ลำกล้อง เกลียวไมโคร,เหลี่ยมบิดแทนเกลียว และเกลียวธรรมดา

น่าจะเป็นกรรมวิธีในการผลิตที่ความยากง่าย และต้นทุนในการผลิตกว่าครับ ระหว่างเหลี่ยมบิดและสันเกลียวครับ
คือลำกล้องแบบเหลี่ยมบิดให้วิธีปั๊ม(forging) ใช้แม่พิมพ์ในการขึ้นรูป ถ้าผลิตน้อยชิ้นต้นทุนต่อชิ้นจะแพงเพราะมี fix cost ค่าแม่พิมพ์ แต่ถ้าผลิตมากๆ จะมีต้นทุนถูกกว่าแบบขึ้นรูปทั้งชิ้นด้วยการกัด(milling)และผลิตภัณฑ์ที่ใช้กามผลิตจากแม่พิมพ์ จะมีค่า tolerrance มากกว่า เพราะการปั๊ม จะมีการยืดหดตัวของชิ้นงานตามแต่ค่า utensile strengeของวัสดุแต่ละชนิดครับไม่สามารถผลิตชิ้นงานให้ได้accurate สูงๆครับ การผลิตลำกล้องปืนที่ต้องการความแม่นยำสูงแต่ต้องการให้ต้นทุนผลิตต่ำจึงทำด้วยการ forging แล้วจึงเก็บงานละเอียด(finishing)ด้วยเครื่องกัด(milling)อีกครั้ง
การผลิตลำกล้องเหลี่ยมบิด การใช้เครื่องมือกัด(milling)เพื่อเก็บงานละเอียดทำได้ยากมากหรือทำได้ก็จะมีต้นทุนสูงไม่คุ้มต่อการลงทุนผลิตเพราะหัวกัดจะทำงานได้ยากมากเป็นการทำงานที่ใช้แกนมากกว่า 2 แกน ถึงจะขึ้นรูปชิ้นงานได้(แต่ต้นทุนแพงมากเพราะจะต้องมีแกนเครื่องกัดที่ยาวและเล็กมากๆ ยืดเข้าไปในลำกล้องทำให้ vibrationที่แกนสูง ผลิตได้ก็ไม่แม่นอยู่ดีครับ) แต่การผลิตลำกล้องแบบสันเกลียวขั้นตอนงานละเอียด(finshing) ใช้เครื่องกลึงแบบ 2แกนก็ทำได้แล้วครับ
สาเหตุที่ hkและกล็อกออกแบบลำกล้องเหลี่ยมบิด น่าจะเป็นเพราะว่า แม่พิมพ์แบบเหลี่ยมบิดมีอัตราการสึกหรอต่ำกว่าแบบสันเกลียว ปั๊มง่ายกว่าครับ ไม่ใช่เพราะแม่นกว่าครับ แต่ที่ hk กับ glock ต้องบอกว่าแม่นเพราะผลิตมาแล้วก็ต้องบอกว่าของตัวเองดี แต่ลำกล้องเหลี่ยมบิดก็มีข้อดีอย่างที่คุณอาสุพินท์กล่าวไว้คือมีการสะสมคราบทองแดงน้อยกว่าครับ
การผลิตลำกล้องเหลี่ยมบิดด้วยการใช้แม่พิมพ์จึงทำลำกล้องได้แม่นยำในระดับหนึ่งเท่านั้นครับ ถ้าเป็นปืนใช้งานอย่าง psg1 นี่ทำกลุ่มได้ 1 moa แต่ถ้าจะให้ยิงร้อยรู แบบ ปืนเบนท์เรซ ลำกล้องเหลี่ยมบิดยังไม่สามารถให้ความแม่นยำได้ เพราะกรรมวิธีผลิตอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นครับ

	ผู้เขียน	หัวข้อ: ลำกล้อง เกลียวไมโคร,เหลี่ยมบิดแทนเกลียว และเกลียวธรรมดา (อ่าน 3206 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้