www.dhammajak.netมีงานวิจัยมากมายที่เขียนถึงประโยชน์ของนิทาน
นิทานช่วยปลูกฝังคุณธรรมให้กับตัวเด็กและยังเป็นกระบวนการสำคัญในการพัฒนาเด็ก
ช่วยส่งเสริมจินตนาการให้เกิดกับเด็ก
ผู้ที่จะเป็นครูสามารถที่จะสอดแทรกคุณธรรมไปกับนิทาน
เพื่อส่งไปถึงเด็ก เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น จะได้เป็นคนดีของประเทศชาติ
และเหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ การที่เขาได้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
ถึงแม้ว่าเนื้อหาจะยาวไปสักหน่อย แต่ก็อยากให้ทุกคนได้อ่าน
เพื่อที่จะได้นำไปปรับใช้กับชีวิตของตัวเอง
และเมื่อยามท้อแท้ นิทานเหล่านี้ก็สร้างกำลังใจและแง่คิดให้กับเรามากมาย
และเมื่อวันหนึ่งที่ได้ก้าวไปเป็นครูแล้ว
ก็อย่าลืมเล่านิทานเหล่านี้ให้กับ นักเรียนของคุณฟัง
น้ำกับทิฐิ นานมาแล้วมีชายคนหนึ่งชื่อว่า ทิฐิ
เขาเป็นคนที่มีนิสัยอวดดื้อถือดี ไม่ต่างจากชื่อ
เพราะเมื่อได้ลองเชื่อมั่นในสิ่งใดแล้ว
ทิฐิคนนี้ก็จะยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นไม่เปลี่ยน
และจะไม่ยอมรับฟังข้อคิดเห็นที่ผิดไปจากความเชื่อเดิมโดยเด็ดขาด
แม้ว่านี่จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนเอาจริงเอาจังและเคร่งครัดกับชีวิต
แต่บางครั้งเขาก็ดื้อรั้นมากเกินไปจนขาดเหตุผล
และทำให้สูญเสียสิ่งดีๆ ในชีวิตไปมากมาย โดยที่เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน
เนื่องจากทิฐิไม่ใช่คนร่ำรวย
ดังนั้นเขาจึงต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย
จนกระทั่งมีฐานะขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว
ทิฐิจึงคิดที่จะหยุดพักตัวเองจากการงาน
แล้วเดินทางไปเรื่อยๆ เพื่อเที่ยวชมโลกกว้าง
เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น ทิฐิจึงจัดการฝากบ้านไว้กับญาติพี่น้อง
แล้วเก็บสัมภาระออกเดินทางทันที
ทิฐิเดินทางไปยังที่ต่างๆ ชมนั่นแลนี่
และพูดคุยกับผู้คนที่อยู่ในที่เหล่านั้นมากมาย
การท่องโลกกว้างของทิฐิน่าจะทำให้เขามีความรู้ดีๆ
หรือเกิดทัศนคติใหม่ๆ ขึ้นมาบ้าง
แต่เมื่อไรก็ตามที่มีคนกล่าวคำซึ่งผิดไปจากความรู้หรือความเชื่อมั่นเดิมของเขา
ทิฐิก็จะรีบกล่าวแก่คนๆ นั้นทันทีว่า
"นั่นไม่ถูกเลยนะ ที่จริงแล้วมันต้องเป็นดังที่ข้ารู้มาต่างหาก"
สิ่งนี้เองทำให้การเดินทางไปทั่วโลกของเขา
แทบจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดขึ้นในชีวิตของเขาเลย
จนกระทั่งวันหนึ่งทิฐิได้พลัดหลงเข้าไปในดินแดนแห่งทะเลทรายอันแสนแห้งแล้ง
และไร้ผู้คนสัญจร เขาหลงทางอยู่ในดินแดนแห่งนั้นสามวันสามคืน
จนกระทั่งอาหารและน้ำดื่มร่อยหรอและหมดลงในที่สุด
ทิฐิจึงเดินต่อไปไม่ไหว เขาล้มลงนอนบนผืนทรายอย่างคนสิ้นเรี่ยวแรง
แต่ทิฐิยังไม่อยากตายตอนนี้
ดังนั้นแม้ร่างกายจะอ่อนระโหยโรยแรงขนาดไหน
แต่เขาก็รวบรวมพลังใจของตนเผ้ากล่าวคำภาวนา
ขอความเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ช่วยเหลือเขาด้วย
"ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดเมตตาข้า ผู้ซึ่งไม่เคยเบียดเบียนใคร
ขอทรงประทานน้ำมาให้ข้าได้รักษาชีวิตของตนเองไว้ แม้เพียงหนึ่งหยดก็ยังดี"
แล้วในตอนนั้นเอง ทิฐิก็เห็นชายแปลกหน้าชาวเยอรมันคนหนึ่งเดินตรงมาหาเขา
ทิฐิดีใจสุดจะกล่าว แล้วรีบพูดขึ้นทันทีว่า
"โอ...ท่านผู้เป็นความหวังของข้า โปรดแบ่งน้ำของท่านให้ข้าดื่มด้วยเถิด"
ชายคนนั้นยื่นถุงหนังสีน้ำตาลในมือของให้แก่ทิฐิ แล้วกล่าวว่า
"นี่คือ วาสซ่าร์ จงดื่มเสียสิ"
แต่ทิฐิไม่อยากได้วาสซ่าร์ เขาอยากได้น้ำ
ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธที่จะรับถุงหนังสีน้ำตาบจากชายแปลกหน้าคนนั้น
ชายคนนั้นจึงเดินจากไป
ทิฐิภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
คราวนี้มีชายชาวจีนคนหนึ่งเดินถือถุงหนังสีแดงเข้ามายื่นให้แก่ทิฐิ
"นี่คือ น้ำ ใช่หรือไม่" ทิฐิถามชายชาวจีน
"นี่คือ ซือจุ้ย จงดื่มเสียสิ" ชายชาวจีนตอบ
ทิฐิรู้สึกไม่พอใจ ตอนนี้เขากระหายน้ำมากเหลือเกินแล้ว
แต่ทำไมชายผู้นี้จึงนำซือจุ้ย มามอบให้แก่เขาเล่า
ทิฐิจึงปฏิเสธถุงหนังสีแดงของชายชาวจีน ชายชาวจีนจึงเดินจากไป
ทิฐิเริ่มภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีก และครั้งนี้มีผู้หญิงชาวอินเดียคนหนึ่ง
มาปรากฏกายตรงหน้าของเขาในแทบจะทันที
"เธอผู้มีใจเมตตา ขอน้ำให้ข้าดื่มหน่อยเถิด"
ทิฐิพึมพำคำอ้อนวอนออกจากริมฝีปากที่แห้งผาก
"นี่ คือ ปานี จงดื่มเสียสิ" หญิงชาวอินเดียกล่าว
พร้อมกับยื่นถุงหนังสีเขียวให้กับทิฐิ
แต่นั่นทำให้ทิฐิโกรธมาก เขารวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
ยกแขนปัดถุงหนังสีเขียวให้พ้นหน้า แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า
"ข้าไม่เอาของๆ เจ้า ข้าจะตายเพราะขาดน้ำอยู่แล้ว ข้าต้องการน้ำเท่านั้น!"
หญิงอินเดียเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เดินจากไปอีกคน
ทิฐิเฝ้าอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
แต่คราวนี้ไม่มีใครนำอะไรมายื่นให้เขาอีกแล้ว
จิตของทิฐิกำลังหลุดลอยออกจากร่างที่ใกล้แตกดับ
แล้วในตอนนั้นเอง เสียงๆ หนนึ่งก็ดังแว่วๆ ให้ได้ยินว่า
"ทิฐิคนถือดีเอ๋ย เราช่วยเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่เคยให้โอกาสตนเองเลย
หากเจ้าเปิดใจให้กว้าง และยอมรับในข้อดีของสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเสียบ้าง
เจ้าก็คงรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในถุงหนังทั้งสามนั้น ต่างก็เป็นน้ำดื่มบริสุทธิ์ทั้งสิ้น"
เมื่อสิ้นเสียงแว่วนั้น ทิฐิคนถือดีก็สิ้นลมหายใจทันทีเธอทั้งหลาย...
เรื่องราวของทิฐินั้น สอนให้เราเปิดตาตนเองให้กว้าง
แล้วมองสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วยสายตาและหัวใจที่ไร้อคติ
หากเธอปิดกั้นหัวใจและสายตาของเธอไว้
เธอก็อาจพลาดสิ่งดีๆ ในชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย
ซึ่งบางครั้งสิ่งดีๆ เหล่านั้นก็อาจจะไม่หวนกลับมาหาเธออีกแล้ว
หรืออีกนัยหนึ่ง นิทานเรื่องนี้กำลังบอกเธอทุกคนซึ่งนับถือศาสนาต่างกัน
แต่กำลังยืนอยู่บนโลกใบเดียวกัน
จงอย่าลืมว่า ศาสนาทุกศาสนานั้นถือกำเนิดขึ้น
ด้วยความปรารถนาที่จะให้มีคนดีๆ อยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก
แม้คำสอนบางประการจะแตกต่างกัน
แม้เสียงสวดมนต์จะเป็นคนละเสียง
และธรรมเนียมปฏิบัติก็ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย
แต่เธอทุกคนล้วนได้รับการปลูกฝังให้เติบโตเป็นคนดีเหมือนกัน
ดังนั้นขอให้เธอเปิดใจตัวเองให้กว้าง และเคารพในคำสอนของศาสนาอื่นๆ
แม้เธอจะไม่ได้เป็นศาสนิกชนของศาสนานั้น
เธออาจจะนำคำสอนชองเขามาประยุกต์ใช้กับตัวเองบ้าง
ถ้าพบว่ามันเข้ากันได้ดีกับการดำเนินชีวิตของเธอ
ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน หากเธอจะนำคำสอนเหล่านั้นมาปฏิบัติ
ในเมื่อทุกศาสนาล้วนหมายมั่นที่จะพิชิตยอดเขาเดียวกัน
นั่นคือ "ยอดเขาแห่งความดี ความรัก และความเมตตา"
ที่มา หนังสือนิทานสีขาว
โดย ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
คัดลอกจาก...
http://laddawan621.multiply.com/journal/item/32