น้ำในหูไม่เท่ากัน มีคนที่รู้จักกันไม่สบาย มีอาการปวดศีรษะมาก พอถามว่าเป็นอะไร? ได้รับคำตอบว่า น้ำในหูไม่เท่ากัน
เลยแซวไปว่า เอาน้ำกรอกเข้าไปให้มันเท่ากันสิ คนถูกแซว กลับไม่ตลก แถมตัดพ้อว่า ไม่เป็นไม่รู้หรอกว่ามัน
ทรมานมากแค่ไหน
เพื่อให้ผู้อ่านที่ยังไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ได้รับทราบข้อเท็จจริง "X-RAY สุขภาพ" จึงมาพูดคุยกับ
รศ.น.พ.จันทร์ชัย เจรียง ประเสริฐ ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
เพื่ออธิบายถึงปัญหาดังกล่าวให้ทุกคนได้รับทราบกัน
รศ.น.พ.จันทร์ชัย กล่าวว่า โรคความดันน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือ น้ำในหูไม่เท่ากัน ฝรั่งเรียกว่า
โรคมีเนีย (Meneire's disease) คำว่า มีเนีย เป็นชื่อของศาสตราจารย์ชาวฝรั่งเศส ที่ได้รายงานสถานการณ์ของผู้ป่วยเอาไว้ตั้งแต่ปี
ค.ศ. 1861 ระยะแรกไม่ค่อยมีใครเชื่อถือนัก แต่หลังจากนั้นอีกประมาณ 100 ปีคนจึงเริ่มรู้จักกลุ่มอาการ
ป่วยชนิดนี้ มากขึ้น
น้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นโรคที่พบได้บ่อย เกิดจากความดันน้ำในหูชั้นในที่เรียกว่า Endolymph มากผิดปกติ
ทำให้หูชั้นใน ซึ่งทำหน้าที่รับเสียง และรับการทรง ตัวไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ โดย Endolymph
มีเกลือแร่สำคัญ คือ โปรแตสเซียม ถ้าไปปนกับน้ำส่วนอื่น ๆ หูจะทำงานไม่ได้ เยื่อต่าง ๆ ในหูชั้นในแตก
พบมากในวัยทำงาน ไปจนถึงผู้สูงอายุ ผู้ชายและผู้หญิงเป็นพอ ๆ กัน แต่ดูเหมือนว่า ผู้หญิงจะเป็นมากกว่า
นิดหน่อย อาการของน้ำในหูไม่เท่ากัน ประกอบด้วย อาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน อย่างน้อย 20 นาที ซึ่งอาการเวียนศีรษะ
ทำให้เดินเซ เสียศูนย์ นอกจากนี้การได้ยินเสียงในหูข้างใดข้างหนึ่งลดลง มีเสียงดังรบกวนในหู และอาจมีอาการ
แน่น หนักในหูข้างเดียวกัน อาการมักจะเป็น ๆ หาย ๆ บางรายเป็นบ่อยแทบทุกวัน บางรายมีอาการมากจนต้องเข้า
โรงพยาบาล เมื่อหายก็จะมีอาการทุกอย่างปกติ
ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ อาการจะเป็นมากขึ้น อาจต้องหยุดงาน เนื่องจากอาการเวียนศีรษะที่รุนแรง หรือสูญเสียการ
ได้ยินแบบถาวร และอาจลุกลามไปยังหูอีกข้างหนึ่งได้
สาเหตุที่แน่ชัดของโรคยังไม่ทราบ แต่มีปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการดำเนินโรค และการดูแลรักษา เช่น การติดเชื้อ
