เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ตุลาคม 03, 2024, 11:26:26 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคบ้างาน  (อ่าน 2273 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6424
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 50462



« เมื่อ: สิงหาคม 13, 2012, 06:03:30 PM »

ถ้าเอ่ยคำว่า “บ้างาน” หลายคนคงจะรู้จักดี  แต่ถ้าเป็นคำว่า “เวิร์คคาฮอลิค” หลายต่อหลายคนคงจะส่ายหน้า  แต่สำหรับสังคมตะวันตกแล้วคำว่าเวิร์คคาฮอลิครู้จักกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ.  1970  หรือ เกือบสามสิบปีมาแล้ว
เมื่อคืนวันพุธ  ที่  17  มีนาคม  2542  รายการ  “เฮลธ์ โชว์”  ที่ว่าด้วยเรื่องสุขภาพในแง่มุมต่างๆ   ของสถานีโทรทัศน์ซีบีซี.  หรือ  แคนาเดียน บรอด คาสต์ติ้ง คอเปอร์เรชั่น  ที่ฉายทางยูบีซี  เคเบิลทีวีบ้านเรา  หยิบเอาประเด็นเรื่อง  “การบ้างาน”  กับ  “การใช้เวลาว่าง”  หรือการพักผ่อนหย่อนใจมานำเสนอไว้อย่างน่าสนใจอย่างมีหลักฐาน  ถึงขั้นไปควานหาตัวอย่างจากกลุ่มบุคคลที่ถูกเรียกว่า  “เวิร์คคาฮอลิค”  หรือ  โรคบ้างานมาเจาะลึกเรื่องราวชีวิต  สัมภาษณ์หมอโรคจิตเพื่อให้รู้สาเหตุของโรครวมทั้งนำเอาสถิติ  การสำรวจในหลาย ๆ  แง่มุมมาตีแผ่
สรุปว่าแนวโน้มที่น่าสนใจคือ  อาการหรือโรคบ้างานหรือเวิร์คคาฮอลิคนั้นเริ่มต้นขึ้นในสังคมตะวันตกมาตั้งแต่ปี ค.ศ.  1970  และแสดงผลหรือแสดงลักษณะของ  “สังคมบ้างาน”  อย่างชัดเจนในช่วงค.ศ. 1990  จนต้องมีการระดมเงินเพื่อสนับสนุนการทำวิจัยเกี่ยวกับโรคที่ว่ากันอย่างเป็นทางการ  มีกรณีตัวอย่างของอุบัติเหตุครั้งสำคัญๆ ของโลกเช่น  ยานอวกาศแชแลนเจอร์ของสหรัฐอเมริการะเบิดกลางหาวก็ดี...กรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชิอร์โนบิลของโซเวียตรั่วก็ดี...ไปจนถึงเครื่องบินตกในบางครั้ง  ล้วนแต่มีสาเหตุมาจาก ”งาน” ทั้งสิ้น  คือ  การทำงาน “เวรดึก”  หรือทำงานกันแบบไม่ได้หลับได้นอนตลอด  24  ชั่วโมง  คนที่เข้าเวรดึกก็เลยเป็นตัวสร้างอุบัติเหตุทั้งที่ทำลายสุขภาพตัวเองและส่งผลต่อผู้อื่นด้วย
ต่อท้าย #1 14 มี.ค. 2554, 23:29:09
แต่จุดสำคัญคงไม่ใช่แค่เรื่องผลการสำรวจที่แสดงให้เห็นการทำงานช่วงดึกทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงไป  หรือทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น  สิ่งที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นก็คือ  อาการเวิร์คคาฮอลิคมันเป็นตัวสะท้อนภาพของสังคมสมัยใหม่...สังคมตะวันตกที่สังคมไทยกำลังก้าวเดินตามอย่างกระชั้นชิด
คือสภาพ



  “บ้างาน”  หรือ  “ติดงาน”  งอมแงมเหมือนคนเป็นแอลกอฮอลลิคหรืติดเหล้านั้นถูกสะท้อนว่ามันมีรากฐานมาตั้งแต่ชีวิตในวัยเด็กที่อยู่ท่ามกลางสภาพสังคมที่ใช้ความเก่ง  ความแข็งแกร่ง  ชัยชนะเป็นตัวตัดสินการได้รับความชื่นชมหรือการประสบความสำเร็จของเด็ก...
เหมือนอย่างผู้หญิงรายหนึ่งที่เข้ารับการรักษาโรคบ้างานบอกกับรายการ “เฮลธ์โชว์” ว่า  ความเก่งของเธอก็คือสิ่งที่ทำให้เธอเกิดความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดี  และทำให้ได้รับความรัก  ความชื่นชมจากผู้คนที่รายล้อมมาตั้งแต่เธอยังอายุน้อยๆ  ซึ่งก็คงเป็นไปในแบบเดียวกับที่พ่อแม่  ผุ้ปกครองทั้งหลายต้องการให้ลูกหลานเรียนเก่งสอบได้คะแนนมากๆ  เป็นเด็กปัญญาเลิศ  ซึ่งในระยะหลังๆ  ยังแตกแขนงไปสู่กิจกรรมต่างๆ  ไม่ว่าการเล่นดนตรี กีฬา  ร้องเพลง  การแสดง ฯลฯ  ที่ไม่ได้เป็นแต่งานอดิเรกหรือการเสริมสร้างทักษะอีกต่อไป  แต่มันเป็น  “การแข่งขัน”  ในแทบทุกกรณี  สิ่งเหล่านี้จึงทำให้เด็กจมอยู่กับการบ้างานตั้งแต่เล็กๆ
และวิถีชีวิตแบบนี้ก็จะสืบเนื่องไปเรื่อยๆ แข่งกันเรียนเพื่อแย่งกันเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง   จบออกมาก็แย่งกันหางานดีๆ ทำ  เมื่อมีครอบครัวก็ยิ่งรู้สึกต้องรับผิดชอบครอบครัวให้มากให้ดีที่สุด  แต่เมื่อระบบบริษัทหรือธุรกิจนั้นมีแนวโน้มที่จะ  “ลดคนงาน”  ลงไปเรื่อยๆ  ตามวิถีของทุนนิยม  คนทำงานจะถูกกระตุ้นให้เร่งแสดงความสามารถและประสิทธิภาพของตัวเองให้อยู่ในระดับนำ  ทั้งเพื่อป้องกันการตกงาน  หรือการกลายสภาพไปเป็นคนที่ไม่มีคุณค่าไปจนถึงเพื่อสนองตอบต่อภาระรับผิดชอบที่ต้องทำให้ครอบครัวได้ครบ  ได้รับหลักประกันความมั่นคงสะดวกสบายไม่ว่ารถ, บ้าน, การศึกษา-คุณภาพชีวิตของลูกๆ  ก็ทำให้ต้องทำงานกันหนักมากยิ่งขึ้น
อาการ “บ้างาน”   หรือ  “เวิร์คคาฮอลิค”  ได้กลายเป็น  “โรค”  ชนิดหนึ่งในสังคมตะวันตกที่ถึงขนาดต้องมีหมอเข้ามาช่วยบำบัดแล้วอาการที่ปรากฏให้เห็นก็คือเกิดพฤติกรรมเคยชิน  ไม่มีงานทำไม่ได้  ไม่มีงานทำแล้วหงุดหงิด  ไม่มีงานแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย  รู้สึกว่าจะไม่ได้รับความรัก  ไม่ได้รับความสำคัญอีกต่อไปจนกลายเป็นโรคจิตทำงาน  ต้องหางานทำไม่ให้ขาดมือ


