เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 01, 2024, 03:34:09 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 48 49 50 [51] 52 53 54 ... 366
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: THE DOUBLE GUN & RIFLE CONNOISSEUR  (อ่าน 1176465 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 82 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ลูกซองสั้น
Shotgun lover
Moderator
Hero Member
*****

คะแนน 112
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1047


side by side


« ตอบ #750 เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2006, 10:15:34 PM »

คุณอาซื้อมาแค่อันเดียวครับ สำหรับทำพานท้าย ผมดึงรูปนี้จากที่อื่นเอามาแสดงเป็นตัวอย่างครับ เมื่อตอนที่ช่างป๊อกบ่นเรื่องการทำคอพานท้าย ผมเอารูปพานท้ายของ Beretta 682  (วันนี้หารูปไม่เจอเลยดึงรูป SO5)ซึ่งมีการขายแบบเฉพาะทำมาแค่คอพานท้ายด้วย ผมถามช่างป๊อกแบบซื่อจริงๆ แล้วถ้ามีคอพานท้ายแล้วหละ แฮะๆ แกก็ตอบแบบนั้นจริงๆครับ ต่อท้ายบอกให้ U turn กลับไปอิตาลีเลย

มีคนจำนวนไม่น้อยนะครับ กล้าจ่ายค่าไม้แพงระยับ แต่ไม่กล้าซื้อลวดลายแกะสวยๆ บอกว่ารักษายาก บางคนบอกว่าปืนแกะลายเขาเอาไว้เก็บ ไม่เอามายิงกันหรอก เลยไม่ได้ซื้อสักที ผมว่าซื้อมาแล้ว เป็นของเราแล้ว ยิงเลย และ แม้นจะไม่กล้าเอามายิง แค่เอามาเชยชม ก็สุขบรมแล้ว 

บันทึกการเข้า
FABBRI
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #751 เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2006, 10:20:37 PM »

ลวดลาย ดูเดี๋ยวเดียวก็เบื่อ  แต่ลายไม้ กับ ไม้ที่หลาวมา สำหรับเรา นั้นหายากกว่า  และใช้ได้นานจนหมดอายุไข ------เรา
บันทึกการเข้า
o/uboy
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #752 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2006, 10:02:46 AM »

สำหรับผมถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้ทั้งไม้สวยและลายสวยๆสองอย่างพร้อมกันเลยครับ Grin ซักวันนึงต้องทำได้แน่ครับ Grin
บันทึกการเข้า
kat
Full Member
***

คะแนน 38
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 355


« ตอบ #753 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2006, 10:23:40 AM »

ผมว่าซื้อมาแล้ว เป็นของเราแล้ว ยิงเลย และ แม้นจะไม่กล้าเอามายิง แค่เอามาเชยชม ก็สุขบรมแล้ว 

 
ชื่นชมกับผลงานจากหยาดเหงื่อของเราที่หามาได้
บันทึกการเข้า

เอาชนะ อุปสรรคทั้งปวง ด้วยความอุตสาหะ
kat
Full Member
***

คะแนน 38
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 355


« ตอบ #754 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2006, 01:08:47 PM »

รวบรวมมาอ่านทบทวนกันครับ

ปืนที่ผลิตจากโรงงานชั้นนำ และที่คนไทยรู้จักมากที่สุดก็คือ Perazzi  Beretta Browning  ส่วนBrowningนั้นคนไม่ค่อยใช้กันแล้วเพราะระบบล้าสมัยไปแล้วสำหรับกีฬาแต่ยังใช้ล่าสัตว์อยู่ Beretta ก้เน้นปืนล่าสัตว์ (พูดถืงลูกซองนะครับ)มีปืนใช้ในการแข่งขันบ้าง เป็นอันดับ2 ของปืนที่นักกีฬาใช้แข่งทั่วโลก Perazzi เป็นปืนที่ใช้แข่งมากที่สุด ในปืนลูกซองที่ผลิตออกมาจะเป็นGame Guns ต่อมาก็ trap skeet . skeet ผลิตไม่ถึง20%ของปืนที่ผลิตจากทั้ง3โรงงานและเป็นปืนที่ผลิตง่ายที่สุด ราคาตกมากที่สุด ที่อิตาลี่มีนักกีฬายิงปืนกว่า3ล้านคน มียิงskeetไม่ถึง8แสนคน นอกนั้นเป็นtrap

เรียนถามพี่FABBRIครับทำไมถึงว่าสั่งทำยากกว่า PERAZZIละครับ เรื่องนี้เคยมีเจ้าของร้านปืนบอกกับผมเหมือนกันว่าถ้าจะเอาเบเร็ตต้าก็ต้องรอนานกว่า ผมเองก็ชอบMX8มากนะครับ แต่อยากได้เป็นSCO-SC3มากกว่า แต่ด้วยความที่ชอบในยี่ห้อเบเร็ตต้าเลยเลือกยี่ห้อนี้ครับ แต่มีข่าวดีเรื่องSO5มาสงสัยต้องเก็บเงินเพิ่มอีกซะแล้วครับ  ไม่ทราบว่าSO5ตัวนี้เป็นรุ่น COMPETITIONหรือว่าเป็นตัว EELLธรรมดาครับ ถ้าจะกรุณาก็ขอรูปทั้งSO5-SO6ด้วยก็จะเป็นพระคุณมากเลยครับ

beretta เป็นปืนโหลที่ทำจากโรงงานถ้าจะสั่งทำต้องไปที่customshop เท่านั้นแล้วยุงอยากมาก ไปสั่ง perazzi ง่ายกว่า

แหม ท่านFabbri เรียก Beretta เป็นปืนโหล เสียราคาหมด  ที่ถูกต้องใช้ภาษาว่า mass production ครับ คือทำออกมามากๆ เพื่อให้มีต้นทุนต่ำลง  Beretta มีแบบของปืนมากมาย ทั้งปืนสั้นและปืนยาว โรงงานของ Beretta ที่ Italy ใหญ่มาก และเข้มงวดในการเข้าไปในโรงงานมาก เพราะผลิตอาวุธปืนสงครามด้วย

เมื่อคุณซื้อปืนยิงเป้าบิน Beretta สักกระบอกนึง จะพบว่าราคาไม่สูงนัก แต่เมื่อคุณต้องการซ่อมปืน หรือติดต่อโรงงานเพื่อเหลาพานท้าย การติดต่อกับโรงงานจะยุ่งยากมาก ต้องติดต่อผ่านทาง custom shop ซึ่งงานเหลาพานท้ายยังต้องใช้เวลา 45 วัน หรือเมื่อต้องการจะซื้ออะไหล่ปืนสักชิ้นสองชิ้น กลับต้องไปซื้อผ่านร้านปืนที่หน้าโรงงาน คือโรงงานไม่ยอมขายให้เราโดยตรง ทั้งๆที่ผมไปยืนอยู่ตรง custom shop แล้ว ผมต้องย้อนออกมานอกโรงงาน ไปถามที่ร้านปืนข้างถนน ให้เขาสั่งซื้ออะไหล่ปืนให้ นี่แหละที่เรียกว่ายุ่งยากกว่า

ผิดกับ Perazzi เราสามารถเดินเข้าไปในโรงงานได้ทั่วเลยครับ เจ้าของโรงงานยกเว้นไม่ให้เข้าไปตรงบริเวณที่ช่างเชื่อมประกอบลำกล้อง และทำรมดำครับ บอกว่าเป็นบริเวณที่มีอันตรายจากความร้อน เปลวไฟ และเคมีจากน้ำยารมดำมีสารอันตรายต่อการสูดดมเข้าไป เราสามารถเดินเข้าไปในโรงงาน สั่งวัดตัว ทำพานท้าย และช่างจะทำการป้อนโปรแกรมใส่เครื่องทำการเหลาพานท้ายให้เราเลยทันที การเหลาพานท้ายติด recoil pad ใช้เวลาสามชั่วโมง เราก็จะได้พานท้ายของเราออกมา ช่างจะประกอบพานท้ายใส่กับปืนของเรา แล้วเราก็สามารถออกไปลองยิงที่สนามยิงปืนของโรงงาน ช่างผู้เหลาพานท้ายให้เราจะออกไปดูเรายิงด้วย ว่าเรายิงไปตรงไหม ต้องแก้ไขพานท้ายไหม ถ้าต้องแก้ไข ช่างก็จะจัดการแก้ไขให้จนเสร็จ ทั้งหมดใช้เวลาไม่เกิน 4 - 5 ชั่วโมง พานท้ายที่ได้จะขาดแค่การทำเคลือบเงาเท่านั้น ช่างจะนำไปเคลือบเงา หลังจากนั้นอีกอาทิตย์นึง พานท้ายก็เสร็จ ที่โรงงาน หน้าเคาเตอร์ เราจะซื้ออะไหล่ชิ้นไหน บอกได้ทุกชิ้น แม้นแต่ปืนที่โรงงานประกอบเสร็จแล้วตั้งโชว์อยู่ เราเกิดชอบใจมิติและลายไม้พานท้ายปืนกระบอกไหน เจ้าของโรงงานยินดีถอดขายให้ทันที

พี่ Fabbri พี่ขยันพิมพ์มากๆก็ได้นะครับ พี่พิมพ์แค่ว่า Beretta เป็นปืนโหล กับการติดต่อกับโรงงาน Beretta ใช้เวลานานกว่าและไม่ค่อยสะดวก ผมต้องออกมาอธิบาย แปลไทยเป็นไทยซะยาว
บันทึกการเข้า

เอาชนะ อุปสรรคทั้งปวง ด้วยความอุตสาหะ
kat
Full Member
***

คะแนน 38
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 355


« ตอบ #755 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2006, 01:12:17 PM »

ขอบคุณมากครับ..ตั้งแต่ซื้อหนังปืนลูกซองมาอ่าน..ความอยากรู้อยากเห็นมันเพิ่มขึ้นๆ เพียงแต่ว่านักเลงปืนบ้านเรา พูดเรื่องลูกซองกันน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเน้นปืนสั้นกับไรเฟิล..ปืนลูกซองเป็นปืนที่น่าศึกษาเป็นอย่างมาก..ถ้ามีโอกาสคงได้ครอบครองแฝดดีๆสักกระบอก..

อย่าลืมว่าปืนลูกซอง เป็นปืนที่ถูกที่สุดในโลก และ เป็นปืนที่แพงที่สุดในโลกเช่น กัน (ปืนสั้นไม่ว่าขนาดใดทำจากทองแท้99.99% ทั้งกระบอก ก็ยังซื้อปืนลูกซองที่ทำจากเหล็กและไม้ บางกระบอกไม่ได้) ปืนลูกซองเป็นปืนที่ยิงง่ายที่สุด และ ยิงอยากที่สุดเช่นกัน ตัวอย่าง ปืนลูกซองยิงนกเกาะเป็นฝูงไปนัดเดียวได้นกตั้งหลายตัว เวลายิงนกบินตั้งหลายนัดไม่โดนนกสักตัว ปืนลูกซองเอาไว้ยิงเป้าบินจึงเป็นกีฬา ยิงเป้านิ่งเช่นนกหรือสัตว์นิ่งๆไม่เป็นกีฬา  คุณ ลูกซองสั้นขยายความให้ด้วยครับ
ปืนลูกซองก็คือท่อขนาดกว้างหน่อยที่ด้านท้ายทำให้มีขนาดเท่ากับกระสุนลูกซอง แล้วก็ทำกลไกนกสับเพื่อเอาไว้ตีไปที่แก็บตรงท้ายกระสุน พูดสั้นที่สุด คือ ไม่ต้องทำเกลียวในท่อนั้นเลยครับ ไม่มีการมาวัดกลุ่มกระสุนกันว่าแม่นยำขนาดไหน ไม่ต้องห่วงว่าจะยิงกันไกลมากไหม ปืนลูกซองพัฒนามาจากปืนแก็บหรือปืนบรรจุปากลำกล้องนั่นเองครับ ชุดลั่นไกก็ไม่ต้องเฉียบคมอะไรนักเพราะยิงออกไปแต่ละนัด กลุ่มลูกปรายบานเป็นกระด้ง ใช้ขนาดกระด้งเปรียบเทียบ มันก็เท่านั้นจริงๆครับ  ปืนลูกซองราคาถูกๆ มีมากมายครับ เดี่ยวตราเสือ สั่งพิเศษยิงลูกโดดได้  คือตัวอย่างของปืนที่กล่าวถึง

ปืนลูกซองแพงที่สุด แพงเพราะเอางานศิลปใส่ลงไปในปืนครับ ปืนลูกซองมีแก้มด้านข้างที่แบนกว้างที่สุดกว่าปืนใดๆ ช่างแกะสามารถใส่จินตนาการณ์หรืออารมณ์ของงานศิลป์ลงไปได้เต็มที่ ต้องสะกดใจตัวเองครับ เวลาดูความงามเหล่านี้ และอย่าไปถามราคา เพราะจะทำให้อารมณ์อันสุนทรีสะดุดไป งานศิลป์ข้างปืนลูกซองอาจมีราคาสูงถึง 50,000 ยูโร ยังไม่รวมค่าปืนนะครับ นั่นคือความแพง

ลองนึกเหมือนเราๆท่านๆ มีบ้าน เราก็สามารถอยู่อาศัย มีความสุขสบายดีแล้ว เราไปเห็นบ้านข้างๆมีสนามหญ้า จัดสวนสวยงาม ภายในบ้านแขวนรูปวาดสวยงาม มีงานศิลปตั้งโชว์ ก็คิดเปรียบเทียบได้คล้ายๆกับครับ ก็บ้านที่มีความสุข อยู่กันพร้อมหน้า เหมือนๆกันใช่ไหมครับ ปืนลูกซองกระบอกดำปี๋ กับกระบอกแกะลายสวยงาม ยิงได้แต้ม หรือยิงไปได้กลุ่มเหมือนกันครับ ต่างกันแค่ความสุขของเจ้าของเท่านั้น ความแม่นยำไม่ต่างกันเลย  นั่นแหละครับ ปืนถูกกับปืนแพง

ขอพักเดี๋ยว เดี๋ยวค่อยมาต่อเรื่อง ความหมายของการยิงง่ายกับยิงยาก ในมุมมองแบบกีฬา

ในการล่าสัตว์ ความสามารถในการสังหารสัตว์อย่างแม่นยำและแน่นอน ย่อมเป็นที่ถูกอกถูกใจของนายพราน ลองเปรียบเทียบการใช้ปืนลูกกรดยิงนกที่เกาะบนต้นไม้ ผมว่าเป้าหมายขนาดเล็กๆนั้นยิงโดนยากนะครับ แล้วเป้าเดียวกันเราใช้ปืนลูกซอง แค่ยกปืนขึ้นชี้ไปที่เป้าให้ตรง เป้าที่อยู่นิ่งๆจะหลุดรอดกลุ่มลูกปรายขนาดกระด้งไปได้เหรอ  ปืนลูกซองยิงง่ายก็เป็นดังนี้แหละครับ

แต่ปืนลูกซองก็มีเสน่ห์อย่างนึงครับในการยิงเป้าเคลื่อนที่ ปืนลูกซองไม่ใช่ว่ายิงตรงเป็นปืนแสงเลเซอร์ในหนัง Star War นะครับ ถ้าเป้าหมายอยู่นิ่งๆใช้ปืนลูกซองก็ยิงโดนง่ายๆครับ แต่ถ้าเป้าหมายนั้นกำลังบินหนี ปืนลูกซองเองโอกาสยิงโดนเป้าก็เริ่มจะลดลงแล้วครับ ความยิงยากเริ่มมีมากขึ้น ระยะเหมาะสมไหม ระยะใกล้ใช้โช้คกว้าง ระยะไกลใช้โช้คแคบ เป้าหมายขนาดใหญ่หรือเล็กแค่ไหน ต้องเลือกเบอร์ลูกปรายให้เหมาะสม แล้วเป้าหมายนั้นบินหนีเร็วมากไหม ต้องเล็งดักหน้าครับ พอยิงไม่โดน .....เออ  ...มันก็เป็นปืนที่ยิงยากนะ....