ไวรัส ซิฟิลิส เป็นหัดเยอรมัน คางทูม และยังพบว่าอาหารที่มีปริมาณเกลือโซเดียมสูง คือ อาหารที่มีรสเค็ม สามารถ
กระตุ้นให้เกิดอาการได้ เช่นเดียวกับ ความเครียดต่อร่างกาย และจิตใจ การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จึงมักได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้ดูแลสุขภาพ เช่น การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การลดความเครียด และการลดอาหารเค็ม
อาหารเค็มที่ผู้ป่วยน้ำในหูไม่เท่ากัน และผู้ป่วยโรคอื่น ๆ ควรหลีกเลี่ยงและบริโภคอย่างระมัดระวัง
ประกอบด้วย
1.อาหารที่ปรุงด้วยน้ำปลา ซอสถั่วเหลือง เกลือ เต้าเจี้ยว และน้ำหมักต่าง ๆ
2.อาหารที่ลงท้ายว่าเค็ม เช่น ปลาเค็ม ปูเค็ม ไข่เค็ม เนื้อเค็ม หมูเค็ม บ๊วยเค็ม
3.อาหารที่ต้องจิ้ม น้ำซอส จิ้มเกลือ โรยเกลือ เช่น อาหารประเภทโต๊ะจีน ผลไม้จิ้มเกลือ มันทอด
ถั่วทอดโรยเกลือ
4.อาหารหมัก ดอง มักมีส่วนผสมของเกลือในรูปต่าง ๆ เช่น ผักกาดดอง หัวไชเท้าดอง ขิงดอง
5.อาหารกระป๋องมักมีสารกันบูด ซึ่งเป็นเกลือรูปแบบหนึ่ง หรือแช่น้ำเกลือ เช่น ปลาซาดีนในน้ำเกลือ
6.อาหารแห้ง หรืออาหารรมควัน ก็มักจะหมักเกลือก่อนนำไปตาก รมควัน หรือในตัวของอาหารเองก็มี
ปริมาณเกลืออยู่แล้ว เช่น อาหารทะเล กุ้งแห้ง ปลาหมึกแห้ง
7.อาหารต่างประเทศบางชนิดจะระบุบนฉลากว่ามีเกลือปนหรือไม่ ปริมาณเท่าใด เช่น เนย เนยแข็ง
จึงควรบริโภคตามที่ระบุไว้บนฉลาก อย่างเคร่งครัด
8.ผงชูรส ก็เป็นเกลือชนิดหนึ่ง มีสูตรทางเคมีว่า โมโนโซเดียม กลูตาเมต ซึ่งนอกจากจะทำให้มีอาการ
ปวดศีรษะ เวียนศีรษะแล้ว ยังอาจทำให้มีความผิดปกติทางระบบประสาทด้วย ทั่วไปจะใช้ในการปรุงอาหาร
โดยเฉพาะอาหารจีน จึงมีชื่อเรียกกัน เมื่อผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวว่าเป็น Chinese Restaurant Syndrome 9.ผู้ป่วยที่มิได้ประกอบอาหารเอง แม้ว่าไม่ได้
เพิ่มเติมสิ่งที่เค็มลงไป ก็ให้ถือว่าได้รับเกลือมากกว่าที่กำหนด เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองร้อน เหงื่อจะออกง่าย
คนไทยจึงติดนิสัยรับประทานอาหารเค็มมาตั้งแต่เล็ก
โดยเลียนแบบผู้ใหญ่ และ 10.ผู้ป่วยที่รับประทานอาหารรสจัด โดยเฉพาะอาหารรสเผ็ด มักจะคู่กับเค็ม ส่วนรสเปรี้ยว
จะคู่กับรสหวาน เช่นนี้ให้ถือว่าได้รับปริมาณเกลือมากกว่าที่กำหนดเช่นกัน
การรักษาโรคน้ำในหูไม่เท่ากันอยู่ที่ระยะของโรค ถ้าเป็นในระยะแรก สามารถที่จะหายได้เป็นปกติ โดยการดูแลร่างกาย
ตามคำแนะนำของแพทย์ ระยะที่ 2 หูเริ่มเสื่อม มีเสียงในหู เวียนศีรษะ เป็น ๆ หาย ๆ แต่จะเป็นไม่มาก ระยะนี้อาจต้อง