หมอผู้เชี่ยวชาญโรคเวิร์คคาฮอลิควิเคราะห์เอาไว้น่าฟังว่า...คนที่อยู่ในวิถีชีวิตที่กล่าวมาจะเคยชินกับ  “การได้รับความรักแบบมีเงื่อนไข”  ตัวอย่างง่ายๆ  ก็เช่นจะได้รับความชื่นชม รางวัล ความรัก ก็ต่อเมื่อเรียนเก่ง  ทำงานเก่งดูแลครอบครัวได้ดีจะไม่รู้จัก  “ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข”  พูดง่ายๆ  ก็คือแทบไม่รู้จักการทำสิ่งใดลงไปโดยไม่หวังผลตอบแทนที่แน่ ๆ  คือ ยากที่จะรู้จักกับคำว่า  “เสียสละ”  หมอบอกต่อไปว่านานวันเข้าคนเหล่านี้ก็จะยิ่งทะเยอทะยาน  และอีกไม่นานก็จะกลับรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว  รู้สึกกลัวที่แคบ ๆ  รู้สึกว่าโลกภายนอกไม่ปลอดภัย  และจะปฏิเสธความสัมพันธ์กับคนภายนอกครอบครัว  นอกวิถีชีวิตการทำงานมากขึ้นเรื่อย ๆ  ซึ่งว่าไปแล้ววิถีชีวิตแบบนี้ก็ปรากฏให้เห็นในสังคมไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ  อย่างเมื่อไม่นานมานี้นิตยสาร “แอล”  นิตยสารสารชั้นนำก็ได้ทำการสำรวจพบว่าผู้หญิงไทยและผู้หญิงเอเชียยุคนี้ทำงานกันหนักมากขึ้น




ต่อท้าย #2 14 มี.ค. 2554, 23:29:37
รายการ  “เฮลธ์ โชว์”  ในคืนวันนั้นได้โปรยหัวก่อนเข้ารายการว่า  “ยิ่งทำยิ่งงก..ยิ่งได้ยิ่งต้องการ”  มันได้กลายเป็นสภาพชีวิตของคนในทศวรรษ  90  ไปแล้วซึ่งมีนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงจากนิยามทางศาสนาที่ถือว่า  “งานคือธรรมะ”  เป็นการทำงานเพื่อจุดมุ่งหมายในการฝึกตนเอง  ฝึกฝนจิตใจ  ไม่ใช่มุ่งหมายเพื่อเงิน หรือเพื่อสนองตอบความทะเยอทะยาน
คนใช้เวิร์คคาฮอลิคบางรายบอกว่าทำงานวันละ  18  ชั่วโมง  บางรายใช้แทบทุกวินาทีเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า  ผู้ชายคนหนึ่งมีภรรยาและลุกที่น่ารัก  มีห้องทำงานอยู่ในห้องใต้ดินของบ้านที่เขามักจะขลุกอยู่ในนั้น  วิธีที่พยายามสัมพันธ์กับครอบครัวก็คือเปิดประตูทิ้งไว้  เขาบอกว่า...  “ผมมักไม่ออกจากห้องไปหาพวกเขา  ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาผมเมื่อผมเปิดประตูทิ้งไว้เป็นบางครั้ง”
บรรดาคนไข้เวิร์คคาฮอลิคที่ให้สัมภาษณ์ในรายการ “เฮลธ์  โชว์”  ต่างมีข้อสรุปในชีวิตของตัวเองแตกต่างกันไป  ผู้หญิงลูกสามที่ทำงานหนักเป็นบ้าเป็นหลังนั้นครอบครัวแตกสลาย  ชายที่ทำงานบริษัทสูญเสียทั้งครอบครัวและงานที่ทำ   เห็นสภาพเช่นนี้แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า   ... “เป็นสังคมที่มีเงิน   แต่ไม่มีความสุข  มีความก้าวหน้า  แต่ชีวิตถดถอย”

