อ่านกันหรือยังครับ..
http://www.komchadluek.net/news/2006/05-15/p1--19815.html...
ตำรวจโวยบริษัทปืนผ่อนหมดเรียกเก็บเพิ่ม ตร.ปทุม-นนท์ โวยแหลก ถูกบริษัทขายปืนสวัสดิการเบี้ยวสัญญา เผยผ่อนค่างวดจนครบ แต่กลับถูกบริษัทขอเงินเพิ่ม อ้างใช้เป็นค่าวิ่งเต้น ขณะที่ ผบช.ภ.1 ทุบโต๊ะ พร้อมสั่งสอบบริษัทค้าอาวุธกราวรูด ระบุอาจนำไปขายในพื้นที่ 3 จว.ชายแดนใต้
เหตุบริษัทขายอาวุธปืนเบี้ยวสัญญาข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อยครั้งนี้ เปิดเผยเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 14 พฤษภาคม ส.ต.ท.สมหวัง (นามสมมติ) อายุ 39 ปี เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนประจำ สภ.อ.เมืองปทุมธานี เข้าร้องเรียนกับสื่อมวลชนให้ช่วยตรวจสอบบริษัทขายอาวุธปืนแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี ซึ่งผิดสัญญาการซื้อขายอาวุธปืนที่ตกลงกันเองไว้
ส.ต.ท.สมหวัง กล่าวว่า ที่ผ่านมา ตนได้ไปทำสัญญากับบริษัทขายอาวุธปืนแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี เป็นบริษัทที่เปิดให้ข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อยสามารถซื้ออาวุธปืนในราคาสวัสดิการได้ในราคาย่อมเยา หรือถูกกว่าท้องตลาดถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ตนติดต่อขอซื้อปืนยี่ห้อซีแซด รุ่นซีแซด 92 ขนาด 7.65 มม. ในราคา 1.9 หมื่นบาท และมีการทำสัญญาโดยตนจะผ่อนชำระให้เดือนละ 3,000 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน เดือนสุดท้ายจะต้องจ่ายเงิน 4,000 บาท จึงจะครบตามจำนวนเงินที่สัญญาระบุไว้
"หลังจากที่ผมทำสัญญาจึงกัดฟันเจียดเงินเดือนนำมาผ่อนปืนจนครบ แต่เมื่อผ่อนเงินจนครบตามสัญญา กลับถูกบริษัทเรียกเงินเพิ่มอีก 1 หมื่นบาท โดยบริษัทแจ้งว่า เพื่อใช้เป็นการใช้วิ่งเต้นในการนำปืนออกมาจากศุลกากร และจะต้องใช้เงินดำเนินการถึง 1.5 หมื่นบาท แต่บริษัทช่วยออกให้ 5,000 บาท หากผู้ซื้อรายใดไม่ยอมเสียเงินเพิ่มให้ ก็จะไม่สามารถรับเงินทั้งหมดที่ผ่อนคืนไปได้"
ส.ต.ท.สมหวัง กล่าวอีกว่า หลังจากถูกบริษัทขายปืนตอบปฏิเสธ จึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับเพื่อนตำรวจหลายนาย ซึ่งส่วนใหญ่แสดงความเห็นว่า การกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการละเมิดสัญญา และเพื่อนตำรวจหลายนายยังคิดว่า น่าจะเป็นแผนของบริษัทมาตั้งแต่ต้น เพราะการตั้งบริษัท เพื่อขอใบอนุญาตในการสั่งนำเข้า (แบบ ป2) แต่ก็ไม่สามารถปฏิบัติพิธีการนำอาวุธปืนดังกล่าวออกจากอารักขาของศุลกากรได้ เนื่องจากบริษัทไม่ได้เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้จำหน่ายอาวุธปืนสำหรับการค้า (แบบ ป5) จึงถูกกรมศุลกากรยึดปืนไว้ที่ท่าอากาศยาน พร้อมทั้งนำเอกสารของสำนักงานศุลกากรท่าอากาศยานกรุงเทพ เลขที่ กค 0507(ส) ลงวันที่ 8 มีนาคม 2549 มาชี้แจง ซึ่งตนนำหลักฐานดังกล่าวมามอบให้สื่อมวลชนไว้เป็นหลักฐานด้วย
