พวกเราช่วยกันหาตามบริเวณใกล้เคียง พื้นที่สวนใหญ่จะเป็น นาข้าว ไร่มันสำปะหลัง หากอีแหว่งอยู่บริเวณนั้นไม่รอดสาวตาไปแน่ แต่อีกซีกหนึ่งที่เรามองหน้ากันแล้วทำตาปริบ ๆ คือดงใหญ่ที่รกครึ้มแสงแดดส่งไม่ถึงพื้น เต็มไปด้วยไม้ใหญ่นานาพันธุ์ เถาสะบ้าเท่าท่อนขาทอดยาวประหนึ่งงูยักษ์เลื้อยลงจากยอดไม้ ดงแห่งนี้นอกจากยุงป่าจะชุมแล้ว ลุงบอกว่า ผีดุ...( ผมทราบทีหลังว่าดงแห่งนี้เป็นที่ของลุง... ต่อมาได้แผ้วถางทำไร่มัน และเมื่อสองปีที่ผ่านมานี้ ลุงได้ยกที่แปลงนี้ให้กับหลาน ๆ ทั้ง 6 คน )
ป่ะ เรากลับบ้านไปบอกผู้ใหญ่มาช่วยกันหาดีกว่า
เรารีบครึ่งวิ่งครึ่งเดินกลับเข้าหมู่บ้านอย่างรีบเร่งจนถึงบ้าน เสียงคนพูดจาไม่ได้ศัพย์สลับกับเสียงเฮฮามาจากบ้านของลุง ผมฝ่าวงเหล้าขาวที่ลานบ้านตรงตรงเข้าไปหาลุงแล้วบอกดัง
ลุง อีแหว่งหาย
หายกี่ตัว ตัวไหนบ้าง ลุงถามเสียงเรียบ ๆ
อีแหว่งหายตัวเดียว ผมบอกเสียงปนสะอื้น
เฮ้ย เลี้ยงยังไง ปล่อยให้ควายหาย เป็นลูกครูซะเปล่า ป่านนี้ ควายเป็นซิ้นหลอดแล้วมั๊ง เสียงแซวมาข้างหลัง ควายหายทั้งตัว ผมไม่สนุกด้วยหรอก
เพ็ง ดำ ไปดูหน่อย เดี๋ยวมันไปเข้าไร่เข้าสวนเขา ไม่ไปไหนไกลหรอก ลุงหันไปบอกญาติที่นั่งล้อมวง ที่ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า กำลังชำแหละหมูป่าตัวเขื่อง ที่ลุงยิงได้เมื่อตอนเย็นแล้วช่วยกันหามมาชำแหละที่บ้านเพราะไม่ได้เตรียมตะเกียงไป
ญาติทั้งสองคว้าตะเกียงแก๊ส ( ตะเกียงที่ใช้แก๊สก้อน หรือ calcium carbide ) เดินดุ่มออกไปทันที โดยผมเดินตามติด ๆ พวกเพื่อน ๆ ผมนั้นถูกผู้ใหญ่เรียกกับบ้านกันหมดแล้ว
อีแหว่ง เป็นควายชราตัวเดียวที่เรามีอยู่ ผมเคยถามลุงว่าทำไม่ไม่ขายมันเสีย...
มันเป็นควายนา เคยลากคราดลากไถ ให้เขาเอาไปฆ่าไม่ได้หรอก สงสารมัน ลุงตอบสั้น ๆ ...ควายทุกตัวไม่ใช่ว่าจะเอามาลากไถได้เลย ต้องมีการฝึกการหัด ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลาพอสมควร ควายทั้งฝูงจึงมีควายนาอยู่แค่ 5 6 ตัว
ชื่อควายคุ้น ๆ หู ...ลุงของทิดเป้าจำมาจากชื่อช้างของอาจาย์พนมเทียนหรือเปล่า
เปล่าครับ ลุงผมอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ อย่าว่าแต่อ่านเพชรพระอุมาเลย เขียนชื่อตัวเองยังไม่เป็น
เอ๊าแล้วกัน ...เวลาติดต่ออำเภอ จะทำยังไง
ไม่ยาก..แค่.แปะโป้ง พิมพ์ลายนิ้วมือ ก็เป็นอันเสร็จสรรพครับ เร็วดีด้วย
การตั้งชื่อคนหรือสัตว์ในสมัยก่อนนั้น มักจะนำจุดด้วย จุดเด่นมาเป็นนาม เช่น ตัวขาว จะได้ชื่ออีขาว ไอ้เผือก... ตัวดำ ๆ เรียก ไอ่ซับ...เอ๊ย ไอ่นิล ไอ่ดำ ฯลฯ ...ชื่ออีแหว่งได้มาเมื่อครั้งมันยังเล็ก มันเข้าลุยสวนของญาติที่อยู่ใกล้กัน โดนเจ้าของสวนเอาไม้ไล่ตี...บังเอิญเหลือเกิน ปลายไม้ไผ่แหลมคมที่ตีมันนั้น ไปเฉี่ยวเข้าอวัยวะที่บอกเพศเพมียของมัน ฉีกแหว่งไป มันจึงได้ชื่อแหว่ง มาตั้งแต่บัดนั้น
อืมมมม...พอจะเข้าใจวื่อหมาของปู่ต้อยแล้วว่า ชื่อไอ้หรั่ง นังตาล มาจากไหน แต่ชื่อน้าซับนี่สิเป็นงง...ทำไมไม่ตั้งชื่อว่า น้าดำ หรือจะให้ออกแนวฝรั่งหน่อยก็ชื่อน้าแบล็คไปเลย ครับ อย่ายุ่งกับน้าซับแกเลย...ปล่อยให้แกใช้เวลาไปหารักแท้ของแกเหอะ
พี่เพ็งเดินนำไปยังป่าละเมาะใกล้ ๆ ที่เลี้ยงควาย จากชายป่าเข้าไปประมาณ 30 เมตร แสงไฟจากตะเกียงแก๊สส่องเห็นร่างผอมดำสนิทของอีแหว่งยืนเคี้ยวเอื้องอยู่ข้างต้นไม้ขนาดย่อม ผมรีบวิ่งเข้าหาทันที อีแหว่งถูกล่ามด้วยเชือกยาวประมาณ 1 เมตร ปลายเชือกผูกไว้กับต้นรัง ตรงโคนต้มมีฟางกองอยู่ ...ที่เขาของอีแหว่งมีข่า ตะไค้ และห่ออะไร 2ห่อมัดด้วยตอกติดอยู่อย่างแน่นหนา ผมรีบแกะดูข้างในอย่างสงสัย
ห่อพริก เกลือ...แกะดูทำไม เสียงพี่ดำเอ่ยขึ้นอย่างขำ ๆ
เขาห่อพริกแล้วมัดติดกับเขาอีแหว่งทำไม ผมถามต่ออย่างสงสัย
นี่แสดงว่าอีแหว่งเข้าสวนเขา เขากำลังเตือนมึงให้ดูแลควายให้ดี อย่าให้ไปเข้าสวนเขาอีก ไม่งั้นเขาจะเอามันทำลาบ เห็นมั๊ยเขาเตรียมเครื่องลาบไว้แล้ว
อีกความรู้และประสบการณ์หนึ่ง ที่ผมต้องจำไว้...การอยู่ในสังคมย่อมมีความขัดแย้ง .วิธีแก้ไขและยุติข้อขัดแย้งมีตั้งหลายวิธีให้เลือก จะเอาแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน หรือแบบบัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น ...จากเบา ไปหาหนัก