เมื่อจบการตีแผ่สภาพ  อาการของโรคเวิร์คคาฮอลิคแล้ว   รายการ  “เฮลธ์  โชว์”  ได้นำเสนอประเด็นที่มีความเกี่ยวข้องต่อเนื่องกันคือไปว่ากันด้วยเรื่อง  “การผ่อนคลายและการใช้เวลาว่าง”
ที่มีทั้งการนำเสนอภาพตัวอย่างของการใช้เวลาว่างของผู้คน  และการไปคุยกับผู้เชี่ยวชาญเรื่องการพักผ่อน  ข้อค้นพบในเรื่องนี้ยิ่งน่าสนใจปนไปกับความรู้สึกน่าฉงน  คือผู้เชี่ยวชาญบอกว่าการไปพักผ่อน  การไปเที่ยวของผู้คนจำนวนมากในสังคมตะวันตกยุคนี้กำลังเป็นแค่  “การทำตัวให้ไม่ว่างในช่วงเวลาว่าง”  มากกว่าจะเป็นการ  “พักผ่อน”  หรือ  “เที่ยว”  ในความหมายที่แท้จริงเขาบอกว่า  เวลาว่างกลายเป็นตัว  “ขจัดความผิด”  ในช่วงชีวิตบางช่วง  เช่น  ใช้เวลาในช่วงวีคเอนด์ไปพักผ่อนกับครอบครัวเพื่อขจัดความผิดที่ตัวเองไม่มีเวลาให้ครอบครัวหรือใช้เวลาว่างเพื่อ  “ขจัดความผิดจากที่ทำงาน”  คือตอนอยู่ในออฟฟิสอาจจะบ้างาน  ทำงานหนักเลยมอง  “เวลาว่าง”  ว่าเป็นการ  “ทำอะไร”  ที่ไม่ได้ทำในที่ทำงาน  แต่จริงๆ แล้วมันคือการทำงานนอกออฟฟิสอีกแบบ  ก็คงคล้ายๆ  กับพวกที่หาไม้ไปไล่ฟาดลูกกลม ๆ  กลางแดดเปรี้ยง ๆ  แล้วเกิดความรู้สึกลึก ๆ ว่าฉันกำลังพักผ่อน... ฉันกำลังผ่อนคลาย


ที่จริงสภาพแบบนี้เคยเขียนสิ่งที่เราเคยพบเห็น  เคยสัมผัสไว้ในนิตยสาร     “ศรีสยาม”  ว่าด้วยการพักผ่อน  ท่องเที่ยวในวันหยุดของคนชั้นกลาง  คนทำงาน  คือพอเสาร์-อาทิตย์  หรือวันหยุดลองวีคเอนด์  ก็จะกรูออกจากกรุงเทพฯ  ถ้าหากมองลงมาจากเฮลิปคอปเตอร์  เห็นถนนที่พุ่งตรงออกไปกรุงเทพฯ  ในทุกทิศทุกทาง  ไม่ว่าสาย ตะวันออก,  สานเหนือ,  สายอีสาน,  สภาพมันคล้ายกับ     “นรกแตก”    คือวิญญาณมันแผ่กระจายออกจากกรุงเทพฯเป็นสายๆ  รถติดกันหนึบหนับจากบางนายันชลบุรี  เป็นต้น
สภาพการไปพักผ่อนแบบนี้  เรารู้สึกว่ามันก็เหมือนกับไปทำงาน  หรืออาจจะยิ่งกว่า   คือต้องขนข้าวขนของ  สิ่งอำนวยความสะดวกสบายทั้งหลายยัดใส่ท้ายรถ  คอยวิ่งไล่ลูก ๆ  ที่ไม่ผิดอะไรกับจับปูใส่กระด้ง
ไม่รู้ว่าคนทั่ว ๆ ไปคิดอย่างไร  แต่ดู ๆ แล้วมันก็คล้ายกับการ  “ไปทำงาน”  จริงๆคือมันต้องมี  “เครื่องแบบ”  ผู้ชายใส่กางเกงขาสั้นเสื้อยี่ห้อหรูๆ ยัดชายไว้ในกางเกงบางรายสวมถุงน่องรองเท้าพร้อมที่เอวมีเพจเจอร์  มีมือถือห้อยระนาว  สวมแว่นกันแดดยี่ห้อแพงๆ  ผู้หญิงก็เลือกสรรชุดท่องเที่ยวสีสันสดใส  แบบเก๋ๆ ดูจะขาดแว่นกันแดดไม่ได้เหมือนกัน..อ้อ..แล้วก็หมวกสวยๆ  เท่ห์ๆ จากนั้นก็ต้องคอยบริหารลูกหลานออกระเบียบบริษัทกันเดี่ยวนั้น  ห้ามกินมากเกินไป  ห้ามเลอะคาง  ฯลฯ  บางรายหนีบกล้องวีดีโอไปคอยบันทึกภาพครอบครัวสุขสรรค์  สุดท้ายผู้ชายก็ตั้งวงก๊งเหล้า  เบียร์  จั่วไพ่เสียงขรม  ผู้หญิงก็ปิ้งบาร์บีคิว  ปลาหมึกย่าง เตรียมข้าวต้มรอบดึก  รุ่งเช้ายังต้องงัวเงียขึ้นมาตั้งน้ำ  ชงกาแฟ  ปิ้งขนมปังอีกต่างหาก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 13, 2012, 06:07:58 PM โดย เบิ้ม » บันทึกการเข้า

"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6424
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 50462



« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 13, 2012, 06:12:12 PM »