บันทึกการเข้า

เอาชนะ อุปสรรคทั้งปวง ด้วยความอุตสาหะ
kat
Full Member
***

คะแนน 38
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 355


« ตอบ #756 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2006, 01:28:25 PM »

เรามาพูดถึงปืนยิงเป้าบินกันดีกว่า มีร้านปืนหลายร้าน มีคนเขียนเรื่องปืน มีคนทดสอบปืน แม้แต่คนบางคนที่ยิงเป้าบินพอพูดถึงปืนลูกซองแฝดลำกล้องซ้อน ก็มักจะบอกว่านั่นคือปืนยิงเป้าบิน ทั้งที่ไม่ใช่ จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เพราะแต่ละคนมีเหตุผลไม่เหมือนกัน บางทีรู้ก็แกล้งไม่รู้ ปืนแฝดลำกล้องซ้อน ทำมาเป็นปืนยิงนกมากกว่ายิงเป้าบิน เคยพบบางคนยิง Skeet ได้ดีแต่น่าจะยิงได้ดีกว่านี้เพราะอะไรรู้ไหม แกใช้ ปืนSporting ยิง เพราะที่ร้านขายปืนบอกว่าเหมือนกันเพียงแต่เปลี่ยนโชคเท่านั้นให้มันกว้างเขาไว้ ถ้าจะยิงTrapก็เอาแคบเข้าไว้ เพราะต้องยิงไกล ฉะนั้นโปรดเข้าใจว่าปืนลูกซองแฝดซ้อนไม่ใช่ปืนยิงแข่ง Skeet & Trap ทุกยี่ห้อและทุกรุ่น ต้องเลือก แม้แต่ปืน Copy เช่น Keyman ลอกแบบ Perazzi  citoriลอกแบบBrowning ยิงอย่าไรก็ไม่ถึงดวงดาว เพราะต้นทุนที่ต่ำ กับ ประสบการณ์ ที่ต่างกัน ปืนที่ดีต้องอยู่ที่สมดุล และ พานท้าย ทำไมปืน H&H จึงแพงกว่าปืนไอ้หยาหลายเท่า ทั้งทีอะไหล้ปืนH&Hก็มาจากปืนไอ้หยา เพราะการทำที่ปรานีตกว่ารู้จัก สมดุลของปืนและรู้จักพานท้าย ปืนสั้น มีศูนย์หน้าและศูนย์หลัง แต่ ปืนลูกซองไม่มี ศูนยืปืนลูกซองอยู่ที่พานท้าย และปืนลูกซองไม่ได้ยิงกระสุนเป็นกลุ่มหลายนัดทีเขาชอบเรียกกัน แต่ลูกซองเวลายิงกระสุนออกไป เขาเรียกว่า ม่านกระสุน ถี่หรือห่าง แล้วแต่โชค็ เอาแค่นี้ก่อน ให้ท่านลูกซองสั้นบรรเลงต่อ
ปืน SKEET & Trap ถ้าจะซื้อ กรุณาดูให้แน่ๆถามมากๆแล้วจะไม่เสียใจ เพราะปืนราคาไม่ใช่ถูก บางคนขอเงินพ่อแม่มาแล้วจำนวนมาก เสียทั้งเวลาเรียน เสียเงิน เสียทอง ค่ากระสุน เสียเวลาคุยโทรศัพย์ คุยกับแฟนคุยกับกิ๊ก ยิงยังไงก็ไม่ได้คะแนน จนหมดกำลังใจ เพราะ ซื้อปืนผิด ยังขอยืนยัน นั่งยัน ต้องใช้ Beretta 682 Dt10 Mx8 เท่านั้น สำหรับ Skeet Browning B25 ก็ได้ถ้ามี และ MX8 DT 10 สำหรับ Trap หรือ ASE Goldหรือ  B25 ก็ได้ถ้าหาได้ นอกนั้นเป็นตัวประกอบ แสดงฉากเดียวแล้วตาย
ปืนที่ดีสำหรับเราจุดแรกคือ พานท้าย ต้องได้ขนาดและสัดส่วนที่ดี สมดุลที่ เหมาะสม โชค็ที่ทำด้วยความปรานีต ลำกล้องที่แข็งแรง ยิงนัดแรก กับยิงนัดที่ 50 ขณะแข่ง ม่านกระสุนต้องเหมือนกับ ไม่ใช่ 10นัดแรก ม่านแคบ ที่เหลือเมื่อลำกล้องร้อนแล้วไม่รู้ม่านหายไปไหน เหมือนขุนแผนฟันม่านขุนช้าง ล่อนจ้อนเลย  โชค็กว้างหรือแคบอยู่ที่นิสัยคนยิง คือยิงช้าหรือยิงเร็ว ต้องเลือกให้ดี เพื่อนคนทีออกแบบ MX8 ยิงTrapเมื่อปี 1964 ที่โตเกียวได้เหรียญทองโอลิมปิก สมัยก่อนต้องยิง 200นัด สมัยนี้ยิงแค่ 150นัด ยิง200นัด ผิดไป 2นัด ได้ 198 คะแนน ใช้นัด 2 แค่ 5นัด เท่านั้น และคนนี้เป็นคนสอนให้รู้จักดูและเลือกปืน แต่คนไทยที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผมที่สอนให้รู้จักปืน คืออะไร คือ ท่าน วิจิตร ศิริเทียน ชื่อ คู่มืออาวุธปืน ถ้าได้อ่านแล้วไม่ต้องหาหนังสือเมืองไทยเล่มไหนอ่านอีก


มาขยายความต่อสักหน่อยนะครับ เหล็กทำลำกล้องที่กล่าวว่ามีคุณสมบัติไม่ขยายตัวเมื่อลำกล้องร้อน ทำให้กลุ่มกระสุนคงที่แม้นว่าจะยิงกันจนลำกล้องร้อนจัด ก็คือ Boehler antinit steel นั่นเองครับ

ปืน Perazzi MX 8 ปัจจุบัน ก็ไม่ได้ใช้ Boehler antinit steel นะครับ  ปืน Beretta  DT 10 ก็ไม่ได้ใช้นะครับ ผมคิดว่าเราต้องเชื่อถือมาตราฐานการคัดเลือกลำกล้องของทั้งสองโรงงานเอาไว้ก่อน ถ้าลำกล้องดิบที่ทำเอาไว้ไม่ได้ตามมาตราฐานขนาดหนึ่งที่ทางโรงงานตั้งเอาไว้ ก็คงจะถูกคัดทิ้งไป ลำกล้องที่ใช้ได้ก็จะผ่านการตรวจสอบและจะดัดลำกล้องให้ตรง เป็นความจริงที่ว่าเหล็กลำกล้องปืนลูกซองที่ถูกดัดเอาไว้จะขยายตัวและคืนตัวกลับไปคดดังเดิมเมื่อลำกล้องร้อนจัด และจะส่งกลุ่มกระสุนไปที่อื่นตามแต่ว่าลำกล้องคดไปทางไหน

ตามข้อมูลที่ได้รับฟังมาจากโรงงาน Perazzi ลำกล้องที่ออกจากสายการผลิตลำกล้องดิบ และตรวจดูแล้วว่าตรง จะถูกคัดไปทำลำกล้องปืนเกรดสูง SCO  ดังนั้นก็พอจะสรุปเหมาเอาว่า พวก MX 8 ปืนมาตราฐานเกรดแข่งขันทุกกระบอก  ใช้เหล็กลำกล้องดัดทุกกระบอก (มั้ง ?)

อ่านมาแล้วเข้าใจไหมครับ ทำไมผมหลงรัก Beretta ASE 90 เพราะใช้ลำกล้องเหล็ก Boehler antinit steel ครับ 

ขอถามพี่ Fabbri หน่อยครับ พี่มี Perazzi SCO ตั้งหลายกระบอก ตรงลำกล้องมีการทำเครื่องหมายพิเศษไว้ไหมครับ ว่าเป็นลำกล้อง SCO
บันทึกการเข้า

เอาชนะ อุปสรรคทั้งปวง ด้วยความอุตสาหะ
kat
Full Member
***

คะแนน 38
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 355


« ตอบ #757 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2006, 01:41:28 PM »

รบกวนขอถามเรื่องง่ายๆพื้นฐานหน่อยครับ
     1 ปืนskeet ลำกล้อง ควรยาวเท่าไร ตัวปืนลักษณะอย่างไร
     2 ปืนtrap ลำกล้อง ควรยาวเท่าไร ตัวปืนลักษณะอย่างไร
     3 ปืนsporting ลำกล้อง ควรยาวเท่าไร ตัวปืนลักษณะอย่างไร
ติดตามกระทู้นี้มาตลอด แต่ยังแยกปืนไม่ออก ขอบคุณครับ

เรื่องที่1 หนังสือ คู่มืออาวุธปืนทุกชนิด และ ศิลปการล่าสัตว์ ของ วิจิตต์ ศิริเทียน  พิมพ์ครั้งแรก ประมาณ พศ 2498 พิมพ์ครั้งที่ 3 ประมาณานปี2510  เคยเหมาจากร้านโอเดียนสโตว์ ปี2520 เมื่อปี 2530 คุณ วิจิตต์เคยจะเซ็นมอบอำนาจให้พิมพ์ ใหม่ พอดีไม่ได้พบกับแก 1-2 เดือน ก็ได้ข่าวเสียชีวิตแล้วเลยอดพิมพ์
เรื่องที่ 2 Perazzi SCO ทั้งที่โครงเครื่องกลไก [action] และ ลำกล้อง มีตี SCO
  เรามาว่ากันเรื่องลำกล้องต่อดีกว่า แล้วค่อยตอบคุณ Kat ที่ว่าลำกล้องดีหรือไม่ดีนั้นไม่ได้อยู่ที่เหล็กอย่างเดียว เหล็ก Boebler  ดี แข็ง และเป็นสปริง มีหลายยี่ห้อใช้ทำลำกล้อง รวมถืง Browning ด้วย ข้อเสียรมดำอย่างไรก็ไม่ดำ ตะกั่วเงินที่ใช้เชื่อมมักมีปัญหา ใช้ยิงติดต่อกันมากๆจนลำกล้องร้อนจัด ก็จะทำให้ Rib แตก ดังที่เราเห็นทั่วไป
  ที่ว่าลำกล้องที่ดีนั้น ไม่ใช่เพราะดัด หรือ ไม่ดัด  เพราะเวลาเขาดัดลำกล้องเขาดัดตอนเย็น ไม่ใช่บ่ายๆ ยิงร้อนยังไงก็ไม่กลับที่เดิม ทุกโรงงานปืนที่ทำลำกล้องเอง จะมีเครื่องดัดทั้งนั้น รวมถึง H&H Puredy Perazzi Beretta
 ลำกล้องที่ดีต้องใช้เหล็กดี โรงงานไม่ยอมบอก เลยไม่รู้ บางทีเขาพูดอิตาเลี่ยนเราก็ฟังไม่ออก คนแปลจากอิตาเลี่ยนเป็นอังกฤษก็ไม่ค่อยอยากแปล พอได้แท่งเหล็กมาแล้วเขาจะใช้สว่านเจาะรูให้ตรง พอได้ลำกล้องที่มีรูแล้ว ก็จะกลึงภายนอก ลำกล้องที่ดี ผนังลำกล้องจะต้องเท่ากันตลอด ไม่ใช่บางจุดหนา บางจุดบาง เพื่อความร้อนจะได้แผ่กระจายเท่าๆกัน เม็ดกระสุนที่อยู่ในถ้วยพลาสติก จะได้ไม่บิดเบี้ยวและเดินทางตรง ทีนี้พอทำเสร็จแล้วก็ต้องดูว่าที่เรากลึงจนได้ความหนา บาง ตามที่เราต้องการแล้ว ดีหมดแล้ว ดันบิด เบี้ยว งอ ที่นี้และ ก็ต้องส่งให้ช่างดัด ให้ตรง โดยใช้วงกลม 360 องศา มีทีขันรอบด้าน ดัดแล้วจะต้องไม่กระทบกับรูข้างใน เครื่องวัดที่ดีที่สุดคือ สายตาช่าง เขาแค่ยกขื้นมาส่องดูเท่านั้นก็บอกได้แล้วว่า ลำกล้องบิดไปทางไหน ต้องแก้อย่างไร ต้องยอมรับว่าเป็นอาชีพของเขา เคยเอาปืนที่ประกอบแล้ว ไปให้ช่างพวกนี้ดู เขาจะบอกเราได้เลยว่าปืนกระบอกนี้ยิงแล้ว ม่านกระสุนจะไปทีใด ซ้ายหรือขวา บนหรือล่าง จากจุดที่เรายิง ฉะนั้นลำกล้องปืนที่ดีจะแพงมาก และ ถ้าไม่ต้องดัด ทำออกมาแล้วใช้ได้เลยยี่งแพงมาก ลำกล้องปืนที่ดัดแล้วประกอบแล้วจะไม่มีทางกลับไปเหมือนก่อนดัด  ส่วนลำกล้องปืนถูกๆ ก็จะใช้ท่อแปปที่ทำมาแท่งยาวๆ แล้วตัดตามขนาด แล้วมากลึงลำกล้องให้เรียวตามต้องการ จากนั้นก็เจาะรังเพลิง ทำโช้คโดยไม่คำนึงถึงผนังลำกล้อง หรือโลหะที่ใช้ จะได้ลดต้อนทุน
  ปืน Skeet ลำกล้องจะอยีที่ความยาว 26-28 นิ้ว Browning Beretta จะยาว28นิ้วมาตราฐาน ส่วน Perazzi ก็ยาว28นิ้ว แต่ เจาะported จึงทำให้ลำกล้องไม่ถึง 28นิ้ว
 ปืน Trap กับ  Sporting จะยาว 29.5 ถึง 30 นิ้ว ถ้าต้องการ 28 หรือ 32 นิ้ว ต้องสั่ง
   พานท้าย Skeet จะตำ จากแนวลำกล้อง ส่วนหน้าพานท้าย [comb] ประมาณ 4 ซม  ส่วนหลัง [heel] ประมาณ 6 ซม
    Trap จะตำกว่าลำกล้อง 3.2-3.5 ซม ส่วนหลัง 4.2-4.5 ซม