"เรื่องทั้งหมดนี้น่าจะมีการวางแผนเป็นขั้นตอน โดยบริษัทอาจใช้ชื่อของข้าราชการที่ต้องการมีอาวุธปืนไว้ป้องกันตัว จากนั้นจึงนำรายชื่อไปขอโควตา เพื่อนำปืนเข้ามาภายในประเทศในราคาถูก เมื่ออาวุธปืนเข้ามาแล้วจึงมาขอเรียกเก็บเงินเพิ่มจากผู้สั่งซื้อ และถ้าข้าราชการรายใดไม่เพิ่งเงินให้ ก็จะไม่สามารถขอเงินคืนได้ โดยบริษัทอ้างว่าได้ใช้เงินที่พวกตนผ่อนไปนำไปจ่ายให้บริษัทเจ้าของปืนในต่างประเทศไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงเชื่อว่าน่าจะเป็นแผนการทางธุรกิจ ที่นำปืนเข้ามาในราคาถูก แล้วนำไปขายต่อในราคาที่แพง โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่กำลังต้องการใช้อาวุธปืนอยู่ในขณะนี้"
ด้าน จ.ส.ต.สมพงษ์ (นามสมมติ) ผบ.หมู่ฝ่ายสืบสวน สภ.อ.เมืองนนทบุรี กล่าวว่า ที่ตนติดต่อซื้อปืนในราคาสวัสดิการ เพราะมีบริษัทขายปืนแห่งหนึ่งใน กทม.นำโบรชัวร์มาวางไว้ที่โรงพัก โดยแจ้งว่าเป็นปืนราคาสวัสดิการให้แก่ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการทหารเท่านั้น ตนและเพื่อนจึงตัดสินใจทำสัญญาซื้อและผ่อนจนใกล้จะหมด เมื่อติดต่อบริษัทพนักงานแจ้งว่า จะต้องเพิ่มเงินอีก 1 หมื่นบาท หรือไม่ก็มารับเงินที่ผ่อนกลับไป ตนเห็นว่าไม่เป็นธรรมกับข้าราชการที่นำชื่อไปขอโควตา และมาขอเพิ่มเงินภายหลัง ดังนั้น ตนและเพื่อนๆ จึงขอเงินคืนในที่สุด
"พวกผมเหมือนหลงกล หรืออาจเป็นเครื่องมือให้บริษัทเหล่านี้ เพื่อนำรายชื่อพวกผมเป็นใบเบิกทางในการนำอาวุธปืนเข้ามาภายในประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตรงกันข้ามบริษัทก็จะนำปืนเหล่านี้ไปขายในราคาที่แพงมากกว่าเดิม"
ด้าน พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผบช.ภ.1 กล่าวว่า ช่วงที่เข้ามารับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค1 ใหม่ๆ มีบริษัทขายปืนมาติดต่อเพื่อขายปืนให้ข้าราชการตำรวจในสังกัด เพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ บริษัทดังกล่าวเสนอค่าคอมมิชชั่นให้กระบอกละ 1,000 บาท แต่ตนไม่เห็นด้วย และตอบปฏิเสธกลับไปด้วยถ้อยคำที่รุนแรง บริษัทค้าอาวุธปืนดังกล่าวจึงยุติการเสนอขายปืนไป
"เรื่องนี้ หลังจากได้รับการร้องเรียนก็จะทำการสอบสวนถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง ว่ามีการนำอาวุธปืนเข้ามาในทางใดบ้าง โดยเฉพาะบริษัทที่มีการขออนุญาตในนามของสวัสดิการข้าราชการตำรวจ และทหาร ซึ่งบริษัทเหล่านี้อาจนำใบอนุญาตในการสั่งซื้อไปมอบให้กลุ่มบุคคลอื่น ซึ่งจะต้องเร่งตรวจสอบว่ามีการนำอาวุธปืนเหล่านี้ส่งไปในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยหรือไม่ เพราะอาวุธปืนเหล่านี้อาจย้อนกลับไปทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวได้"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากได้รับแจ้งเกี่ยวกับเล่ห์เหลี่ยมของบริษัทขายอาวุธปืน จึงพยายามติดต่อไปที่บริษัทที่ขายปืนดังกล่าวตามหมายเลขโทรศัพท์ที่แจ้งไว้ในนามบัตร แต่ไม่สามารถติดต่อได้ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบบริษัทขายอาวุธปืนต่างๆ ที่ขายให้แก่ข้าราชการ พบว่าอาจมีมูลค่าถึง 1 พันล้านบาทต่อปี