ต่อท้าย #3 14 มี.ค. 2554, 23:30:00


ขากลับนี่ยิ่งระโหยโรยแรง...เพราะรถจะติดยาวมาก  กระดืบๆ กันทีละเมตรสองเมตร ยิ่งสายบางนา-ตราด  ยิ่งโหดร้ายมาก  เพราะบรรดาผู้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์  ผู้ไปพักผ่อนหย่อนใจกันทั้งนั้นที่แซงปาดซ้าย  ปาดขวากันตั้งแต่สะพานบางปะกงยันบางนา  ดุจริงๆ  พวกนี้  คือ  จะรีบไปให้ถึงบ้านเร็วที่สุด  อีตอนขามาก็อาการเดียวกันคือ  จะไปให้ถึงที่พักให้เร็วที่สุด  มันก็เหมือนตอนเรียน  ตอนทำงานนั่นเอง  แข่งให้เป็นที่หนึ่ง  ให้ชนะ  ให้เป็นที่สุด
สภาพของสังคมฝรั่งก็ไม่ได้ต่างจากสังคมบ้านเรา  มีคนบ้างานและคนที่ใช้เวลาว่างขจัดความรู้สึกผิดของตัวเอง  ก็คงต้องคอยสำรวจตัวเรากันเองว่าเราเป็นอย่างนั้นหรือไม่  และวิธีที่จะไม่เป็นโรคเวิร์คคาฮอลิค  หรือ  ใช้เวลาว่างอย่างมีความสุขจริง ๆ  นั้นทำกันอย่างไร เป็นเรื่องที่น่างจะต้องค้นคิดกัน
อันที่จริงหมอโรคเวิร์คคาฮอลิคก็ไม่ได้ให้คำตอบชัดนัก  คือคำตอบจริงๆมันคงจะต้องไปถึง  “วิถีสังคม”  ทั้งสังคมคือต้องชะลอสังคมหรือเปลี่ยนบริบทของสังคมใหม่  ไม่ให้มันแข่งขันกัน  ยื้อแย่งกันไม่มีวันหยุด  สำหรับการบรรเทาหรือการแก้ปัญหาเฉพาะตน  หมอแนะนำได้แค่ว่าให้เลิกทะเยอทะยาน  เลิกคิดว่าเงินจะนำมาซึ่งความสุขได้  คือต้องหันมาให้ความสำคัญกับความสุขที่แท้จริงแทนการเชื่อว่าวัตถุหรือเงินจะนำมาซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง
ซึ่งคำตอบนี้อาจจะดูง่าย  แต่ในชีวิตจริง  ถ้าหากวิถีสังคมยังคงเป็นแบบที่เป็นอยู่...คงยากที่คาจะทำได้  เพราะมันหมายถึงการตกงาน  ไม่มีเงินใช้  ไม่ได้รับความสำคัญ  ไม่ได้รับความรัก ฯลฯ  หรือถ้าจะทำให้ได้นั้นต้อง  “มีความกล้า”  อย่างมาก ในรูปออกจากระบบหรือ  “ทวนกระแส”  ไปเลย  ซึ่งก็มีคนที่ใช้ความกล้าเลือกทางที่ว่านี้อยู่เหมือนกัน เพียนแต่อาจจะยังมีจำนวนน้อยเท่านั้น


ด้วยเหตุนี้ ภาพรวมของการแก้ปัญหาคนไข้เวิร์คคาออลิคจึงออกมาในรูปการบำบัด  คือให้มารวมกลุ่มกันทำกิจกรรมการพูดคุย  และเปลี่ยนประสบการณ์แบบกลุ่มคนอดเหล้า  อดบุหรี่  อดยาเสพติด  ซึ่งแต่ละคนก็พูดแต่เรื่องเศร้า ๆ  แต่ก็ไม่สามารถเอาช่วงชีวิตเดิม ๆ  ลับคืนมาได้  มันก็เลยกลายเป็นการสรุปแบบไม่มีข้อสรุปอะไรมากนัก  สำหรับรายการ  “เฮลธ์  โชว์”  ในคืนนั้น  นอกจากช่วยเน้นให้เห็นว่า..อย่าบ้างานให้มากนัก
แต่ในเรื่องการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์หรือการพักผ่อนนั้นน่าสนใจทีเดียว  คือยังพอรักษาให้เห็นผลได้บ้างหมอที่ทำวิจัยเรื่องนี้  ได้ไปหาตัวอย่างหลาย ๆ  ตัวอย่างของการใช้เวลาว่างในแบบต่าง ๆ  กันไปมาคุยให้นักศึกษาฟัง  มีรายหนึ่งบอกว่าการใช้เวลาว่างของเขาคือจะนั่งบนเก้าอี้ตัวที่นั่งสบายแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างเขาสามารถนั่งได้เป็นชั่วโมงๆ  นักศึกษาหัวเราะกันครืน  คงรู้สึกว่าอาการแบบนี้น่าจะออกไปทางประสาท...หรือผิดปกติ  คือแบบปกตินั้นอาจหมายถึงพวกที่พยายามหาอะไรมาทำให้ตัวเองไม่ว่าง  ขับรถวุ่นวายไปทั้งชายหาด  ตีกอล์ฟจนเหงื่อไหลไคลย้อย  ตัวดำเป็นเหนี่ยง
แต่หมอสรุปว่า  วิธีที่ดูผิดปกติ  แบบพวกนั่งจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างเป็นชั่วโมง ๆ นี่แหละดีกว่า  หรืออาจจะแก้ปัญหาได้ดีกว่า  พักผ่อนมากกว่า  อาจจะดีกว่าการไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ  ด้วยซ้ำไป  หมอบอกวาการเที่ยวการพักผ่อนโดยความหมายที่ถูกต้องที่สุดแล้วน่าจะหมายถึงการมีช่วงเวลาที่จะทำให้ตัวตนของตัวเองรู้สึก  “เป็นอิสระและรู้สึกว่าตัวเองมีช่วงจังหวะที่สามารถ  ควบคุมตัวเองได้”  ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนก็ตาม  ขอให้รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เคลื่อนไหวไปกับการเร่งเร้าของสิ่งภายนอก  นี่แหละคือการพักผ่อนที่แท้จริง  ซึ่งฟังดูแล้วก็รู้สึกว่าเข้าท่า



ต่อท้าย #4 14 มี.ค. 2554, 23:30:17
หมอเชื่อว่า  ถ้าหากได้มีการใช้พฤติกรรมแบบนี้  ทุกอย่าง  ไม่ว่ากล้ามเนื้อ  ประสาท  หรือความรู้สึกจะเกิดการ  “ผ่อนคลาย”  ไม่ต้องถูกจูงไปโดยใครต่อใคร ไม่ต้องวิ่งไล่ตวาดลูก  หรือขับรถปาดแซงใครต่อใคร  ก็เลยรู้สึกว่ามันน่าจะเข้าท่าจริงๆ สำหรับการนั่งนิ่งๆ  แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง  ที่ดีที่สุดก็คือนอกจากได้พักจริงๆแล้ว ยังไม่ต้องไปทำร้ายใคร  ไม่ต้องไปแย่งใครกิน  ย่างใครเที่ยว  ซึ่งช่วงจังหวะ  เวลาที่ไม่ต้องแข่งหรือแข่งขันกับใครต่อใครในสังคมปัจจุบันนี้มันมีน้อยลงไปเรื่อยๆ


http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=48418f8c395c45cf
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 13, 2012, 06:17:39 PM โดย เบิ้ม » บันทึกการเข้า

"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
Southlander
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 5711
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 48212



« ตอบ #2 เมื่อ: สิงหาคม 13, 2012, 07:11:25 PM »