ปัจจุบันโรงงานปืนเกือบ 90% ซื้อลำกล้องจากโรงงานที่ทำลำกล้งโดยเฉพาะ เพียงแต่สั่งเขาจะเอาราคาขนาดเท่าไรเขาก็จะทำให้ และ จะเอา แบบเสร็จ 100% เอาไปประกอบได้เลย หรือ 50%80% ก็ได้ ทีนี้ ปืนราคาแพง เช่น H&H ลำกล้องจะเป็นชิ้นเดียวกันตลอด คืด จากโคนที่มี Ejector รังเพลิง ลำกล้อง จนจดปลายโชค็ รวมถึงลิ่มใต้ลำกล้อง เป็นชิ้นเดียวกัน ส่วน Perazzi ใข้วิธี ทำเฉพาะ โคนลำกล้องส่วนที่เป็นรังเพลิงกับลิ่มล็อก แล้ว นำลำกล้องอีก2ชิ้นมาหมุนเกลียวใส่ ซึ่งถูกกว่าแบบแรกมาก แต่ฝีมือแต่งคอรังเพลิง คือ ส่วนต่อระหว่างรังเพลิงกับลำกล้องต้องเนียบมาก ไม่เช่นนั้น ถ้วยรองเม็ดกระสุนไปสดุดก็จะทำให้กลุ่มกระสุนเสีย Mr Perazzi ให้เหตุผลว่า เมื่อลำกล้องเสียก็เปลี่ยนง่าย เพียงแต่หมุนลำกล้องเก่าออกแล้วใส่อันใหม่ก็ใช้ได้แล้ว เร็วด้วย ดีด้วย แต่เหตุผลใหญ่คือลดต้นทุน
  ผมเคยไปโรงงานทำลำกล้องปืนเพื่อเลือกลำกล้องมาทำปืน S\S 2 กระบอก กว่าจะได้ 4 ลำ ใช้เวลานานมาก เพราะต้องเลือก กว่า 100 ลำกล้อง ที่ทำเสร็จแล้ว 60% ให้เข้าคู่กันที่สุด โดยไม่ต้องดัด เพราะ โรงงาน Piotti เลือกมาให้หลายรอบแล้วไม่ถูกใจสักที เขาเลยให้ไปเลือกเอง ไม่ใช่ผมเก่งนะครับผมแค่ไปอยู่กับเขาขณะเลือก เพราะ ปืนของผม 1กระบอก ของเพื่อน 1 กระบอก เพื่อนชื่อ Ennio Mattarelli คนออกแบบ MX8 แก้ไข ASE 90 เป็น ASE Gold ไรเฟิล ซาวเออ 200
บันทึกการเข้า

เอาชนะ อุปสรรคทั้งปวง ด้วยความอุตสาหะ
kat
Full Member
***

คะแนน 38
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 355


« ตอบ #758 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2006, 01:47:40 PM »

เราคุยกันเรื่องลำกล้องต่อดีกว่า
ลำกล้องปืนประกอบด้วย รังเพลิง คอรังเพลิง ลำกล้อง และโชค็ กระสุนสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่2 จะทำด้วยกระดาษ ส่วนฐานจะเป็นเหล็กหรือทองเหลือง ภายในจะประกอบด้วย แก็ป ดินปืน แผ่นหมอนทำด้วยสักหลาด หรือ ไม้ก็อก เม็ดกะสุนขนาดต่างๆ ปิดทับบนสุดด้วยกระดาษแล้วแม้มปากเพื่อ ไม่ให้กระสุนรั่วออกมา เมื่อบรรจุกระสุนแล้วยิง ดินปืนก็จะเผาไหม้เป็นแก้ส ดันหมอนพร้อมเม็ดกระสุนไปตามลำกล้อง จนถึงปลายลำกล้องที่เป็นโชค็
ลำกล้องที่ดี คอรังเพลิงจะต้องพอดีกับปลายปลอกกระสุน และ ไม่มีรอยสดุด เพื่อประคองหมอนกับกระสุบให้คงลักษณะเดิม รวมถึงลำกล้องก็ต้องพอดีกับหมอนทั้งเส้นผ่าศูณย์กลาง และเส้นรอบวง เพราะถ้าคอรังเพลืงกับลำกล้องไม่ดีแล้ว แก้สจะรั่วแซงหมอนออกไปบางจุดก็จะทำให้ หมอนเดินทางเสียรูป เม็ดกระสุนก็จะถูกแก้สตีทำให้เม็ดกระสุนไม่เป็นระเบียบ ลำกล้องปืนต้องกลมสมำเสมอตลอดโคนจดปลาย
แต่ปัจจุบับลำกล้องปืนไม่ต้องทำพิถีพิถัน มากนัก ที่ทำดีก็ทำเลวลงที่ทำไม่ดีก็ยิ่งแย่ลง เพราะหลังสงครามโลก กระสุนลูกซองทำด้วยพลาสติกและภายในไม่ใช้หมอนสักหลาดหรือไม้กอ็ก แต่ใช้เป็นถ้วยพลาสติกใส่เม็ดกระสุน เพื่อประคองให้กระสุนอยู่ในทีของมันไปจนจดปลาย แต่จะมีปัญหาเหมือนกัน คือถ้วยแต่ละโรงงานทำไม่เท่ากัน เราจึงพบว่าปืนกระบอกนี้ถูกกับกระสุนยี่ห้อนี้ ถ้าใช้ผิดแบบหรือยี่ห้อ ม่านกระสุนก็จะไม่ดี โรงงานปืนบางโรงงาน เลยทำกระสุนเองด้วย ปัญหาอีกอย่างคือใช้กระสุนไม่ถูกกับรังเพลิง ปืนปัจจุบัน มักจะเป็นขนาด 12 G ยาว 70มม( 2 3/4นิ้ว) ถ้าเอากระสุนยาว 65มม ( 2 5/8นิ้ว ) มาใส่ยิงปลอกก็จะไม่เต็มบ่าคอรังเพลิงแก้สก็จะไปตีถ้วยให้เสียแนวได้ หรือ เอา 70 มม ไปยิงในปืน65มม ปลายปลอกก็จะไปทับคอปืนทำให้ถ้วยถูกบีบลงก็จะเสียอีกเช่นกัน
เมื่อกระสุนวิ่งมาถึงส่วนปลายก็จะพบกับโชค็ ส่วนนี้จะเป็นตัวบังคับให้กระสุนแคบหรือกว้าง ก็อันนี้ที่สำคัญสำหรับเราว่าจะเอาปืนไปยิงอะไร ยิงใกล้หรือไกล ถ้าใกล้ก็ใช้โชค็กว้าง ยิงไกลก็แคบ มี หลายความหมายที่ใช้เรียกกัน เป็นอักษรก็ s\k , Cylinder,  Improved Cylinder , Modified , Improved Modified , Full Choke ใช้ เลข ก็ 2,4,6,8,10 ถ้าใช้ดาวกลับกับ ๐๐๐๐๐,๐๐๐๐,๐๐๐,๐๐,๐ ดาวเดียวแคบ ดาวมากกว้าง ลำกล้องที่ดี ม่านกระสุนเมื่อยิงไปแล้ว ต้องหนาแน่นในวงกลม 30 นิ้ว และที่สำคัญก็ต้องมีช่องไฟของเม็ดกระสุนได้ระเบียบ ถี่ ห่างต้องเท่ากัน  ระยะการยิงต้องแล้วแต่โชค็  ลำกล้องไม่ดี ม่านกระสุนจะเป็นรูปวงรีบ้าง เม็ดกระสุนจะไปกระจุกเป็นจุดๆ ไม่สมำเสมอ
โชค็ที่ดีต้องปรับด้วยมือ คือยิงแล้วม่านกระสุนเบี้ยว ก็ใช้ แปรงสักหลาดชุบกากเพชร ขัดแต่งภายในลำกล้องส่วนที่เป็นโชค็ จนได้ม่านกระสุนที่ต้องการ

เมื่อกระสุนวิ่งมาถึงส่วนปลายก็จะพบกับโชค็ ส่วนนี้จะเป็นตัวบังคับให้กระสุนแคบหรือกว้าง ก็อันนี้ที่สำคัญสำหรับเราว่าจะเอาปืนไปยิงอะไร ยิงใกล้หรือไกล ถ้าใกล้ก็ใช้โชค็กว้าง ยิงไกลก็แคบ มี หลายความหมายที่ใช้เรียกกัน เป็นอักษรก็ s\k , Cylinder,  Improved Cylinder , Modified , Improved Modified , Full Choke ใช้ เลข ก็ 2,4,6,8,10 ถ้าใช้ดาวกลับกับ ๐๐๐๐๐,๐๐๐๐,๐๐๐,๐๐,๐ ดาวเดียวแคบ ดาวมากกว้าง ลำกล้องที่ดี ม่านกระสุนเมื่อยิงไปแล้ว ต้องหนาแน่นในวงกลม 30 นิ้ว และที่สำคัญก็ต้องมีช่องไฟของเม็ดกระสุนได้ระเบียบ ถี่ ห่างต้องเท่ากัน  ระยะการยิงต้องแล้วแต่โชค็  ลำกล้องไม่ดี ม่านกระสุนจะเป็นรูปวงรีบ้าง เม็ดกระสุนจะไปกระจุกเป็นจุดๆ ไม่สมำเสมอ
โชค็ที่ดีต้องปรับด้วยมือ คือยิงแล้วม่านกระสุนเบี้ยว ก็ใช้ แปรงสักหลาดชุบกากเพชร ขัดแต่งภายในลำกล้องส่วนที่เป็นโชค็ จนได้ม่านกระสุนที่ต้องการ
มีอีกอย่างหนึ่งเมือพบปืนที่ถูกใจสวยปิ้งโดนใจเลย ทั้งรูปทรงทั้งไม้ทำพานท้าย ถ้าไม่ได้ซื้อ เอาไปกอดนอนแทนเมีย ต้องตายแน่ๆ (คุณ ผู้หญิงก็แทนสามี) โปรดระงับใจไว้ก่อน ต้องนึกก่อนว่าจะเอาไปทำอะไร ยกเว้นท่านที่กูรวยสะอย่างจะซื้อมีปัญหาไม๋ ก็ไม่ว่ากัน เอาว่า คนที่ต้องขอเงินคนอื่นมาซื้อก็แล้วกัน ทั้งพ่อ แม่ สามี ภรรยา ต้องเอาปืนนั้นมาประทับก่อนว่าเข้ากัยเราไหม พานท้าย Skeet Trap Sporting Field ต้องแยกให้ออก อย่าชอบจนยอมฝืนตัวเองให้เข้ากับปืน หรือ ฝืนปืนให้เข้ากับตัวเรา คือประทับแล้วรู้สึกเป็นธรรมชาติ เหวียงซ้ายหรือขวา สูง ต่ำ เป็นไปตามใจเรา ถ้ายาวไปสักนิด ยังแก้ไขได้ในร้านทำด้ามปืนเมืองไทย นอกนั้นแก้ไขไม่ได้ ในเมืองไทย บางทีก็มีคนพอทำได้แต่ไม่ชอบทำ เมือประทับปืนได้ไม่ขัดขืนเหมือนใส่เสื้อสูท ที่สั่งตัดแล้ว เขากับตัวเรา จากนั้นก็จับปืนแก้ผ้า เพื่อดูอะไร
แก้ผ้า คือ ถอดลำกล้องออกดูที่โคนลำกล้องแถวๆใต้รังเพลิง เขาจะบอกหมดล่อนจ้อนเลยว่า ปืน ขนาดอไร 12 20 28 410 ความยาวของกระสุน 65 หรือ 70 หรือ 75 มม ปืนรุนใหม่ไม่มีปัญหาเรื่องดินปืน ปืนเก่าต้องดูว่าใช้ดินดำหรือ ควันน้อย  ขนาด ของโชค็ ก็เช่น ถ้าเป็นปืน SKEET  นอกจากพานท้ายที่ต่ำกว่าปืนกว่าปืนทั่วไปแล้ว ที่ลำกล้องต้องตี S\K,S\K ทั้ง 2 ลำกล้อง ปืน Trap พานท้ายจะสูงกว่าปืนทั่วไปที่ลำกล้องจะตี ๐๐/๐ หรือ 8/10 หรือ Im MOD \ FULL จากนั้นก็บอกรูก้วางหรือรูแคบ อย่าคิดมาก คือรูลำกล้อง คงจะประมาณ 18.4มม ต่อไปก็จะบอกน้ำขนักลำกล้อง 1.56 หรือ 1.65 KG ปืนทีโชค็นอกเหนือจากนี้แล้วก็เป็นปืนยิงนก ใกล้หรือ ไกล แล้วแต่เขาจะเขียนไว้ ไม่ใช่ลำกล้องยาวยิงไกล ลำกล้องสั้นยิงใกล้ ปืนบางกระบอก ลำกล้องยาวมาก แต่โชค็กว้างมากหรือถูกตัดไป ก็ยิงได้ใกล้ๆ บางกระบอก ลำกล้องยาวแค่ 25 นิ้วแต่เป็น Full Choke ก็มี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 27, 2006, 11:18:28 AM โดย kat » บันทึกการเข้า

