุ่มยิงลาดตระเวนจึงเหมาะกับการซุ่มยิงหน่วยรบขนาดเล็ก RKK (Runda Kumpulan Kecil) หรือที่เรียกว่า หน่วยคอมมานโด ของกลุ่มก่อความไม่สงบที่มีลักษณะเป็นหน่วยทหารขนาดเล็กทำงานแบบหน่วยจรยุทธ์ มีกำลังพลเป็นระดับเยาวชนและคนหนุ่มที่ได้รับการฝึกจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการยิงปืน เพื่อก่อความไม่สงบ
ถึงแม้การใช้ชุดซุ่มยิงลาดตระเวนเข้าทำการซุ่มยิง RKK จะช่วยลดขีดความสามารถของกลุ่มก่อความไม่สงบได้ก็ตาม แต่การดำเนินการเชิงรุกต่อกลุ่มก่อความไม่สงบคงต้องอาศัยหน่วยทหารขนาดเล็กของฝ่ายเราปฏิบัติการร่วมกับชุดซุ่มยิงลาดตระเวน โดยหน่วยทหารขนาดเล็กจะเป็นหน่วยที่ปฏิบัติการหลักทำการลาดตระเวนอย่างเต็มพื้นที่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ทำการซุ่มโจมตี RKK และเข้าตีโฉบฉวยต่อฐานที่มั่น RKK ส่วนชุดซุ่มยิงลาดตระเวนจะทำหน้าที่สนับสนุน และรวมถึงการปฏิบัติแบบอิสระ