โรคบ้างานสมัยนี้น่าจะเป็นคน ญี่ปุ่น/เกาหลี มากกว่านะ ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดมาจากยุโรปเพราะผมไม่เห็นคนยุโรป บ้างานขนาดนั้น
 ยกตัวอย่างประเทศผู้นำเศรษฐกิจ/อุตสาหกรรม/จักรกล และเทคโนโลยี่ ประเทศหนึ่งก็แล้วกัน

 ตามกฎหมายแรงงานบ้านเขา(ผมถามเขามา) กำหนดให้คนทำงานไม่เกิน 35 ชม/สัปดาห์ ซึ่งก็หมายถึงคิดออกมา 7 ชม/วัน
ในลักษณะงานออฟฟิสแห่งหนึ่ง (ไม่ใช่งานในโรงงาน/งานในสายการผลิต) ไม่มีการเช็คเวลาเข้าออก แต่เอาเป็นว่านับเวลา
ที่ทำงาน 7 ชม. ใครมาเช้า มาสาย มาเที่ยงไม่เกี่ยว ทำไปให้ครบ 7 ชมแล้วกัน แล้วค่อยกลับบ้าน
 เช่นวันนี้ ผมมาออฟฟิส 7 โมงเช้า นับไปครบ 7 ชม คือ บ่ายสอง เพราะฉะนั้น บ่ายสอง ผมกลับบ้านเลย
หรือบางคนกินเข้าเที่ยงเสร็จแล้วกลับเลย ก็ไม่ว่ากันเพราะถ้าเป็นเซลล์ หรือเป็นวิศวกร ที่รับผิดชอบงานเป็นโปรเจค ก็ไม่มีการสตริคเรื่องเวลา
(จริงก็ไม่สตริคเวลากันทั้งออฟฟิสอยู่แล้ว)
  จากที่เห็นจริงๆ พอบ่ายสอง คนเริ่มเดินออก บ่ายสามเริ่มบางตาเหลือครึ่งหนึ่ง บ่ายสี่เกือบหมด
หลังจากบ่ายสี่ มีเฉพาะคนที่ต้องเทสท์งาน ฮาร์ดแวร์/ซอฟท์แวร์ ในโปรเจคของลูกค้า
 แต่เชื่อไม๊เห็นทำงานกันแบบนี้แหละ แต่โปรดักทีฟของผลงานออกมามากมายเหลือเฟือคุ้มค่าจ้างมาก
ดีกว่าบางโรงงานแบบไทยๆ ในเวลางานเช้าถึงห้าโมงเย็น ไม่ทำอะไร พอหลังห้าโมงเริ่มขยัน งานเริ่มมา
โอทีเริ่มเดิน (เวลางานปกตินายจ้างๆมาทำอะไรถึงไม่ทำงาน)

 ส่วนงานในโรงงานก็คงเหมือนๆกันว่า มีเวลางานเริ่มงาน-เลิกงาน เป็นเวลา จะมาลอยชายไม่ได้
เพราะงานไม่เหมือนกัน งานที่ผลงานขึ้นอยู่กับเวลา กับ งานที่ผลงานไม่ขึ้นอยู่กับเวลา จะมาใช้ระบบเดียวกันไม่ได้
บันทึกการเข้า

๏ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง  แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง   จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง
                      
                             โดย:นภาลัย สุวรรณธาดา พศ.๒๕๑๐
SillyOldMan
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1984
ออฟไลน์

กระทู้: 7567


ผ่านทะเล เห็นบึงน้ำไร้ความหมาย


« ตอบ #3 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2012, 08:38:02 AM »

ในเพศชาย อาการบ้างานไม่ได้เป็นโรคครับ มันอยู่ในพันธุ์กรรม

งานสำหรับผู้ชายไม่ได้เป็นแค่รายได้ แต่มันคือสถานะทางสังคม , บทพิสูจน์คุณค่าของตัวเองต่อตนเอง , สัญชาตญาณในการต้องการโดดเด่น ต้องการเป็นที่1ซึ่งฝังมาในสเปิร์มผู้ชนะทุกตัว

จากการสำรวจในญี่ปุ่น หากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง ผู้ชายญี่ปุ่น40%จะโทรหาที่ทำงานก่อน ,  80%ไม่ยอมลาพักร้อน , 50%ของผู้ชาย(ทั่วโลก)ที่ถูกพักงาน/ตกงาน จะเกิดภาวะซึมเศร้า หดหู่ และเป็นสาเหตุหลักของการฆ่าตัวตายในเพศชาย ไม่ใช่ปัญหาครอบครัว




ช่วยไม่ได้ ธรรมชาติคัดสรรเรามาแบบนี้ โลกสร้างพวกเราขึ้นมาแบบนี้นิหว่า มันก็สาเหตุเดียวกับที่อาแปะเอว40 ความดัน140+แต่ดันตามดูบอลพรีเมียร์ฯทุกนัดนั่นแหละ  Grin
บันทึกการเข้า

What man is a man , who does not make the world better?
bigbang
จงใช้สติก่อนใช้ปืน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1018
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6603


รูปจากเวปผู้จัดการครับ


« ตอบ #4 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2012, 09:17:57 AM »

ขอบคุณครับ  อะไรคือต้นเหตุของ โรคบ้างาน กันแน่  หลักใหญ่ๆที่สรุปคงมี
1. เงิน
2. ความต้องการเป็นที่ยอมรับ นับน่าถือตา (ตามแบบความต้องการ 5 ขั้น ของ Maslow)
3. หน้าที่ ความรับผิดชอบ
4. การทำงานหรือบริหารงานที่ล้มเหลวบ่อยๆ รวมถึง บริหารเวลาไม่เป็น
5. กรรมพันธุ์หรือจิตฟุ้งซานที่อยู่ไม่สุข

หรือมีอย่างอื่นอีกครับ

บันทึกการเข้า

อเสวนา จะ พาลานัง
Udomkd
รักษ์ธรรมชาติ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3700
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 41046



« ตอบ #5 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2012, 09:21:30 AM »