เอาชนะ อุปสรรคทั้งปวง ด้วยความอุตสาหะ
kat
Full Member
***

คะแนน 38
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 355


« ตอบ #759 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2006, 01:56:00 PM »

เรียนสอบถามท่าน FABBRI ครับ..
..ปืนลูกซองที่ใช้ในการแข่งขันปกติจะทำขนาดรังเพลิงเท่าไหร่ครับ..2 3/4 หรือ 3"  ?
..ในกรณีที่นำกระสุนทีมีขนาดสั้นกว่ามายิงในปืนที่มีขนาดยาวกว่า จะมีปัญหาคอรังเพลิงกร่อนหรือไม่ครับ..
ปืนที่ใช้ในการแข่งขัน เกือบ100% ทำขนาด 2 3/4นิ้ว หรือ 70 มม เพราะด้วยการกำหนด กติกาในการแข่งขัน เม็ดกระสุน ที่บรรจุ ต้องไม่เกิน 24 กรัม
  ในกรณีนำกระสุนที่สั้นไปยิงในรังเพลิงที่ยาวกว่า ไม่มีปัญหาเรื่องกร่อน เพราะกว่าปืนจะกร่อน กระเป๋าตังค์ พังก่อน แต่ที่มีปัญหาก็ม่านกระสุนจะไม่ดีเท่าที่ควร

ou Boy จะให้เล่าเรื่องไม้หรือ มันยาวนะ--------------------------------------------------------------------------------
เอาสั้นๆก็แล้วกันนะ พานท้ายไม้ที่ดี และ ที่แพง ก็ ต้องทำจากไม้ วอลนัท [Walnut] มีไม้อื่นทีดี ก็มี เช่นไม้ maple wood beech wood  แต่พานท้ายปืนที่ดีทีสุด กลับทำด้วยวัสดุที่ถูกที่สุด คือ  fibres ที่ปืนในอเมริกาใช้กัน แต่สวยเป็นจรกาเลย ที่ดีเพราะหล่อได้ขนาดที่ฟิตกับปืนที่สุด และควบคุมเกรนของไฟเบอร์ ให้เป็นไปตามที่เราต้องการ จึงฃ่วยกระจายแรงถีบของปืนได้ดีที่สุด
 ถ้าเราเห็นไม้มีลายสวยๆ เป็นลายก้อนหอย ลายเสือ สีก็สวย อย่านึกว่าเป็นไม้ดี (ปืนถูกที่มีลายสวยๆ ยกตัวอย่างก็ได้CZ ลองเอากระดาษทรายขัดออกซิ จะเป็นไม้สีเหลืองๆ ไม้ฉำฉายังมีลายมากกว่า เพราะ ใช้สีเขียนแล้วทำสีน้ำตาลทับ) เพราะ มีลายสวยแต่เสี้ยนไม้ไม่เป็นระเบียบแทนที่ปืนจะถีบมาตรงๆกลับ ถีบไม่เป็นที่เป็นทางก็เลยมีอาการปืนตบบ้าง ยิงแล้วไม่รู้ปืนสบัดลำกล้องไปทางใด ยิงนัดทีสองก็ช้าเพราะปืนเบนไปทางอื่น ไม้ที่ดีต้องมีเกรนที่ตรงและลายสวย ที่แพงที่สุดก็ต้องไม้ทั้งสองด้านต้องเกือบเหมืนกัน ถ้าเหมือนกันเลย ก็คนทำเขียนกับมือเองแล้ว จะเอาลายอะไรบอกมาจัดให้ไม่แพง
 ไม้วอลนัทที่เอามาใช้ ต้องอยู่ส่วนโคนต้นหรือใต้ดิน อายูกว่า50ปีขึ้นไป ต่อไปนี้จะเล่าแต่พานท้ายที่ทำจากไม้วอลนัทเท่านั้น ไม้ที่แพงที่สุด คือไม้จากอังกฤษ ทั้งๆที่ลายเป็นเส้นๆสีดำเท่านั้น ที่แพงเพราะ เป็นไม้ที่ทำพานท้าย ไรเฟิลและไรเฟิลแฝด ที่แพงมากๆ เป็นไม้ที่ทั้งเหนียวแน่น น้ำหนักดี(หมายถึงไม่หนักไม่เบาเกินไป) และสำคัญที่สุด ก็ เกรนไม้หรือเสี้ยนไม้เป็นแนวมีระเบียบ ที่เกิดจากธรรมชาติ ช่วยลดและกระจายแรงถีนของปืนได้ดี ทนทานไม้บิดเบี้ยว หักงอยากมาก แกะลายกันลื่อนละเอียดที่สุดก็ได้  แต่น่าเสียดาย อังกฤษออกกฎหมายห้ามตัดไม้เมื่อหลายสิบปีก่อน ปัจจุบับถ้าจะหาไม้ของอังกฤษมาทำพานท้ายมีวิธีเดียว และยังทำกันอยู่คือ เลือกซื้อบ้านเก่าที่ใช้ไม้พวกนี้ทำ แล้วรื้อไม้มาทำพานท้ายได้ไม่กี่อัน นี่แหละเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ปืนไรเฟิลแฝดอังกฤษแพงนักหนา ก็มีบ้างที่คนบ้าเอามาทำปืนลูกซองแฝด คนซ่อมปืนที่H&H ยังว่าเอา ยูบ้าหรือเปล่า ต่อไปเป็นไม้จากประเทศอื่นๆ

ที่ต้องเขียนหลายๆตอนก็เพราะ อายุมากพิมพ์ก็ต้องจิ้มทีละตัว กดผิดกดถูกพิมพ์ไปต้องมากแล้วดันไปกดลบ เลยหายหมด เลยต้องพิมพ์ไปส่งไป กันลบ อย่าถือษารำคาญ โดยเฉพาะ ท่าน โชกุนกับท่าน ลูกซองสั้น
   ไม้ที่ทำพานท้ายที่ดีต่อมาเป็นลำดับดังต่อไปนี้ French  Turkey USSR Iran China และ   California  ทำไมไม้ของอเมริกาไม่ดีทั้งๆที่สีก็สวย ลายก็ดี คือเป็นไม้ที่ปลูกใหม่ ดินชุ่มน้ำเนื้อนิ่มไป  ถ้าพูดภาษาไวนย์ ก็ต้องบอกเป็นโลกใหม่ เหมือนไม้ไทย พม่า มาเล อินโด ทำนองนี้
  เมื่อไม้จากทุกประเทศที่ตัดออกจากป่ามา ก็จะนำมากองรวมเป็นกองๆ มากน้อยแล้วแต่คนขาย จากนั้นก็จะมีการประมูลผู้ที่ดูไม้จะต้องเก่งมาก เพราะเขาไม่ได้ผ่าไม้ให้เราดูข้างใน ว่าไม้ท่อนนี้ เกรนไม้ดีไหม มีลายมากน้อย มีผุใส้ใน มีอีกหลายอย่างที่ทำให้ประมูลมาแล้วพอผ่าออกมาก็ต้อง เอาไปทำปืนถูกๆหรือทำฟืนไปเลยด้วยความเจ็บใจ ถ้าโชคดี ได้ไม้ที่ดีสัก 20-30% ก็เก่งแล้ว
เมื่อได้ไม้มาแล้วก็จะเอามาผ่าให้เป็นแผ่น หนาตามที่ต้องการแล้ว ก็นำมาวางแล้วใช้ ง่ามเหล็กเหมือน เหล็กคีบถ่าน ยาวๆ ตรงปลายจะมี ชอ็ค ติดไว้ทั้งสองด้าน แล้วนำไปวงตรงรอยตำหนิทีพบ เมื่อทำเสร็จด้านหนึ่ง ก็กลับข้างทำอีกด้านหนึ่ง ที่ทำเช่นนี้เพื่อหาตำหนิที่ไม้ทั้งสองด้าน ไม่ใช่ดูด้านเดียวว่าสวยพอผลิกไปอีกด้าน อ้าวมีตำหนิอีก ก็เสียเวลา เมื่อได้พื้นที่ไม้ทีไม่มีตำหนิแล้วก็นำแบบที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม คางหมู มาทาบ ดูทั้งเกรนและลาย ที่เหมาะสมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วก็ตัดไม้แผ่นนั้นออกมาเป็นชิ้นๆ
ก็ได้ไม้รูปสี่เหลี่ยมคางหมู คือ ตรงปลายพานท้ายจะกว้างกว่า ทางคอปืน จากนั้นก็เอาน้ำหรือ น้ำมันมาลองเช็ดดูนิดเดียว นิดเดียวจริงๆ แล้วจะเล่าให้อ่านที่หลัง ให้ลายเด่นขึ้นมา แล้วก็คัด ไม้ที่ดีทีสุดสวยที่สุดแพงที่สุด และรองๆลงมา ส่งขายตามโรงงานปืนหรือร้านทำพานท้ายที่ต้องการ ราคา ถูกแพงเท่าไร ก็ว่ากันไป ในแต่ละปีไม้จะแพงขึ้นไปเรื่อยๆ 
  เมื่อช่างได้ไม้มาแล้วก็นำไปหลาวเลยหรือ ง่ายจัง ยังๆ ไม้พวกนี้อีกหลายปีกว่าจะทำพานท้ายได้ และ ราคาแพงจากวันที่ซื้อมาอีกกว่าเท่าตัว พบกันกระทู้หน้า 
 
 
 

 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 27, 2006, 11:10:05 AM โดย kat » บันทึกการเข้า

เอาชนะ อุปสรรคทั้งปวง ด้วยความอุตสาหะ
kat
Full Member
***

คะแนน 38
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 355


« ตอบ #760 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2006, 02:09:46 PM »

เมื่อ เราได้ไม้จากโรงเลื่อยแล้ว ลายสวยมากๆ เสี้ยนดี เป็นแนวตรง สีน้ำผึ้งป่าตัดกันสีดำ มีเหลือบเงา น้ำหนักดีมาก ก็รีบวิ่งไปหาช่างทำพานท้าย ที่โรงงาน Perazzi ใช้เครื่องทำ ประมาณ80% อีก20% แต่งด้วยมือ หรือ ไปหาช่าง ในซอยเล็กๆ เป็นโรงรถมืดๆ แต่หลาวด้วยมือ 100% ช่างทั้ง 2 โรงงาน จะหยิมไม้มาดูแล้วเคาะ แล้วจะบอกว่า ช้าก่อนโยม กลับไปนั่งทำสมาธิสัก2-3 ปีแล้วกลับมาคุยกันใหม่ เพราะไม่ที่เอามานั้นยังไม่แห้ง เคาะแล้วมีเสียงไม่กังวาล ทดลองเอาสมุดโทรศัพย์ (พวกอเมริกันนึกอะไรไม่ออกก็พิ่ง ทั้งหาเบอร์โทยทั้งทดสอบปืน) ที่แห้ง กับ ชื้น เคาะดูจะรู้ได้ เราก็ต้องเดินคอตกกลับบ้าน
  ไม้ที่ได้มายังสด ถึงแม้นบางโรงงานจะอบแห้งมาแล้วก็ต้องทิ้งไว้ มี2 กรณี คือทิ้งให้แห้งกับทิ้งให้ความแห้งคืนตัว ไม้ที่ไม่ได้อบ เมื่อซื้อมาก็ เอามาชั่ง จดน้ำหนักไว้ จากนั้นก็วางตั้งไว้ เหมือนในรูป ของท่าน ชลทิศ ให้อากาศพัดผ่านสดวก บางคนก็เอาไปไว้ใต้หลัคา จะได้เร็วดี แต่ห้ามตากแดด ทุกปีก็จะเอามาชั่ง ว่าน้ำหนักลดไปเท่าไร และต้องพลิกกลับด้านด้วย เอามือลูบเบาๆ แหมทำอย่างกับเก็นไวนย์ แน่ะ ใช่เลยมีทั้งถูกและแพงถ้าเก็บไม่ดี นี่เป็นคำตอบว่าเมื่อได้ไม้มาแล้วทำไมห้ามทาน้ำมัน หรือใช้น้ำ ลูบเบาเพื่อดูลาย เพราะถ้าทาน้ำมัน ไม้จะแห้งช้าหรือไม่แห้ง รอจนไม้แห้ง2-3ปีแล้ว น.น. ไม่เปลี่ยน จึงวิ่งกลับไปหาช่างได้ ส่วนไม้ที่อบมาถึงแม้นจะแห้ง บางโรงงานทำให้แห้งแค่70-80% แล้วมาผึ่งต่อไม่นาน บางโรงงานอบมากไป ก็ต้องมาผึ่งให้ความชื้นคืนตัว ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ที่สำคัญที่สุด คือ น้ำหนักต้องไม่เปลี่ยน  ต่อไปก็หาช่างหลาวพานท้าย จะไปหาที่ไหนละ ติดตามต่อไป
OuBoy จะให้เล่าต่อไหม หรือ จะคุยเรื่อง MX8