รับประทานยาเป็นประจำต่อเนื่อง
ระยะที่ 3 และ 4 ใช้ยาฉีด หรือ ผ่าตัด โดยแพทย์จะฉีดยาเข้าไปที่หูข้างในโดยตรง เพื่อทำลายเซลส์ที่ทำให้เกิดอาการ
เวียนศีรษะ ถ้าเซลส์ตายอาการ ดังกล่าวหายไป ก็ไม่ต้องผ่าตัด
มีนักศึกษาอยู่คนหนึ่งเป็นระยะที่ 2 ต้องกู้เงินเรียน เวลาไม่สบายต้องลาป่วยมาหาหมอ ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก
ความจริงเขากินยาได้ ไม่ถึงขั้นต้องฉีดยา เพราะหมอจะฉีดยาให้ในระยะที่ 3 แต่เพื่อตัดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย
หมอพิจารณาแล้วก็ฉีดยาให้ ทุกอย่างก็เรียบร้อย แต่ส่วนมากคนไข้จะไม่กล้าฉีด เพราะกลัว ไม่รู้ว่าหมอฉีดอะไรอย่างไร
ต้องขอเรียนว่า เท่าที่ฉีดยารักษามา 20 หู มี 2 หู เท่านั้นที่ต้องทำซ้ำ
รศ.น.พ.จันทร์ชัย กล่าวด้วยว่า ผู้ป่วยส่วนมากจะเป็นหูข้างเดียว คนที่เป็น 2 ข้างพบไม่มาก แต่ถ้าเป็นในระยะที่ 4
แล้ว มีโอกาสที่จะเป็นทั้ง 2 หูเลย ดังนั้นเมื่อมีอาการควรรีบตรวจรักษาตั้งแต่ระยะแรก ๆ โดยแพทย์จะตรวจการทำงาน
ของหูว่าปกติหรือไม่
โดยการเอาน้ำอุ่นและน้ำเย็น กรอกเข้าไปในหู 2 ข้าง และวัดการกรอกตาว่าสามารถกระตุ้นให้มีอาการเวียนหัว
หรือตากระตุกได้มากน้อยแค่ไหน ในคนปกติถ้าเอาน้ำใส่หูจะเวียนศีรษะ ถ้าไม่เวียนแสดงว่าหูเสียไม่ทำงาน
จากนั้นจะมีเครื่อง ตรวจการทำงานของหูชั้นในโดยเฉพาะ
"กั๊ก"สาวน้อยวัย 23 ปี กล่าวว่า เป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันมาหลายปีแล้ว ยิ่งเวลาที่เครียดจะปวดหัว มาก
บ้านหมุนเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งปวดมากจนต้องหยุดงานหลายวัน ไม่รู้เหมือนกันว่าสาเหตุที่แท้จริงมันเกิดจากอะไร
ตอนนี้ก็ได้แต่ทำตามคำแนะนำของหมอ คือ ไม่ทานอาหารเค็ม พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ออกกำลังกายเป็นประจำ
ท้ายนี้ผู้อ่าน "X-RAY สุขภาพ" คงจะได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์ในการดูแลตัวเอง หากมีอาการข้างต้น
อย่าได้นิ่งนอนใจ รีบไปพบแพทย์และตรวจรักษา อาการจะได้ไม่หนักหนาสาหัสจนยากแก่การเยียวยา.
ขอขอบพระคุณ
http://www.bbznet.com/scripts/view.php?user=myzeon&board=9&id=131&c=1&order=numviewที่เหลือ ให้เป็นลิ้งค์นะครับ
ของ ร.พ.กรุงเทพ
http://www.bangkokhospital.com/ent/?p=56ของ ร.พ.บ้านหลวง
http://www.banluanghospital.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=232536