งาน....ทำจนตาย ก็ไม่หมด หึๆๆ
บันทึกการเข้า

รักมิตร รักเพื่อนรักผอง ดั่งขวานทอง ต้องมีด้ามขวาน
   รักมิตรรักเพื่อนรักผอง ดั่งขวานทอง ต้องมีคมขวาน
   รักมิตร รักเพื่อน
carrera
กินลูกเดียวเที่ยวสองลูก
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2329
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 84478


« ตอบ #6 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2012, 09:55:10 AM »

บางคนบ้าจนได้ดี Grin Grin Grin แต่ไม่บ้าก็ดีได้เหมือนกัน

เอากลางๆแบบพระท่านว่าก็ดี ปัจจัยหลายอย่างก็บีบผู้นำครอบครัว เพื่อให้ครอบครับสบายขึ้น ลูกได้เรียนสูงขึ้น หลายอย่างมันบีบนะ
บันทึกการเข้า

เนื้อร้ายตัดทิ้ง
www.ipscthailand.com
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6424
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 50462



« ตอบ #7 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2012, 10:46:20 AM »

เปิดชื่อ 10 ประเทศที่คนใช้เวลาทำงานเฉลี่ยน้อยที่สุด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซา


เศรษฐกิจโลกที่ยังกะโผลกกะเผลก สร้างแรงกดดันต่อแรงงานจำนวนมากให้ยื้อหน้าที่การงานเอาไว้ บางคนวิ่งรอกทำงานหลายแห่ง ขณะที่บางคนเพิ่มจำนวนชั่วโมงทำงาน เพื่อเติมสมการรายได้ให้สูงตาม

รายงานภาพรวมการจ้างงานปี 2555 ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือโออีซีดี ซึ่งตรวจสอบภาพการจ้างงานใน 32 ประเทศสมาชิก พบว่า ในสหรัฐและสเปนที่กำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนัก แรงงานต่างเพิ่มชั่วโมงการทำงานให้ยาวนานขึ้น แต่ประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ กลับมีชั่วโมงการทำงานลดลง โดยเฉลี่ยเวลาการทำงานลดลงกว่า 20 ชั่วโมงต่อปี

จำนวนชั่วโมงทำงานในสหรัฐปี 2554 อยู่ที่ 1,797 ชั่วโมงต่อปี หรือเฉลี่ย 34.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนประเทศอื่นๆ เฉลี่ยอยู่ที่ 1,611 ชั่วโมงหรือน้อยกว่า เฉลี่ยเวลาทำงานต่อสัปดาห์อยู่ที่ 30 ชั่วโมง ขณะที่เยอรมนี จำนวนชั่วโมงเฉลี่ยอยู่ที่ 1,330 ชั่วโมงต่อปี หรือ 25.6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

แต่ประเทศที่เวลาทำงานน้อยลงอย่างเดนมาร์ก จำนวนชั่วโมงลดลง 40 ชั่วโมง และลักเซมเบิร์กลดลง 51 ชั่วโมงในช่วงปี 2553-2554 โดยเหตุผลหนึ่งที่มีส่วนทำให้จำนวนชั่วโมงเพิ่มขึ้นหรือลดลง อยู่ที่พนักงานพาร์ทไทม์ ซึ่งในบางประเทศอย่างเนเธอร์แลนด์มีสัดส่วนพนักงานพาร์ทไทม์มากถึง 37.2%

10 ประเทศที่คนใช้เวลาทำงานน้อยที่สุด ได้แก่ "เยอรมนี" ที่คว้าแชมป์เวลาทำงานแบบเบาๆ มาตั้งแต่ปี 2550 ปัจจุบันมีจำนวนชั่วโมงทำงานเฉลี่ย 1,330 ชั่วโมงต่อปี หรือประมาณ 25.6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยมีรายได้เฉลี่ยที่ 35.33 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง มีอัตราว่างงาน 6% ในปี 2554

อันดับ 2 "เนเธอร์แลนด์" มีเวลาการทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ 1,336 ชั่วโมงต่อปี หรือราว 25.7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ได้ค่าเหนื่อยสูงถึง 42.67 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง มีอัตราว่างงาน 4.4%

อันดับ 3 "ฝรั่งเศส" มีจำนวนชั่วโมงทำงานอยู่ที่ 1,392 ชั่วโมงต่อปี หรือเฉลี่ย 26.8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ค่าตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 34.26 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ขณะที่อัตราว่างงาน 9.3%

อันดับ 4 "ออสเตรีย" มีจำนวนชั่วโมงการทำงานเฉลี่ย 1,431 ชั่วโมงต่อปี หรือราว 27.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ รายได้เฉลี่ยประมาณ 36.63 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง อัตราว่างงาน 4.2%

อันดับ 5 "เบลเยี่ยม" การทำงานยาวนานเฉลี่ย 1,446 ชั่วโมงต่อปี หรือราว 27.8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แรงงานได้ค่าเหนื่อยกันประมาณ 38.90 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง และมีอัตราว่างงาน 7.2%

อันดับ 6 "ไอร์แลนด์" มีเวลาการทำงานประมาณ 1,469 ชั่วโมงต่อปี หรือเฉลี่ย 28.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ได้ค่าตอบแทนตกเป็นเงินถึง 45.53 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง มากเป็นอันดับ 3 ของกลุ่ม และมีอัตราว่างงาน 14.6% ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์มองว่า ค่าตอบแทนที่สูงเช่นนี้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างงาน

อันดับ 7 "เดนมาร์ก" มีเวลาทำงานอยู่ที่ 1,496 ชั่วโมงต่อปี หรือตกประมาณ 28.8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ค่าตอบแทนสูงที่สุดของกลุ่มที่ 48.82 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง มีอัตราว่างงาน 7.7%

อันดับ 8 "ลักเซมเบิร์ก" มีจำนวนชั่วโมงการทำงาน 1,565 ชั่วโมงต่อปี หรือ 30.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จ่ายค่าแรงอย่างงามเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม 46.78 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง และมีอัตราว่างงาน 4.9%

อันดับ 9 "ฟินแลนด์" ชั่วโมงการทำงานของพนักงานแต่ละคนเฉลี่ย 1,578 ชั่วโมงต่อปี หรือ 30.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จ่ายค่าเหนื่อยราว 33.63 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง และมีอัตราว่างงาน 7.9%