--------------------------------------------------------------------------------
ท่านที่เข้ามาอ่าน กรุณาให้ความเห็น หรือ ถามในสิ่งที่ท่านอยากรู้ด้วนครับ นั่งเล่าคนเดียวบางทีก็ไม่รู้ จะเล่าอะไร หรือเล่าผิดเล่าถูกหรือเปล่า จะได้ช่วยกันให้คนมาศึกษาเรื่องปืนลูกซองกันมากๆ เพราะปืนลูกซองยังไงก็ไม่มีทางเหมือนกัน ตัวเหล็กอาจทำได้เหมือน100% แต่ไม้ทำได้แค่น.น. เท่ากันแต่ลายไม่มีทาง ถ้าเหมือนกันเปียบเลยก็ คนทำแล้ว ไม่ใช่ธรรมชาติทำ ปืนสั้นกี่ร้อยกีพันกระบอกวางลงไปก็เหมือนกันหมด ในรุ่นเดียวกัน หลับตา ก็ไม่รู้แล้วว่ากระบอกไหน หมายถึงปืนที่ทำเสร็จจากโรงงาน แต่ลูกซองถึงแม้ทำมาพร้อมกันหลับตาหยิบก็จะรู้ เพราะนนจะไม่เท่ากัน ถ้าเป็น Pair Guns หลับตาหยิบจะไม่รู้ว่าเป็นกระบอก 1 หรือ 2 แต่แยกออก เพราะไม้ไม่เหมือนกัน  เรามาเล่นลูกซองกันเถิด  มีคุณค่ากว่ามาก ให้ความรู้สึกที่ดีกว่า ใช้ความสามารถมากกว่า
  เป็นธรรมชาติของคนชอบเล่นปืน ปืนกระบอกแรกที่อยากซื้อถ้าไม่มีอุปสรรคใดๆ ก็ต้องการปืนสั้นที่มีอนุภาพที่สุด ทั้งขนาด และ บรรจุกระสุนให้ไดมากๆ จะได้ยิงคู่ต่อสู้ให้คว่ำไปเลย 
  ต่อมาก็จะเป็นไรเฟิลขนาดหนักที่สุดที่ยิงได้ ถ้าเป็นสมัยก่อน ช้างวิ่งเข้ามาจะยิงให้คว่ำแทบเท้าเลย
  ปืนลูกซองจะเป็นสิ่งสุดท่ายที่คิดอยากได้ เพราะเป็นปืนชาวบ้าน เอาเปรียบมากไป แต่เมื่อท่านเล่นปืนทั้ง 2 อย่างจนอิ่มตัวแล้ว ท่านก็จะหันมาศึกษาปืนลูกซอง แล้วท่านก็จะนึกว่า น่าจะเล่นเสียนานแล้ว
   หาปืนดีๆสักกระบอก ดีกว่ามีปืน ตลาด หลายกระบอก
เช่น ท่านมีปืน 9 มม ลูกดก หลายกระบอก ก็ธรรมดา แต่ถ้าท่านมี 9 มมลูกน้อยเช่น SIG 210 กระบอกเดียว ผมว่า ทุกคนต้องสนใจ SIG 210 มากกว่าปืนลูกดกหลายกระบอก

--------------------------------------------------------------------------------
เอ้าเริ่มต่อ เดียวคนอ่านจะหมั่นไส้ ยืดยาวเหมือนเพชรพระอุมา ทั้งๆที่ หนังสือต้นฉบับ หนาแค่ไม่กี่นิ้ว แต่เรื่องของผม จากหนังสือหลายเล่ม กับเวลา 20 ปี ลดแลกแจกแถม เหลือไม่กี่ หน้า 
  ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ ท่าน Aot ที่กรุณาเล่าเรือง โช้ค และเล่าได้ดีมาก
  เมื่อได้ไม้ที่ดีดังใจ เป็นไม้ที่รักสุดชีวิต ก็วิ่งไปหาช่าง เอ้จะหาช่างใช้เครื่องทำ หรือใช้มือทำ 100%ดี ไว้ค่อยคิดที่หลัง ต้องหาปืน จะเอาแฝดขนาน หรือแฝดซ้อน เมื่อเลือกปืนแล้ว ก็หา ปรมาจารย์ ที่จะวัดตัวเราว่า สัดส่วนของพานท้าย ขนาดและรูปร่างอย่างไรจึงจะทำให้เรายิงได้ดีที่สุด เท่าที่เคย พบมามี 2-3 แบบ แบบ ที่1 ง่ายมาก ใช้เงินมาก คือ ซื้อพานท้ายมาหลายๆขนาดหลายๆแบบ หรือปรับได้ อันไหนใช้แล้วยิงไม่โดน ก็เอาไปทำฟืน อันที่ใช้ได้ก็ส่งไปให้ช่างหลาว แบบที่เราว่าใช้ได้ แบบ ปรันได้ ก็ปรับมันทั้งปีทั้งชาติ วันนี้ยิงไม่ดีก็โทษพานท้ายต้องปรับใหม่ โมโหทะเลาะกับแฟนมา หงุดหงิดก็ ปรับพานท้าย เคยพบนักยิงปืนชาวอิตาลี่คนหนึ่ง เห็นแกยิงไปชุดหนึ่ง ก็เขามาที่ห้อง เอากระดาษทราย ขัดพานท้าย ออกไปยิงกลับมาก็ เอาขี้เลื่อยพอกใหม่ ทำอยู่อย่างนี้ ก็เลยถามเพื่อนว่าทำไมเขาทำอย่างนี้ เพื่อนบอกว่า เขาทำแบบนี้มา30ปีแล้ว ตอนนี้อายุก็70ปี คงถูอีกไม่นาน มีคนไต้หวัน รวยมาก เป็นเจ้าของธนาคาร ซื้อพานท้าย Perazzi ทีละ10 อัน ทั้งขัดทั้งแต่ง จนหมด แล้วก็สั่งใหม่อีก 10 วันหนึ่งเพื่อน ทำให้ เขา เขาก็เอาไปยิง Trap ชุดแรก ได้ 25 เต็ม ดีใจมาก เมียเขานั่งดูอยู่ด้วย ก็บอกว่าถ้ามือบอนไปแต่งอีก ก็จะห้ามยิงปืน เขาบอกว่าพานท้ายดีมากแต่เวลายิงแล้วมันกระทบฟันเล็กน้อย ไม่เป็นไร วันรุ่งขึ้น ก็มายิงอีก คราวนี้ไม่กระทบแล้ว ท่านทายดูซิว่าเขาแก้ไขอย่างไร คงไม่มีใครนึกถึงแน่ เขาไปหาหมอฟัน กรอฟันออกจะได้ไม่กระทบ เรียกว่าแฟนพันธุ์ แท้จริงๆ
 วิธีที่2 แบบ อิตาลี่  สมมุติ ว่าเราไปสั่งปืน Trap ก็แล้วกันคือ ที่โรงงานปืนจะมีปืน ที่ทำไว้สำหรับให้คนทดลอง [ Try Guns]ที่พานท้ายจะมีที่ปรับมากมาย เขาจะให้เราประทับ แล้วเล็งปืนไปตรงหน้าเขา เมื่อประทับเล็งได้ที่แล้ว เขาจะดูที่ปลายลำกล้อง เล็งมายังลูกตาดำของเรา ถ้าไม่ตรงเขาก็จะปรับพานท้ายจนตรง แล้วเขาปรับอะไรบ้าง
  1 ความยาวของพานท้าย 2 ความสูง ของโหนกส่วนหน้าและต่ำส่วนหลัง Drop at comb  และ    Drop at heel   3 ต่อไปก็ปรับ มุมเอียง(Cast)  4 ปรับองค์ศา ของส้น[ Pitch] 5 ปรับระยะห่าง ของ ด้ามจับ(คอปืน) 
 เมื่อปรับได้ที่แล้ว ก็ให้เรา ยกประทับหลายๆครั้งจน แนวสันปืน [Rib] ตรงกับตาดำเราทุกครั้ง จนเมื่อย บางทีช่างวัดก็โมโหเหมือนกัน เพราะเราประทับไม่อยู่ทีเดิม
   ทำไม พานท้ายปืนจึงทำพิมพ์นิยมไม่ได้ (ก็ใช้ได้ แต่ ใช้ไม่ดี) เพราะ รูปร่างของคนไม่เหมือนกัน สูง ต่ำ อ้วนผอม แขนสั้น ยาว อุ้มมือ เล็กใหญ่  นิ้ว สั้น ยาว บ่าแคบ กว้าง คอสั้น ยาว โหนกแก้ม ตอบ อูม หน้าผาก สูงต่ำ  ตา สั้น ยาว และที่ลำบากที่สุด คือ คนถนัดขวา แต่ ตาซ้ายแข็ง  นิสัยคน ยิงช้า เร็ว
  เมื่อช่างวัดและจดบรรทึกไว้แล้วก็ จะป้อนข้อมูลเข้าเครื่อง เอาไม้ใส่ในเครื่อง กดปุ่ม ประมาณ 20-30 นาทีก็จะได้พานท้ายเสร็จออกมา ประมาณ 80% ช่างก็นำมาตบแต่งด้วยมือ ส่วนที่เหลือ ขัดแต่งให้เรียบ ให้เข้ากับโครงปืน  ใส่ยางรอง (ยังไม่แกะลายเม็ดที่ด้าม เพราะ ต้องรอทำสีก่อน) เราก็ ขอเขา ออกไปยิงจริงๆ กับกระสุน และเป้าจริง ช่างที่ดีก็จะดูเรายิง แล้วก็นำมาปรับแต่งอีก จนพอใจ แล้วจึงส่งให้ช้างทำสี ทาน้ำมัน หรือ พ่นแล็กเกอร์ เป็นอันจบ ต่อไป เราไปดู ว่าที่ H&H เขาทำอย่างไร   
บันทึกการเข้า

เอาชนะ อุปสรรคทั้งปวง ด้วยความอุตสาหะ
kat
Full Member
***

คะแนน 38
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 355


« ตอบ #761 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2006, 02:15:31 PM »

เมื่อ ปี 1986 บิน ไปถึงสนามบินที่ London ก็นั่ง แท็กซี่ ไป ที่  33 Bruton Street อันเป็นที่ตั้งร้าน H&H [HOLLAND&HOLLAND]  แต่ตัวแบบตี๋ไทยแลนด์ ชุดไปเมืองนอก กับ ชุด เข้าป่าชุดเดียวกัน (ส่วนมากคนที่ไปร้านนี้จะแต่งตัวเรียบร้อยแบบอังกฤษ เปียบ มีคนเดินตามล้อมหน้าหอ้มหลัง) และเมื่อ สมัยนั้น ร้านเขาก็เก่าๆมืดๆทึมๆ ห้องเดียวเล็กมาก เพราะ หลังสงครามโลก ทุกอย่างเจ้งหมด ร้าน Purdey ก็มีสภาพไม่ต่างกันเท่าไร ปืนราคาแพงขนาดนั้นใครจะซื้อ แต่ไม่นานหลังจากปี 1986นั้น ร้านกลายเป็นสองห้องหรูหราฟู่ฟ่ามาก ที่เป็นเช่นนั้น เพราะ บ. น้ำหอม ชแนล เข้ามาซื้อ แล้วลงทุนปรับปรุงใหม่หมด แต่เน้นเครื่องแต่งกาย ชุดเข้าป่า ยิงนก ล่าสัตว์ เล่าซะยาวเลย ไปถึงไหนแล้ว ออ้ ถึงหน้าร้านเก่าๆ ตูมาผิดร้านหรือเปล่า พอเข้าไป โอ้โฮ พนักงานแต่งตัวดีกว่าเรามากเลย เมื่อ เจรจากันจนเมื่อยมือแล้ว ก็เริ่ม สั่งตัดพานท้าย (หลายๆท่านชอบใช้คำนี้) ปืนที่เอาไปซ่อม อย่าเข้าใจผิด ไม่ได้ไปสั่งใหม่หรอก เอาปืนเก่าไปซ่อมและทำพานท้ายใหม่ แถมปืนไม่ใช่ H&H ด้วยเป็นยี่ห้ออื่น ที่ไปที่นั่น เพียงต้องการรู้ว่า เขาวัดพานท้ายอย่างไร ได้ยินได้ฟังมามันเว้อไปหรือเปล่าต้องไปลอง
       มันจะเป็นห้อง กว้างๆ ให้เราถือปืน (ปืนที่ใช้วัดพานท้าย TRY guns ก็เหมือนกันทั่วโลก) อยู่มุมห้องฝั่งนี้ แล้วช่างไปอยู่อีกมุมห้องหนึ่ง พอเขาตบมือ ก็ให้ ประทับเล็งไปยัง หน้าเขา 2-3 ครั้ง แล้วเขาก็จะมาปรับพานท้าย ทำอยู่อย่างนี้ จนพอใจทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็น่าจะใช้ได้ เขาก็บอกยังก่อนน้อง รอสักครู่ เขาไปปิดม่านปิดไฟ ให้ห้องมืด แล้วก็เดินไปตามจุดต่างๆ ตบมือ แล้วให้เราเล็งไปยังเขาเหมือน เวลาเปิดไฟสว่าง พอเขาตบมือเราก็เล็งไปตามเสียง แล้วประทับนิ่งๆไว้เขาก็จะเปิดไฟดูว่าประทับตรงไหม เขาจะไม่อยู่กับที่ เขาจะเดินเป็นครึ่งวงกลม บางที่ผู้ช่วยเขาก็ตบ ด้วย ก็ต้องประทับแล้ววาดปืนไปอีกจุด ทำเช่นนี้จนได้ที่ ก็จะเอาปืนนั้น มาวัดแล้วส่งให้ช่างไปทำต่อ พานท้ายที่นี่ทำ เป็นพานท้ายลูกซองแฝด สำหรับยิงนก
     ส่วนเรื่องวิธีทำพานท้ายไม่ขอกล่าวถึง เพราะทำไม่เป็น และอารมณ์ไม่เย็นพอที่นั่งถาก นั่งแซะ ขุด ก็ขอจบแค่นี้ก่อน เดียวกดคีผิด ดันลบไปอีก ถ้าพรุ่งนี้ Web ยังไม่ ถูกลบ แล้วมีเวลา ก็จะมาเล่าเรื่อง พานท้าย กับปืน Trap  Skeet และ ยิงนก  มันเป็นอย่างไรจึง ต้องเสียเงินซื้อ หลายกระบอก มันใช้ได้ถ้าจะใช้ แต่ยิงดีหรือไม่นั่นตัวใครตัวมัน
ท่านที่มี ปืนลูกซอง จงภูมิใจเถิด แม้นจะมีกระบอกเดียว และเป็น ปืนอีเดี่ยว ที่ราคา สมัยก่อน ไม่ถึง สอง พันบาท แถมซื้อ 10 กระบอก แถม1 กระบอก หรือปืนแฝดที่ราคาไม่แพงนัก (ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าเท่าไรเรียกว่าถูก เท่าไรที่บอกว่าแพง) แต่ท่านได้ รู้จักปืนของท่านอย่างถ่องแท้ ใช้ได้อย่างแคร่วข้อง สั่งให้ม่านกระสุนไป ณ จุดใดก็ได้ตามที่ท่านต้องการ ดังใจ ย่อมดีกว่าปืนราคาแพง แล้วไม่ได้ใช้เก็บอยู่ในกระเป๋า หรือในตู้ ที่ไม่ได้ใช้ เมื่อใดที่ท่านมีปืนลูกซอง เมื่อนั้นท่านได้ถึงแล้วซึ่งการ เป็นนักเล่นปืน อย่างแท้จริง
    เรามาว่ากันต่อถึงไหนแล้ว พานท้ายปืนจะมีแบบถอดได้ โดยสะดวกเพียงแค่ ไขควงตัวยาวๆตัวเดียว กับ ที่ติดแน่นกับปืน เวลาถอดโคลงปืนกับไม้ต้องใช้ช่างที่ชำนาญ และ เครื่องมือที่ดี ส่วนมากจะเป็นปืนยิงนก หรือไรเฟิลแฝดขนาดใหญ่ ปืนแข่งมีบ้าง แต่ใกล้จะสูญพันธ์แล้ว เพราะนักกีฬาจะต้องมีพานท้ายหลายอัน คือ เมื่อปืนเสียก็ถอดพานท้ายไปใส่ปืนใหม่ได้เลย หรือ เกิดอ้วนขึ้น หรือ ผอมลง อายุมากขึ้นยิงช้าลง ตาไปทำเรสิกมาก็เปลี่ยน ( ใช่ไหมท่านลูกซองสั้น ) เหล่านี้เป็นต้น ปืนแข่งขันรุ่นใหม่ๆ จึงต้อง ออกแบบมาให้เปลี่ยนทุกอย่างได้ดังใจ
     แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนถอดง่าย หรือ ถอดยาก  ถ้าพบปืนที่มีรูอยู่กลางส้นปืน ดูรูปประกอบ จากที่ท่านลูกซองสั้นกระณาลงให้ดู  แต่มีบางยี่ห้อ ที่ต้องถอด แผ่นยางรองพานท้ายออกก่อน เช่น Browning  พานท้ายที่ถอดได้ ทำได้ง่ายกว่าที่ถอดไม่ได้และสามารถควบคุมน้ำหนักของพานท้ายได้ด้วย เพราะน้ำหนักมีส่วนทำให้ปืนมีสมดุลที่ดี และ สมดุลนี้สำคัญที่สุดของปืนลูกซอง ส่วนปืนที่ถอดพานท้ายไม่ได้ เราจะพบได้ง่ายถ้าปืนนั้นเป็นพานท้ายล้วนๆไม่มียางรอง ไม่มี รูที่เจาะไว้ให้แยงไขควง และที่โครงปืนตรงหางปลาหรือหางเหยี่ยว จะมีหัวตะปูควงอยู่อย่างน้อย น่าจะ สองตัว สอดจากโครงส่วนบน ลงมายังโกร่งไกส่วนล่าง เพื่อยึดโครงปืนกับไม้ให้มั่นคง และ ชุดลั่นไกปืนบางแบบต้องอาศัยโครงไม้เป็นส่วนประกอบด้วย พานท้ายที่ถอดไม่ได้ ทำอยากมากสำหรับปืนที่มีสมดุลดี เพราะต้องคำนึงถึงสัดส่วนของผู้ใช้งาน รูปทรงที่สวย และน้ำหนักที่ดี
วันนี้ขอจบแค่นี้ ต้องไปดูบอลแล้ว

