กฎหมายลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาต้องการป้องกันสิทธิของผู้ประกอบธุรกิจ ก็เลยวางโทษหนัก ทั้งโทษจำคกุและโทษปรับ โดยหวังจะเล่นงานพวก เทปผี ซีดีเถื่อน แต่ดันมาโดนคนที่ยากไร้ที่บังเอิญไปกระทำการอันกฎหมายดังกล่าวบัญญัติเป็นความผิดไว้ แต่ไอ้ตัวการทำเทปผี ไม่โดนครับ เพราะมันรู้จักหลบหลีก ส่วนเรื่องขับรถทำให้คนตาย เป็นกฎหมายในหมวดการกระทำความผิดโดยประมาท ที่ถือว่า ไม่ได้มีเจตนาโดยตรง แต่เป็นเพราะความประมาท โทษก็เลยดูจะเบา และผู้กระทำเป็นเยาวชน ทำให้โทษลดลงด้วยวัยของผู้กระทำ และเป็นเหตุบรรเทาโทษให้รอการลงโทษได้ ผลจึงออกมาดูน่าเกลียดอย่างที่ท่านนำมาเปรียบเทียบนี่แหละครับ 2 คดีนี้ ทำให้เสียความรู้สึกของคนในสังคมครับ
เวลาเกิดเรื่องขึ้นศาลนั้น ใครจะหลุด หรือใครจะไม่รอดจะขึ้นกับ"ฝีมือทนาย"ครับ... ฝีมือทนายที่ว่านั้นคือ"การวางรูปคดี"ครับ โดยเกี่ยวข้องหลักๆอยู่ที่ 2 ขั้นตอนคือการ"หาวิธี"ให้พยานทั้งบุคคล เอกสาร หรือพยานวัตถุอื่นใด ฯลฯ นั้น"สอดคล้อง"กับข้อกฎหมายให้ไม่ผิด หรือผิดน้อยลงในขั้นที่ยอมรับได้(คดีแพรวา - เข้าองค์ประกอบข้อกฎหมายได้ตามนั้น นั่นคือทนายเก่ง)...
ขั้นตอนต่อมาก็คือชั้นเชิงในห้องพิจารณาคดี โดยต้องมีฝีมือทำให้การพิสูจน์ข้อเท็จจริงในห้องฯ สอดคล้องและเป็นไปตามรูปคดี โดยข้อเท็จจริงในห้องอาจตรง/หรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริงข้างถนนก็ได้... ดังนั้น"ทุภาษิต"(ไม่ใช่สุภาษิต)กฎหมายบอกว่าจะมีคนติดคุกอยู่แค่ 2 คนคือ หนึ่งคนไร้พวก(สามารถเอาผลประโยชน์แลกเปลี่ยน) กับหนึ่งคนไร้ทรัพย์(สามารถเอาทรัพย์แลกเปลี่ยน) เท่านั้นครับที่ติดคุก...
ประเทศไทยมีปัญหาหลักคือการบังคับใช้กฎหมาย, ทุกเรื่องความเลวทรามต่ำช้าในแผ่นดินไทยตั้งแต่เรื่องแม่ค้าขายของบนฟุตบาท คนเดินข้ามถนนใต้สะพานลอย ฯลฯ ไปจนถึงเรื่องใหญ่โกงประเทศ หรือบุกรุกป่าสงวนทำรีสอร์ต หรือเขาพระวิหาร ฯลฯ... ทุกเรื่องล้วนมีรากเหง้าไล่เรียงได้ต้นตอคือการบังคับใช้กฎหมายครับ...
ตามกระทู้นี้เข้าใจว่าผิดกฎหมายจริง(อ่านตามความเห็นพี่ Ro@d)... แล้วก็ต้องเข้าใจด้วยครับ ว่าใครจับง่าย ผู้บังคับใช้กฎหมายก็จะจับก่อน, อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสี่ยงตายไล่ยิงกันเหมือนไล่จับโจรปล้นร้านทอง...