อันดับ 10 "อังกฤษ" มีจำนวนชั่วโมงทำงาน 1,611 ชั่วโมงต่อปี หรือ 31 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จ่ายค่าแรงตกประมาณ 31.27 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง และมีอัตราว่างงาน 8%


หัวหน้าแผนกการจ้างงานของโออีซีดี "มาร์ก คีส" มองว่า ความมั่งคั่งและขีดความสามารถในการผลิตมีส่วนอย่างมากต่อโครงสร้างการจ้างงานของแต่ละประเทศ โดยประเทศร่ำรวยมีแนวโน้มที่จะมีจำนวนทำงานน้อยกว่า เพราะเมื่อมีขีดความสามารถในการผลิตแข็งแกร่งและใช้เครื่องจักรแทนคน ทำให้จำนวนชั่วโมงทำงานลดลง


http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/foreign/20120801/464268/10-%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94.html
บันทึกการเข้า

"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6424
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 50462



« ตอบ #8 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2012, 10:53:26 AM »

คนไทยทำงานหนัก (เกือบ) ที่สุดในโลก – ขยายความขยายข่าว


http://news.ch7.com/detail/1402/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81_%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%9A_%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81_%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7.html
บันทึกการเข้า

"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
carrera
กินลูกเดียวเที่ยวสองลูก
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2329
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 84478


« ตอบ #9 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2012, 02:03:26 PM »

เปิดชื่อ 10 ประเทศที่คนใช้เวลาทำงานเฉลี่ยน้อยที่สุด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซา

ประเทศในยุโรปทั้งนั้น Grin Grin Grin
บันทึกการเข้า

เนื้อร้ายตัดทิ้ง
www.ipscthailand.com
คนตัวอ้วน+ผมรักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1057
ออฟไลน์

กระทู้: 3266



« ตอบ #10 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2012, 02:18:58 PM »

ผมไม่ได้บ้างาน...แต่งานทุกอย่างเขาโยนมาให้ทำ...ก็เลยต้องก้มหน้าต้มตาทำงานต่อไป...ตามประสาของผู้น้อย...หยุดเทศกาลเข้าพรรษา ๔ วัน ผมได้หยุดจริงๆ ๒ วัน ต้องมานั่งทำงานเพื่อรอรับการตรวจ(ทำบอร์ดประชาสัมพันธ์ฯลฯ.) แถม สอสอ เข้าเขตพื้นที่อีก ต้องไป รปภ.แถมบันทึกภาพกิจกรรมที่ท่าน สอสอ ทำเพื่อจัดส่งภาพไปยังหน่วยเหนือ...ถ้าจะว่าบ้านงานสำหรับผมคงไม่ใช่...คงเป็นเบื่องานมากกว่า...แต่มันก็หลีกหนีไม่ได้ด้วยคำว่า "คำสั่ง"...ของผู้บังคับบัญชา...จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้...ใจก็อยากออกไปบู๊ๆบ้าๆเหมื่อนเมื่อก่อนจัง...

มีไปทำไม โดยท่าน ว.วชิรเมธี   มีไปทำไม    

* มีเงินนับแสนล้านบาท แต่ใช้จริงวันละไม่ถึง 100 บาท
 
* มีบ้านใหญ่โตเหมือนกับวัง แต่อยู่กันแค่ 4 คน พ่อแม่ลูกมีไปทำไม

* มีรถนับสิบคัน แต่ใช้งานจริงแค่คันเดียว   มีไปทำไม

* มีเตียงใหญ่โตมโหฬาร แต่นอนเพีียงแค่เต็มแผ่นหลัง  มีไปทำไม

* มีนาฬิกาแสนแพง แต่ไม่เคยทำอะไรตรงเวลา  มีไปทำไม

* มีเวลาอยู่ในโลกไม่ถึงร้อยปี แต่กลัีบแบ่งเวลาไปริษยาคนอื่น  มีไปทำไม

* มีกฏหมายนับพันมาตรา แต่มีอาชญากรอยู่เต็มเมือง  มีไปทำไม

* มี ส.ส. อยู่เต็มสภา แต่มาประชุมไม่เคยครบเลย  มีไปทำไม

* มีพ่อแม่อยู่ที่บ้าน แต่ไม่เคยปรนนิบัตรท่านเลย  มีไปทำไม

* มีอำนาจอยู่เต็มมือ แต่ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลย มีไปทำไม

* มีภรรยาที่แสนดี แต่ไม่เคยแบ่งเวลาให้เธอเลย  มีไปทำไม

* มีลูกแสนน่ารัก แต่ไม่เคยโอบกอดลูกเลย มีไปทำไม

* มีพระไตรปิฎกอยู่เต็มตู้ แต่ไม่เคยเปิดออกมาศึกษาเลย  มีไปทำไม

* มีวัดอยู่แทบทุกหมู่บ้าน แต่ศีลธรรมของสังคมแย่ลงทุกวัน  มีไปทำไม

* มีรองเท้าเป็นพันคู่ แต่ใส่จริงแค่วันละคู่  มีไปทำไม

* มีพี่น้องนับสิบคน แต่แตกสามัคคีกันทุกคน  มีไปทำไม

* มีมือมีเท้าสมบูรณ์ แต่ไม่เคยลงแรงทำอะไรเลย  มีไปทำไม

* มีหูอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยฟังธรรมเลย   มีไปทำไม

* มีตาอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยมองหาสิ่่งที่ดีเลย  มีไปทำไม

* มีเท้าอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยเดินเข้าหาโอกาสเลย  มีไปทำไม

* มีปัญญาอยู่กับตัว แต่กลับใช้อารมณ์เป็นส่วนใหญ่ มีไปทำไม

 

ที่มา : ท่าน ว.วชิรเมธี


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 14, 2012, 02:29:06 PM โดย คนตัวอ้วน+ผมรักในหลวง » บันทึกการเข้า

จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา
วายุ - รักในหลวง
เย็นศิระ เพราะพระบริบาล
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 335
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9149


พระเจ้าสร้างมนุษย์ แต่โคลท์ทำให้มนุษย์เท่าเทียมกัน


« ตอบ #11 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2012, 04:28:13 PM »