พานท้าย ปืนจะมีอยู่ ประมาณ 5 แบบ
1. Pistol grip ก็คือ แบบคอปืนเป็น คล้ายด้ามปืนสั้น มักจะใช้ สำหรับปืน Trap Skeet Sporting
2. Pistol  grip Montecarlo คือ พานท้ายที่มีสันยก ตรงโหนกแก้ม มักจะทำสำหรับพวกที่ก้มหัวไม่เป็น เช่น อเมริกันชน ที่ชอบยืนตัวตรง ไม่ก้มหน้าเหมือนยิงไรเฟิล
3. Semi pistol   คือ มีคอปืนเป็นแบบปืนสั้น แต่ องศา กว้าง กว่า เช่นที่เราพบเห็น ก็ Browning A5
4. English       ก็ที่เราเห็น เป็นคอตรง ส่วนมากจะใช้กับปืนยิงนก สำหรับปืนแฝด ขนาน มีบ้างที่ใช้กับปืน แฝดซ้อน
5. Dove - neck คือ คอปืนจะออ่นช้อยกว่า คอตรง แต่ไม่กระด้าง เหมือน Pistol ไม่เข้าใจทำไม่เขาเรียกคอนกเขา มันน่าจะเรียก คอห่าน เอ้ย คอ หงส์ นะ มันยาวกว่านกเขาตั้งมาก ก็ใช้สำหรับ ยิงนก
   ก็ต้องขอพักเรื่อง พานท้ายไว้ก่อน เพราะ ทำเรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่ทำสี ทำไมต้องรอ ใจร้อน แล้วจะเล่าต่อ
  ที่รอก็เพราะ ว่ายังไม่ได้ทำกระโจมมือ อย่าคิดเป็นอย่างอื่น ต้องหาไม้ให้เข้ากับพานท้ายด้วย ถ้าเป็นไม้ชิ้นเดียวกันก็จะดี
  กระโจมมือ มี ที่เห็นทั่วไป แบบแฝดขนานก็มัแบบเดียวที่เราเห็นประจำ เป็นแผ่นไม้บางๆ มีบ้างที่ทำใหญ่มากจนหุ้มขึ้นมาเกือบครึ่งลำกล้อง แต่น้อยมาก และไม่สวย
   กระโจมมือ ของแฝดซ้อน จะมี ประมาณ 3 แบบ
1. Schnable Forearms หรือ   Fore-End จะเป็น เล็ก ๆบางๆ ตรงปลาย จะงอนๆ มักใช้กับปืน ยิงสัตว์ ทั้งเล็ก ใหญ่
2. Beavertai  คือ จะเป็นแท่ง ใหญ่ กลม เข้าอุ้มมือ ส่วนบนจะเป็นรางเพื่อให้ หัวแม่มือ กับนิ้วทั้ง4 กำได้กระชับ  จะเห็นได้กับปืน ยิงเป้าบินทั่วไปl
3. Tulip จะเป็น แท่ง กลม ๆเหมือน ดอกทิวลิป ไม่มีรางส่วนบน
    เมื่อได้ ทั้ง พานท้าย และ กระโจมมือ ก็นำมาประกอบกับ ปืน เพื่อ หา สมดุล ที่พอดี ก็ต้องขัด ไม้บางส่วนออก ให้พอดี เมื่อได้แล้วจึง ส่งไปทำสี ครับ
     ตอนต่อไปจะเล่า เรื่อง ทำสี และ สมดุล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 27, 2006, 11:48:02 AM โดย kat » บันทึกการเข้า

เอาชนะ อุปสรรคทั้งปวง ด้วยความอุตสาหะ
kat
Full Member
***

คะแนน 38
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 355


« ตอบ #762 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2006, 02:26:54 PM »

ขอขอบคุณพ่อ แม่ พี่น้อง ที่ให้ความสนใจ ในการหาเสียงของ กระผม อ้าวผิด เวทีแล้ว
   พวกน้องๆเขา ลงรูปต่างๆ มาให้ดูหลายแบบก็ดีแล้วครับ จะได้เล่าไป ดูรูป ก็มีความเข้าใจ มากขึ้น
   ลืมบอกไปอีกอย่าง คนแก่ก็อย่างนี้ ขี้หลงขี้ลืม ปืนที่ใช้พานท้าย คอ ตรง[ English stock] มักจะเป็นปืน2ไก เพราะสามารถเลื่อนนิ้วจากไกหน้ามาไกหลัง ได้สะดวก ส่วนพานท้าย คอแบบปืนสั้น[Pistol  Grip Stock] มักจะใช้ไกเดียว และใช้ยิงกีฬายิงเป้าบิน ยิง เพราะ ต้องกำปืนให้แน่น เพื่อประทับปืนให้เร็วและมั่นคง สำหรับSkeet ส่วน Trap ก็ต้องประทับให้แน่น จึงไม่สามารถขยับมือได้ 
        เรามาต่อ จาก กระทู้ที่ 303 น่าจะใช่นะ เมื่อเราทำ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็เอาปืนไปหาจุดสมดุล ที่ต้องทำเช่นนั้น เพราะ ปืนลูกซองไม่ได้เล็ง แต่ใช้การวางลำหรือวางแนว จึงไม่ต้องใช้ศูนย์ ที่เราเห็นจุดข้างหน้า เป็นตุ่มนั้น เป็นแค่จุดสังเกตุเท่านั้น เวลายิงก็ไม่เห็น บางคนหาศูนย์หน้า (เขาเรียกกัน) ใหญ่มาก เวลายิงก็จะบังนก ปืนสั้นหรือไรเฟิล นั้นมี เล็งศูนย์หน้าอยู่กลางศูนย์หลัง แล้วให้ศูนย์หน้าตรงกับเป้า หรือใช่ศูนย์ กล้อง แต่ปืนลูกซอง ศูนย์ หน้าและหลัง อยู่ที่พานท้าย  Drop at comb and heel  เป็นตัวกำหนดทำให้ปืนยิงสูง หรือต่ำ ส่วน Cast เป็น ตัวกำหนด ให้ปืนยิงซ้ายหรือขวา Pich เป็นตัวกำหนดให้ปืนอยู่ในระนาบ บางท่านได้พานท้าย จากโรงงานแล้ว ไปตัดมันออก ให้พอดีความยาว ที่เราต้องการ นั่นเป็นความเข้าใจของเรา แต่เมื่อท่านตัดไปแล้ว สัดส่วนทุกอย่างก็จะเสียหมดไปด้วย  เหมือนท่านตะไบศูนย์หลังตายตัว ฃอง ปืนสั้น เพื่อปรับศูนย์ ฉันใดฉันนั้น
  การยิงปืนลูกซอง ก็เหมือนท่าน ยกมือแล้วชี้นิ้วไปจุดต่างๆ ทำไมท่านถึงไม่ต้องยกนิ้วมาเล็ง หรือเวลา ฉีดน้ำรดต้นไม้ ก็ไม่ต้องเล็ง เพียงใช้สายตาเท่านั้น  ปืนลูกซองที่ใช้พานท้ายถูกต้องกับตัวท่านแล้ว เมื่อท่าประทับ แล้ว ก็ใช้สายตามองสิ่งๆที่ท่านต้องการยิงเท่านั้น ม่านกระสุนก็จะไปตามสายตาท่าน ยกเว้น ปัญหาใหญ่มากสำหรับบางคน ทุกอย่างทำถูกหมดแล้ว แต่ยิงไม่โดน หรือ โดนยากมาก ก็เพราะ สายตาของท่าน ผิดปกติ คือ ถนัดขวา แต่ตาซ้ายแข็งกว่าตาขวา หรือ ถนัดซ้าย แต่ตาขวา ดันแข็งกว่าตาซ้าย แล้วจะรู้ได้อย่างไร ก็หาจุดบนผนัง แล้วยกมือข้างที่ถนัดแล้วนิ้วชี้ไปยังจุดนั้นโดยลืมตาทั้งสองข้าง เมื่อ ตรงแล้วก็หลับตา ข้างที่ตรงข้าม กับข้างที่ถนัด ถ้านิ้วยังอยู่ที่จุดเดิมก็เป็นอันว่าตาท่านถูกต้อง (ถ้ายิงผิดก็ตัวเราแล้วยิงห่วยเอง)  แต่ถ้าหลับตาข้างที่ถนัดแล้วมันยังอยู่ที่เดิม ก็ตาท่านมีปัญหาแล้ว ก็ต้องทำพานท้ายใหม่ เรื่องใหญ่มาก อย่าไปรู้เลยว่าทำอย่างไร ไม่มีประโยชน์ เอาไว้เขียนหนังสือขายก่อนจะได้เล่าอีกสามหน้า หนังสือจะได้หนาๆ วิธีแก้ก็เพียงใส่แวนตา แล้วเอา เทปใส ปิดส่วนบนของเลนส์ ข้างที่ตรงข้ามกับมือที่เราถนัด ก็จะแก้ได้แล้ว และอย่าได้คิด หลับตาข้างนั้น นอกจากเมื่อยแล้ว ยังทำให้มองเห็นวิวครึ่งเดียว อีกด้วย
 เอาว่าจะคุยเรื่องสมดุล เลยไปไหนก็ไม่รู้ เอาไว้ตอนหน้าค่อยว่ากัน
--------------------------------------------------------------------------------
Rib สำหรับปืนแฝด หลักใหญ่ๆก็มี สอง แบบอย่างที่ท่านบอก แล้วก็มีลูกเล่นแตกออกไปอีก แล้วแต่ละ ผู้ออกแบบ เดี๋ยวจะหาว่าไม่มีกึ๋น เลยต้องให้เพี้ยนกันคนอื่นเล็กน้อย
ส่วนการวัด Comb & Heel นั้นทุก รร ก็จะมี Try Gun อยู่แล้วที่ตนเป็นผู้ออกแบบ ก็เลยไม่มีปัญหา
ลูกซองเป็นการยิงแบบวางแนว จึงต้องอาศัยแนวสันลำกล้องปืน เป็นหลัก จากปลายลำกล้อง กับสันโครงปืน เป็นแนวระดับ ง่ายที่สุดคือ เอาปืนแฝด หงายแล้ว วางลง บนโต๊ะ ก็จะเป็นแนวที่บอก ส่วน Comb&Heel  ก็วัดจากพื้นโต๊ะไปยังพานท้ายปืน ก็จะได้ตัวเลข ที่เราต้องการ
  เรามาว่ากันเรื่องสมดุลต่อ เอาปืนมา แล้วหาเชือก  สั้นยาว แล้วแต่ ยาวหน่อยก็ดี เพราะ ถ้าพบว่าปืนเราสมดุลไม่ดีก็ผูกคอตายได้เลย พูดเล่นน่า เอาเชือกผูกตรงหน้าโก่งไก แล้วยกเชือกให้ปืนลอยอยู่ในอากาศ  แล้วเลื่อนเชือก เดินหน้าถอยหลังจน ปืนแขวนทรงตัวอยูได้บนเชือก เส้นเดียวดังกล่าว จุดนั้นคือจุดสมดุลของปืน และเป็น จุดหมุนด้วย ถ้าจุดสมดุลที่ดีแล้วน่าจะอยู่ห่างจากโกร่งไกไปทางลำกล้อง ไม่เกิน 4 นิ้ว และไม่ต่ำกว่า 2 นิ้ว ถ้ามากกว่านี้ก็ต้องถ่วง หรือไถออก ให้ได้จุดนี้
  แล้วมันมีความสำคัญอะไร จุดนี้ถ้าเราเลื่อยออกเป็น สอง ท่อน ทั้งสองท่อนจะมีน้ำหนักเท่ากัน เมื่อเราถือ ก็จะไม่รู้สึกว่าหนักหัวหรือท้าย เพราะ มือ ขวาจะอยู่ที่คอปืน มือซ้ายอยู่ที่กระโจมือ จุดนี้จะอยู่ที่จุดศูนย์ กลางของมือทั้งสอง เวลาเราประทับปืน มือช้ายก็ไม่ต้องออกแรงยกปืนให้สูงหรือตอยดึงให้ปืนต่ำ  เหวี่ยงช้ายหรือขวาก็คล่องตัว ก็อธิบายเท่านี้ ถ้าสงสัยประการใดก็ถามเข้ามา
  เมื่อได้ปืนที่เรียบร้อยทุกอย่าง ก็นำไป รมดำ แกะลาย  ทำสีพานท้ายด้วย 
  รมดำจะไม่พูดถึง เพราะ ยังไงก็ต้องให้ช่างทำอยู่ดี ทำเองเสียเงินซื้ออุปกรณ์ แล้วยังไม่ได้เรื่อง อีกต่างหาก  การแกะลาย ก็จะเล่าง่ายๆว่ามีกี่แบบ ส่วนทำสีพานท้ายจะเล่ามากหน่อย เพราะ ท่านทำได้ ทั้งของใหม่หรือของเก่าซ่อมใหม่
เรามาเริ่มกันต่อ เดี๋ยว มีบอล ท่านชลทิศชวนดูอีก เลยไม่ได้เล่าให้ฟังอีก
  ว่าจะไม่เล่าแล้วเรื่องรมดำแต่ก็มีบางท่านอยากรู้
   การรมดำปืนมี 3 วิธี หลังจาก ที่เราขัดแต่งทำความสะอาดผิวแล้ว
1. ต้มในน้ำสารเคมี ที่ปัจจุบันร้อยละ 90 ใช้วิธีนี้ คือ หลังจาก ทำความสะอาดผิวแล้ว ก็เอาชิ้นส่วน ไปต้มในสารเคมี ที่อุณหภูมิ 80-100ซํ นาน 20-30 นาที  แล้วนำมาล้าง จากนั้นก็มาต้มน้ำ อีกครั้ง แล้วนำมาล้าง ทำให้แห้ง ทาน้ำมัน อบอีกครั้ง ลืมบอกสูตรน้ำยาอีก  ของอังกฤษ มี เฟอร์ริคฟอสเฟต กับ ฟอสฟอริคแอซิด และน้ำ ของ อเมริกาก็ ฟอสฟอริคแอซิด กับ แมงกานีสไดออ๊กไซด์ กับน้ำ ถ้าจะให้ออกสีน้ำเงิน ก็ต้องสูตรนี้เลย โซเดียมไฮดรอกไซด์ โซเดี่ยมไนเตรต  โซเดียมไนไตรต์  "ตรโซเดียมฟอสเฟต กันน้ำ
2. วิธีเร่งให้เกิดสนิมโดยใช้ความร้อนช่วย หลังจากทำความสะอาดแล้ว ก็ทาน้ำยา แล้วนำไปอบ ที่อุณหภูมิ 40-50 c  30นาที จนเกิดสนิมแดง อ้าไอ้หยา ปืนตูพังแน่ๆ อย่าตกใจ นำไปอบไอน้ำ 40 นาที ก็จะเป็นเป็นสีดำ ยิ้มได้แล้ว ขัดด้วยฝอยขัดหม้อ หรือกระดาษทราย จนผงคาร์บอนออกหมด ก็ทาน้ยาใหม่  3-4 ครั้ง ก็ทาน้ำมันแล้วอบ ก็ใช้ได้ อยากรู้สูตรก็จะบอกให้  คอปเปอร์ซัลเฟต  เฟอร์รัสซัลเฟต  เฟอร์ริคคลอไรด์ กรดเกลือ น้ำ
3.  วิธีโบราณ มากๆ เอาปืนที่ทำความสะอาดแล้ว มาทาน้ำยา ทิ้งไว้ 12 ชม จนเป็นสีแดงที่เราไม่อยากให้ปืนเป็น เอาปืนไปต้มน้ำ จนปืนเป็นสีดำ ก็เอากระดาษทรายขัดผิวที่ไม่ติดกับเหล็ก ออก แล้วทาน้ำยาซ้ำ หลายๆหนจนพอใจ แล้วนำไปทาน้ำมันแล้วอบ แล้วสูตรละ มีมากหลาย เช่นสีน้ำเงินต้องนี่ เฟอร์ริคคลอไรด์ เมอร์คิวริคไนเตรต กรดเกลือ แอลกอฮอล์ และน้ำ หรือสีน้ำตาล ก็ต้องนี่ คอปเปอร์ซัลเฟต  เมอร์คิวริคคลอไรด์ เฟอร์ริคคลอไรด์ กรดดินประสิว แอลกอฮอล์ น้ำ
  แบบที่3 เป็น แบบที่ปืนอังกฤษใช้ทำ ปืนจึงได้แพง ถ้าดูสูตรให้ดี น้ำยาทุกตัวจะเป็นตัวที่เราๆท่านๆกลัวที่สุดที่จะให้ปืนโดนน้ำยาพวกนี้  เพราะ ปืนจะเกิดสนิมทันที แต่คนโบราณเขาใช้เกลือจิ้มเกลือ มื่อเหล็กต้องคู่กับสนิม ก็ทำให้มันเกิดสนิมเสียเลย แต่ แต่ สนิมนั้นต้องควบคุมได้  สรุปง่ายๆ รมดำก็คือสนิมที่ควบคุมได้ แต่สนิมแดงควบคุมไม่ได้ 
  ว่าจะไม่เล่าแล้ว ก็เล่าซะยาวเลย  ตามที่บอกไปจ้างเขาทำง่ายกว่า เพียงแต่ให้รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม

บันทึกการเข้า

เอาชนะ อุปสรรคทั้งปวง ด้วยความอุตสาหะ
kat
Full Member
***

คะแนน 38
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 355


« ตอบ #763 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2006, 02:37:33 PM »

  มาว่าเรื่องไม้ต่อ หลังจากทำปืนจนเสร็จแล้วก็เริ่มทำสีไม้
    ถ้าเป็นพานท้ายเก่าก็ให้ขัดผิวออก ไม่ว่าจะเคลือบอะไรไว้ก็แล้วแต่ ขัดให้ถึงเนื้อไม้จนสะอาดเหมือนทำใหม่
       ทีนี้ทั้งเก่า และใหม่ก็ทำเหมือนกัน คือ ใช้กระดาษทรายหรือฝอยขัดหม้อ ขนาด หยาบประมาณ เบอร์ 100 ไปจน ละเอียดสุด อาจจะ เบอร์ 800หรือ 1200 จนไม้เรียบเนียน สะอาด ก็น่าจะทาน้ำมันหรือเคลือบชักเงาได้   ยังยังครับ ลองเอาผ้าชุบน้ำ แล้วลูบให้ทั่วไม้ ทิ้งไว้ข้ามคืน เมื่อไม้แห้งก็จะพบว่าที่พานท้ายมีเสี้ยนเกิดขึ้นมา เพราะเมื่อเศษไม้เล็กๆโดยน้ำ ก็จะงอตัวขึ้นมา เราก็ต้องขัดใหม่ โดยเริ่มขัดย้อนลอยเสี้ยนขึ้นไป เมื่อเรียบแล้วก็ ลูบด้วยน้ำอีก ทำเช่นนี้จนแน่ใจว่าหมดลอยเสี้ยน จริงๆแล้ว  จึงนำไปเคลือบได้ ถ้าไม้นั้นเป็นสีขาวซีดๆ  เวลาเอาน้ำลูบก็ให้ใสสีย้อมไม้ผสมลงไปด้วย  ก็จะได้สีไม้ที่เราต้องการ
        การเคลือบให้ไม้ทนทานและดูสวยเท่าที่รู้และที่นิยมกันก็
  1.  เคลือบแล็คเกอร์ชักเงา หรือด้าน  พวกนี้จะสวยเงางาม แต่ไม่ค่อย ทนน้ำทนแดด บางครั้งเก็บไว้ในซองปืนนานๆจะเหนียวติดซอง หรือเก็บไว้ในตู้ที่อากาศถ่ายเทไม่สดวก ก็จะเป็นยางเหนียวๆติดมือ  บางทีโดนน้ำก็จะเป็นฝ้า  วิธีทำต้องถามช่างเฟอรนิเจอร์
  2.  แบบโบราณมากๆ ก็ เอาน้ำมัน ลินซิด (น้ำมันจากเมล็ดฝ้าย)  น้ำมันตังอิ้ว (น้ำมันจากไม้ยืนต้นในจีน) และน้ำมันสน เป็นตัวทำให้น้ำมันสองชนิดเข้ากันได้ดี  เมื่ออุ่นให้น้ำมันเข้ากันดีแล้ว ก็นำมาทาบนไม้ โดยใช้แค่ปลายนิ้วแตะน้ำมันเล็กน้อยทาไปด้วยกดไปด้วยจนทั่วบางๆ แล้วทิ้งไว้จนแห้ง ก็นำมาขัดน้ำมันส่วนที่ไม่ซึมเข้าไปในเนื้อไม้ทิ้งไป แล้วก็ทาน้ำมันใหม่ ครั้งแรกๆ น้ำมันจะซึมเข้าไปในเนื้อไม้เร็วมาก แต่หลายครั้งเข้าก็จะแห้งช้าลงเรี่อยๆ เพราะเนื้อไม้อิ่มตัวไม่ยอมรับน้ำมันอีก ขณะที่เราทาน้ำมันไม่ใช่ทาเฉยๆ ต้องออกแรงกดให้น้ำมันฝังตัวลงไปด้วย ท้ายๆก็ต้องใช้ผ้าช่วยขัดดังภาพคำตอบที่372 สุดท้ายก็ใช้ขี้ผึ้งขัดให้เงา และ อุดรูเสี้ยนไม้ที่ตกค้างอยูให้เต็ม เป็นอันจบ การทำแบบนี้ดีคือ จะไม่มีปัญหากับน้ำและแดด ไม่เหนียวติดมือ และซ่อมแซมง่าย
3 แบบนี้กำลังนิยมกันมาก วิธีทำเหมือนกับแบบที่ 2 แต่น้ำมันใช้แบบสำเร็จรูป ของอเมริกา ชื่อ TURE OIL จะเป็นทั้งน้ำมันรักษาเนื้อไม้และชักเงาในตัว แต่ควรระวังเวลาทาต้องใช้น้อยมาก พานท้ายหนึ่งอันใช้ทาครั้งละไม่กี่หยดเท่านั้น ถ้าใจร้อนทามากๆแล้วมันจะไม่แห้งเลย เมื่อทาไปหลายๆชั้นก็ดูเหมือนทาแล็คเกอร์ และเงางาม ยิ่งถูกเหงื่อแล้วขัดก็จะเงามากขึ้น ขัดด้วยมือเปล่า ยิงไปก็ลูบไป
   เมื่อเรียบร้อยแล้วก็นำไปเช็คเกอร์ ลายกันลื่น หยาบหรือละเอียดก็แล้วแต่ ถ้าไม้ที่ดี จะทำได้ละเอียดมาก ถ้าไม้ไม่ดีแล้ว ต้องทำลายหยาบๆ 
 
 
 การแกะลายปืนที่ดีๆ แบบโบราณ เราก็คนโบราณ นั้น มี 4 วิธี แต่ปัจจุบับมีทั้ง กรดกัด เลเซอร์ยิง ป้ำตามแบบแล้ว ให้เด็กหัดแกะตามรอย พวกนี้เราจะพบว่า เป็นปืนโหลที่กี่กระบอกลายก็จะเหมือนกันหมด ถ้าลายที่ทำด้วยมือล้วนๆแล้วถึงแม้นจะเป็นลายเดียวกัน ที่ลอกจากแบบพิมพ์มา ช่างแกะก็คนเดียวกัน ก็จะไม่มีทางหมือน เพราะ อารมณ์ ขณะแกะไม่เหมือนกัน เหมือนเราเขียนหนังสือจะให้เหมือนกันทุกตัวนั้นยากมาก
 แบบที่ 1 ก็คือ Scriber engraving [punta e martello ] คือเมื่อเราวาดลายแล้ว ช่างก็จะเอา เหล็กสกัด แต่เล็กๆนะครับ แล้วเอาฆ้อนเล็กและยาว ตอกสกัดเอาเหล็กส่วนที่ไม่ต้องการออกไป เพื่อให้เกิดลายนูนขึ้นมา ส่วนมากจะเป็นปืนทั่วไปที่มีแกะลาย เช่น Perazzi ลายที่ 124 136 137 เป็นต้น


166agsk.jpg


 แบบที่ 2 ก็คือ Graver engraving [bulino] คนไทยมักจะรู้จักกันว่าแลลาย คือใช้ เหล็กแลลายที่เราเห็นเขารับจ้างแกะชื่อป้ายหน้าอก หรือช่างแลลายกรอบพระ ลายพวกนี้จะเป็นเส้นบางๆ ไม่ลึก แต่เป็น สามมิติ มักจะเป็นพวกรูปสัตว์ หรือรูปคน Perazzi ลายที่834 835 836
166ac0i.jpg


 แบบที่ 3 ก็คือ Chasing [cesellatura] ก็คือการ ตอกลาย โดยการตอก คล้ายกับแบบที่ 1 แต่แบบที่ 1 ขุดเอาเนื้อโลหะออกไป แต่แบบนี้ ใช้ตอกให้โลหะยุบตัวลงไป ในส่วนที่ไม่ต้องการ แล้วโลหะที่ต้องการจะนูนขึ้นมา เหมือนที่ทางเชียงใหม่ ทำพวกเงินหรือดีบุก แต่ปืนนี่เป็นเหล็กและ พื้นที่ไม่กว้าง แถมลายละเอียดมีมาก เป็นการทำที่ยากมากและใช้เทคนิคมาก คนที่ทำได้สวยมีไม่กี่คน ในอิตาลี่

