แสดงว่าปีนี้อยู่ชั้น 4............ไม่ทราบว่าอยู่เหล่าทัพไหนครับ
เอาเป็นว่า ตามที่เคยใช้มานะครับ.............
1. M16A1 ..............ระบบปฏิบัติการแก๊ส ความแม่นยำสูง ตัวปืน ไม่ค่อยแข็งแรงนัก โดยเฉพาะส่วนประกับลำกล้อง ซ้าย-ขวา และตัวพานท้ายที่ทำด้ว ไฟเบอร์กลาส................การถอดประกอบ ไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่ยาก มีชิ้นส่วนในส่วนโครงลูกเลื่อนเล็กๆหลายชิ้นต้องระวังหาย(กรณีถอดในสนาม)................เป็นปืนที่ไม่ถูกโรคกับฝุ่นทรายนัก ต้องดูแล ทำความสะอาดเป็นพิเศษ โดยเฉพาะใส่ส่วนของลูกเลื่อน (ตัวลูกเบี้ยวขัดกลอน และหัวปะแจแก๊สส่วนบนตัวโครงลูกเลื่อนต้องสะอาด/หล่อลื่น)................ปืนรุ่นนี้ จะทำงานได้อย่างสมบูรณ์ แบบยิงติดต่อกันในเวลานาน(แบบติดพัน) จะต้องได้รับการดูแล ความสะอาดและหล่อลื่นจากผู้ใช้เป็นพิเศษ............ดังนั้น ผบ.หน่วยจะต้องกวดขันให้ผู้ใต้บังคับบัญชาดูแลอาวุธให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ..........ผมเคยยิงปืนรุ่นนี้ ในจังหวะอัตโนมัติ ติดกัน สี่แม๊ก(120 นัด)...........ในแมีกที่สี่ เกิดการติดขัด แบบลูกเลื่อนไม่ถอย เพราะปืนร้อนจัด...............
2. AK47 ...............ระบบปฏิบัติการแก๊ส ความแม่นยำพอใช้ได้ แข็งแรง ทนทาน ลักษณะทั่วๆไป หยาบ .............การถอดประกอบ ง่ายมากๆ มีชิ้นส่วนใหญ่ คือ โครงปืน ฝาครอบ แกนและสปริงรีคอย โครงลูกเลื่อน ลูกเลื่อน และ หัวสวมท่อแก๊ส................เป็นปืนที่ได้รับการออกแบบใช้งานมานาน แต่เป็นแบบที่เรียกได้ว่า อมตะ ทันสมัยอยู่เสมอ................ส่วนเคลื่อนที่ของปืน ไม่ได้สัมผัสกันในลักษณะผิวเสียดสีผิว (แบบ M16 และ HK33) มากนัก แต่เป็นการเสียดสีกันระหว่างร่องลูกเลื่อนกับสันโครงปืน ทำให้มีช่องว่างในตัวปืนเยอะ............หากฝุ่นทรายเมื่แแทรกตัวเข้าไป ก็สามารถทำงานได้ดี ไม่มีติดขัด......................ผมเคยใช้ปืนรุ่นนี้ ทำงานในสนาม ประมาณ 5-6 ปี เป็นตัว AK47S (พับฐาน)............ในความรู้สึกส่วนตัว ชอบ แต่ไม่มากกว่า M16A1
3. HK33 ..............ระบบปฏิบัติการรีคอย ความแม่นยำสูง หากได้รับการปรับตั้งศูนย์อย่างถูกต้อง............แข็งแรงทนทาน............การถอดประกอบ ดูจะวุ่นวายกว่า M16 และ AK47 .............ข้อเสียที่พบคือ การปรับศูนย์ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ เป็นไขควงที่ปลายด้ามต้องมีสลักตัวV ค สำหรับไขปรับศูนย์หลัง หากพลยิง ไม่มีเครื่องมือนี้ติดตัว จะไม่สามารถปรับศูนย์ปืนได้.............ด้วยความที่ใช้รีคอย หากปืนยิงมากๆ เขม่าจะจับที่ลูกเลื่อนจนหนามาก และถ้าไม่ทำความสะอาด (อย่างน้อยก้เช็ดๆลูกเลื่อนและหยอดน้ำมันหล่อลื่นเพิ่ม) การยิงจะติดขัดได้ง่าย...........
ปืนทั้งสามรุ่น ..........ผมว่าดีทั้งหมด อยู่ที่การใช้งานและการดูแลรักษาให้มีความพร้อมในการใช้งานครับ.........
เคยมีการยิงทดสอบกระสุนของ M16A1 กับ AK47 ให้กับทหารใหม่ดู เพื่อสร้างความมั่นใจในอาวุธที่ใช้...............ด้วยการ ใช้ แผ่นเหล็กขนาด 1/4 หุน 7 แผ่น ตั้งเรียงกัน ห่างกัน แผ่นละ 1 นิ้ว โดยมีกรอบไม้ยึดไว้กันการขยับตัว..............แล้วยิงด้วยปืนทั้งสองชนิด..........ผล จากแผ่นที่ 1 ไปจนถึงแผ่นที่ 7...........รูกระสุน 5.56 จะขยายใหญ่ไปเรื่อยๆ จนถึงแผ่นที่ 7 รูใหญ่กว่า 7.62 ประมาร 2-3 เท่า...........ในขณะที่รูกระสุน 7.62 มีขนาดเท่ากันทุกแผ่น..............
เรื่องพลังงานกระสุน ..........ไม่ทราบครับ (ไม่ได้เปิดตำรา)
M16A1 ต่างจาก A2 ..............คร่าวๆที่เป็นจุดใหญ่ๆนะครับ.............
A1 กระโจมมือ เป็นแบบแยกชิ้นซ้าย-ขวา ทำด้วยวัสดุที่ไม่ค่อยทนทานนัก.............A2 ฝาปะกับ ล่าง-บน ปรับปรุงให้มีลายกันลื่นทางขวางใหญ่ๆเพิ่มขึ้น ทำด้วยวัสดุที่ทนทาน สวยงามกว่า
A1 ยิงได้ในจังหวะ เซมิ และ อัตโนมัติเต็มตัว.....A2 ยิงได้ในจังหวะ เซมิ และ เบิรส 3 นัด
ศูนย์ปืนใน A2 มีการปรับปรุงให้ ปรับได้ด้วยมือ (ง่ายขึ้น) ในขณะที่ A1 ต้องให้หัวกระสุน ช่วยกด ในการเลื่อคลิก ปรับศูนย์
เกลียวในลำกล้อง A2 ครบวงรอบในระยะสั้นกว่า A1 มาก แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่า A1 กับ A2 เกลียวครบรอบที่กี่นิ้ว............ด้วยเหตุนี้ กระสุน A1 กับ A2 จะนำมาใช้สลับกันไม่ได้.................A2 จะเป็นหัวกระสุนและจำนวนดินขับที่ต่างกันกับ A1 ทั้งๆที่เป็นขนาด 5.56 เท่ากัน
การแปลง A1 เป็น A2 แปลงไม่ได้ครับ..........เพราะเหมือนเปลี่ยนอะหลั่ยใหม่ทั้งกระบอกวุ่นวายไปหมด แล้วโครงปืนส่วนบนก็ไม่เหมือนกันครับ
ต่อท้ายพี่สุพินท์เลย