บางคนบ้าจนได้ดี Grin Grin Grin แต่ไม่บ้าก็ดีได้เหมือนกัน

เอากลางๆแบบพระท่านว่าก็ดี ปัจจัยหลายอย่างก็บีบผู้นำครอบครัว เพื่อให้ครอบครับสบายขึ้น ลูกได้เรียนสูงขึ้น หลายอย่างมันบีบนะ

บีบจนไข่ เอ้ย ! หน้า...เขียวหมดแล้วครับพี่ Grin Grin
บันทึกการเข้า

บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป...
konklong
รักทุกคน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 277
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2141


จงทำดี มีศีลธรรม ถือความสัตย์


« ตอบ #12 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2012, 06:05:44 PM »

ผมไม่ได้บ้างาน...แต่งานทุกอย่างเขาโยนมาให้ทำ...ก็เลยต้องก้มหน้าต้มตาทำงานต่อไป...ตามประสาของผู้น้อย...หยุดเทศกาลเข้าพรรษา ๔ วัน ผมได้หยุดจริงๆ ๒ วัน ต้องมานั่งทำงานเพื่อรอรับการตรวจ(ทำบอร์ดประชาสัมพันธ์ฯลฯ.) แถม สอสอ เข้าเขตพื้นที่อีก ต้องไป รปภ.แถมบันทึกภาพกิจกรรมที่ท่าน สอสอ ทำเพื่อจัดส่งภาพไปยังหน่วยเหนือ...ถ้าจะว่าบ้านงานสำหรับผมคงไม่ใช่...คงเป็นเบื่องานมากกว่า...แต่มันก็หลีกหนีไม่ได้ด้วยคำว่า "คำสั่ง"...ของผู้บังคับบัญชา...จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้...ใจก็อยากออกไปบู๊ๆบ้าๆเหมื่อนเมื่อก่อนจัง...

มีไปทำไม โดยท่าน ว.วชิรเมธี    มีไปทำไม   

* มีเงินนับแสนล้านบาท แต่ใช้จริงวันละไม่ถึง 100 บาท
 
* มีบ้านใหญ่โตเหมือนกับวัง แต่อยู่กันแค่ 4 คน พ่อแม่ลูกมีไปทำไม

* มีรถนับสิบคัน แต่ใช้งานจริงแค่คันเดียว   มีไปทำไม

* มีเตียงใหญ่โตมโหฬาร แต่นอนเพีียงแค่เต็มแผ่นหลัง  มีไปทำไม

* มีนาฬิกาแสนแพง แต่ไม่เคยทำอะไรตรงเวลา  มีไปทำไม

* มีเวลาอยู่ในโลกไม่ถึงร้อยปี แต่กลัีบแบ่งเวลาไปริษยาคนอื่น  มีไปทำไม

* มีกฏหมายนับพันมาตรา แต่มีอาชญากรอยู่เต็มเมือง  มีไปทำไม

* มี ส.ส. อยู่เต็มสภา แต่มาประชุมไม่เคยครบเลย  มีไปทำไม

* มีพ่อแม่อยู่ที่บ้าน แต่ไม่เคยปรนนิบัตรท่านเลย  มีไปทำไม

* มีอำนาจอยู่เต็มมือ แต่ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลย มีไปทำไม

* มีภรรยาที่แสนดี แต่ไม่เคยแบ่งเวลาให้เธอเลย  มีไปทำไม

* มีลูกแสนน่ารัก แต่ไม่เคยโอบกอดลูกเลย มีไปทำไม

* มีพระไตรปิฎกอยู่เต็มตู้ แต่ไม่เคยเปิดออกมาศึกษาเลย  มีไปทำไม

* มีวัดอยู่แทบทุกหมู่บ้าน แต่ศีลธรรมของสังคมแย่ลงทุกวัน  มีไปทำไม

* มีรองเท้าเป็นพันคู่ แต่ใส่จริงแค่วันละคู่  มีไปทำไม

* มีพี่น้องนับสิบคน แต่แตกสามัคคีกันทุกคน  มีไปทำไม

* มีมือมีเท้าสมบูรณ์ แต่ไม่เคยลงแรงทำอะไรเลย  มีไปทำไม

* มีหูอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยฟังธรรมเลย   มีไปทำไม

* มีตาอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยมองหาสิ่่งที่ดีเลย  มีไปทำไม

* มีเท้าอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยเดินเข้าหาโอกาสเลย  มีไปทำไม

* มีปัญญาอยู่กับตัว แต่กลับใช้อารมณ์เป็นส่วนใหญ่ มีไปทำไม

 

ที่มา : ท่าน ว.วชิรเมธี


 

เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม ไหว้
ผมไม่เรียกว่าบ้างาน แต่เรียกว่าหน้าที่ ความรับผิดชอบ มันบังคับ Grin
บันทึกการเข้า

ชนใดไม่มีดนตรีการ  ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก
ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1183
ออฟไลน์

กระทู้: 12698



เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2012, 06:25:51 PM »

อย่างไรก้รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับไม่งั้นทำมาเท่าไหร่เจ้าของโรงพยาบาลรวยคนเดียว ไหว้ ไหว้ ไหว้ ไหว้
บันทึกการเข้า

คนโง่ มันทำไม่คิด แต่คนชั่ว มันคิดแล้วจึงทำ จึงเรียกว่า คิดชั่ว //by อ.เหลือง

เกิดเป็นคน ทำดีได้ง่ายกว่าเดรัจฉานตั้งเยอะ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำความดี
นายกระจง
Cement For Life.....
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2938
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 31460


ช่างมันเถอะ


« ตอบ #14 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2012, 11:30:32 PM »

ผมไม่ได้บ้างาน แต่งานที่ทำมันบังคับให้ต้องทำครับ บางครั้งทำกันสามวันสามคืนติดกันโดยได้นอนพักแค่ สองถึงสามชั่วโมงครับ แต่พอไม่มีงานบางครั้งก็นอนสแตนบายกันเป็นอาทิตย์ก็มีครับ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นคนต้องอดทน ไม่อดทนก็อดตาย
 
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.094 วินาที กับ 21 คำสั่ง