และเมื่อมีบ้านแล้ว การที่จะให้เถ้าแก่ไปสู่ขอสาวคนรักก็เป็นเรื่องง่าย และไม่อายใคร เพราะได้แสดงให้ฝ่ายเจ้าสาวเห็นว่า เป็นผู้มีมานะ ขยันเป็นที่ไว้ใจได้ ส่วนหญิงสาวก็จะทำไร่ฝ้าย เพื่อนำมาทอเป็นผ้าห่ม ที่นอน หมอน ผ้าขาวม้า เครื่งนุ่งห่มไว้เช่นกัน ไม่ต้องแปลกใจเมื่อยามไปพักบนเรือนของคนอิสานแล้วเห็นผ้าห่มที่นอนมากมายก่ายกอง ใช้ได้ถึงลุกถึงหลาน..นั่นคือฝีมือของลูกสาวคนขยันของเขาล่ะ
ชาวบ้านทั่วไปก็จะพึ่งคนหนุ่มเหล่านี้ด้วยการนำวัวควายไปฝากเลี้ยง นานๆ จะไปดูทีและไม่ลืมที่จะหาของกินของใช้จำเป็นรวมถึง หมื่อ(ดินปืน) แก๊บ ยาเส้น แก๊สก้อนสำหรับเติมตะเกียง ติดมือไปฝากเป็นสินน้ำใจ....
...........พวกเขาหลับนอนกันที่ไหน หรือว่าบนเขาภูพานที่ว่ามีบังกะโล ? ......นอน ทับ ครับ ....
ทับคือะไร เป็นด่านเก็บเงินเหมือนทับช้างรี ? ........คนละทับกันครับ
ทับ คือกระท่อม ขนำ หรือเถียงนา นั่นเองครับแต่มีขนาดใหญ่ อยู่กลางเขา กระจายกันอยู่ในทำเลทีมีแหล่งน้ำ หญ้าอาหารสัตว์อุดมสมบูรณ์ การปลุกทับ ไม่ได้เกิดจากการนาวาน หากเกิดจากการชักชวน ร่วมมือร่วมใจกันสร้างที่พักแรมสำหรับคนไปเฝ้าวัวควาย ล่าสัตว์ เลื่อยไม้
เครื่องอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ ก็มีแค่หมอนเก่าเลอะขี้คราบน้ำลายโอ่งน้ำแตกๆแหว่งๆใบเล็ก เขียง จานชามหม้ออลูมิเนียมบิดๆเบี้ยวๆ หวด หม้อนึ่งข้าว ข้าวของเหล่านี้เป็นของผู้ที่มาพักในทับ ยามเดินทางกลับก็จะทิ้งของกินของใช้ให้คนข้างหลังได้กินได้ใช้ ไม่แบกกลับให้หนัก ใครจะไปจะมาจะกินจะอยู่ที่ทับไหนก็ได้ไม่วากัน
ทับ จึงเป็นศาลาสาธารณประโยชน์ เป็นสมบัติของทุก ๆคน พวกเขาจะกลับเข้าหมู่บ้านเมื่อยามของใช้จำเป็นหมด (โอกาสเกิดขึ้นน้อยเพราะมีผู้นำไปให้ตลอด) เจ็บป่วย ที่บ้านมีงานบุญ วงดนตรีลูกทุ่งมาปิดวิก คิดถึงหน้าสาวเจ้า
และพบว่าวันควายขาดหายไปตามหาสุดกำลังแล้วไม่พบ พวกเขาจะรีบลงมาที่หมู่บ้านแจ้งข่าวให้เจ้าของ ผู้ใหญ่บ้านระดมชาวบ้านออกช่วยกันตามหา ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ หายไปเพราะแตกฝูง ติดตัวเมียฝูงอื่น หรือเชือกสนตะพายติดอยู่กับกิ่งไม้ บางตัวถึงรัดคอหายใจไม่ออกถึงตาย เจ้าของก็ได้แต่ปลงแล้วก็ตกพูดแบ่งกัน...เหตุการณ์เช่นนี้ ผู้เจ้าของมักจะป้องกันโดยการตัดเชือกสนตะพายสายหมากกะโหล่งก่อนปล่อยขึ้นโคก