166b14y.jpg

 แบบที่ 4 ก็คือ Inlaying [rimesso] ก็คือการ คร่ำทอง เป็นการฝังทองลงไปในเหล็ก ที่เราเห็นว่ามีแผ่นทองรูปต่างๆบนปืนนั้นไม่ใช่เอาแผ่นทองแปะลงไป ถ้าทำเช่นนั้นยิงไม่กี่ที่ก็หลุดหมด วิธีทำก็คิอส่วนที่เราจะฝังทองลงไป ให้เอาสิ่วตอกลงไปตรงๆ จากนั้นก็ตอกไปทางซ้าย และ ทางขวา ก็จะเกิดรูปสามเหลี่ยมหงาย (ภาษาช่างเรียกเทเปอร์หรือเปล่า ) ในเนื้อเหล็ก ( ถ้านึกไม่ออกก็นั่นเลย ศูนย์ ปืนcolt .45 1911 ตอกศูนย์หลังออก ก็จะเกิดร่องรูป สามเหลี่ยมบนโครงสะไล้ด นั่นแหละใช่เลย ) จากนั้นก็เอาลวดทอง ขนาดเส้นผมวางบน ยอดสามเหลี่ยมแล้วก็เอาฆ้อนตอกเบาๆเนื้อทอง ก็จะลงไปอุดในช่องว่างนั้น ส่วนฐานจะใหญ่กว่าส่วนยอด ทองเลยไม่หลุดออกมา ส่วนจะให้เกิดสี ก็ผสมทอง ให้เป็นสีต่างๆ เช่นสีเขียว ก็เอาทองผสมเงิน ถ้าสีแดงก็เอาทองผสมทองแดง เป็นต้น ดูรูป Perazzi 85 86 87
 การแกะลายก็มีอยู่เท่านี้

166bq5y.jpg



  มีอีกอย่างที่จะบอกก็คือ ปากกาที่เราใช้ทำงานเหล็กนั้น จะมีฟันคมๆถ้าเอาปืนไปวางแล้วใช้ปากกาจับก็จะเกิดลอยได้ เท่าที่พบเห็นมา เขาจะเอาตะกั่วมาหุ้มตรงปากไว้ เวลาเอาปืนไปจับขันให้แน่น ตะกั่วจะนิ่มกว่าเหล็ก ก็จะไม่ทำให้ปืนเสีย และ แน่น
  ถ้าเป็นไม้ เขาจะเอาไม้มา สองชิ้น ส่วนมากจะเป็นไม้ฉำฉา เพราะนิ่มกว่าไม้ทำพานท้าย แล้วเอาเหล็กสปริงมาโคงรูปตัวV ใต้ไม้สองข้าง แล้วเสียบลงไปที่ปากกา เวลาหนีบไม้ก็จะไม่ทำให้ไม้เสีย และ ขันเข้าขันออก เหล็กสปริงก็จะถ่างออก ไม่ต้องคอยจับ

ขอเพิ่มเติม  ตอบ ที่ 408 การแกะลายแบบที่ 2 การแลลายแบบนี้ ช่างที่มีคุณภาพ สามารถ แกะรูปคนที่ท่านรัก หรือ สัตว์ ตัวโปรด ลงไปในปืนได้เหมือน รูปถ่าย เลยครับ และการแลลายเส้นแต่ละเส้นจะละเอียดมาก ถ้าฝีมือดีแล้วลายเส้นจะไม่สดุด เหมือนท่านลากเส้นดินสอไปทีเดียวยาวๆ ก็จะสวย ถ้าลากแล้วหยุด ลากแล้วหยุด ก็จะเป็นจุดตรงที่ท่านหยุดก็จะไม่สวย เวลาช่างทำงานจะมีมีดแลลายมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งมีแว่นขยาย(สำหรับดูพระหรือเพชย) ขนาด10x ดูลาย ที่เขาลากไป ช่างเก่งๆบางคนต้องรอ เข้าคิวนานกว่า 5 ปี
  สั่งทำปืน ก็ต้อง จอง 5 ปี เอาไปแกะลาย ก็จองคิวอีก 5 ปี ช่างแกะลายอีก 1 ปี  กว่าจะได้ปืน รวม 11ปี ก็ต้องรอจนเหงือกแห้ง



เอามาว่ากันเรื่อง Box lock กับ Side lock กัน ตอนแรก จะเล่าเรื่อง ปืน Skeet กับ ปืน Trap มันทำต่างกันอย่างไร เวลาซื้อก็ราคาเท่ากันแต่เวลาขาย ทำไมSkeet จึงถูกกว่า ทั้งๆที่ Skeet ทำน้อยกว่า
  เมื่อเราเห็นปืนลูกซอง หรือ ถ้าท่านมี ปืนลูกซอง แฝดอยูในบ้าน ก็หยิบออกมาดู ดังจะบอกต่อไปนี้ ผม พยายามใช้ภาษาไทยให้มากที่สุด ทั้งๆที่เขียนก็ไม่เก่ง ยิ่งภาษา อิงกิดด้วยแล้วเขียนผิดเขียนถูกประจำส่วนมากจะผิด ท่านที่อ่านก็หลับตาข้างหนึ่งก็แล้วกันนะ 
     ที่ตรงโครงปืนที่อยู่บริเวณ เหนือโกร่งไก จะมีเหล็กส่วนหนึ่ง ไม้ส่วนหนึ่ง เช่น ปืนไอ้หยา กับปืน พาราช๊ mx8 ที่ท่านลูกซองสั้นกรุณาแก้ผ้าให้ดูนั้น ก็ คือ---- Box Lock ท่านปรมาจารย์เรียกว่า พวกใต้เข็ม
     ส่วนที่เป็นแผ่นเหล็ก รูปไข่ เต็ม พื้นที่นั้น ก็คือ--- Side Lock ท่านเรียกว่า ข้างเข็ม รูปปืน อาเรียต้า ที่ ท่าน โชกุน แก้ผ้าให้ดู
   แต่ก็มีที่เป็นปืน Box Lock แล้วทำแผ่นใหญ่ๆเหมือน Side Lock นั้นเขาเรียกว่า Side Plate เพื่อ จะได้มีเนื้อที่แกะลายได้มากขึ้น และ แหกตาคนได้ (ถ้าไม่รู้) พวกนี้แผ่นจะเรียบมาก ถ้า Side Lock แท้แล้วก็จะเห็น จุดขาวๆ ที่เขาเรียกว่าPin มากน้อยแล้วแต่การออกแบบของแต่ละยี่ห้อ
    มีSide Lock ที่ออกแบบรุ่นใหม่ปัจจุบันมองไม่เห็น Pin ที่ว่า แต่ก็แพงมากๆ แถม ไม่ Classic อีกต่างหาก ใครมี ก็ขายผมก็แล้วกัน
    ทั้งBox Lock และ  Side  Lock  นั้น มีทั้ง นกนอก และ นกใน รวมถึง Side Plate ก็เช่นกัน
   ถ้าท่านดูรูป ทั้ง สองแล้ว ก็จะเห็นว่า ชุดไก จะอยู่ ณ จุดเดียวกัน แต่ นกสัป Box Lock จะอยู่เหนือโก่รงไก ใต้เข็มแทงชนวน อีกกระบอก นกสัปจะอยู่ที่แผ่นแปะข้าง นั่นคือ Side Lock
   Box Lock ที่นิยมมากที่สุด และคนเอาไปทำปืน เกือบทั่วโลก และดัดแปลง ให้ถอดไกได้ ก็ คือ---- ไกที่ออกแบบ โดย นาย ANSON และ นาย DEELEY ทั้งสอง เป็น ช่าง ที่โรงงาน Westley Richards แห่ง อังกฤษ นำออกใช้ครั้งแรก ปี 1875 เลยตั้งซื่อ ระบบนี้ว่า Anson & Deeley Lock  เป็น ระบบที่แข็งแรงทนทานมาก เป็นจับกังเลย ไม่ค่อยจะเสีย สำออยเหมือน Side Lock ที่แพงก็แพง สำออยอีกต่างหาก ทั้งๆที่แพงกว่าตั้ง 3-4 เท่า ในโรงงานเดียวกัน
    ปัจจุบันมีการออกแบบให้ถอดชุดลั่นไก ออกมาแก้ไขได้ง่าย เช่น Beretta Perazzi  ที่ชาวเรารู้จักกันดี
    อีกสักครู่จะเล่าต่อเรื่อง Side Lock ท่านใดมีคำถามก็กรุณา ถามด้วยจะเป็นพระคุณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 26, 2006, 03:02:08 PM โดย kat » บันทึกการเข้า

เอาชนะ อุปสรรคทั้งปวง ด้วยความอุตสาหะ
kat
Full Member
***

คะแนน 38
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 355


« ตอบ #764 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2006, 03:44:15 PM »

พี่FABBRIครับยังไม่ได้เล่าเรื่องSIDE LOCKให้ฟังเลย แล้วที่สำคัญที่ผมอยากรู้มากก็คือว่าเพราะเหตุใดมันจึงแพงกว่าBOX LOCKและมันดีกว่ายังไง รบกวนด้วยครับ

--------------------------------------------------------------------------------
เท่าที่ผมเคยเห็นชิ้นส่วนที่แตกต่างกัน อย่างชัดเจน ในระหว่าง box lock กับ  side lock  ก็คือ การใช้ สปริงนกสับแบบขดลวด กับแบบแหนบ  ระบบนกสับที่ใช้สปริงแบบแหนบ จะให้ความรู้สึกตอนลั่นไกที่เฉียบคมกว่ามาก แต่มีข้อเสียคือ แหนบมีอายุการใช้งาน คือหักได้ และหักโดยไม่แสดงอาการล่วงหน้าเลยครับ

ในปืน box lock ส่วนมากจะใช้สปริงแบบขดลวด ซึ่งมีต้นทุนถูกกว่า และทนทาน แต่ก็มีบางโรงงานใช้สปริงแบบแหนบด้วยนะครับ เช่นปืนลูกซอง SKB ซึ่งเวลาแหนบหักทีนึง ก็ออกจากการแข่งขันไปเลยครับ เพราะใช้เวลาเปลี่ยนแหนบเกินสิบนาที

ปืนแบบ side lock น่าจะถูกออกแบบมาเพื่อนำเอาข้อดีของการใช้แหนบในระบบนกสับมาเป็นต้นคิดนะครับ เพราะจุดขายของปืน side lock คือ สามารถถอดแก้มซึ่งติดตั้งชุดนกสับเอาไว้ ออกมาตรวงสอบและทำความสะอาดได้ง่าย  (เปลี่ยนแหนบง่าย)

ถ้าถามว่าทำไมปืน side lock จึงแพงกว่าปืน  box lock  ก็ต้องคิดว่า การประกอบแผ่นแก้ม side plate ใช้ฝีมือมากนะครับ นี่ยังไม่นับการขัดแต่งภายในอีกต่างหาก เพราะขึ้นชื่อว่า side lock ต้องมีภายในที่งดงามด้วย

ความงามของปืนสองแบบ ผมอยากจะให้ทุกท่านนึกจินตนาการดังเช่น
ปืน box lock ก็เหมือนการประกวด นางสงกรานต์ นางนพมาศ เราเห็นใบหน้าสวยงาม ชุดแต่งกายสวยๆ แต่เขาไม่โชว์ชุดชั้นในกัน 
ปืน side lock มีจุดขายที่ ถอดเปิด side plate ออกมาได้ ดังนั้น ใครก็ต้องอวดภายในสวยๆงามๆ หรือมีการตบแต่งขัดสีฉวีวันให้ขาวสวยหมดจด ดุจการประกวด Miss Universe ที่ต้องมาตัดสินกันที่ชุดชั้นใน  เอ๊ย  ชุดว่ายน้ำ
ตอบแบบกำปั้นกระแทกดินเลยนะครับ ที่  side lock แพงกว่า ก็เพราะว่า เจ้านายที่เป็นเจ้าของป่า หรือ ผืนที่ดินเลี้ยงสัตว์ ใช้  ส่วนคนสวนหรือคนเฝ้าป่า Gamekeeper ใช้Box lock เลยต้องถูกกว่า
--------------------------------------------------------------------------------
เรื่อง side lock ท่านลูกซองสั้น บรรเลงทั้งรูปและ ภาพ แล้วก็คงไม่ต้องเล่าอะไรมากนัก เพียงแต่ว่า Side lock ชุดนกและ เซีย อยู่ที่ฝาประกบข้าง เท่านั้น เพื่อที่จะถอดทำความสะอาดได้สดวก ( Box lock ของ  westley richards ที่ออกแบบ ปี 1897 ก็ถอดได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ) กลไกจึงต้องทำด้วยความปราณีต  ส่วน สปริงนกสัป จะเป็น แหนบ ภายหลังมีขดสปริง จึงได้ออกแบบ Box lock (เป็นความเห็นส่วนตัว) แหนบ สปริงก็มีทั้งด้านหน้า และด้านหลัง บางแบบเช่น Purdey ยังเป็นตัวช่วยให้เปิดลำกล้องเองด้วย คือ เพียงแค่บิดหางปลา ลำกล้องก็จะเปิดเอง และ ที่แพงเพราะ นอกจากต้องทำปราณีตกว่ามากแล้ว  รวมถึงพานท้ายที่อยู่ในโครงปืน อีกอย่างที่แพง ปืนSide Lock จะใช้ลำกล้องแบบ  Chopper lump  คือ ตั้งแต่ โคนลำกล้อง ถึงปลาย รวมถึง ชุด Lock ลำกล้องกับโครงปืน จะเป็น เหล็ก ชิ้นเดียว ส่วนmonoblockมักจะใช้กับปืน Box Lock ที่ราคาถูกกว่า ชุด Lock ลำกล้องกับโครงปืน และ รังเพลิง จะเป็นท่อนเดียว มากัดเซาะให้ได้ตามต้องการ แล้วนำลำกล้องมาสรวม ขันเกลียวเข้าไป แล้วทำเป็นลายตรงรอยต่อ มี โรงงานปืนใน อเมริกา ทำแฝดไรเฟิล ได้ถูกมากอย่างไม่น่าเชื่อ ราคา .470 Rigby ไม่เกิน $2000 ที่ทำได้เพราะ เขาซื้อ ปืน ลูกซองแฝดของ Spain มาถอดลำกล้องออกจาก Monoblock แล้วเอา ลำกล้อง .470 ใส่เข้าไปแทน แต่ ๆ แต่ ๆ ใช้ไม่นานก็จะคอน(หลวม) เคยพบที่ อัฟริกา ใช้ยิงไม่ถึง 50 นัดก็หลวมแล้ว ส่วนมาก พวก พรานคุ้มกันชอบใช้ เพราะ ราคาถูก ยิงไม่มากนัก ไม่ต้องแม่น เพราะ ยิงไม่เกิน 20 เมตร  แบบที่คนนิยมมากที่สุด คงจะเป็น แบบที่มี  9 Pin ก็คือ H&H 
  อีกสักครู่จะเล่า ถึงปืน Skeet & Trap ที่รับปากไว้
บันทึกการเข้า

เอาชนะ อุปสรรคทั้งปวง ด้วยความอุตสาหะ
หน้า: 1 ... 48 49 50 [51] 52 53 54 ... 366
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.157 วินาที กับ 24 คำสั่ง